คำท้าย

เรื่องราวตั้งแต่ตอน ๑ ถึงตอน ๑๖ นั้น ผู้เขียนได้เรียบเรียงจากสัมภาษณ์ท่านเชษฐบุรุษเมื่อปี ๒๔๘๔ และได้นำลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ “สุภาพบุรุษ” แล้ว ในการรวบรวมมาพิมพ์เป็นหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนมิได้แก้ไขเพิ่มเติมข้อความอย่างใด ด้วยไม่มีเวลาจะทำได้ถนัด จึงปล่อยไปตามรูปเดิม คำนำนั้นได้เขียนไว้เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม แล้วผู้เขียนก็ขึ้นไปเชียงใหม่ คิดไว้ว่ากลับลงมาจากเชียงใหม่จะไปเยี่ยมท่านเชษฐบุรุษ และทบทวนถามเหตุการณ์ในวันปฏิวัติจากท่านอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้เรียบเรียงตอน ๑๗ คือตอนสุดท้าย

แต่โลกนี้เป็นโลกอนิจจัง ท่านเชษฐบุรุษ ได้ถึงแก่อนิจกรรมโดยปัจจุบันทันด่วนในคืนวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ เวลานั้นการจัดพิมพ์เรื่อง “เบื้องหลังการปฏิวัติ” กำลังดำเนินอยู่ และรอบสุดท้าย ข้าพเจ้ายังไม่ได้พบกับท่านเชษฐบุรุษ และก็ไม่มีโอกาศจะได้พบกับท่านอีกต่อไปแล้ว เรื่องราวในตอนที่ ๑๗ นั้น ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงจากคำสัมภาษณ์นายพลตรีพระประศาสน์พิทยายุทธ ผู้เป็นทหารเสือคนหนึ่งของวันที่ ๒๔ มิถุนายน ข้าพเจ้าได้ไปสัมภาษณ์ท่านนายพล เมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี่เอง ข้อความคำบอกเล่านั้นเป็นคำบอกเล่าจากความจำของท่าน และข้าพเจ้าก็ได้เรียบเรียงลงไว้ตามถ้อยคำของท่าน โดยมิได้สอบถามข้อความเพิ่มเติมจากที่ใดอีก

หนังสือเรื่อง “เบื้องหลังการปฏิวัติ” นี้จะถือว่าเป็นหนังสือแสดงเหตุการณ์เบื้องหลังการปฏิวัติ โดยสมบูรณ์แล้วหาได้ไม่ อันที่จริงหนังสือเล่มนี้ยังอยู่ห่างไกลจากความสมบูรณ์ เพราะเป็นการบรรทึกเหตุการณ์ของนักปฏิวัติกลุ่มนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เหตุการณ์ทางหัวหน้าคณะปฏิวัติกลุ่มอื่น ๆ อีกหลายท่านยังมิได้รับการบรรทึกลงไว้ เช่น เหตุการณ์ทางด้านหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หัวหน้าปฏิวัติฝ่ายพลเรือน ทางด้านหลวงสินธุสงครามชัย หัวหน้าปฏิวัติฝ่ายนายทหารเรือ และทางด้านหลวงพิบูลสงคราม หัวหน้าปฏิวัติฝ่ายนายทหารบกชั้นผู้น้อย

ถ้าข้าพเจ้ามีโอกาศจะบรรทึกเรียบเรียงเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ลงไว้แล้ว ข้าพเจ้าก็ย่อมจะบรรทึกเรียบเรียงลงไว้ตามความเป็นจริงในขณะที่มันได้เกิดขึ้น ความผันแปรแห่งการกระทำและจิตต์ใจของนักปฏิวัติคนใดคนหนึ่งภายหลังนั้นพึงแยกออกพิจารณาต่างหากจากเหตุการณ์ในอดีต การบรรทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นจำต้องใช้ความซื่อตรงเคร่งครัดต่อข้อความจริง และผู้บรรทึกจำต้องแยกข้อความจริงออกจากอารมณ์ความรู้สึกของตนโดยเด็ดขาด

เหตุการณ์ “เบื้องหลังการปฏิวัติ” นั้น เป็นเรื่องที่สมควรจะบรรทึกลงไว้ เป็นเกียรติประวัติของคณะปฏิวัติแน่นอน แต่เหตุการณ์หลังจากที่ได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจนถึงปัจจุบัน ก็มีคุณค่าในการสอบสวนบรรทึกลงไว้ไม่น้อยไปกว่า และจะเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงแก่การศึกษาระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย ซึ่งผู้เขียนมีความสนใจ และตั้งใจจะค้นคว้าเรียบเรียงขึ้นไว้ในภายหน้า

๑๕ ปี ของระบอบประชาธิปไตยได้ให้บทเรียนไว้มากหลาย แก่การที่จะจัดให้ระบอบนี้ดำรงมั่นคงหรือสลายไป ๑๕ ปีของระบอบประชาธิปไตยได้ให้ฉายาใหม่แก่สมาชิกไม่น้อยคนในคณะปฏิวัติ ผู้ได้ฉายาว่าวีรชนในสมัยหนึ่ง เป็นทุรชนในอีกสมัยหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงแห่งฉายาดังกล่าวนี้ ไม่ได้จัดทำขึ้นโดยน้ำมือของมนุษย์ หรือของพระเจ้าองค์ใด หากถูกเปลี่ยนแปลงโดยพฤตติกรรมของผู้เป็นเจ้าของพฤตติกรรมนั้นเอง

พฤตติกรรมของผู้ใดในสมัยที่แสดงออกในรูปของวีรชรก็ควรได้รับการบรรทึกลงไว้ในรูปของวีรชน และพฤตติกรรมของวีรชนคนนั้น ในอีกสมัยหนึ่ง เมื่อได้แสดงออกในรูปของทุรชน ก็ควรได้รับการบรรทึกลงไว้ในรูปของทุรชน วีรชนใด รักษาเกียรติและอุดมคติของตนยืนนานมั่นคงตลอดไป ผู้นั้นก็ย่อมจะได้รับสรรเสริญและเคารพจากประชาชนและประเทศตลอดกาลนานไป

ชีวิตนี้ก็สั้นนัก เนื้อหนังเล่าก็จะทรุดโทรมสลายไปในไม่ช้า การสะสมบริโภคเพื่อความสำราญทางกายก็เป็นความสำราญชั่วแล่น นักการเมืองก็ได้ตายไปมากแล้ว กำลังจะตายอยู่ก็ไม่น้อย และที่จะไปตายในวันข้างหน้าก็เหลือคณานับ แต่พฤตติกรรมความประพฤติของแต่ละคน จะคงอยู่ตลอดไป สำหรับที่จะรับพรเมื่อเป็นกุศลกรรม และรับคำสาปแช่งเมื่อเป็นอกุศลกรรม

ผู้เขียน

๒๗ มีน. ๙๐

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ