ตอนที่ ๑ ออกจากเมืองปินัง ไปเมืองร่างกุ้ง

ณ วันเสาร์ที่ ๑๘ มกราคม พ.ค. ๒๔๗๘ เวลา ๑๐.๓๐ นาฬิกา ออกจาก Cinnamon Hall ไปลงเรือไฟเล็กของรัฐบาล ที่เจ้าเมืองสั่งให้คอยรับที่ท่า Victoria Pier พาไปส่งขึ้นเรือเมล์ชื่อกะระโคลา Karacola ของบริษัทบริติชอินเดีย British India อันทอดสมออยู่กลางอ่าว พวกไทยที่มาอยู่ปินังด้วยกันมีแก่ใจไปส่งโดยมาก ส่งเพียงท่าเรือบ้าง ตามไปส่งถึงเรือใหญ่บ้าง ผู้ที่จะไปด้วยกันมีลูกหญิงพูน หญิงพิลัย หญิงเหลือ ซึ่งเคยเป็นเพื่อนเที่ยวมาแต่ครั้งไปเมืองเขมรและเมืองชะวาทั้ง ๓ คน กับพระองค์หญิงใหญ่ ศิริรัตนบุษบง ของสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เธออยากเห็นเมืองพะม่าจึงชวนไปด้วยอีกพระองค์หนึ่ง รวมไปด้วยกัน ๖ คนทั้งนายชิตคนรับใช้ ซึ่งเคยไปเมืองสุมาตราและเมืองชะวามาด้วยกันแต่ก่อน ลงเรือแล้วต้องคอยอยู่กว่าชั่วโมงเรือจึงออกเมื่อเวลาเที่ยงครึ่ง พวกเราด่วนลงเรือเพราะเมื่อไปซื้อตั๋วเดินทางถามถึงเวลาเรือออก พวกเอเย่นต์เขาบอกว่าจะออกเวลา ๑๑.๓๐ นาฬิกา เราไม่รู้เท่าว่าเขาบอกผ่านชั่วโมงหนึ่งเพราะคนโดยสารมักโอ้เอ้ เขาผ่านเวลาไว้สำหรับคนโดยสารจะได้ไปรวมกันที่ท่า พอก่อนเรือออกสัก ๓๐ นาฑีจึงเอาเรือไฟเล็กรับรวมกันไปลงเรือใหญ่ พวกเราไปเรือช่วงของรัฐบาล จึงไม่รู้วิธีของเขา คนโดยสารชาติอื่นๆ จะไปเมืองพะม่าในเรือลำเดียวกับพวกเราก็มีมาก เพราะเป็นฤดูสำหรับเที่ยวเตร่เมืองพะม่าและอินเดีย และมีเรือของบริษัทนี้สายเดียวที่รับคนโดยสารไปมาในระหว่างเมืองปินังกับเมืองร่างกุ้ง โดยมีวันกำหนดแน่นอนคือออกจากเมืองปินังวันเสาร์ถึงเมืองร่างกุ้งวันอังคาร และกลับจากเมืองร่างกุ้งวันพฤหัสบดีถึงเมืองปินังวันอาทิตย์เสมอเป็นนิตย์ นอกจากเรือสายนี้รู้ไม่ได้แน่ว่าจะมีเรือบริษัทไหนไปเมืองร่างกุ้งเมื่อใด เรือของบริษัทบริติชอินเดียจึงเหมือนผูกขาดรับส่งคนโดยสารในทางที่ว่ามา

บริษัทบริติชอินเดียเป็นบริษัทใหญ่ ตั้งหลักแหล่งอยู่ ณ เมืองกาลกัตตา มีเรือกำปั่นไฟกว่าร้อยลำ เรือของบริษัทนี้เที่ยวรับส่งคนโดยสารและสินค้าตามเมืองต่างๆ ตลอดน่านน้ำในอินเดีย และมีเรือเดินในระหว่างอินเดียกับประเทศอื่นๆ ก็หลายสาย เรือเมล์ที่เดินระหว่างเมืองสิงคโปร์กับกรุงเทพฯ ก็เป็นของบริษัทนี้ บรรดาเรือของบริษัทบริติชอินเดีย พอเห็นก็รู้ได้ด้วยปล่องไฟทาสีดำมีแถบขาวคาดเส้นดำเป็นสำคัญ เหมือนกันหมดทุกลำ ลำชื่อกะระโคลาที่พวกเราไปขนาด ๗๐๐๐ ตัน อยู่ในประเภทที่เรียกว่า “เรือรับส่งคนโดยสารกับสินค้า” Passenger and Cargo-Boat ตามที่กำหนดลักษณะเรือเดินระหว่างประเทศ ยังมีเรือที่เรียกว่า “เรือรับคนโดยสาร” Passenger Boat รับคนโดยสารเป็นสำคัญ เช่นเรือเมล์ของบริษัทปีแอนด์โอ P. & O. เป็นต้นอีกประเภทหนึ่ง กับ “เรือรับสินค้ากับคนโดยสาร” Cargo and Passenger-Boat คือเรือสำหรับรับสินค้าแต่มีห้องสำหรับรับคนโดยสารไปเพียงสี่ห้าคนอีกประเภทหนึ่ง เรือทั้ง ๓ ประเภทนี้ผิดกันที่เรือรับคนโดยสารถึงเร็วแต่เรียกค่าโดยสารแพงหน่อย เรือรับคนโดยสารกับสินค้าถึงช้ากว่าเพราะต้องใช้เวลาจอดรับสินค้าด้วย แต่เรียกค่าโดยสารถูกลงเป็นปานกลาง ส่วนเรือรับสินค้ากับคนโดยสารนั้นมีสินค้าที่ไหนก็หยุดรับทุกแห่ง ไปถึงช้ากว่าเพื่อนแต่เรียกค่าโดยสารก็ถูกกว่าเพื่อน สังเกตดูเรือกำปั่นที่ไปมาทางเมืองปินังอยู่ในประเภทที่รับคนโดยสารกับสินค้าเหมือนอย่างเรือลำที่เราไปนี้โดยมาก เรือกำปั่นยนต์ของบริษัทอิสต์เอเซียติคก็อยู่ในประเภทเดียวกัน เรือของบริษัทบริติชอินเดียแปลกกับเรือบริษัทอื่นอีกอย่างหนึ่ง ที่คนในเรือนอกจากฝรั่งอังกฤษ ใช้แต่ล้วนแขกชาวอินเดีย จีนหามีไม่ แขกชาวอินเดียก็ใช้ต่างกันเป็นสองเหล่า เหล่ากะลาสีสำหรับการเดินเรือใช้พวกแขกลัสคาร์ซึ่งถือศาสนาอิสลาม เพราะพวกแขกอิสลามไม่ถือคติชาติตระกูลเหมือนพวกฮินดูและไม่กินเหล้าด้วย แต่เหล่าคนใช้ในการปฏิบัติเช่นบ๋อยและกุ๊ก ใช้แขกชาวอินเดียพวกที่ถือศาสนาคริสตังมาแต่เมืองโคว์อันเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกศเป็นพื้น เพราะไม่ถือคติรังเกียจอาหารเช่นเนื้อหมูและเนื้อโคเป็นต้น เลยเป็นช่องอาชีพของชาวอินเดียสองจำพวกนั้นรับจ้างสืบตระกูลกันมาช้านาน ประหลาดอยู่ที่กะลาสีแขกลัสคาร์ไม่ว่าเดินเรือบริษัทไหน ใช้เครื่องแต่งตัวแบบเดียวกันหมด คือใส่เสื้อผ้าเขียวครามชายยาวถึงเข่า นุ่งกางเกงยาวสีเดียวกัน มีผ้าสีแดงคาดเอวและโพกหัวทั้งนั้น ฝรั่งหรือแขกจะคิดแบบขึ้นไม่ทราบ แต่เห็นจะแต่งเช่นนี้มานับด้วยร้อยปีแล้ว ด้วยเคยเห็นรูปภาพแขกแต่งตัวอย่างนี้มีตามวัดที่เขียนแต่ในรัชชกาลที่ ๓ แต่พวกบ๋อยนั้นแต่งตัวใส่เสื้อปิดคอนุ่งกางเกงผ้าขาวอย่างฝรั่ง ไม่ใส่หมวกหรือผ้าโพก

ลักษณะการที่ไปในเรือเมล์ไม่ว่าเรือของบริษัทไหน เป็นทำนองเดียวกันหมด เจ้าของเรือเอาใจใส่ให้คนโดยสารกินอยู่เล่นหัวเป็นสุขสบายหมดทุกอย่างที่จะทำได้ ส่วนคนโดยสารต่างชาติต่างภาษาเมื่อแรกลงเรือไม่คุ้นกันต่างพวกต่างก็อยู่ตามพวกของตน แต่พอข้ามวันก็เริ่มวิสสาสะคุ้นกันและกันยิ่งขึ้นทุกที พวกเราที่ไปก็เป็นเช่นนั้น วันแรกลงเรือไม่รู้จักกับใคร พอถึงวันที่ ๒ มีหญิงอเมริกันคนหนึ่งขอให้กัปตันพามาหาฉัน บอกว่าได้เข้าไปกรุงเทพ ฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ไปอยู่กับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยคนหนึ่งได้ยินเขาพูดถึงฉันจึงอยากรู้จัก เมื่อรู้จักกันแล้วแกก็เลยไปพาเพื่อนโดยสารคนอื่นให้มารู้จักอีก พอวันที่ ๓ ก็คุ้นกันแทบทั้งหมด ทางทะเลไปเมืองพะม่าฤดูนี้เรียบดี มีคลื่นใต้น้ำพอเรือกะเทือน ทำให้คนขี้เมาเมาคลื่นเมื่อผ่านเมืองระนองคืนหนึ่งเท่านั้น แล่นเรือสองวันครึ่ง ใกล้จะถึงปากน้ำเมืองร่างกุ้งก็เริ่มทำพิธีสำหรับคนจะเข้าเมือง สมุห์บัญชี Purser สำหรับเรือให้เอากระดาษแบบพิมพ์มาแจกคนโดยสาร ให้เขียนบอกจำนวนสิ่งของต่างๆ ซึ่งจะต้องลงทะเบียนตามกฎหมายเช่น ปืนผาอาวุธ เป็นต้น กับทั้งสิ่งของที่จะต้องเสียภาษี ส่วนพวกเราบอกให้เขียนเพียงว่ามีแต่ของสำหรับใช้สอยส่วนตัวเท่านั้น ก็เป็นอันพอใจ เขาสั่งบรรดาคนโดยสารให้เตรียมตัวให้เจ้าพนักงานตรวจแต่เวลาเช้า ๖ นาฬิกาด้วย

วันอังคารที่ ๒๑ มกราคม เรือถึงปากน้ำร่างกุ้งตั้งแต่ดึก ปากน้ำร่างกุ้งไม่มีประภาคาร เพราะพื้นดินในทะเลเป็นเลนลึกออกไปไกลปลูกประภาคารไม่ได้ ต้องใช้เรือจุดโคม Lightship ทอดรายตามร่องน้ำเป็นสำคัญ เรือเข้าออกได้ทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อเรือเข้าปากน้ำแล้วยังต้องแล่นในแม่น้ำขึ้นไปทาง ๒๐ ไมล์จึงถึงเมืองร่างกุ้ง ลำน้ำตอนก่อนถึงเมืองได้แลเห็นเมื่อขากลับเวลาบ่าย มีทางแยกไปสองฝ่าย ฝ่ายตะวันออกไปได้ถึงแม่น้ำสะโตง ทางฝ่ายตะวันตกไปได้ถึงแม่น้ำเอราวดี ลำน้ำร่างกุ้งอยู่กลางน้ำลึกกว่าเพื่อน เมืองร่างกุ้งจึงเป็นเมืองสำคัญในการไปมาค้าขาย ตอนข้างใต้ในระหว่างปากน้ำกับที่ตั้งเมือง ทางฝ่ายตะวันออกทำที่ตั้งโรงกลั่นน้ำมันดิน Petrol ใหญ่โตถึง ๓ ตำบล มีถังใหญ่ใส่น้ำมันนับไม่ถ้วน บ่อน้ำมันดิบอยู่ไกลจนเกือบถึงเมืองพุกาม ระยะทางถ้าจะเดินบกก็เห็นจะราวสัก ๗ วัน เขาพยายามฝังท่อปล่อยน้ำมันดิบให้ไหลมาจากตำบลที่ขุดจนถึงโรงกลั่นได้ ดูจะลงทุนมากนักหนา แต่เป็นสมบัติสำคัญอย่างยิ่งของอังกฤษแห่งหนึ่ง ซึ่งจะต้องรักษาจนสุดกำลัง พอรุ่งสว่างเรือก็ถึงเมืองร่างกุ้ง ต้องทอดสมออยู่ข้างใต้เมืองเพื่อให้ตรวจตราเสียก่อน มีตำรวจกับเจ้าหน้าที่ต่างๆ ลงมาแยกกันนั่งเป็น ๓ กอง ส่วนคนโดยสารที่จะรีบขึ้นบกเช่นพวกเราก็แต่งตัวเตรียมพร้อมเมื่อเรือถึง พวกที่ยังจะอยู่ในเรือก็ยังไม่แต่งตัว เป็นแต่ใส่เสื้อยาว Dressing gown พากันขึ้นไปหาเจ้าหน้าที่ เขามีบัญชีชื่อซึ่งนายเรือทำยื่นไว้แล้ว พนักงานกองตรวจโรคมีหมอผู้ชายสำหรับตรวจผู้ชายคน ๑ หมอผู้หญิงสำหรับตรวจผู้หญิงคน ๑ ลักษณะการตรวจนั้น คนโดยสารชั้นที่ ๑ หมอแลดูหน้า ถามชื่อจดแต้มในบัญชีแล้วก็เป็นเสร็จ กองตรวจคนเข้าเมืองเรียกเอาหนังสือเดินทางไปตรวจสอบ เมื่อเห็นถูกต้องประทับตราให้เป็นสำคัญแล้วเป็นเสร็จ กองศุลกากรเห็นจะกำหนดจำนวนเงินถ้าต้องเสียภาษีสิ่งของที่พาเข้าไป เมื่อขึ้นบกเขายังเปิดหีบผ้าผ่อนค้นตรวจอีกครั้งหนึ่ง ที่พรรณนามานี้ว่าแต่ฉะเพาะคนโดยสารชั้นที่ ๑ คนโดยสารชั้นที่ ๒ ก็เห็นจะตรวจทำนองเดียวกัน แต่คนโดยสารชั้นที่ ๓ ซึ่งอาศัยไปบนดาดฟ้า เขาจะตรวจกวดขันขึ้นอย่างไรหาได้เห็นไม่ ถ้าว่าฉะเพาะพวกเรา เป็นแต่ทำพิธีเพราะรัฐบาลสั่งไว้เสร็จแล้ว พอได้ยินชื่อก็เชิญให้ผ่านไป หาได้ซักไซ้ตรวจค้นอย่างใดไม่ มีกิจอีกอย่างหนึ่งซึ่งคนโดยสารต้องทำก่อนขึ้นจากเรือคือให้บำเหน็จแก่คนรับใช้ในเรือ มีบ๋อยผู้ปฏิบัติประจำห้องที่อยู่คน ๑ บ๋อยผู้เลี้ยงอาหารประจำโต๊ะที่ตนนั่งคน ๑ (หรือ ๒ คน) กับคนรักษาห้องน้ำซึ่งช่วยปฏิบัติเมื่ออาบน้ำอีกคน ๑ ลักษณะให้บำเหน็จคนรับใช้เคยสังเกตเมื่อไปยุโรปครั้งหลัง เห็นมี ๒ อย่าง ให้รายตัวเช่นพรรณนามาอย่างหนึ่ง บวกเพิ่มในค่าอยู่กินอีกร้อยละ ๑๐ เป็นบำเหน็จคนรับใช้ให้เขาไปแจกกันเองอย่างหนึ่ง เขาว่าอย่างก่อนไม่ได้ถึงคนรับใช้ที่เราไม่เห็นหน้า เช่นคนทำครัวหาอาหารให้เรากินเป็นต้น ถ้าให้เขาแจกได้บำเหน็จทั่วหน้ากัน มักใช้ตามโฮเต็ลเป็นพื้น เมื่อเสร็จการตรวจตราแล้วจึงเลื่อนเรือขึ้นไปจอดเทียบท่าศุลกากรที่เมืองร่างกุ้ง

พอเรือเทียบท่าก็มีผู้มารับพวกเรา ๓ คน คือ มิสเตอร์ฟีลิบแนช ผู้ช่วยเลขานุการใหญ่ในรัฐบาลพะม่า Assistant Chief Secretary of the Government of Burma (คล้ายกับปลัดกระทรวงการต่างประเทศ) คน ๑ มิสเตอรไปรเออ (ผู้จัดการบริษ้ทบอมเบเบอม่า) กงซุลสยามคน ๑ มิสเตอร์คัสโตเนีย ผู้จัดการห้างอิสต์เอเซียติค (ซึ่งเป็นเอเย่นต์ของพวกเรา) และเป็นกงซุลเดนมาร์คด้วยคน ๑ พอแสดงคำต้อนรับแล้วเขาก็บอกข่าวสำคัญซึ่งเพิ่งทราบในเช้าวันนั้น ว่าพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ สวรรคตเสียแล้ว พวกเราพากันตกตะลึง ด้วยเมื่อออกจากปินังไม่ได้ยินวี่แววว่าประชวรเลย มาทางทะเลเพียง ๓ วันได้ข่าวก็ว่าสวรรคตทีเดียว ถ้าเป็นเวลาอื่นก็เห็นจะรู้สึกเศร้าโศกมาก เพราะคิดถึงพระคุณที่ท่านทรงพระเมตตาทั้งตัวฉันและหญิงพูน หญิงพิลัย เมื่อไปยุโรป และต่อมาใครไปเฝ้าจากเมืองไทยก็ยังตรัสถามถึงเสมอ และโปรดประทานพรเมื่อวันขึ้นปีใหม่เสมอทุกปีด้วย แต่ทราบข่าวในเวลากำลังชุลมุนจะขึ้นบกเมื่อแรกถึงเมืองต่างประเทศ ความรู้สึกก็ออกชาไป ได้แต่แสดงความเสียใจแก่ผู้แทนรัฐบาลที่มาต้อนรับ แล้วเขาพาขึ้นรถยนต์ไปส่งยังโฮเต็ลสะแตรนต์ Strand Hotel ที่รัฐบาลได้ว่าไว้ให้เป็นที่พวกเราพักเวลาอยู่ในเมืองร่างกุ้ง เพราะเป็นโฮเต็ลใหญ่อยู่สบายกว่าแห่งอื่น แต่เมื่อเราไปถึง เชอร์ ฮยู สตีเฟนสัน Sir Hugh Stephenson เจ้าเมืองพะม่าไม่อยู่ กำลังไปตรวจราชการอยู่ที่ยักไข่ พอไปถึงโฮเต็ลได้สักครู่ มิสเตอร์กรอ เลขานุการใหญ่ในรัฐบาลพะม่า Mr. Kraw, Chief Secretary of the Government (เทียบที่อย่างเป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ) ก็มาหา เป็นผู้ใหญ่มีอัชฌาสัยดี บอกว่าตั้งแต่ เซอร์โจเซีย ครอสบี ราชทูตอังกฤษในกรุงเทพฯ บอกไปให้ทราบว่าฉันจะไปเที่ยวเมืองพะม่า รัฐบาลก็ยินดีที่จะจัดการทั้งปวงให้ ฉันได้เที่ยวเตร่สมประสงค์ทุกอย่าง ได้มีคำสั่งไปตามหัวเมืองที่ฉันกะโปรแกรมว่าจะไปนั้นทุกแห่งแล้ว ส่วนรัฐบาลที่เมืองร่างกุ้งเดิมกะว่าจะมีการเลี้ยงเวลาค่ำและมีละครพะม่าให้ดูเป็นการต้อนรับ แต่เผอิญไว้ทุกข์ที่พระเจ้ายอร์ชสวรรคตก็เป็นอันจนใจจำต้องงด ฉันตอบขอบใจและบอกว่าทางฝ่ายพวกฉันเองก็มีความเศร้าโศกอยู่ ด้วยได้เคยคุ้นกับพระองค์ทรงพระกรุณามาแต่ก่อน ถ้าหากรัฐบาลจะทำพิธีศราทธพรตถวายเมื่อใด ฉันใคร่จะขอโอกาสไปช่วยในการพิธีนั้นด้วย มิสเตอร์กรอตอบว่ายังไม่ได้กำหนดวันพิธี เพราะยังไม่ทราบว่าจะฝังพระศพวันไหนแน่ แต่จะจัดให้ได้โอกาสช่วยงานตามประสงค์ ส่วนการเดินทางของฉันนั้น เขาจะให้มิสเตอร์แนช (ปลัดกระทรวง) เป็นผู้ไปมาติดต่ออยู่เสมอ ถ้าฉันปรารถนาจะให้รัฐบาลช่วยเหลืออย่างใดเมื่อใดขอให้บอกแก่มิสเตอร์แนช โดยพูดทางโทรศัพท์หรือเรียกมาหาก็ได้

เมื่อก่อนมิสเตอร์กรอจะลาไป ถามขึ้นว่าฉันจะไปที่พระเกศธาตุ Shwe Dagon หรือไม่ ฉันตอบว่าเรื่องนั้นฉันมีความลำบากใจอยู่ เขาถามขึ้นก็ดีแล้วฉันอยากจะปรึกษาด้วย แต่จะต้องเล่าเรื่องเบื้องต้นยืดยาวสักหน่อย เมื่อฉันไปเมืองร่างกุ้งครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๓๔ นั้น ฉันแต่งตัวอย่างฝรั่ง ใส่เกือกขึ้นไปบนลานพระเกศธาตุก็ไม่มีใครห้ามปราม พวกพะม่าที่เป็นกรรมการรักษาพระเกศธาตุในสมัยนั้นมาพาฉันเที่ยวดูด้วยซ้ำไป ต่อมาอีกหลายปีจึงปรากฏว่าพวกพะม่าเริ่มแสดงความรังเกียจที่ชาวต่างประเทศใส่เกือกเข้าไปในลานพระเจดีย์ และห้ามปรามอย่างกวดขันแต่นั้นมา ฉันเข้าใจว่าที่จริงเป็นเหตุในทางการเมือง รัฐบาลเมืองพะม่าได้เคยถามไปยังรัฐบาลสยามว่าประเพณีในประเทศนั้นเป็นอย่างไร เวลานั้นฉันยังเป็นสมาชิกอยู่ในรัฐบาล ได้ทราบว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้ส่งคำถามไปยังสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ถวายวินิจฉัยว่าบุคคลเข้าไปในเจดียสถานจะเป็นเจดียสถานในศาสนาของตนเองก็ตามหรือศาสนาอื่นก็ตาม ควรเข้าไปด้วยความเคารพ ถ้าไม่อยากจะเคารพก็ไม่ควรเข้าไปทีเดียว ก็ความเคารพนั้นถ้าว่าฉะเพาะด้วยเครื่องแต่งตัว คนชาติใดหรือจำพวกใดถือประเพณีว่าแต่งตัวอย่างไรเป็นการเคารพ ก็ควรแต่งตัวอย่างนั้น ไม่ได้เป็นใหญ่อยู่ที่เกือก (มิสเตอร์กรอว่าเรื่องที่ฉันว่านั้นเขาก็ได้ทราบอยู่) ฉันพูดต่อไปว่าการที่พะม่าห้ามมิให้ชาวต่างประเทศใส่เกือกเข้าลานพระเจดีย์ จะเกิดขึ้นด้วยเหตุอันใดก็ตาม แต่เดี๋ยวนี้ชาวต่างประเทศได้ยอมถอดเกือกตามพะม่าปรารถนาจนเป็นธรรมเนียมแล้ว ถ้าฉันดึงดันใส่เกือกขึ้นไปโดยอ้างว่าได้เคยใส่เกือกขึ้นไปเมื่อครั้งก่อน ก็น่าจะเกิดวิวาทกับพวกพะม่าพาให้รัฐบาลต้องร้อนใจ ครั้นจะยอมถอดเกือกขึ้นไปด้วยแต่งตัวอย่างฝรั่งเหมือนเช่นพวกฝรั่งที่ท่องเที่ยวทำกันก็ขัดข้องด้วยฉันถือพระพุทธศาสนา ถ้าแต่งตัวเช่นนั้นตามธรรมเนียมไทยถือว่าปราศจากความเคารพ ครั้นจะไม่ขึ้นไปเสียทีเดียวก็จะขาดประโยชน์ข้อสำคัญที่ฉันมาเมืองพะม่าด้วยปรารถนาจะดูของโบราณ เพราะของดีที่น่าดูมักมีอยู่ตามเจดียสถานเป็นพื้น ก็จะเหมือนมาเปล่าไม่ได้เห็นของที่อยากดู ทั้งลูกหลานที่มาด้วยกันก็จะพลอยไม่ได้เห็นด้วย ฉันจึงคิดไว้ว่าเมื่อขึ้นไปที่พระเกศธาตุ หรือไปดูเจดียสถานแห่งอื่นที่ฉันอยากเห็น จะแต่งตัวอย่างอุบาสกไทยตามแบบเก่า คือนุ่งผ้าใส่เสื้อ ไม่ใส่เกือกถุงตีน เขาก็เห็นชอบด้วย และถามว่าจะให้บอกพวกกรรมการให้มาต้อนรับด้วยหรือไม่ ฉันขออย่าให้บอกเลย เพราะฉันจะขึ้นไปอย่างเงียบๆ เขาถามต่อไปถึงหัวเมืองอื่นที่ฉันจะไปว่าฉันปรารถนาจะให้เจ้าเมืองกรมการพาเที่ยวหรืออย่างไร ฉันตอบว่าฉันอยากได้ผู้มีความรู้โบราณคดีในท้องที่เป็นคนนำทาง จะเป็นใครก็ได้ ขอแต่อย่าให้ผู้นำต้องจำใจได้ความลำบากในเรื่องถอดเกือกในเวลาพาฉันไปเที่ยว เขาก็รับจะจัดการให้เป็นไปตามความประสงค์ เขาจัดอย่างไรจะเอามากล่าวเสียตรงนี้ด้วยให้เสร็จไป คือแห่งใดเช่นที่เมืองหงสาวดีเป็นต้น ถ้าเจ้าเมืองเป็นพะม่า (ถือพระพุทธศาสนา) เขาให้เจ้าเมืองเป็นผู้นำทาง แห่งใดเจ้าเมืองเป็นฝรั่ง (ถือคริสต์ศาสนา) เจ้าเมืองเป็นแต่มาต้อนรับ แล้วแต่งให้กรมการผู้ใหญ่ที่เป็นพะม่าเป็นผู้นำทาง นอกจากนั้นเขาสั่งให้ผู้รั้งตำแหน่งเจ้ากรมโบราณคดี (เผอิญเป็นพะม่า) อันที่ว่าการตั้งอยู่ ณ เมืองมัณฑเล มาเป็นผู้นำเที่ยวด้วยอีกคนหนึ่ง

เมื่อมิสเตอร์กรอกลับไปแล้ว มิสเตอร์คัสโตเนีย นายห้างอิสต์เอเซียติค มาบอกรายการที่เขาจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเราให้ทราบ เป็นต้นแต่รถยนต์ที่เราจะใช้ในเวลาอยู่เมืองร่างกุ้งนั้น ว่าเศรษฐีแขกอินเดียคนหนึ่งซึ่งชอบกับมิสเตอร์คัสโตเนีย มีแก่ใจให้ยืมรถเดมเลอร์ของเขาหลัง ๑ ซึ่งนั่งได้ ๗ คน เป็นรถเขาสั่งมาไว้สำหรับรับแขก เช่น เมื่ออาคาข่านมาเป็นต้น กับคนประจำรถซึ่งรู้ภาษาอังกฤษ ๒ คนมาให้เราใช้ไม่ต้องเช่ารถ รู้สึกขอบใจเป็นอันมาก รถไฟก็ได้ว่าไว้เสร็จแล้ว เขาคิดเช่ารถสาลูนหลัง ๑ ด้วยพวกเราไปหลายคนด้วยกัน เช่ารถสาลูนรวมกันถูกกว่าซื้อตั้วเป็นรายตัว เรือที่จะโดยสารล่องลำน้ำเอราวดีเขาก็ได้ว่าไว้แล้ว แม้จนเงินที่เราจะใช้สอยในเวลาเดินทางเขาก็ได้ว่าไว้กับธนาคารที่เมืองมัณฑเลและบริษัทเดินเรือในลำน้ำเอราวดี เราจะต้องการเงินใช้ที่ไหนก็เรียกได้ไม่ต้องขนเงินไปให้ลำบาก เขาช่างคิดรอบคอบดีจริงๆ ยังจะต้องจัดแต่เรื่องการกินอยู่ในเวลาเดินทาง เขารอไว้ถามความพอใจของฉันก่อน ด้วยการเดินทางในเมืองพะม่ายังผิดกับยุโรปหลายอย่าง เป็นต้นว่ารถไฟก็ไม่มีรถสะเบียง คนโดยสารต้องลงซื้ออาหารกินตามสถานี รถนอนก็มีแต่พื้นกะดาน คนโดยสารต้องหาฟูกเบาะเมาะหมอนไปเอง ที่พักก็มีโฮเต็ลแตในเมืองร่างกุ้ง กับมีเรือนพัก Rest House ของกรมรถไฟตามสถานีที่เมืองใหญ่ ถ้าห่างทางรถไฟออกไปก็มีที่อาศัยแต่ศาลากลางย่าน แต่สำหรับพวกเราเขาได้ยินว่ารัฐบาลเตรียมที่พักไว้ให้ตลอดทางแล้ว ถึงกระนั้นจะต้องจัดเรื่องฟูกเบาะเมาะหมอนกับทั้งการกิน ด้วยตามประเพณีการเดินทางในเมืองพะม่าที่เป็นชั้นผู้ดีมีศักดิ์เขามีกุ๊กมีบ๋อยกับทั้งฟูกเบาะเมาะหมอนของเขาติดตัวไป ฉันจะใช้วิธีนั้นหรืออย่างไร ฉันบอกว่ารัฐบาลเขาได้มอบมิสเตอร์แนชไว้ (เผอิญเป็นคนชอบกันกับมิสเตอร์คัสโตเนีย) ขอให้ปรึกษากันดู ถ้าเห็นอย่างใดดีฉันก็จะทำตาม ในที่สุดจึงตกลงจ้างบ๋อยคน ๑ กุ๊กคน ๑ เป็นแขกอินเดียถือศาสนาคริสตัง และเคยไปกับคนเดินทางจนชำนาญทั้ง ๒ คน ส่วนฟูกเบาะเมาะหมอนนั้นบริษัททอมัสกุ๊ก Thomas Cook and Son ซึ่งประกอบกิจสงเคราะห์คนเดินทางเป็นอาชีพ เขามีให้เช่า จัดเป็นชุด มีนวมเป็นที่นอนผืน ๑ ผ้าขาวปูที่นอน ๒ ผืน กับสะบู่ด้วยกลัก ๑ รวมมัดเป็นม้วนเตรียมไว้ไม่ต้องถามว่าจะต้องการสิ่งใดบ้าง พวกเราก็ตกลงตามประเพณีที่เขาประพฤติกัน

ถึงกลางวันในวันแรกถึงนั้น เมื่อฉันเดินลงไปยังห้องกินอาหาร เห็นมีพวกไทยใหญ่ Shan นั่งอยู่ที่ห้องพักชั้นกลางโฮเต็ลสักสามสี่คน ฉันไมได้เอาใจใส่สังเกตด้วยไม่มีกิจที่จะต้องรู้จัก แต่เมื่อกลับขึ้นไปถึงห้องได้สักครู่หนึ่ง คนรับใช้เอาการ์ดชื่อเข้าไปให้ อ่านดูจึงรู้ว่าเจ้าขุนศึก ลูกเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุง ซึ่งเคยเข้าไปบวชเป็นสามเณรอยู่วัดเทพศิรินทราวาสนานมาแล้ว ก็เรียกเข้าไปหาทันที โตเป็นหนุ่มจนจำไมได้ ข้างฝ่ายตัวเขาเองบอกว่าไม่รู้ว่าฉันจะไปเมืองพะม่า วันนั้นเขาไปหาเจ้าฟ้าเมืองตองแปง ไทยใหญ่ข้างฝ่ายเหนือซึ่งพักอยู่โฮเต็ลนั้น เมื่อเห็นฉันเดินผ่านลงไปดูคลับคล้ายคลับคลาไม่แน่ใจ ไปถามผู้จัดการโฮเต็ลเขาบอกชื่อจึงรีบมาหา ฉันถามถึงเจ้าฉายเมืองพี่ชายที่เคยไปบวชอยู่ด้วยกัน บอกว่าเดี๋ยวนี้ก็อยู่ที่เมืองร่างกุ้ง ด้วยเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงส่งมาเป็นนักเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยด้วยกันทั้ง ๒ คน ในบ่ายวันนั้นเองก็ไปพากันมา ดูเจ้าฉายเมืองไม่ใคร่แปลกตานัก ด้วยเคยลงมากรุงเทพฯ เมื่อรัชชกาลที่ ๗ ฉันได้พบอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่วันนั้นพอสิ้นเวลาเรียน เจ้าฉายเมืองกับเจ้าขุนศึกก็มารับธุระให้ใช้สอยทุกวัน วางตัวสนิทสนมเหมือนอย่างเป็นลูกหลานน่ารัก และเป็นประโยชน์แก่พวกเราในเวลาอยู่เมืองร่างกุ้งมากด้วย

มิสเตอร์คัสโตเนียได้บอกไว้ว่าเวลาบ่ายจะพาภรรยามาหาเจ้าหญิง (ในหนังสือนี้คำว่า “เจ้าหญิง” หมายรวมทั้งพระองค์หญิงศิริรัตนบุษบงด้วยทุกแห่งไป) จึงนัดให้มากินน้ำชาด้วยกัน ภรรยาก็มีอัชฌาสัยดีเหมือนกับสามี รับจะเป็นผู้พาเจ้าหญิงเที่ยวตามประสาผู้หญิง เช่น ไปซื้อของเป็นต้น เมื่อเสร็จการเลี้ยงน้ำชาแล้วขึ้นรถยนต์ไปเที่ยวส่งการ์ดชื่อเยี่ยมตอบเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการของรัฐบาล กับทั้งกงซุลสยามที่ได้ไปรับ แล้วไปแวะที่บ้านมิสเตอร์คัสโตเนียครู่หนึ่ง กลับมาถึงโฮเต็ลจนพลบค่ำ

อนึ่ง เมื่อก่อนจะขึ้นรถไปจากโฮเต็ลนั้น เจ้าฉายเมืองกับเจ้าขุนศึก พาเจ้าฟ้าเมืองตองแปงมาหา ยังหนุ่มดูเหมือนอายุจะราว ๓๐ ปี พูดภาษาอังกฤษได้คล่องชวนให้ไปเที่ยวเมืองของเธอ บอกว่าถ้าฉันไปถึงเมืองไทยใหญ่ พวกเจ้าฟ้าคงจะต้อนรับด้วยความยินดีทุกเมือง ฉันตอบขอบใจ แต่ไม่สามารถจะรับเชิญได้ ด้วยมีเวลาน้อยและได้กำหนดวันลงโปรแกรมเสียหมดแล้ว.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ