๑๖

วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๘๔

สั่งความแก่ภรรยา

เมื่อได้เผยความคิด และได้รับความสนับสนุนเห็นชอบของภรรยาแล้ว พระยาพหลฯ ก็ได้สั่งความแก่เพื่อนร่วมชีวิตของท่าน มีข้อใหญ่ใจความ ๒ ประการ ประการที่ ๑ ถ้าท่านทำการมิสำเร็จ และต้องประสพอันตรายถึงแก่ชีวิตแล้วไซร้ อยู่ภายหลังขอให้คุณหญิงของท่านจงเป็นพยานแก่คนทั้งหลายว่า การที่ตัวท่านคิดการเปลี่ยนการปกครองแผ่นดินครั้งนี้ มิได้หมายจะช่วงชิงเอาราชบัลลังก์ หรือคิดจะล้มราชบัลลังก์แต่ประการใดเลย ความมุ่งหมายจำกัดอยู่แต่เพียงว่า จะให้มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน ให้องค์กษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ และให้มีสภาการปกครองแผ่นดิน เพื่อที่จะเปิดโอกาศให้ผู้น้อยและประชาราษฎร ได้แสดงความคิดเห็นในราชการบ้านเมืองได้บ้าง แทนที่พวกผู้ใหญ่ หรือผู้มีอำนาจจะผูกขาดการแสดงความคิดความเห็นไว้แต่ฝ่ายเดียว โดยไม่ฟังความเห็นของผู้น้อยเลย ดังเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ซึ่งมีแต่จะชักนำบ้านเมืองไปสู่ความหายนะเท่านั้นเอง

เมื่อได้สั่งความข้อแรกแล้ว พระยาพหลฯ ได้สั่งความในเรื่องส่วนตัว เป็นข้อที่สองต่อไปว่า ถ้าท่านหาชีวิตไม่แล้ว ก็ขอให้ตั้งหน้าอบรมเลี้ยงดูบุตรของท่านให้จงดี ให้สมกับที่เขาเกิดมาเป็นบุตรของท่าน และขอให้สงเคราะห์เลี้ยงดูบุคคลซึ่งเป็นที่รักของท่านด้วยความเมตตาอารีดุจเดียวกับท่านเมื่อยังมีชีวิตอยู่

เมื่อได้สั่งความ ๒ ประการ และภรรยาของท่านได้รับคำด้วยความเต็มใจมั่นคงแล้ว พระยาพหลฯ ก็สิ้นกังวล และได้ตั้งหน้าดำเนินการเกี่ยวกับการปฏิวัติการปกครองแผ่นดิน โดยมิได้เป็นห่วงถึงครอบครัวอีกเลย และภรรยาของท่านก็ได้รักษาความลับในเรื่องนี้ไว้อย่างเคร่งครัด สมกับที่ได้รับความไว้วางใจจากสามี แม้จนกระทั่งในวันลงมือทำการปฏิวัติ คือ ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน เมื่อพระยาศรีสิทธิสงครามไปถามหาพระยาพหลฯ ที่บ้าน คุณหญิงของท่านก็มิได้แจ้งให้ปิยมิตรของสามีทราบว่า สามีกำลังทำอะไร และกำลังไปอยู่ที่ไหน พระยาศรีสิทธิสงครามได้ทราบว่าใครเป็นใครในคณะปฏิวัติ ก็ต่อเมื่อได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ในตอนบ่ายวันเดียวกันนั้น

คืนวันที่ ๒๓ มิถุนายน

ในคืนวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันตัดสินความเป็นความตายของคนเรานั้น น้อยคนนักที่จะนอนหลับได้ เพราะว่าในจิตคงจะมีความกระสับกระส่าย ไม่มากก็น้อย แต่ประหลาดที่ภาวะเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแก่จิตต์ใจของท่านหัวหน้าคณะราษฎรเลย พระยาพหลฯ มีจิตต์ใจสงบเยือกเย็นเป็นปกติ จะยิ่งกว่าปรกติไปอีกก็คือ ได้บอกกล่าวร่ำลาภรรยาไปนอนแต่หัวค่ำ ก่อนเข้านอนได้พูดจาสั่งเสียภรรยาของท่านเป็นครั้งสุดท้าย การที่ได้กล่าวคำอำลาสั่งเสียแต่เพลาก่อนเข้านอนนั้น ก็เท่ากับว่า ท่านหัวหน้าคณะราษฎรได้ตั้งใจไว้ว่าในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจะไม่พูดจาร่ำลาอะไรกันอีก

เมื่อได้สั่งความส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็ได้สั่งความเรื่องการงานไว้ว่าเพลาประมาณสามยามครึ่ง พระประศาสน์พิทยายุทธ จะเอารถยนตร์มารับท่านที่บ้าน ฉะนั้นขอให้ปลุกท่านแต่เพลาตีสาม จะได้รับประทานอาหารนิดหน่อยและแต่งตัวไว้ให้เสร็จ อาหารที่จะรับประทานนั้นขอให้ทำโกโก้แต่เพียงถ้วยเดียว ไม่ต้องมีอะไรมากกว่านั้น สั่งความเรียบร้อยแล้วพระยาพหลฯ ก็เข้านอนแต่หัวค่ำ ด้วยใจสงบระงับและปราศจากกังวล ล้มตัวลงนอนไม่กี่นาฑีก็หลับสนิทไป

ฝ่ายภรรยาของท่านนายพันเอก ก็ได้ตระเตรียมการต่าง ๆ เพื่อให้สำเร็จเรียบร้อยตามคำสั่ง และเป็นธรรมดาคุณหญิงย่อมจะเป็นกังวลด้วยภาระกิจอันใหญ่หลวงของสามี และย่อมจะเฝ้าระวังระไวให้การณ์เป็นไปโดยเรียบร้อย ดังนั้นคงจะมิได้หลับนอนแทบตลอดคืน

ในคืนวันนั้นเพลาราวตีสอง คุณหญิงซึ่งคอยเฝ้าระวังระไวเหตุการณ์อยู่ แลเห็นมีรถตำรวจผ่านไปทางหน้าบ้าน ก็หวั่นใจว่าชรอยทางราชการตำรวจสงสัยมาสืบเบาะแสร่องรอยก็เป็นได้กระมัง จึงเข้าไปปลุกสามีแลเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พระยาพหลฯ ทราบว่ามีรถตำรวจผ่านหน้าบ้านไป ก็ชี้แจงแก่ภรรยาว่า ตำรวจเขาออกตรวจการณ์ตามปรกติ มิใช่เป็นเครื่องแสดงภยันตรายอะไรดอก อย่าเป็นกังวลไปเลย แล้วพระยาพหลฯ ได้กล่าวต่อไปว่า พรุ่งนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็มิรู้ ฉะนั้นในค่ำวันนี้ขอนอนให้เต็มตื่นสักหน่อยเถิด นี่ก็เพิ่งตีสอง ยังมีเวลาอีก ๑ ชั่วโมงเต็ม พระยาพหลฯ จึงให้ภรรยาออกมาอยู่ภายนอกแล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อไป และหลับได้สนิทเช่นเคย

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ