เดือน ๑๑ จุลศักราช ๑๒๔๘

วันอังคาร ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลา ๕ โมงเสด็จออกประทับพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ถวายศีล แล้วกรมพระปวเรศ กรมหมื่นวชิรญาณ หม่อมเจ้าพระ พระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อย พระครูฐานานุกรมเปรียญ พระข้าราชการรวม ๓๗ องค์ถวายพรพระ เสด็จมาทรงเลือกโถฟักเหลืองยาคูปายาส วันนี้เป็นของพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในทำทูลเกล้า ฯ ถวายฉลองพระเดชพระคุณ ล้วนมีแต่ของดี ๆ กว่าทุกปีมา แต่สู้เวลาวานนี้ไม่ได้ ทรงเลือกพระราชทานโถที่ดี ๆ พระราชทานพระราชาคณะผู้ใหญ่ ๆ โถพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าจันทราสรัทวาร ถวายกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ๑ โถพระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าโสมาวดี พระราชทานกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ๑ โถพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าประไพศรีสอาด พระราชทานหม่อมเจ้าพระธรรมุณหิศ ๑ โถพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าเยาวมาลย์นฤมล พระราชทานหม่อมเจ้าพระอรุณ ๑ โถพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าแขไขดวง พระราชทานหม่อมเจ้าพระประภากร ๑ โถพระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ พระราชทานหม่อมเจ้าพระพุทธบาท ๑ แล้วทรงเลือกโถงาม ๆ พระราชทานพระราชาคณะอื่น ๆ ต่อไป โถที่เหลืออีกนั้นก็โปรดให้เลือกถวายพระครูฐานานุกรมเปรียญ พระข้าราชการทั่วกันทั้ง ๓๗ รูป แล้วเสด็จทรงประเคนพระสงฆ์รับพระราชทานฉัน และโปรดเกล้า ฯ ให้ถวายข้าวทิพย์แด่พระสงฆ์ที่ฉันทั่วกัน แล้วทรงปิดทองพระพุทธรูปและพระคัมภีร์ตามเคย พระมหาราชครูพิธี เมื่อพระสงฆ์รับพระราชทานฉันนั้น เจ้าพนักงานกรมภูษามาลาเชิญพระบรมอัฐิในพระหอพระธาตุมณเฑียร ในพระบรมมหาราชวังขึ้นพระราชยาน มีแตรสังข์กลองชนะมโหระทึกและตำรวจแห่มาพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เชิญพระบรมอัฐิและพระอัฐิขึ้นประดิษฐานบนพระที่นั่งเศวตฉัตรและโต๊ะจีนและพระราชทานกระทงเข้าตูแด่พระสงฆ์ ที่จะมาสดับปกรณ์พระบรมอัฐิพระอัฐิรวม รูป ครั้นพระสงฆ์ฉันแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอทรงประเคนผ้าเหลืองพระสงฆ์ที่รับพระราชทานฉันทั้ง ๓๗ รูป พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาอติเรก ถวายพระพรลา เสด็จทรงจุดเทียนเครื่องทองน้อยแล้วทรงทอดสบง เจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์สำหรับกาลานุกาลรวม ๒๔ รูปขึ้นไปสดับปกรณ์ แล้วทรงประเคนร่มรองเท้ากาน้ำเย็นทั่วกัน พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอติเรก ถวายพระพรลากลับไปเสด็จมาประทับมุขเหนือออกขุนนาง พระยาจ่าเสนาบดีนำพระวิภาคภูวดล ๑ มิสเตอร์เดอลิน ๑ มิสเตอร์ริชลิว ๑ ขุนนภาภาคพัตติกาล ๑ ขุนสุนทรสาทิศลักษณ ๑ นายบัญชาภูมฐาน ๑ นายเสงล่าม ๑ กราบถวายบังคมลาขึ้นไปราชการทำแผนที่หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานตราช้างเผือกสยามชั้นที่ ๓ นิภาภรณ์แด่พระวิภาคภูวดลแล้วเสด็จขึ้น เจ้าพนักงานเชิญพระบรมอัฐิ พระอัฐิกลับเข้าสู่หอพระธาตุมณเฑียร และโปรดพระราชทานไทยธรรมขึ้นไปสดับปกรณ์พระอัฐิในพระราชวังบวร ๕ องค์ เป็นเสร็จการพระราชพิธีสารท

เวลายามเสด็จทอดพระเนตรซอคัต ที่เต็นท์หน้ามิวเซียมพวกอเมริกันเข้ามาเล่นถวายเวลายามเศษเสด็จขึ้น

วันพุธ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาเกือบทุ่ม เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง หลวงจินดารักษ์อ่านบอกพระโบราณบุรานุรักษ์ พระพิทักษเทพธานี ปลัดกรมการกรุงเก่า ว่าแต่งให้หลวงนากรมการออกเก็บเงินภาษีกอไม้ไผ่สีสุกแขวงหมื่นรองอินเสนา ได้เงินจำนวนปีมะโรงโทศก ๘ ชั่ง ๗ ตำลึง ๒ สลึง ๒ ไพ บีมะเส็ง ตรีศก ๘ ชั่ง ๗ ตำลึง ๒ สลึง ๒ ไพ ปีมะเมีย จัตวาศก ๘ ชั่ง ๗ ตำลึง ๒ สลึง ๒ ไพ รวมเงิน ๒๕ ชั่ง ๑ ตำลึง ๑ บาท ๑ เฟื้อง ๒ ไพ ให้กรมการคุมลงมาส่งฉบับ ๑ กับใบบอกหลวงศรีสงครามปลัดเมืองพิจิตร ว่าได้หาตัวขุนนราพิทักษ์ นายกองส่วยผึ้งมาเร่งได้เงินแทนส่วยผึ้งเงิน ๓ ชั่ง ๑๕ ตำลึง คิดราคาหาบละ ๑ ชั่ง ๕ ตำลึง เป็นขี้ผึ้ง ๓ บาท ให้นายกองคุมลงมาส่ง ๑ ฉบับ

พระสุรินทรามาตย์อ่านบอกพระศิริธรรมบริรักษ์ ปลัด พระภักดีดำรงฤทธิ์ ผู้ช่วยเมืองนครศรีธรรมราช ว่าเก็บได้ขี้ผึ้งอากรจำนวนปีระกา สัปตศก หนัก ๗ หาบ ให้กรมการคุมเข้ามาส่งฉบับ ๑ กับให้บอกพระสัจจาภิรมย์ข้าหลวง พระยาอมรินทรฦาชัย ผู้ว่าราชการเมืองราชบุรี ว่ามีตราโปรดให้พระสัจจาภิรมย์ผู้ช่วยราชการ เป็นข้าหลวงไปตรวจทางทำสายโทรเลขเมืองตะวันตกแต่เมืองราชบุรีไปเมืองเพชรบุรี ให้เกณฑ์เลขไพร่สมกรมการสองส่วน กองด่านส่วนหนึ่งตัดถางทางทำการโทรเลขนั้น ได้เกณฑ์ไพร่เดือนละ ๑๕๐ คน จะตัดทางกว้าง ๙ ศอก เสานั้นใช้เสายาว ๓ วา ๒ ศอก ใหญ่ ๓ กำ ระยะหางกันเส้น ๑๐ วาเสาหนึ่ง กำหนดทำการในแล้งนี้ ได้แต่งข้าหลวงกรมการคุมไพร่ตรวจทางแต่วัดบางกุ้งพรมแดนเมืองสมุทรสงครามกับเมืองราชบุรี ขึ้นไปถึงพระราชวังเมืองราชบุรี เส้น ๓ วา กับคลอง ๒๐ คลอง ๖ เส้น รวม ๕๐๙ เส้น ๙ วา แต่ทางที่ไปจากพระราชวังเมืองราชบุรี ถึงบางเคมพรมแดนเมืองเพรชบุรีนั้นยังตรวจไม่แล้ว ถ้าตรวจเสร็จเมื่อใดจะบอกเข้ามาข้างหลัง เสด็จขึ้นข้างในทีเดียว

วันพฤหัสบดี ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลา ๕ โมงเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

หลวงจินดารักษ์อ่านบอกขุนมหาดไทย ขุนสัสดี ขุนศรีมงคล กรมการเมืองสิงหบุรี ว่าด้วยตำแหน่งที่พระพิศาลสงคราม เจ้าเมืองว่างเปล่าอยู่ มีตราโปรดให้หลวงรามฤทธิรงค์ ปลัด รักษาเมืองได้สองปีเศษหามีความผิดไม่ ปรึกษาด้วยกรมการพร้อมกันเห็นควรเป็นที่พระพิศาลสงคราม เจ้าเมือง ขอรับพระราชทานให้หลวงรามฤทธิรงค์เป็นพระพิศาลสงคราม เจ้าเมืองต่อไป กับไปบอกพระโยธาธิราช ข้าหลวง ๓ ฉบับ ๆ หนึ่งว่าได้รับสารบบความผู้ร้ายจากพระยาวิเศษฦาชัย ๗ เรื่อง ได้พร้อมกันชำระอยู่ ถ้าชำระแล้วเท่าใดจะมีใบบอกมา อีกฉบับหนึ่งว่าได้ปรึกษาพร้อมกันกับพระยาวิเศษฦาชัย จัดการตั้งกองตระเวนตามลำน้ำขึ้นไปทางเมืองกระบิลบุรี และกำชับนายด่าน ๔ ตำบล ให้สืบสวนระวังโจรผู้ร้ายที่จะหนีจากกรุงเทพ ฯ ฉบับหนึ่งว่าด้วยออกเรือไปเมืองกระบิลบุรีถึงบ้านท่าคล้า ได้ข่าวว่าผู้ร้ายปล้นราษฎรยิงเจ้าทรัพย์มีบาดแผล ครั้นเวลาค่ำไปถึงบางพลับมีผู้ร้าย ๔ คน แจวเวือสวนกับเรือพระโยธา พระโยธาเห็นแปลกประหลาดจึงจับไว้ถามก็ให้การเป็นหลักฐาน ได้ส่งตัวผู้ร้าย ๔ คนให้พระยาวิเศษฦๅชัยชำระต่อไป กับใบบอกพระยาพิษณุโลกาธิบดี เมืองพิษณุโลกส่งแป้งสาลีค้างอยู่อีก ๑๖๑ ถุง ได้แต่งให้กรมการลงมาส่ง

กับนำหลวงรามฤทธิรงค์ปลัดเมืองสิงห์บุรีเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายผ้าพื้น ๔๐ ผืน พระสุรินทรามาตย์อ่านบอกพระยาสุรินทรฦๅชัย เมืองเพชรบุรี ว่าด้วยมีผู้ร้ายปล้นราษฎรสองราย สืบได้ตัวผู้ร้ายแล้ว แต่ตัวผู้ร้ายนั้นติดอยู่เมืองปราณ รายความปล้นเหมือนกัน ถ้าพระวิชิตชาญณรงค์ชำระเสร็จแล้วจึงจะไปรับตัวมาชำระต่อไป แล้วจะบอกมาครั้งหลัง

แล้วพระราชทานสัญญาบัตรจีนหิวเป็นหลวงวิจารณ์ประชา ปลัดจีนเมืองชัยนาท แล้วเสด็จขึ้นประทับออฟฟิศรับสั่งเรื่องแสตมป์จนเกือบ ๒ ทุ่ม เสด็จขึ้น

วันศุกร์ ขึ้น ๔ ค่ำเดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาวันนี้ไม่ทรงพระสบาย ไม่ได้เสด็จออกขุนนาง

วันนี้เวลาเย็นตั้งการสวดมนต์พระราชพิธีคเชนทรัสวสนานที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท พระสงฆ์ไทย ๕ รามัญ ๕ ตามเคย

วันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาเช้ามีการเลี้ยงพระที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาทในการพระราชพิธีคเชนทรัสวสนาน และยืนจัตุรงค์ ๔ เหล่าในปรำหน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ตามโบราณประเพณี

เวลาเย็นโปรดให้เดินกระบวนแห่คเชนทรัสวสนานตามอย่างเช่นเคยมาทุกปี ไม่ได้เสด็จพระราชดำเนินออกทอดพระเนตร

วันอาทิตย์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาย่ำค่ำแล้วเสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้ว เสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

หลวงจินดารักษ์อ่านบอกพระโยธาธิราช ข้าหลวงเมืองปราจีนบุรี ๒ ฉบับ ๆ หนึ่งส่งตัวผู้ร้าย ๔ คน ซึ่งต้องอ้ายศุนศรีสงคราม ผู้ร้ายเมืองศรีโสภณซัดเข้ามากรุงเทพ ฯ อีกฉบับ ๑ ว่ากลับลงมาถึงเมืองฉะเชิงเทรา พระยาวิเศษฦๅชัยป่วยเป็นไข้จับอาการมากอยู่ ถ้าอาการทรงอยู่หรือค่อยทุเลาจะบอกเข้ามาข้างหลัง

พระสุรินทรามาตย์อ่านบอกพระสุรินทราฦๅชัย เมืองเพชรบุรี ว่าด้วยอำเภอจับจีนหงันฟันภรรยาตายมาส่ง ถามรับเป็นสัตย์ว่าอำแดงรอดภรรยา มีชู้พาชายชู้มานอนในเรือนจีนหงันจับตัวได้ ชายมีชื่อโดดเรือนหนีไป จึงเกิดทะเลาะกับเมีย กำลังโกรธจึงฟันเมียตาย ได้ให้กรมการคุมตัวอ้ายจีนหงันเข้ามาส่งฉบับ ๑ กับใบบอกพระนรินทรราชเสนี ข้าหลวงเมืองราชบุรี ว่าหลวงแพ่ง กรมการจับนายแสงผู้ของทองเหลืองชุบเงินมาส่ง ได้ส่งตัวสิ่งของเข้ามากรุงเทพฯ (ทรงพระราชดำริว่ามิได้มีความผิดอันใดเป็นแต่ขายของชุบตามราคา ให้ปล่อยตัวเสียโดยเร็ว)

พระยาพิพัฒโกษาอ่านบอกพระยานนทบุรี เมืองนนทบุรีฉบับ ๑ บอกพระยาราชพงษานุรักษ์ เมืองสมุทรสงครามฉบับ ๑ บอกพระยาสมุทรสาครานุรักษ์ เมืองสาครฉบับ ๑ บอกพระยาวิชยาธิบดี เมืองจันทบุรีฉบับ ๑ ความต้องกัน ว่ามีการเลี้ยงพระและจุดประทีปโคมไฟ มีการเล่นในวันเฉลิมพระชนมพรรษาทั้ง ๓ วัน ขอพระราชทานถวายพระราชกุศล

พระยาสิงหเทพนำหลวงพิษณุเทพ กราบถวายบังคมลาไปเป็นข้าหลวงรักษาราชการเมืองนครหลวงพระบาง พระราชทานพระบรมราโชวาทเป็นอันมาก

พระยาสิงหเทพนำเจ้าบุรีรัตน เมืองนครลำปางกราบถวายบังคมลากลับไปรักษาราชการบ้านเมือง พระราชทานเสื้อผ้าและคนโททองคำ พานหมากถมเครื่องในทองคำแล้วเสด็จขึ้น รับสั่งกับกรมหลวงเทวะวงศ์หลายเรื่อง จนเวลาเกือบยามเสด็จขึ้นข้างใน

วันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาย่ำค่ำเสด็จออกประทับมุขกระสันเบื้องตะวันตก ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระสุรินทรามาตย์อ่านบอกพระสัจจาภิรมย์ ข้าหลวง พระยาอมรินฦๅชัยเมืองราชบุรี ว่าด้วยแต่งคนตรวจทางโทรเลข แต่ปลายแดนเมืองสมุทรสงครามต่อกับราชบุรีจนถึงเขาสัตนาถทาง ๕๐๙ เส้น ๙ วา แต่พระราชวังเมืองราชบุรีถึงที่จะตั้งโรงโทรเลข ๓ เส้น แต่ออฟฟิศถึงพระราชวังเขาสัตนาถ ๗๐ เส้น แต่เขาสัตนาถถึงศาลาสมเด็จเจ้าพระยา ๖๒ แต่ศาลาถึงนครบาล ๕๐ เส้น แต่บ้านนครบาลถึงบ้านดอนทราย ๓๒๐ เส้น แต่บ้านดอนทรายถึงเขาหลวง ๑๐๒ เส้น แต่เขาหลวงถึงห้วยโรง ๒๕ เส้น แต่ห้วยโรงถึงห้วยบางเคมฝั่งเหนือสิ้นแดนเมืองราชบุรี ๑๐๖ เส้น ๑๔ วา รวมทางแต่ราชบุรีถึงบางเคม ๗๔๒ เส้น ๑๔ ลำห้วย ๔ ตำบล เส้น ๑๑ วา รวม ๗๔๔ เส้น ๕ วา ได้ทำแผนที่ส่งเข้ามา

พระยาพิพัฒโกษานำพระขลุงบุรีศรีมหาสมุทเขตารักษ์ กราบถวายบังคมลาไปรักษาราชการบ้านเมือง เสด็จขึ้นประทับออฟฟิศประเดี๋ยวหนึ่ง เสด็จขึ้น

วันอังคาร ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

วันนี้ไม่มีราชการอันใด

วันพุธขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาย่ำค่ำแล้วเสด็จออกประทับมุขกระสันเบื้องตะวันตก ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระสุรินทรามาตย์ อ่านบอกหลวงพิพิธสุพรรณภูมิ ผู้ช่วยเมืองกาญจนดิษฐ์ว่าพระยากาญจนดิษฐ์บดีรับเก็บภาษีผลประโยชน์เมืองกาญจนดิษฐ์เป็นภาษีคอเวอนเมนต์จำนวนปีระกาสัปตศก พระยากาญจนดิษฐ์เรียกเงินภาษีได้ ๑๐ เดือน ป่วยถึงแก่กรรม หลวงพิพิธสุพรรณภูมิผู้บุตรเรียกต่อมาอีก ๓ เดือน รวมปีหนึ่งได้เงิน ๔๑๔ ชั่ง ๑๗ ตำลึง ๒ บาท ๑ สลึง ๔๙๐ ไพหักจำหน่ายใช้การและทุนเดิม เงิน ๑๘๙ ชั่ง ๑๑ ตำลึง ๑ บาท ๒ สลึง ๑ เฟื้อง ๔๗๑ ไพ คง ๒๓๕ ชั่ง ๖ ตำลึง ๒ สลึง ๑ เฟื้อง ๑๙ ไพ หักร้อยละห้าพระราชทานผู้จัดการเงิน ๑๑ ชั่ง ๑๕ ตำลึง ๑ บาท ๑ เฟื้อง ๕๒๐ ไพ คงส่งเงิน ๒๒๓ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ๓ บาท ๑ สลึง ๑ เฟื้อง ๒๙๙ ไพ ขี้ผึ้งอากรหนัก ๔ บาท ๒๙ สลึง ๘ เฟื้อง พระยากาญจนดิษฐส่งแล้ว เงินภาษีผลประโยชน์ ๑๕๕ ชั่ง ๑๗ ตำลึง ๓ บาท ๑ สลึง ๑ เฟื้อง ขี้ผึ้งอากร ๔ บาท ๘ เฟื้อง ๒๙ ไพ ครั้งนี้หลวงพิพิธสุพรรณภูมิส่งเงินภาษีที่ค้าง เงิน ๖๗ ชั่ง ๑๓ ตำลึง ๒ สลึง ให้กรมการคุมเข้ามาส่ง

พระยาพิพัฒโกษาอ่านบอกพระยาสุนทรบุรี เมืองนครชัยศรี ว่าด้วยมีผู้ร้ายปล้นอำแดงสรอย สืบได้ตัวอ้ายดีมาชำระให้การรับเป็นสัตย์ซัดเพื่อน ยังติดตามเพื่อนผู้ร้ายอยู่ กับใบบอกพระยาราชพงษานุรักษ์ เมืองสมุทรสงคราม ส่งอ้ายรอดผู้ร้ายฟันนายเอมตายเข้ามากรุงเทพ ฯ

พระยาศรีสิงหเทพนำนายจอน ลุดเตอแนนต์ ทหารกรมล้อมพระบรมมหาราชวัง กราบถวายบังคมลา คุมเสื้อผ้าของพระราชทานข้าราชการและทหารนายไพร่ ๆ พลที่ไปราชการกองทัพทั้งสองกอง เสด็จขึ้นประทัพออฟฟิศครู่หนึ่ง เสด็จขึ้น

ในวันนี้มีการสวดมนต์ ที่บ้านเจ้าพระยาพลเทพที่จะได้รับสุพรรณบัฏเป็นเจ้าสมุหนายกในเวลาพรุ่งนี้ และที่บ้านพระยาเทพประชุนก็มีสวดมนต์ในการที่รับหิรัญบัฏ เป็นเจ้าพระยากรมเกษตราธิการด้วยเหมือนกัน แต่มิใช่การหลวง เป็นแต่เจ้าพนักงานเชิญพระสุพรรณบัฏหิรัญบัฏไปตั้งทั้ง ๒ แห่ง

วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาบ่ายโมงเศษ พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดีมนตรีมุขมาตย์ ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือน เข้าไปคอยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพร้อมกันในท้องพระโรงพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในการที่จะพระราชทานสุพรรณบัฏตั้งเจ้าพระยาสมุหนายก และเจ้าพระยากรมเกษตราธิการ

ครั้นเวลาบ่าย ๒ โมง ๑๕ นาที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องราชอิสริยยศมงกุฎสยาม เสด็จออกประทับพระที่นั่งพุดตานทองคำภายใต้พระมหาเศวตฉัตร พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสนามาตยาธิบดีมนตรีราช ข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายพลเรือนและทหารเฝ้าเบื้องยุคลพระบาทโดยลำดับตำแหน่ง เจ้าพนักงานประโคมแตรฝรั่งตามประเพณี ครั้นสุดเสียงประโคมแล้ว พระยาศรีสุนทรโวหารผู้รับพระบรมราชโองการอ่านประกาศกระแสพระราชดำริ ด้วยตำแหน่งสมุหนายกว่างเปล่าลง เสนาบดีเป็นบุตรเจ้าพระยานิกรบดินทร ซึ่งเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงนับถือยกย่อง และเจ้าพระยาพลเทพนี้ก็จงรักภักดิีต่อฝ่าละอองธุลีพระบาทและฉลองพระเดชพระคุณมาแต่ทรงพระเยาว์ เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยสนิทแต่เดิมมา และเป็นผู้ได้รับราชการมาหลายสิบปีมิได้มีระแวงผิด และได้ไปราชการทางไกลสำเร็จราชการ และมีอัธยาศัยซื่อตรงดำรงในความสัตย์สุจริตยุติธรรมมีสติปัญญายั่งยืนมั่นคง สมควรจะดำรงฐานันดรศักดิ์เป็นอัครมหาเสนาบดี บังคับบัญชาราชการแผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณได้ จึ่งโปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาเจ้าพระยาพลเทพขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดีที่สมุหนายก มีนามจำจารึกสุพรรณบัฏว่า (เจ้าพระยารัตนบดินทรมหินทรมหากัลยาณมิตร อเนกบุญฤทธิ์ประสิทธิสาธคุณ วิบุลยศุภผลนิพัทธกุศลกิริยาภิรัต วงโษปบัติมหามัตยตระกูล อดุลยเมตยาชวาธยาไศรย ศรีรัตนไตรสรณารักษ อุดมศักดิพิเศษ นาครามาตยเชษฐมหาสมุหนายก สยามโลกยดิลกบรมราชมานิตสกโลกดรทิศประเทศาธิบดี มหาราชสีห์มุรธาธรอรรคมหาดไทยวริศรเสนาบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ ที่สมุหนายก) ถือศักดินา ๑๐๐๐๐ กับทรง

อนึ่ง ตำแหน่งเจ้าพระยาพลเทพสรรพพลเสพ เสนาบดีจตุสดมภ์ว่างลง ทรงพระราชดำริว่า พระยาเทพประชุนเป็นข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับราชการมาแต่รัชกาลที่ ๔ และเป็นผู้ที่ได้เครื่องเอกซหิบิเชนออกไปราชการกรุงปารีสซึ่งในเวลานั้นเป็นการลำบาก และภายหลังทรงพระราชดำริ ที่จะรักษาการเมืองเชียงใหม่ซึ่งเวลานั้นเกิดวุ่นวาย พระราชดำริในการนันมิได้ต้องกับเสนาบดีผู้เป็นประธานในราชการแผ่นดิน หาผู้ที่จะจัดการให้สมพระราชประสงค์ได้ยาก พระยาเทพประชุนยังเป็นพระนรินทรราชเสนีมิได้มีความหวาดหวั่นต่อภัยทั้งปวง รับอาสาไปฉลองพระเดชพระคุณเรียบร้อยมาจนกาลบัดนี้ เป็นอันชอบเป็นอย่างยิ่ง ครั้นกลับลงมาก็ได้ฉลองพระเดชพระคุณการอื่นให้เป็นประโยชน์แผ่นดินหลายอย่าง มีอัธยาศัยซื่อตรงกล้าหาญ มุ่งหมายต่อความเจริญของแผ่นดิน มีความจงรักภักดีในฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นอันมาก ควรจะดำรงตำแหน่งจตุสดมภ์เสนาบดีได้ จึงโปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาเป็นเจ้าพระยาเสนาบดีมีนามตามจารึกในหิรัญบัฏว่า (เจ้าพระยาพลเทพสรรพพลเสพเสนาบดีศรีวิชัยมไหยสวรรย อเนกานันตธัญญาหารพิจารณปฏิพัทธนพรัตนมุรธาธร มหิศวรสมุหเชษฐเกษตราธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ อธิบดีกรมเกษตราธิการ) ถือศักดินา ๑๐๐๐๐

ครั้นอ่านประกาศจบแล้ว พราหมณ์เป่าสังข์ มีพระบรมราชโองการให้หาเจ้าพระยาพลเทพเข้าไปหน้าพระที่นั่ง ทรงหลั่งน้ำอุตราวัฏและทรงเจิมพระราชทานแล้ว พระราชทานสุพรรณบัฏเลื่อนเจ้าพระยาพลเทพเป็นเจ้าพระยารัตนบดินทร มหินทรมหากัลยาณมิตร ฯ สมุหนายก และพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศมงกุฎสยามมหาสุราภรณ์ ๑ กระบี่ฝักทองคำด้ามเป็นรูปนาค ๑ แหวนนพเก้า ๑ มาลายอดทองคำเกี้ยวทองคำ ๑ หีบ หมากไม้แดงหุ้มทองคำลงยาหลังตราราชสีห์ ๑ พานทองคำกลมใหญ่เครื่องในมีตลับยอดลงยาซองกรอบลงยา ๑ คนโททองคำ ๑ ถาดชามีป้านทองคำ ๑ กระโถนทองคำ ๑ แล้วกลับออกไปรับพราหมณ์รดน้ำสังข์ด้วย

มีพระบรมราชโองการ ให้พระยาเทพประชุนเข้าไปหน้าพระที่นั่ง ทรงหลั่งน้ำสังข์อุตราวัฏ และทรงเจิมพระราชทาน แล้วพระราชทานหิรัญบัฏให้พระยาเทพประชุน ปลัดทูลฉลองกรมพระกลาโหม เป็นเจ้าพระยาพลเทพสรรพพลเสพ เสนาบดีที่จตุสดมภ์ กรมเกษตราธิการ พระราชทานกระบี่ฝักทองคำด้ามเป็นรูปนาค ๑ หีบ หมากไม้แดงหุ้มทองคำลงยาหลังตราหงส์ ๑ พานทองคำเหลี่ยมตราเก้าดวงมีเครื่องในพร้อม ๑ คนโททองคำ ๑ กระโถนทองคำ ๑ แล้วกลับออกมารับน้ำสังข์พราหมณ์ด้วยเหมือนกัน

และพระราชทานสัญญาบัตร พระยารัตนโกษาเป็นพระยาเพชรพิชัย จางวางกรมล้อมพระบรมมหาราชวัง ถือศักดินา ๕๐๐๐ พระราชโยธาเทพเป็นพระยารัตนโกษาคงถือศักดินา ๑๖๐๐ พระยาบำเรอบริรักษ์เป็นพระยาอภัยพิพิธอยู่ในกรมท่า ๑๕๐๐ พระยาสมุทบุรานรักษ์เป็นพระยาอรรคราชนารถภักดี คงถือศักดินา ๓๐๐๐ พระเทพผลูเป็นพระยาสมุทบุรานรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองสมุทร ถือศักดินา ๓๐๐๐ หลวงเดชนายเวรเป็นพระยาเพชรปาณี ปลัดทูลฉลองกรมพระนครบาล ถือศักดินา ๑๐๐๐ นายจ่ารงเป็นหลวงนายเดช นายเวร ถือศักดินา ๘๐๐ พระยาไพบูลย์สมบัติเป็นพระยาอิศรานภุาพ อธิบดีกรมมหาดไทยฝ่ายพระราชวังบวร ถือศักดินา ๕๐๐๐ พระยาวิสูตรโกษาเป็นพระยาไกรโกษาธิบดี กรมท่าฝ่ายพระราชวังบวร ถือศักดินา ๕๐๐๐ พระยาสาตราฤทธิ์รงค์เป็นพระยาเกษตรรักษาอธิบดีกรมนาฝ่ายพระราชวังบวรถือศักดินา ๕๐๐๐ พระยาบริรักษ์ราชาเป็นพระยาศิริไอสวรรย์ จางวางกรมคลังมหาสมบัติฝ่ายพระราชวังบวร ถือศักดินา ๒๕๐๐ พระยาภักดีภูบาลเป็นพระยาสราสุกิจมนตรี จางวางกรมพระสุรัศวดีฝ่ายพระราชวังบวร ถือศักดินา ๒๕๐๐ พระยาสุนทรนุรักษ์เป็นพระยาราชโยธา มหาดไทยฝ่ายเหนือฝ่ายพระราชวังบวร ถือศักดินา ๑๕๐๐ พระยาอัศฎาเรืองเดชเป็นพระยาเสนาภูเบศร กลาโหมฝ่ายเหนือฝ่ายพระราชวังบวร ถือศักดินา ๑๕๐๐ หลวงรามฤทธิ์รงค์ปลัดเป็นพระพิศาลสงครามผู้ว่าราชการเมืองสิงห์บุรี ถือศักดินา ๓๐๐๐

แล้วพระราชทานพรแก่เจ้าพระยารัตนบดินทร และเจ้าพระยาพลเทพและผู้ที่ได้รับตำแหน่งทั้งปวง แล้วเสด็จขึ้นข้างใน

วันศุกร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาย่ำค่ำเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนางทรงปิดทองแล้ว เสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระมนตรีพจนกิจอ่านบอกพระยาไตรเพชรรัตนราชสงคราม เมืองนครสวรรค์ ถวายพระราชกุศลทำบุญและว่าด้วยตั้งซุ้มตามประทีปในวันเฉลิมพระชนมพรรษา กับใบบอกพระยาอุตรการโกศลเมืองพิชัยถวายพระราชกุศลทำบุญ และตั้งซุ้มในการเฉลิมพระชนมพรรษาฉบับ ๑

พระสุรินทรามาตย์อ่านบอกพระยาสุรินทรฦๅไชย เมืองเพชรบุรี ถวายพระราชกุศลทำบุญและตามประทีปบนพระนครคีรีในการเฉลิมพระชนมพรรษาฉบับ ๑ ว่าเมื่อปีชวดอัฐศก ได้เบิกโคหลวงมาจากราชบุรี โคผู้ ๑๐๖ จ่ายให้ขุนหมื่นทำนาหลวงเมืองเพชบุรีได้ ๑๖ ปี โคล้มเสีย ๕๖ ยังเหลืออยู่ ๕๐ ครั้นบัดนี้ที่เมืองเพชรบุรีโคกระบือป่วยล้มชุกชุม ได้แต่งกรมการออกตรวจทำบัญชีโคกระบือล้ม โคหลวง ๕๐ โคกระบือเจ้าเมืองกรมการราษฎร โคผู้ ๘,๑๔๒ นาง ๕,๐๔๐ รวม ๑๓,๑๘๒ โคกระบือผู้ ๒,๗๐๑ นางกระบือ ๑,๐๐๗ รวม ๓,๗๑๐ กระบือ โคหลวงเป็นหมดสิ้นเชิงแล้ว

ประทับตรัสอยู่ครู่หนึ่ง เสด็จขึ้นประทับออฟฟิศครู่หนึ่ง เสด็จขึ้นข้างใน

วันเสาร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาย่ำค่ำเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้ว เสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระมนตรีพจนกิจอ่านบอกพระยาพิชัยสุนทร เมืองอุทัยธานีฉบับ ๑ ว่า ได้หาตัวนายกองส่วยผึ้งมาเร่งได้เงินแทนขี้ผึ้งส่วย ๒ ชั่ง คิดราคาหาบละ ๑๐๐ บาท เป็นขี้ผึ้งหนัก ๑ บาทสลึงเฟื้องมอบให้ขุนจงใจยุทธ นายกองคุมลงมาส่ง กับใบบอกพระยาอุตรการโกศล ผู้รักษาเมืองพิชัย ว่ากำหนดจะปลงศพพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร ผู้ว่าราชการเมืองพิชัย ณ เดือน ๓-๔ ปีจอ อัฐศก ขอพระราชทานศิลาหน้าเพลิงขึ้นไปพระราชทานเพลิง

พระยาสุรินทรามาตย์อ่านบอกพระอนุรักษ์โยธา ข้าหลวงเมืองภูเก็ต ว่าได้สวดมนต์เลี้ยงพระที่เมืองภูเก็ตและจุดประทีปโคมไฟ มีการเล่นและในเรือสุริยมณฑลยิงสลุตในวันเฉลิมพระชนมพรรษา และได้พร้อมด้วยกรมการเจ้าภาษีจีนหัวหน้าบ่ายหน้าต่อกรุงเทพ ฯ กราบถวายบังคมพระบรมรูป และขอถวายพระราชกุศล

พระยาพิพัฒโกษาอ่านบอกพระยาศรีสมุทโภค เมืองระยอง ๒ ฉบับ ๆ หนึ่งว่าด้วยพร้อมกับข้าหลวงผูกปี้ข้อมือจีนจำนวนปีระกา สัปตศก เสร็จสิ้นจำนวนแล้ว ได้จีน ๕๖๘ เงินค่าแรง ๒๘ ชั่ง ๘ ตำลึง ได้ส่งมาครั้งก่อนเงิน ๑๐ ชั่ง ครั้งนี้ส่งอีก ๑๕ ชั่ง ๑๒ ตำลึง รวมเงิน ๒๕ ชั่ง ๑๒ ตำลึง ค้างอยู่กับข้าหลวงพระคลังสินค้า ๓ ชั่ง ๑๖ ตำลึง ให้หลวงพลคุมเข้ามาส่ง อีกฉบับ ๑ ว่ากำหนดจะเผาศพหลวงราชภักดีศรีสงคราม ปลัด ณ เดือน ๑๒ ขอพระราชทานศิลาหน้าเพลิงไปเผาศพ

เสด็จขึ้นประทับตรัสกับกรมหลวงเทวะวงศ์ในออฟฟิศครู่หนึ่ง เสด็จขึ้นข้างใน

วันอาทิตย์ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาย่ำค่ำเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนางทรงปิดทองพระแล้ว เสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

ไม่มีใบบอกข้อราชการ พระยาศรีสิงหเทพนำพระพิศาลสงคราม ผู้ว่าราชการเมืองสิงห์ กราบถวายบังคมลากลับไปรักษาบ้านเมือง พระราชทานถาดหมากคนโทกะไหล่และเสื้อผ้าเป็นเครื่องยศ แล้วเสด็จขึ้นประทับออฟฟิศ พระวิสูตรสาครดิษฐเฝ้าถวายหนังสือว่าด้วยติดเงินค่าซ่อมแซมสิ่งของที่ข้าราชการจ้างทำเป็นหลวงไม่เบิกเงินให้และติดข้าราชการทำของตัวเอง โปรดเกล้า ฯ ให้ตระลาการศาลต่างประเทศเร่งให้ แล้วเสด็จขึ้น

วันจันทร์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาวันนี้เป็นดิถีจันทรมาสที่คล้ายกับวันพระมหาประสูติกาลสมัยในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้จัดการบำเพ็ญพระราชกุศลตามเช่นเคยมาทุกปี เจ้าพนักงานเชิญพระบรมอัฐิ พระบรมทนต์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นพระราชยานออกทางประตูสนามราชกิจ มีกลองชนะแตรสังข์มโหระทึกประโคมไป ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเชิญขึ้นประดิษฐานบนบุษบกทองเหนือพระแท่นแว่นฟ้าทองคำสามชั้นรายด้วยฉัตรทองคำและเครื่องสูงจามรและตั้งเครื่องพระบรมราชูปโภคตามราชประเพณี ณ มุขตะวันตก และเชิญพระพุทธรูปประจำวันพระชนมพรรษาในพระบรมอัฐิตั้งบนม้าหมู่ในพระแท่นมุขตะวันออกมีกลองชนะแตรสังข์มโหระทึกประโคมกว่าจะสิ้นการพระราชกุศล

เวลาเช้า ๕ โมง พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงประเคนพระสงฆ์ มีพระเทพกระวีเป็นประธานสงฆ์ พระสงฆ์ ๒๐ องค์รับพระราชทานฉัน ครั้นพระสงฆ์ฉันแล้วเสด็จไปประทับมุขตะวันตก ทรงทอดผ้าไตร ๒๐ ไตร พระราชาคณะฐานานุกรม ๒๐ องค์สดับปกรณ์ เสด็จมาประทับตรัสกับพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการครู่หนึ่งเสด็จขึ้น โปรดให้มีสดับปกรณ์อีก ๑๐๐ ตามเคย

เวลาย่ำค่ำเสด็จออกทรงจุดเทียนนมัสการ พระเทพกระวีถวายศีลแล้วพระเทพกระวีพระราชาคณะ ฐานานุกรม ๒๐ รูปสวดธรรมจักกัปปวัตนสูตร เวลาทุ่มเศษสวดมนต์จบเสด็จประทับมุขตะวันตก ทรงทอดผ้าเช็ดปาก ธูปเทียน พระสงฆ์สดับปกรณ์ แล้วเสด็จขึ้นมาประทับมุขตะวันออกพระเทพโมลีถวายเทศนาทานมัยกถากัณฑ์หนึ่ง จบลงเสด็จทรงไตรแพรสมณบริขารกับทั้งวัตถุจตุปัจจัยค่า ราคา ๑๐ ตำลึง พระสงฆ์ถวายอติเรก ถวายพระพรลา พระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้น

เวลายามเศษเสด็จออกทางพระที่นั่งจักรี เสด็จลงทรงลอยพระประทีปตามจารีตโบราณประเพณี ๔ ทุ่มเศษเสด็จขึ้น

วันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

วันนี้เป็นดิถีทางจันทรคติกาลสมัยที่คล้ายกับวันซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ เสด็จสวรรคต

เวลาเช้า ๕ โมงเสด็จออกพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทมุขตะวันออก ทรงจุดเทียนนมัสการ

วันพุธ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาเช้า โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเสด็จไปทรงปฏิบัติพระสงฆ์รับพระราชทานฉันในกาลานุกาล ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระราชาคณะ พระครูฐานานุกรม ๒๙ รับพระราชทานฉัน เจ้าพนักงานเชิญพระบรมอัฐิแต่หอพระธาตุมนเทียร มีกลองชนะแตรสังข์มโหรทึกแห่มา ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เชิญขึ้นสถิตบนพระที่นั่งเศวตฉัตรและโต๊ะจีนตามเคย ครั้นพระสงฆ์ฉันแล้วมีการสดับปกรณ์ แล้วเจ้าพนักงานเชิญพระบรมอัฐิแลพระอัฐิกลับเข้าสู่หอพระธาตุมณเฑียร

เวลาค่ำ โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเสด็จออกไปทรงจุดเทียนทรงธรรม พระโพธิวงษาจาริย์ถวายเทศนาภาวนามัยกถาจบลง ทรงถวายไตรแพร บริขารภัณฑ์ต่าง ๆ เป็นอันมาก ทั้งกัปปิยมูลค่าจตุปัจจัย ราคา ๑๐ ตำลึง

เวลายามเศษ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงทรงลอยพระประทีปอย่างวันก่อน

วันพฤหัสบดี แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระมนตรีพจนกิจอ่านบอกพระพรหมบริรักษ์ ข้าหลวง ขึ้นไปไปชำระเรื่องไม้ขอนสักว่าออกจากกรุงเทพฯ ณ วันพุธ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงเมืองชัยนาท วันอาทิตย์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ได้วางตราแก่หลวงกำแหงพลล้านปลัดแล้วไปเมืองอุทัยธานี ถึงวันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑๑ ได้วางตราต่อพระยาพิชัยสุนทร ได้พร้อมด้วยเจ้าเมืองกรมการห้ามมิให้ตั้งโรงเลื่อยไม้ขอนสักขายเหนือภาษี แล้วพระภิรมย์ราชานำมิสเตอร์หลุยโลโนเวน ห้างบอเนียวกอมปนีกับพวกหลายคน รวม ๙ คน เป็นโจทก์นำจับได้ไม้ที่จีนโตมันเสงคนในบังคับอังกฤษ ๑๓ ต้น คนในบังคับสยาม ๒๗ ต้น เป็นไม้ห้างบอเนียว ๘ ของคนในบังคับสยาม ๑๙ ต้น เห็นว่าการจับผู้ร้ายสิ้นเชิงแล้ว จะนำจีนโตมันเสงกับนายแจ้ง อำแดงพริ้งต้นจับขึ้นไปสอบกับผู้ร้ายเมืองพยุหคีรี เมืองนครสวรรค์ได้ความประการใดจะบอกมา กับใบบอกพระโยธาธิราชข้าหลวงเมืองฉะเชิงเทรา ว่าด้วยอาการไข้พระยาวิเศษฦๅชัยเมืองฉะเชิงเทรามากลง ฉบับ ๑

วันนี้พระราชทานตราตั้งกรรมสัมปาทิก ผู้จัดการหอสมุดวชิรญาณ แล้วพระยาจ่าแสนบดีนำพระยาราชวังซ้าย เมืองนครลำปาง ซึ่งลงมาเป็นความแล้วเสด็จเฝ้าถวายของหลายสิ่ง

แล้วเสด็จขึ้นประทับออฟฟิศครู่หนึ่ง เสด็จขึ้นข้างใน

วันศุกร์ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาย่ำค่ำเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระสุรินทรามาตย์อ่านบอกจมื่นสมุหพิมาน ข้าหลวงผู้รักษาราชการเมืองนครเขื่อนขันธ์ ว่าด้วยสืบสาวจับผู้ร้ายปล้นสะดมฆ่ากันตายในแขวงเมืองนครเขื่อนขันธ์ ได้ตัวผู้ร้ายรับเป็นสัตย์ สิบสองคน ให้กรมการคุมตัวเอาเข้ามาส่ง

พระราชทานสัญญาบัตร หม่อมราชวงศ์เนตร เป็นหม่อมราโชทัย ถือศักดินา ๘๐๐ นายเล่ห์อาวุธ เป็นนายจ่ารง เวรเดช นา ๖๐๐ นายรองพลพ่าย เป็นนายสุจินดาหุ้มแพร เวรสิทธิ์ นา ๔๐๐ นายเพ่งบุตรพระยาภาสกรวงศ์ เป็นนายกวดหุ้มแพรต้นเชือกเวรฤทธิ์ นา ๕๐๐ นายพินบุตรพระยาศรีสรราช (วัน) เป็นนายรองเสน่ห์เวรเดช นา ๓๐๐ นายใหญ่บุตรนายสนิทยศสถาน เป็นนายรองชิต เวรสิทธิ์ นา ๓๐๐ นายสนิทหุ้มแพร เป็นจมื่นราชามาตย์ ปลัดกรมพระตำรวจในซ้าย นา ๘๐๐ นายไชยขรรค์หุ้มแพร เป็นจมื่นทิพเสนา ปลัดกรมพระตำรวจในขวา นา ๘๐๐ นายพินัยราชกิจหุ้มแพร เป็นพรหมสุรินทร เจ้ากรมพระตำรวจใหญ่ขวา ฝ่ายพระราชวังบวรฯ นา ๑๕๐๐ นายเสน่ห์หุ้มแพร เป็นจมื่นชัยภูษา ปลัดกรมพระตำรวจใหญ่ขาว นา ๘๐๐ นายรองพิจารณ์สรรพกิจ เป็นเจ้าเขมงสตริยาวุธ นา ๖๐๐ จมื่นทิพเสนาเป็นพระอินทราธิบาล เจ้ากรมพระตำรวจในขวา ฝ่ายพระราชวังบวรฯ นา ๑๕๐๐ จมื่นราชานุบาล เป็นพระอินทรรักษา เจ้ากรมพระตำรวจใหญ่ซ้าย ฝ่ายพระราชวังบวร ฯ นา......จมื่นจิตรจำนง เป็นพระชาติสุเรนทร เจ้ากรมพระตำรวจพลพัน ฝ่ายพระราชวังบวร ฯ นา...... จ่าเขมงสตวิยาวุธ เป็นพระศรีพิทักษ์ เจ้ากรมพระตำรวจนอก ฝ่ายพระราชวังบวร นา ๑,๒๐๐ จ่าแรงรับราชการ เป็นพระณรงค์วิชิต เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา ฝ่ายพระราชวังบวรฯ นา ๑,๒๐๐ จ่าห้วยยุทธการ เป็นจมื่นราชานุบาล ปลัดกรมพระตำรวจนอกซ้าย นา ๖๐๐ พระพรหมสุรินทร เป็นพระยาราชานุประดิษฐ์ ปลัดทูลฉลองกรมท่า ฝ่ายพระราชวังบวรฯ นา ๑๐๐๐ พระพรหมธิบาล เป็นพระยาไพบูลย์สมบัติ จางวางกรมพระคลังสินค้า ฝ่ายพระราชวังบวร ฯ นา ๑,๕๐๐ พระอินทรรักษา เป็นพระยาอภัยสงคราม เจ้ากรมอาสาใหญ่ซ้าย ฝ่ายพระราชวังบวรฯ นา ๕,๐๐๐ พระณรงค์วิชิต เป็นพระยาอัศฎาเรืองเดช จางวางกรมพระตำรวจในขวา ฝ่ายพระราชวังบวรฯ นา ๒,๐๐๐ พระอินทรบาล เป็นพระยาบริรักษ์ราชา จางวางกรมพระตำรวจฝ่ายพระราชวังบวร ฯ นา ๒,๐๐๐ หลวงธรรมาภิมณฑ์ เป็นหลวงราชาภิรมย์ ปลัดกรมราชบัณฑิตย์ขวา นา ๖๐๐ หลวงญาณวิจิตร เป็นหลวงอุดมจินดา ปลัดกรมราชบัณฑิตย์ซ้าย นา ๖๐๐ นายทิมอาจาริย์ เป็นหลวงญาณวิจิตร นายด้านกรมราชบัณฑิตย์ซ้าย นา ๔๐๐ นายเหมอาจารย์ เป็นหลวงธรรมาภิมณฑ์ นายด้านกรมราชบัณฑิตย์ขวา นา ๔๐๐

เสด็จขึ้นประทับตรัสกับกรมหลวงเทวะวงศ์จนเวลาเกือบ ๒ ทุ่ม เสด็จขึ้น

วันเสาร์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาย่ำค่ำเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระมนตรีพจนกิจอ่านบอกพระยาพิษณุโลกาธิบดี เมืองพิษณุโลก ๒ ฉบับ ว่าด้วยพร้อมกับหลวงวิจารณ์สาลี ข้าหลวงจำหน่ายข้าว กล้อง สาน ที่ชำรุดให้แก่ราษฎรไป ๒๕ เกวียน ๕๓ ถัง ๑๕ ทะนาน เป็นเงิน ๑๑ ชั่ง ๑๙ ตำลึง ๒ บาท ๓ สลึง ๑ เฟื้องและยังจำหน่ายต่อไปอยู่เสมอ แล้วนายอ่ำ ลุตเตอแนนต์ ถือหนังสือพระศรีเสนานำฎีกามาเบิกเงินจ่ายเป็นเบี้ยเลี้ยง ๙ คนๆ หนึ่งวันละ ๓ อัฐ ๖ เดือน เป็นเงิน ๑๘ ตำลึง ๒ บาท ๒ สลึง ๑ เฟื้อง ๓๐๐ ไพ เงินหลวงค่าข้าวยังคงอยู่ ๑๑ ชั่ง ๑ ตำลึง ๑ เฟื้อง ๕๐๐ ไพ ได้มอบให้กรมการคุมลงมาส่งอีกฉบับหนึ่งว่าถึงกำหนดเก็บเงินส่วย ได้หาตัวนายกองปลัดกองมาเร่งได้เงิน ๑๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ให้นายกองปลัดกองคุมลงมาส่ง กับใบบอกพระยาพิสุทธิธรรมธาดา เมืองลพบุรี ถวายพระราชกุศลทำการเฉลิมพระชนมพรรษาในพระนารายณ์ราชวัง กับใบบอกพระยากำแหงสงครามผู้ว่าราชการเมืองนครราชสีมา ว่าพระศรีสิทธิสงครามผู้ช่วย ซึ่งไปทำการสายโทรเลขป่วยเป็นไข้ป่าถึงแก่กรรม กับใบบอกพระยาไตรเพชรรัตนสงคราม เมืองนครสวรรค์ ว่าขุนราชสมบัติ นายกองส่วยเงินถึงแก่กรรม นายหลงบุตรได้เก็บเงินส่วยมาส่ง ๗ ชั่ง หลวงศรีเพชรฎา กรมการขอเบิกเงิน ๗ ชั่ง ไปทำออฟฟิศไปรษณีย์ กับขอรับพระราชทานนายหลงเป็นที่ขุนราชสมบัตินายกองส่วยต่อไป

พระสุรินทรามาตย์อ่านบอกพระยาวิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม เมืองไชยา ๔ ฉบับๆ หนึ่งว่า มีตราโปรดให้ผูกปี้ข้อมือจีนจำนวนปีระกา สัปตศก ได้พร้อมด้วยกรมการผูกปี้ข้อมือจีน ได้จำนวนจีน ๔๒๙ คน เงินค่าแรง ๒๑ ชั่ง ๙ ตำลึง ค่าฎีกา ๑ ตำลึง ๑ สลึง ๑ เฟื้องรวมเป็นเงิน ๒๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ๑ สลึง ๑ เฟื้อง เสร็จสิ้นจำนวนแล้ว ได้มอบให้กรมการคุมเข้ามาส่ง อีกฉบับหนึ่งว่า ได้พร้อมด้วยเสนากรมการเดินประเมินนาเรียกเงินค่านาจำนวนปีวอก ฉศก ได้เงิน ๑๐๐ ชั่ง มอบให้กรมการคุมเข้ามาส่ง อีกฉบับหนึ่งว่าได้หาตัวนายกองเลขส่วยน้ำรักมาเร่งน้ำรักส่วยปีระกา สัปตศก เรียกส่วยบุตรหมื่นทาสคนละ ๕ ทะนาน สมคนละ ๑๐ ทะนาน รวมเลขส่วย ๕ กองเป็นน้ำรัก ๑,๑๖๕ ทะนานมอบให้กรมการคุมเข้ามาส่ง อีกฉบับหนึ่งว่าในเมืองไชยาเกิดความไข้ กรมการราษฎรถึงแก่กรรมแต่ ณ เดือน ๖ ปีระกาสัปตศก จนถึง ณ เดือน ๕ ปีจอ อัฐศก พระยาวิชิตภักดีตรวจบัญชีได้จำนวนคนถึงแก่กรรมด้วยความไข้ ชาย หญิง ใหญ่ น้อย ๒,๗๓๕ คนจนทุกวันนี้ความไข้ยังทวีมากขึ้น ทำบัญชียังหาได้จำนวนแน่ไม่ ราษฎรได้ความอดอยากทั่วไป ข้าวเปลือก ราคาเกวียนละ ๕๐ บาท ข้าวในเมืองไชยาจวนจะสิ้นจำนวนแล้ว

พระสุรินทรามาตย์นำพระยาวิชิตภักดีผู้ว่าราชการเมือง หลวงราชานุกิจผู้ช่วยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเฝ้าถวายงาช้าง ๒ กิ่ง ดำรัสพระราชปฏิสันถารพระยาไชยาถึงข่าวทุกข์สุขในบ้านเมือง

พระยาพิพัฒโกษาอ่านบอกพระยาพิพิธพิสัยสุนทรการ เมืองตราด ว่าด้วยแต่ก่อนมีโจรผู้ร้ายลักโคกระบือในแขวงเมืองตราด หลบหนีไปอยู่กับพระพล นายด่านเมืองพระตะบอง ภายหลังมีตราโปรดออกไปว่า ให้มีท้องตราไปถึงพระยาพระตะบองให้สืบจับผู้ร้ายนั้นแล้ว ครั้น ณ เดือนเก้า ปีจอ อัฐศก อ้ายผู้ร้ายพวกนั้นกลับมาลักทาสชายหญิงพระยาตราดไปอีก ๑๕ คน จึงได้มีหนังสือให้หลวงภักดีภูธรกับหลวงมหาดไทยไปเมืองพระตะบอง พระยาคทาธรธรณินทร์บอกว่าท้องตรายังไม่ไปถึงเมืองพระตะบอง หลวงภักดีภูธรสืบได้ความว่าพวกผู้ร้ายและทาสยังอยู่ในแขวงเมืองพระตะบองทั้งสิ้น

พระยาศรีสิงหเทพนำหลวงจินดารักษ์ กราบถวายบังคมลาไปชำระความเมืองฉะเชิงเทราและเมืองปราจีนบุรีพร้อมด้วยพระโยธาธิราช

พระยาศรีนำเจ้าราชวงศ์ พระยาวังซ้าย นายน้อยแก้วเมือง คนเมืองนครลำปางสามคนกราบถวายบังคมลาไปบ้านเมือง

แล้วพระราชทานสัญญาบัตร นายพิจิตรสรรพการ เป็นพระรักษาเทพ เจ้ากรมพระตำรวจสนมซ้าย นา ๑,๒๐๐ นายรองพิจิตร เป็นนายพิจิตรสรรพการ หุ้มแพรเวรฤทธิ์ ถือศักดินา ๔๐๐ นายรองฉัน เป็นจ่าห้าวยุทธการ กรมพระตำรวจในขวา นา ๖๐๐ นายรองชิตเป็นนายสนิท หุ้มแพร เวรศักดินา ๔๐๐ นายพลพัน เป็นนายพินัยราชกิจ หุ้มแพร เวรศักดิ นา ๔๐๐ นายรองเล่ห์อาวุธ เป็นนายเล่ห์อาวุธหุ้มแพร เวรฤทธิ์ นา ๔๐๐ นายรองเสน่ห์ เป็นนายเสน่ห์ หุ้มแพร เวรเดช นา ๔๐๐ นายเชนบุตรเจ้าพระยารัตนบดินทรเป็นจ่าแรงรับราชการ กรมพระตำรวจนอกขวา นา ๖๐๐ นายเลื่อนบุตรพระยาอิศราธิชัย เป็นนายรองเล่ห์อาวุธ เวรฤทธิ์ นา ๓๐๐ นายกริ่มบุตรพระยาอภัยพิพิธ (เสพ) เป็นนายรองพิจิตรสรรพการ เวรฤทธิ นา ๓๐๐ นายอรุณบุตรพระอาหารบริรักษ์ เป็นนายรองพิจารณสรรพกิจ เวรเดช นา ๓๐๐ นายเนียนบุตรพระยาอภัยรณฤทธิ์ เป็นนายรองพลพ่าย เวรสิทธิ นา ๓๐๐ นายกันมหาดเล็กเป็นหลวงสรพจนพิจิตรกรมมหาดเล็ก นา ๖๐๐ จมื่นชัยภูษา เป็นพระพรหมาธิบาล เจ้ากรมพระตำรวจในขวาฝ่ายพระราชวังบวร ฯ นา ๑,๕๐๐ หลวงวิสูตรโยธามาตย์ เลื่อนขึ้นเป็นพระวิสูตรโยธามาตย์ เจ้ากรมทหารในไทยขวา นา ๑,๖๐๐ ขุนพรหมรักษา เป็นพระราชโยธาเทพเจ้ากรมทหารในไทยซ้าย นา ๑๖๐๐ จมื่นมหาสนิท เป็นพระยาภักดีภูบาล จางวางมหาดเล็กฝ่ายพระราชวังบวร ฯ นา ๒,๐๐๐ จมื่นจิตรเสน่ห์ เป็นพระบำเรอบริรักษ์ จางวางฝ่ายพระราชวังบวร ฯ นา ๒,๐๐๐ จมื่นเด็กชาย เป็นพระยาวิสูตรโกษา ปลัดทูลฉลองมหาดเล็กฝ่ายพระราชวังบวร ฯ นา ๑,๕๐๐ พระศรีพิทักษ์ เป็นพระยาอร่ามมณเฑียร จางวางทหารในฝ่ายพระราชวังบวร ฯ นา ๑,๕๐๐ พระฤทธิเดชะ เป็นพระยาสุรินทรราชเสนีปลัดทูลฉลองกรมพระกลาโหมฝ่ายพระราชวังบวร ฯ นา ๘๐๐ พระอินทรารักษ์ เป็นพระยาสุนทรนุรักษ์ กรมมหาดไทยฝ่ายพระราชวังบวร นา ๕๐๐ จมื่นอินทามาตย์ เป็นพระฤทธิเดชะ เจ้ากรมพระตำรวจนอกซ้าย ฝ่ายพระราชวังบวร ฯ นา ๑,๒๐๐ พระรักษาเทพเป็นพระรัตนพิมล กรมพระคลังมหาสมบัติ ฝ่ายพระราชวังบวร ฯ นา ๘๐๐ พระชาติสุเรนทร เป็นพระฤทธิสงคราม เจ้ากรมอาสารองขวา นา ๒,๕๐๐ เสด็จขึ้นประทับออฟฟิศตรัสกับกรมหลวงเทวะวงศ์จนเวลา ๒ ทุ่มเศษ เสด็จขึ้น

วันอาทิตย์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาบ่ายโมงเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์ครึ่งยศอย่างทหาร เสด็จออกทางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่งหลังใหญ่เทียมสี่ม้าพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เสด็จโดยสถลมารคแวดล้อมด้วยม้าตำรวจ แลทหารแห่นำตามเสด็จ เสด็จประทับวัดราชประดิษฐที่ ๑ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงจุดเทียนนมัสการนาย ทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษาในพระอารามนี้ ......รูป แล้วทรงถวายผ้าพระกฐินพระสงฆ์รับแล้วอัปโลกนกรรมสมมุติถวายสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ผู้เป็นพระเถรผู้ใหญ่ แล้วตั้งยัติทุติยกรรมวาจา ครั้นจบลงเสด็จทางประเคนผ้าไตรปีฐานานุกรม ๗ รูปพระสงฆ์ครองผ้า แล้วโปรดให้สมเด็จกรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดชถวายบริขารพระสงฆ์ถวายอนุโมทนา แล้วเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนไปประทับวัดบวรนิเวศที่ ๒ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงจุดเทียนนมัสการ นาย......ทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษาในพระอารามนี้รูปทรงถวายผ้าพระกฐินพระสงฆ์รับแล้ว อัปโลกนกรรมยัติทุติยกรรม ถวายกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ผู้เป็นมหาเถรแห่งคณะสงฆ์ในพระอารามนี้ แล้วเสด็จทรงประเคนผ้าไตรปีกรมหมื่นวชิรญาณ หม่อมเจ้าพระธรรมุณหิศ หม่อมเจ้าพระประภากรกับฐานานุกรมอีก ๑๒ รูป พระสงฆ์กรองผ้าแล้ว โปรดให้กรมหมื่นนเรศรถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา แล้วเสด็จกลับทรงรถพระที่นั่งอันแวดล้อมด้วยกระบวนเสด็จไปประทับวัดชนะสงครามที่ ๓ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงจุดเทียนนมัสการ นาย ทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษาในพระอารามนี้...รูป ทรงถวายผ้าพระกฐินพระสงฆ์รับแล้วอัปโลกนกรรมแลยัตทุติยกรรม ให้พระสุเมธาจารย์ผู้เป็นประธานสงฆ์ เสด็จทรงประเคนไตรปีพระครูฐานานุกรม ๗ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานพระกฐิน โปรดให้กรมหลวงวรศักดาพิศาลถวายบริขาร พระสงฆ์อนุโมทนาแล้วเสด็จกลับทรงรถพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินกลับโดยทางเดิม ไปเลี้ยวถนนวัดบุรณศิริเสด็จประทับวัดมหาธาตุเป็นที่ ๔ เสด็จเข้าประทับที่พระวิหาร ทรงจุดเทียนนมัสการพระเจดีย์ในพระวิหารแล้วเสด็จเข้าประทับพระอุโบสถทรงจุดเทียนนมัสการ นาย......ทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษาในพระอารามนี้...รูป ทรงถวายพระกฐินพระสงฆ์รับแล้วอับโลกนกรรมและตั้งยัติทุติยกรรมวาจา ให้พระญาณสมโภชผู้เป็นประธานสงฆ์ แล้วเสด็จทรงประเคนไตรปีฐานานุกรมเปรียญ...รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานกฐิน โปรดให้กรมขุนเจริญผลภูลสวัสดิถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับเข้าพระบรมมหาราชวัง เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ

วันจันทร์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาเช้าวันนี้ฝนตกมาก เดิมกำหนดว่าจะเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานพระกฐินวัดจักรวรรดิ์ วัดสัมพันธวงศ์ วัดปทุมคงคา แต่ฝนตกมากต้องพระราชทานเสียทั้ง ๓ พระอาราม วัดจักรวรรดิราชาวาส พระราชทานกรมหมื่นนเรศรวรฤทธิ์ วัดสัมพันธวงศ์ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ วัดปทุมคงคา กรมหมื่นอดิศรอุดมเดช

วันอังคาร แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

วันนี้วันเว้นพระราชทานกฐิน ไม่ได้เสด็จออก

วันพุธ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาเที่ยงแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์เยียรบับ ทรงเครื่องราชอิสริยยศเสด็จออกทางพระที่นั่งจักรี ทรงพระราชยานลงยาราชาวดี พร้อมด้วยองครักษ์ตำรวจทหารมหาดเล็กแห่นำตามเสด็จพระราชดำเนินโดยสถลมารคเป็นกระบวนราบไปประทับวัดพระเชตุพนที่ ๑ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการ นายสนองราชบรรหารทูลรายงาน พระสงฆ์จำพรรษา ๒๗๐ แล้วทรงถวายจีวรกฐินพระสงฆ์รับแล้ว อัปโลกนกรรมสมมุติให้พระพิมลธรรม แล้วตั้งยัติทุติยกรรมวาจาจบลง เสด็จทรงทอดผ้าไตรที่ภูษาโยงซึ่งต่อมาแต่พระเจดีย์ซึ่งทรงพระอัฐิกรมสมเด็จพระปรมานุชิต ๑๐ ไตร พระมงคลเทพมุนีกับพระครูฐานานุกรมในพระอัฐิ ๑๐ รูป สดับปกรณ์แล้วทรงประเคนไตรปี พระราชาคณะ ๒ ฐานานุกรมเปรียญ ๑๓ รูป หม่อมเจ้าสามเณรและสามเณรเปรียญไตรปี ๓ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานพระกฐิน โปรดให้กรมขุนเจริญผลภูลสวัสดิถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาอติเรก พระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับทรงพระราชยาน เสด็จโดยกระบวนไปประทับวัดราชบุรณที่ ๒ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการนายรองสนิททูลรายงาน ๒๐๗ รูป ทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์รับแล้วอัปโลกนกรรมสมมุติให้พระธรรมไตรโลกาจารย์แล้วสวตยัติทุติยกรรมวาจาจบลงเสด็จทรงประเคนผ้าไตรปีพระราชาคณะ ๑ ฐานานุกรมเปรียญพระช่างเขียนรวม ๑๔ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานกฐิน โปรดให้กรมหมื่นภูธเรศถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา เสด็จพระราชดำเนินกลับ ทรงพระราชยานไปประทับวัดราชบพิธที่ ๓ เสด็จประทับในพระอุโบสถทรงนมัสการ นายพิจิตรทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษาในพระอาราม ๓๕ รูป แล้วทรงถวายผ้าพระกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนกรรมสมมุติถวายหม่อมเจ้าพระอรุณซึ่งเป็นประธานสงฆ์ แล้วตั้งยัติทุติยกรรมวาจาจบลง เสด็จทรงประเคนไตรปี หม่อมเจ้าพระเปรียญ ๑ ฐานานุกรมเปรียญ ๓ พระสงฆ์ครองผ้าแล้วโปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่ถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาในกาลทาน เสด็จพระราชดำเนินทรงพระราชยานโดยกระบวนหน้าหลังเป็นขนัด ไปประทับวัดสุทัศน์เทพวรารามเป็นที่ ๔ เสด็จเข้าสู่พระวิหารพระศรีสากยมุนีทรงจุดเทียนนมัสการ ในขณะนั้นเถรานุเถระและพระสงฆ์ทั้งปวงพร้อมกันในวิหาร เพื่อรับพระกฐินด้วยพระอุโบสถชำรุด จะรับกฐินที่นั้นไม่ได้ แล้วนายพินัยราชกิจทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๒๑๐ รูป แล้วทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์รับแล้วอัปโลกนกรรมสมมุติให้พระยาธรรมวโรดมผู้เป็นอธิบดีสงฆ์ แล้วทรงประเคนไตรปีฐานานุกรมเปรียญ ๑๒ รูป แล้วโปรดให้กรมหมื่นศิริธัชสังกาศถวายบริขาร ด้วยไม่ได้ตั้งยัติทุติยกรรมวาจาเพราะเป็นนอกสีมาพระอุโบสถ พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาด้วยกาลทานวิธี เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ เสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง

วันนี้พระบรมวงศานุวงศ์ทรงฉลองพระองค์เยียรบับบ้าง เครื่องจักรีบรมราชวงศ์บ้าง ข้าราชการฝ่ายพลเรือนสวมเสื้อเยียรบับเข้มขาบ ฝ่ายทหารและตำรวจแต่งตัวเต็มยศของกรมนั้น ๆ

วันพฤหัสบดี แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาบ่ายโมงเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องอย่างเวลาวานนี้ เสด็จออกทางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงพระราชยานลงไปประทับท่าราชวรดิตถ์ เสด็จลงทรงเรือพระที่นั่งทรง เรือพระที่นั่งเพชรรัตนดารารายเป็นที่นั่งรอง เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ ทรงผ้าไตรพร้อมไปด้วยกระบวนเรือดั้ง กัน แซงนำตามเสด็จเป็นกระบวนไป ประทับท่าฉนวนวัดอรุณราชวราราม เสด็จขึ้นทรงพระราชยานไปประทับหน้าพระอุโบสถ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการ นายกวดทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษาในพระอาราม ๑๐๙ รูป ทรงถวายจีวรกฐินพระสงฆ์รับแล้วอัปโลกนและสมมุติให้พระสากยบุตรซึ่งเป็นผู้มีพรรษากว่าพระสงฆ์ทั้งปวง ตั้งยัติทุติยกรรมวาจาจบลง เสด็จทรงประเคน ไตรปีพระราชาคณะ ๑ ฐานานุกรมเปรียญ ๑๐ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานกฐิน โปรดให้กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ประเคนบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา แล้วเสด็จกลับเรือพระที่นั่ง เสด็จโดยกระบวนไปประทับฉนวนวัดกัลยาณมิตรเป็นที่ ๒ เสด็จทรงพระราชยานไปประทับหน้าพระวิหาร เสด็จพระราชดำเนินเข้าพระอุโบสถทรงนมัสการ นายเล่ห์อาวุธทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๘๗ รูป แล้วทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์รับแล้วอัปโลกนสมมุติให้พระปริยติบัณฑิตย์ ผู้เป็นอาวุโสกว่าพระสงฆ์ทั้งปวงสวดยัติทุติยกรรมวาจาจบลง เสด็จทรงประเคนไตรปีฐานานุกรม ๗ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานกฐิน โปรดให้กรมหลวงเทวะวงศ์ถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาในกาลทานสมัย แล้วเสด็จไปประทับพระวิหาร ทรงนมัสการพระ แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับประทับเรือพระที่นั่ง เสด็จโดยกระบวนเข้าคลองบางกอกใหญ่ไปประทับท่าวัดหงสาราม เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการ นายพลพันทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษาในพระอาราม ๗๘ รูปแล้วทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้พระประสิทธิศีลคุณผู้เป็นประธานสงฆ์ แล้วสวดยัติทุติยกรรมวาจาจบลง เสด็จทรงประเคนไตรปีฐานานุกรมเปรียญ ๖ รูป ทรงสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานกฐิน โปรดให้กรมหมื่นพิศาลบวรศักดิถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา เสด็จกลับทรงเรือพระที่นั่ง เสด็จโดยกระบวนไปประทับฉนวนหน้าหน้าวัดราชสิทธาราม เสด็จเข้าพระอุโบสถ ทรงนมัสการ นายพิจิตรทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๑๐๙ รูป แล้วทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้พระอมรเมอาจารย์ผู้เป็นประธานสงฆ์แล้วยัติทุติยกรรมวาจาจบลง ทรงประเคนไตรปีฐานานุกรมเปรียญ ๗ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานกฐินโปรดให้พระองค์เจ้าไชยานุชิตถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาแล้วเสด็จกลับทรงเรือพระที่นั่งเสด็จโดยกระบวนมาประทับท่าราชวรดิตถ์ เสด็จเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ.

วันศุกร์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาบ่ายโมงเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องอย่างเวลาวานนี้ เสด็จออกทางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงพระราชยานลงไปประทับท่าราชวรดิตถ์ เสด็จลงทรงเรือพระที่นั่งศรีสง่างามกระบวนเป็นที่นั่งทรง เรือพระที่นั่งสวัสดิชิงไชยเป็นพระที่นั่งรอง เรือศรีประภัศรไชยทรงผ้าไตร เสด็จโดยชลมารคพร้อมด้วยเรือกระบวนน้อยใหญ่ไปประทับท่าฉนวนวัดประยูรวงศาราม เสด็จขึ้นทรงพระราชยานพร้อมด้วยกระบวนราบไปประทับหน้าวัดประยูรวงศารามเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่พระอุโบสถ ทรงนมัสการ นายกวดทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๑๗๔ รูป แล้วทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้พระธรรมพานพิลาศ ตังยัติทุติยกรรมวาจาจบลง เสด็จทรงประเคนไตรปีพระครฐานานุกรมเปรียญ ๙ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานกฐิน โปรดให้เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาด้วยกาลทานกถา แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับประทับศาลาพรินทปริยัติซึ่งพระยาภาสกรวงศ์สร้างขึ้นเป็นที่บอกปริยัติธรรม ทอดพระเนตรเครื่องด้ายพรมไหมพรมต่าง ๆ ที่เป็นของนักเรียนผู้หญิงในโรงเรียนฝึกสอนร้อยปักเย็บกรองของท่านผู้หญิงเปลี่ยนทำมาถวายฝีมือ ทรงซื้อของเหล่านั้นเป็นอันมาก แล้วเสด็จไปทอดพระเนตรเขาอยู่จนเวลาบ่าย ๓ โมง เสด็จกลับทรงพระราชยานเสด็จทรงพระราชดำเนินโดยกระบวนราบ เสด็จไปประทับวัดพิชัยญาติกายาราม เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถ ทรงนมัสการ นายรองเล่ห์อาวุธทูลรายงาน พระสงฆ์จำพรรษา ๖๘ รูป ทรงถวายผ้าพระกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้พระอริยกระวีผู้มีคุณวุฒปรีชากว่าพระสงฆ์ทั้งปวงตั้งยัติทุติยกรรมวาจาจบลง เสด็จทรงประเคนไตรปีพระครูฐานานุกรมเปรียญ ๖ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วโปรดให้พระยาอิศรานุภาพถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาด้วยกาลทานวิธี แล้วโปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเสด็จไปทรงทอดพระกฐินวัดอนงคาราม ซึ่งกำหนดว่าเป็นที่ ๓ ที่จะได้เสด็จพระราชดำเนินแต่เป็นเวลาเย็นแล้วจึงไม่เสด็จพระราชดำเนิน แล้วเสด็จกลับเรือพระที่นั่ง เสด็จโดยกระบวนไปประทับท่าฉนวนวัดบพิตรพิมุขเป็นที่ ๓ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการ แล้วนายรองพิจิตรทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๘๐ รูป ทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้พระโพธิวงษาจารย์ และตั้งยัติทุติยกรรมวาจาจบลง เสด็จทรงประเคนไตรปีฐานานุกรมเปรียญ ๖ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานกฐิน โปรดให้พระองค์เจ้าวรวรรณาถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา เสด็จกลับประทับเรือพระที่นั่ง เสด็จกลับพระบรมมหาราชวังเวลาบ่าย ๕ โมงเศษ

วันเสาร์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาบ่าย ๒ โมงเศษ ทรงเครื่องอย่างวันห้าค่ำ เสด็จทรงเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เรือพระที่นั่งเพชรรัตนดารารายเป็นเรือพระที่นั่งรอง เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ทรงผ้าไตร เรือครุฑเหินระเห็จครุฑเตร็จไตรจักรเป็นคู่ชัก เสด็จพระราชดำเนินแต่ท่าราชวรดิตถ์ โดยเรือกระบวนน้อยใหญ่ไปเข้าคลองผดุงเกษมข้างใต้ ประทับท่าฉนวนวัดมหาพฤฒาราม เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการ แล้วทรงชักสายรอกที่โยงฉัตรโหมด ๕ ชั้น ขึ้นกั้นพระประธานในพระอุโบสถ ขณะนั้นพระสงฆ์สวดชัยมงคลพร้อมกัน เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์พิณพาทย์กลองแขกตามธรรมเนียม ครั้นยกฉัตรแล้วนายสนองทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๔๖ รูป ทรงถวายจิวรกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้/*พระครูธรรมาภิรัตสวดยัติทุติยกรรมวาจาจบลง เสด็จทรงประเคนไตรปีฐานานุกรมเปรียญ ๔ รูป พระสงฆ์ครองผ้ากรานกฐิน โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาในกาลทาน แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปประทับพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ ทรงสักการบูชา แล้วเสด็จกลับประทับเรือพระที่นั่ง เสด็จโดยกระบวนไปประทับท่าฉนวนวัดเทพศิรินทราวาส ทรงจุดเทียนนมัสการ นายชิตทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๕๓ รูป ทรงถวายผ้าพระกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้พระอริยมุนีผู้มีคุณวุฒิปรีชากว่าพระสงฆ์ทั้งปวง สวดยัติทุติยกรรมวาจาจบลง เสด็จทรงประเคน ไตรปี หม่อมเจ้าพระ ๑ พระครูฐานานุกรมเปรียญ ๘ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานกฐิน โปรดให้สมเด็จกรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดชถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาแล้วเสด็จกลับประทับเรือพระที่นั่งเสด็จโดยกระบวนไปประทับท่าฉนวนวัดโสมนัสวิหาร เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการ นายพินัยทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๘๖ รูป ทรงถวายผ้าพระกฐิน พระสงฆ์อปโลกนกรรมสมมุติถวายสมเด็จพระวันรัตนซึ่งเป็นพระมหาเถรและเป็นผู้ทรงคุณปรีชากว่าพระสงฆ์ทั้งหลาย ตั้งยัติทุติยกรรมวาจาจบลง เสด็จทรงประเคนไตรปีแด่พระราชาคณะ ๓ ฐานานุกรมเปรียญ ๑๖ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วโปรดให้พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาด้วยกาลทานแล้วเสด็จกลับประทับเรือพระที่นั่ง เสด็จโดยกระบวนสู่พระบรมมหาราชวังเวลาบ่าย ๕ โมงเศษ วันนี้เจ้านายข้าราชการแต่งพระองค์และแต่งตัวเหมือนวันห้าค่ำ

วันอาทิตย์ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาบ่าย ๒ โมงเศษ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงเรือพระที่นั่งกราบประจำทวีปเป็นพระที่นั่งทรง เรือพระที่นั่งสุดสายตาเป็นพระที่นั่งรอง เรือศรีสมรรถไชยทรงผ้าไตร เสด็จพระราชดำเนินจากท่าราชวรดิตถ์ โดยเรือกระบวนใหญ่น้อยไปประทับท่าฉนวนวัดคฤหบดีอาวาสเป็นที่ ๑ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการ นายพินัยทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๑๖ รูป ทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้พระกระวีวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณปรีชา แล้วตั้งยัติทุติยกรรมวาจาจบลง เสด็จทรงประเคนไตรปีฐานานุกรม ๓ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานกฐิน โปรดให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาแล้ว เสด็จลงทรงเรือพระที่นั่งเสด็จโดยกระบวนไปประทับท่าฉนวนวัดบวรมงคลเป็นที่ ๒ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถ ทรงจุดเทียนนมัสการ นายชิตทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๒๔ รูป แล้วทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้พระอริยธัชะซึ่งเป็นผู้มีพรรษากว่าพระสงฆ์ทั้งปวง ตั้งยัติทุติยกรรมวาจาจบลงแล้ว เสด็จทรงประเคนไตรปี ฐานานุกรม ๔ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานกฐิน โปรดให้พระองค์เจ้าจันทรทัตจุธาธารถวายบริขารพระสงฆ์ถวายอนุโมทนา เสด็จกลับทรงเรือพระที่นั่งเสด็จโดยกระบวน ไปประทับท่าฉนวนวัดราชาธิวาสเป็นที่ ๓ ทรงจุดเทียนนมัสการ นายพินัยทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๗๐ รูปทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้พระปลัดนิน ผู้ครองอาวาสสวดยัติทุติยกรรมวาจาแล้ว ทรงประเคนไตรปีฐานานุกรม ๓ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานกฐิน พระองค์เจ้าชัยยันต์มงคลถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาในกาลทานวิธี แล้วทรงพระราชดำริที่จะให้พระศรีวิสุทธิวงศ์ และพระสงฆ์ธรรมยุติกามาอยู่ในพระอารามนี้ แล้วเสด็จไปประทับที่พระตำหนักเดิมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรอยู่ครู่หนึ่งเสด็จกลับประทับเรือพระที่นั่ง เสด็จโดยกระบวนไปประทับท่าฉนวนวัดส้มเกลี้ยงเป็นที่ ๔ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการ นายรองชิตทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๑๕ รูป ทรงถวายผ้าพระกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้พระครูพัทธิธรรมธาดาสวดยัติทุติยกรรมวาจาจบลง ทรงประเคนไตรปีฐานานุกรม ๒ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วโปรดให้กรมหมื่นสถิตถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา เสด็จกลับทรงเรือพระที่นั่งเข้าสู่พระบรมมหาราชวังเวลาเกือบค่ำ

วันจันทร์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาบ่าย ๑ โมงเศษ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงเรือพระที่นั่งรัตนดิลก เรือพระที่นั่งบุษบกพิศาลเป็นที่นั่งรอง เรือพระที่นั่งศรีสุนทรไชยทรงผ้าไตร เสด็จจากท่าราชวรดิตถ์เป็นกระบวนไปประทับท่าฉนวนวัดเวฬุราชิณที่ ๑ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการ นายกวดทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๓๑ รูป ทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้พระครูเทพสิทธิเทพาธิบดีผู้เป็นประธานสงฆ์ สวดยัติทุติยกรรม แล้วทรงประเคนไตรปีฐานานุกรม ๒ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานกฐิน โปรดให้พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา แล้วเสด็จกลับไปประทับวัดหนังเป็นที่ ๒ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถ ทรงนมัสการ นายเล่ห์อาวุธทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๖ รูป ทรงพระราชดำริพระราชกระวีว่ามีพระสงฆ์น้อย แล้วทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์อัษโลกนสมมติให้พระราชกระวีผู้เป็นประธานสงฆ์ สวดยัติทุติยกรรมแล้วทรงประเคนไตรปีฐานานุกรม ๓ รูป พระสงฆ์ครองผ้ากรานกฐิน โปรดให้สมเด็จกรมพระภาณุพันธุวงศ์ถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา แล้วเสด็จกลับไปประทับวัดราชโอรสเป็นที่ ๓ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการ นายพลพันทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๖๒ รูป ทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้พระปลัด แล้วสวดยัติทุติยกรรมจบลง ทรงประเคนไตรปีฐานานุกรม ๔ รูป กับโปรดให้เจ้าพนักงานนำผ้าไตรปีถวายแก่พระสังฆวรวิมล เป็นเจ้าอาวาสซึ่งชราภาพลงมาครองกฐินไม่ได้ พระสงฆ์ครองผ้ากรานกฐิน โปรดให้กรมขุนเจริญถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา แล้วเสด็จประทับพระวิหารนมัสการพระพุทธไสยาสน์ แล้วเสด็จมาประทับที่ต้นพิกุลทรงบูชาตามธรรมเนียมแล้วเสด็จลงเรือพระที่นั่งกลับโดยกระบวน เวลาย่ำค่ำเศษถึงพระบรมมหาราชวัง

วันอังคาร แรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๑ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘

เวลาบ่าย ๒ โมงเศษ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงเรือพระที่นั่งทวยเทพถวายกร เรือพระที่นั่งบุษบกพิศาลเป็นที่นั่งรอง เรือศรีสมรรถไชยทรงผ้าไตร เสด็จแต่ท่าราชวรดิตถ์โดยกระบวนเรือน้อยใหญ่ไปเข้าคลองป้อมพระสุเมรุ ไปประทับวัดสังเวชวิศยารามที่ ๑ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการ นายกวดทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๙๒ รูป ทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้หม่อมราชวงศ์พระครูราชพันธุ์ประพัทธ์ แล้วยัติทุติยกรรมจบลง เสด็จทรงประเคนไตรปีฐานานุกรม ๒ รูป ครองผ้าแล้วกรานกฐิน โปรดให้กรมหมื่นพิศาลถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา แล้วเสด็จกลับทรงเรือพระที่นั่งไปประทับวัดสระเกศที่ ๒ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการ นายรองเล่ห์อาวุธทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๒๓๗ รูป ทรงถวายจีวรกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้พระวินัยยานุกูลเถรสวดยัติทุติยกรรมจบแล้ว ทรงพระเคนไตรปีพระครูฐานานุกรมเปรียญ ๑๑ รูป กับพระราชทานไตรปีพระจุ่น ปลัด “ซึ่งเป็นผู้อุปการแก่พระอาราม พระสงฆ์ครองผ้าแล้วกรานกฐิน โปรดให้พระองค์เจ้าจรูญถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา เสด็จกลับทรงเรือพระที่นั่งไปประทับวัดบรมนิวาศเป็นที่ ๓ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงจุดเทียนนมัสการ นายพินัยทูลรายงานพระสงฆ์จำพรรษา ๒๘ รูป ทรงถวายผ้าพระกฐิน พระสงฆ์อัปโลกนสมมุติให้พระเทพโมฬีซึ่งเป็นประธานสงฆ์ และสวดยัติทุติยกรรมจบลง เสด็จทรงประเคนไตรปีฐานานุกรมเปรียญ ๕ รูป พระสงฆ์ครองผ้าแล้วโปรดให้กรมหมื่นศิริธัชถวายบริขาร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา แล้วเสด็จกลับทรงลงเรือพระที่นั่งเสด็จโดยกระบวนสู่พระบรมมหาราชวังเวลาบ่าย ๕ โมงเศษ

  1. ๑. ละครสัตว์

  2. ๒. ต้นฉบับค้างไว้เพียงนี้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ