๑๗
ครั้นถึงเวลานัดหมาย นายพันโทพระประศาสน์พิทยายุทธ ก็ออกจากบ้านถนนวัดราชาธิวาสตรงไปยังบ้านพระยาพหลฯ ณ บางซื่อ เพลานั้นคุณหญิงพหลฯ เฝ้าคอยระวังภัยอยู่ในบ้าน แว่วเสียงสหายร่วมตายของสามีมาเคาะประตูบ้านก็ยังมิสู้ไว้ใจ เกรงเกลือกจะเป็นอุบายของตำรวจก็ร้องถามทานน้ำเสียงผู้เรียกเสียก่อน ต่อได้ยินพระประศาสน์ฯ ขานรับ
แน่น้ำเสียงดีแล้ว จึงได้ลุกไปเปิดประตู และรับพระประศาสน์ฯ เข้ามาในบ้าน ขณะนั้นพระยาพหลฯ รับประทานอาหารและแต่งตัวพร้อมสรรพแล้ว นายทหารเสือทั้งสองซึ่งมีอาวุธแต่เพียงปืนพกคู่มือคนละกระบอก ก็พากันขึ้นรถยนต์มุ่งหน้าไปสู่ที่นัดหมาย ณ ริมทางรถไฟตรงทางสามแพร่ง สมทบกับมิตรร่วมตายเพื่อจะทำการยึดอำนาจการปกครองจากพระราชา ผู้ซึ่งมีกำลังกองทัพและกำลังตำรวจอันมหึมา สรรพด้วยกำลังอาวุธเกรียงไกรรองรับพระราชบัลลังก์อยู่
ก่อนจะถึงเวลา ๕.๐๐ น. คณะผู้ก่อการเปลี่ยนการปกครองฝ่ายนายทหารบกประมาณ ๑๐ ท่าน ก็ได้ไปชุมนุมพร้อมกัน ณ ที่นัดหมาย มีพระยาพหลฯ พระยาทรงฯ พระประศาสน์ฯ หลวงพิบูลฯ หลวงทัศนัยฯ หลวงชำนาญฯ หลวงสวัสดิฯ หลวงสฤษดิฯ หลวงรณสิทธิฯ เป็นอาทิ ฝ่ายคณะนายทหารเรือซึ่งมีหลวงสินธุและหลวงศุภเป็นหัวหน้า ได้รับการนัดหมายให้นำกำลังทหารเรือ ประมาณ ๑๕๐ ถึง ๒๐๐ นายประกอบด้วยอาวุธปืนเล็กยาวไปชุมนุมกำลังรอคอยอยู่ ณ ลานพระบรมรูป ฝ่ายคณะนายทหารบกจะได้เดินอุบายทำการรวมกำลังอาวุธและรี้พลไปสมทบในเวลา ๖.๐๐ น. การดำเนินการยึดอำนาจที่จำเป็น จะต้องทำให้เสร็จสิ้นภายในชั่วโมงเดียวคือจาก ๕.๐๐ น. ถึง ๖.๐๐ น. จุดแรกของการเข้ายึดกำลัง ได้แก่การเข้ายึดคลังอาวุธ และรถรบ รถยนต์หุ้มเกราะ ณ กรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์ โดยที่เป็นผู้มีร่างพ่วงพีแข็งแรง พระยาพหลจึงได้รับมอบให้เป็นผู้ปฏิบัติการเข้ายึดคลังอาวุธ ซึ่งจะต้องใช้กำลังทำลายประตูคลังด้วย ในการนี้มีหลวงสฤษดิยุทธศิลปเป็นผู้ช่วย ส่วนพระประศาสน์ได้รับมอบให้เข้าทำการยึดรถรบ รถยนต์หุ้มเกราะ พร้อมด้วยความร่วมมือของหลวงทัศนัยฯ และนายทหารรถรบอีก ๓ นาย ฝ่ายพระยาทรงฯ นั้นเป็นผู้อำนวยการทั่วไป นายทหารนอกนั้นก็เตรียมพร้อมเพื่อให้ความช่วยเหลือในการที่จำเป็น เมื่อได้ตกลงมอบหมายซักซ้อมหน้าที่กันแล้ว คณะปฏิวัติก็เคลื่อนจากที่นัดพบตรงไปยังกรมทหารม้าที่ ๑ ในเวลาลงมือทำการยึดอำนาจการปกครองทั้งประเทศนั้น คณะปฏิวัติกลุ่มน้อยคงมีแต่กำลังใจและกำลังปัญญาเท่านั้น หาได้มีกำลังอาวุธและกำลังทหารอันเป็นกลุ่มก้อนปึกแผ่นแต่อย่างใดไม่ อาศัยกำลังใจความกล้าหาญเสี่ยงภัยต่อชีวิต และกำลังปัญญาเดินอุบายต่าง ๆ จึงทำให้คณะปฏิวัติของไทยสัมฤทธิ์กิจใหญ่หลวง ซึ่งโดยปรกติอาจต้องการกำลังความร่วมมือทำการของคนนับหมื่นนับแสน
ก่อนจะเข้าสู่กรมทหารม้าที่ ๑ คณะปฏิวัติต้องเผชิญหน้ากับกองรักษาการณ์เป็นด่านแรก นายทหารเสือทั้งสามจึงเรียกหาตัวผู้บังคับการและอุบายแต่งความขึ้นว่า บัดนี้เกิดการจลาจลขึ้นในกลางพระนครแล้ว ตัวผู้บังคับการยังมิรู้อีกหรือ ฝ่ายผู้บังคับการกองรักษาการณ์ ซึ่งเป็นนายหารชั้นผู้น้อย เมื่อเผชิญหน้ากับนายทหารผู้ใหญ่ทั้งสาม อีกทั้งเคยอยู่ในฐานะเป็นอาจารย์ของตนมาแต่ก่อนด้วย ก็เชื่อคำลวงนั้นอย่างสนิท ผู้อำนวยการจึงออกคำสั่งให้นายร้อยผู้บังคับการบอกทหารรักษาการณ์ ให้เป่าแตรสัญญาณเหตุสำคัญเรียกประชุมทหารทั้งกรมขึ้นในทันที พอทหารเป่าแตรสัญญาณบอกเหตุขึ้นแล้ว ทหารม้าทั้งกรมก็ตื่นขึ้นด้วยความตื่นเต้นจังงัง ในชั่วขณะแห่งความชุลมุนจังงังนั้นเอง พระยาพหลก็ตรงเข้าไปในกรมรีบรุดไปยังคลังอาวุธ ใช้กรรไกรซึ่งเตรียมไปพร้อมแล้วเข้าตัดโซ่กุญแจประตูคลัง อันเต็มไปด้วยหีบกระสุนและปืนกลเบา. ฝ่ายพระประศาสน์ก็ตรงไปยังโรงเก็บรถรบ รถยนต์หุ้มเกราะ และรถยนต์บรรทุก และบัญชาให้ทหารเข้านั่งประจำในที่ขับและนำรถออกมาจากโรง ส่วนตัวพระประศาสน์นั้นนั่งมาในรถเกราะคันสุดท้าย ครั้นแล้วฝ่ายบัญชาการของคณะปฏิวัติก็สั่งให้ทหารขนหีบกระสุนและปืนกลเบาขึ้นรถบรรทุก แล้วก็สั่งทหารทั้งปวงออกเดิน การเข้ายึดกำลังทหารทั้งกรม และคลังอาวุธนั้น คณะปฏิวัติทหารบกได้กระทำเสร็จสิ้นภายในเวลาราวครึ่งชั่วโมง ครั้นแล้วคณะปฏิวัติก็นำขบวนทหารกรมทหารม้าที่ ๑ ตรงมายังลานพระบรมรูป ณ ที่นั้นคณะปฏิวัติทหารเรือได้นำคณะทหารเรือมาชุมนุมกำลังคอยทีอยู่ก่อนแล้ว นอกจากคณะทหารเรือ พระยาฤทธิอัคเณย์ยังนำขบวนทหารปืนใหญ่ สรรพด้วยอาวุธปืนใหญ่ปืนเล็ก และผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อย ซึ่งได้รับคำสั่งจากพระยาทรงในฐานะอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาทหาร ให้นำนักเรียนนายร้อยมารับการฝึกพิเศษ ก็ได้นำขบวนนักเรียนนายร้อยมาชุมนุมอยู่ด้วย ทหารทั้งปวงที่มาชุมนุมอยู่ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าในวันนั้นต่างได้มาโดยมิรู้ว่า กำลังมีการปฏิวัติเพื่อยึดอำนาจการปกครองจากพระราชาของตน เมื่อขบวนทหารและขบวนรถซึ่งพระยาพหล พระยาทรงและพระประศาสน์เป็นผู้นำมาถึงยังลานพระบรมรูปแล้วฝ่ายบัญชาการก็ออกคำสั่งให้ทหารทั้งปวงที่ชุมนุมอยู่ในที่นั้นเคลื่อนขบวนเข้าไปตั้งอยู่ภายในบริเวณพระที่นั่งอนันต์
ฝ่ายพระประศาสน์นั้นยังได้รับมอบภาระให้กระทำอีกอย่างหนึ่ง คือการไปเชิญเสด็จกรมพระนครสวรรค์มาคุมไว้ที่พระที่นั่งอนันต์เป็นตัวประกัน พร้อมทั้งไปคุมเอาตัวพระยาสีหราชเดโชชัยเสนาธิการทหารบกและพระยาเสนาสงครามผู้บัญชาการกองพลที่ ๑ ซึ่งนับถือกันว่าเป็นทหารเสือของราชาอยู่ในเวลานั้นด้วย.
โดยมิให้เสียเวลาแม้แต่เพียงนาฑีเดียว จากลานพระบรมรูป ทหารเสือแห่งคณะปฏิวัตินั่งรถเกราะมีกำลังทหารหมู่หนึ่ง ประกอบด้วยนักเรียนนายร้อย นายทหารปืนใหญ่ และนายทหารเรือบางท่านติดตามมา มุ่งตรงไปยังวังบางขุนพรหม การเข้าไปเชิญเสด็จหรือนัยหนึ่งเข้าไปจับกรมพระนครสวรรค์จนถึงที่ประทับนั้นนับว่ามีภัยจะต้องเสี่ยงอยู่ ด้วยเหตุว่าการลอบคิดก่อการปฏิวัตินั้น เมื่อตกมาถึงเวลาใกล้วันลงมือ ทางราชการตำรวจก็ได้ทราบวี่แววและกำลังเตรียมการจะเข้ารวบตัวผู้ก่อการอยู่แล้วเหมือนกัน ดังจะเห็นได้ว่าในเช้าตรู่ วันที่ ๒๔ มิถุนายน นั้นเอง ทั้งอธิบดีตำรวจพระยาอธิกรณ์ประกาศ และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ พระยาอาษาพลนิกร ได้ไปเฝ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ อยู่ก่อนแล้ว เมื่อขบวนของคณะปฏิวัติไปถึงก็ได้เผชิญกับนายตำรวจใหญ่ทั้งสอง และนายตำรวจดังกล่าวได้ส่งกระสุนทักมาเป็นรายแรก
ทั้งที่เป็นเวลาถึงเป็นถึงตายปานนั้นก็ดี พระประศาสน์ก็ยังมีใจเยือกเย็นพอที่จะเลือกวิธีการปฏิบัติต่อเจ้านายผู้ใหญ่อย่างละมุลละม่อมที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ กล่าวคือได้หยุดรถที่สถานีตำรวจหน้าวังบางขุนพหรม เรียกนายตำรวจสถานีนั้นให้มาพบ แจ้งให้ทราบว่า คณะปฏิวัติได้ยึดอำนาจการปกครองไว้แล้ว ขอให้เข้าไปด้วยกัน คณะปฏิวัติจะให้เขาเข้าไปเฝ้าทูลเชิญเสด็จ แทนที่คณะปฏิวัติจะจู่เข้าไปจับกุมพระองค์โดยตนเอง หากยังไม่มีความจำเป็นจะต้องทำถึงขั้นนั้น เมื่อแจ้งความประสงค์สั้น ๆ แล้ว พระประศาสน์ฯ ก็นำตัวนายตำรวจผู้นั้นขึ้นนั่งรถเกราะไปด้วยกัน กองทหารรักษาการณ์หน้าประตูวัง ได้ปล่อยให้ขบวนรถของคณะปฏิวัติผ่านเข้าไปโดยอาการตกตลึง และทั้งสองฝ่ายก็มิต้องแลกเปลี่ยนกระสุนกันแม้แต่นิดเดียว รถเกราะของพระประศาสน์ฯ ได้แล่นนำหน้าเข้าไป ขณะนั้นพระยาอาษาพลนิกรยืนอยู่ที่ลานหญ้าหน้าตำหนัก พอแลเห็นรถเกราะแล่นตรงมาสู่หน้าตำหนัก ก็ชักปืนพกยิงเปรี้ยงเข้าไปที่รถเกราะทันที พลประจำปืนในรถจึงลั่นปืนกลยิงขู่ออกไป พระยาอาษาพลนิกรจึงหลบกระสุนวิ่งอ้อมไปทางหลังตำหนัก ครั้นแล้วพระประศาสน์ฯ ก็ลงจากรถเกราะและสั่งให้นักเรียนนายร้อยขยายแถวเพื่อเตรียมรับการต่อสู้ ซึ่งตามรูปการณ์ในขณะนั้น แสดงให้เห็นว่ามีทางเป็นไปได้อย่างยิ่ง ถึงแม้คาดหมายภัยฉะเพาะหน้าอยู่ก็ดี พระประศาสน์ฯ ก็ยังมั่นคงในวิธีการเชิญเสด็จในทางละมุนละม่อมอยู่นั่นเอง ได้ออกคำสั่งแก่นายตำรวจให้ขึ้นไปบนตำหนัก ทูลเชิญกรมพระนครสวรรค์ฯ และให้เวลาสำหรับพระองค์ท่านแต่งองค์หรือประกอบกิจใด ๆ ถึงครึ่งชั่วโมง
อย่างไรก็ดี เมื่อนายตำรวจผู้นั้นลับกายเข้าไปในตำหนักจนเวลาล่วงไปครึ่งชั่วโมง กรมพระนครสวรรค์ฯ ก็มิได้เสด็จออกมาพบ และนายตำรวจผู้นั้นก็มิได้กลับมารายงานเหตุการณ์อะไรเลย พระประศาสน์ฯ จึงออกคำสั่งให้นักเรียนนายร้อยและพรรคพวกนายทหารที่ไปด้วยกัน ขยายแถวลุกล้ำผ่านตำหนักหลังใหญ่เข้าไป ก็แลเห็นกรมพระนครสวรรค์ฯ ประทับอยู่ ณ ตำหนักท่าน้ำในท่ามกลางบริพารประมาณ ๑๐๐ คน พร้อมด้วยอาวุธปืนและอื่น ๆ รวมทั้งท่านอธิบดีกรมตำรวจและพระยาอาษาพลนิกร พระประศาสน์ฯ ได้สั่งกำชับพรรคพวกร่วมใจว่าอย่าได้ใช้อาวุธทำอันตรายผู้ใดเป็นอันขาด เว้นแต่ทางฝ่ายเจ้าจะดำเนินการต่อสู้และใช้อาวุธทำร้ายขึ้นก่อน สั่งการแล้วพระประศาสน์ฯ ก็เดินตรงเข้าไปเฝ้ากรมพระนครสวรรค์ซึ่งเมื่อเข้าไปยืนอยู่เบื้องพระพักตรแล้วก็รับสั่งทักด้วยน้ำพระเสียงแสดงความรู้สึกขมขื่นว่า “ตาวัน (นามตัวพระประศาสน์ฯ) ก็เป็นกบฎกับเขาด้วยรึ?” พระประศาสน์มิได้ทูลตอบความข้อนั้น หากได้ทูลให้ทราบถึงความประสงค์ของคณะปฏิวัติที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย และทูลให้ทราบว่า ที่มาเฝ้านั้นก็ประสงค์เพียงแต่จะเชิญเสด็จพระองค์ท่านไปประทับที่พระที่นั่งอนันต์ชั่วคราว เพื่อเป็นประกันมิให้เกิดอันตรายแก่คณะราษฎร ส่วนอันตรายอันจะเกิดแก่พระองค์ท่านนั้น พระประศาสน์ขอเป็นผู้รับประกัน ทรงฟังแล้วก็ตรัสตอบว่า ไม่จำเป็นที่พระองค์จะเสด็จไปประทับที่อื่น ถึงแม้พระประศาสน์จะได้ทูลวิงวอนต่อไป ก็ทรงอิดเอื้อนอยู่ท่าเดียว พระประศาสน์จึงทูลเชิญให้เสด็จออกไปพูดจากันที่หน้าตำหนักใหญ่ ก็ทรงยอมเสด็จออกมา และพระยาอธิกรณ์ฯ ก็ได้ตามเสด็จออกมาด้วย พระประศาสน์ฯ ได้ทูลชี้แจงวิงวอนอยู่พักใหญ่ก็ทรงปฏิเสธยืนคำอยู่ ขณะนั้นพระยาอธิกรณ์ฯ เกิดบันดาลโทษะขึ้นมา ก็ชักปืนคอลท์ ๙ ม.ม. ออกมาจะยิงพระประศาสน์ฯ ฝ่ายหลวงนิเทศกลกิจ สหายร่วมใจยืนคุมเชิงอยู่ในที่ใกล้เคียงกันนั้น ก็กระโดดเข้าเตะแขนพระยาอธิกรณ์ฯ ปืนก็กระเด็นจากมือไป พระประศาสน์ฯ จึงเก็บปืนมารักษาไว้ และก็มิได้ว่ากล่าวหรือทำอันตรายแก่พระยาอธิกรณ์ฯ แต่อย่างใด เป็นแต่ได้ปลงใจทูลเชิญกรมพระนครสวรรค์ฯ เป็นคำขาด ทรงเห็นว่าเหตุการณ์เข้าที่คับขันนักแล้ว ก็ทรงยอมตาม แต่ได้ทรงขอเวลาขึ้นไปแต่งพระองค์ พระประศาสน์ฯ คิดเห็นว่าได้เสียเวลาไปมาก และก็ได้ผ่อนผันให้มากแล้ว อีกประการหนึ่งหากปล่อยให้ขึ้นไปบนตำหนัก เกลือกไปกลับพระทัยเสียและรับสั่งให้บริพารทำการต่อสู้ ก็จะเสียชีวิตเลือดเนื้อกันไปโดยใช่เหตุ พระประศาสน์ฯ จึงตกลงใจขอเชิญเสด็จในทันที ทรงเกี่ยงให้จัดรถที่ภาคภูมิกว่ารถบรรทุกมารับเสด็จ พระประศาสน์ฯ ก็ทูลว่าเวลาจวนแจเต็มทีไม่อาจจัดถวายได้ เมื่อเห็นว่าพระประศาสน์ฯ ได้พูดเป็นคำขาด จะทรงขัดขืนเกี่ยงงอนต่อไปก็ไร้ประโยชน์แล้วที่สุดก็ทรงยอมตาม เสด็จขึ้นนั่งบนรถบรรทุกตอนหน้าเคียงข้างคนขับ ในเวลานั้นทรงฉลองพระองค์กางเกงแพรสวมเสื้อกุยเฮง และพระชายามาขอตามเสด็จด้วย พระประศาสน์ฯ ก็ผ่อนผันให้
เมื่อได้ตัวกรมพระนครสวรรค์ฯ แล้ว พระประศาสน์ฯ ก็มิได้เอาธุระแก่อธิบดีและพระยาอาษาพลนิกร ซึ่งพยายามจะสังหารชีพท่านตามหน้าที่ของท่านทั้งสอง. จากนั้นขบวนรถของคณะปฏิวัติได้มุ่งตรงไปยังวัดโพธิ์ บ้านพักพระยาสีหราชเดโชชัย ผู้ซึ่งคณะปฏิวัติรู้ดีว่าเป็นผู้มีใจเข้มแข็ง อาจหาญ และมีอาวุธปืนพกติดตัวอยู่เป็นนิจ บนโต๊ะหนังสือของท่านเจ้าคุณทหารเสือผู้นี้ มีปืนพกวางประจำอยู่เสมอ ถึงบ้านเจ้าคุณสีหราชฯ พระประศาสน์ฯ สั่งให้จอดรถไว้ข้างนอก ตัวคุณพระพร้อมด้วยนายทหารร่วมใจกับนักเรียนนายร้อยได้พากันลงเดินเข้าไปในบ้าน พระประศาสน์ฯ คาดหมายว่า ถ้าได้พบเจ้าคุณในเวลามีปืนอยู่ในมือแล้ว ก็คงจะไม่ยอมให้จับโดยดี และจะต้องมีการต่อสู้กันเป็นแน่ แต่เป็นการเคราะห์ดีอย่างยิ่งที่คนใดคนหนึ่งจะไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ จึงประจวบกับที่พระประศาสน์เข้ามาถึงบันไดบ้านนั้น ก็พอดีพระยาสีหราชออกมาจากห้องน้ำ ซึ่งอยู่ข้างเชิงบันไดนั้นเอง พระประศาสน์ฯ จึงตรงเข้าถึงตัวและแจ้งความประสงค์ว่าจะมาคุมเอาตัวไป เจ้าคุณเสือฮึดฮัดกัดฟันด้วยความโกรธ เวลานั้นมีเครื่องคลุมกายแค่ผ้าขาวม้าผืนเดียว ขอไปแต่งตัวก่อน แต่พระประศาสน์ฯ ขัดข้องโดยอ้างว่าเวลาสายมากแล้ว จะสละเวลาให้ไม่ได้ จะเสียการของคณะไป พระยาสีหราชฯ ก็ได้แต่แสดงกิริยาฮึดฮัดกัดฟันและจำต้องยอมมาขึ้นรถบรรทุกอีกคันหนึ่งทั้งที่มีเครื่องคลุมกายแต่เพียงผ้าขาวม้าผืนเดียว เมื่อพระประศาสน์ฯ นำตัวเจ้าคุณเสือมามอบให้พระยาพหลฯ นั้น พอเผชิญหน้ากัน เจ้าคุณเสือก็ตั้งท่าจะเข้าชกเอาพระยาพหลฯ ทีเดียว ดังนั้นถ้าท่านผู้นี้มีปืนพกอยู่ในมือแล้ว ก็ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า จะไม่มีการแลกลูกกระสุนกัน
โดยที่ต้องไปเสียเวลานานเกินควรในการเชิญเสด็จกรมพระนครสวรรค์ฯ ดังนั้นถึงแม้ได้รับมอบหมายจากคณะให้ไปนำตัวพระยาเสนาสงครามอีกท่านหนึ่ง พระประศาสน์ฯ ก็ได้ตัดสินใจขบปัญหาฉะเพาะหน้าโดยเลือกเอาทางละพระยาเสนาฯ ไว้ก่อน โดยรีบรุดตรงไปยังพระที่นั่งอนันตฯ เพื่อมอบพระองค์กรมพระนครสวรรค์ฯ ให้แก่คณะตามกำหนดเวลานัดหมายกันไว้ มิฉะนั้นพรรคพวกทางโน้นจะคอยอยู่ด้วยความกังวล และแผนการต่าง ๆ ก็อาจได้รับความกระทบกระเทือน อย่างไรก็ดีได้ทราบกันในภายหลังว่าในเช้าวันนั้นพระยาเสนาสงครามได้โดนกระสุนปืนของขุนศรีศรากรที่ท้อง ฉะนั้น แทนที่จะนำตัวไปกักไว้ที่พระที่นั่งอนันตฯ จึงต้องนำส่งยังโรงพยาบาล
ระหว่างทางจากวัดโพธิ์มาสู่พระที่นั่งอนันต คณะปฏิวัติได้พบหลวงวีระโยธาผู้บังคับกองพันทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ นำทหารในบังคับบัญชามารับการฝึกอยู่ ณ ท้องสนามหลวง พระประศาสน์ฯ จึงลงจากรถเกราะ บอกหลวงวีระโยธาว่า กำลังมีการจลาจลเกิดขึ้น ให้หลวงวีระฯ รีบเร่งคุมทหารไปสมทบกำลังที่พระที่นั่งอนันต์โดยด่วน หลวงวีระพาซื่อก็คุมทหารติดตามไป
เมื่อพระประศาสน์คุมพระองค์กรมพระนคมสวรรค์ฯ และพระยาสีหราชไปมอบให้พระยาพหลนั้น ได้มีทหารกรมต่าง ๆ ไปชุมนุมอยู่ณลานพระบรมรูป และในบริเวณพระที่นั่งอนันต์แล้วหลายกรม มีกรมทหารช่าง กรมทหารสื่อสาร และกรมทหารมหาดเล็ก เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่ได้ถูกลวงให้มารวมกำลังอยู่ทั้งนั้น พระยาทรงเป็นผู้ดูแลอำนวยการกำลังทั้งปวง และโดยที่คิดเห็นว่านายทหารและทหารที่มีความจงรักภักดีต่อพระราชาโดยแน่นแฟ้น ก็คงจะรวมอยู่ในที่นั้นด้วยเหมือนกัน และเพื่อที่จะตัดกำลังของคนพวกนั้น พระยาทรงฯ จึงจัดให้นายทหารสับเปลี่ยนกันไปบังคับบัญชาทหารที่มิใช่เหล่าของตน เกลือกนายทหารบางคนมีใจดื้อดึงจะทำการขัดขวางเอาซึ่งหน้า ก็จะสั่งการแก่ทหารที่มิใช่เหล่าของตนได้ถนัด อนึ่ง นอกจากกรมพระนครสวรรค์แล้ว คณะปฏิวัติยังได้จัดการเชิญเสด็จเจ้านายองค์อื่น ๆ มาคุมตัวไว้อีกหลายองค์ อาทิกรมพระนริส กรมพระยาดำรง หม่อมเจ้าวงศ์นิรชร หม่อมเจ้านิลประภัศรเจ้ากรมยุทธศึกษา หม่อมเจ้านักขัตรมงคล ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก
เมื่อได้จัดการชุมนุมกำลังทหารในพระนครและเชิญเสด็จเจ้านายมากักตัวไว้เป็นประกันสำเร็จลุล่วงตามอุบายและแผนการแล้ว พระยาพหลก็ประกาศวัตถุประสงค์ของการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้ธรรมนูญการปกครองแก่ทหารทั้งปวง สิ้นคำประกาศแล้วหามีผู้ใดแสดงการคัดค้านต่อต้านแต่ประการใดไม่ ต่อจากนั้นพระยาพหลก็ได้ประกาศตั้งผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารชั่วคราว และได้สั่งพระยาประเสริฐสงคราม ปลัดทูลฉลองกระทรวงกลาโหม ให้ออกคำสั่งไปยังกรมกองทหารทั่วพระราชอาณาจักรให้ตั้งอยู่ในความสงบ และฟังคำบังคับบัญชาของผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารต่อไป
บทบาทการยึดอำนาจการปกครองโดยฝ่ายทหารก็ได้บรรลุความสำเร็จ นับแต่นาฑีนั้น ต่อจากนั้นได้มีการประชุมเสนาบดีเพื่อดำเนินราชการฝ่ายพลเรือนต่อไป พระยาพลหฯ ได้นั่งเป็นประธานในที่ประชุม และถึงตอนนั้นหลวงประดิษฐ์มนูธรรมหัวหน้าคณะปฏิวัติฝ่ายพลเรือนก็ได้เริ่มแสดงบทบาทเป็นกำลังเอกของคณะปฏิวัติในการดำเนินการราชการพลเรือนในที่ประชุมเสนาบดี
เวลานั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ประทับอยู่ในพระนคร หากเสด็จไปประทับสำราญพระอิริยาบถอยู่ ณ พระที่นั่งไกลกังวลหัวหิน คณะปฏิวัติจึงแต่งให้หลวงศุภลงเรือรบไปรับเสด็จเข้าสู่พระนคร เพื่อคณะปฏิวัติจะได้เข้าเฝ้ากราบทูลความประสงค์ในการเปลี่ยนการปกครองให้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้กลับสู่พระนครโดยทางรถไฟ ประทับอยู่ ณ วังสุโขทัย และคณะปฏิวัติได้ส่งพระประศาสน์ไปเฝ้ากราบบังคมทูลความประสงค์ในวันที่เสด็จมาถึงนั้น เมื่อได้ทรงทราบว่าคณะปฏิวัติมิได้ประสงค์จะกระทำล่วงเกินพระราชกิตติยศแต่ประการใด หากประสงค์เพียงแต่จะได้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน ตามแบบอย่างนานาอารยประเทศเท่านั้น ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้ารับพระราชทานให้ตามประชาอัฌชาสัย.