ศุภมัศดุพระพุทธศักราช ๒๓๒๘ ปีมะเส็งนักษัตรสัปตศก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จออกณพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในท่ามกลางเสนาพฤฒามาตย์ราชกระวีมนตรีมุขทั้งปวง เฝ้าฝ่าพระบาทบงกชมาศยุคลพร้อมกัน ประดุจดวงดาราล้อมพระจันทร์เทวบุตรบนนภากาศ จึงมีพระราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสีหนาทดำรัสเหนือกระหม่อมสั่งว่า เรื่องราวพระเจ้าราชาธิราช ซึ่งทำศึกกับพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องเปนมหายุทธสงครามมีในพระราชพงษาวดารรามัญนั้น ที่แปลออกจากรามัญภาษาเปนสยามภาษา ถวายสมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรฯ แปลกเปลี่ยนกันกับที่ได้ทรงฟังสังเกตไว้แต่ก่อน จึงทรงพระราชดำริห์ดัดแปลงข้อความในเรื่องราชาธิราช ที่ยังขาดเหลือค้างเกินอยู่นั้นให้เรียบเรียงขึ้นเสียใหม่ไว้เปนสยามภาษา ด้วยพระราชหฤทัยประสงค์จะให้เปนหิตานุหิตะประโยชน์แก่พระบรมราชวงษานุวงษ์ ข้าทูลลอองธุลีพระบาทผู้น้อยผู้ใหญ่ฝ่ายทหารฝ่ายพลเรือน จะได้สดับนี้จำไว้เปนคติบำรุงสติปัญญาไปภายหน้า ข้าพระพุทธเจ้าพระยาพระคลังหนึ่ง พระยาอินทรอัคคะราชหนึ่ง พระภิรมรัศมีหนึ่ง พระศรีภูริปรีชาหนึ่ง ข้าทูลลอองธุลีพระบาทพร้อมกันทั้งสี่นาย ขอรับพระราชทานพระบรมราชวโรกาศ เรียบเรียงข้อความในเรื่องราชาธิราชโดยกระแสพระราชบริหาร.

จักดำเนินความในเรื่องราวพระเจ้าราชาธิราชนั้น กล่าวโดยลักษณบุรพเหตุความเบื้องต้น เปนสังเขปใจความว่า ยังมีพระมหาเถรองค์หนึ่งเปนพระอรหันต์ มีนามปรากฎว่าพระคะวำบดี เปนบุตรรามัญชาวเมืองสเทิม พระผู้เปนเจ้ากอร์ปด้วยอรหัตตคุณ คือได้อภิญญาหก แลจตุสัมภิทาญาณทั้งสี่ แลมารดาของพระมหาเถระเจ้านั้นถึงแก่มรณภาพ พระผู้เปนเจ้าเล็งดูด้วยทิพจักษุญาณ แจ้งว่ามารดายังหาได้ไปบังเกิดในเทวโลกไม่ ยังท่องเที่ยวถือปฏิสนธิกำเหนิดเปนมนุษย์อยู่ บัดนี้ ไปบังเกิดในรามัญประเทศ พระผู้เปนเจ้ามีความปรารถนาจะให้เปนประโยชน์แก่มารดา แลกษัตริย์เศรษฐีคหบดีพราหมณ์ประชาราษฎรหญิงชายชาวเมือง จึงเข้าญานสมาบัติถืออภิญญาเปนบาท ออกจากฌานแล้วก็สำแดงอิทธิปาฏิหาริย์ เหาะมายังเมืองสเทิม สมเด็จพระเจ้าอโศกราชบรมบพิตร ได้เห็นพระปาฏิหาริย์ของพระผู้เปนเจ้า ก็เลื่อมใสในอรหัตตคุณ แล้วพระเจ้าอะโศกราชจึงตรัสถามพระมหาเถรว่า เมื่อพระศรีสรรเพ็ชญ์โลกาจารย์มีพระชนมายุเสด็จทรมานอยู่นั้น มีพระพุทธบัณฑูรทำนายไว้ประการใดบ้าง พระมหาเถรเจ้าถวายพระพรตามกระแสพระพุทธพยากรณ์ตรัสทำนายไว้ว่า เมื่อพระองค์ยังมีพระชนม์อยู่นั้น เสด็จมาในอรัญประเทศที่นี้อันชื่อว่าป่าเมาะตะมะ

ยังมีมหายักษ์ทั้งแปดเห็นสมเด็จพระพุทธเจ้ามีพระรูปศิริวิลาศงามหาที่สุดมิได้ ประดับไปด้วยช่อพรรณรังสีเลื่อมประภัศรเปล่งออกจากพระกายข้างละวา มหายักษ์ทั้งแปดเห็นแล้วก็เลื่อมใสยินดี จึงเก็บเอาใบพลวงมาแปดใบกระทำเปนเพดาน เอาสิลามีพรรณอันขาวมากระทำเปนพระแท่น อาราธนาสมเด็จพระพุทธเจ้าให้เสด็จนิสีทนาการเหนือเสวตร์บัลลังก์สิลาแล้วมหายักษ์ทั้งแปดจึงเก็บเอาผลพวาป่า มากระทำเปนน้ำอัฐบาลถวายสมเด็จพระพุทธเจ้า แล้วจึงเอาน้ำมันมาตามเปนประทีปถวายสมเด็จพระพุทธเจ้า ๆ จึงตรัสพระธรรมเทสนาโปรดมหายักษ์ทั้งแปด ยังยักษ์ทั้งแปดให้ตั้งอยู่ในสรณาคมน์แลศีลห้า แล้วทรงทำนายแก่มหายักษ์ทั้งแปดว่า ดูกรมหายักษ์ ผลานิสงส์ที่ท่านทั้งปวงได้กระทำพุทธบูชาแก่ตถาคตในครั้งนี้ จะให้ผลแก่ท่านให้ได้เสวยทิพสมบัติมนุษย์สมบัติไปในอนาคต นานไปท่านทั้งแปดจะได้เกิดเปนพระมหากษัตราธิราช กอร์ปด้วยตบะเดชะอันล้ำเลิศประเสริฐ แลประเทศป่าอันนี้จะมีพระมหากษัตริย์องค์หนึ่งเสด็จมาสร้างพระนคร ชื่อว่าเมืองเมาะตะมะ แลสมเด็จพระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาแก่มหายักษ์แล้ว ก็เสด็จไปโปรดสัตว์ทั้งปวง เมื่อพระองค์มีพระชนม์ได้แปดสิบพระพรรษา ก็เสด็จเข้าสู่พระนิพพาน ฝ่ายมหายักษ์ทั้งแปด ครั้นสิ้นชีวิตแล้ว ก็ไปบังเกิดเปนเทวบุตรในสวรรค์

อยู่จำเนียรมา ยังมีสมเด็จพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้าอลังคจอสู ได้เสวยราชสมบัติในเมืองภุกาม พระเจ้าอลังคจอสูยกทัพลงมาตีเอาเมืองสเทิมได้ ให้กวาดเอาครัวขึ้นไปไว้ในเมืองภุกาม แล้วพระองค์เสด็จไปประพาสป่าชื่อว่าปัทวัน เสด็จไปถึงที่ตำบลป่าเมาะตะมะ ทอดพระเนตร์เห็นภูมิสถานราบคาบเสมอดี ควรที่จะสร้างพระนครได้ พระเจ้าอลังคจอสูก็ให้สร้างเมืองลงในสถานที่นั้น ครั้นสร้างแล้วพระราชทานให้อลิมามางแขกข้าหลวงมาเปนเจ้าเมืองเมาตะมะ ให้พระราชทานอำเภอขึ้นแก่เมืองเมาะตะมะนั้น ทิศข้างเหนือต่อกับเมืองตองอู ทิศตวันตกต่อบ้าน ทิศตวันออกต่อกันกับเมืองไทย ทิศใต้ต่อกันกับเมืองสเติง แล้วพระเจ้าอลังคจอสูเสด็จกลับไปเมืองภุกาม

ในศักราชได้ ๖๓๐ ปี พระเจ้าอลังคจอสูเสด็จทิวงคต เจ้าจัตเวติราชกุมาร ผู้เปนราชบุตรพระเจ้าอลังคจอสู ได้เสวยราชในเมืองภุกามแทนสมเด็จพระบิดา ทรงพระนามว่า พระเจ้าอนันทไชย ๆ มีพระโองการ ตรัสสั่งให้หาอลิมามางเจ้าเมืองเมาะตะมะด้วยราชกิจข้อหนึ่ง อลิมามางขัดพระโองการไม่ขึ้นไป พระเจ้าอนันทไชยทรงพระโกรธ จึงตรัสสั่งให้สมิงสีหสุรเสนาเปนแม่ทัพ ถืออาญาสิทธิ์คุมพลทหารเปนอันมากยกไปตีเมืองเมาะตะมะ ๆ แตก อลิมามางหนีขึ้นไปเมืองหริภุญไชย สมิงสีหสุรเสนาให้อัดญาพระยารักษาเมืองเมาะตะมะได้สามปี ศักราชได้ ๖๓๒ ปี อลิมามางเมื่อแตกหนีไปนั้นได้พวกพลโยธาลาวเปนอันมากแล้ว กลับไปตีเมืองเมาะตะมะได้ อลิมามางฆ่าอัดญาพระยาตายแล้วก็ได้คืน ที่อัดญาพระยาตายนั้นรามัญเรียกว่าเขาอัดญาพระยามาคุงเท่าบัดนี้

เรื่องพระเจ้าอลังคจอสูมาสร้างเมืองเมาะตะมะสิ้นแต่เท่านี้

---------------

ฝ่ายสมณเทวบุตร ซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าทำนายไว้เมื่อครั้งเปนมหายักษ์อยู่นั้น จุติมาบังเกิดเปนบุตรมะปะนายชื่อว่า มะกะโท แลบิดานั้นเปนพ่อค้าใหญ่อยู่บ้านเกาะวานแขวงเมืองเมาะตะมะ แลมะกะโทนั้นมีน้องหญิงคนหนึ่งชื่อนางอุ่นเรือน น้องชายถัดนางอุ่นเรือนชื่อมักกะตา มะกะโทมีอายุสิบสี่สิบห้าปีบิดานั้นก็ถึงแก่ความตาย มะกะโทได้เปนนายพ่อค้าคุมลูกค้าสามสิบคน หาบขึ้นไปค้าเมืองสุโขทัย ครั้นมาจะใกล้ถึงตำบลภูเขาปะเตาะลูกค้าคนหนึ่งป่วย มะกะโทจึงเข้ารับเอาหาบลูกค้าซึ่งป่วยนั้นแทน เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขานั้นมิใช่ฤดูฝน ก็บังเกิดเปนพายุใหญ่ แล้วฝนตกฟ้าร้องอสนีผ่าลงมาถูกคานซึ่งมะกะโทหาบหักลงจากบ่ามะกะโท ๆ ทำคานผลัดถึงสามครั้ง อสนีก็บันดาลผ่าลงถูกคานถึงสามหน จนหาบนั้นตกลงไปในเหว มะกะโทตกใจยืนตลึงอยู่ในที่นั้น แลไปในบุรพทิศเห็นแสงอรุณสว่างขึ้น ครั้นแลมาฝ่ายประจิมทิศฟ้าแลบขึ้นเห็นเปนวิมานแลปราสาทมณเฑียรปรากฎแก่ตามะกะโท มะกะโทจึงคิดแต่ในใจว่า เหตุใหญ่เปนมหัศจรรย์ถึงเพียงนี้

ฝ่ายลูกค้าทั้งปวงก็มิเปนอันตราย จึงคิดว่าตัวกูนี้เห็นจะมีวาสนาไปภายหน้า แล้วมะกะโทก็พาลูกหาบพ่อค้าทั้งปวงไปถึงตำบลบ้านมะเตวะ พอเวลาเย็นก็เข้าอาศัยอยู่ แลในบ้านนั้นมีผู้ใหญ่เปนบัณฑิตผู้หนึ่ง มีสติปัญญารู้ทำนายนิมิต มะกะโทจึงแต่งเครื่องสักการบูชาอันสมควรแล้ว ก็ไปหาผู้นั้น จึงแจ้งนิมิตอันเปนมหัศจรรย์ให้ฟังทุกประการ ผู้รู้ทำนายนิมิตนั้นจึงว่าแก่มะกะโทว่า นิมิตของท่านนี้ใหญ่หลวงนัก จงเอาทรัพย์มากองลงสูงเพียงศีร์ษะเมื่อใดแล้ว เราจึงจะทำนายให้แก่ท่าน มะกะโทจึงคิดแต่ในใจว่าครั้งนี้เรามาในที่กันดาร มีเงินอยู่แต่สามสิบบาท จะทำเปนประการใด ในเมื่อขณะคิดอยู่นั้นพอมะกะโทแลเห็นจอมปลวกอันหนึ่ง อยู่ในที่นั้นสูงเทียมศีร์ษะ มะกะโทคิดขึ้นได้ด้วยอุบายปัญญา จึงเอาเงินตราสามสิบบาทวางขึ้นบนจอมปลวกกระทำสักการบูชา แล้วจึงบอกแก่ผู้ทำนายนิมิตนั้นว่า ข้าพเจ้าบูชาแล้ว ผู้ทำนายนั้นจึงคิดว่าบุรุษผู้นี้มีปัญญฉลาดในอุบายยิ่งนัก ควรที่จะมีบุญอยู่แล้วจึงทำนายว่าแต่นี้สืบไปเมื่อหน้าหาบไม่ต้องบ่าท่านแล้ว ซึ่งจะค้าขายสืบไปนั้นท่านอย่าได้กระทำเลย หาเปนประโยชน์ไม่ ท่านจงอาสาท้าวพระยาเถิด ซึ่งว่าฝ่ายบุรพทิศเห็นเปนแสงอรุณสว่างขึ้น จะมีพระมหากษัตริย์องค์หนึ่งในทิศตวันออก จะอนุเคราะห์ตกแต่งให้มียศถาศักดิ์แก่ท่านเปนประถมก่อน แลซึ่งฝ่ายประจิมทิศ สายฟ้าแลบขึ้นเห็นวิมานแลปรางค์ปราสาทปรากฎแก่ตานั้น ท่านจะได้เปนใหญ่ในทิศตวันตก จะมีบุญญาธิการทรงศักดานุภาพเปนอันมาก ท่านอย่าได้สงสัยเลย

มะกะโทครั้นได้ฟังคำทำนายแล้ว ก็มีความยินดี จึงอำลาบุรุษผู้นั้น ยกออกจากบ้านมะเตวะ ก็มายังเมืองสุโขทัย ให้ลูกค้าหาบเที่ยวขายสิ่งของ ครั้นขายสิ่งของเสร็จแล้ว ก็ให้ลูกค้าทั้งปวงกลับคืนไปยังเมืองเมาะตะมะ แต่ตัวมะกะโทนั้น เชื่อคำทำนายนิมิตมิได้กลับคืนไป จึงเที่ยวหาที่พึ่งซึ่งจะผูกพันธ์อาศัยนั้น จึงคิดว่าถ้าเราจะไปฝากตัวอยู่ด้วยเสนาบดีผู้ใหญ่บัดนี้เล่า ก็ยังหาผ้านุ่งห่มที่ดีมิได้ จึงเข้าไปอาศัยอยู่ด้วยนายช้างพระเจ้าสุโขทัย มะกะโทอุสาหะมิได้เกียจคร้าน ช่วยชำระมูลช้าง ทอดหญ้าช้างทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ขาด นายช้างเห็นมะกะโทมีความอุสาหะ ก็รักใคร่เปนอันมาก ครั้นนายช้างได้รับพระราชทานเงินเดือนครั้งใด ก็แบ่งปันให้มะกะโททุกครั้ง

อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จพระร่วงเจ้าเสด็จไปณโรงช้าง ขึ้นทอดพระเนตร์ช้างพระที่นั่งอยู่บนเกย ทอดพระเนตร์เห็นมะกะโทกวาดหญ้าช้างอยู่ จึงตรัสถามนายช้างว่า อ้ายคนนี้เปนบุตรของผู้ใด นายช้างจึงกราบทูลสมเด็จพระร่วงเจ้าว่า มะกะโทคนนี้เปนบุตรรามัญเข้ามาอยู่ด้วยข้าพระพุทธเจ้า ช่วยทอดหญ้าช้างแลชำระมูลช้างมีความอุสาหะเปนอันมาก สมเด็จพระร่วงเจ้าทรงพระเมตตาแก่มะกะโท จึงตรัสสั่งนายช้างให้เลี้ยงดูมะกะโทไว้อย่าให้ขัดสน เมื่อพระองค์ทอดพระเนตร์ช้างอยู่นั้น คายพระสลาออกแล้ว บ้วนพระโอฐลงเหนือแผ่นดิน ๆ กระจายออกไป ทอดพระเนตร์เห็นเบี้ยๆหนึ่ง จึงตรัสว่าลูกรามัญน้อยจงเก็บเอาเบี้ยๆหนึ่งไว้ มะกะโทกราบถวายบังคมแล้วจึงเก็บเอาเบี้ยมาตามรับสั่ง ครั้นสมเด็จพระร่วงเจ้าทอดพระเนตร์ช้างแล้ว ก็เสด็จกลับเข้าสู่พระราชวัง

ฝ่ายมะกะโทได้เบี้ยๆหนึ่งก็มีความยินดีนัก จึงคิดว่าแต่เรามาอยู่ทำราชการด้วยนายช้าง พึ่งได้รับพระราชทานในวันนี้ เบี้ยๆเดียวนี้จะทำกะไรดี อย่าเลยจะเอาไปซื้อพันธุ์ผักกาดมาปลูกไว้ มะกะโทคิดแล้ว จึงเอาเบี้ยไปซื้อพันธุ์ผักกาด เจ้าของพันธุ์ผักกาดจึงว่าเบี้ยของเจ้าเบี้ยเดียวนี้ เรามิรู้ที่จะตวงพันธุ์ผักกาดให้ มะกะโทจึงว่าเบี้ยของเราเบี้ยเดียวนี้ เราขอแต่พอติดนิ้วเดียว เจ้าของพันธุ์ผักกาดจึงว่าเอาเถอะ มะกะโทจึงเอานิ้วมือชุบเขฬะ แล้วก็จิ้มลงในกระทายพันธุ์ผักกาดนั้น ฝ่ายเจ้าของพันธุ์ผักกาดจึงสรรเสริญแต่ในใจว่า บุตรรามัญผู้นี้มีปัญญาฉลาดนัก นานไปจะได้เปนผู้ดีมั่นคง ฝ่ายมะกะโทได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดแล้ว จึงมาขุดดินกระทำที่ด้วยมูลช้างจึงปลูกเมล็ดพันธุ์ผักกาดไว้ อุส่าห์บำรุงรดน้ำก็งอกงามขึ้น ครั้นอยู่มาพระร่วงเจ้าเสด็จมาทอดพระเนตร์ช้างอีกครั้งหนึ่ง มะกะโทจึงเลือกเก็บพันธุ์ผักกาดมาชำระเสียให้หมดมูลดินแล้ว จึงขอยืมโต๊ะพานนายช้างใส่พันธุ์ผักกาด นำเข้ามาถวายสมเด็จพระร่วงเจ้า ๆ จึงตรัสถามว่า เองได้พันธุ์ผักกาดนี้มาแต่ไหน มะกะโทจึงกราบทูลว่า เบี้ยซึ่งพระองค์พระราชทานข้าพระพุทธเจ้าเบี้ยหนึ่งนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเอาไปซื้อพันธุ์ผักกาดมาปลูก จึงได้นำมาทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระร่วงเจ้าได้ทรงฟังดังนั้น ก็มีพระทัยยินดีนัก จึงทรงพระดำริห์ว่า บุตร์รามัญน้อยนี้ฉลาดประกอบด้วยความเพียร จะเอาไปเลี้ยงไว้ใกล้เราจึงจะชอบ จึงตรัสแก่นายช้างว่า ลูกรามัญน้อยนี้เราจะขอไปเลี้ยงไว้ นายช้างก็ถวายมะกะโทไปแก่สมเด็จพระร่วงเจ้า ๆ จึงมอบให้ไปอยู่ด้วยหัวป่าพ่อครัว มะกะโทครั้นไปอยู่ด้วยพ่อครัวก็มิได้เกียจคร้าน สมเด็จพระร่วงเจ้า ครั้นเห็นมะกะโทอุสาหะเปนอันดีก็ชอบพระอัธยาศัย จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้เปนขุนวังมอบให้ว่ากล่าวในนอกพระราชวัง สมเด็จพระร่วงเจ้าทรงพระเมตตานักดุจหนึ่งบุตรในอุทร มะกะโทผู้เปนขุนวังมีความอุสาหะรักษาพระองค์กลางคืนเปนกลางวัน พระร่วงเจ้าทรงพระเมตตายิ่งขึ้นไป ข้าราชการน้อยใหญ่ทั้งปวง ก็มีความรักใคร่แลยำเกรงแก่ขุนวังเปนอันมาก

ครั้นอยู่มามีหนังสือบอกมาว่า กองทัพแขกชวายกมาตีหัวเมืองซึ่งขึ้นแก่เมืองสุโขทัย ขอกองทัพเมืองสุโขทัยไปช่วยว่าข้าศึกมีกำลังใหญ่หลวงนัก ถ้าช้าเห็นจะเสียเปนมั่นคง ข้าพเจ้าทั้งปวงก็จะเปนเชลยแห่งข้าศึก สมเด็จพระร่วงเจ้าแจ้งในราชการดังนั้น จึงจัดแจงกองทัพบกเรือเสร็จแล้ว เมื่อจะยกไปนั้น พระองค์จึงมอบราชการแลพระราชวังในนอก ให้ขุนวังอยู่รักษา แล้วพระองค์ก็ยกกองทัพหลวงไปปราบข้าศึกแขกชวา

ฝ่ายขุนวังนั้นเปนใหญ่ได้บังคับกิจการทั้งปวง จะมีผู้ใดใหญ่ขึ้นไปกว่านั้นหามิได้ ขณะนั้นถึงบุพเพสันนิวาศกุศลของชนทั้งสองได้สร้างมา จึงเผอิญให้นางเทพสุดาสร้อยดาว พระราชธิดาสมเด็จพระร่วงเจ้ากับขุนวังเห็นกันแล้ว ให้มีความปฏิพัทธ์ผูกพันสนิทเสน่หาแก่กัน ขุนวังก็ลอบกระทำสังวาสด้วยพระราชธิดา อยู่มาพระยาเจ้าโล้ซึ่งเปนมิตรกันกับขุนวัง รู้กิติศัพท์ว่าขุนวังผูกพันรักใคร่กับพระราชธิดา พระยาเจ้าโล้มีความกรุณาแก่ขุนวัง จึงหามาว่าท่านทำการทั้งนี้ผิดหาสมควรไม่ ถ้าทราบถึงพระมหากษัตริย์อันเปนพระเจ้าอยู่หัว ท่านก็จะถึงแก่ความตายความฉิบหาย ท่านอย่าพึงกระทำความชั่วต่อไปเลย ครั้นขุนวังรู้ความดังนั้นแล้ว จึงไปบอกแก่นางเทพสุดาสร้อยดาว ๆ ก็กลัวพระราชอาญาสมเด็จพระบิดา จึงคิดอ่านจะหนีพร้อมใจกัน จึงจัดแจงผ้าพรรณนุ่งห่ม แลทรัพย์สิ่งของทองเงินที่ดีอันมีค่าเปนอันมาก รู้กันกับตำรวจวังเจ็ดสิบคน ไพร่ไทยซึ่งเชื่อถือร้อยเศษ จัดแจงเสร็จแล้ว ขุนวังก็พานางเทพสุดาสร้อยดาวขึ้นช้างพังตัวหนึ่งกับคนร้อยเจ็ดสิบคน ออกจากเมืองสุโขทัยหนีไปทางป่ากวะ ถึงแดนต่อแดนแล้ว มะกะโทคิดถึงพระเดชพระคุณสมเด็จพระร่วงเจ้า จึงบ่ายหน้ามาทิศเมืองสุโขทัยกราบถวายบังคมสมเด็จพระร่วงเจ้าลงกับแผ่นดินแล้ว เขียนฉลากบอกเหตุซึ่งมีอัศจรรย์แต่หลังไว้ทุกประการ แล้วมะกะโทก็พาพระราชธิดากับไพร่พลทั้งปวงยกไป ครั้นสมเด็จพระร่วงเจ้าเสด็จกลับ รู้ข่าวว่ามะกะโทพาพระราชธิดาหนีไปจากเมืองสุโขทัย จึงตรัสให้กองทัพยกไปตาม

ฝ่ายกองทัพยกไปถึงแดนต่อแดน จึงพบฉลากซึ่งมะกะโทเขียนไว้นั้น ก็พาเอาฉลากกลับมาเมืองสุโขทัย เข้าไปกราบถวายบังคมสมเด็จพระร่วงเจ้าแล้ว ทูลซึ่งได้ไปตามมะกะโทถึงแดนต่อแดน ก็ถวายฉลากมะกะโทแก่สมเด็จพระร่วงเจ้า ๆ จึงให้อ่านฉลากในหนังสือนั้นว่า ข้าพระพุทธเจ้ามะกะโทขอกราบลงกับพื้นพระสุธาดลจงเปนสักขีทิพญาน ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบถวายบังคมลาฝ่าพระบาทพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลไว้ให้ทราบใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท ด้วยเดิมเหตุเมื่อจะมาสู่พระบรมโพธิสมภารนั้น ข้าพระพุทธเจ้าคุมพ่อค้าสามสิบคน มาค้าถึงตำบลเขาปะเตาะ พ่อค้าคนหนึ่งป่วย ข้าพระพุทธเจ้าจึงเข้ารับหาบแทนแล้ว หาบขึ้นไปบนภูเขาให้บังเกิดเปนอัศจรรย์ ใช่วสันตฤดูก็บันดาลให้ฝนตก อสนีผ่าลงถูกคานที่ข้าพระพุทธเจ้าหาบนั้นหักลงถึงสามครั้ง แล้วข้าพเจ้าแลไปเบื้องบุรพทิศ เห็นเปนแสงพระอาทิตย์สว่างขึ้น ครั้นแลมาข้างประจิมทิศ ก็เห็นเปนปราสาทราชมณเฑียรอันรจนาปรากฎแก่จักษุข้าพระพุทธเจ้า ๆ จึงให้ผู้รู้ทำนาย ๆ ว่า ซึ่งเห็นสว่างในบุรพทิศนั้น คือพระองค์จะได้ทำนุบำรุงข้าพเจ้าเปนประถม ซึ่งว่าเห็นข้างประจิมทิศเปนปราสาทราชมณเฑียรนั้น ภายหลังข้าพระพุทธเจ้าจะได้มาเปนใหญ่ในทิศตวันตก บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้ทำการทุจริตลอบลักพาพระราชธิดาของพระองค์มา ทำให้เคืองฝ่าพระบาทนั้น โทษข้าพระพุทธเจ้าผิดหนักหนา ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานโทษ พระองค์จงให้อภัยโทษแก่ข้าพระพุทธเจ้าครั้งหนึ่งเถิด

ครั้นสมเด็จพระร่วงเจ้าแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว ก็ทราบว่ามะกะโทคนนี้นานไปจะได้เปนใหญ่ในเมืองมอญ จะได้สืบราชประยุรวงษ์กษัตริย์ไปภายหน้า ก็มิได้ทรงพระพิโรธขัดเคือง จึงออกพระโองการประสาทพระพรให้แก่มะกะโทว่า จงให้ไปเจริญทีฆายุสวัสดิ์ตามนิมิตนั้นเถิด

เมื่อมะกะโทหนีไปนั้น ตั้งใจจะไปเกาะวานไปมิถูก หลงไปป่ากวะถึงมุละมุพักอยู่สามวัน ก็ไปจากมุละมุถึงเมืองวาน มะกะโทไปอยู่บ้านเดิมบิดามารดา บ้านนั้นก็ได้ชื่อว่ามะกะโทมาตราบเท่าบัดนี้ ครั้นมะกะโทถึงบ้านแล้ว บรรดาพรรคพวกญาติพี่น้องแลชาวบ้านทั้งปวง ต่างคนมาประชุมกันชมบุญมะกะโทว่า มะกะโทไปแต่ผู้เดียว บัดนี้ได้พระราชธิดาสมเด็จพระร่วงเจ้ามาเปนภรรยาแล้วก็ได้ทหารมาเปนอันมาก แลชาวบ้านนั้นก็นับถือมะกะโทว่ามะกะโทนี้มีวาสนาบารมีมาก จะว่าสิ่งใดก็สิทธิ์ขาดกว่าแต่ก่อน ครั้นอยู่มามารดามะกะโทถึงแก่กรรมแล้ว มะกะโทแลญาติพี่น้องทั้งปวง ก็กระทำการปลงศพสำเร็จแล้ว มะกะโทจึงปรึกษาด้วยญาติพี่น้องทั้งปวงว่า อลิมามางเจ้าเมืองเมาะตะมะนี้มีอิสสริยยศใหญ่หลวงนัก จำจะผูกพันธ์เปนไมตรีไว้จะได้เปนที่พึ่งสืบไป บัดนี้บิดามารดาเราก็หาบุญไม่แล้ว นางอุ่นเรือนน้องสาวเรานี้มีรูปร่างอันงาม กอร์ปด้วยกิริยามารยาททั้งเฉลียวฉลาดอยู่ แลเจริญวัยสมควรจะมีเหย้าเรือนอยู่แล้ว เราคิดจะใคร่ปลูกฝังนางอุ่นเรือนน้องสาวเราให้แก่อลิมามาง ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด

ฝ่ายพรรคพวกญาติพี่น้องทั้งนั้น ก็ยินยอมพร้อมใจด้วยมะกะโท ๆ จึงให้จัดของกำนัล แล้วแต่งหนังสือให้คนถือขึ้นไปถึงอลิมามางว่า ข้าพเจ้ามะกะโทมีใจภักดีต่อท่าน จะยกนางอุ่นเรือนผู้น้องสาวให้เปนหญิงบำเรอเท้าของท่าน ครั้นอลิมามางได้แจ้งในหนังสือดังนั้นแล้วก็มีความยินดีนัก จึงให้เงินทองเสื้อผ้าเปนรางวัลแก่ผู้ถือหนังสือโดยสมควร เมื่อผู้ถือหนังสือกลับมาแล้ว อลิมามางคิดจะใคร่ได้เห็นตัวนางอุ่นเรือน ครั้นจะคอยให้เห็นตัวนางอุ่นเรือน ครั้นจะคอยให้เห็นต่อวันคืนดี เมื่อจะไปรับนั้นไม่ทันใจปรารถนา จึงลงเรือแหปลอมขึ้นไปถึงหน้าบ้านมะกะโท ๆ เห็นแล้ว จึงแสร้งให้นางอุ่นเรือนลงมาอาบน้ำณหาดทรายด้วยหญิงสาวใช้สองสามคน หวังจะให้อลิมามางเห็น ครั้นอลิมามางได้เห็นนางอุ่นเรือนวันนั้น ก็มีความปฏิพัทธ์รักใคร่ในนางอุ่นเรือนยิ่งนัก ครั้นกลับมาถึงเมืองแล้ว จึงจัดเรือศีร์ษะจรเข้ แต่งให้คนขึ้นไปรับนางอุ่นเรือนลงมาอยู่กินณเมืองเมาะตะมะ

ขณะนั้นราษฎรชาวบ้านทั้งปวงรู้ว่า อลิมามางขอนางอุ่นเรือนไปเปนภรรยา ก็นับถือมะกะโทว่าเปนพี่เมียเจ้าเมือง ต่างคนเข้าหาเปนพรรคพวกบ่าวไพร่มะกะโทเปนอันมาก

อยู่มาอลิมามางจึงคิดว่ามะกะโทนี้เปนคนหยาบช้าหามีความสัตย์ซื่อตรงไม่ ไปอยู่ด้วยพระเจ้าสุโขทัย ๆ ทรงพระเมตตาชุบเลี้ยงให้เปนดีแล้ว กลับลักพาพระราชธิดามาอีกเล่า แลบัดนี้คนทั้งปวงนับถือว่าเปนพี่เมียเรา พากันเข้าหาพึ่งพาเปนอันมาก นานไปจะเปนเสี้ยนหนามสัตรูเราจะละไว้มิได้ จำจะคิดฆ่ามะกะโทเสีย แต่จะฆ่าโดยตรงนั้นมิได้ คนทั้งปวงจะนินทา แลพรรคพวกมะกะโทก็มีมาก เกลือกจะไม่สำเร็จ จำจะคิดฆ่าด้วยกลอุบาย ครั้นคิดแล้วจึงเรียกคนสนิทเข้ามาสั่งว่า จะให้ไปลวงมะกะโทมากินเลี้ยงแล้วจะฆ่าเสีย ท่านจงไปปลูกโรงใหญ่ณกลางหาดทรายตองลอย แล้วเอาเครื่องสาตราวุธฝังไว้ในหาดทรายให้พร้อม ถ้าเห็นพวกมะกะโทเสพสุราเมาสิ้นแล้ว จึงให้ทหารเราจับฆ่าเสียให้สิ้น แลคนสนิทก็ออกมาจัดแจงบอกกันทำตามอลิมามางสั่งทุกประการ

ฝ่ายนางอุ่นเรือนผู้น้องมะกะโทรู้ จึงแต่งหนังสือลับใช้คนลอบขึ้นไปถึงมะกะโทว่า อลิมามางคิดการฆ่าพี่เสีย ถ้าอลิมามางให้คนมาเชิญไปกินเลี้ยงนั้นอย่าให้ลงไป มะกะโทครั้นแจ้งดังนั้นแล้ว จึงคิดว่าอลิมามางเปนน้องเขยเราแล้ว กลับคิดประทุษฐร้ายจะฆ่าเรานั้น เราก็หาผิดมิได้ แลใจเราก็เปนชายชาติทหารจะนิ่งตายด้วยคมอาวุธดังนี้เพราะแพ้รู้เล่ห์กล ก็เปนที่อัปยศนัก เราจะคิดซ้อนกลฆ่าอลิมามางเสียบ้าง มะกะโทจึงให้ตีมีดเหน็บร้อยสี่สิบเล่ม แล้วจึงเรียกทหารเจ็ดสิบคนมาพร้อมกัน จึงบอกเนื้อความให้ตามหนังสือซึ่งน้องสาวบอกมาทุกประการ จึงแจกมีดเหน็บให้แก่ทหารคนละเล่ม

ฝ่ายอลิมามางจัดแจงการเสร็จแล้ว จึงใช้คนมายังมะกะโทว่า วันการบุญ ให้เชิญไปกินเลี้ยง มะกะโทครั้นแจ้งแล้วจึงว่าแก่คนใช้ว่า ท่านจงไปก่อนเถิด เราจึงจะตามไปภายหลัง ครั้นคนใช้นั้นกลับไปแล้ว มะกะโทจึงสั่งแก่ทหารเจ็ดสิบคน ให้แต่งตัวเหน็บมีดซ่อนไปคนละเล่ม แล้วกำหนดกันว่า ถ้าอลิมามางเลี้ยงสุราบาลเมื่อใด จงกินแต่น้อยอมไว้แล้วลอบบ้วนเสีย อย่าให้พวกอลิมามางเห็น ให้พวกเขากินจงเมา ครั้นเราว่ามัจฉะไซร้ให้งดอยู่ ถ้าเราว่ามุงชุงให้กินเข้า ถ้าเราว่ามอบชอบ เมื่อใดให้เข้าตลุมบอนแทงอลิมามาง แล้วแทงพวกอลิมามางเสียให้สิ้น อันสำคัญสามประการนี้เราสัญญาไว้ ท่านทั้งปวงจงระมัดกำหนดสำคัญให้มั่น ครั้นมะกะโทสั่งแก่ทหารเสร็จแล้ว ก็พากันไปณโรงหาดทรายตองลอย

ฝ่ายอลิมามางเห็นมะกะโทมาก็ทำเปนยินดี ออกมาต้อนรับมะกะโทเข้าไปนั่งในโรงแล้ว ก็ทำสนทนาด้วยกันโดยไมตรีดุจหาความรังเกียจแก่กันมิได้ อลิมามางจึงให้ยกเอาพานแป้งกระแจะน้ำดอกไม้ออกมาให้มะกะโท แล้วให้ยกของเลี้ยงมาจะให้มะกะโทกิน แลพวกมะกะโทพวกอลิมามางกินสุราบานเลี้ยงดูกันเปนอลวนอยู่

ฝ่ายพวกมะกะโทอมสุราแต่น้อยแล้วบ้วนเสีย ทำอาการดุจเมาให้อาเจียนถ่มเขฬะทำตามมะกะโทสั่งทุกประการ จะให้แต่พวกอลิมามางเสพสุราเมาอยู่ทุกคน ครั้นน้ำขึ้นครึ่งฝั่งใกล้ท่วมหาดทรายตองลอย แลน้ำในคลองนั้นท่วมหลังช้าง มะกะโทจึงว่ามุงชุงคนทั้งปวงก็งดสุราเสีย ชวนกันกินเข้าสิ้นทุกคน ครั้นคนทั้งปวงกินเข้าแล้ว มะกะโทจึงว่ามัจฉะ คนทั้งนั้นก็ระมัดตัวคอยพร้อมอยู่ แล้วมะกะโทจึงว่ามอบชอบ

ฝ่ายทหารทั้งเจ็ดสิบคน ก็ลุกขึ้นชักมีดเหน็บเข้าตลุมบอนแทงพวกอลิมามางซึ่งเมาสุราอยู่นั้นตายสิ้น แต่ตัวอลิมามางนั้นขึ้นขี่ช้างพังขับหนีลงข้ามคลองตองลอย แลน้ำท่วมหลังช้าง ๆ ว่ายน้ำไปมิพ้น พวกมะกะโทจึงตามทัน จับตัวอลิมามางได้ก็ฆ่าเสียในที่นั้น ที่ฆ่าอลิมามางเสียนั้น ได้ชื่อว่าพติอลิมามางมาจนบัดนี้ แลคลองซึ่งอลิมามางข้ามนั้นก็ได้ชื่อตองนางลอยแล

จุลศักราช ๖๔๓ ปี มะกะโทชนะแก่อลิมามางได้เมืองเมาะตะมะแล้ว มะกะโทจึงให้ทหารเจ็ดสิบคน ขนเอาเครื่องสาตราวุธซึ่งอลิมามางฝังไว้นั้นขึ้นได้สิ้น แล้ว ก็ให้สืบสาวเอาทรัพย์สิ่งของเงินทองของอลิมามาง แลพวกอลิมามางมาได้เปนอันมาก ก็ปูนบำเหน็จแก่ทแกล้วทหารโดยสมควร จึงให้ยศถาศักดิ์ตั้งแต่งกันเปนขุนนางตามผู้ใหญ่ผู้น้อย แล้วให้ตรวจตราจัดแจงบ้านเมือง ให้หาสมณชีพราหมณ์ผู้เฒ่าทั้งปวงมาพร้อมกัน มะกะโทจึงว่าแก่คนทั้งปวงว่า ตัวเราเปนพี่เมียอลิมามางมิได้คิดประทุษฐร้าย แลอลิมามางไปลวงเรามาจะฆ่าเราเสียด้วยหาสาเหตุมิได้ อลิมามางคิดมิชอบก็ถึงแก่ความตายเอง แผ่นดินเมืองเมาะตะมะก็เปนสิทธิ์ของเราบัดนี้ เราจะให้ตั้งศาลาใหญ่ศาลาหนึ่ง สำหรับสมณพราหมณาจาริย์อาณาประชาราษฎรทั้งปวงไปมาอาศัย ให้ยืนอยู่ตราบเท่าสิ้นแผ่นดิน สมณพราหมณาจาริย์ทั้งปวงก็เห็นด้วยมะกะโท ๆ จึงให้ปลูกศาลาใหญ่ลงไว้ในท่ามกลางเมือง แลมะกะโทได้เมืองเมาะตะมะครั้งนั้น กอร์ปด้วยความเมตตา สมณพราหมณาจาริย์ชาวบ้านชาวเมืองทั้งปวง

ครั้นอยู่มามะกะโทคิดจะสร้างเมือง จึงให้ชุมนุมสมณพราหมณาจาริย์ แลชาวบ้านทั้งปวงมาพร้อมกัน มะกะโทจึงว่าแก่ราชาปะโรหิต ขะเจียงสมิตรอาจาริย์ ทะเคมหาสมิตรว่า ท่านเปนโหราผู้ใหญ่ทั้งสามคน บัดนี้เราจะคิดสร้างเมือง ท่านจงหาฤกษ์ที่จะสร้างเมืองขึ้นเปนราชธานี โหรทั้งสามคนก็หาฤกษ์ที่จะสร้างเมือง ขึ้นเปนราชธานีตามมะกะโทสั่ง ครั้นได้ฤกษ์แล้ว มะกะโทจึงให้ไพร่พลทั้งปวงแผ้วถางแผ่นดินให้ราบเสมอ แลเมื่อปราบแผ้วแผ่นดินนั้นได้เสือตัวหนึ่ง โหรจึงทำนายว่าเมืองเรานี้จะมีอำนาจมากดุจหนึ่งเสือ แต่ทว่าจะเกิดยุทธนาการสงคราม แล้วได้งูเหลือมตัวหนึ่ง โหรทำนายว่าเปนนิมิต เมืองนี้จะเปนท่าสำเภา กอร์ปไปด้วยเศรษฐีกดุมพีพาณิชพ่อค้าจะไปมาค้าขายเปนอันมาก แล้วได้ไข่นกยูงรังหนึ่งแม่ฟักอยู่ โหรจึงทำนายว่าเมืองนี้นานไปจะได้ช้างเผือกผู้ตัวหนึ่ง

มะกะโทได้ฟังโหรทำนายนิมิตต่าง ๆ จึงว่าซึ่งจะเกิดยุทธนาการสงครามไปเบื้องหน้านั้น ท่านทั้งปวงอย่าได้สดุ้งตกใจ ไว้เปนภารธุระแห่งเรา ๆ ก็เปนเชื้อชายชาติทหาร จะกลัวอันใดกับปัจจามิตรข้าศึก ซึ่งทำนายว่าจะได้ช้างเผือกผู้ตัวหนึ่งนั้น เราก็ดีใจหนักจะได้เปนพาหนะอันประเสริฐ เปนนิมิตมหัศจรรย์แก่บารมีเราจะเปนศรีพระนครอันนี้ ครั้นปราบแผ้วแผ่นดินเสมอแล้ว โหรชื่อว่าราชาปะโรหิต จึงให้แต่งเครื่องพลีกรรมบวงสรวงเทพยดาตามประเพณีแล้ว มะกะโทจึงคิดว่า จะให้สร้างปราสาทโดยควรบัดนี้ ตัวเราก็ยังหานามมิได้ จำจะให้ดูการไว้ก่อน แลจะแต่งเครื่องมงคลราชบรรณาการให้ทูตานุทูตจำทูลสาส์น ไปขอพระนามต่อสมเด็จพระร่วงเจ้าก่อน ด้วยพระองค์เปนกษัตริย์อันสูงใหญ่ แล้วได้มีพระเดชพระคุณชุบเลี้ยงเรามา ถ้าพระองค์ประสาทนามและเครื่องราชกกุธภัณฑ์มาแล้วเมื่อใด จึงจะให้ทำปรางปราสาทขึ้น มะกะโทคิดฉนี้แล้ว จึงจัดแจงเครื่องราชบรรณาการกับทองคำห้าสิบตำลึง แต่งให้สมิงมะกับละคิด เปนราชทูตจำทูลพระราชสาส์นกับไพร่พลร้อยเศษคุมเครื่องราชบรรณาการขึ้นไปยังสมเด็จพระร่วงเจ้า ในลักษณพระราชสาส์นนั้นว่า ข้าพระพุทธเจ้าผู้ชื่อว่า มะกะโทผู้เปนข้าสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว พระเดชเดชาปกเกล้าฯชุบเลี้ยง พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ แลข้าพระพุทธเจ้ากระทำความผิด กลัวพระราชอาญาพาพระราชธิดาของพระองค์หนีไป พระเดชเดชานุภาพของพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐปกแผ่คุ้มครองอยู่หาอันตรายมิได้ด้วยกันทั้งสอง บัดนี้ข้าพเจ้าได้เมืองเมาะตะมะแล้ว ยังหาเครื่องราชบริโภคแลนามมิได้ ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบถวายบังคมบาทยุคลมาให้แจ้ง ขอพระองค์จงประสาทนามแลเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ให้เปนศรีสวัสดิมงคลแก่ข้าพระพุทธเจ้า ๆ ทั้งสองจะได้อยู่เย็นเปนสุข เพราะพระเดชเดชานุภาพสืบไป บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าแต่งให้สมิงมะกับละคิด คุมเครื่องมงคลราชบรรณาการขึ้นมาทูลเกล้าฯ ถวาย

ครั้นสมิงมะกับละคิดกับไพร่ร้อยเศษ คุมเครื่องราชบรรณาการไปถึงเมืองสุโขทัย สมเด็จพระร่วงเจ้าให้เบิกสมิงมะกับละคิดเข้าไปเฝ้า ครั้นแจ้งในลักษณพระราชสาส์นนั้นแล้ว สมเด็จพระร่วงเจ้ามีพระราชฤทัยโสมนัศปรีดาภิรมย์ยิ่งนัก จึงทรงพระราชดำริห์ว่า ครั้นจะประสาทนามให้แก่มะกะโทเปนกษัตราธิราชดุจหนึ่งมีพระราชสาส์นมานั้น ก็ละอายพระกระมลหฤทัย จึงตรัสปรึกษาแก่มุขมนตรีทั้งปวงว่า มะกะโทแต่ก่อนนั้น อาศัยเราแล้วทำความผิดคิดกลัว พาพระราชธิดาหนีไปยังประเทศเมืองมอญ บัดนี้กลับได้ราชสมบัติในเมืองเมาะตะมะแล้วให้มาอ่อนน้อมขอพระนามฉนี้ ท่านทั้งปวงจะเห็นเปนประการใด

มุขมนตรีทั้งปวงบังคมทูลสมเด็จพระร่วงเจ้าว่า ซึ่งตรัสปรึกษาทั้งนี้ พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ อันมะกะโทผู้นี้เปนข้าอยู่ใต้ลอองธุลีพระบาท ทรงพระมหากรุณาชุบเลี้ยงมาแต่ก่อนก็จริง แต่ว่ามะกะโทนี้มีสมภารบุญบารมีเปนอันมาก แล้วก็ได้นิมิตอันประเสริฐ มีกุศลสมภารบารมีได้อบรมไว้กับพระราชธิดาของพระองค์ในกาลก่อนแล้ว ขอพระองค์จงพระราชทานพระนามกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไปกับมะกะโทจึงจะควร สมเด็จพระร่วงเจ้าจึงตรัสว่า ซึ่งมุขมนตรีปรึกษานี้ก็ชอบแล้ว สมเด็จพระร่วงเจ้าจึงกล่าวสรรเสริญสมภารบารมีมะกะโทว่า มีบุญดุจหนึ่งรั่วตกลงจากฟ้า ครั้นจะให้นามตามประเทศภาษารามัญ ฝ่ายมะกะโทหาเชื้อสายมิได้ จึงพระราชทานนามโดยภาษาไทยตามนิมิต ลงในแผ่นพระสุพรรณบัตร์ ทรงพระนามว่าพระเจ้าฟ้ารั่ว แล้วพระราชทานเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งห้า คือเศวตฉัตร์หนึ่ง มงกุฎหนึ่ง พระขรรค์หนึ่ง พัชวาลวิชนีหนึ่ง ฉลองพระบาททองหนึ่ง อีกทั้งเครื่องราชบริโภคเปนอันมาก ตรัสใช้ให้อำมาตย์คุมไปพระราชทานมะกะโท ครั้นอำมาตย์กับสมิงมะกับละคิดถึงเมืองแล้ว ก็พากันเข้าไปเฝ้ามะกะโท แลอำมาตย์สมเด็จพระร่วงเจ้าถวายพระนามแผ่นพระสุพรรณบัตร์ กับเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์แก่มะกะโท

ฝ่ายมะกะโทรับพระราชทาน บ่ายหน้ามาต่อบุรพทิศ ยกพระหัตถ์ขึ้นถวายบังคมสมเด็จพระร่วงเจ้าก็โสมนัศยินดียิ่งนัก แล้วมะกะโทให้หาฤกษ์ปลูกปราสาท โหรถวายฤกษ์ในฤกษ์นั้นว่า วันพฤหัศบดีเดือนหกแรมสามค่ำ พุทธศักราชได้ ๖๔๘ ปี นักษัตร์ฤกษ์ยี่สิบสองเปนราชาฤกษ์ จะมีหญิงมีครรภ์แปดเดือนเดินมา เปนนิมิตได้ฤกษ์เอาเสาลงหลุม จึงมุขมนตรีแลคนทั้งปวง ครั้นวันฤกษ์ก็พร้อมกันคอยท่าฤกษ์ แลนิมิตรถึงฤกษ์เวลากลางวัน พอหญิงมีครรภ์คนหนึ่งเดินมาริมหลุม คนทั้งปวงพร้อมกันว่าได้ฤกษ์แล้วก็ผลักหญิงนั้นลงในหลุม จึงยกเสาปราสาทนั้นลงหลุม โลหิตสตรีนั้นกระเด็นขึ้นมาเปนอศรพิศม์แปดตัว อศรพิศม์เจ็ดตัวนั้นตายในสถานที่นั้น แต่ตัวหนึ่งนั้นเลื้อยไปข้างประจิมทิศ แลโหราทำนายว่าเมืองนี้จะบังเกิดกษัตริย์แปดพระองค์ จะทิวงคตในเมืองนี้เจ็ดพระองค์ แต่พระองค์หนึ่งนั้นจะไปทิวงคตฝ่ายประจิมทิศ ครั้นสร้างปราสาทสำเร็จแล้ว จึงให้พระโหราพฤฒามาตย์ตั้งพระราชพิธีราชาภิเศกรับพระนาม ซึ่งสมเด็จพระร่วงเจ้าพระราชทานมานั้น ทรงพระนามชื่อว่าพระเจ้าฟ้ารั่ว แต่รามัญชาวเมืองเมาะตะมะทั้งนั้นเรียกว่า พระเจ้าวาโรตะละไตยเจริญภะตาน เปนประถมกษัตริย์ในเมืองเมาะตะมะในศักราช ๖๔๓ ปี พระเจ้าฟ้ารั่วตั้งอยู่ในยุตติธรรมเปนอันดี ครอบครองขัณฑเสมา อาณาประชาราษฎรทั้งปวงอยู่เย็นเปนสุข มิได้มีปัจจามิตร์ข้าศึกมาย่ำยี ฝ่ายข้างอุดรทิศแห่งเมืองเมาะตะมะนั้น มีเมืองๆ หนึ่งชื่อเมืองกำมะลานี พระเจ้ากำมะลานีครอบครองพระนครนั้น อยู่มาครั้งหนึ่ง พระเจ้ากำมะลานีเสด็จไปเที่ยวประพาสป่า กิตติศัพท์รู้ไปถึงพระเจ้าฟ้ารั่วว่า พระเจ้ากำมะลานีมิได้เสด็จอยู่ในพระนคร พระเจ้าฟ้ารั่วสั่งให้ชุมนุมจัตุรงค์โยธาเสร็จแล้ว ตั้งเปนกระบวนทัพ พระองค์ก็ยกรีบไปทั้งกลางวันแลกลางคืน ครั้นถึงเมืองกำมะลานี ก็ให้ทหารเข้าโจมตีเอาพระนครได้แล้วเก็บริบเอาสวิญญาณกะทรัพย์ อวิญญาณกะทรัพย์ กวาดเอาครอบครัวเปนอันมาก ทั้งพระราชธิดาพระเจ้ากำมะลานีก็พามาด้วย

ฝ่ายพระเจ้ากำมะลานีได้แจ้งว่า กองทัพพระเจ้าฟ้ารั่วมาตีเอาพระนครของพระองค์ได้ พาเอาพระราชธิดาและครอบครัวไปเปนอันมาก พระเจ้ากำมะลานีทรงพระพิโรธ ให้เร่งยกพลโยธาทหารรีบไปทั้งกลางวันกลางคืน เข้าล้อมเมืองเมาะตะมะไว้ พระเจ้าฟ้ารั่วแจ้งเหตุว่า พระเจ้ากำมะลานียกกองทัพมาล้อมพระนครไว้เปนสามารถ พระเจ้าฟ้ารั่วจึงทรงดำริห์ว่า แม้นจะยกพลออกหักหาญรบพุ่งด้วยกองทัพพระเจ้ากำมะลานีบัดนี้ ประดุจสาดน้ำรดกันก็จะเสียรี้พลทั้งสองฝ่ายเปนอันมาก อย่าเลยจะคิดเปนกลอุบายอ่อนน้อมเอาชัยชนะให้จงได้ ครั้นพระเจ้าฟ้ารั่วทรงดำริห์แล้ว จึงแต่งอักษรราชสาส์นกับเครื่องราชบรรณาการใช้ให้ทูตานุทูต ถือออกไปถึงพระเจ้ากำมะลานี ๆ จึงให้เบิกทูตจำทูลพระราชสาส์นกับเครื่องราชบรรณาการเข้าไปถวายบังคมหน้าพระที่นั่ง แล้วให้อ่านพระราชสาส์นดู ในพระราชสาส์นนั้นว่า พระราชสาส์นพระเจ้าฟ้ารั่วมาถึงสมเด็จพระเจ้ากำมะลานีผู้เปนใหญ่ ด้วยข้าพเจ้ายกกองทัพไปโจมตีเอาเมืองกำมะลานีนั้น ใช่ข้าพเจ้าจะประสงค์แก่ทรัพย์สมบัตินั้นหามิได้ เหตุว่าจะใคร่ได้พระราชธิดาของพระองค์มาเปนพระอัครมเหษีตั้งไว้ในเศวตฉัตร์ ครั้นจะให้มีพระราชสาส์นไปขอนั้น เกรงพระองค์จะมิประสาทให้ ก็จะป่วยการที่ข้าพเจ้าเสน่หาในพระราชธิดานั้น แลซึ่งข้าพเจ้าทำการล่วงเกินทั้งนี้ผิดราชประเพณีหนักหนา พระองค์จงให้อภัยโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด แลซึ่งพระราชธิดาของพระองค์นั้น ข้าพเจ้าจะอภิเศกเปนเอกอัครมเหษี อันพระราชทรัพย์ครอบครัวทั้งปวงนั้นจะส่งคืนไปถวายให้สิ้น สองพระนครจะได้เปนสุวรรณปัถพีเดียวกัน ถ้าพระองค์ไม่เชื่อ ข้าพเจ้าจะถวายสัตยานุสัตย์ไว้ต่อกัน

ครั้นพระเจ้ากำมะลานีแจ้งในพระราชสาส์นนั้น จึงทรงพระจินตนาการว่า แม้นมิฟังพระเจ้าฟ้ารั่ว จะทำการสงครามหักหาญไปประการใดก็ได้ แต่มิรู้แห่งที่จะคิดประการใดเลย ด้วยเสียพระราชธิดามาแล้ว จำเปนจะอนุกูลตามราชประเพณี ครั้นทรงพระราชดำริห์แล้วก็มิได้มีความสงสัย จึงสั่งแก่ทูตจำทูลพระราชสาส์นให้เร่งกลับเข้าไปแจ้งแก่พระเจ้าฟ้ารั่วเถิด ถ้าจริงดังนี้แล้วเรามิได้อาฆาตพยาบาทแก่กัน จะประพฤติตามพระราชประเพณีโดยความปรารถนา ครั้นผู้ถือพระราชสาส์นกลับเข้ามาแล้ว กราบทูลแจ้งแก่พระเจ้าฟ้ารั่ว ๆ ก็ดีพระทัยนัก จึงให้แต่งเครื่องเสวยแลโภชนาหาร แลสุราสำหรับที่จะเลี้ยงเสนาไพร่พลทั้งปวง ประกอบด้วยยาพิศม์ทั้งนั้น อีกเครื่องราชบรรณาการออกไปถวายพระเจ้ากำมะลานี ๆ แลทหารทั้งปวงก็เชื่อมิได้มีความสงสัย มีความยินดีนัก ชวนกันบริโภคโภชนาสุราบานอันประกอบไปด้วยยาพิศม์ ก็ถึงแก่ความตายเปนอันมาก พระเจ้ากำมะลานีก็ทิวงคต แลพลซึ่งเหลือตายนั้นก็แตกกระจัดกระจายหนีไป แลเครื่องสาตราวุธแลราชพาหนะทั้งนั้น ก็ได้แก่พระเจ้าฟ้ารั่วเปนอันมาก ตั้งแต่นั้นมาเมืองเมาะตะมะก็บริบูรณ์บรมสุขยิ่งนัก แลเมืองพะโคคือเมืองหงษาวดีนั้น ก็เปนส่วยขึ้นแก่เมืองภุกาม คนในเมืองพะโคนั้นต้องเข้าเดือนออกเดือน แลมีอขมะมอญคนหนึ่งนั้นเปนลูกชาวบ้านมุอิเขต ออกบวชเปนสามเณอยู่วัด อยู่มาในกาลวันหนึ่ง สามเณรนั้นไปนั่งเบาบนศิลา ๆ นั้นทะลุลงไป อาจารย์เห็นแล้วจึงทำนายว่า สามเณรองค์นี้จะมีบุญ อยู่มาในกาลวันหนึ่ง เจ้าสามเณรจึงลาอาจารย์สึกเปนคฤหัสถ์ไปได้ลูกสาวมะตะหยอกเปนภรรยา จึงกระทำหนังสือสัญญาไว้แก่พ่อตาว่า ลูกเขยอยู่บ้าน พ่อตาไปเข้าเดือน พ่อตาเข้าเดือน ลูกเขยอยู่บ้าน ทำหนังสือแล้วก็ส่งให้พ่อตา ๆ เปนคนเขลา อ่านถึงสองครั้งสามครั้งก็หาความสงสัยมิได้ พ่อตาจึงเก็บเอาหนังสือไว้แล้วก็ไปเข้าเดือน ครั้นออกเดือนมาอยู่บ้าน ถึงกำหนดจะไปเข้าเดือนอีก พ่อตาจึงว่าแก่ลูกเขยว่า ทีนี้ถึงทีเจ้าแล้วไปเข้าเดือนเถิด ลูกเขยจึงว่าให้เอาหนังสือสัญญามาดู พ่อตาจึงคิดแต่ในใจว่า มันนี้เกียจคร้านหนักหนา พ่อตาก็ต้องไปเข้าเดือนเอง แต่พ่อตาเข้าเดือนแทนถึงสามครั้งสี่ครั้งแล้ว จึงเอาหนังสือออกอ่านดูต่อหน้าคนทั้งปวง ในหนังสือสัญญานั้น จะได้ว่าพ่อตาอยู่บ้านหามิได้ ว่าให้แต่ลูกเขยอยู่บ้าน บรรดาชายหญิงซึ่งได้ยินก็ยิ้มอยู่ บางคนก็หัวเราะ แล้วสรรเสริญว่า อขมะมอญคนนี้มีปัญญามากฉลาดกว่าพ่อตา

ฝ่ายอขมะมอญจึงคิดแต่ในใจว่า ความคิดแต่เพียงนี้คนทั้งปวงสรรเสริญว่าฉลาดหนักหนา แต่นี้กูจะไปเข้าเดือนเถิด จึงให้เมียหาเสบียงอาหาร ครั้นเวลากลางคืนจึงนิมิตฝันว่า เท้าข้างหนึ่งเหยียบเมืองพะโค เท้าข้างหนึ่งเหยียบเมืองภุกาม แล้วเท้าที่เหยียบเมืองภุกามนั้น ยกมาเหยียบเมืองพะโคทั้งสองเท้า ฝันดังนั้นแล้วก็ตื่นขึ้น คิดแต่ในใจว่านิมิตนี้ใหญ่หลวงนัก จะไปแก้ฝันแก่บุคคลผู้อื่นนั้นหาควรไม่ จำจะแก้ฝันแก่บิดามารดา ด้วยท่านเปนบุพเทพยดามีพระคุณแก่เรามาหาที่สุดมิได้ จะรับเอาพรแห่งท่านจึงจะประสิทธิ์ดี ครั้นคิดแล้วเวลารุ่งเช้าไปแก้ฝันให้บิดามารดาฟัง บิดามารดาก็ทำนายว่า เจ้าฝันนี้เปนมหัศจรรย์ใหญ่หลวงนัก นานไปจะได้เปนใหญ่ในเมืองพะโค ครั้นได้ฟังบิดามารดาทำนายดังนี้ก็มีความยินดีนัก แล้วก็ไปเข้าเดือนณเมืองภุกาม เปนฝีพายลงหน้าเรือพระที่นั่ง มีกำลังมาก พายเรือจนพายหัก จึงโปรดให้อขมะมอญเลื่อนออกไปพายกะทงหน้า พายก็หักทุกที จึงตั้งให้เปนพันหัวแล้ว พระเจ้าภุกามโปรดพระราชทานให้ส่วยตลาดในเมืองพะโคนั้น เปนกำลังราชการแก่อขมะมอญ ครั้นอขมะมอญออกเดือนกลับมาเมืองพะโคแล้ว ก็เก็บส่วยสาอากรในจังหวัดเมืองพะโค ซึ่งพระเจ้าภุกามพระราชทานให้เปนกำลังราชการนั้นได้เปนอันมาก ก็มีใจกำเริบขึ้นที่จะตั้งตัวเปนใหญ่ จึงว่าแก่พ่อตาว่าทีนี้ถึงกำหนดจะเข้าเดือนข้าไม่ไปเข้าเดือนแล้ว จะอยู่คิดเอาเมืองพะโคให้จงได้ มตะหยอกพ่อตาจึงห้ามอขมะมอญว่า เจ้าคิดดังนี้มิชอบ ดังคนหามีกตัญญูไม่ พระเจ้าภุกามมีพระคุณได้ชุบเลี้ยงอยู่ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานส่วยสาอากรถึงเพียงนี้แล้ว แลพระเจ้าภุกามก็มีบุญญาธิการมาก ประกอบรี้พลช้างม้าเปนกษัตริย์อันสูงใหญ่ ดังฤๅจะมาคิดกบถดังนี้เล่า ยังจะต่อสู้ด้วยทแกล้วทหารของท่านได้หรือ จะพากันพลอยตายเสียเปล่าหาเปนประโยชน์มิได้ อขมะมอญจึงว่าพ่อจะปรารภไปใย ที่ว่าจะทำสงครามด้วยพระเจ้าภุกามนั้น ไว้เปนภาระธุระเข้า อันการสงครามนี้จะชนะก็ด้วยปัญญาแลความคิดเปนประมาณ ซึ่งจะชนะด้วยรี้พลมากนั้นหามิได้ ถ้าข้าว่าสิ่งใดพ่ออย่าขัดคำทำตามข้าทุกประการแล้ว ก็จะมีชัยชนะแก่สงครามเปนมั่นคง มะตะหยอกพ่อตาได้ฟังอขมะมอญว่าดังนั้นก็ลงใจด้วย อขมะมอญจึงว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมชาวเมืองพะโคทั้งปวง ให้อยู่ในโอวาทของตนแล้วก็ตั้งตัวขึ้นเปนใหญ่

ลุศักราช ๖๔๗ ปี อขมะมอญได้เมืองพะโคแล้ว จึงให้ตั้งค่ายขุดคูเมืองทำการอยู่ยังมิทันแล้ว กิตติศัพท์แจ้งไปถึงพระเจ้าภุกาม ๆ จึงแต่งให้เจตะสุกรีพระราชบุตรเขย คุมพลทหารยกลงมาจับอขมะมอญ

ขณะนั้นมตะหยอกรู้จึงว่าแก่อขมะมอญว่า เราได้ห้ามปรามแต่เดิมทีก็มิฟัง ขืนคิดทำการใหญ่หลวงให้เหลือตัว บัดนี้ค่ายคูจะป้องกันรักษาตัวเล่าก็ยังไม่สำเร็จ กองทัพเจตะสุกรีก็ยกมาถึงกึ่งทางแล้ว ท่านจะพาให้เราพลอยถึงแก่ความตายความฉิบหายเสียเปนมั่นคงในครั้งนี้ ท่านจะคิดประการใด อขมะมอญจึงว่าพ่ออย่าตกใจ อย่าว่าแต่เจตะสุกรียกกองทัพมาเท่านี้เลย ถึงพระเจ้าภุกามจะยกทัพมาด้วยข้าก็ไม่กลัว สุดแต่ข้าว่าสิ่งใดบิดาจงฟังคำข้าทุกประการแล้ว ก็จะได้ชัยชนะโดยง่าย มะตะหยอกจึงว่าท่านจะให้ทำประการใดก็จะทำตาม อขมะมอญจึงว่า ข้าจะคิดเปนกลอุบายอันหนึ่ง จะตีพ่อท่านให้หลังแตก แล้วจะปล่อยออกไปให้เข้าหากองทัพเจตะสุกรี ถ้าเจตะสุกรีไต่ถามบิดาจงกล่าวโทษข้าให้จงหนัก แล้วทำเปนภักดีต่อเจตะสุกรี แล้วจึงนำกองทัพเข้ามาโดยทางอ้อมให้ช้าอยู่ ถ้าประมานการเห็นว่าข้าทำค่ายเสร็จแล้วเมื่อใด บิดาจึงนำทัพเข้ามาเมื่อนั้น อขมะมอญคิดกลอุบายกับมตะหยอกพ่อตาฉนั้นแล้ว จึงเอาหวายผ่าซีกมาตีพ่อตาแต่พอให้หลังแตกเปนแผล แล้วก็ให้รีบออกไปยังกองทัพเจตะสุกรี

ฝ่ายพม่าในกองทัพ ก็จับเอาตัวมตะหยอกเข้าไปยังเจตะสุกรี ๆ จึงถามว่า เหตุใดท่านจึงต้องโพยโบยตีดังนี้ มตะหยอกจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเปนพ่อตาอ้ายอขมะมอญ ๆ คิดกบถต่อด้วยพระเจ้าภุกาม ตั้งค่ายขุดคูเมืองแต่งบ้านเมือง ข้าพเจ้าห้ามก็มิฟังกลับโกรธ ให้ตีข้าพเจ้าแล้วใส่ตรุไว้ ข้าพเจ้าหนีออกได้ จึงมาหากองทัพ เจตะสุกรีแจ้งเนื้อความดังนั้นก็สำคัญว่าจริง จึงว่าให้มันทำไปพลางเถิด เองจงนำทัพเราไปโดยทางตรงให้ถึงเมืองพะโคโดยเร็ว มตะหยอกก็นำทัพมาตามป่ากลางเปนทางอ้อม

ฝ่ายกองทัพพม่าไม่รู้แห่งทาง จึงถามมตะหยอก ๆ ก็บอกไปทุกตำบล ครั้นไปถึงป่าอันหนึ่งถามว่าชื่อไร มตะหยอกจึงบอกว่าชื่อป่ากลาง พม่าทั้งปวงจึงได้รู้ว่าป่านั้นบ้านนั้น ครั้นมตะหยอกนำทัพมาหลายวัน คะเนเห็นว่าอขมะมอญทำค่ายคูเสร็จแล้ว ก็นำกองทัพมาถึงเมืองพะโค

ฝ่ายสมิงอขมะมอญเร่งรัดทำค่ายคูเสร็จแล้ว ก็ให้ปลูกโรงใหญ่โรงหนึ่ง บนกำแพงที่ประตูเมืองฝ่ายทิศตวันออก แล้วให้ทำรูปหุ่นเปนรูปพระยาองค์หนึ่ง มีรูปสตรีถือพัดแลร่ม แลเครื่องสำหรับกษัตริย์นั้นแปดคนยืนอยู่ในโรงนั้น

ฝ่ายเจตะสุกรียกมาถึงเมืองพะโคแล้ว เวียนเลียบไปรอบเมืองเห็นรูปหุ่นในโรงนั้น ก็สำคัญตัวสมิงอขมะมอญยืนอยู่ก็โกรธ จึงยิงด้วยลูกเกาทัณฑ์ สายเกาทัณฑ์นั้น กระทบศีร์ษะแม่มือเจตะสุกรีแตก

ฝ่ายสมิงอขมะมอญ จึงทำเปนอุบายออกไปเฝ้าเจตะสุกรีทูลว่า ข้าพเจ้าจะได้คิดประทุษฐร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัวหามิได้ ทุกวันนี้คิดกตัญญูบูชาพระคุณอยู่มิได้ขาด ข้าพเจ้าปลูกพระตำหนักปั้นพระรูปไว้ถวายบังคมทุกวัน ถ้าพระองค์ยังแคลงอยู่ ขอให้แต่งคนไปชันสูตร์ดูพระรูปพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งข้าพเจ้าทำไว้ในพระตำหนักนั้นเถิด เจตะสุกรีจึงว่า ซึ่งท่านว่ามิได้เปนกบถนั้นยังไม่เห็นจริง แลพ่อตาของตัวเปนที่คำนับ เหตุไรจึงตีพ่อตาด้วยอันใด อขมะมอญจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าจะตีพ่อตาด้วยคิดการกบถนั้นหามิได้ ด้วยสมเด็จพระเจ้าภุกามทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงพระราชทานส่วยสาอาการให้ขึ้นแก่ข้าพเจ้า ๆ คิดถึงพระเดชพระคุณ จึงคิดอ่านแต่งบ้านเมืองไว้ เกลือกจะมีราชการสงครามมา จะได้รับรองป้องกันรบพุ่งไว้เปนรั้วพระนครชั้นหนึ่ง แลพ่อตานั้นเกียจคร้านห้ามมิให้ทำการครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อข้าพเจ้าทำพระรูปขึ้นบูชานั้นก็ห้ามอีกเล่า ข้าพเจ้าจึงเห็นว่ามตะหยอกพ่อตาหาความกตัญญูมิได้ ข้าพเจ้าโกรธจริง ตีจริงอยู่ มตะหยอกจึงหนีมากราบทูลกล่าวโทษข้าพเจ้านี้หาจริงมิได้ ขอพระองค์ทรงพระดำริห์ดูเถิด ถ้าข้าพเจ้าเปนขบถแล้วจะออกมาเฝ้าพระองค์ใย

เจตะสุกรีได้ฟังอขมะมอญว่ากล่าวเปนฉันท์ข้ากับเจ้าดังนั้น ก็เห็นจริงหาความสงสัยมิได้ จึงใช้ให้คนไปชันสูตร์ดูรูปซึ่งอขมะมอญกระทำไว้สักการบูชานั้น ครั้นทหารไปดูก็เห็น แล้วกลับมาทูลว่า อขมะมอญกระทำพระรูปไว้บูชานั้นจริง เจตะสุกรีมีความโสมนัศยินดีก็มิได้ทำโทษสิ่งใดแก่อขมะมอญ ๆ ก็บังคมลากลับเข้ามาเมือง จึงแต่งเครื่องบริโภคของเสวย เอาเนื้อฟานสดมาประกอบยาพิศม์ใส่ แล้ว ก็ใส่ชะลอมส่งให้คนเอาไปถวายเจตะสุกรี เมื่อเจตะสุกรีจะถึงแก่ความพินาศ มิได้พิจารณาซึ่งมัจฉะมังษาหาร ให้ยินดีที่จะบริโภคเปนกำลัง จึงสั่งให้พ่อครัวเอาเนื้อฟานไปแต่งเครื่องเสวย ครั้นพ่อครัวทำเครื่องเสร็จแล้ว ก็นำเข้าไปถวายแก่เจตะสุกรี ๆ ก็เสวยเนื้อฟานเข้าไป ศีร์ษะแม่มือซึ่งถูกสายธนูนั้น ก็เปนพิศม์กำเริบขึ้น เจตะสุกรีก็ถึงแก่กาลกิริยาตาย

ฝ่ายอขมะมอญ ก็ให้ตรวจรักษาหน้าที่ค่ายคูประตูหอรบเปนมั่นคง แลเสนาบดีนายทัพนายกองซึ่งมาด้วยเจตะสุกรีนั้น ก็ตกใจร้องไห้อื้ออึงไปทั้งกองทัพ จะมีใครคิดการต่อไปหามิได้ ก็เอาศพเจตะสุกรีนั้นไปเผาเสีย แล้วก็ร้องไห้ร่ำไรรักเจตะสุกรีว่าพระองค์คอยอยู่เถิด ข้าพเจ้าจะถวายบังคมลาไปแล้ว ที่เจตะสุกรีตายนั้นรามัญเรียกว่าตำบลเจ้าตายตราบเท่าบัดนี้

ฝ่ายเสนาบดีนายทัพนายกองทั้งปวง ก็ยกทัพกลับไปเมืองภุกาม แล้วก็กราบทูลซึ่งเหตุอันสมิงอขมะมอญกระทำ แลเจตะสุกรีถึงแก่ความตายนั้นให้พระเจ้าภุกามทรงทราบทุกประการ พระเจ้าภุกามได้แจ้งแล้ว ก็ทรงพระอาลัยถึงพระราชบุตรเขยเปนกำลังก็ยิ่งทรงพระโกรธแก่อขมะมอญ จึงให้จัดแจงกองทัพจะให้ยกไปจับอขมะมอญอีก

ขณะนั้นมังยอดฟ้าซึ่งเปนพระอนุชาพระเจ้าภุกาม ๆ ให้ไปกินเมืองตะเคิงนั้น ซ่องสุมผู้คนไว้ได้มาก แล้วก็คิดขบถแข็งเมืองขึ้นเปนศึกกันช้าอยู่ถึงเจ็ดปี

ฝ่ายอขมะมอญได้ช้างพลายตระกูลสีแดงเล็บครบ เปนช้างชาติอุโบสถตัวหนึ่งมีกำลังมาก ครั้นอยู่มาช้างนั้นตาย อขมะมอญจึงให้ถอดเอางานั้นมาเลื่อยทำเปนโครงกูบเรือ เหลือเศษอยู่นั้นให้เอามาทำเปนแหวนเครื่องใส่มือถืออยู่ ตั้งแต่ช้างนั้นตายแล้ว ตะบเดชะอขมะมอญนั้นก็เสื่อมลง

ครั้นอยู่มา ฝ่ายลักขะยาพยูซึ่งเปนน้องเมียสมิงอขมะมอญนั้น ปลูกเรือนฝากระดาน ครั้นเสร็จแล้วเมื่อจะขึ้นเรือนนั้น ลักขะยาพยูจึงว่าแก่สมิงอขมะมอญว่า ข้าพเจ้าปลูกเรือนใหญ่ขึ้นได้ถึงเพียงนี้ก็เพราะบุญญาธิการของท่าน ขอเชิญท่านลงไปเหยียบเรือนข้าพเจ้าให้เปนเกียรติยศไว้ จะได้ลือชาปรากฎไปทั่วพระนครอันนี้ สมิงอขมะมอญก็มีความกรุณาแก่ลักขะยาพยู ครั้นเวลาได้ฤกษ์ดีแล้ว ก็ลงไปยังเรือนลักขะยาพยู เพื่อจะให้เปนเกียรติยศแก่น้องเมียของตน

ฝ่ายลักขะยาพยูตกแต่งเครื่องบรรณาการไว้แล้ว ซ่อนหน้าเสียมิได้ออกมาหา ให้แต่ภรรยาแลผู้คนบ่าวไพร่มาหมอบเฝ้ารับเสด็จอยู่ ฝ่ายสมิงอขมะมอญเห็น จึงว่า เรือนมันสนุกยิ่งกว่าเรือนเราอันเปนพระยาอีก ว่าแล้วก็กลับขึ้นมายังเรือนหลวง นางอัครมเหษีจึงทูลถามถึงสองครั้งสามครั้ง ว่าเหตุไฉนพระองค์จึงเสด็จมาเร็วนัก สมิงอขมะมอญก็มิได้ออกวาจาประการใด นางอัครมเหษีจึงให้สาวใช้คนสนิทลงไปถามเมียลักขะยาพยูว่า ท่านทั้งปวงเพ็ดทูลประการใดจึงทรงพระโกรธ

ฝ่ายลักขะยาพยูรู้ว่าสมิงอขมะมอญโกรธ จึงคิดกับบ่าวไพร่คนสนิทว่า สมิงอขมะมอญสิโกรธเราแล้ว จะนิ่งอยู่ก็มิได้ จำจะคิดอ่านประหารชีวิตเสียจึงจะพ้นอันตราย ครั้นคิดกันพร้อมแล้ว ก็จัดเครื่องบรรณาการให้บ่าวคนสนิทถือขึ้นไปดุจประหนึ่งจะไปถวาย เอาอาวุธซ่อนขึ้นไปด้วย คิดทำดังนี้หวังมิให้สมิงอขมะมอญสงสัยแลตัวลักขะยาพยูนั้น ก็เอาอาวุธซ่อนไปมิให้คนทั้งปวงเห็น ครั้นถึงเรือนหลวงแล้ว ทหารทั้งปวงก็วิ่งกรูกันขึ้นไป

ฝ่ายสมิงอขมะมอญ เห็นพวกลักขะยาพยูถือสาตราวุธเข้ามาผิดปลาด ก็รู้ว่าจะทำร้าย สมิงอขมะมอญก็โกรธฉวยได้ดาบวิ่งออกมาต่อสู้ ฟันพวกลักขะยาพยูศีร์ษะขาดออกตายคนหนึ่ง พวกลักขะยาพยูก็หนุนแน่นกันเข้าไป อขมะมอญเห็นเหลือกำลังจะสู้มิได้ จึงร้องว่าแก่ลักขะยาพยูว่า เราเห็นกันมาแต่น้อยคุ้มใหญ่ หาความพิโรธราคีแก่กันมิได้ เหตุไฉนท่านจะมาทำร้ายแก่เรา ๆ ขอชีวิตเถิด ลักขะยาพยูก็มิได้ฟัง จึงประหารอขมะมอญถึงแก่ความตาย ครั้งสมิงอขมะมอญตายแล้ว ลักขะยาพยูนั้นก็ตั้งตัวเปนกษัตริย์ครองสมบัติในเมืองพะโคได้แปดวัน แลอเขตะมะมอญคนหนึ่ง เปนบุตรเขยมตะหยอก สร้างเมืองแห่งหนึ่งขึ้นกับเมืองพะโค ทางไกลเมืองพะโคเจ็ดวัน อเขตะมะมอญรู้ว่า ลักขะยาพยูฆ่าอขมะมอญเสียได้กินเมืองพะโค เห็นผู้คนระส่ำระสายอยู่อเขตะมะมอญก็ยกกองทัพมา พอมีหนังสือมะตะหยอกบอกไปถึงอเขตะมะมอญ ๆ รู้ในหนังสือนั้นแล้ว ก็รีบยกทัพมาถึงเมืองพะโค มตะหยอกรู้จึงเปิดประตูเมืองรับ อเขตะมะมอญก็ยกกองทัพเข้าไปในเมืองไล่จับลักขะยาพยูฆ่าเสีย

ขณะนั้นอเขตะมะมอญได้เปนกษัตริย์ในเมืองพะโค ตั้งนามตนเองชื่อพระเจ้าตราพระยา ครองราชสมบัติในเมืองพะโคสืบมา

ฝ่ายข้างเมืองเมาะตะมะนั้น พระเจ้าฟ้ารั่วมีพระอิสสริยานุภาพเปนอันมาก พระเจ้าฟ้ารั่วกับพระเจ้าตราพระยานั้นมีพระทัยเปนมิตรภาพต่อกัน ต่างองค์ใช้ราชทูตส่งเครื่องบรรณาการไปมาเปนราชสำพันธมิตรไมตรีกัน พระเจ้าฟ้ารั่วมีพระราชธิดาองค์หนึ่งทรงพระนามว่านางสินทยา

ฝ่ายพระเจ้าตราพระยามีพระราชธิดาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าสุเจตะละ ต่างองค์ส่งพระราชธิดาไปถวายกันทั้งสองฝ่าย ทรงประพฤติดังนี้ เพื่อจะให้พระราชไมตรีผูกพันมั่นคงเปนสุวรรณปัถพีอันเดียวกัน ทั้งสองพระนครก็อยู่เย็นเปนสุข

ครั้นอยู่มามังเกริกเปรียง ซึ่งเปนใหญ่ในเมืองภุกามยกพลโยธามาล้อมเมืองทะละไว้ ให้มังแซะซอราชนัดดายกพลลงมาตีปลายด่านเมืองพะโค ชาวด่านทั้งปวงต้านทานรบพุ่งไว้ได้ประมาณห้าเดือนหกเดือน ต่างองอาจกล้าหาญด้วยกันทั้งสองฝ่าย ชาวด่านจึงบอกเข้ามายังเมืองพะโค พระเจ้าตราพระยาแจ้งแล้ว จึงใช้ราชทูตจำทูลพระราชสาส์น ไปถึงพระเจ้าฟ้ารั่วณเมืองเมาะตะมะ ๆ ในปีนั้นเข้าแพง ครั้นพระเจ้าฟ้ารั่วได้แจ้งแล้ว จึงให้จัดทหารโยธาทั้งปวงเสร็จแล้วให้กองหน้ายกไปก่อน แล้วพระองค์ก็เสด็จยกทัพหนุนไปต่อภายหลัง ครั้นไปถึงเมืองพะโคแล้ว พระเจ้าตราพระยาจึงออกมาต้อนรับสนทนากันตามราชประเพณีไมตรีซึ่งมีต่อกัน

ฝ่ายพระเจ้าตราพระยาจึงให้จัดกองทัพเมืองพะโคนั้นเสร็จแล้ว ก็ยกพร้อมกันกับกองทัพพระเจ้าฟ้ารั่ว ไปปราบศึกซึ่งล้อมเมืองอากเหมาะปลายด่านนั้น ข้าศึกมิอาจจะต่อสู้ได้ก็แตกพ่ายหนีไป ครั้นมีชัยชนะข้าศึกแล้ว สองกษัตริย์ก็รีบยกไปปราบข้าศึกซึ่งมาล้อมเมืองทะละ แลทัพเมืองภุกามนั้นก็แตกหนีไป จึงยกทัพไปล้อมเมืองหางสะทะงะ พม่าซึ่งรักษาเมืองหางสะทะงะนั้นทานกำลังมิได้ก็แตกหนีไป แล้วรีบยกกองทัพไปตีเมืองสะโทง พม่าซึ่งรักษาเมืองสะโทงนั้นถึงแก่ปราชัย

ฝ่ายทหารพระเจ้าฟ้ารั่วพระเจ้าตราพระยาก็จับตัวณหยัดพม่าซึ่งเปนเจ้าเมืองสะโทง ออกมาถวายสองกษัตริย์ ๆ ตรัสสั่งให้ประหารชีวิตเสีย สองกษัตริย์ไปปราบข้าศึกครั้งนั้น ได้พระนครเปนอันมากแล้ว พระเจ้าแผ่นดินทั้งสองให้เลิกกองทัพกลับมาเมืองพะโค ยกมาทางหนองมุเขิง

ฝ่ายพระเจ้าตราพระยามีพระทัยประทุษฐร้ายต่อพระเจ้าฟ้ารั่วคิดกันกับเสนาบดีว่า เราจะรีบยกไปก่อนแล้ว จะทำกลอุบายลวงเชิญพระเจ้าฟ้ารั่วเข้าไปกินเลี้ยงในเมือง จะแต่งโภชนาหารประกอบยาพิศม์ให้เสวยให้ถึงซึ่งพินาศ แล้วจะชิงเอาสมบัติในเมืองเมาะตะมะ ครั้นคิดกันแล้วก็รีบยกทัพมาก่อน

ฝ่ายพระเจ้าฟ้ารั่วก็ยกทัพตามมาภายหลัง ครั้นมาถึงกลางทางมีผู้มากราบทูลว่า พระเจ้าตราพระยาคิดกลอุบายจะทำร้ายต่อพระองค์ พระเจ้าฟ้ารั่วได้ทราบดังนั้น จึงทรงพระราชดำริห์ว่า พระเจ้าตราพระยาก็เปนพระราชสัมพันธมิตรสนิทเสน่หานัก แลจะมาละสัตยานุสัตย์เสีย จะคิดประทุษฐร้ายต่อเราดังนี้ยังแคลงอยู่ ครั้นจะมิเชื่อเล่าถ้าจริงก็จะเสียที จะยกตามเข้าไปตั้งอยู่นอกเมืองพะโคก่อน ฟังดูพระเจ้าตราพระยาจะคิดประทุษฐร้ายจริงหรือมิจริงประการใดก็จะรู้ ครั้นทรงพระดำริห์แล้ว จึงสั่งกำชับนายทัพนายกองทแกล้วทหารทั้งปวง แล้วก็ให้ยกทัพมาตั้งมั่นอยู่นอกเมืองพะโค ให้คนสอดแนมคอยฟังกิตติศัพท์ดู

ฝ่ายพระเจ้าตราพระยาได้แจ้งว่า พระเจ้าฟ้ารั่วยกกองทัพมาตั้งอยู่นอกเมืองแล้ว จึงให้แต่งโภชนาหารประกอบด้วยยาพิศม์เสร็จแล้ว ก็ให้เสนาบดีออกไปเชิญเสด็จพระเจ้าฟ้ารั่วเข้าไปกินเลี้ยง พระเจ้าฟ้ารั่วจึงตรัสว่า ถ้าพระเจ้าตราพระยาปรารถนาจะเลี้ยงดูเรากับไพร่พลทหารทั้งปวงให้เปนที่สบายแล้ว ก็ให้เชิญพระเจ้าตราพระยาเสด็จออกมาหาเราก่อนเถิด เราจึงจะเข้าไป ครั้นเสนาบดีกลับเข้าไปทูลตามคำพระเจ้าฟ้ารั่วตรัสสั่ง พระเจ้าตราพระยาก็สดุ้งพระทัย เห็นว่าพระเจ้าฟ้ารั่วรู้พระองค์แล้ว ครั้นจะนิ่งไว้มิได้ก็แต่งกองทัพยกออกมา จะต่อรบด้วยพระเจ้าฟ้ารั่ว

ขณะนั้นเปนฤดูคิมหันต์ใบไม้แห้ง พระเจ้าตราพระยาก็สั่งให้จุดไฟเผาป่าขึ้น หวังจะให้กองทัพพระเจ้าฟ้ารั่วระส่ำระสายเปนอันตรายด้วยอำนาจเพลิง ครั้นไฟไหม้มาใกล้กองทัพพระเจ้าฟ้ารั่ว ๆ จึงสั่งให้ถอยทัพเข้ามาอาศัยอยู่ริมหนองน้ำแห่งหนึ่ง จึงทรงสุวรรณภิงคารคือพระเต้าน้ำทอง เสด็จขึ้นทรงคชสารอันเปนราชพาหนะ แล้วจึงตั้งสัตยาธิษฐานหลั่งน้ำทักษิโณทกออกพระโอษฐ์ตรัสว่า เราตั้งอยู่ในสัตยานุสัตย์ซื่อตรงต่อพระเจ้าตราพระยา ๆ ละสัตยานุสัตย์สุจริตธรรมเสียคิดประทุษฐร้ายแก่เรา เดชะสัตยานุสัตย์ของเรานี้ ขอเทพยดาทั้งปวงจงช่วยอภิบาลรักษาข้าพเจ้าด้วย ถ้าพระเจ้าตราพระยาแลพวกพลทั้งปวงจะทำอันตรายแก่ข้าพเจ้า ขอให้ปราชัยไปเหมือนละลอกอันกลิ้งเข้ามากระทับฝั่งนั้นเถิด

ขณะนั้นพระเจ้าตราพระยา เร่งรีบยกพลเข้าไปข้างทิศตวันตก แห่งหนองน้ำที่กองทัพพระเจ้าฟ้ารั่วอาศัยอยู่นั้น จึงลูกชาวบ้านกองมุคนหนึ่งชื่อลักคี เปนทหารหน้าช้างถือทวนยืนอยู่หน้าช้างพระที่นั่งพระเจ้าฟ้ารั่วกราบทูลว่า ถ้าแลพระเจ้าตราพระยาจะมาชนช้างกับพระองค์ ข้าพเจ้าจะแทงตาช้างพระเจ้าตราพระยาให้แตกแล้ว จะคว้านเอาไส้ช้างออกมาให้จงได้ พระเจ้าฟ้ารั่วได้ทรงฟังก็มีพระทัยยินดีนัก

ฝ่ายพระเจ้าตราพระยาก็ไสช้างเข้ามาชนกับพระเจ้าฟ้ารั่ว ลักคีลูกชาวบ้านกองมุนั้น ก็สอึกเข้าแทงด้วยทวนถูกปากช้างทีหนึ่ง ถูกคอทีหนึ่ง ช้างพระเจ้าตราพระยาถูกเจ็บร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังแล้วก็บ่ายหนีไป พระเจ้าฟ้ารั่วก็เอาผ้าซับพระพักตร์ท่อนหนึ่งทิ้งให้แก่บุตรชาวบ้านกองมุเปนสำคัญ บุตรชาวบ้านกองมุได้รับพระราชทานผ้าซับพระพักตร์แล้ว ก็เอาพันเปนมงคลคาดศีร์ษะไว้ ฝ่ายพระเจ้าตราพระยาลงจากช้างขึ้นม้ารีบหนีเข้าป่า รี้พลทั้งนั้นก็แตกหนีไปสิ้น

ฝ่ายพระเจ้าฟ้ารั่วก็ยกทัพเข้าไปยังเมืองพะโคแล้ว แต่งให้ทแกล้วทหารไปติดตามจับพระเจ้าตราพระยา พลทหารตามไปจับเอาตัวได้พามาถวายพระเจ้าฟ้ารั่ว ๆ ทรงพระโกรธนัก จะให้ประหารชีวิตเสีย จึงพระสังฆราชราชาคณะชุมนุมสงฆ์ฝ่ายคันฐธุระวิปัสนาธุระหลายรูป เข้ามาถวายพระพรขอชีวิตพระเจ้าตราพระยาไว้ พระเจ้าฟ้ารั่วก็ทรงพระอนุญาตให้มิได้ฆ่าเสีย แล้วให้เอาตัวพระเจ้าตราพระยากับพระราชธิดาของพระองค์ ซึ่งพระราชทานให้แก่พระเจ้าตราพระยาแต่ก่อนนั้น กับราชบุตรสององค์ชื่อชังคีชื่อชังแง ซึ่งเกิดด้วยนางสินทยาราชธิดาของพระองค์นั้น ให้ทแกล้วทหารคุมไปไว้ณเมืองเมาะตะมะก่อน ฝ่ายพระองค์ยับยั้งอยู่ณเมืองพะโค พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ลูกชาวบ้านกองมุ ตั้งให้เปนเจ้าเมืองพะโค จึงให้หาบิดามารดาลักคีออกมาแล้วตรัสว่า บุตรท่านมีความชอบในสงคราม เราก็ปูนบำเหน็จให้อยู่กินเมืองพะโคแล้ว ท่านทั้งสองจงเปนใหญ่ในบ้านกองมุนี้เถิด แล้วพระราชทานเงินทองเสื้อผ้าเปนอันมาก จึงให้เอากลองไปตีในบ้านกองมุนั้นสุดเสียงกลองเพียงใด ก็ให้ทำหลักประโคนปักกำหนดไว้ทั้งสี่ทิศ พระราชทานบ้านส่วยให้ขึ้นแก่บิดามารดาลักคีอำมาตย์นั้นแล้ว ก็ยกเข้าไปเมืองเมาะตะมะ

ฝ่ายพระเจ้าตราพระยานั้น ยังมีจิตคิดประทุษฐร้ายพยาบาทในพระเจ้าฟ้ารั่วอยู่มิได้วาย จึงคิดกระทำเปนดอกไม้กลไว้รอบพระนคร ถ้าพระเจ้าฟ้ารั่วจะเสด็จออกเลียบพระนครเมื่อใด จึงจะจุดดอกไม้เพลิงกลให้พระเจ้าฟ้ารั่วถึงซึ่งทิวงคต ความคิดพระเจ้าตราพระยาทำอุบายดังนี้ นางสินทยาพระราชธิดาพระเจ้าฟ้ารั่วแจ้งสิ้น จึงเข้าไปกราบทูลแจ้งแก่สมเด็จพระบิดาทุกประการ พระเจ้าฟ้ารั่วได้ทราบแล้วก็ทรงพระโกรธจึงตรัสว่า ครั้งก่อนก็ทำอันตรายแก่กูทีหนึ่งแล้ว กูก็ละชีวิตไว้มิได้ฆ่าเสีย ยังจะคิดประทุษฐร้ายต่อกูอีกเล่า ผลกรรมมาดลใจจะให้ถึงแก่พินาศฉิบหาย เราจะเลี้ยงไว้มิได้ ก็ตรัสสั่งเพ็ชฆาตให้เอาพระเจ้าตราพระยาไปประหารชีวิตเสีย แลบุตรซึ่งเกิดด้วยนางสินทยาอันเปนพระราชนัดดานั้น ทรงพระกรุณาโปรดเลี้ยงไว้ พระเจ้าฟ้ารั่วได้เปนกษัตริย์ในเมืองเมาะตะมะในศักราช ๖๔๙ ปี เสวยราชสมบัติได้หกปี ลุศักราช ๖๕๕ ปี มีช้างฉัตรทันต์ตัวหนึ่งมาแต่ป่าหิมพานต์สมจรด้วยนางช้างดำณเมืองสุโขทัย เกิดลูกเปนช้างเผือกผู้ขาวบริสุทธิ์ดุจสำลี อายุช้างนั้นได้หกปี สมเด็จพระร่วงเจ้าจึงให้เอามาบำรุงเลี้ยงไว้ ครั้นอยู่มา เปนบุญสมภารแห่งพระเจ้าฟ้ารั่วที่จะได้ช้างเผือกไว้เปนศรีเมืองเมาะตะมะ เผอินให้ช้างเผือกมิได้จับน้ำแลหญ้าเปนหลายเวลา นางช้างจึงเอาเนื้อความขึ้นกราบทูลสมเด็จพระร่วงเจ้า ๆ ก็เสด็จมาทอดพระเนตร์พระยาช้างเผือก จึงทรงพระดำริห์ว่า ช้างนี้มิได้เกิดโรคประการใด มาเปนดังนี้ดูก็เปนอัศจรรย์นัก หรือจะมิควรอยู่เปนราชพาหนะแห่งเรากระมัง พระองค์ไม่สบายพระทัยก็เสด็จกลับเข้ามา เวลาค่ำเข้าที่พระบรรทม จึงทรงพระอธิษฐานขอนิมิตเทพยดาอันรักษาพระยาช้างเผือก บันดานให้ทรงพระสุบินนิมิตว่า ถ้าช้างเผือกอยู่ในเมืองสุโขทัยจะเกิดอุบาทว์ใหญ่สี่ประการ คือจะเกิดอันตรายแก่พระเจ้าแผ่นดิน ให้พลัดพรากจากราชสมบัติประการหนึ่ง จะเกิดวิบัติแก่พระอัครมเหษีประการหนึ่ง จะเกิดเหตุใหญ่แก่เสนาบดีประการหนึ่ง จะเกิดจลาจลแก่ไพร่ฟ้าประชากรประการหนึ่ง เปนอุปัทวเหตุสี่ประการ ครั้นสมเด็จพระร่วงเจ้าตื่นจากที่พระบรรทมแล้วเสด็จออก จึงตรัสเล่าพระสุบินให้เสนาบดีทั้งปวงฟัง แล้วตรัสว่าเห็นช้างเผือกจะมิพอใจอยู่ด้วยเราแล้ว ประเทศอันใดพระยาช้างชอบใจจะไปอยู่ก็ตามใจเถิด เสนาพฤฒามาตย์รับสั่งแล้ว จึงปรึกษากันกราบทูลว่า ช้างตัวนี้เปนพระยาเสวตมงคลคชสารศรีเมืองตัวประเสริฐ ซึ่งจะปล่อยไปนั้นเสียดายนัก ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงจะขอเสี่ยงหญ้าให้พระยาช้างจับดูก่อน ถ้าแลจับหญ้าเมืองใด จึงจะไปส่งเมืองนั้น สมเด็จพระร่วงเจ้าก็ตรัสเห็นด้วยอำมาตย์ จึงให้เอาหญ้ามากำเปนสามกำ คือตั้งเปนหญ้าเมืองสุโขทัยกำหนึ่ง เปนหญ้าเมืองเมาะตะมะกำหนึ่ง เปนหญ้าเมืองเชียงใหม่กำหนึ่ง แล้วจึงอธิษฐานว่า ถ้าพระยาช้างจะไปอยู่ประเทศที่แห่งใด ก็ให้จับหญ้าเมืองนั้นบริโภคเถิด

ขณะนั้นพระยาช้าง จับเอากำหญ้าเมืองเมาะตะมะขึ้นจบเหนือกระพองศีร์ษะแล้วก็กิน เอางวงกวาดหญ้าสองเมืองนั้นเสีย สมเด็จพระร่วงเจ้าทอดพระเนตร์เห็นดังนี้จึงตรัสว่า สำหรับบุญเขาแล้วก็เอาไปให้เขาเถิด จึงสั่งให้เกณฑ์ชาวบ้านตราเลิกชาวบ้านกลองห้าร้อยคน อำมาตย์ผู้หนึ่งเปนนายคุมพระยาช้างเผือกมาส่ง แต่แม่ช้างนั้นให้เอากลับคืนมา แลคนซึ่งไปส่งช้างนั้นให้มีขวานถือร้อยพร้าร้อย จอบร้อยสำหรับทำทางปราบหลักตอลุ่มดอน แลคนสองร้อยนั้นให้ปลูกโรงแต่งที่ประทับ แล้วมีพราหมณ์สี่คนสำหรับสังวัธยายมนตร์ทั้งสี่ทิศ ครั้นไปถึงท่าจะลงแพนั้น พระยาช้างเผือกจึงให้แม่ช้างลงแพก่อน ตัวพระยาช้างจึงลงต่อภายหลัง คนห้าร้อยซึ่งไปส่งนั้นจึงว่า ท่านจะเอามารดาไปด้วยฉนี้ ข้าพเจ้าทั้งปวงก็มิพ้นพระราชอาญาพระเจ้าอยู่หัว เมื่อพระยาช้างได้ฟังคำคนทั้งปวงว่าดังนั้น ก็เอางวงขึ้นพาดหลังนางพังผู้มารดา มีจักษุทั้งสองนองไปด้วยน้ำตา จึงเอางวงพยุงส่งมารดาขึ้นจากแพ คนห้าร้อยได้เห็นแล้วก็บังเกิดสังเวชใจสิ้นด้วยกัน ครั้นข้ามไปถึงฝั่งเข้าแดนเมืองเมาะตะมะแล้ว จึงเอาข่าวบอกเข้าไปให้กราบทูลพระเจ้าฟ้ารั่ว ๆ ได้ทราบว่า สมเด็จพระร่วงเจ้าพระราชทานพระยาเสวตมงคลคชสารศรีเมืองมา ก็มีพระทัยโสมนัศนัก จึงให้จัดการที่จะรับพระยาช้างเสร็จแล้ว ก็เสด็จขึ้นไปรับถึงตำบลเมืองแปร แล้วพระราชทานรางวัลแก่ชาวเมืองสุโขทัย ซึ่งมาส่งพระยาช้างเผือกนั้นเปนอันมาก ครั้นได้ฤกษ์แล้วก็ให้ประโคมฆ้องกลองแตรสังข์รับพระยาช้างเผือกลงไปเมืองเมาะตะมะ ตกแต่งที่อยู่ให้ตามสมควร ลุศักราช ๖๕๕ ปี

ขณะนั้นพระเจ้าเชียงใหม่รู้ว่า พระเจ้าฟ้ารั่วได้ช้างเผือกผู้มาไว้เปนศรีพระนคร จึงให้แต่งทัพแปดทัพเปนคนแปดหมื่น ยกลงมาล้อมเมืองเมาะตะมะไว้ พระเจ้าฟ้ารั่วจึงปรึกษาเสนาบดีทั้งปวงว่า กองทัพเมืองเชียงใหม่ยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จะคิดประการใด ฝ่ายมุขมาตยาทั้งปวงจึงกราบทูลว่า ซึ่งพระเจ้าเชียงใหม่ให้ยกพลมากระทำสงครามครั้งนี้ เพื่อประโยชน์จะใคร่ได้พระยาช้างเผือกไปไว้เปนศรีพระนครเชียงใหม่ ขอพระองค์จงทรงพระอธิษฐานขอสุบินนิมิตดูให้แจ้งเหตุประจักษ์ก่อน ถ้าพระยาช้างเผือกจะควรคู่เปนราชพาหนะของพระองค์อยู่ ขอให้ทรงพระสุบินนิมิตที่เปนชัยมงคล ถ้าจะเสียพระยาช้างเผือกแลบ้านเมืองแก่ข้าศึก ก็ให้ทรงพระสุบินนิมิตเปนอัปมงคลให้ประจักษ์แล้ว จึงจะได้คิดถ่ายเทต่อภายหลัง พระเจ้าฟ้ารั่วได้ทรงฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ปลูกศาลแต่งเครื่องพลีกรรมบวงสรวงเทพยดา ครั้นเวลาค่ำก็ทรงอธิษฐานต่อเทพยดาว่า ถ้าช้างเผือกตัวนี้เกิดด้วยบุญสมภารจะเปนราชพาหนะแห่งข้าพเจ้า ก็ขอให้นิมิตเปนศุภมงคลเถิด ถ้าข้าพเจ้าจะสิ้นวาสนา จะเสียพระยาช้างแลพระนครแก่ปัจจามิตรข้าศึกแล้ว ขอให้ข้าพเจ้านิมิตเปนอัปมงคลเถิด ทรงพระอธิษฐานแล้วก็เข้าที่พระบรรทม ครั้นล่วงเข้าเวลาปัจฉิมยาม จึงเทพยดาอันสถิตย์สิงอยู่ในบวรเสวตฉัตร จึงบันดาลให้พระเจ้าฟ้ารั่วนิมิตฝันว่า ซึ่งข้าศึกมาล้อมพระนครไว้ครั้งนี้ จะทรงพระวิตกไปไย พระยาช้างเผือกผู้ของพระองค์เปนชัยมงคลอยู่แล้ว ให้เร่งแต่งที่บนยอดเขาใกล้เมืองเมาะตะมะ ประดับด้วยราชวัตรฉัตรธง แลให้เอาอ่างทองคำใส่น้ำตั้งพิธีแล้ว จึงประดับพระยาช้างด้วยเครื่องคชาภรณ์อันงาม เชิญขึ้นไปณยอดเขาซึ่งตั้งพิธีนั้น พระยาช้างก็จะสูบเอาน้ำในอ่างทองพ่นออกไปทิศใด ปัจจามิตรที่อยู่ในทิศนั้นก็จะปราชัยไปทุกทิศ ครั้นพระเจ้าฟ้ารั่วตื่นจากที่พระบรรทมแล้ว ทรงพระดำริห์ว่าชรอยเทพยดาเจ้ามาบอกเหตุให้เราแล้วเปนมั่นคง จึงเสด็จออกสั่งให้แต่งที่ณยอดเขาใกล้เมืองเมาตะมะเสร็จแล้ว ถึงเวลาอุดมฤกษ์ก็ให้เชิญพระยาช้างขึ้นไปสถิตย์ในโรงราชพิธี

ฝ่ายพระยาช้างก็สูบเอาน้ำในอ่างทองแล้ว ก็พ่นออกไปตามทิศซึ่งข้าศึกตั้งอยู่นั้น ช้างในกองทัพเมืองเชียงใหม่ได้ยินเสียงพระยาช้างเผือกพ่นน้ำออกไปก็ตกใจ วิ่งเหยียบกองทัพ ๆ ก็แตกไป ชาวเมืองเมาะตะมะก็เปิดประตูเมืองออกไป เก็บได้เครื่องสาตราวุธแลผู้คนช้างม้าเปนอันมาก จำเดิมแต่ทัพเมืองเชียงใหม่แตกไปแล้ว ชาวเมืองเมาะตะมะก็มีความสุขทั่วทุกชายหญิง ครั้นอยู่นานมา ชังคีชังแง ซึ่งเปนบุตรพระเจ้าตราพระยานั้น พระเจ้าฟ้ารั่วให้เชิญพานพระศรีองค์หนึ่ง เชิญพระเต้าน้ำองค์หนึ่ง ด้วยเห็นว่าเปนพระราชนัดดาหาแคลงพระทัยไม่ ใช้สอยสนิทอยู่ วันหนึ่งอำมาตย์ทั้งปวงจึงบอกชังคีชังแงว่า พ่อทั้งสองนี้หาเปนพระราชบุตรพระเจ้าฟ้ารั่วไม่ เปนบุตรพระเจ้าตราพระยาต่างหาก ชังคีชังแงสงสัยนัก จึงไปทูลถามพระมารดา นางสินทยาผู้เปนพระมารดา ก็บอกสมคำอำมาตย์ แลแจ้งความแต่หลังให้ฟังทุกประการ ชังคีชังแงได้ฟังพระมารดาบอกดังนั้น ก็มีพระทัยโทมนัศเศร้าโศรก จึงปรึกษากันพี่น้องว่า แต่พระราชบิดาเราท่านยังประหารชีวิตเสีย ตัวเราทั้งสองนี้ที่ไหนท่านจะรักใคร่ พี่น้องจึงคิดกันเปนกบถ เอามีดเหน็บซ่อนไว้ คอยดูท่วงทีซึ่งจะทำการ ครั้นพระเจ้าฟ้ารั่วเข้าที่บรรทมหลับสนิทอยู่ สองคนพี่น้องลอบย่องเข้าไป แล้วชักมีดเหน็บออกจะแทง พอนางนักสนมเห็นร้องอื้ออึงขึ้น พี่น้องทั้งสองกลัวแทงเบาไปหาเข้าไม่ พระเจ้าฟ้ารั่วตกพระทัยตื่นขึ้นเห็น ชังคีชังแงก็วิ่งหนีไป จึงตรัสสั่งให้เสนาบดีตามไปจับ เสนาบดีทั้งปวงตามไปจับพระราชนัดดาทั้งสองได้ ณตำบลวัดเฉพาะ เอามาถวายพระเจ้าฟ้ารั่ว ๆ จึงตรัสสั่งให้เอาไปประหารชีวิตเสีย แล้วจึงตรัสว่า แต่นี้ไปตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก จึงเปนคำโบราณสืบมาคุงเท่าบัดนี้ พระเจ้าฟ้ารั่วเสวยราชสมบัติในเมืองเมาะตะมะได้ยี่สิบหกปี พระโรคเบียดเบียฬ ก็สวรรคตณวันพุธขึ้นหกค่ำเดือนยี่จุลศักราช ๖๗๕ ปี เมื่อไปอยู่ณเมืองสุโขทัยประมาณกี่ปี แลเมื่อแรกได้ราชสมบัติพระชนมายุเท่าใด จดหมายในราชพงษาวดารรามัญหาปรากฎไม่

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ