บทที่ ๕
ลอบส่งจดหมาย
ความสันนิษฐานของข้าพเจ้าหนักไปในทางที่ว่าตนถูกจับด้วยเรื่องหนังสือ “พรรคการเมืองสยามและต่างประเทศ” นั้นเอง อาจเป็นได้ว่าตำรวจยังคงติดใจสงสัยอยู่อีกว่าข้าพเจ้าคิดตั้งพรรคการเมือง และนั่นหมายความว่า ข้าพเจ้าเป็นกบฏ พวกสายลับของตำรวจอาจนำข่าวเท็จเกี่ยวกับข้าพเจ้าไปรายงาน และเมื่อตำรวจได้หลักฐานมาว่าพระยาทรงสุรเดชเป็นกบฏ ก็เลยอุปโลกน์ว่าข้าพเจ้าร่วมคิดกับพระยาทรงสุรเดช แต่ถ้าเรื่องเป็นเช่นนี้จริงแล้วก็ไม่ยากเลยที่จะชี้แจงให้ผู้สอบสวนสิ้นระแวงสงสัย หนังสือ “พรรคการเมืองสยามและต่างประเทศ” นั้นเขียนขึ้นโดยรวบรวมข้อความจากตำรา ข้าพเจ้าอาจชี้ตำราที่นำมาใช้อ้างได้ทุกเล่ม ข้าพเจ้าสามารถพิสูจน์ได้ทุกบรรทัดว่าข้าพเจ้าเขียนเพื่อเผยแพร่ความรู้โดยสุจริตจริงๆ
สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้ากลัวก็คือตำรวจอาจสืบทราบว่าข้าพเจ้าเคยออกหนังสือ “น้ำเงินแท้” และส่งออกมาแจกกันอ่านนอกคุก อาจเป็นได้ว่า “น้ำเงินแท้” มิได้ถูกเผาทั้งหมดโดยความบกพร่องหลงลืม และบางเล่มตกไปอยู่ในมือตำรวจ บทความของข้าพเจ้าใน “น้ำเงินแท้” ซึ่งมีข้อความติเตียนรัฐบาลนั้น ตำรวจถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย ถ้าเรื่องเป็นดังนี้ ก็จะดูสมจริงว่าข้าพเจ้ายังไม่ละทิ้งความคิดที่จะล้มล้างรัฐบาล และเป็นมูลเหตุที่จะสงสัยว่าร่วมมือกับพระยาทรงสุรเดช และการเขียนบทความใน “น้ำเงินแท้” นั้นเป็นการกระทำผิดในเวลาก่อนได้รับพระราชทานอภัยโทษ หรืออาจก่อนถูกศาลตัดสินจำคุกเสียด้วยซ้ำ เมื่อได้รับพระราชทานอภัยโทษมาแล้ว ก็ต้องหมายความว่าได้ยกเลิกการลงโทษในความผิดทั้งหมดที่ได้ทำมาแล้วแต่หนหลัง ดังที่หลวงพิบูลฯ และหลวงชำนาญฯ ชี้แจงไว้ในระหว่างเวลารับการอบรม
เรื่องไหนแน่หนอที่เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าต้องเข้ามาอยู่ในห้องขังครั้งนี้ “พรรคการเมือง” หรือหนังสือ “น้ำเงินแท้”?
จะเป็นด้วย ๒ เรื่องนี้หรือเรื่องอื่นใดก็ตาม ข้าพเจ้าคงไม่ถึงกับถูกฟ้องศาล คงไม่เป็นการยากที่จะพิสูจน์ความจริงให้ผู้สอบสวนเชื่อว่านับแต่ได้รับอภัยโทษแล้ว อย่าว่าแต่เพียงกระทำการกบฏเลย แม้แต่คิดร้ายก็มิได้คิด ข้าพเจ้าไม่มีมลทินความผิดทั้งกาย วาจาและใจ
ถ้าหากตะกร้าที่มีลิ้นชักกลของข้าพเจ้ามิได้ถูกริบไป และถ้าหากข้าพเจ้าสามารถส่งสัญญาลับติดต่อกับญาติได้ดังที่เคยปฏิบัติมาในคุก หรือถ้าหากญาติที่มาเยี่ยมข้าพเจ้ามิใช่มารดา แต่เป็นญาติผู้ชายหรือหญิงที่ว่องไวไหวพริบและกล้าหาญ ก็จะเป็นการง่ายนิดเดียวที่ข้าพเจ้าจะติดต่อถามไปว่าข้าพเจ้าถูกจับด้วยเรื่องอะไรแน่
อาหารที่มารดาข้าพเจ้านำมาส่งนั้น ข้าพเจ้ามักจะตรวจดูอย่างถี่ถ้วน ว่ามีจดหมายซุกซ่อนมาด้วยหรือเปล่า? ในหม้อข้าวอาจมี “กระดาษ” สักแผ่น หนึ่งกระมัง? ลองคุ้ยดูก็ไม่พบ ในชามข้าวและชามขนมล่ะ ก็ไม่พบจดหมายอีก ข้าพเจ้าหยิบผลไม้พิจารณาว่ามีรอยผ่าตัดเพื่อ “ยัดไส้” บ้างหรือเปล่าก็ไม่มี ข้าพเจ้าแน่ใจว่ามิตรที่เคยลอบส่งสาส์นไปให้ข้าพเจ้าในเรือนจำด้วยอุบายต่างๆ นั้น บัดนี้ได้ทอดทิ้งข้าพเจ้าเสียแล้ว และเมื่อมารดาข้าพเจ้าเป็นผู้ส่งอาหารมาดังนี้ถึงแม้มิตรของข้าพเจ้ายังคงคิดเอ็นดูจะส่งข่าวมา มารดาข้าพเจ้าก็คงไม่ยอมกระทำ
ถ้าหากข้าพเจ้าจะส่งสาส์นออกไปล่ะ ถ้าถูกจับได้ก็จะมีการควบคุมข้าพเจ้าโดยเคร่งครัดยิ่งขึ้น จนถึงอาจห้ามส่งอาหารต่อไป แต่นั่นข้าพเจ้าไม่ได้วิตก อาหารที่ตำรวจนำมาเลี้ยงนั้นมีอยู่แล้ววันละ ๒ มื้อ พอจะกลืนประทั้งชีพไว้ได้ ข้อที่น่าวิตกก็คือเขาจะเห็นเป็นพิรุธ หรืออย่างน้อยก็เห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนมี “ลูกไม้” มาก ผิว่าผู้ไต่สวนเกิดเกลียดชังก็จะแกล้งในทางคดีจนถึงต้องถูกขึ้นศาลก็เป็นได้
แต่เมื่อถูกขังมาแล้ว ๒ เดือนโดยไม่รู้เลยว่าตนถูกจับเรื่องอะไร ความกลุ้มใจนั้นก็มีมากขึ้นทุกที ปริมาณของความกลุ้มใจนั้น ในที่สุดก็คับคั่งอยู่ในอก จนคล้ายกับจะถึงจุดระเบิด แต่ความเกรงกลัวมารดายังมีน้ำหนักที่จะหักห้ามได้ชะงัดอยู่ แม้เมื่อจดหมายนั้นผ่านการตรวจค้นไปได้ มารดาข้าพเจ้าก็คงเห็นว่าข้าพเจ้าเลวทราม ซึ่งอาจเป็นภัยถึงท่านอีกด้วย และท่านคงไม่มาเยี่ยมอีก
แต่เป็นความประสงค์ของข้าพเจ้า ที่จะให้มารดาเลิกการมาเยี่ยมเสียที ไม่มีหวังว่าการขอร้องหรือห้ามปรามอย่างใดจะบังเกิดผลได้ นอกจากที่ข้าพเจ้าจะลอบส่งจดหมายออกไป และเมื่อท่านไม่มาเยี่ยมแล้ว ญาติผู้อื่นก็คงรับธุระแทนและคงนำคำตอบมาให้ข้าพเจ้าด้วย
ข้าพเจ้ามีเศษดินสออยู่ชิ้นหนึ่ง มันเป็นปลายของดินสอซึ่งมีติดตัวประจำอยู่เสมอ เมื่อถูกตรวจค้นก่อนนำตัวเข้าห้องขังในวันแรกมาถึง พอทราบว่าเขาจะเก็บเครื่องเขียน ข้าพเจ้าก็หักปลายดินสอแท่งนั้นเก็บไว้ บัดนี้โอกาสที่จะใช้มันก็มาถึงแล้ว
ที่หน้าห้องขังมีนายสิบตำรวจยืนยามคอยมองจับอิริยาบถอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าจะต้องหาอุบายเขียนจดหมายโดยไม่ให้เขาสังเกตได้ว่าทำอะไร ลองเข้าไปเขียนในส้วมก็ไม่ได้ผล เพราะมืดมากจนเขียนไม่เป็นตัวอักษร ข้าพเจ้าตั้งใจจะเขียนต่อหน้าเขาระหว่างเวลากินอาหารนั่นเอง
อาหารที่มารดานำมาส่งวันนั้นคือข้าวกับแกงมัสหมั่น ข้าพเจ้าหันหลังให้ตำรวจ เอาซองบุหรี่วางไว้ใกล้จานข้าว ในระหว่างเวลารับประทานนั่นเอง ข้าพเจ้าเขียนข้อความลงบนชิ้นกระดาษซึ่งฉีกออกจากซองบุหรี่ ความว่า “ถูกจับเรื่องอะไร? ขอทราบ” แล้วหุ้มชิ้นกระดาษนี้ด้วยตะกั่วในซองบุหรี่
ข้าพเจ้าพยายามกลืนอาหารได้สองสามคำ ข้าวที่เหลือนั้นข้าพเจ้าเอาแกงราดลงแล้วคลุกให้เลอะเทอะ แล้วจึงเอา “สาส์น” ใส่ลงในจานข้าวนั้น
“รับประทานได้น้อยจริงครับ” ตำรวจพูดในขณะตรวจอาหารของข้าพเจ้าก่อนที่จะนำไปส่งคืนมารดา เขาไม่ได้คุ้ยในกองข้าว เห็นจะรังเกียจว่ามันเลอะเทอะไม่น่าแตะต้องแม้ด้วยปลายไม้ พอมารดากลับ ข้าพเจ้าก็รู้สึกโล่งใจ ราวกับยกหินไปจากอก
มารดาข้าพเจ้าเว้นการเยี่ยมไป ๒ สัปดาห์ ความหวังที่ท่านจะไม่มาเยี่ยมอีกนั้นเหลวไป และความหวังที่จะได้รับสาส์นตอบก็เหลวเช่นเดียวกัน
รับตัวไปสันติบาล
อำนาจของตำรวจในการกักขังระหว่างสอบสวนสมัยนั้นมีเพียง ๑๕ วัน นี้หมายความว่าตำรวจจะต้องสอบสวนให้เสร็จภายในเวลากำหนด ถ้าคดีมีมูลก็ยื่นฟ้องต่อศาล ถ้าคดีไม่มีมูลก็ต้องปล่อยตัวไป มิฉะนั้นจะกลายเป็นความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ทั้งนี้ก็ทำให้ข้าพเจ้านึกภายหลังที่ถูกกักขังมา ๑๔ วันว่า ตำรวจคงเห็นว่าคดีไม่มีมูล และคงจะปล่อยตัวไป แต่ในวันที่ ๑๕ ตำรวจสันติบาลนำคำสั่งมาถวายกรมขุนชัยนาทฯ และให้ข้าพเจ้าลงนามรับทราบว่า ตำรวจได้ขออำนาจศาลยังเราต่อไปอีก ๑๕ วัน ใจข้าพเจ้าหดเหี่ยว อยากให้เขาสอบสวนเร็วๆ เพราะเชื่อว่าจะได้ปล่อย พอล่วงมาอีก ๑๕ วัน ตำรวจสันติบาลก็นำคำสั่งอย่างเดียวกันมาให้ลงนามอีก และข้าพเจ้าก็ใจคอหดเหี่ยวต่อไป
พฤติการณ์เป็นเช่นนี้มาได้ ๒ เดือน ตำรวจสันติบาลก็มาเชิญเสด็จกรมขุนชัยนาทฯ ไปสอบสวน ความดีพระทัยของพระองค์ปรากฏโดยพระอิริยาบถ ซึ่งเปลี่ยนจากความแช่มช้าเป็นอาการกระปรี้กระเปร่าว่องไว ตำรวจถวายพระเกียรติยศให้เสด็จโดยรถยนต์ส่วนพระองค์ มีตำรวจนั่ง “ถวายความปลอดภัย” ไปด้วย เมื่อเสด็จกลับมาในตอนบ่ายนั้น สีพระพักตร์แช่มชื่น และทรงยิ้มพยักกับข้าพเจ้า รุ่งเช้าเสด็จไปรับการสอบสวนเพิ่มเติม และกลับมาด้วยความพอพระทัยยิ่งขึ้น วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าได้เห็นตำรวจขนสิ่งของส่วนพระองค์ไปบรรทุกรถเพื่อนำกลับวัง คงเหลือไว้เพียงของใช้สอยที่จำเป็นจริงๆ ตำรวจนำข่าวมาเล่าลือกันว่าผู้ที่ไต่สวนเห็นว่าคดีของพระองค์ไม่มีมูล
“เราก็เหมือนกัน” ข้าพเจ้าคิด “เมื่อเสร็จการสอบสวนแล้วก็เป็นอันเตรียมตัวกลับบ้านได้ทีเดียว”
ฉะนั้นเมื่อตำรวจสันติบาลนำตัวข้าพเจ้าไปสอบสวนในวันต่อมาจึงดีใจ จนเลือดแล่นร้อนผ่าวไปทั้งตัว ข้าพเจ้าไม่รังเกียจรถของตำรวจซึ่งล้อมด้วยลูกกรง แต่รังเกียจการที่ตำรวจมาชวนสนทนา ข้าพเจ้าเพียงแต่แสร้งทำเป็นฟังเขาพูด ในเมื่อแท้ที่จริงกำลังนึกล่วงหน้าไปถึงวันแห่งอิสรภาพ
รถแล่นมาตามถนนสายไหนไม่ได้สังเกต เมื่อถึงกรมตำรวจสันติบาลแล้วก็เดินขึ้นบันไดด้วยใจลอย แต่เริ่มสำรวมใจและรู้สึกใจเต้นผิดปกติ ตำรวจผู้ควบคุมนำข้าพเจ้าไปถึงห้องไต่สวน
นายตำรวจหลายนายนั่งประจำโต๊ะของตนในห้องนั้น และกำลังทำงานยุ่งเรื่องเกี่ยวกับเอกสารซึ่งวางกองอยู่บนโต๊ะ พอข้าพเจ้าเดินไปทุกๆ คนก็เงยหน้าขึ้นพินิจรูปร่างท่าทางของข้าพเจ้าด้วยความเอาใจใส่อย่างเปิดเผย