๗. สมัยทรงรับสมณศักดิ์

พระองค์เจ้าเช่นเรา แรกทรงกรม เปนกรมหมื่นก่อน เว้นบางพระองค์ ผู้รับเมื่อพระชนมายุมากแล้ว เปนกรมหลวงบ้าง เปนกรมขุนบ้างทีเดียว ฯ เจ้าฟ้าแลพระองค์เจ้าแรกรับสมณศักดิ์เปนพระราชาคณะ ทรงถือพัดยศเปนพิเศษ ทรงตำแหน่งต่างๆ ตามคราวมา ฯ ในรัชกาลที่ ๒ สมเดจพระมหาสมณะ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ดูเหมือนทรงรับสมณศักดิ์ เป้นพระราชาคณะครองวัดพระเชตุพน แทนสมเดจพระวันรัตพระอาจารย์มาก่อนแล้ว จึงทรงกรมเปนกรมหมื่นนุชิตชิโนรสศรีสุคตขัตติยวงศ์ ทรงถือพัดยศอย่างไรหาทราบใม่ ในรัชกาลที่ ๓ ทรงบัญชาการคณะกลาง ในรัชกาลที่ ๔ ทรงรับมหาสมณุตมาภิเษกเปนประธานแห่งสงฆมณฑลทั่วพระราชอาณาจักร ทรงถือพัดแฉกพื้นตาดเหลืองสลับขาว ฯ ทูนกระหม่อมใม่ได้ทรงกรม เปนแต่พระราชาคณะในรัชกาลที่ ๓ ทรงถือพัดแฉกพื้นตาด เราเหนเมื่อเสดจพระอุปัชฌายะทรงถือต่อมาดูเหมือนตาดเหลือง เดิมใม่ได้ครองวัด ภายหลังครองวัดบวรนิเวศวิหาร ตามเสดจพระอุปัชฌายะทรงเล่า เดิมดูเหมือนใม่ได้เทียบชั้น ภายหลังทรงขอพระราชทานตั้งฐานานุกรมชั้นนั้นบ้างชั้นนี้บ้าง เปนอันเทียบชั้นเข้าได้ ตั้งแต่ชั้นธรรมขึ้นมา เมื่อครั้งลาผนวชเทียบชั้นเจ้าคณะรอง ฯ พระองค์เจ้าอำไพ ในรัชกาลที่ ๒ ใม่ได้ทรงกรม เปนแต่พระราชาคณะ ในรัชกาลที่ ๓ เสดจพระอุปัชฌายะทรงเล่าว่า ทรงถือพัดงาใบอย่างพัดด้ามจิ้ว เปนฝ่ายพระสมถะครองวัดอรุณราชวราราม ฯ เสดจพระอุปัชฌายะ ครั้งรัชกาลที่ ๓ ทรงเปนพระราชาคณะ ทรงถือพัดแฉกถมปัด ใม่ได้ทรงครองวัด ครั้งรัชกาลที่ ๔ จึงได้ทรงกรม เปนกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ ทรงถือพัดแฉกพื้นตาด ที่ทูนกระหม่อมทรงมาเดิม แลทรงถือพัดแฉกงาเปนพิเศษ ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร เปนเจ้าคณะธรรมยุตติกนิกาย เมื่อครั้งเรารับกรมแลสมณศักดิ์ ยังใม่ได้ทรงรับมหาสมณุตมาภิเษก เปนแต่เลื่อนกรมเปนกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ ฯ พระองค์เจ้าประถมวงศ์ ในกรมพระราชวังหลัง หาได้ทรงสมณศักดิ์ใม่ ฯ หม่อมเจ้าแรกเปนพระราชาคณะ ถือพัดยศ สุดแต่จะได้รับพระราชทาน แฉกถมปัดบ้างก็มี แฉกพื้นแพรปักก็มี แฉกพื้นโหมดสลับตาดก็มี แฉกพื้นตาดสีก็มี พัดงาใบพัดด้ามจิ้วก็มี ในเวลาเรารับสมณศักดิ์หม่อมเจ้าพระราชาคณะ มีตำแหน่งเพียงชั้นเจ้าอาวาสยังใม่ได้เปนเจ้าคณะ ฯ ท่านผู้เปนพระราชาคณะก่อนเรา ๖ องค์ คือ หม่อมเจ้าพระศีลวราลังการ (สอน) ในสมเดจเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา ครองวัดชนะสงคราม ถึงชีพิตักษัยก่อนเราบวช ๑ หม่อมเจ้าพระญาณวราภรณ์ (รอง) ในกรมหลวงพิเศษศรีสวัสดิ์ ครองวัดบพิตรพิมุข ถึงชีพิตักษัยก่อนเราบวช ๑ หม่อมเจ้าพระสังวรวรประสาธน์ (เล็ก) ในกรมหมื่นนราเทเวศ วังหลัง ครองวัดอมรินทราราม ๑ หม่อมเจ้าพระสมเดจพระพุฒาจารย์ (ทัด) ในกรมหลวงเสนีบริรักษ์ วังหลัง ครั้งนั้นยังเปนหม่อมเจ้าพระพุทธุบบาทปิลันธน์ ครองวัดระฆังโฆษิตาราม ๑ หม่อมเจ้าพระธรรมมุณหิสธาดา (สีขเรศ) ในกรมหลวงมหิศวรินทรามเรศ อยู่วัดบวรนิเวศวิหาร ๑ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร ครั้งยังเปนหม่อมเจ้าสมญานั้น ในกรมหมื่นภูมินทรภักดี ครองวัดราชบพิตร ๑ ฯ เราโปรดให้เปนกรมหมื่น มีสมณศักดิ์เปนพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองแห่งคณะธรรมยุตติกนิกาย ฯ อนึ่งในคราวที่เราจะรับกรมแลสมณศักด์นั้น จะทรงตั้งหม่อมเจ้าพระประภากรบาเรียน ๕ ประโยค ในสมเดจเจ้าฟ้ากรมกระยาบำราบปรปักษ์ เปนพระราชาคณะด้วย ฯ วันเวลารับกรมในครั้งนั้น เปนธุระของเจ้างารจะกำหนดถวาย ทรงอนุมัติแล้วเปนใช้ได้ ฯ ส่วนวันเวลาที่เราจะรับกรม เสดจพระอุปัชฌายะน่าจะทรงกำหนดประทาน แต่ตรัสสั่งให้เราไปทูลขอสมเดจเจ้าฟ้าพระยาบำราบปรปักษ์ ท่านทรงกำหนดพ้องวันแต่เหลื่อมเวลากับฤกษ์จุดเทียนชัยพระราชพิธีตรุษ ตกในวันพฤหัสบดี เดือน ๔ แรม ๑๒ ค่ำ ปีมเสงตรีศก จุลศักราช ๑๒๔๓ ตรงวันที่ ๑๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๒๔ เวลาเช้า ๔ โมง เศษเท่าไรจำใม่ได้ บางทีเสดจพระอุปัชฌายะจะทรงต้องการวันนั้น แต่พ้องพระราชพิธีตรุษ ใม่อาจทรงกำหนดลง จึงตรัสให้ไปทูลขอสมเดจเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ฝ่ายท่านข้างโน้นจะกำหนดวันอื่นก็เสียภูมินักรู้ในทางพยากรณศาสตร์ จึงกำหนดลงในวันนั้นกระมัง เมื่อท่านทรงจัดมาในทางราชการเช่นนั้น ก็จำต้องรับในวันนั้น แต่เราใม่พอใจเลย เราใม่ถือฤกษ์ชอบแต่ความสดวก ทำงารออกหน้าทั้งที มาพ้องกับพิธีหลวงเข้าเช่นนั้น จะนิมนต์พระก็ใม่ได้ตามปราถนา ผู้มีแก่ใจจะมาช่วยก็ใม่ถนัด ตกลงต้องจัดงารให้เข้ารูปนั้น วันสวดมนต์จะนิมนต์พระราชาคณะผู้ใหญ่ ก็คงให้พระมาแทนทั้งนั้น พอเหมาะที่เสดจพระอุปัชฌายะประทานผ้าไตรแลเครื่องบริกขาร ๑๐ สำรับ เพื่อถวายพระสวดมนต์ ยายเตรียมไว้ให้เราแล้ว จึงจัดพระสวดมนต์ขึ้นอีกสำรับหนึ่ง นิมนต์ตามชอบใจ เลือกเอาพระศิษย์หลวงเดิมของทูนกระหม่อมที่เปนชั้นผู้น้อย รุ่งขึ้นเลี้ยงแต่เช้า ถวายบริกขารแล้ว เปิดให้กลับไป นิมนต์พระราชาคณะผู้ใหญ่นั่งเฉพาะในเวลารับกรมอิก ๑๐ รูป แล้วเลี้ยงเพล ฯ ก่อนน่าวันรับกรม มีทำบุญที่พระปั้นหย่าโดยฐานขึ้นตำหนัก วันหนึ่ง ฯ ในการรับกรม ตั้งพระแท่นมณฑลในพระอุโบสถน่าที่บูชาสำหรับวัดออกมา หาได้ผูกพระแสงต่าง ๆ ที่เสาใม่ ประดิษฐานพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลที่ ๔ เชิญพระสุพรรณบัฎที่จารึกไว้ก่อนแล้วมาตั้งบนนั้นด้วย วันสวดมนต์ล้นเกล้า ฯ เสดจมาช่วยเปนส่วนพระองค์ด้วย วันสรงแลรับพระสุพรรณบัฎ พอจุดเทียนชัยข้างพระราชพิธีตรุษแล้ว โปรดให้เอารถหลวงรับพระราชาคณะผู้ใหญ่มาส่งที่วัดล่วงน่า แล้วเสดจพระราชดำเนิรมาวัด ทรงเครื่องนมัสการแล้วทรงประเคนไตรแพร ตามแบบควรจะเปนไตรพิเศษ เราก็ได้เคยรับพระราชทาน เมื่อครั้งแปลหนังสือเปนบาเรียน แต่ครั้งนี้เปนไตรเกณฑ์จ่าย ออกมาผลัดผ้าครองสบงแลอังสะ ขึ้นพระแท่นสรงแต่เราองค์เดียว เราสรงก่อน มีประโคม แล้วล้นเกล้า ฯ พระราชทานน้ำพระพุทธมนต์ ด้วยพระเต้าแลพระมหาสังข์ทักษิณาวัตร ทรงรดเพียงที่ไหล่ ต่อนั้น พระสงฆ์พระบรมวงศ์แลเสนาบดีรดหรือถวายน้ำโดยลำดับ ฝ่ายพระ เสดจพระอุปัชฌายะสมเดจพระวันรัต สมเดจพระสังฆราช แลเจ้าคุณพรหมมุนีแทนเจ้าคุณอาจารย์ผู้กำลังอาพาธ พระบรมวงศ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสดจอาว์แลเจ้าพี่ฝ่ายน่าทุกพระองค์ บันดาที่เสดจมาในเวลานั้น เสนาบดีทุกท่านบันดามา สมเดจเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริวงศ์ อยู่ที่เมืองราชบุรี หาได้มาใม่ แต่เมื่อบวชได้ไปถวายบริกขารที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เราสรงแล้วครองไตรใหม่มานั่งบนอาสน์สงฆ์ในพระอุโบสถ หม่อมเจ้าประภากรก็เหมือนกัน ชุมนุมพระบรมวงศานุวงศ์ข้าทูนลอองธุลีพระบาท โปรดเกล้า ฯ ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย) เจ้ากรมพระอาลักษณ์อ่านประกาศดำเนิรกระแสพระบรมราชโองการทรงสถาปนาเราเปนกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ท้าวความถึงเราได้รับราชการมาอย่างไร ทรงเหนความดีแลความสามารถของเราอย่างไร ถ้าอยู่ทำราชการ จะเปนเหตุให้วางพระราชหฤทัยได้ ปรารภถึงพระราชปฏิญญาที่พระราชทานไว้แก่เรา ว่าบวชได้สามพรรษาจะทรงตั้งเปนต่างกรม บัดนี้ก็ถึงกำหนด แม้อายุยังน้อยอยู่ แต่ได้แปลหนังสือเปนบาเรียน ได้ทรงเหนปรีชาสามารถประกอบกับความรู้ทางโลก ทรงหวังพระราชหฤทัยว่า จะเปนหลักในพระพุทธศาสนาต่อไปข้างน่าได้ จึงทรงตั้งเปนพระองค์เจ้าต่างกรมยกย่องขึ้นไว้ในบัดนี้ ครั้นอ่านประกาศจบแล้ว มีประโคม ล้นเกล้า ฯ พระราชทานพระสุพรรณบัฎ สัญญาบัตรตั้งเจ้ากรมปลัดกรม สมุหบาญชีไป ๑ สัญญาบัตรตั้งฐานานุกรม ๘ รูป ๑ สัญญาบัตรพระครูปลัด ๑ พัดแฉกพื้นตาดขาวสลับเหลือง มีตราพระมหามงกุฎเปนใจกลาง หมายรัชกาล เทียบหีบหมากเสวยลงยาราชาวดีเครื่องยศเจ้านาย ยอดเปนพระเกี้ยวยอด พัดรองตราพระเกี้ยวยอดด้ามงา สำหรับพระราชาคณะ ๑ บาตรถุงเข็มขาบฝาเชิงประดับดับมุก ๑ ย่ามหักทองขวาง ๑ ย่ามเยียรบับ ๑ เครื่องยศถมปัดสำรับใหญ่ ๑ สำรับ พระราชทานสัญญาบัตรทรงตั้งหม่อมเจ้าพระประภากร เปนหม่อมเจ้าพระราชาคณะ มีสมญาขึ้นต้นอย่างนั้นแต่มีสร้อยว่า หม่อมเจ้าพระประภากรบวรวิสุทธิวงศ์ ได้รับพระราชทานพัดแฉกพื้นตาดสี มีตราครุฑประจำรัชกาลที่ ๒ เปนใจกลาง แลเครื่องยศสำหรับพระราชาคณะ ต่างกรมใหม่ผู้เปนคฤหัสถ์ทูลเกล้า ฯ ถวายดอกไม้ธูปเทียนแลต้นไม้ทองเงินแด่ในหลวงแลกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ถวายดอกไม้ธูปเทียนแด่เจ้านายผู้เจริญพระชนมายุกว่า แต่ต่างกรมพระใม่ได้ถวายอย่างนั้น เรายักถวายเปนชิ้นสำหรับประดับดอกไม้ตั้งกลางโต๊ะที่ถวายล้นเกล้า ฯ ทรงจบพระหัตถ์บูชาพระพุทธชินสีห เจ้านายถวายแต่ของแจก ครั้งนั้นยังแจกของมีราคามาก แจกตามชั้น พอเสร็จพิธีรับกรมก็พอเพล ล้นเกล้า ฯ ทรงประเคนสำรับเจ้าภาพ แลเสดจประทับอยู่ตลอดเวลาพระฉันแลอนุโมทนาธรรมเนียมรับกรมที่อื่น เลี้ยงพระเสียก่อน เปนแต่อนุโมทนาน่าพระที่นั่ง เสดจกลับแล้ว มีเวียนเทียนสมโภชพระสุพรรณบัฎแล้วเปนเสร็จการ ฯ​ ต่อมาอิกวันหนึ่ง มีทำบุญพระบรมอัฐิทุกรัชกาล ตามรับสั่งแนะนำของเสดจพระอุปัชฌายะ มีเลี้ยงพระ เทศนาแลสดัปกรณ์ ฯ เราพอใจจะบ่นถึงฤกษ์รับกรมเพิ่มอิก นอกจากใม่สดวกดังกล่าวแล้ว ผเอิญเมื่อวันสวดมนต์ เจ้าคุณอาจารย์ผู้อาพาธเสาะแสะมานั้น อาพาธเปนธาตุเสียท้องร่วง มาในงารใม่ได้ ใม่ได้รดน้ำในเวลาสรง แลใม่ได้อยู่ในเวลาตั้ง ขาดท่านผู้สำคัญไปรูปหนึ่ง เมื่อวันรับกรม ยายผู้มาดูการโรงครัวอยู่น่าวัด เจ็บเปนลม แต่เดชะบุญ เปนเมื่อรับเสร็จแลเสดจกลับแล้ว ถ้าเลือกวันรุกเข้ามาจากนั้น แม้ดีใม่ถึงวันนั้น เจ้าคุณอาจารย์คงจักมาได้ ได้อาจารย์มาเข้าในพิธี เราถือว่าเปนมงคลกว่าทำในวันฤกษ์งาม แต่ขาดท่านผู้สำคัญไปอย่างนี้ ฝ่ายยายนั้นเปนลมเพราะทำธุระมากกระมัง เลื่อนวันเข้ามาจักคุ้มได้หรือใม่ หารู้ใม่ฯ

เราเปนกรม ในครั้งนั้น เปนที่ถูกใจของคนทุกเหล่า ในฝ่ายพระวงศ์ตั้งแต่ล้นเกล้า ฯ ลงมา ในฝ่ายพระสงฆ์ตั้งแต่เสดจพระอุปัชฌายะลงมา แลพวกข้าราชการตลอดถึงคนสามัญ ต่างเรียกเรา ด้วยใม่ได้นัดหมาย แต่มาร่วมกันเข้าว่า “กรมหมื่น” หาได้ออกชื่อใม่ เจ้าพี่เปนกรมหมื่นก็มี แต่หาได้เรียกอย่างนี้ใม่ ภายหลังรู้ว่า กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์ ครั้งรัชกาลที่ ๑ เขาก็เรียกกันว่ากรมหมื่น ในเวลาแรกตั้งแต่แผ่นดินใหม่ ต่างกรมเปนกรมหมื่น มีแต่กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์องค์เดียว เขาจึงเรียกว่ากรมหมื่น ใม่ออกพระนาม กระมัง ฯ ในฝ่ายพระ ทั้งผู้ใหญ่ ผู้น้อย ผู้เปนศิษย์หลวงเดิมของทูนกระหม่อม มีความนิยมยินดีในเราโดยมาก สมปราถนาที่ได้เราไว้สืบพระศาสนา ฯ ในพวกท่านผู้นิยมยินดีในเรา นอกจากอุปัชฌายะอาจารย์ สมเดจพระวันรัต (พุทธสิริ) เปนผู้เอาใจใส่ในเราแลเอาเปนธุระแก่เราเปนอันมาก ตั้งแต่ยังใม่ได้เปนต่างกรมมาแล้ว เวลาเราอยู่วัดมกุฎกษัตริย์ มีการพระราชกุศลในวังที่ได้รับนิมนต์ เรามักเดิรเข้าไป ท่านไปเรือ เวลากลับ ท่านเรียกเราลงเรือของท่าน ให้พายขึ้นน้ำเข้าคลองผดุงกรุงเกษมไปส่งเราที่วัดมกุฎกษัตริย์ก่อน แล้วจึงเลยไปวัดโสมนัสวิหาร โดยปกติท่านเข้าคลองรอบพระนครแลคลองเล็กตรงไปถึงวัดโสมนัสวิหารทีเดียว เปนอย่างนี้เสมอมา ไปพบกันในกิจนิมนต์ ทั้งการหลวงทั้งการราษฎร์ เวลาอยู่ด้วยกันสองรูป ท่านพร่ำสอนการพระศาสนาเนือง ๆ พอมีพระอื่นเข้าไปอยู่ผู้เปนที่สาม เปนเลิก เว้นไว้แต่พระนั้นเปนผู้ที่สนิทสนม เราเข้าใจว่า ท่านเลิกเสียเช่นนั้น เพื่อไว้หน้าเรา ถ้าท่านรู้ว่าเราใม่ผาสุกเมื่อใด เปนหายาส่งมาให้เมื่อนั้น คราวหนึ่ง เราเปนผู้ใหญ่ในคณะแล้ว ท่านอาพาธเปนปลายอัมพาตลิ้นแขงพูดใม่ชัด ถึงลงนอน เราไปเยี่ยมท่านแล้ว กลับออกมาอยู่ที่เฉลียงน่ากุฎี พูดกับพระวัดนั้นผู้ชอบกัน ถึงความยอกขัดของเรา เกิดขึ้นเพราะหมอนวดใม่เปน ชรอยเสียงจะดัง ท่านได้ยินเข้า ทั้งเจ็บมากกว่าเราอย่างนั้น ขวนขวายสั่งพระให้เอาน้ำไพลกับการบูรมาทาให้ รู้สึกความเอื้อเฟื้อของท่านก็จริง แต่รู้สึกอายแก่ใจเหมือนกัน ว่าไปเยี่ยมไข้ท่าน กลับทำให้ท่านกังวลถึงเรา ท่านถนอมเราเปนอย่างยิ่งคล้ายเจ้าคุณอาจารย์ โดยที่สุดบางเวลาเราขุ่น รู้เข้าเลือกธรรมเขียนส่งมาปลอบ เราได้รับเมตตาแลอุปการของท่านอย่างนี้ ได้ถวายตัวเปนศิษย์ ถ้าเราจักได้อยู่ในสำนักของท่านสักพรรษาหนึ่ง จักอาจเชื่อมสองสำนักได้ดีกว่านี้อิก ฯ

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ