คำนำ
เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๔ ข้าพเจ้าได้รับจดหมายฉะบับหนึ่งจากผู้เผด็จการไทย จอมพลพิบูลสงคราม จดหมายฉะบับนั้นได้มีมาถึงข้าพเจ้าในขณะที่ได้มีการกะทบกันอย่างแรง ระหว่างหนังสือพิมพ์ของเรา (“สุภาพบุรุษ”) กับทางการวิทยุกระจายเสียงไทย. อย่างไรก็ดี ท่านผู้เผด็จการไทย ได้เขียนจดหมายฉะบับนั้นถึงข้าพเจ้าด้วยฉันทไมตรีอ่อนหวาน และข้าพเจ้าก็ได้ตอบจดหมายฉะบับนั้นไปด้วยรับรู้ในอัธยาศัยไมตรีของท่านผู้นั้น ต่อมาในวันที่ ๑ กรกฎาคม ข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากผู้เผด็จการไทยฉะบับที่สอง ตอบรับรู้อัธยาศัยไมตรีของข้าพเจ้า จดหมายสองฉะบับนั้นเขียนโดยลายมือของผู้เผด็จการไทยเอง และบรรจุในหน้ากระดาษจดหมายสีเหลืองราวฉะบับละ ๔ หน้า
จดหมายสองฉะบับนั้นมีมูลกำเหนิดมาจากการลงพิมพ์เรื่อง “เบื้องหลังการปฏิวัติ” ในหนังสือพิมพ์ “สุภาพบุรุษ” ระหว่างเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ซึ่งสำนักพิมพ์จำลองสารได้รวบรวมพิมพ์ขึ้นเป็นเล่มดังที่ท่านถืออยู่ในบัดนี้
เมื่อระบอบพิบูลสงครามได้ถูกโค่นล้มลง และตัวท่านผู้นำแห่งระบอบ ได้ออกไปดำรงชีวิตเยี่ยงสามัญชนอยู่ณลำลูกกาตลอดมาจนถึงเวลาหลังๆแล้ว ในระหว่างนั้นได้มีผู้มาขอต่อข้าพเจ้า ๒–๓ ราย เพื่อจะจัดพิมพ์เรื่อง “เบื้องหลังการปฏิวัติ” ขึ้นเป็นเล่ม และขอให้ต่อเรื่องให้จบชุด ในเวลานั้นข้าพเจ้ากำลังเพลินอยู่กับงานในหน้าที่ ทั้งไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนั้นเลย ด้วยมิได้ถือว่าเป็นงานสลักสำคัญอะไร ข้าพเจ้าจึงได้ตอบขอผัดผ่อนการพิจารณาออกไป หรือนัยหนึ่งตอบปฏิเสธไปโดยสุภาพ
ระหว่างนั้นมิตรบางคนได้ทราบเรื่อง ก็มาพูดตักเตือนว่า “อย่าทำเป็นบ้า เรื่องมันเปย์ คนยังจำและทึ่งกันอยู่ บอกให้เขาไปเสียเถอะ จะได้เงินใช้ก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง” ท่านผู้อ่านควรจะทราบว่า เมื่อข้าพเจ้าบอกว่ามีผู้มาขอพิมพ์เรื่องนั้นเรื่องนี้ของเรานั้น เขามิได้มาขอเราเปล่า ๆ ดอก เขาย่อมจะจ่ายเงินตอบแทนให้เราจำนวนหนึ่ง มากหรือน้อยสุดแต่ค่าของเรื่องนั้น หรือบางทีก็สุดแต่ความใจดีของเขา หรือบางทีก็สุดแต่ความใจดีของเรา หรือบางทีก็สุดแต่ว่าเรากำลังรวยอยู่หรือจนอยู่ นัยหนึ่งความต้องการเงินของเรากำลังอยู่ในเตาอบหรือกำลังอยู่ในตู้เย็น
จะว่าเป็นเคราะห์ร้ายหรือเคราะห์ดีก็ตาม พวกเรามากคนดูเหมือนจะต้องคำสาปมาข้อหนึ่งว่า ถ้ามีรายได้พอบำรุงฐานะให้ดำเนินชีวิตราบรื่นไปได้เยี่ยงปรกติชนคนธรรมดาทั่วไปแล้ว เขตต์แดนแห่งการแสวงหาของเราก็จบลงเพียงเท่านั้น พ้นแดนนั้นออกไปจมูกของเราก็มิได้กลิ่นเงินเลย นอกเสียจากในเวลาที่เราขัดสนจนยากซึ่งเป็นธรรมดาย่อมจะมาสู่คนเช่นเราเป็นครั้งคราว และนอกเสียจากในเวลาที่เรามีความต้องการใช้เงินในกรณีพิเศษเป็นครั้งคราวแล้ว เราก็ไม่สู้กระตือรือร้นเท่าใด ในการที่จะได้เงินมาเพิ่มเติมส่วนที่เราถือว่าเป็นการพอเพียงแก่การดำรงชีวิตและดำรงฐานะของเราอยู่แล้ว และโดยปรกติเราก็ควรและมักจะมีรายได้จากการปฏิบัติหน้าที่ตามปรกติของเรา พอควรแก่การดำรงฐานะ
โดยเหตุแห่งคำสาปดังกล่าวนั้น ทั้งที่ได้มีผู้มาขอพิมพ์เรื่อง “เบื้องหลังการปฏิวัติ” จากข้าพเจ้าเป็นเวลาร่วม ๒ ปีมาแล้ว เรื่องนั้นก็ยังมิได้จัดพิมพ์ขึ้น จนกระทั่งเมื่อ ๕–๖ เดือนมานี้ เจ้าของสำนักพิมพ์รายที่ ๓ หรือที่ ๔ คือ คุณสนิท กิจเลิศ ได้มาพบข้าพเจ้าที่สำนักงาน ออกปากขอพิมพ์เรื่องนั้น ข้าพเจ้าขอเวลารวบรวมเรื่องและตรวจดูก่อน ในทันใดนั้นคุณสนิทก็ได้ส่งม้วนเรื่องทั้งหมดให้แก่ข้าพเจ้า พลางพูดว่า “ผมจัดรวบรวมเรื่อง สำหรับคุณจะได้ตรวจเรียบร้อยแล้วครับ” ข้าพเจ้าก็รับม้วนเรื่องนั้นมา พร้อมกับคำนึงนึกอยู่ในใจว่า “เขาเป็นผู้มีอุตสาหะและมีการตระเตรียมดี สมควรที่เขาจะได้รับตามที่เขาปรารถนา” อีกประการหนึ่งคุณสนิทเป็นคนเคยทำงานอยู่ในสำนักของเรามาแต่ก่อน ข้าพเจ้ามีความปราณีเธอ และใคร่จะส่งเสริมกิจการของเธอ จึงได้รับปากลงคำไว้ว่าข้าพเจ้าจะจัดให้เธอได้พิมพ์สมปรารถนา ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็มัวเพลินอยู่กับงานในหน้าที่เรื่อยมา จนกระทั่งถึงเดือนธันวาคมที่แล้ว ข้าพเจ้าดำริห์กิจเกี่ยวกับการศึกษาในเดือนสองเดือนข้างหน้า และจำเป็นจะต้องรวบรวมเงินพิเศษก้อนหนึ่ง เพื่อใช้ในการนั้น ข้าพเจ้าจึงลงมือพิจารณาเรื่อง “เบื้องหลังการปฏิวัติ” และได้แจ้งให้คุณสนิททราบตามความเป็นจริงว่า การที่เธอจะจัดพิมพ์ “เบื้องหลังการปฏิวัติ” และมอบเงินจำนวนหนึ่งแก่ข้าพเจ้านั้น บัดนี้ได้กลายมาเป็นการอนุเคราะห์ความปรารถนาของข้าพเจ้าไป
เหตุอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ามิสู้กระตือรือร้นในการจัดพิมพ์หนังสือเรื่องนี้ขึ้นเป็นเล่มนั้นก็คือ ความมุ่งหมายพิเศษของข้าพเจ้าในการเขียนเรื่องนี้ อยู่ที่จะหาวิธีใหม่ต่อต้านมรสุมของระบอบเผด็จการในเวลานั้น ข้าพเจ้านำพฤตติการณ์ของการปฏิวัติมาเรียบเรียงลงไว้ก็ประสงค์จะให้เป็นข้อตักเตือนแก่นักปฏิวัติกลุ่มหนึ่งที่ถืออำนาจการปกครองในสมัยนั้น ได้สำเหนียกถึงอุดมคติของการปฏิวัติว่า เขาได้แสดงไว้อย่างไร และความประพฤติที่เขาปฏิบัติอยู่เป็นปฏิปักษ์ต่ออุดมคติของเขาอย่างไร ข้าพเจ้าหวังจะให้เขาเหล่านั้นบังเกิดความละอายใจ และได้สำนึกตนว่า เมื่อเขาทรยศต่ออุดมคติของเขา ซึ่งในเวลาต่อมาได้กลายเป็นอุดมคติของประชาชนไปแล้ว ก็เท่ากับว่าเขาได้ทรยศต่อประชาชนนั่นเอง เมื่อเป็นดังนั้น เขาก็จะหวังได้รับนับถือและความสนับสนุนจากประชาชนต่อไปไม่ได้ เมื่อข้าพเจ้ามีความมุ่งหมายพิเศษดังกล่าวเช่นนี้ และเมื่อสมัยของการปกครองอันเป็นที่ชิงชังของประชาชนได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า กิจของเรื่องนั้นได้เสร็จสิ้นลงในส่วนหนึ่ง และดังนั้นจึงมิได้หวลคำนึงถึงมันอีก
แต่เรื่อง “เบื้องหลังการปฏิวัติ” นั้น มันก็มีประวัติของมันอยู่ และมีพฤตติการณ์บางเรื่องเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ที่ยังมิได้รับการเปิดเผย ฉะนั้นหากข้าพเจ้าจะลำดับและชี้แจงเหตุการณ์ทั้งที่ได้เปิดเผยแล้วและยังมิได้เปิดเผยไว้ในที่นี้ ก็จะทำให้การพิมพ์หนังสือเรื่องนี้สมบูรณ์ขึ้น ข้าพเจ้าเรียบเรียงเรื่องนี้จากการสัมภาษณ์ท่านเชษฐบุรุษ เจ้าคุณพหลพลพยุหเสนา เมื่อหนังสือพิมพ์ของเราได้นำเรื่องนี้ลงพิมพ์เป็นครั้งแรกในวันที่ ๔ พฤษภาคม ท่านเชษฐบุรุษก็เชิญข้าพเจ้าไปพบณวังปารุสกวันและแจ้งให้ทราบว่า มีผู้ก่อการผู้หนึ่งมาพบท่าน และเรียนให้ท่านทราบเป็นใจความว่า เรื่อง “เบื้องหลังการปฏิวัติ” ที่ท่านให้สัมภาษณ์แก่ข้าพเจ้านั้น อาจก่อความกระทบกระเทือนใจแก่ผู้ก่อการชั้นผู้ใหญ่บางคนได้ ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจกันว่า หมายถึงผู้เผด็จการหรือผู้นำของไทยในเวลานั้น และขอให้แจ้งแก่ข้าพเจ้าให้ระงับการลงพิมพ์เสีย ท่านเจ้าคุณจึงปรารภแก่ข้าพเจ้าว่า เมื่อมีผู้ก่อการเขามาทักท้วงเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าจะพอใจหรือไม่ ที่จะรับคำทักท้วงของผู้นั้น ข้าพเจ้าได้เรียนให้ท่านทราบว่า การเรียบเรียงเรื่องนี้ก็ดี การวินิจฉัยในการลงพิมพ์ก็ดี เป็นกิจของข้าพเจ้า หาใช่กิจของผู้ก่อการผู้นั้นหรือของผู้ก่อการผู้ใดไม่ อย่างไรก็ดี ถ้าเป็นคำขอของท่านเชษฐบุรุษผู้เป็นเจ้าของเรื่องเองแล้ว ข้าพเจ้าก็จะรับคำขอของท่านไว้ใคร่ครวญด้วยความเคารพ และถ้าท่านมีเหตุผลในข้อที่ไม่สมควรจะลงพิมพ์ และขอต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะงดการลงพิมพ์ให้ ท่านเชษฐบุรุษจึงว่า ท่านก็กล่าวไม่ได้ว่า ท่านมีเหตุผลในข้อที่ไม่สมควรจะลงพิมพ์ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงสรุปว่า ท่านโปรดแจ้งแก่ผู้ก่อการผู้นั้นเถิดว่า ข้าพเจ้าทราบข้อทักท้วงของเขาจากท่านครบถ้วนแล้ว และข้าพเจ้าจะเป็นผู้วินิจฉัยต่อไป ก็เป็นที่ตกลงกันตามนั้นระหว่างท่านเชษฐบุรุษกับข้าพเจ้า
และข้อวินิจฉัยของข้าพเจ้าก็คือ ดำเนินการพิมพ์เรื่องนั้นต่อไป จากวันที่ ๔ พฤษภาคม จนถึงวันที่ ๑๑ มิถุนายน รวมเรื่องที่พิมพ์ลงแล้วทั้งหมด ๑๖ ตอน ระหว่างเวลานั้นสำนักของเราก็ได้รับรายงานว่า ได้มีความเดือดดาลกันมากในวงการของวังสวนกุหลาบ และได้มีความดำริที่จะจัดหาวิธีการอย่างใดที่จะให้เรางดพิมพ์เรื่องนั้นจนได้ ฉะนั้น ในคืนวันที่ ๑๑ มิถุนายน วิทยุกระจายเสียงไทย ในความอำนวยการของพระราชธรรมนิเทศ ก็ตวาดแหวออกมาทางบทสนทนาของนายมั่นนายคง วิทยุกระจายเสียงไทย ได้ดำเนินการโฆษณาบดขยี้เรื่อง “เบื้องหลังการปฏิวัติ” อยู่ ๔ คืน และหนังสือพิมพ์ของเราก็ได้ลงพิมพ์คำแถลงตอบวิทยุกระจายเสียงครบถ้วน ๔ ครั้งเหมือนกัน การโจมตีของวิทยุกระจายเสียงไทย มีข้อความสาระสำคัญอย่างไรนั้น มีปรากฏอยู่ในคำแถลงตอบของเรา ดังได้ประมวลมาลงพิมพ์ไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อมีการใช้วิทยุกระจายเสียงของประเทศ เจาะจงเล่นงานหนังสือพิมพ์ของเราเอาดื้อ ๆ เป็นการเอิกเกริกครึกโครมกลางเมืองเช่นนั้นแล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกลุ่มหนึ่งทนดูพฤตติการณ์วิปริตผิดวิสัยเช่นนั้นต่อไปไม่ได้ จึงได้เข้าชื่อกันมีหนังสือตั้งข้อถามทำนองประท้วงไปยังจอมพล พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีก็ได้มีหนังสือตอบข้อประท้วงของสมาชิกสภากลุ่มนั้นดังที่ได้รวบรวมมาลงพิมพ์ไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว ข้อความคำตอบของนายกรัฐมนตรี เป็นคำตอบที่ตรงประเด็นและมีน้ำหนักเพียงใด หรือมีความวิปริตฟั่นเฟือนอย่างใดในคำตอบนั้น หนังสือพิมพ์ของเรามิได้ทำคำวิจารณ์ลงไว้ในเวลานั้น ถึงแม้ในขณะนี้ก็ดี ข้าพเจ้าก็ยังไม่มีความประสงค์จะทำคำวิจารณ์ในเรื่องนั้น ในที่นี้ข้าพเจ้ามีความประสงค์แต่เพียงจะลำดับเหตุการณ์ในรูปของประวัติการณ์ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในเวลานั้น และเท่าที่เกี่ยวแก่เรื่อง “เบื้องหลังการปฏิวัติ” เท่านั้น
ภายหลังที่ จอมพลพิบูลสงคราม ได้มีหนังสือตอบข้อถามของสมาชิกสภา และหนังสือพิมพ์ “สุภาพบุรุษ” ก็ได้ลงพิมพ์จดหมายของจอมพล ด้วยความสมัครใจของเราเอง เพื่อที่จะให้ประชาชนได้พิจารณาภูมิสติปัญญาของประมุขแห่งรัฐบาลผู้มีอำนาจเกรียงไกรโดยเสรีแล้ว ในวันต่อมาข้าพเจ้าได้รับจดหมายจาก จอมพลพิบูลสงคราม ฉะบับหนึ่ง พร้อมกับรายงานของมิตรผู้ใกล้ชิดกับวงการของวังสวนกุหลาบว่า เมื่อวิทยุกระจายเสียงไทย ได้นำหนังสือของจอมพลตอบสมาชิกสภาออกอ่านทางวิทยุกระจายเสียง และเมื่อจอมพล ได้ฟังคำตอบของตัวเองจากทางวิทยุกระจายเสียงแล้ว ก็รู้สึกขึ้นว่า ข้อความคำตอบนั้น ถึงแม้เป็นคำตอบสมาชิกสภาก็ดี แต่ก็มีเรื่องของข้าพเจ้าเป็นเป้าแห่งพฤตติการณ์ ฉะนั้น ข้อความคำตอบนั้นก็จะกระทบกระเทือนใจข้าพเจ้าเป็นธรรมดา ผู้รายงานได้กล่าวว่า ด้วยรู้สึกเช่นนั้น และด้วยระลึกถึงไมตรีที่เคยมีอยู่ต่อกัน จอมพลจึงได้เขียนจดหมายส่วนตัวมาถึงข้าพเจ้า ด้วยฉันทไมตรี ประโลมใจ ข้าพเจ้าก็ตอบขอบคุณไปในส่วนกิริยาดีและน้ำใจไมตรีที่ท่านผู้นั้นได้แสดงต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้บอกไปในจดหมายนั้นด้วยว่า ถึงแม้มีความผูกพันฉันทไมตรีและนับถือกันอยู่ก็ดี แต่ตราบเท่าที่อยู่ในหน้าที่แล้ว เมื่อมีเหตุการณ์สลักสำคัญที่จะต้องวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ข้าพเจ้าก็จำเป็นจะต้องกระทำต่อไป. เพื่อจะหลีกเลี่ยงการกระทบกันรุนแรงในเวลาข้างหน้าก็มีทางเลือกอยู่แต่ทางหนึ่ง คือ ข้าพเจ้าจะสละตำแหน่งและวางมือจากวงการหนังสือพิมพ์เสีย เมื่อส่งจดหมายตอบไปแล้ว จอมพลได้ส่งจดหมายตอบมาเป็นฉะบับที่สอง กล่าวข้อความอันรื่นฤดี จอมพลได้ตอบข้อเสนอสละตำแหน่งของข้าพเจ้าว่า ขออย่าสละตำแหน่งและวางมือเสียจากวงการหนังสือพิมพ์เลย เวลานั้นข้าพเจ้าได้รับเลือกเป็นประธานกรรมการก่อตั้งสมาคมหนังสือพิมพ์ จอมพลจึงว่า ขอได้อยู่ช่วยเป็นหัวแรงก่อตั้งสมาคมหนังสือพิมพ์และทำนุบำรุงสมาคมต่อไป ส่วนการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนั้น ข้าพเจ้าจงนอนใจว่า นายกรัฐมนตรีผู้ถือข้าพเจ้าเป็นมิตรคนหนึ่งจะไม่คิดร้ายเลย ข้าพเจ้าก็ตอบขอบคุณและดำเนินการงานต่อไป ข้าพเจ้าไม่เสนอข้อความในจดหมายสองฉะบับของจอมพลในที่นี้โดยละเอียด ก็เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะเขียนประวัติการงานทั่วไปในที่นี้ และดังที่กล่าวแล้ว ข้าพเจ้าประสงค์เพียงแต่จะลำดับเหตุการณ์ส่วนที่เกี่ยวกับเรื่อง “เบื้องหลังการปฏิวัติ” เท่านั้น
ต่อจากนั้นมาไม่นาน รัฐบาลจอมพลก็ได้ปฏิบัติงานหลายอย่าง ซึ่งเป็นเหตุให้การปะทะกันอย่างแรงระหว่างหนังสือพิมพ์ของเรากับรัฐบาลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กรณีแรกก็คือเมื่อรัฐบาลได้จัดดำเนินการให้มีการยืดบทฉะเพาะกาลรัฐธรรมนูญ หนังสือพิมพ์ของเราก็จำเป็นต้องทำการขัดขวางคัดค้าน โดยลงพิมพ์บทความเห็นติดต่อกันหลายวัน เหตุการณ์ตอนนี้ก็มีหลังฉากของมัน ซึ่งข้าพเจ้าจะขอผ่านไป. กรณีต่อมา ได้แก่การที่รัฐบาลได้เข้าบีบบับคับเสรีภาพส่วนตัวบุคคล ซึ่งในการใช้เสรีภาพเหล่านั้นไม่เป็นการกระทบกระเทือนต่อสวัสดิภาพของประชาชนเลย เช่นในกรณีการแต่งกาย รัฐบาลได้บังคับโดยปริยาย ให้ประชาชนสวมหมวก ให้เลิกนุ่งผ้าจูงกระเบนตามประเพณีไทย และการบีบบังคับในประการอื่น ๆ ถึงแก่เจ้าหน้าที่ได้จับกุมและปรับผู้ไม่แต่งกายตามประสงค์ของรัฐบาล การปะทะกันอย่างแรงครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างหนังสือพิมพ์ของเรากับรัฐบาลได้แก่กรณีที่ทางฝ่ายรัฐบาลริเริ่มการฟื้นฟูบรรดาศักดิ์ขุนนางอย่างมโหฬาร โดยมีความดำริกันว่า จะสถาปนาท่านผู้นำและสมัครพรรคพวกบริวาร ขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพญา เจ้าพญา ท่านพญา รวมทั้งสมเด็จเจ้าพญาหญิง เจ้าพญาหญิง ท่านพญาหญิง เป็นลำดับ เมื่อปรากฏรูปความคิดเห็นของนักปฏิวัติจอมพลและกลุ่มจอมพลออกมาดังนี้ ข้าพเจ้าก็เห็นแน่ว่าจอมพลและนักปฏิวัติกลุ่มนั้น ได้ประหารอุดมคติของเขาวินาศย่อยยับสิ้นเชิงลงแล้ว เราได้ให้โอกาศนานพอแก่คนพวกนั้น ที่จะปรับปรุงความคิดเห็นของเขาเสียใหม่ แต่เขาก็มีแต่จะรุดหน้าไปในทางที่มิใช่เป็นที่นัดพบของเราตามที่เขาได้สัญญาและเราก็ได้เข้ารับเอาสัญญานั้น นับแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕. ฉะนั้นเราก็จำเป็นต้องหันหลังให้กันแม้ว่าจะได้มีไมตรีต่อกัน เพื่อที่จะได้ไปสู่ที่นัดพบของเรา โดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องมีเขาเหล่านั้นร่วมทางไป. กรณีริเริ่มศักราชขุนนางแบบมโหฬารเป็นจุดเข้าตีอย่างแรงของเรา และนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องเดียวที่การต่อต้านของหนังสือพิมพ์ของเรา ร่วมกับเพื่อนหนังสือพิมพ์อีกบางฉะบับ ได้รับความสำเร็จอย่างเป็นที่พอใจ เพราะความดำริฟื้นฟูระบบขุนนางแบบมโหฬารได้ระงับพับลงในวาระนั้น และก็ไม่มีการดำริขึ้นอีกเลยในเวลาต่อมา
ชัยชนะของเราในเรื่องนั้น ได้นำเราไปพบความวิบัติในวันที่ ๑๗ มกราคม แห่งปีเริ่มสงครามเอเซีย ในเวลานั้นจอมพลก็มิได้เขียนจดหมายส่วนตัวมาประโลมใจข้าพเจ้าอีก และข้าพเจ้าก็มิได้รับโอกาศให้เลือกว่าจะพอใจสละตำแหน่งหรือไม่ มาถึงเวลานั้นข้าพเจ้าก็ถูกบังคับโดยอำนาจทีเดียว แต่ข้าพเจ้าไม่คิดว่า ข้าพเจ้าได้รับความผิดหวังอะไร การณ์ดำเนินไปตามกฎแห่งกรรม
ข้าพเจ้าไม่จดจำเหตุการณ์ร้ายสำหรับที่จะตอบแทนผู้ใดในทางส่วนตัวเลย เราได้มาพบ เราได้ปะทะกันแล้ว เราก็จะต้องผ่านไปสู่เหตุการณ์ใหม่ การปะทะใหม่ กับคนใหม่ หรือมิฉะนั้นก็ไปสู่การหลีกเลี่ยงต่อการปะทะ ไปสู่การประนอมการอดกลั้นและความสงบเย็น แล้วก็หยุดยั้งอยู่หรือผ่านไปอีก นี่คือชีวิต นี่เป็นสังสารโลก
แต่แน่ละ ข้าพเจ้าย่อมจดจำเหตุการณ์ร้ายและเหตุการณ์ดีที่ได้ประสพมาในชีวิต เพื่อแสวงหาทางไปสู่สัจจธรรม ความถูกต้อง และหลักการที่มีความดีงามยั่งยืน หลักการแห่งความอยู่ร่วมอันสงบผาสุกของมวลมนุษย์
กุหลาบ สายประดิษฐ์
ซอยพระนาง สนามเป้า
๒๐ มกราคม ๒๔๙๐