บทที่ ๒
กรมขุนชัยนาทฯ
เรือยนต์ขนาดใหญ่ของตำรวจจอดคอยเราอยู่ที่ปากคลองไผ่พระ เราถ่ายจากเรือแจวมาขึ้นเรือยนต์ แล้วก็ออกเดินทางถึงกรุงเทพฯ ประมาณ ๒๑.๐๐ น. จากท่าเรือเราขึ้นรถยนต์มาสถานีตำรวจพระราชวัง ข้าพเจ้าถูกค้นหาของต้องห้ามอีกครั้งหนึ่ง สิ่งของที่แหลมหรือมีคมเช่นมีดโกนหนวดและกรรไกรตัดเล็บเหล่านี้ต้องถูกเก็บไป รวมทั้งเวชภัณฑ์และเครื่องเขียนด้วย เสร็จการค้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ถูกส่งตัวเข้าห้องขัง
แต่ที่หน้าห้องขังนั้นเอง ข้าพเจ้ายืนตะลึง เกือบไม่เชื่อตาตนเองว่า กรมขุนชัยนาทฯ ประทับอยู่บนเก้าอี้ในห้องขังนั้น
ข้าพเจ้ายกมือขึ้นถวายบังคม และกำลังจะเดินเข้าไปเฝ้าใกล้ๆ แต่นายสิบยามเดินแซงเข้ามากันข้าพเจ้าไว้ และนำไปยังห้องขังอีกห้องหนึ่งที่อยู่ใกล้ชิดกัน
“คุณจะพูดกับใครไม่ได้” นายสิบพูดเมื่อลั่นกุญแจห้องขังแล้ว “ถ้าคุณต้องการอะไรให้บอกผม เชิญรับประทานอาหารซีครับ เขาเตรียมไว้ให้คุณตั้งแต่เย็น”
“ผมอยากอาบน้ำเสียก่อน เหงื่อเหนียวไปหมดทั้งตัว”
“อาบน้ำยังไม่ได้ครับ ต้องรอพรุ่งนี้”
ข้าพเจ้าเหลียวดู “อาหาร” ที่เขาว่า เห็นมีข้าว ๑ จาน แกงจืด ๑ ถ้วย การที่จะอ้อนวอนให้ได้อาบน้ำนั้นดูจะไม่มีทางสำเร็จ ข้าพเจ้าก็เลยถือเอาความพอใจเพียงที่จะบรรเทาความหิวภายหลังที่ได้อดมาแล้วตลอดวัน แต่เมื่อนั่งลงจะรับประทานนั้น รู้สึกรำคาญกลิ่นอุจจาระผสมกับกลิ่นเหม็นคาวเหม็นขึ้น ห้องขังนั้นขนาดกว้างยาวเพียง ๒ วา ที่มุมห้องมีถังอุจจาระซึ่งไม่ได้ทำความสะอาดมาหลายวันแล้ว ผนังห้องเต็มไปด้วยรอยเสมหะและน้ำลาย ที่พื้นเต็มไปด้วยฝุ่นละออง และในซอกกระดานเต็มไปด้วยเรือด ห้องเล็กซึ่งอับอากาศร้อนอบอ้าว เหม็นสกปรกนี้แหละ ที่จะต้องเป็นที่อยู่ที่กินที่นอนของข้าพเจ้าต่อไปถึงสามเดือน
“แต่ถ้ากรมขุนชัยนาทฯ ทรงอดทนสิ่งเหล่านี้ได้ คนอย่างเราก็ไม่ควรบ่นเลย” ข้าพเจ้าคิด
การที่ได้เห็นกรมขุนชัยนาทฯ ในห้องขังนั้น ดูเป็นของประหลาดเหลือเชื่อ นี่เมืองไทยมาถึงยุคทมิฬจริงแล้วหรือ รัฐบาลหลวงพิบูลฯ ช่างทะนงองอาจเสียเหลือเกิน ที่จับพระโอรสของพระพุทธเจ้าหลวงมาเข้าห้องขัง ยิ่งกว่านั้น รัฐบาลควรละอายใจในการรังแกพระบรมวงศ์พระองค์นี้ ซึ่งชนทั้งหลายย่อมทราบดีว่าเป็นเจ้านายที่พระทัยบุญ ปรารถนาแต่กุศลกิจ พระองค์ได้บำเพ็ญคุณานุคุณไว้แก่ชาติเป็นอเนกประการ อาทิเช่น ตั้งโรงพยาบาลศิริราช ก่อตั้งมหาวิทยาลัย และกรมสาธารณสุขขึ้นเป็นปฐม ทรงตรากตรำงานจนประชวรหนักจึงลาออก ตั้งแต่นั้นก็สนพระทัยบำรุงศิลปกรรม ดนตรีและศาสนา หลวงพิบูลฯ ควรจะเข้าใจได้ว่าผู้ที่มักใหญ่ใฝ่สูงคิดแย่งอำนาจในทางการเมือง กับผู้ที่รักวิทยาการและความงามของศิลปกรรมนั้นจะเป็นคนๆ เดียวกันไม่ได้ แต่หลวงพิบูลฯ อาจหลงตนเองเกินไปจนเชื่อคำยุยงใส่ร้ายว่ากรมขุนชัยนาทฯ ถ่อมพระองค์ลงมาเป็นปรปักษ์กับตน
ทางออกจากความทุกข์
ข้าพเจ้าผ่านอาหารมื้อแรกและการนอนตื่นแรกในห้องขังมาได้โดยวิธีทำจิตใจของตนให้สูงขึ้นเท่าโยคีผู้ปราศจากความใยดีในเวทนาอารมณ์ต่างๆ หรือถ้าใครจะบอกว่าจิตของข้าพเจ้ามิได้สูงเท่าโยคี แต่ต่ำลงเท่าเดรัจฉานก็ยอมรับ เพราะมนุษย์เดรัจฉานกับมนุษย์โยคีสองพวกนี้เท่านั้นที่สามารถจะกินอาหารได้โดยไม่เลือกรสใกล้ๆ ถังส้วมและท่ามกลางสิ่งโสโครก แล้วก็นอนหลับไปได้ทั้งๆ เหงื่อไหลไคลย้อย
ผู้มีความทุกข์ปรารถนาความหลับ ก็เพื่อให้มันพาวิญญาณไปพ้นโลกแม้ชั่วคราว ข้าพเจ้ากลายเป็นคนอดทนต่อความทุกข์ ก็ด้วยสามารถทำจิตใจเป็นโยคีหรือเดรัจฉานได้อย่างหนึ่ง นอนหลับได้ง่ายอย่างหนึ่ง และสามารถปล่อยใจให้ล่องลอยไปด้วยการอ่านหนังสือ หรือคิดเพ้อฝันอีกอย่างหนึ่ง
เมื่อเรานั่งเอนหลังอย่างสบาย จุดบุหรี่สูบแล้วตั้งกระทู้อย่างแสนบ้าขึ้น เป็นต้นว่ามหาเศรษฐีเช่นร็อคกี้เฟลเล่อร์น่าจะทำอะไรบ้าง อย่างนี้ข้าพเจ้าคิดว่าทุกๆ คนสามารถจะติดตามความคิดเพ้อฝันของตนไปได้ไม่มากก็น้อย ถ้าตามได้มากก็กลายเป็นคนบ้า แต่คนที่ต้องอยู่ในห้องขังนานๆ เช่นข้าพเจ้า คงจะรู้สึกความจำเป็นที่จะต้องคิดเพ้อฝันบ้างไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อจิตใจของเรามีความสันทัดมากขึ้นในการติดตามกระทู้ปัญหาแล้ว เราอาจตั้งกระทู้ที่ไม่บ้าขึ้นก็ได้ เช่นกระทู้ว่า เหตุใดมนุษย์จึงทำสงครามกัน หรือจะทำอย่างไรหนอ มนุษย์ทุกคนจึงจะกลายเป็นสาวกของพระพุทธโคดมแม้เพียงข้อเดียวที่จะเว้นการเบียดเบียนรังแกกันเสียที หรือเหตุใดหนอชาวไทยสมัยนี้จึงเห็นดีปล่อยให้หลวงพิบูลฯ ได้มีอำนาจจนเหลิงถึงกับจับคนมาใส่คุกเล่นตามชอบใจ
ความผิดของผู้ถูกทำร้าย
ข้าพเจ้ากำลังนั่งสูบบุหรี่ ปล่อยใจให้ล่องลอยไปตามปัญหาว่าการที่ข้าพเจ้าถูกจับคราวนี้เป็นตามพรหมลิขิตซึ่งกำหนดไว้ให้ต้องมาประสบโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล หรือว่ามีเหตุผลซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของข้าพเจ้าเอง คำโคลงโลกนิติที่ท่องจำไว้ตั้งแต่เด็กแล่นมาสู่สมอง
“หมอแพทย์ทายว่าไข้ | ลมคุม |
โหรว่าเคราะห์แรงรุม | โทษให้ |
แม่มดว่าผีกุม | ทำโทษ |
ปราชญ์ว่ากรรมเองไซร้ | ก่อให้เป็นเอง” |
ตามโคลงภาษิตนี้ก็จะต้องตัดสินว่าข้าพเจ้าถูกจับก็ด้วยกรรม (การกระทำ) ของตนเอง และพระพุทธภาษิตก็มียืนยันอีกว่ามนุษย์มีกรรมเป็นของตนเอง ข้าพเจ้าจึงพร้อมที่จะยอมรับว่าข้าพเจ้าคงประพฤติตนบกพร่องอันจำต้องรับผิดชอบต่อสังคมหรือต่อหลวงพิบูลฯ อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าไม่รู้สำนึกว่าความประพฤติของตนเป็นความชั่ว ไฉนเล่าข้าพเจ้าจึงควรรับผลร้ายในอารยสังคม
สมมุติว่าคางคกตัวหนึ่ง เที่ยวหากินตามวิสัยของมันผ่านมาถึงเด็กคนหนึ่งซึ่งบังเอิญเกลียดคางคก เด็กนั้นเอาไม้ตีคางคกตาย ดังนี้เราจะว่าเป็นความผิดของเด็กที่ตีคางคกตาย หรือเป็นความผิดของคางคกที่กระโดดมาให้เด็กเห็น
ข้าพเจ้าค่อนไปทางที่หนึ่งที่เห็นว่าเป็นความผิดของเด็กนั้นที่ตีคางคกตาย หาใช่ความผิดของคางคกไม่
กฎหมายก็ถือตามที่ข้าพเจ้าว่านี้ ถ้าหากมนุษย์ทำร้ายชีวิตมนุษย์ด้วยกัน ผู้ทำร้ายจะถูกลงโทษ แต่ถ้าผู้ทำร้ายนั้นเป็นตัวกฎหมายเองแล้ว มนุษย์ผู้ถูกทำร้ายก็มีฐานะเท่าคางคก มนุษย์จำนวนมากที่ถูกฆ่าโดยเนโรแห่งโรม ธีบอแห่งพม่า และพระพุทธเจ้าเสือแห่งสยาม เหล่านี้เป็นมนุษย์ในฐานะคางคก
แต่ธรรมของพระโคดมพุทธเจ้าไม่มีข้อยกเว้น มนุษย์ที่ฆ่าคางคกย่อมมีบาปโดยไม่มีข้อแม้ และมนุษย์ที่จับกรมขุนชัยนาทฯ กับข้าพเจ้ามาขังไว้เช่นนี้ ก็ต้องมีบาปโดยไม่มีข้อแม้ ศรีปราชญ์ กวีเอกแผ่นดินพระนารายณ์คงจะถือสัจจะ ข้อนี้เป็นบรรทัดฐาน ฉะนั้นก่อนถูกประหารชีวิต ศรีปราชญ์จึงกล่าวว่า
“ธรณีนี่นี้ | เป็นพยาน |
เราก็ศิษย์มีอาจารย์ | หนึ่งบ้าง |
เราผิดท่านประหาร | เราชอบ |
เราบผิดท่านมล้าง | ดาบนั้นคืนสนอง” |
ความสุขจากกองทุกข์
ความลำบากคับแค้นในห้องขังนั้น นักเขียนอื่นๆ เช่น สุรีย์ ทองวานิช ได้นำมาเล่าไว้มากแล้ว และเท่าที่ข้าพเจ้าได้สดับมา ประชาชนเข้าใจฐานะของผู้ต้องหาคดีกบฏโดยทั่วไปว่าทุกข์โศกเร่าร้อนเกินกว่าความเป็นจริง พวกเห็นทางแง่ร้าย (Pessimist) กล่าวว่าชีวิตคือความทุกข์ ทั้งพวกเห็นทางแง่ดี (Optimist) ว่าชีวิตคือความสุข ทั้ง ๒ พวกนี้หลง พวกที่มองเห็นทั้งแง่ดีและแง่ร้าย ย่อมประจักษ์ว่าชีวิตระคนด้วยสุขและทุกข์ ธรรมชาติได้สร้างตราชูไว้แก่สรรพสิ่งทั่วโลก เมื่อตราชูข้างใดถูกถ่วงเต็มที่แล้วก็พลิกกลับ คนในห้องขังอย่างข้าพเจ้าก็เปลื้องทุกข์มาจนอิ่มโชก และฉวยโอกาสแห่งความสุขซึ่งธรรมชาติประสาทให้
“ขอบุหรี่ผมสูบบ้างซี” ผู้ต้องหาในคดีลักทรัพย์ผู้หนึ่งตะโกนบอกตำรวจผู้ควบคุม เมื่อได้รับคำตอบว่า “เขาห้าม” ก็ย้อนถามต่อไปพร้อมกับชี้มือมาทางข้าพเจ้าว่า “ทีคนนั้นทำไมสูบได้ล่ะ?”
“นั่นเขาคนละอย่างกับพวกแก เขาต้องหาคดีการเมือง แกไปอยู่อย่างเขาซี จะได้ให้สูบ เอาไหมล่ะ?”
ผู้ต้องหาลักทรัพย์รีบตอบว่า “ไม่เอา”
ข้าพเจ้าก็กำลังคิดอยู่ว่า ถ้าจะให้เปลี่ยนฐานะเป็นต้องหาคดีลักทรัพย์ ข้าพเจ้าก็ไม่เอาเหมือนกัน มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งจากความลำพองในใจของตนเองว่า แม้จะถูกปรักปรำว่าทำผิด ก็เป็นความผิดที่ไม่เสียเกียรติ ถ้าใครเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นโจร ก็ขอให้เป็นโจรบรรดาศักดิ์เถิด
สิทธิที่โจรบรรดาศักดิ์ได้รับเป็นพิเศษก็คือสูบบุหรี่ในห้องขังได้ บุหรี่ที่สูบได้ด้วยอำนาจเงินอย่างเดียว มิได้มีรสโอชาเสมอด้วยการได้สูบด้วยสิทธิพิเศษเช่นนี้
ห้องขังของโรงพักไม่ได้จัดน้ำไว้ให้ผู้ถูกขังอาบ แต่เขาต้องจัดไว้ให้ผู้ต้องหาการเมือง นั้นเป็นสิทธิพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้เราต้องหมักเหงื่อไคลไว้จนถึงเวลาที่เขากำหนดให้ แต่ความสำเร็จผลซึ่งได้โดยยากนั้นย่อมมีค่ามากกว่าปกติ
มิใช่เพียงข้าพเจ้าจะฉวยความชื่นใจจากสิทธิพิเศษเท่านั้น แม้สิทธิที่ถูกตัดไปข้าพเจ้าก็เค้นเอาความชื่นใจมาจากมันจนได้ เป็นต้นว่าการที่ถูกห้ามไม่ให้ใช้ของมีคม ข้าพเจ้าก็ตีความหมายเอาว่า เพราะเขากลัวว่าข้าพเจ้าจะเอามาทำร้ายร่างกายตนเอง เขาไม่อยากให้ข้าพเจ้าตาย ก็เพราะข้าพเจ้ายังมีประโยชน์กับเขาอยู่ อาจเป็นได้ว่าเขาอยากรักษาชีวิตข้าพเจ้าไว้เพื่อใช้เป็นบันไดเหยียบขึ้นสู่ความเป็นใหญ่ ข้าพเจ้าก็จะดีใจถ้าเขาได้เป็นใหญ่ด้วยความล่มจมของข้าพเจ้า เพราะถ้าต้องหาในคดีสามัญ ข้าพเจ้าอาจล่มจมโดยไม่ทำความเป็นใหญ่ให้แก่ผู้ใดเลย มันเป็นความชื่นใจที่ได้รับอย่างแร้นแค้นด้วยการปลอบใจตนเองว่า ตนเป็นผู้มีประโยชน์แม้กระทั่งต่อศัตรู
เสรีภาพตามธรรมชาติ
แม้ว่าข้าพเจ้าสามารถแสดงความชื่นใจได้จากหลายหนหลายทางก็ตาม ก็ยังตระหนักใจอยู่ว่าเท่าที่ปรากฏมาแล้วนั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถหาความสุขจากสภาพที่ผิดธรรมชาติได้เลย
ปราชญ์บางคนอธิบายถึงเสรีภาพทางใจว่าอาจจะมีได้ ในเมื่อเสรีภาพทางกายได้สูญเสียไป แต่ ญัง ญาร์ค รูสโซ เห็นว่าการพูดนี้เป็นเพียงเล่นคารม รูสโซเป็นนักปราชญ์ที่ยึดธรรมชาติเป็นหลัก ข้าพเจ้าเลื่อมใสปรัชญาของรูสโซหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องปฏิเสธความมีจริงของเสรีภาพทางใจ
ขอให้นึกถึงพวกทาสขาวชาวคาเธเยียนที่ถูกพวกโรมันจับมาใช้ตีกรรเชียงเรือรบ คนไหนบิดพลิ้วออมแรงก็หวดด้วยเชือกหนัง ขอให้นึกถึงชาวอาฟริกันที่จับส่งไปขายในตลาดค้าทาสที่อเมริกา ขอให้นึกถึงเชลยศึกไทยที่พม่าจับร้อยเอ็นข้อเท้าด้วยหวายแล้วต้อนไปประเทศพม่า พวกทาสและเชลยเหล่านี้มีเสรีภาพทางใจหรือเปล่า
พวกทาสและเชลยเหล่านี้อาจทำได้อย่างเดียวกับข้าพเจ้าในการคิดเพ้อฝันไปต่างๆ แต่นั่นไม่ใช่เสรีภาพ เมื่อข้าพเจ้าปล่อยความคิดออกไปจากร่างกายของตัวเองแล้ว ข้าพเจ้าก็อยู่ในสภาพฝัน มันไม่ใช่สภาพจริงที่มีความเป็นอยู่ในพื้นที่และในเวลาแห่งดาวนพเคราะห์ดวงนี้
เสรีภาพที่มีจริง คือเสรีภาพที่เกาะเกี่ยวสัมพันธ์กับร่างกาย เช่นเสรีภาพในอิริยาบถ ในการแสดงความคิดเห็น และอื่นๆ เท่าที่กล่าวไว้ในกฎหมาย
แท้ที่จริง กฎหมายควรมอบเสรีภาพเหล่านี้ให้แก่เราตามสิทธิ์ที่เราได้รับโดยกำเนิดแล้วจากธรรมชาติ และกฎหมายควรคุ้มครองไม่ให้ผู้ใดทำลายเสรีภาพของเราได้ การทำร้ายร่างกายกันและสังหารชีวิตกันเป็นวิสัยสัตว์ และฉะนั้นจึงเป็นธรรมชาติ แต่การจับเข้าห้องขังเป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏในธรรมชาติเลย ถ้าการติดคุกตะรางเป็นความทรมานยิ่งกว่าการเฆี่ยนและการฆ่าแล้ว ข้าพเจ้าควรถูกฆ่าหรือถูกเฆี่ยน แต่ไม่มีกรณีใดๆ เลยที่ข้าพเจ้าหรือเพื่อนมนุษย์อื่นควรเข้ามานอนในห้องขัง
แต่ข้อขำมีอยู่ว่ามนุษย์โดยมากได้ยอมอ่อนน้อมถวายเสรีภาพของตนต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างบัดซบ จับนกหรือแมวมาขังไว้ มันจะดิ้นรนส่ายหาทางออก และแสวงหาโอกาสหลบหนีทั้งต่อหน้าและลับหลัง จับมนุษย์อย่างข้าพเจ้ามาขังไว้ และโดยความผิดของผู้จับยิ่งกว่าเป็นความผิดของผู้ถูกจับ แต่มนุษย์อย่างข้าพเจ้า ก็บัดซบพอที่จะไม่พยายามหลบหนีทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ถ้าข้าพเจ้ามีความเคารพบูชาเสรีภาพเสมอด้วยแมว ข้าพเจ้าจะวิ่งหนีออกจากห้องขังในทันทีที่ประตูเปิด ข้าพเจ้าอาจนึกล่วงหน้าได้ว่าตำรวจคงไล่ตามยิง เช่นเดียวกับที่แมวมันคงนึกว่ามนุษย์ที่จับมันยังคงไล่ตามตี ตามฆ่า แมวยอมตายดีกว่ายอมเสียเสรีภาพ ข้าพเจ้ามีจิตใจต่ำช้ากว่าแมว
ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้ายังถูกห้ามไม่ให้พูดกับผู้ใด ข้าพเจ้าต้องนั่งเป็นใบ้ตลอดเวลา ๓ เดือน ไม่มีเดรัจฉานจำพวกไหนจะยอมถูกตัดเสรีภาพในการใช้เสียง บังคับสุนัขให้กระทำหรืองดกระทำได้ทุกอย่าง นอกจากบังคับในการใช้เสียง ยิ่งตีมันก็ยิ่งร้อง มนุษย์อย่างข้าพเจ้าควรอายสุนัข
ข้าพเจ้าอยากพูดกับกรมขุนชัยนาทฯ ใจแทบขาด เป็นธรรมชาติของดวงใจที่ต้องการทอดถ่ายระบายความรู้สึกต่อมิตร ถ้าได้ฟังคำตรัสข้าพเจ้าจะชื่นใจ ถ้าทรงประทานความเห็นใจข้อที่ทูลหารือหรือปรับทุกข์ ข้าพเจ้าคงคลายกังวล วันหนึ่งขณะตำรวจนำข้าพเจ้าผ่านห้องประทับเพื่อไปอาบน้ำ ความปรารถนาที่จะพูดเกิดทวีขึ้นทันที ข้าพเจ้ากราบทูลโพล่งออกไปว่า “I bet those men in power don't understand that your Royal Highness takes no interest in politics. Such fools !”
เสด็จในกรมฯ ยังมิทันตรัสตอบ ตำรวจถลันเข้ามาดึงแขนข้าพเจ้าพ้นไปจากหน้าห้องประทับ
“คุณพูดว่ากระไร?” เขาถาม
“ผมทูลปรับทุกข์”
“ทีหลังอย่าพูดอย่างนี้ เขาห้ามไว้อย่างเด็ดขาด”
“ผมอดไม่ได้ การห้ามไม่ให้พูดเช่นนี้เป็นเรื่องเหลือทน”
“ขอเสียทีเถอะครับ ถ้านายเขารู้เข้า ผมก็ต้องเข้าห้องขังด้วยเท่านั้นเอง นึกว่าสงสารกับผมเถอะ”
ข้าพเจ้ารู้สึกเห็นใจตำรวจผู้นั้น น้ำเย็นเป็นสิ่งที่เอาชนะข้าพเจ้าได้ง่ายกว่าน้ำร้อน เมื่อผ่านห้องประทับของเสด็จในกรมฯ โอกาสต่อมาข้าพเจ้าเดินก้มหน้ารีบผ่านไปโดยเร็ว
กบฏร้องไห้
เมื่อมารดาของข้าพเจ้าทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ว่า ข้าพเจ้าถูกจับก็รีบมาขอเยี่ยม แต่ถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด คงได้รับอนุญาตแต่เพียงให้ส่งอาหารเท่านั้น ตำรวจผู้ควบคุมได้รับคำสั่งให้ระวังอย่างกวดขัน มิให้ผู้ต้องหาการเมือง “ติดต่อ” กับญาติพี่น้อง โดยเหตุนี้บริเวณหน้าห้องขังจึงเป็นเขตห้ามมิให้ใครผ่านเข้ามา ตำรวจผู้มิใช่เป็นยามจะต้องหาทางเดินเลี่ยงไปให้ไกล ถ้าใครเข้ามาพูดด้วย ก็เป็นที่รู้กันว่าจะต้องถูกไล่ออกเป็นอย่างน้อย บุคคลพลเรือนที่มีกิจธุระเข้ามาในสถานีจะต้องถูกมองด้วยความระแวงไว้ก่อนว่าเป็นพวกพ้องพี่น้องของผู้ต้องขังปลอมแปลงเข้ามาหรือเปล่า แม่ค้าขนมไม่มีโอกาสได้รับสตางค์จากผู้ต้องหา และช่างตัดผมก็ไม่มีเกียรติยศได้จับศีรษะของข้าพเจ้า มารดาของข้าพเจ้า เมื่อมอบของให้แก่เจ้าหน้าที่ที่หน้าสถานีแล้ว ก็ถูกเชิญไปนั่ง ณ มุมห้องซึ่งลับตาจากลูกชายของท่าน แต่มารดาของข้าพเจ้าพยายามชี้แจงว่าถ้าจะให้กลับไปโดยไม่เห็นหน้าลูกชายแล้ว ก็ยอมตายอยู่ที่นั่นเสียดีกว่า ในที่สุดเวทนาอารมณ์ก็เกิดขึ้นแก่ตำรวจ มารดาของข้าพเจ้าจึงเลื่อนมานั่งทางด้านตรงข้ามกับห้องขัง แล้วมองเขม็งเพ่งมาที่ลูกกรงเหล็กซึ่งลูกชายของท่านมาแสดงตัวอยู่ ณ ที่นั้น เราอยู่ห่างกันประมาณ ๓๐ ก้าว และสายตาของท่านจะต้องมองผ่านมุ่งลวดของห้องขังนั้นจึงน่าจะเห็นร่างกายของข้าพเจ้าได้เพียงลางๆ ท่านต้องดูข้าพเจ้า พร้อมกับเช็ดน้ำตาไปพลาง แต่ท่านคงไม่ทราบว่าน้ำตาของข้าพเจ้าก็ไหลอาบแก้มด้วยเหมือนกัน
สงฆ์หัวเราะ และกบฏร้องไห้ เหล่านี้เป็นภาพที่น่าทุเรศ ข้าพเจ้าก็ได้เคยถูกกล่าวหาเป็นกบฏมาแล้วเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ และบัดนี้ก็กำลังจะต้องหาเป็นกบฏอีก น้ำตาเป็นสิ่งไม่สมตัว แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนใจอ่อน ข้าพเจ้าไม่เคยเว้นที่จะให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้แก่มิตรที่ตกทุกข์ ข้าพเจ้าผู้เคยเป็นนายร้อยนักบินขับไล่ ไม่เคยคิดจะเป็นเจ้าของปืน เพราะเต็มใจจะถูกฆ่ามากกว่าจะเป็นผู้ฆ่า สัตว์ที่เป็นมิตรของมนุษย์ไม่มีเลยที่เคยตายด้วยฝีมือข้าพเจ้า สมัยหนึ่งอยากทำให้โก้เป็นนักเลงยิงนกและล่าสัตว์ เมื่อยิงนกด้วยมือสั่นใจสั่น และยิงผิดแล้วก็ดีใจที่ยิงผิด เคยยิงเสือเล็กๆ ตัวหนึ่งในป่าที่โคกกระเทียมก็มีผลอย่างเดียวกับยิงนก ข้าพเจ้าเป็นลูกของแม่ รักแม่ และอยากให้แม่รัก ข้าพเจ้าเป็นพลเมืองไทย รักชาติไทย และอยากให้ชาวไทยรัก ประพฤติการณ์ของพระองค์เจ้าบวรเดชฯ และนายทหารผู้บังคับบัญชาของข้าพเจ้า ได้นำข้าพเจ้าเข้าสู่ร่างแหกฎหมายฐานเป็นกบฏโดยไม่รู้ตัว ข้าพเจ้าเป็นกบฏแต่เพียงชื่อเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าไม่อยากร้องไห้ และก็ไม่อยากเห็นมารดาร้องไห้ จึงได้สั่งตำรวจผู้คุมให้ไปเรียนแก่มารดาว่า ขออย่าให้ท่านมาเยี่ยมอีก ขออย่าให้ท่านเป็นห่วง เพราะข้าพเจ้ามีสุขภาพดีและหวังว่าจะได้ปล่อยตัวไปในไม่ช้า ตำรวจจะได้ไปบอกตามนี้หรือไม่ก็ตาม มารดาของข้าพเจ้ามาเยี่ยมอีกในวันรุ่งขึ้น และต่อจากนั้นก็เลยถือเป็นกิจประจำ ข้าพเจ้าอยากเห็นท่านก็จริง แต่เห็นครั้งใดก็เศร้าใจ การเยี่ยมทุกครั้งได้ฝากแผลไว้ในหัวใจข้าพเจ้า