๏ เมื่อนั้น นวลนางพิกุลทองกัลยา
เป็นบุตรท้าวสันนุราชา[๑] โสภากำดัดกระษัตรีย์
อันองค์พระราชมารดา ชื่อพิกุลจันทรามารศรี
ครองสันนุราชธานี จำเริญศรีเลิศลํ้าอำไพ
เกศานางหอมขจรกลิ่น รวยรินไม่มีที่เปรียบได้
จะแย้มโอษฐ์เจรจาออกเมื่อใด พิกุลทองก็ไหลจากโอษฐ์มา
เมื่อเหตุจะถึงนางทรามวัย ให้เดือดร้อนในใจเป็นนักหนา
จะใคร่ไปสรงพระคงคา ยังที่ท่าท้องฉนวนใน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ คิดแล้วเท่านั้นมิทันช้า เรียกกันทลิมา[๒]พี่เลี้ยงใหญ่
ตัวน้องนี้ไม่สบายใจ จะใคร่ไปสรงพระคงคา
พี่ไปสั่งกำนัลนารี นักเทศขันทีทั้งซ้ายขวา
จะขึ้นไปทูลลาพระบิดา แล้วจึงจะพากันคลาไคล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางกันทลิมาพี่เลี้ยงใหญ่
รับสั่งโฉมงามทรามวัย บัดใจก็ลีลามา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึงสั่งขอเฝ้าเจ้ากรม นักสนมกำนัลถ้วนหน้า
ว่านางจะไปสรงพระคงคา ให้เตรียมวอรจนาคลาไคล ฯ

ฯ ๒ คำ เจรจา ฯ

๏ ครั้นสั่งสำเร็จเสร็จแล้ว คลาดแคล้วกลับมาหาช้าไม่
กราบทูลโฉมงามทรามวัย ข้าไปสั่งเสร็จสำเร็จแล้ว ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมนางพิกุลทองผ่องแผ้ว
ได้ฟังพี่เลี้ยงว่าพร้อมแล้ว นางแก้วประดับกายา
สร้อยตาบประดับทับทรวงทรง สอดพระธำมรงค์ทั้งซ้ายขวา
ผัดพักตร์นวลละอองดังทองทา กรีดกันเกศาบรรจงไร
นางทรงประดับสรรพเสร็จ เสด็จจากปรางค์ทองผ่องใส
พร้อมด้วยสาวสรรกำนัลใน เสด็จไปเฝ้าองค์พระบิดา ฯ

ฯ ๖ คำ เพลงช้า ฯ

๏ มาถึงจึงตั้งบังคม ด้วยมโนภิรมย์หรรษา
ทูลแถลงแจ้งกิจพระบิดา ลูกจะลาไปเล่นนัที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสันนุราชเรืองศรี
ได้ฟังลูกรักทูลคดี จะไปเล่นนัทีสำราญใจ
จึงมีพระราชบัญชา แก่พระลูกยาพิสมัย
จะไปเล่นคงคาชลาลัย ตามแต่น้ำใจพระลูกยา
ไปเล่นอย่าให้เย็นนัก ลูกรักจงฟังบิดาว่า
เย็นร้อนอ่อนแสงพระสุริยา จงเร่งกลับมาเข้าวังใน
แล้วกำชับพี่เลี้ยงซ้ายขวา ให้ระวังลูกยากูจงได้
อย่าให้มีเหตุเภทภัย จะบั่นเกล้ามึงให้มรณา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมนางพิกุลทองเร่งหรรษา
ครั้นแล้วถวายบังคมลา พี่เลี้ยงซ้ายขวาห้อมล้อมไป ฯ

ฯ ๒ คำ เชิด ฯ

๏ มาถึง จึงหยุดวอทองผ่องใส
กับพี่เลี้ยงทาสีมี่อึงไป ก็ครรไลไปสรงพระคงคา ฯ

ฯ ๒ คำ เสมอ ฯ

๏ นางเสด็จลงสรงสนาน ชื่นบานพระทัยหรรษา
หัวระริกหยิกหยอกกันไปมา บ้างว่ายบ้างคว้าหากัน
บ้างเล่นปะเปิงจํ้าจี้ ยินดีปริดีเปรมเกษมสันต์
บ้างโผบ้างคว้าหาเพื่อนกัน ยื้อยุดฉุดพันกันไปมา
ลางนางบ้างเล่นชิงช่วง จับกันเหนี่ยวหน่วงแล้วยื้อคร่า
บ้างขับลำร้องอยู่ไปมา เล่นนํ้าในมหานัที ฯ

ฯ ๖ คำ ยานี ฯ

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงพญาแร้งราชปักษี
อยู่สถานเขานิลคีรี มีอิทธิฤทธีมหึมา
เป็นใหญ่กว่าแร้งทั้งหลาย หยาบคายร้ายกาจริษยา
ใจจิตคิดถวิลจินดา ให้อยากซากศพที่เคยกิน
คิดแล้วเท่านั้นมิทันช้า ปักษาบินผาดโผผิน
ออกจากสถานเขานิล ปักษินบินเตร่เร่มา ฯ

ฯ ๖ คำ เชิด ฯ

๏ มาถึง ยังฝั่งพระสมุทรฉานฉ่า
เห็นสุนัขเน่านั้นลอยมา สมดังปรารถนาที่คิดไว้
จึงโผลงจับจิกกิน ปักษินลอยตามแม่น้ำไหล
ชลธาร์พาล่องลอยไป ยังที่ฉนวนในมิได้ช้า ฯ

ฯ ๔ คำ โล้ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางพิกุลทองเสน่หา
เล่นนํ้าอยู่กับหมู่ทาสา กัลยาผันแปรแลไป
เห็นพญาแร้งกินสุนัขเน่า เจ้าคิดเกลียดชังไม่ทนได้
อาเจียนเหียนรากเป็นพ้นใจ ทรามวัยเจ้าถ่มเขฬะลง
อ้ายแร้งอุบาทว์ชาติช้า กินหมาลอยมาที่กูสรง
ขัดใจเจ้าถ่มซ้ำลง โฉมยงเมินเสียไม่แลดู ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญาแร้งได้ยินประจักษ์หู
ขัดแค้นขึ้นมาตั้งตาดู หญิงนี้สู่รู้เป็นเหลือใจ
พญาแร้งจึงร้องตอบมา ว่าเหวยเจรจาหยาบใหญ่
เป็นลูกท้าวพญาสามานย์ใจ ด่ากูทำไมอีอัปรีย์
อาหารกูเคยรับประทานกิน ดูหมิ่นถ่มรดอีบัดสี
ชีวิตมึงจะไปเท่าไรมี พาทีกับหน้าไม่สมกัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังปักษี เทวีขัดแค้นแสนศัลย์
นางจึงร้องตอบไปด้วยพลัน ขาติมึงอย่างนั้นจึงสมใจ
กินของโสโครกทั้งตาปี กูเหม็นซากผีกูด่าให้
ลอยมาท่าฉนวนของกูไย อ้ายแร้งจังไรอ้ายหูยาน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญาแร้งโกรธใจดั่งไฟผลาญ
กริ้วโกรธพิโรธดังไฟกาล อีสามานย์ด่ากูจะย่อยยับ
กูจะกินต้นลิ้นมึงให้ได้ ถ้ามิได้กูไม่นอนตาหลับ
จะผูกเวรผลาญมึงให้ย่อยยับ จะจิกสรรพมึงกินเสียทั้งเป็น ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังพาที เทวีเจ้าแค้นเป็นแสนเข็ญ
อ้ายตายห่าอย่าพักมาจองเวร แต่บาทากูจะเห็นก็ไม่มี
กี่ชาติที่มึงจะกินกู ทุดอ้ายสู่รู้อ้ายบัดสี
นางเสด็จขึ้นจากนัที ให้ทาสีด่าให้แล้วไคลคลา ฯ

ฯ ๔ คำ เพลง ฯ

๏ เมื่อนั้น จึงพญาแร้งราชริษยา
ขัดแค้นสุดแสนที่โกรธา จินดาหมายมุ่งอยู่ในใจ
อันหญิงคนนี้จะย่อยยับ จะฉีกสรรพกินเนื้อมันให้ได้
จะคิดอ่านผูกเวรเอามันไซร้ ให้ได้สมจิตกูจินดา
ความแค้นกูแสนสุดคิด ไม่สมจิตกูไม่กลับไปจอมผา
คิดแล้วขึ้นจากคงคา ปักษาจำแลงแปลงกาย ฯ

ฯ ๖ คำ คุกพาทย์ ฯ

ชมตลาด

๏ เป็นมนุษย์หนุ่มน้อยโสภา พักตราแช่มช้อยเฉิดฉาย
ทรงโฉมประโลมเลิศชาย ผันผายมาตามมรคา
เที่ยวชมตึกร้านบ้านช่องนั้น เจ้าสุบรรณเที่ยวเสาะแสวงหา
ทุกบ้านร้านตลาดทุกแห่งมา ไม่สมจิตจินดาอารมณ์ใน
จะคิดอ่านประการใดหนอ แต่พอจะอาศัยได้
ลดเลี้ยวตามมรคาไป แต่ในขอบเขตพระพารา ฯ

ฯ ๖ คำ ฉุยฉาย ฯ

๏ มาเห็น ทับน้อยตายายที่ชายป่า
มาณพทำกลมารยา เดินตรงเข้าหาโศกาลัย ฯ

ฯ ๒ คำ โอด ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่ายายตาคิดสงสัย
จึงมีวาจาถามไป เหตุผลอย่างไรอย่าพลางกัน
รู้จักเราหรือจึงโศกา หรือว่าแค้นเคืองสิ่งไรนั่น
มาทำทอดสนิทติดพัน โศกศัลย์ด้วยสิ่งอันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพคิดอ่านแก้ไข
บอกว่าแม่ข้าม้วยบรรลัย ยังแต่พ่อไซร้เลี้ยงกันมา
พ่อมีเมียน้อยก็หลงไป ตีด่าข้ากระไรเป็นนักหนา I
ข้าเที่ยวสัญจรซ่อนมา เห็นสองยายตาก็ดีใจ
โปรดหัวเอ็นดูช่วยเลี้ยงข้า นํ้าท่าฟืนผักจะหาให้
ตกนักงานข้าอย่าร้อนใจ ว่าพลางทางไห้โศกา ฯ

ฯ ๖ คำ โอด ฯ

๏ เมื่อนั้น สองเฒ่าดีใจเป็นนักหนา
อยู่ด้วยกันเถิดนะหลานอา ตาจะเลี้ยงเจ้าไว้เป็นไรมี
ญาติวงศ์พงศาก็หาไม่ เลี้ยงไว้จะได้ฝากผี
พากันมาอุ้มด้วยยินดี สองศรีภิรมย์ปรีดา ฯ

ฯ ๔ คำ เจรจา ฯ

๏ เมื่อนั้น จึงเจ้าสุบรรณปักษา
อยู่เย็นเป็นสุขหลายวันมา จึงว่าแก่ยายตาจะลาไป
ว่าแล้วก็จัดหาบคอน บทจรจะเข้าป่าใหญ่
จะไปเก็บฟืนผักทั้งนั้นไซร้ จะได้มาซื้อขายเลี้ยงกัน
จับขอกระเช้าขึ้นใส่บ่า ออกจากเคหาก็ผายผัน
ครั้นมาถึงป่าพนาวัน เจ้าสุบรรณนิมิตให้โอฬาร์
นิมิตเป็นเงินทองใส่กระเช้า จัดแจงหาบเข้ามาใส่บ่า
ทำเดินโซเซเก้กังมา รีบรัดลีลาเข้ามาพลัน ฯ

ฯ ๘ คำ เชิด ฯ

๏ เมื่อนั้น สองเฒ่าดีใจตัวสั่น
วิ่งออกไปรับด้วยฉับพลัน เห็นเงินทองนั้นก็ดีใจ
สองเฒ่าจึงมีวาจา ถามว่าได้มาแต่ไหน
หลานข้าอตส่าห์เป็นเหลือใจ เอามาแต่ไหนนะพ่ออา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพแต่งกลทำหรรษา
เป็นบุญของข้าพ้นปัญญา ขุดมันนั้นข้าพบตุ่มทอง
ปากตุ่มนั้นเรียงเคียงกันไป อ้ายตุ่มหนี่งใส่ล้วนข้าวของ
ข้าเลือกเอาแต่เงินทอง อ้ายของสี่ตุ่มไม่เอามา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองเฒ่าดีใจหัวเราะร่า
ซื้อจ่ายหัวกินให้นักหนา ไม่กลัวจนแล้วว่าในครานี้ ฯ

ฯ ๒ คำ เจรจา ฯ

๏ เมื่อนั้น จึงเจ้าสุบรรณปักษี
โปรดให้ตายายได้มั่งมี สุขเกษมเปรมปรีดิ์หลายวันมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ วันหนึ่ง จึงเจ้าสุบรรณปักษา
เข้าหาทั้งสองยายตา ทำอ้อนวอนว่าให้อ่อนใจ
ครั้นแล้วจึงมีวาจา ทุกวันรักข้าฤๅหาไม่
แม้นรักข้าจริงดังนั้นไซร้ ยายตาข้าไหว้ได้เมตตา
ข้านี้มีจิตคิดรักใคร่ ลุ่มหลงปลงใจใฝ่หา
ข้าพอใจลูกสาวเจ้าพารา ชื่อว่าโฉมนางพิกุลทอง
ข้าคิดจำนงจงรัก อักอ่วนป่วนนักให้ขุ่นหมอง
แม้นมิได้สมอารมณ์ปอง ข้าจะครองตัวไปไยมี
แม้นว่าตายายมิตามใจ ก็จะม้วยบรรลัยไปเป็นผี
ถ้าว่าเมตตาปรานี โปรดเกศีเถิดจงเร่งไป ฯ

ฯ ๑๐ คำ เจรจา ฯ

๏ ฟังหลานว่า ยายตาลูบอกอยู่ไล่ไล่
ที่อื่นมิตรึกมิพอใจ จำเพาะให้ไปขอเจ้าพารา
จะไปพูดกับท่านประการใด อีพ่อข้าไหว้แก่อกข้า
ตาว่ากูเห็นก็เวทนา มาเราไปว่าดูตามที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ว่าแล้วก็ชวนกันอาบนํ้า ชำระกายาให้ผ่องศรี
ตาเฒ่านุ่งปูมอย่างดี ยายเอ๋ยกูนี้มางามครัน
ฝ่ายยายนุ่งผ้าตารางไหม ใส่แหวนนพรัตน์เฉิดฉัน
ห่มผ้าขาวผุดดอกเหมือนกัน ไม้เท้าคนละอันก็เข้ามา ฯ

ฯ ๔ คำ เชิด ฯ

๏ มาถึง ยังที่วังในมิได้ช้า
สองเฒ่างกงันรันเข้ามา เขาหัวเราะร่าไม่ขามใคร
ครั้นถึงก็ชวนกันกราบลง พระผู้ทรงพิภพเป็นใหญ่
ค่อยหมอบยอบตัวกลัวภัย จะตรัสปราศรัยอย่างไรมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวสันนุราชรุ่งฟ้า
เสด็จออกพระโรงเวลา เสนาพรั่งพร้อมมนตรี
อีกทั้งหมู่มุขอำมาตย์ หมอบกลาดประณตบทศรี
เหลือบเห็นสองเฒ่าเฝ้าผิดที น่าจะมีธุระประการใด
จึงเอื้อนโอษฐ์โองการประภาษ พจนารถวาจาปราศรัย
ว่าแก่สองเฒ่าเข้ามาไย ทุกข์ร้อนเป็นไฉนจงบอกมา ฯ

ฯ ๖ คำ เจรจา ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าก้มเกล้าเหนือเกศา
กราบทูลแถลงแจ้งกิจจา ชีวาอยู่ใต้ฝ่าธุลี
จะฆ่าก็ตายขายก็ขาด ด้วยราชกุมารผู้หลานนี่
จะเป็นเกือกทองรองธุลี จะขอพระบุตรีศรีโสภา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสันนุราชนาถา
ได้ฟังเคืองขัดพระอัชฌา อันชีวาของมึงจะบรรลัย
อาจเอื้อมมาขอพระบุตรี หลานมีบุญญาเป็นไฉน
จะฆ่าเสียบัดนี้ก็จะได้ กูจะงดอดไว้ก่อนเถิดรา
ซึ่งตัวว่ากล่าวมาทั้งนี้ พระบุตรีก็จะให้เหมือนมึงว่า
จงเร่งทำตะพานทองมา แต่เคหาของมึงจนถึงวัง
แต่ในสามวันถ้ามิได้ ก็จะม้วยบรรลัยอาสัญ[๓]
มึงเร่งไปคิดอ่านกัน ตรัสแล้วทรงธรรม์เข้าวังใน ฯ

ฯ ๘ คำ เสมอ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าความกลัวจะตักษัย
ชวนกันออกมาจากวังใน เดินฉนวนออกไปไม่ตรงทาง ฯ

ฯ ๒ คำ เชิด ฯ

๏ มาถึงเคหาบัดใจ ทิ้งไม้เท้าลงไว้ต้ำผาง
ชักผ้าคลุมหัวลงนอนคราง จะบอกกล่าวอย่างไรก็ไม่มี
โอ้ตัวเราเอ๋ยจะบรรลัย แม่นแท้แน่ใจจะเป็นผี
สองเฒ่ากอดคอกันโศกี ตายจริงครั้งนี้นะอกอา ฯ

ฯ ๔ คำ โอด ฯ

๏ เมื่อนั้น เจ้าสุบรรณเห็นยิ้มอยูในหน้า
จึงเดินเข้าไปหายายตา ชักผ้าคลุมหัวด้วยเหตุไร
ไปกินข้าวนํ้าชำปลา มานอนโศการ่ำร้องไห้
เจ้าพาราตรัสว่าประการใด สองเฒ่าข้าไหว้จงบอกมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองเฒ่าโกรธใจเป็นนักหนา
สนัดใจอยู่แล้วอย่าเจรจา ครั้งนี้จะพากันบรรลัย
เจ้าพาราตรัสคาดโทษมา สามวันท่านจะฆ่าให้ตักษัย
ให้เร่งทำตะหานทองไป แต่เรือนเราไซร้ให้ถึงวัง
เอ็งไม่เจียมตัวกลัวภัย จะพากันบรรลัยเพราะโอหัง
ลูกชาวกรุงศรีไม่อินัง แกล้งชังฆ่าเราให้บรรลัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังวาจา มาณพยิ้มย่องผ่องใส
เพียงนี้ยายตาอย่าร้อนใจ ไปอาบนํ้ากินข้าวให้สำราญ ฯ

ฯ ๒ คำ เจรจา ฯ

๏ อยู่มาปัจฉิมราตรี สำแดงฤทธีด้วยใจหาญ
กลับเป็นปักษีมิทันนาน ไปสถานเขานิลกาฬา ฯ

ฯ ๒ คำ เชิด ฯ

๏ จึงชาวบริวารทั้งนั้น บรรดาที่อยู่ในจอมผา
ชวนกันโผผินบินมา ยังที่เคหาฉับพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ เชิด ฯ

๏ มาถึง จึงพญาแร้งฤทธิ์เลิศเฉิดฉัน
นิมิตกายบริวารทั้งนั้น ฉับพลันให้เป็นมนุษย์ไป
เคหาของยายกับตานั้น เป็นปราสาทสุวรรณอันสุกใส
จัดกันเป็นนายทวารไชย เอิกเกริกทั้งในพระพารา ฯ

ฯ ๔ คำ เจรจา ฯ

๏ จัดสรรกันทำตะพานทอง กุก่องใหญ่ยาวเป็นนักหนา
ล้วนทองพิจิตรรจนา เข้ามาจนถึงทวารวัง
มีทั้งราชวัติฉัตรแก้ว เลิศแล้วเรียงรายอยู่สะพรั่ง
ให้ประโคมฆ้องกลองแตรสังข์ ดุริยางค์ดนตรีเป็นโกลา ฯ

ฯ ๔ คำ สาธุการ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสันนุราชรุ่งฟ้า
รุ่งสางสว่างพระสุริยา เผยแกลออกมาสรงพักตร์พลัน
เหลือบแลไปเห็นตะพานทอง กุก่องเรียงรายอยู่เฉิดฉัน
แสงทองระยับสลับกัน เรียกมเหสีพลันให้แลดู
อันหลานของยายกับตา ชะรอยวาสนามันเคยคู่
บุญหนักศักดิ์ใหญ่เป็นพ้นรู้ ควรกูจะให้พระธิดา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ คิดแล้ว พระแก้วผินพักตร์มาปรึกษา
เราจำจะแต่งการวิวาห์ หรือว่าจะเห็นประการใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางพิกุลจันทร์ศรีใส
กราบทูลผัวรักไปทันใด ควรที่จะให้บุตรีเรา
เขามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ อันใครนอกนี้จะถึงเล่า
เขาได้แต่งมาถึงวังเรา จะนิ่งเสียเล่าเห็นไม่ดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังเมียรัก ทรงศักดิ์ชื่นชมเกษมศรี
ทรงเครื่องเรืองรัตน์รูจี จรลีออกท้องพระโรงพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ เสมอ ฯ

๏ ตรัสสั่งมหาเสนา เร่งเร็วอย่าช้าจงผายผัน
ไปบอกเจ้าขรัวตาเฒ่านั้น เร่งแต่งหลานขวัญนั้นเข้ามา
ว่าฤกษ์จะได้เพลาใด อันในพระนครนี้คอยท่า
ซึ่งจะตบแต่งการวิวาห์ ให้ทันฤกษ์เวลาในวันนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อำมาตย์รับสั่งใส่เกศี
บังคมก้มกราบลงสามที เสนีก็วิ่งวางไป ฯ

ฯ ๒ คำ เชิด ฯ

๏ มาถึงเจ้าขรัวยายตา เสนาก็ก้มกราบไหว้
รับสั่งให้แต่งหลานเข้าไป อันในพระนครนั้นพร้อมแล้ว ฯ

ฯ ๒ คำ เจรจา ฯ

๏ เมื่อนั้น เจ้าขรัวตายายก็ผ่องแผ้ว
ได้ฟังเสนามาบอกแล้ว คลาดแคล้วมาแต่งพระนัดดา
ให้ทรงเครื่องนิมิตอันเพราเพริศ ลํ้าเลิศไม่มีในใต้ฟ้า
ประดับประดาองค์อลงการ์ รจนาดังเทพตรึงษ์ไตร
เพื่อนบ่าวเชิญเครื่องเป็นขนัด เบียดเสียดเยียดยัดตามไสว
เป่าสังข์ทั้งแตรเซ็งแซ่ไป มโหรีขับไม้โห่กราวมา ฯ

ฯ ๖ คำ มโหรี ฯ

๏ ขึ้นนั่งบนแท่นราชาภิเษก ภายใต้เศวตฉัตรซ้ายขวา
พราหมณ์รดนํ้าสังข์ตามวิวาห์ เษกให้สองราเข้าครองกัน
ให้ตั้งบายศรีทองบายศรีแก้ว เสร็จแล้วเวียนเทียนทำขวัญ
ครบเจ็ดรอบแล้วโบกควัน โห่สนั่นครั่นครื้นทั้งเวียงไชย ฯ

ฯ ๔ คำ มโหรี เจรจา ฯ

๏ เมื่อนั้น เจ้าสุบรรณปรีดิ์เปรมแจ่มใส
ถวายบังคมลาทั้งสองไท ลงไปสู่ปรางค์รจนา ฯ

ฯ ๒ คำ เพลง ฯ

๏ มาถึง จึงนั่งบนแท่นอันเลขา
พอเย็นค่ำย่ำฆ้องเวลา เข้าที่ไสยาภิรมย์ใน ฯ

ฯ ๒ คำ เสมอ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระชนนีศรีใส
จึงสั่งนางเถ้าแก่ข้างใน ให้แต่งบุตรีศรีโสภา
ให้โฉมยงทรงเครื่องเสร็จสรรพ เถ้าแก่จับกรทั้งซ้ายขวา
บ้างเข้าพยุงพระองค์มา นางทรงโศกามิใคร่ไป ฯ

ฯ ๔ คำ เพลง ฯ

๏ ถึงปรางค์ทองเข้าไปในที่ เทวีรูดม่านสองไข
เถ้าแก่อัชฌาก็คลาไคล ออกไปจากปรางค์รจนา ฯ

ฯ ๒ คำ โอ้โลม ฯ

๏ เมื่อนั้น จึงเจ้าสุบรรณปักษา
ลูบโลมรับขวัญกัลยา คิดถวิลจินดาข้างในใจ
ขอเชิญนิ่มนวลยวนสวาดิ เข้าที่ไสยาสน์พิสมัย
เจ้าจะอายเหนียมแก่เรียมไย พี่จะช่วยกล่อมให้เจ้านิทรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พิกุลทองอายจิตคิดนักหนา
ด้วยมิใช่คู่นางกัลยา เพราะเกรงบิดาก็จำใจ
นางก้มพักตร์อยู่ไม่พาที จะจงรักภักดีก็หาไม่
มิรู้ที่จะตอบประการใด ชลนัยน์คลอครองนัยนา ฯ

ฯ ๔ คำ โลม ฯ

๏ เมื่อนั้น เจ้าสุบรรณปั่นป่วนเสน่หา
จึงมีสุนทรวาจา เจ้าก้มหน้าเสียไยไม่พาที
ฤๅเจ้ามิปลงลงใจ ขัดเคืองสิ่งใดนะโฉมศรี
ว่าพลางอิงแอบแนบยวนยี จะบิดผันหันหนีไม่ฟังแล้ว
เหมือนราหูจู่จับเอาจันทร์ได้ รู้จักหรือไม่นางน้องแก้ว
อยู่ในใจมือของพี่แล้ว จะคลี่คลายแก้วอย่าสงกา
แต่สัมผัสเย้ายวนเชยชม มิได้ร่วมภิรมย์เสน่หา
จนล่วงเข้าสองยามเวลา เทวดาดลจิตให้หลับไป ฯ

ฯ ๘ คำ กล่อม ฯ

๏ ในเมื่อเพลาราตรีนั้น จอมขวัญมิทันจะหลับไหล
ให้เหม็นกลิ่นแร้งเป็นเหลือใจ ที่ไหนจึงเหม็นขจรมา
ความเหม็นเช่นนี้มิทนได้ เหมือนแร้งจังไรตายห่า
เหมือนเมื่อกูสรงคงคา ฤๅว่ามาจับอยู่แห่งไร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เจ้าสุบรรณแต่งกลแก้ไข
ลุกขึ้นทำเหม็นด้วยทรามวัย เห็นหลากแก่ใจใช่พอดี
แต่ก่อนบุราณท่านกล่าวไว้ สัตว์สิ่งใดใดเป็นซากผี
อย่าถ่มน้ำลายคายรดนั้นไม่ดี หญิงนั้นอัปรีย์จะบรรลัย
ชะรอยเจ้าได้ด่าทอมัน กลิ่นนั้นติดตามสำแดงให้
พี่ให้ร้อนรนเป็นพ้นใจ ลุกไปชำระกายา
เอาเครื่องพระสุคนธ์มาลูบไล้ หวังจะให้กลบกลิ่นของปักษา
มิให้รู้กลมารยา แล้วกลับเข้ามาประทมไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ตระ

๏ รุ่งแจ้ง เจ้าสุบรรณกล่าวแกล้งแถลงไข
ตัวพี่นี้ไม่สบายใจ พี่ไซร้จากมาได้ห้าปี
คิดถึงบิตุเรศพระมารดา แก่เฒ่าชราไม่รู้ที่
เดิมพี่อยู่ครองพระบุรี พี่นี้เที่ยวไล่มฤคา
พลัดหมู่ไพร่พลดั้นด้นไพร พี่ไซร้เที่ยวเสาะแสวงหา
จึงมาอาศัยยายกับตา จนมาสมสู่ด้วยเทวี
พี่จำจะพาเอาเจ้าไป เยี่ยมเยียนท้าวไทยังกรุงศรี
จึงชวนองค์อรเทวี จรลีขึ้นเฝ้าพระบิดา ฯ

ฯ ๘ คำ เพลง ฯ

๏ มาถึง จึงตั้งบังคมเหนือเกศา
ทูลแถลงแจ้งกิจพระบิดา ลูกจะขอกราบลาพระพันปี
ไปเยี่ยมบิตุเรศมารดา จะโศกาเศร้าสร้อยหมองศรี
แต่ลูกพลัดพรากจากบุรี หลายปีมาแล้วไม่แจ้งใจ
อันตัวของลูกพระบิดา จะเป็นลูกยายตาก็หาไม่
เที่ยวไล่เนื้อหลงพลดั้นด้นไพร จึงมาอาศัยยายกับตา
จนเป็นเกือกทองรองธุลี ลูกนี้ทุกข์ร้อนเป็นนักหนา
ลูกจะขอพาองค์พระธิดา ไปด้วยลูกยาในครานี้ ฯ

ฯ ๘ คำ เจรจา ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวสันนุราชเรืองศรี
ทั้งองค์สมเด็จพระชนนี ได้แจ้งคดีที่ทูลมา
สำคัญว่าจริงทุกสิ่งไป จึงปราศรัยด้วยความเสน่หา
เจ้าจะไปเยี่ยมเยียนพระพารา จะหาเมียไปด้วยก็ตามใจ
พ่อจะจัดแจงเภตรา ไปส่งลูกยาอย่าหม่นไหม้
ว่าแล้วก็สั่งเสนาใน ให้เร่งไปทำเภตรา
ให้พร้อมทั้งเครื่องบรรณาการ ต้นหนคนงานถ้วนหน้า
เร่งรัดตำรวจตรวจตรา เราจะให้ลูกยาไปเมืองไกล ฯ

ฯ ๘ คำ เจรจา ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งบังคมไหว้
ออกมาฉับพลันทันใด บัตรหมายไปทุกพนักงาน ฯ

ฯ ๒ คำ เจรจา ฯ

๏ เร่งรัดกันทำสำเภาพลัน ตรวจตราว่ากันเป็นอลหม่าน
ทำสมอช่อใบให้ทันงาน ขนเครื่องบรรณาการบรรทุกพลัน
เสร็จแล้วก็เอามาทอดท่า มหาเสนาก็ผายผัน
กราบทูลพระองค์ทรงธรรม์ สำเภานั้นเสร็จแล้วพระภูมี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสันนุราชเรืองศรี
ตรัสสั่งเขยขวัญทันที ให้จัดแจงแต่งที่จะไคลคลา
พ่อขอฝากองค์อัคเรศ คือดั่งดวงเนตรทั้งซ้ายขวา
เจ้าผิดพลั้งสิ่งไรจงเมตตา เจ้าอย่าสลัดตัดรอน
เจ้าพิกุลทองของบิดา ลูกยาจงจำคำพ่อสอน
ตัวเจ้าจะไปต่างนคร บังอรฝากตัวท่านจงดี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พิกุลทองกราบพลางเร่งหมองศรี
วิ่งเข้ากราบองค์พระชนนี หนักใจลูกนี้พ้นปัญญา
ครั้นจะมิไปก็ไม่ได้ เกรงเดชท้าวไทเป็นนักหนา
ชลเนตรฟูมฟองนองตา โศกาสะอื้นร่ำไร ฯ

ฯ ๔ คำ โอด ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระชนนีเป็นใหญ่
สวมสอดกอดลูกสายใจ เจ้าอย่าร่ำไรจะเป็นลาง
มิใช่ไปแล้วไม่กลับมา ลูกยาหักใจเจ้าไว้บ้าง
ฝ่ายผัวของเจ้าเขาจะระคาง ฟังคำแม่บ้างอย่าโศกี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึงเจ้าสุบรรณปักษี
ครั้นได้พิไชยฤกษ์ดี กราบลาชนนีพระบิดา
จัดแจงแต่งองค์เสร็จแล้ว จึงชวนน้องแก้วเสน่หา
พร้อมทั้งสาวสรรกัลยา ยาตราลงสู่สำเภาพลัน ฯ

ฯ ๔ คำ ทยอย เสมอ ฯ

๏ บัดนั้น ต้นหนคนงานแข็งขัน
เห็นท้าวลงสู่เภตราพลัน ชวนกันโห่ร้องเอาไชย
ถอนสมอม้าล่อตีระงม ยิงปืนระดมหวั่นไหว
เคลื่อนสำเภาพลันทันใด ชักใบแล่นเรื่อยเฉื่อยมา ฯ

ฯ ๔ คำ โล้ เชิด ฯ

๏ แล่นไปได้หลายวันวาร ล่วงแดนหิมพานต์ปักษา
เป็นท่าหาดริมฝั่งชลธาร์ ชื่อว่าหาดแก้วพยัคฆี
เจ้าสุบรรณจึงว่าไปทันใด ให้ทอดสมอลดใบลงที่นี่
ท่าเราเคยจอดอยู่ทุกที ที่นี่ยังไกลพระนคร
จึงบอกแก่นางกัลยา พี่จำจะลาเจ้าไปก่อน
บอกข่าวบิตุเรศมารดร ว่าพี่พาดวงสมรมาสำเภา
แม้นท้าวรู้ข่าวจะดีใจ จะเอาม้ารถคชไกรมารับเจ้า
ครั้นสั่งโฉมยงนงเยาว์ ขึ้นจากสำเภาระเห็จมา ฯ

ฯ ๘ คำ เพลง ฯ

๏ แต่พอเลี้ยวลับคนพลัน เจ้าสุบรรณก็กลายเป็นปักษา
สำแดงแผลงอิทธิฤทธา ไปเขานิลกาฬาทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ เชิด ฯ

๏ ครั้นถึงจึงป่าวบริวาร กรูกันออกมาไม่ช้าได้
จึงสั่งไปพลันทันใด สำเภากูไว้ที่เคยกิน
แต่บรรดาสาวสรรทั้งนั้น สูชักชวนกันกินให้สิ้น
เหลือแต่เจ้ามันกูจะกิน ต้นลิ้นของมันอร่อยดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝูงแร้งราชปักษี
ได้ฟังนายสั่งก็ยินดี มิช้าก็ชวนกันบินไป ฯ

ฯ ๒ คำ เชิด ฯ

๏ มาจะกล่าวบทไป ย่านางรักษาสำเภาใหญ่
มีจิตเมตตานางทรามวัย สำแดงให้เห็นกายา ฯ

ฯ ๒ คำ เพลง เจรจา ฯ

๏ จึงบอกกับนางโฉมศรี บัดนี้ผัวเจ้าคือปักษา
มันจะแกล้งฆ่าเจ้าให้มรณา อย่าช้ามาหนีไปเร็วพลัน
จึงนิมิตแยกเสากระโดงกลาง ให้โฉมนวลนางขมีขมัน
ในนั้นดังวิมานเทวัญ ให้นางจอมขวัญอยู่สำราญ ฯ

ฯ ๔ คำ เชิด ฯ

๏ เมื่อนั้น พญาแร้งฤทธิไกรใจหาญ
เหลือบแลเห็นพวกบริวาร กินเป็นอาหารเสียหมดแล้ว
เข้าไปที่ท้ายเภตรา ค้นหาจะกินอียอดแก้ว
ดูดู๋มันไปข้างไหนแล้ว คลาดแคล้วหนีกูไปแห่งไร
ฤๅอ้ายบริวารมันกินเสีย สั่งแล้วกินเมียกูเสียได้
ทุ่มเถียงโทษกันสนั่นไป ไม่ได้เห็นแล้วก็จรลี ฯ

ฯ ๖ คำ เชิดโอด ฯ

๏ เมื่อนั้น นางพิกุลทองโฉมศรี
อยู่มาได้เจ็ดราตรี โศกีเศร้าสร้อยละห้อยใจ
โอ้อนิจจาในครานี้ น่าที่จะม้วยตักษัย
ใครเลยจะนำเอาข่าวไป ให้ถึงบิตุเรศชนนี
ว่าลูกน้อยนี้เป็นกำพร้า พ่างเพียงชีวาจะเป็นผี
จะอาสัญบรรลัยอยู่ในนี้ มิได้พบชนนีกับบิดา
ว่าพลางนวลนางเจ้าไห้ร่ำ น้ำเนตรซึมซาบลงอาบหน้า
ตีอกฟกชํ้าร่ำโศกา ไฉยาพ่างเพียงจะขาดใจ ฯ

ฯ ๘ คำ โอด ฯ

๏ เมื่อนั้น ย่านางรู้แจ้งอัชฌาศัย
ปลอบนางพลางเช็ดชลนัยน์ เจ้าอย่าร่ำไรเจ้าแม่อา
เจ้าออกไปสระสรงให้ผ่องแผ้ว มันไม่มาแล้วฟังแม่ว่า
เจ้าจะพบคู่ครองของกัลยา จะกลับคืนพาราอย่าร้อนใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมพิกุลทองยังหมองไหม้
ฟังแม่ย่านางค่อยสว่างใจ ลุกออกไปจากห้องทวารา ฯ

ฯ ๒ คำ เพลง ฯ

๏ มาเห็นซากศพที่วอดวาย กระดูกกองก่ายอยู่นักหนา
สังเวชพระทัยนางไฉยา ชลนาคลอเนตรอยู่ฟูมฟอง
มานั่งบันไดที่เคยสรง โฉมยงเปล่าใจให้เศร้าหมอง
โอ้กรรมอะไรมาให้น้อง จองเวรแต่หลังติดตามมา
ร่ำพลางนวลนางเจ้าสระสรง บรรจงสางเกล้าเกศา
แต่ผมเส้นหนึ่งติดหัตถ์มา กัลยาหลากแหลกแปลกใจ
ดีร้ายจะมีคู่ครอง ติดตามหาน้องมาจงได้
เจ้าใส่ผอบลงทันใด จารึกไปในฝาผอบพลัน
ถ้าผู้ใดเคยคู่ได้ผอบ พบแล้วจงเร่งผายผัน
ช้านักจักไม่เห็นกัน เรานั้นเปลี่ยวองค์อยู่เอกา
เขียนแจ้งถ้วนถี่ในฝาผอบ จบแล้วเจ้าทูนเหนือเกศา
เจ้าเสี่ยงด้วยพลันมิทันช้า แม้นบุญของข้าไม่บรรลัย
ขอให้ผอบใบนี้ ลอยรี่ไปเหนือทะเลใหญ่
เทพเจ้าเมืองบนเข้าดลใจ ให้เห็นประจักษ์กับนัยนา
พิษฐานแล้ววางลงทันที ลอยรี่ดั่งใจเจ้าปรารถนา
นางจึงยกมือขึ้นวันทา ดูสุดสายตาแล้วคลาไคล ฯ

ฯ ๑๖ คำ เชิด เพลง ฯ



[๑] เทียบจากเรื่อง คาวี พระราชนิพนธ์ ในรัชกาลที่ ๒ ใช้ว่า “สันนุราช” แต่ เอกสารต้นฉบับว่า “สุวรณุหราช, สรรณุราช”

[๒] บางฉบับว่า “วันทมาลี”, “คันธมาลี” และ “คัลทลี” ส่วนฉบับเลขที่ ๒๐ ว่า “กันทลิมา”

[๓] สัมผัสไม่รับกับคำกลอนสุดท้ายของบทก่อนหน้านี้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ