๓. คราวเปนพระกุมาร

ล้นเกล้าล้นกระหม่อม ใม่มีพระเจ้าลูกเธอที่ทรงพระเจริญ ท่านทรงใช้พวกเราทั้งชายหญิง แลทรงสนิทสนมเหมือนเดิม เพราะเหตุนี้กระมัง เราจึงได้เลิกเรียนมคธภาษา แลใม่ได้อยู่วัดต่อไป ฯ ในพวกผู้ชาย ท่านทรงใช้เรากับสมเดจเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์เปนมาก เมื่อกรมพระเทววงศวโรปการ ทรงพระเจริญแลเสดจออกจากพระบรมมหาราชวังแล้ว เราสองคนได้ช่องตามเสดจหัวเมืองเนือง ๆ มา ราชการเปนน่าที่ประจำตัวเรา คือ เชิญหีบพระมหาสังข์ตามเสด็จในวันสมโภชสามวันแลสมโภชเดือน พระเจ้าลูกเธอประสุตใหม่ที่ตำหนักข้างใน เราได้ทำเปนครั้งที่สุด เมื่อสมโภชเดือนสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสวรรคโลกลักษณวดี ฯ เราในครั้งนั้นจะเรียกว่าเปนเด็กใม่ซนทีเดียวดูเหมือนเกินไป แต่เราเคราะห์ดี ในคราวพี่น้องเกิดความออกช่องต่างๆ ผเอิญเราติดราชการที่ต้องอยู่ประจำพระองค์บ้าง ไปใม่ทันบ้าง กำลังถูกพี่น้องโกรธใม่เล่นด้วยบ้าง รอดตัวไปทุกที นี้เพิ่มแคนนแห่งความดีของเราขึ้นทุกที กรมพระสมมตอมรพันธุ์ พื้นของเธอเปนผู้ใม่ซน แต่เคราะห์ร้ายมักพลอยถูกด้วย ฯ อิกอย่างหนึ่งเรารู้จักรวังตัว การอย่างใดยังใม่เหนมีผู้ทำ หรือผู้ทำยังใม่เปนที่วางใจได้ว่าจะใม่เกิดความ เราใม่ทำการอย่างนั้น ฯ ครั้งแรกแต่งตัวใช้เสื้ออย่างฝรั่งขึ้นใหม่ พวกผู้ชาย เรากับสมเดจเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์ ได้รับพระราชทานเครื่องแต่งตัวก่อน ฯ

ในคราวเสดจประพาสเมืองต่างประเทศที่เราใม่ได้ตามเสดจ ได้กลับไปอยู่ตำหนักเสดจป้ากรมหลวงวรเสฐสุดาเปนคราว ๆ เรียนหนังสือไทย หัดอ่านโคลงแลกลบทต่าง ๆ บ้าง เรียนเลขอย่างไทยบ้าง เรียนดูดาวบ้าง ฯ แปลกอยู่ เสดจป้าของเราได้รับความฝึกหัดในวิชาของผู้ชายเปนพื้น ศิลปะของผู้หญิงเช่น เย็บ ปัก ถัก ร้อย ทำอาหาร ที่สุดจนเจียนหมากจีบพลู เรายังใม่เคยเหนท่านทำเองเลย เขาว่าท่านทำใม่เปนด้วย ถึงคราวสมโภชพระพุทธรูปประจำพระชนม์พรรษาปีใหม่ ท่านทรงรับทำตาข่ายดอกไม้สดแขวนบุษบกพระครั้งนั้น ๕ ที่ คนร้อยดอกไม้เต็มหอกลางตำหนัก เราก็ได้เข้าหัดร้อย แต่จำใม่ได้ว่าท่านได้ร้อยด้วย และความนิยมของท่าน ก็ใม่เปนไปในสิ่งที่ผู้หญิงชอบมีดอกไม้เปนต้น ทรงนิยมในทางทรงหนังสือธรรม ตำนาน แลเรื่องของจินตกวี ฯ ท่านทรงประพฤติพระองค์เปนหลักใม่หยุมหยิม ที่เราดูหมิ่นท่านใม่ได้ แต่คนอื่นเขาว่าท่านดุ เราเหนท่านเปนเพียงเฉียบขาด แปลกอิกอย่างหนึ่ง ใม่เคยเหนท่านทรงพระสรวลจนเอาไว้ใม่อยู่ หรือแสดงเสียพระหฤทัยจนวิการ เขาเล่าว่า เมื่อพระบาทสมเดจพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบรมชนกนาถ ผู้ทรงพระเมตตาท่านมาก สวรรคต ท่านมิได้ทรงกันแสง เราได้เหนเมื่อครั้งคุณยายสมศักดิ์ถึงอสัญญกรรม ท่านใม่ได้ทรงกันแสง แต่คุณยายสมศักดิ์แก่แล้ว อายุถึง ๗๕ ก็พอจะกลั้นอยู่ เมื่อน้องหญิงบัญจบเบญจมาสิ้นพระชนม์ เธอเปนผู้ที่ท่านเลี้ยงมาจนสิ้นพระชนม์จากไป ท่านก็กลั้นได้ใม่ทรงกันแสง แต่พระอาการเศร้าโศกปรากฏ มีเหนอะไรของน้อง ใม่สบายพระหฤทัยเปนต้น ดูท่านสมกับคุณยายสมศักดิ์เจ้าจอมมารดาของท่านจริง ๆ เขาสรรเสิญพระเกียรติคุณของพระบาทสมเดจพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวต่าง ๆ บางทีท่านจะได้อย่างมาใม่มากก็น้อย ได้รับเลี้ยงดูแลฝึกหัดในสำนักอาจารย์เช่นนี้ เปนลาภเปนเกียรติ์ของเรา ฯ

เริ่มที่ล้นเกล้าฯ จะทรงทำนุบำรุงพวกเราให้ได้ความรู้ ทรงตั้งโรงเรียนภาษาอังกฤษขึ้นที่ตึกแถวริมประตูพิมานชัยศรี ด้านขวามือหันหน้าออก มีนายฟรานสิสชอช แปตเตอร์สันเปนครูสอน อยู่ในความดูแลของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ ครั้งยังเปนนายราชาณัตยานุหารว่าที่เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ เช้าสอนเจ้านายพวกเรากับหม่อมเจ้าบ้าง บ่ายสอนข้าราชการที่เปนทหารมหาดเล็ก เราได้เข้าเรียนมาตั้งแต่เปิดโรงเรียน ครั้งนั้นเรามีอายุราว ๑๒ ปี ฯ ครูพูดไทยใม่ได้ สอนอย่างฝรั่งเจี๊ยบ หนังสือเรียนใช้แบบฝรั่ง ที่สุดจนแผนที่ก็ใช้แผนที่ยุโรปสำหรับสอน เรารู้จักแผนที่ของเมืองฝรั่งก่อนของเมืองไทยเราเอง หัดพูดหัดอ่านแนะให้เข้าใจความเอาเอง ใม่ได้หัดให้แปล แต่พวกเราก็พยายามเข้าใจความได้ถึงพงษาวดารอังกฤษ สิ่งที่เราเข้าใจใม่ได้ คือไวยากรณ์ คิดเลขก็ใช้มาตราอังกฤษ แต่เราทำเลขไทยเปนมาแล้ว เราคงรู้จักมาตราไทยมาก่อน แต่ผู้อื่นที่รู้จักมาตราอังกฤษก่อนมีบ้างกระมัง ฯ แต่ความรู้เหล่านี้มาช่วยเราเมื่อโตแล้ว ให้รู้จักเอามาใช้ในทางข้างไทยเรา ด้วยใม่พักต้องเรียนใหม่ เราได้รู้นิสสัยของฝรั่งจากหนังสือเรียน ดีกว่าเรียนแบบที่เขาจัดสำหรับคนไทยในภายหลัง เปนการเหมาะแก่เราผู้ใม่มีช่องจะได้ไปเรียนที่เมืองฝรั่ง ถ้าเวลานั้นเปนโอกาศเหมือนในชั้นหลัง เราคงจะได้รับพระมหากรุณาโปรดให้ออกไปเรียนด้วยผู้หนึ่ง เปนลาภของกรมหลวงสวัสดิวัตนวิศิษฏ์ พระองค์แรกผู้ได้สพโอกาศนี้ ฯ นอกจากนี้เรายังได้รับคำแนะนำในการบ้านเมืองอิก ที่เกิดขึ้นเปนคราวๆ ทางเมืองฝรั่ง แลเปนเวลาเกิดเหตุการณ์เนืองๆ เปนต้นว่าเยอรมันตีเมืองฝรั่งเศสได้ ราชาธิปไตยของฝรั่งเศษล่ม กลายเปนประชาธิปไตย เรากระหยิ่มใจว่าเราได้ความรู้ดีกว่านักเรียนชั้นหลังที่เรียนเฉพาะในเมืองไทยที่เราได้เคยพบ ฯ ครูของเราแกเปนฝรั่ง แกตั้งตัวแกเปนครูเต็มที่ พวกเราต้องรู้จักฟังบังคับ ได้คุณสมบัติเพิ่มขึ้นอีกประการหนึ่ง แต่เฉพาะเรา คุณครูนกทำพื้นมาดีแล้ว ใม่พักลำบาก เรากับกรมพระดำรงราชานุภาพ เปนผู้ที่ครูชอบใจ เอาไว้กินอาหารกลางวันด้วยกันแล้ว ให้เรียนเวลาบ่ายอิกด้วย ครูชักนำให้รู้จักกับฝรั่งอื่นผู้เปนเพื่อน ฯ ผลที่ได้จากเรียนภาษาอังกฤษนอกจากกล่าวแล้ว เขียนหนังสือแลแต่งหนังสือเปน ในการเรียนต้องหัดลายมือแลเขียนตามคำบอก พวกเราก็ร่านเอามาใช้ในภาษาไทย เขียนจดหมายถึงกันและกันบ้าง แปลเรื่องฝรั่งบ้าง จดบันทึกเรื่องอย่างอื่นบ้าง เขยิบขึ้นไปตามอายุจนถึงแต่งจดหมายเหตุราชการ ที่ได้รับพระราชทานพระราชดำรัสแนะนำในทางราชการโดยลำดับมา ฯ

นิสสัยของพวกเรา เหนใครเขาทำอไร พอใจจะทำบ้าง นี้เปนเหตุให้ได้ความรู้จิปาดะ แม้ใม่ได้เรียนเปนล่ำสัน ความรู้เช่นนี้ก็เปนประโยชน์ได้เหมือนกัน เมื่อโตขึ้น ฯ สิ่งที่ขัน ในพระวินัยกล่าวถึงเรื่องชนิดแห่งดอกไม้ร้อยที่ห้ามใม่ให้ภิกษุทำ พระอรรถกถาจารย์ใม่เข้าใจเสียเลย แก้ถลากไถลไป เจ้าคุณอมราภิรักขิต (เกิด) วัดบรมนิวาส ผู้รจนาบุพพสิกขาวัณณนาก็อิกแล ใม่เข้าใจเหมือนกัน เราพบก็เข้าใจ เช่นดอกไม้ร้อยชนิดที่เรียกว่า “ปูริมํ” แปลตามพยัญชนะว่า “ของที่ทำให้เต็ม” โดยความว่า “ของที่ทำให้เปนวง” พระอรรถกถาจารย์แก้ว่า เอาตาข่ายวงธรรมาสน์ให้รอบ เปนอาบัติ วงใม่ทันรอบส่งให้ภิกษุอื่นทำต่อได้ อันที่จริง ปูริมํ นั้นได้แก่พวงมาลัย ที่ร้อยสรวมดอกก็ตาม แทงก้านก็ตาม แล้วเอาปลายผูกเงื่อนทั้งสองบัญจบเข้าเปนวง นั้นเอง ที่ห้ามใม่ให้ภิกษุทำ ฯ

เมื่ออายุเราได้ ๑๓ ปี ล้นเกล้าฯ โปรดให้ตั้งพิธีโสกันต์เรากับเจ้าน้องอิก ๔ พระองค์ ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ฯ เราเปนต้น กรมพระสมมตอมรพันธุ์ เปนที่ ๒ สมเดจพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน เปนที่ ๓ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เปนที่ ๔ น้องหญิงนงครานอุดมดี เปนสุดท้าย ฯ ๔ ข้างต้นอายุ ๑๓ ที่สุด ๑๑ ฯ ฟังสวด ๓ วัน โสกันต์วันศุกร เดือนยี่ ชึ้น ๑๒ ค่ำ ปีวอกจัตวาศก จุลศักราช ๑๒๓๔ ตรงวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๕ ฯ เปนประเพณีที่ถือกันมาในพระวงศ์ของทูนกระหม่อม ตามพระดำรัสห้ามของสมเดจพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระอัยยิกาของเรา ว่าพระชันสายังใม่ถึง ๓๐ ห้ามใม่ให้ตัดจุก ฯ นี้มาสมเข้ากับธรรมเนียมในพระวินัยว่า มีพรรษายังใม่ครบ ๑๐ (ที่นับอายุว่า ๓๐) ห้ามมิให้เปนอุปัชฌายะ แลธรรมเนียมข้างวัดอังกฤษว่า ผู้จะเปนบีชอบ คือเจ้าคณะต้องมีอายุได้ ๓๐ แล้ว ฯ ตามธรรมเนียมนี้ คงถือว่าคนที่จัดว่าเปนผู้ใหญ่แท้ อายุถึง ๓๐ แล้ว ฯ ล้นเกล้าฯ พระชนม์ยังใม่ถึง ๓๐ จึงยังใม่ทรงตัดจุก เปนแต่พระราชทานน้ำพระมหาสังข์แล้วโปรดให้เจ้านายผู้ใหญ่ที่เราจำได้ กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์ สมเดจเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงตัด ฯ คราวเราโสกันต์ ฤกษ์เช้าย่ำรุ่งแล้ว เสดจอาวผู้เคยทรงตัด เสดจมาใม่ทันสักพระองค์ โปรดให้กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ พระเจ้าบวรวงศ์เธอครั้งนั้น ที่เปลี่ยนมาเปนพระเจ้าราชวรวงศ์เธอครั้งนี้ ชั้นที่ ๒ ทรงตัดพระองค์เดียว ท่านตัดเรา กรมพระสมมตอมรพันธุ์ แลสมเดจพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตนแล้ว กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์ แลสมเดจกรมพระยาบำราบปรปักษ์ จึงเสดจมาทันตัดกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชาแลน้องหญิงนงครานอุดมดี ฯ กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ ทรงตัดเจ็บมาก บางทีจะเปนเพราะกรรไกรดื้อ แต่ความรู้สึกว่าใม่เทียมหน้าพี่น้องผู้โสกันต์ไปแล้ว นำให้โทษท่านว่าทรงตัดใม่เปน เราใม่เคยเหนท่านทรงตัดที่ในวัง เราก็สำคัญว่าท่านใม่เคย แต่โดยที่แท้ท่านคงเคยในที่อื่นมามากแล้ว ฯ ครั้งนั้นมีแห่กระบวรน้อยทางข้างใน มีรายการแจ้งให้โคลงวิวิธมาลีโสกันต์ พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๕ นั้นแล้ว แต่รายการที่กล่าวถึงในโคลงนั้น โสกันต์คราวปีมแม ก่อนนี้ปีหนึ่ง ฯ แห่อย่างนี้จัดขึ้นคราวแรกเมื่อปีมเมีย ครั้งโสกันต์เจ้าพี่กาพย์กระนกรัตน แลกรมพระเทววงศ์วโรปการ ครั้งนี้เปนที่ ๓ เปรียบเทียบกับแห่โสกันต์ทางนอก ครั้งรัชกาลที่ ๔ แปลกกันมาก แต่หากจะโปรดให้มีแห่เหมือนอย่างนั้น ก็คงใม่ครึกครื้นเหมือน เพราะผิดเวลา ใครเขาจะมาเอาใจจอดอยู่ด้วย ทั้งท่านผู้ออกงาร ก็จะหานางสะแลข้าหลวงหญิงชายตามใม่ได้ง่าย แลการโสกันต์ยังจะมีติดกันไปทุกปีอย่างไรก็ต้องกร่อย จะให้ลำบากแก่คนมากแลเปลืองเงินมากเพื่ออไร ล้นเกล้า ฯ ทรงเลิกแห่นอกเสียนั้น สมควรแท้ ได้รู้มาว่า ครั้งรัชกาลที่ ๓ พระเจ้าน้องเธอ พระเจ้าลูกเธอ โสกันต์ในพิธีตรุษเปนพื้น มีแห่เฉพาะบางครั้ง พระเจ้าลูกเธอ ดูเหมือนใม่ได้แห่เลย เทียบกับครั้งนั้นก็ยังได้ออกหน้ากว่า ต่อมาถึงคราวพระเจ้าลูกเธอโสกันต์ โปรดให้แห่ทางในโดยมาก เหนพระราชนิยมชัด ฯ เปนธรรมเนียมของเจ้านายผู้ชายจะออกจากพระบรมหาราชวังชั้นใน ต่อเมื่อทรงผนวชเปนสามเณร เราโสกันต์แล้ว จึงยังอยู่ในวังต่อมา ฯ

อายุเราได้ ๑๔ ปี ถึงกาลกำหนดบรรพชา แต่ปีนั้นเดือน เจ็ดต่อกับเดือนแปดเกิดโรคป่วงชุกชุม ที่ห่างมานานตั้งแต่ปีรกาเอกศก จุลศักราช ๑๒๑๑ หรือ พ.ศ. ๒๓๙๒ มีพระราชดำรัสสั่งให้เลื่อนไปบวชต่อเมื่อเดือนเก้า ฯ ในเวลานั้น ยังว่าขานนาคเปนทำนอง ต้องหัดกันมาแต่เนิ่นลำบากใม่ใช่น้อย พระราชครูมหิธร (ชู) ครั้งยังเปนหลวงญาณภิรม นายด้านกรมราชบัณฑิต มีน่าที่เปนผู้หัด แกเหนจะเปนนักร้องดีกระมัง แต่เราทนแกใม่ไหว ว่าอย่างไรแกก็ติตบึงไปว่าใม่ถูก ๆ จนใม่รู้จะว่าอย่างไร เลยร้องไห้ฉุนแกขึ้นมาบ้าง ใม่ยอดหัดกับแกอิก นิสสัยของแกคงชอบยั่วให้ศิษย์เจ็บใจแลมีอุตสาหะทำให้ได้ ส่วนนิสสัยของเราชอบปลอบชอบพูดเอาใจ ต่างกันเช่นนี้ อาจารย์เปี่ยมของเรา เคยสอนมคธภาษามาก่อน แกคงรู้ดี แกรับหัดสำเร็จ ฯ มีการทรงผนวชสมโภชที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยวันหนึ่ง ทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันพฤหัสบดี เดือนเก้า ขึ้นสิบสี่ค่ำ ปีรกาเบญจศก จุลศักราช ๑๒๓๕ ตรงวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๖ พร้อมด้วยกรมพระสมมตอมรพันธุ์ แลกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา สมเดจกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ครั้งยังเปนกรมหมื่นบวรรังสีสุริยพันธุ์ เปนพระอุปัชฌายะ หม่อมเจ้าพระธรรมุณหิสธาดาเปนผู้ประทานสรณะแลศีลแก่เรา เปนคราวแรกที่เราได้เข้าในที่ประชุมสงฆ์ ทั้งขานนาคมีบทที่ยืนว่า คืออุกาสะด้วย ประหม่าเปนอย่างใหญ่ จนถึงตัวสั่นเสียงสั่น ฯ พวกเราผนวชเณรแปลกจากธรรมเนียมสามัญ ครองผ้ามีสังฆาฏิแลขอนิสนัยด้วย ฯ การทรงผนวชพวกเรา ใม่มีแห่เหมือนครั้งแผ่นดินทูนกระหม่อม ขึ้นเสลี่ยงกั้นกลดเท่านั้น พวกผู้หญิงใม่ค่อยรู้สึกเหมือนโสกันต์ ฯ บวชแล้วมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารทั้งสามองค์ ล้นเกล้า ฯ เสดจส่งด้วยหรือใม่ จำใม่ได้ ถ้าใม่ได้เสดจก็มีรถหลวงส่ง ฯ ที่วัดมีกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ แลกรมขุนสิริธัชสังกาศ ทรงผนวชเปนสามเณรอยู่ รวมพวกเราเข้าด้วย ในพรรษานั้น จึงมีพระองค์เจ้าสามเณร ๕ พระองค์ เกือบเท่าครั้งปีมโรงสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๓๐ พ.ศ. ๒๔๑๑ ที่มีถึงเจ็ดพระองค์ ฯ​ เราอยู่ตำหนักเดียวกับกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ หลังที่เรียกว่าโรงพิมพ์ ได้ชื่ออย่างนั้น เพราะเมื่อครั้งทูนกระหม่อมทรงผนวชเปนที่ตีพิมพ์หนังสืออริยกะ ทูนกระหม่อมได้เคยประทับกลางวัน ครั้งรื้อท้องพระโรงสร้างตำหนักเดิมเดี๋ยวนี้ ฯ เวลาหัวค่ำ ขึ้นฟังสั่งสอนที่เสดจพระอุปัชฌายะ ท่านทรงสั่งสอนด้วยศีลแลวัตรของสามเณร ฟังเข้าใจได้ ฯ ครั้งนั้นยังมีบิณฑบาตเวร คือจัดพระสงฆ์ในวัดอารามหลวงให้ผลัดกันเข้าไปรับบิณฑบาตในพระบรมหาราชวังชั้นใน วันพฤหัสบดีเปนเวรของพระสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหารแลวัดธรรมยุตอื่น ถึงกำหนดเราเข้าไปบิณฑบาต ใช้เสลี่ยงไปจากวัด ลงเดิรที่ในวัง พวกเณรธรรมยุตก็ใช้ห่มดองคาดประคตอกสพายบาต เหมือนเณรมหานิกาย แต่ในที่อื่น แม้เมื่อเข้าไปหรือกลับออกมาแล้ว ก็ห่มคลุม เข้าทางประตูดุสิตศาสดา ที่เปนทางข้างในออกวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระองค์เจ้าออกทางประตูสนามราชกิจ ที่เรียกว่าประตูย่ำค่ำ หม่อมเจ้าได้ยินว่าออกประตูอนงคลีลา หรืออไรที่ออกฉนวนตำหนักน้ำท่าราชวรดิฐ พระสามัญออกประตูยาตราสัตรีที่เรียกว่าประตูดิน ฯ ประโยชน์ที่ได้จากการบวชเณร หัดประพฤติตัวกวดขันกว่าก่อน เริ่มรู้จักเพื่อจะทรงตัวเอง แลรู้จักเพื่อจะอ่อนน้อมผู้อื่นตามภาวะของเขา ฯ เราแม้ใม่ใช่เด็กซุกซนจัด แม้ได้รับฝึกหัดในทางมรรยาทมาบ้างแล้ว แต่ยังใม่กวดขันเหมือนในเวลาบวช หรือได้รับฝึกไปทีละอย่างโดยใม่รู้ตัว มาบวชได้รับสั่งสอนประดังกันวันละหลายอย่าง ทั้งเปนมรรยาทที่แปลกออกไปก็มี จึงรู้สึกว่ากวดขัน ฯ เราเปนเด็กที่ร่านอยู่ก็จริง ถึงอย่างนั้นยังต้องอาศัยผู้ใหญ่ทำให้หลายประการ ตั้งแต่แต่งตัวเปนต้นไป มาบวชเปนเณรจะต้องทำสำหรับตัวเองเปนพื้น ตั้งแต่ครองผ้าเปนต้นไป ฯ คฤหัสถ์ผู้ใหญ่ ที่มิใช่เจ้าเขาอ่อนน้อมแก่พวกเรา ที่สุดอาจารย์เปี่ยมของเรา แกก็ทำอย่างนั้น แต่พวกพระที่สุดสามเณรด้วยกันผู้บวชก่อน ท่านใม่ลงเราอย่างนั้น ท่านลงเปนที่ตามความนิยมของบ้านเมืองเท่านั้น เราก็ต้องลงท่านบางประการ ฯ ส่วนการศึกษาอื่นใม่ได้มีในเวลาบวช ฯ เมื่อจวนออกพรรษา ล้นเกล้าฯ ทรงอุปสมบทเปนพระภิกษุ แลเสดจประทับที่พระพุทธรัตนสถานมนทิราราม เสดจพระอุปัชฌายะเสดจเข้าไปอยู่เปนเพื่อน พระเถรานุเถระอื่นผลัดกันเข้าไปอยู่ ฯ พวกเรา ๕ องค์ได้เข้าไปสมทบทำวัตรสวดมนต์แลบิณฑบาต แต่ใม่ได้อยู่รับใช้ คงเปนเพราะภิกษุใหม่มีสามเณรไว้อุปฐากใม่ควร ฯ บิณฑบาตห่มคลุม อุ้มบาตร เหมือนอย่างนอกวัง ในบริเวณพระที่นั่งภานุมาสจำรูญองค์เดิมที่พระสงฆ์วัดราชประดิษฐเข้าไปรับครั้งทูนกระหม่อม ฯ ยังใม่ได้บวช ก็ร่านจะบวช จะได้ออกจากวัง ดูค่อยเปนผู้หลักผู้ใหญ่ขึ้น ครั้นบวชแล้ว จวนออกพรรษาก็อยากสึก จะได้เที่ยวไปไหน ๆ เหมือนปลาต้องการออกไปหาน้ำลึก แต่ใม่รู้ว่าอันตรายมีอย่างไร นอกจากนี้ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ จะทรงลาผนวชเมื่อคราวออกพรรษานั้นด้วย ชวนให้เราอยากสึกขึ้นอิกมาก ฯ เปนประเพณีของเจ้านายผู้ทรงผนวช จะหัดเทศน์มหาชาตก์ เพื่อถวายในฤดู แต่เราเข็ดพระราชครูมหิธรมาแล้ว ครั้งหัดขานนาค จึงใม่ขอหัดแลใม่ได้ถวาย รีบชิงสึกเสียก่อน เพื่อมิให้ออกช่อง ฯ เราบวชเปนสามเณรอยู่ ๗๘ วัน สึกเมื่อวันพฤหัสบดี เดือนสิบสอง ขึ้นสามค่ำ ปีนั้น ตรงวันที่ ๒๓ ตุลาคม ใม่มีพิธีหลวง จัดเอาเอง สึกแล้วไปอยู่วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ตามลำพัง ยายออกมาอยู่ที่นั่น อยู่เรือนเดียวกับยาย แต่คนละห้อง ภายหลังจึงออกมาอยู่ที่ปั้นหย่าริมประตูวัง เมื่อกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์เสดจขึ้นอยู่บนตำหนักใหญ่แล้ว ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ