บทที่ ๒๒

ต่อมาสองสามวัน ข้าพเจ้าได้รับโทรเลขจากมาเรีย เกรย์ แจ้งมาจากกรุงมาดริด ประเทศสเปนว่า หล่อนจะมาถึงเมืองอังกฤษ วันพุธ รถไฟจะมาถึงสถานีวิกตอเรียเวลา ๑๖ นาฬิกา ถึงวันและเวลาที่กำหนด ข้าพเจ้าไปรับหล่อน ในตำแหน่งผู้แทนหนังสือพิมพ์ มาเรียแม่เพื่อนคู่รักคู่ชีวิตของข้าพเจ้า ต้องเดินทางไปในที่ต่างๆ เสมอ หน้าที่มักจะพรากเราทั้งสองให้ไปคนละทิศละทาง อาทิตย์ หนึ่งหรือสองอาทิตย์ หรือบางทีก็ตั้งเดือน เราจึงจะได้มีโอกาสพบกันครั้งหนึ่ง สนุกสนานกันไปชั่วเวลาห้าหกวันแล้วก็จากกันอีก แม้จะเป็นผู้แทนหนังสือพิมพ์ด้วยกัน หน้าที่ของมาเรียและข้าพเจ้าก็ต่างกันไปคนละอย่าง เราทำกิจการคนละแผนก โปรแกรมของการเดินทางไปเที่ยวเขียนข่าวของเราจึงน้อยวันนักที่จะตรงกันได้ มีบางคราวที่เราได้มีโอกาสพบกันบ้าง ในประเทศต่างๆ ที่เราเที่ยวไป แต่ก็เป็นการบังเอิญทั้งสิ้น

พอพบหล่อนขณะที่ลงจากรถไฟ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการเดินทางที่แล้วมาคราวนี้ ทำให้มาเรียของข้าพเจ้าซูบซีด เหน็ดเหนื่อยมาก

“แหม บอบบี้ฉันเกือบตายแล้ว” หล่อนกล่าว ขณะที่จับมือกับข้าพเจ้า “ต้องเดินทางไม่รู้จักหยุดจักหย่อน”

“มาเรีย” ข้าพเจ้าตอบ “เธอซูบซีดเหลือเกิน การเดินทางมากๆ เช่นนี้ ไม่ดีสำหรับเธอแน่นอน”

ขณะที่นั่งมาในรถยนต์เช่า จะไปส่งหล่อนที่บ้านตำบลไนตส์บริดจ์ ข้าพเจ้าเล่าให้มาเรียฟังถึงเรื่องพระองค์เจ้าวรประพันธ์และไอรีนตั้งแต่ต้นจนอวสาน

“เธอไม่รู้ไม่ใช่หรือ บอบบี้” มาเรียพูดเมื่อนิ่งฟังมาแล้วจนจบ “ว่าพ่อฉันเป็นคนอังกฤษ แม่ฉันเป็นอิตาเลียน เพราะฉะนั้น ในเรื่องผิวเหลืองหรือผิวขาวของเธอนี่ เธอคงจะเชื่อในความเห็นของฉันว่าไม่ลำเอียงไปทางคนอังกฤษ ฉันรักแม่ฉันมาก”

“ฉันไม่เคยไม่เชื่อในสิ่งใดที่เธอพูด มาเรีย”

“ในการที่ไอรีนและฟีลิปพูดกันถึงเรื่องเน็ด ฉันไม่เห็นควรที่เน็ดหรือเธอจะถือเอาเป็นเรื่องจริงจังอะไร ฟีลิปต้องการจะแย่งไอรีนจากเน็ด ไอรีนอยากแต่งงาน เมื่อมีคนมาขวางทางอยู่ก็พยายามจะกีดกันไปเสียให้พ้นเท่านั้น และเมื่อผู้ที่ขวางทางเป็นคนผิวเหลืองก็ยิ่งเป็นโอกาสของเขาใหญ่ เธอหรือเน็ดอาจเป็นคนผิวเหลืองหรือค่อนข้างดำ แต่ใจของเธอทั้งสองขาวบริสุทธิ์ ฟีลิปและไอรีนผิวขาว แต่เธอก็รู้อยู่แล้วว่าใจเขาเป็นอย่างไร ดำไม่ผิดอะไรกับสีหมึก ส่วนเรื่องเจ้าหญิงอรุยา ฉันรู้สึกสงสารแกมาก ถ้าเกิดเป็นผู้ชาย ฉันเชื่อว่าอรุยาคงจะทำประโยชน์ให้แก่อินเดียบ้างเป็นแน่ ข้อที่ร้ายที่สุดก็คือ อินเดียไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีฐานะเป็นมนุษย์เสียเลย แล้วก็ไม่รู้สึกเอาเสียเลยว่า พวกผู้ชายนั้นเลวกว่าผู้หญิงหลายเท่านัก” หล่อนพูดแล้วหัวเราะ

“เธอหมายความว่าพวกผู้ชายอินเดียน?” ข้าพเจ้าถาม

“แน่นอน” หล่อนพูดแล้วยิ้มเป็นเชิงสัพยอกพลางจับมือข้าพเจ้ามาบีบในมือทั้งสองของหล่อน “แต่ก็ไม่แน่นัก ฉันอาจพูดสำหร้บผู้ชายทุกคนนอกจากเธอ”

ข้าพเจ้าจ้องดูสตรีคู่ชีวิต ด้วยความพิศวงเล็กน้อย มองมาสบตากับข้าพเจ้า เราต่างก็หัวเราะกันครืนใหญ่ จนคนขับรถต้องเหลียวมาดูครั้งหนึ่งว่า ผู้โดยสารมาในเก๋งข้างหลังจะเกิดเป็นบ้าขึ้นหรืออย่างไร

“ระหว่างเรา เธอยังไม่เคยรู้สึกถึงเรื่องผิวเหลืองหรือผิวขาวเลยไม่ใช่หรือ มาเรีย?” ข้าพเจ้าถามเมื่อนิ่งไปแล้วครู่หนึ่ง

“เปล่า ไม่เคย บอบบี้...Darling” หล่อนตอบแล้วซบศีรษะลงบนบ่าข้าพเจ้า “แม่ฉันผิวเนื้อขาวกว่าเธอนิดหน่อยเท่านั้น นอกจากนี้ ฉัน...ฉันรักเธอยิ่งกว่าจะนึกถึงเรื่องบ้าๆ เช่นนั้น”

ข้าพเจ้าจับมือหล่อนขึ้นมาจุมพิตด้วยความรักอันสูงสุด แล้วหล่อนก็จูบข้าพเจ้าเบาๆ ที่แก้มครั้งหนึ่ง รถที่เรานั่งชะลอหยุดที่หน้าบ้านมาเรียและเลดีมอยรา ดันน์ ที่ตำบลไนตส์บริดจ์ ข้าพเจ้าจ้างคนขับให้ขนของขึ้นไว้บนบ้าน เสร็จแล้วให้เงินและปล่อยให้รถไป ตนเองยังคงอยู่ในบ้านกับมาเรีย เกรย์จนค่ำ

มาเรียมารออยู่ในลอนดอนได้ราวหนึ่งสัปดาห์ มิสเตอร์ยอน แอลลิสัน สตีลส์ ก็จัดให้มีการต้อนรับที่บ้าน “บลูพีเตอร์” ขึ้นอีก ครั้งนี้ท่านเจ้าของจัดทำอย่างเงียบ กินเวลาสามวันเท่านั้น การต้อนรับผิดกว่าครั้งที่แล้วมา เพราะขาดคนไปหลายคน พระองค์เจ้าวรประพันธ์เสด็จมาจากออกซฟอร์ดไม่ได้ ไอรีนไปอยู่กับสามีที่ประเทศอียิปต์ เจ้าหญิงอรุยาเสด็จอยู่เสียที่เมืองแพนตันทางภาคเดวอนเชียร์แห่งประเทศอังกฤษ พวกแขกที่ไปในงานนี้มีวงศ์ญาติของนายร้อยเอกเจอร์โรม ฟีลิปสองคน พวกหนังสือพิมพ์สี่คน คือ เลดีมอยรา มาเรีย อาร์โนลด์ และข้าพเจ้า ส่วนพวกเจ้าของบ้านก็มีมิสเตอร์สตีลส์และภรรยา และฟรีดาบุตรสาวคนใหญ่รวมสามคน เดินเล่นในสวนดอกไม้ข้างตึกคืนวันหนึ่งกับมาเรีย ข้าพเจ้าหวนนึกไปถึงคืนที่พระองค์เจ้าวรประพันธ์และไอรีนนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวสองต่อสองข้างซุ้มไม้ใหญ่หมู่หนึ่ง รู้สึกเหมือนว่าคืนวันนั้นได้สูญสิ้นไปพร้อมกับไอรีนได้ไปจากพวกเราทั้งหมด...ไปกับฟีลิป ไปอยู่อียิปต์

ข้าพเจ้าพามาเรียมานั่ง ณ ที่นี้ นั่งบนเก้าอี้ยาวซึ่งพระองค์ชายเคยประทับกับไอรีน เราอยู่กันสองคนในท่ามกลางความเงียบสงบสุข คืนนั้นเดือนมืด แต่มีดวงไฟคู่หนึ่งส่องแสงมายังที่ที่เรานั่งทางเบื้องหลัง ข้าพเจ้ายังคงจำภาพของสตรีคู่ชีวิตของข้าพเจ้าผู้นี้ได้ดี สตรีคนเดียวที่รักข้าพเจ้าอย่างคู่รัก...อย่างเพื่อน รักด้วยความรัก อันหอมหวานบริสุทธิ์เตรียมพร้อมที่จะอุทิศและความสละสุขสบาย ทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อความรักของเราจะได้บรรลุลึงจุดแห่งความเจริญในความเป็นอยู่ของเราในภายหน้า

“เธอเป็นคนแปลกมากนะบอบบี้” หล่อนกล่าว “เป็นคนใจแข็งที่สุดคนหนึ่งที่ฉันได้พบมา เธอไม่เคยคิดเลยจริงๆ หรือว่าเราอาจมีโอกาสได้แต่งงานกัน”

“ไม่เคยคิด มาเรีย” ข้าพเจ้าตอบแล้วสั่นศีรษะเพื่อประกอบคำพูดให้แน่นแฟ้น “ฉันเป็นคนไทยที่จนจะเป็นผู้แทนหนังสือพิมพ์อยู่เสมอไปไม่ได้ ถ้าแต่งงานกับเธอฉันจะหาความสุขให้เธอไม่ได้ ตลอดชีวิตของฉัน ฉันเคยรู้จักความรักแต่เพียงว่า ฉันจะต้องเป็นฝ่ายที่สละและอุทิศเสมอไป นอกจากนี้ฉันยังเป็นคนที่ทะเยอทะยาน ถ้าแต่งงานกับผู้หญิงคนใด ฉันก็ต้องการให้หล่อนอยู่ในวิมานแห่ง ความสุขที่หล่อนต้องประสงค์”

“เมื่อเธอไปอยู่เสียที่เมืองไทยแล้วนานๆ ฉันอาจแต่งงานมีเหย้ามีเรือนไป และสิ่งเหล่านั้นจะทำให้ความรักของเธอเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม?” หล่อนถาม

“ไม่เปลี่ยน มาเรีย” ข้าพเจ้าตอบ “ความรักของเราไม่เหมือนคนอื่น เรารู้จักและเข้าใจกันดีเป็นอย่างยิ่ง ความรักของเราไม่มีวันตาย สำหรับฉันก็เหมือนกันยอดรัก เมื่อไปอยู่เมืองไทยนานๆ ฉันอาจมีฐานะดีพอที่จะแต่งงานกับผู้หญิงไทยคนใดคนหนึ่งก็ได้”

“แล้วฉันก็ยังคงรักเธออยู่เช่นนี้ บอบบี้” หล่อนพูดแล้วยิ้ม “ฉันจะรักภรรยาของเธออย่างเดียวกับน้องสาวที่รักยิ่งของฉันทีเดียว”

“มาเรีย ฉันไม่เชื่อว่าจะมีผู้หญิงที่ไหนอีกในโลกที่ใจดีเหมือนเธอ” พูดแล้วข้าพเจ้าตระกองกอดหล่อนไว้ในวงแขน แล้วจุมพิตหล่อนเสียจนพอใจ “ฉันเคยคิดว่า ศาสนาในโลกนี้มีความหมายแต่เพียงว่าจะให้มนุษย์เป็นคนใจดี ช่วยให้พ้นจากความดุร้ายของสัตว์เดียรัจฉาน วิทยาต่างๆ ที่เราได้เรียนมา ได้พิสูจน์ให้เป็นที่รู้แน่แล้วว่า เรื่องโลกนี้และโลกหน้าในศาสนานั้นเป็นแต่เพียงนิทาน ฉันไม่เคยเชื่อเลยจนกระทั่งบัดนี้ ในโลกหน้าฉันจะวิงวอนพระผู้เป็นเจ้า ให้ทรงบันดาลให้เราไปเกิดร่วมโลก...และร่วมชาติกัน เราจะได้มีโอกาสพบกัน รักกันและแต่งงานกันได้ ฉันรักเธอ มาเรีย และต้องการเธอที่สุด”

“ฉันเชื่อในเรื่องตายแล้วเกิดใหม่...เชื่อในโลกหน้า เราจะไปเกิดร่วมโลก ร่วมชาติ เราจะแต่งงานกันแน่นอน บอบบี้ เราต้องเชื่อ...เชื่อมั่นทีเดียว”

เรานิ่งกันอยู่สักครู่ ข้าพเจ้าจึงเอ่ยขึ้นว่า “ฉันแน่ใจทีเดียวว่า เธอจะแต่งงานก่อนฉันนาน”

“ทำไมเธอจึงเชื่อเช่นนั้น?” หล่อนถาม

“เรื่องการแต่งงานฉันเป็นคนคิดมาก” ข้าพเจ้าตอบ “ไปเมืองไทยคนอย่างฉันจะหากินยาก ฉันจนไม่มีทุนไม่มีบ้านจะอยู่ที่เรียกได้ว่าเป็นของตัวเอง ฉันไม่ต้องการให้ผู้หญิงเขามาร่วมทุกข์...ร่วมความลำบากยากแค้นและความไม่แน่นอนกับฉันเป็นอันขาด”

เรานั่งกันอยู่จนดึก...เรารักกัน โลกกำลังนอนหลับอยู่ภายใต้อำนาจความรู้สึก อันเต็มไปด้วยความสุข และความรักของมาเรีย เกรย์ และข้าพเจ้าวิสูตร ศุภลักษณ์ ณ อยุธยา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ