๒. คราวเปนพระทารก

เริ่มแรกเราจำความได้ อายุเท่าไรบอกใม่ได้ เราอยู่ที่ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอในรัชกาลที่ ๓ กรมหลวงวรเสฐสุดา ครั้งนั้นยังใม่ได้ทรงกรม ทรงพระนามพระองค์เจ้าบุตรี เจ้าจอมมารดาของท่านกับของเราเปนญาติกัน เราเรียกท่านว่าเจ้าครอกป้า ภายหลังเมื่อคำว่าเจ้าครอกล่วงสมัยแล้ว เปลี่ยนเรียกว่าเสดจป้า เรียกคุณยายท้าวสมศักดิ์ คือเจ้าจอมมารดาอึ่ง เจ้าจอมมารดาของท่าน ว่าคุณยายแม่ ที่แปลว่าแม่เฒ่า ที่เจ้านายในรัชกาลที่ ๕ ผู้เปนพระญาติข้างเจ้าจอมมารดา เรียกอย่างนั้นตรง ๆ ฯ เวลานั้นเรากำลังเจ็บ แต่รู้ในภายหลังว่าเปนทรางขโมย เจ็บมากน่ากลัวใม่รอด เมื่อเราจำได้นั้น กำลังฟื้น จำขุนทารกรักษา (นาค) ผู้รักษาได้ แกเปนคนแก่ ดูเหมือนตกกระแล้ว แต่ผมยังดำ ไว้ผมเปีย น้ำใจดี พูดอ่อนหวาน เราเปนทารกแลกำลังเจ็บ เข้าหาแลนั่งตักแกได้ ด้วยใม่กลัวแกจะให้กินยา แกคงมีอุบายปลอบให้กินยา แต่ได้ยินว่าเรากินยาง่าย บางทีเปนเพราะเจ้าครอกป้าของเราฝึกให้เจนมาก็ได้ ท่านทรงเล่าให้ฟังว่า ท่านจ้างให้กินยาถ้วยละ ๑ บาท เงินที่รับจ้างได้นั้นกองไว้ข้างตัว พอลืมก็กลับมาเปนค่าจ้างใหม่ เมื่อเขื่องขึ้นหน่อย ใม่ต้องมีใครจ้าง เปนแต่ได้รับคำยอว่า เสวยยาง่าย ดีกว่าท่านพระองค์ชายใหญ่ คือกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ เท่านั้นก็พอ ฯ เหตุไฉนเราจึงไปอยู่ตำหนักเสดจป้ากรมหลวงวรเสฐสุดานั้น มีคำเล่าว่า ในวันเผาศพเจ้าจอมมารดาของเราที่วัดราชาธิวาส พอกลับมาถึงตำหนักของเรา ยังใม่ทันขึ้น เราร้องไห้ดิ้นรนใม่ยอมขึ้น ชี้มือไปทางตำหนักเสดจป้ากรมหลวงวรเสฐสุดาที่อยู่ใม่ไกลถนนสายเดียวกัน แต่ข้างละฟาก ครั้นเขาพาไปถึงนั่น อยุดร้องไห้ ท่านรับเลี้ยงไว้ตั้งแต่วันนั้น ฯ แต่อย่างไร เราจึงใม่ได้อยู่ที่นั่นจนโต หารู้แน่ใม่ มีคำเล่าว่า ท่านถูกรแวงว่า เลี้ยงเด็กผู้ชายใม่ขึ้น กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ ได้เคยเสดจไปอยู่ที่นั่น ก็ประชวรออดแอด เราอยู่ที่นั่นก็เจ็บใหญ่ ฯ

เมื่อเรามาอยู่ที่ตำหนักของเรา ได้อยู่ในความดูแลของคุณยายท้าวทรงกันดาน (ศรี) ยายตัวของเรา ในเวลาเจ้าจอมมารดาของเราถึงแก่กรรม ยายเราต้องดูแลเจ้าหลาน ๔ พระองค์ ส่วนน้องหญิงบัญจบเบญจมานั้น เสดจป้ากรมหลวงวรเสฐสุดา ทรงรับเอาไปเลี้ยงตั้งแต่วันประสุต อยู่ที่ตำหนักท่านตลอดมา จนเธอสิ้นประชนม์จากท่านไป เมื่อพระชันสาของเธอได้ ๓๒ ปี ฯ นึกดูถึงใจยาย เหนหลานกำพร้าแม่แต่ยังเล็กๆ จักมีความสงสารสักเพียงไร แลจักรู้สึกว่าตกเปนภาระของท่านสักเพียงไร เปนเดชะบุญของพวกเรา เรามียายดี มีสามารถในกิจการ รู้จักหาทรัพย์แลเก็บหอมรอมริบ สมบัติของพวกเราจึงปราศจากอันตราย แลพวกเราก็ได้รับทำนุบำรุงมาเปนอันดี ฯ เปนธรรมดาของผู้ใหญ่ย่อมเอนดูเด็กคนน้อยมากกว่า น้องหญิงของเราใม่ได้อยู่ด้วยยาย ถัดมาก็ถึงเรา ยายจึงรักเรามากกว่าหลานอื่น เปนเช่นนี้ตลอดมาจนท่านถึงแก่กรรม เมื่อเราเปนผู้ใหญ่ในสงฆ์แล้ว นอกจากธรรมดาเศกสรรยังเปนโชคของเราอิก ที่ท่านผู้ใหญ่อื่นชอบเรามากเหมือนกัน ฯ

เมื่อยังเล็กเราพอใจเล่นเปนพระ ครองผ้า บิณฑบาต ฉัน อนุโมทนา เทศนา เพียงเท่านี้จะว่าเปนนิมิตต์ก็ใม่เชิง เพราะนี้เปนการเล่นสนุกของเจ้านายอื่นด้วย แต่เรามีตาลปัตรแฉกสำหรับพระราชาคณะ พระนิกรมมุนี (เบญจวรรณ) เจ้าวัดพระยาทำ ผู้เปนญาตินับเปนชั้นตา ทำให้ ใบพัดเอาอไรทำแลทำอย่างไร บอกใม่ได้ เปนอย่างหักทองขวาง ด้ามงาหรือกระดูก นี้จะถือว่าเปนนิมิตต์ก็เข้าที ฯ

นอกจากได้ความสังเกตจากผู้ใหญ่โดยธรรมดาของเด็ก เราได้รับความศึกษาเปนครั้งแรกที่นกพนักงารซึ่งเราเรียกว่า คุณยายนก อายุเท่าไรใม่แน่ แต่ยังเด็กมาก ยายของเราฝากให้เรียนหนังสือไทย ไปเรียนเปนเวลา แล้วกลับมาตำหนัก ฯ ขอบคุณ ๆ ครูนกของเรา แกเปนผู้มีใจดี มีอัชฌาสัยเยือกเย็นใม่ดุ น่ารักน่านับถือ เปนผู้มีสัตย์ ใม่กลับคำให้เสียความวางใจ แรกแก่สอนให้อ่านแลจำตัว ก ข เพียง ก ถึง ง แลว่าถ้าจำได้แล้ว วันนั้นจักให้อยุดแลให้เล่น เราเชื่อแก อ่านครู่เดียวจำได้ แกให้อยุดจริง ๆ แต่ในวันหลัง ๆ แกเหนว่าเรียนวันละตอนคล่องแล้ว แกก็เพิ่มเปนสองตอนขึ้น แจกลูกวันละใม่ถึงแม่หรือแม่หนึ่งขึ้นไปโดยลำดับ เราเชื่อคุณครู เราสมัคทำตามด้วยใม่พักเดือดร้อน เรียนแต่อ่าน ใม่ได้หัดเขียน ความรู้หนังสือที่เราได้จากแกครั้งนั้น ใม่เท่าไรนัก แต่เราได้คุณสมบัติสำคัญจากแก คือรู้จักสมัคทำตามคำของครู เปนเหตุใม่ต้องถูกเคี่ยวเข็นถูกดุถูกตี เพราะการเล่าเรียนเลย เรียนในสำนักครูผู้ใด ครูผู้นั้นรัก ทุกคราวมา ครั้นเราเปนครูเขาขึ้นเอง เราก็ใม่ชอบดุ แม้ปกติของเรามีโทสะเปนเจ้าเรือน ฯ

เมื่ออายุได้ ๗ หรือ ๘ ปี ได้เริ่มเรียนหนังสือขอมกับพระยาปริยัติธรรมธาดา (เปี่ยม) ครั้งยังเปนหลวงราชาภิรม ปลัดกรมราชบัณฑิต ที่พระที่นั่งสุทไธศวรรย์ พร้อมด้วยเจ้าพี่หลายพระองค์ อันที่จริงเรียนมคธภาษา แต่ต้องเรียนตั้งแต่อ่านหนังสือขอมที่เปนเครื่องใช้เขียนแลจารตำหรับเรียน เรียกอย่างหมิ่นเหม่แต่บุพพภาคว่า เรียนหนังสือขอม ฯ ใครชักนำให้ไปเรียนหารู้ใม่ ฯ ในเวลานี้เราก็หลากใจว่า อายุเท่านั้นเริ่มเรียนมคธภาษาแล้ว เราเปนเด็กที่สุดในหมู่เจ้านายผู้เรียนอยู่ ฯ ตั้งแต่หัดอ่านหนังสือขอม ตลอดถึงเรียนบทมาลาที่เรียกว่าไวยากรณในบัดนี้ อาจารย์ลำบากมาก ต้องเขียนต่อลงในสมุดดำให้ศิษย์ทุกพระองค์ ต่อขึ้นคัมภีร์ คืออรรถกถาธรรมบท จึงค่อยสดวก ใม่ต้องเขียน ฯ อาจารย์ของเราแกมีใจดีเยือกเย็น แต่แกเปนข้าราชการฝ่ายน่า แกใม่อาจตั้งตัวเปนอาจารย์แกถ่อมตัว แกไหว้พวกเรา พูดอย่างอ่อนน้อม เราหาได้ความรักใคร่สนิทสนมฉันครูกับศิษย์ใม่ ออกจะเหนเปนครูชั้นเลว แต่ก็ยังคมคือยกมือไหว้แก ฯ เราเรียนต่อมากับท่านอาจารย์นี้ จนถึงรัชกาลที่ ๕ แต่ย้ายสถานมาเรียนที่เก๋งกรงนกหรือสกุณวัน เรียกชื่ออย่างนั้น เพราะเดิมมีกรงนกใหญ่ ทำเขาแลป่าไว้ในนั้น เลี้ยงนกแลสัตวจตุบทเล็ก ๆ เราจำได้ว่ามีกระจง มีเก๋งอยู่สี่ทิศของกรงนก แต่ในเวลาที่มาเรียนนั้น กรงนกรื้อเสียแล้ว ทำเปนศาลาใหญ่ ชื่อเก๋งวรสภาภิรมย์ ที่สมเดจเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ครั้งยังเปนเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน นั่งว่าราชการ เก๋งหลังที่เราเรียนหนังสือนั้น ชื่อราชานุอาสน์ อยู่น่าพระทวารเทเวศรรักษาแห่งพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย มีทางเดิรคั่นในรวางเท่านั้น แต่เรียนอยู่ใม่นานก็เลิก ฯ เราเรียนถึงแปลอรรถกถาธรรมบทบั้นปลายผูกสอง พอเข้าใจความท้องเรื่องได้เมื่ออาจารย์สอนให้แปลแล้ว แต่ยังผสมเอาความเองใม่ได้ ฯ ความรู้ที่ได้ในการเรียนนี้ คืออ่านหนังสือขอมออก รู้จักศัพท์มคธขึ้นบ้าง นำให้เข้าใจภาษาไทยกว้างออกไป ฯ

เราจำได้ว่าการเล่นตุกตา ก็ให้ความรู้ได้เหมือนกัน ฯ เล่นตุกตาตัวใหญ่ เรารักตุกตาเปนลูก เราได้ความรู้สึกว่าผู้ใหญ่ของเราท่านรักเราอย่างไร นี้เปนกตัญญู เราเอาอย่างผู้ใหญ่ทำให้แก่ตุกตา หรือจักทำแก่คนภายน่า นี้เปนบุพพการี แลยังรู้จักเย็บผ้า ผสมสีย้อมผ้าเครื่องแต่งตัวตุกตาแลอื่น ๆ อิก เล่นตุกตาตัวเล็ก ๆ นำให้เราสังเกตวิธีจัดเย่าเรือนแลจัดการงารของผู้ใหญ่ เพื่อจำเอามาเล่นตุกตา ฯ การเล่นหุงเข้าต้มแกง ก็ให้ความรู้ในทางปรุงอาหาร แต่เสียดายว่าใม่สนใจ จึงใม่สันทัด ฯ

แม้เราเปนผู้กำพร้าแม่ แต่เราได้อัสสาสะคือความอุ่นใจในทูนกระหม่อมของเรา ท่านทรงกับพวกเราโดยฉันพ่อกับลูก ใม่ทรงทำพระยศพระอย่างโดยฐานเปนพระเจ้าแผ่นดิน ที่ห่างเหินจากพระเจ้าลูกเธอชั้นพระองค์เจ้า หรือพูดตามคำสามัญว่า ลูกเมียน้อย ฯ เวลาเสวยพวกเรานั่งล้อมอยู่ใกล้โต๊ะเสวย คอยเลื่อนเครื่องใม่ทันใจ ทูลขอกำลังเสวยก็มี เสดจไปข้างไหน ก็พรูตามเสดจ ถ้าเสดจโดยพระราชยาน ก็ทรงรับขึ้นพระราชยาน ที่ยังเล็กโปรดให้นั่งที่พระเพลาบ้าง ซอกพระปรัศว์บ้าง ที่เขื่องโปรดให้นั่งน่าพระเพลา เราจำได้ว่าเมื่อครั้งโสกันต์พี่พักตร์พิมลพรรณที่เมืองเพ็ชร์บุรี วันหนึ่งเราตามเสดจลงจากเขามไหศวรรย์ ไปรับกระบวรแห่ใม่ทัน แม่นมอุ้มไปดักกลางทาง สอนให้เราทูลขอให้ทรงรับ ท่านให้อยุดพระราชยานรับเราขึ้นด้วย ประทับที่ไหน พวกเราก็นั่งล้อมเบื้องพระปฤษฎางค์ ฯ เรามีความอิ่มใจว่า แม้เรายังเล็ก เราก็พอเปนประโยชน์แด่ทูนกระหม่อมของเราได้บ้าง ท่านทรงใช้เราหยิบพระศรี (คือหมากเสวย) ก็มี พระสุพรรณศรี (คือบ้วนพระโอฐองค์น้อย) ก็มี โปรดให้เชิญพระแสงบ้าง เชิญธารพระกรบ้าง บางคราวถูกเชิญพร้อมกันทั้งสองอย่าง หนักก็หนัก มือเล็กกำใม่ค่อยรอบ แต่อิ่มว่าเปนผู้แขงแรง ทรงใช้การหนักได้ ฯ

เมื่อกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์จะทรงผนวชเปนสามเณร ทูนกระหม่อมทรงพระอนุญาตให้เรามาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารด้วยเจ้าพี่ เราดีใจนี่กระไร เมื่อออกมาอยู่ได้พบและคุ้นเคยกับพวกผู้ชายทั้งพระเณรทั้งคฤหัสถ์ ได้เรียนรู้อัชฌาสัย มีทั้งดีทั้งเลว และมีช่องที่ได้ตามเสดจเจ้าพี่ไปข้างไหน ๆ บ่อย ๆ กว่าอยู่ในวัง ติดวัดเหมือนปลาเคยอยู่ในน้ำตื้น ได้ออกมาน้ำลึก มีธุระที่จะต้องเข้าไปค้างคืนในวัง ช่างใม่สมัคเสียจริง ๆ อยู่ก็ใม่สนุก ฟังผู้หญิงพูดก็ใม่คมคาย เมื่ออยู่วัดได้เรียนปริยัติกับพระปริยัติธรรมธาดา (ชัง) ครั้งยังเปนหลวงศรีวรโวหาร นายด้านกรมราชบัณฑิต ผู้บอกภิกษุสามเณรวัดนั้นอยู่บ้าง ฯ การอยู่วัดมีประโยชน์ทำให้ใจแลอาการเปนผู้ชายเรว แปลกกว่ามาอยู่ต่อเมื่อบวชเณรทีเดียว ที่มักจะมีอาการผู้หญิงติดมาใม่องอาจ แต่อิกทางหนึ่งได้ยินคำที่ยังใม่ควรจะได้ยินเร็วเกินไป ฯ

ทูนกระหม่อมของเราเสดจประพาสหัวเมืองเนือง ๆ พวกเราอยากตามเสดจนี่กระไร ผู้ใดได้ไป เปนโชคของผู้นั้น แต่เรามักจะแคล้วคลาด จำได้ว่าได้ไปพระประถมเจดีย์ กรุงเก่า เมืองเพชรบุรี เกาะจาน แขวงเมืองประจวบคิรีขันธ์ (คือเมืองกุย) คราวมีสูญเท่านั้น แม้อย่างนั้น สองคราวหลัง หาได้ไปเรือพระที่นั่งใม่ คราวไปเพชรบุรี ไปเรือลำเดียวกับเสดจป้ากรมหลวงวรเสฐสุดา คราวไปเกาะจาน ไปเรือลำเดียวกับกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ ซึ่งยังเปนสามเณร แลตามเสดจกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เสดจพระอุปัชฌายะของเราไป ฯ

พอเสดจกลับจากเกาะจาน ทูนกระหม่อมทรงพระประชวรไข้ป่า ประมาณว่าเดือนเศษใม่ถึงครึ่งสวรรคต เมื่อวันพฤหัสบดี เดือนสิบเอ็จ ขึ้นสิบห้าค่ำ ปีมโรงสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๓๐ ตรงวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ เวลา ๑ ยามเศษ ฯ เวลานั้นเรามีอายุได้ ๘ ขวบครึ่ง รู้จักเศร้าโศกเสียดายบ้างแล้ว แต่ยังรัวเต็มที ฯ สมเดจของพวกเรา คือพระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสวยราชสมบัติแต่พระชันสายังพระเยาว์เพียง ๑๖ ปี สมเดจเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ครั้งยังเปนเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เปนผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ต่อเมื่อพระชันสาได้ ๒๑ ปี ทรงอุปสมบทแล้ว จึงได้ทรงราชการเต็มที่ ฯ เราได้เหนความเปลี่ยนแปลงแห่งความเปนไปของพวกเราเปนครั้งแรก คนผู้เคยนับถือแลฝากตัวก็จืดจางไป คนที่เราใม่เคยเกรง ก็ต้องเกรง ส่วนลาภก็น่าจะเปนตามกัน แต่เรายังเด็กใม่ได้รู้ไปถึง แต่ยังเปนโชคของพวกเรามาก ที่พระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสดจเถลิงถวัลยราชสมบัติ ถ้าการณ์กลับกลายเปนอย่างอื่นไป จะซ้ำร้ายกว่านี่เสียอีก ครั้งนั้นเรายังเด็กนักใม่รู้คิด มารู้เมื่อโตขึ้นคิดถึงครั้งนั้นน่าใจหาย ครั้งนั้นพระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็กำลังทรงพระประชวร พระอาการมากเหมือนกัน เราได้เหนเองเมื่อเวลาเขาเชิญเสดจขึ้นไปถวายน้ำสรงพระบรมศพบนพระที่นั่งภานุมาสจำรูญองค์เดิม เรายังรู้ว่าทรงพระประชวรมากอยู่ ถ้าพลาดพลั้งลงในเวลานั้น การภายน่าจักเปนอย่างไรใม่พักต้องหาโหรพยากรณ์ก็อาจรู้ ฯ แต่ความเปลี่ยนแปลงแห่งความเปนไปของพวกเราตามสมัยนี้ ใม่เปนเปล่าจากประโยชน์เสียทีเดียว กลับให้ประโยชน์แก่เราในภายหลังอิก ทำให้พวกเราสังเวชน์คิดถึงตัว ใม่มีทางกำเริบ หรือแม้เพียงทอดธุระจากการแสวงหาความรู้ ได้เปรียบเจ้านายในรัชกาลที่ ๓ ที่โดยมากกลับพระองค์ใม่ทัน เพราะเวลาล่วงไปเสียมากแล้ว พวกเรายังมีช่องพอจะทำตนให้เปนดุจภาชนะสำหรับรองรับราชการที่พระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงวางลงไป ฯ สมัยที่พวกเรามาถึงเข้าบัดนั้น ชั่งเปนคราวที่พวกเจ้านายตกต่ำนี่กระไร แต่พวกเรายังเล็กนักก็ใม่รู้สึกลึกซึ้งกี่มากน้อย แต่พระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระเจริญกว่าคงจะทรงรู้สึกฝังในพระราชหฤทัยเปนหนักหนา จึงทรงทำนุบำรุงพวกเรามาตั้งแต่ยังเยาว์ ให้ได้รับศึกษาแลฝึกหัดในทางที่สมควรแก่สมัย แลทรงชุบเลี้ยงเมื่อเติบขึ้น ให้มีช่องได้รับราชการน่าที่ใหญ่ขึ้นโดยลำดับ จนได้เปนเสนาบดีเจ้ากระทรวงก็หลายพระองค์ มีพระเดชพระคุณแก่พวกเราเปนล้นพ้น ฯ อาศัยเหตุสองประการ คือพวกเราทำตนให้เปนดุจภาชนะที่ควรรองรับราชการแลพระมหากรุณาแห่งพระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงชุบเลี้ยง พวกเราจึงกลับมีผู้นับถือยำเกรงขึ้นอีก ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ