บทที่ ๑๐

ข้าพเจ้าได้พบพระองค์เจ้าวรประพันธ์เป็นครั้งแรกที่สถานทูตในกรุงลอนดอน เมื่อปีเศษมานี้ คุยกันเพียงครึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าต้องทูลลากลับไปทำงานที่โรงพิมพ์ไทมส์ ที่ถนนฟลีตสตรีต ตั้งแต่นั้นเราก็ไม่ได้พบกันอีกเลย จนถึงคราวที่มาในการต้อนร้บของมิสเตอร์สตีลส์ที่บ้าน “บลูพีเตอร์” พระองค์เจ้าวรประพันธ์ แม้จะเป็นผู้ที่มีนิสัยชื่นบาน ชอบพูดชอบสนุกก็เป็นคนอย่างที่เรียกว่า น้ำนิ่งไหลลึก รู้จักยาก ถือพระองค์พอสมกับฐานะ มาอยู่ในประเทศอังกฤษตั้งแต่พระชนม์ได้ ๑๔ ปี ขณะที่เราพบกันที่บ้าน “บลูพีเตอร์” พระองค์เจ้าวรประพันธ์พระชนม์ได้ ๒๓ ปี ได้เคยอยู่ในครอบครัวของชาวอังกฤษ อยู่ที่โรงเรียน “พับลิกสกูลส์” และอยู่ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดได้รับการอบรมเช่นเดียวกับชาวอังกฤษชั้นสูงทั้งหลาย

ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าพระองค์เจ้าวรประพันธ์ทรงรู้จักพวกตระกูล “สตีลส์” มาตั้งแต่เมื่อไร แต่พอจะสันนิษฐานได้ว่าทรงรู้จักมานานพอที่จะถือเอาบ้าน “บลูพีเตอร์” ของตระกูล “สตีลส์” เป็น “วัง” ของท่านได้ ทุกคราวที่โรงเรียนหยุดเทอม ท่านไม่เคยเสด็จไปที่อื่นเลย นอกจากบ้านนี้ ไอรีนเป็นชนวนอันสำคัญ ข้อนั้นไม่มีปัญหา

ตั้งแต่แรกที่ได้พบพระองค์เจัาวรประพันธ์ที่บ้าน “บลูพีเตอร์” ข้าพเจ้าได้พยายามเข้าใจความเป็นอยู่ระหว่างพระองค์ชายพระองค์นี้กับพวก “สตีลส์” อย่างเอาใจใส่จริงๆ ทำไมมิสเตอร์สตีลส์จึงไม่มีความตะขิดตะขวงใจบ้าง ในการที่ได้ให้อิสระแก่พระองค์เจ้าวรประพันธ์และไอรีนมากเกินไปนัก ใครๆ ก็ย่อมจะเห็นได้โดยง่ายว่า คนทั้งสองนี้ไม่ใช่เพื่อนกัน แต่เป็นคู่รักคู่รักที่เกือบจะกล่าวได้โดยแน่นอนว่า จะต้องลงเอยกันในที่สุด โดยวิธีแต่งงานร่วมหอกันตามประเพณีนิยม ผิวเหลืองและผิวขาว เมืองไทยและเมืองฝรั่งจะต้องเป็นปัญหาที่เลิกคิดฝัน ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ผลของการวิวาห์ อันอาจปรากฏขึ้นได้ในอนาคต ข้าพเจ้าไม่สมัครที่จะพยากรณ์ เพราะข้าพเจ้าไม่รู้จักพระองค์เจ้าวรประพันธ์และไอรีนดีพอ

เช่นเดียวกับหัวหน้าของครอบครัวโดยมากในประเทศอังกฤษ มิสเตอร์ยอน แอลลิสัน สตีลส์ เป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในคุณความดีของบุตรและธิดาทุกคน แกให้ความอิสระแก่ไอรีน เพราะมีความเชื่อมั่นว่าธิดาของแกคนนี้ จะไม่เป็นผู้นำความเสื่อมเสียมาสู่ตระกูลเป็นแน่ แกปล่อยให้ไอรีนรู้จักชีวิตโดยวิธีค้นคว้าของตนเอง เราจะเรียนรู้เรื่องชีวิตได้ดีโดยเรียนไปรู้ไป ไม่ใช่โดยวิธีที่ถูกนั่งสั่งสอนกัน ทุกวี่ทุกวันจนปากเปียกปากแฉะ ไอรีนโตพอที่จะหาแสงสว่างได้ในที่มืดโดยพลของตน เมื่อรู้จักรักษาตัวได้และเมื่อได้พบและรู้จักชายในสมาคมที่ดีแล้ว ต่อไปภายหน้าเมื่อมีเหย้ามีเรือน ไอรีนจะเป็นผู้ที่ฉลาดพอที่จะให้ความสุขแก่ชายผู้จะมาเป็นสามีของหล่อนได้ ตั้งแต่หนุ่มสาวจนแก่ตลอดจนต่างก็ถือไม้เท้ายอดทอง หล่อนจะรู้จักเขาพอที่จะทำให้เขาแลเห็นหล่อนเป็นเทพธิดาของเขาเสมอไปก็ได้

มิสเตอร์สตีลส์ จะเป็นผู้มีความคิดอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเชื่อว่าแเกคงจะไม่อยากเห็นพระองค์เจ้าวรประพันธ์และไอรีน...ผิวเหลืองและผิวขาวแต่งงานกันเป็นแน่ แต่การที่ปล่อยให้คนทั้งสองนี้ไปไหนไปด้วยกัน อยู่ด้วยกันเสมอนั้น ก็คงเนื่องจากแกเชื่อมั่นว่า ไอรีนคงทราบดีว่าจะทำอย่างไรจึงจะถูก หล่อนอาจรักพระองค์ชาย ในทำนองเดียวกับหญิงสาวชายหนุ่ม แต่หล่อนอาจไม่ต้องการ แต่งงานกับพระองค์ชายก็ได้ เพราะหล่อนได้อ่านและได้ยินเรื่องการวิวาห์ระหว่างชาวตะวันออกและชาวตะวันตกมาบ้างแล้ว พระองค์เจ้าวรประพันธ์อาจทรงเข้าพระทัยความรักของไอรีนวันหนึ่ง และความรักนั้นอาจเป็นความจำเป็นอันนำมาซึ่งความผาสุกแก่พระองค์ชายในภายหน้า ขณะที่กลับไปเมืองไทย...ไปเป็นใหญ่เป็นโตที่นั่น ความรักของไอรีนเช่นนี้...มิสเตอร์สตีลส์คิดเป็นความรักที่เลิศที่สุดในโลก

ดังนั้นความรัก...หรือความเป็นมิตร ระหว่างชายหนุ่มชาวไทยและหญิงสาวชาวเทศ ก็คงดำเนินไปเรื่อยๆ โดยไม่มีอุปสรรคอันใดขัดขวาง อยู่ที่บ้าน “บลูพีเตอร์” นานวันเข้า ข้าพเจ้ายิ่งทราบความเป็นไประหว่างคู่รักทั้งสองนี้มากเข้าทุกวัน เข้าไปไหนไปด้วยกัน อยู่ในห้องรับแขกในบ้านด้วยกันสองต่อสองเสมอ วันหนึ่งจะมาร่วมสนุกสนานกับพวกเรา เพียงหนึ่งหรือสองชั่วโมงเท่านั้น

คืนวันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้าเตรียมตัวจะขึ้นเตียงนอนอยู่แล้ว พระองค์เจ้าวรประพันธ์เสด็จเข้ามาหา ข้าพเจ้าเชิญเสด็จให้ประทับบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งส่วนตนเองนั่งอยู่บนเตียง พระองค์ชายทรงเล่าถึงทุกข์สุขของพระองค์ท่านเอง แล้วเลยรับสั่งถึงความรัก ระหว่างมาเรีย เกรย์และข้าพเจ้า

“สิ่งที่ทำให้เราชอบพอรักใคร่สนิทสนมกันมากก็คืองานที่เราต้องทำร่วมกันเสมอเท่านั้น” ข้าพเจ้าทูลพระองค์ชาย “เราอาจรักกันอย่างคู่รัก แต่ไม่มีวันที่ฝ่าพระบาทจะได้ทรงเห็นเราแต่งงาน ร่วมเรียงเคียงหมอนกันเป็นอันขาด”

“ทำไม?” พระองค์ชายรับสั่งถาม “เธอก็ดูมั่งมีและเป็นอิสระดีพอใช้ จะแต่งงานกับมาเรียไม่ได้หรือ?”

“ในโอกาสที่เป็นผู้ส่งข่าวหนังสือพิมพ์” ข้าพเจ้าทูล “เราได้เที่ยวเห็นสิ่งต่างๆ มามาก...มากพอที่จะตกลงไว้แล้วว่า ถ้าแต่งงานกันเราคงจะไม่เป็นสุข”

“ทำไม?”

“เพราะมาเรียเป็นชาวอังกฤษ กระหม่อมเป็นคนไทย เราไม่เชื่อว่าเลือดของผิวขาวและผิวเหลืองจะผสมกันได้สนิทและเป็นสุขมากนัก”

พูดมาได้ถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้าชำเลืองดูพระองค์ชายและทราบได้ทันทีว่า สิ่งที่ทูลมาแล้วนั้นทำให้ไม่พอพระทัย

“ฉันคิดว่าเธอคงจะเป็นคนมีความคิดอย่างคนสมัยเก่าทั้งหลาย ที่เป็นอุปสรรคแก่ความเปลี่ยนแปลงหรือความศิวิไลซ์ของโลก” พระองค์ชายรับสั่ง ข้าพเจ้าสะดุ้ง

“เปล่า” ข้าพเจ้าทูลตอบไปโดยฉับพลัน “ฝ่าพระบาทเข้าพระทัยผิด กระหม่อมสนใจในความเปลี่ยนแปลงและความศิวิไลซ์ของโลกมากที่สุด และกระหม่อมชอบความเปลี่ยนแปลง”

“ฉันเชื่อว่าเธอคงจะตกใจหรือเสียใจ ถ้าฉันจะบอกเธอว่า ไอรีนกับฉันจะแต่งงานกันในเร็ว ๆ นี้” พระองค์ชายรับสั่งอย่างพื้น

“เปล่าเลย ฝ่าพระบาท” ข้าพเจ้าทูลยิ้ม ๆ “กระหม่อมไม่รู้สึกเสียใจหรือตกใจอะไรเลย ฝ่าพระบาทเป็นผู้มีทรัพย์และมีเกียรติ ความมังคั่งสมบูรณ์และเกียรติยศที่จะได้เป็นเจ้าหญิง อาจทำให้ไอรีนเป็นสุขอย่างที่สุดก็ได้ กระหม่อมเชื่อในเรื่องเงินคือแก้วสารพัดนึก ถ้ากระหม่อมมีเงินและมีเกียรติยศอย่างฝ่าพระบาท จะไม่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ มาห้ามไม่ให้กระหม่อมแต่งงานกับมาเรียได้”

พระองค์เจ้าวรประพันธ์ทรงพระสรวลก๊ากใหญ่ และทรงดำเนินมาเอาหัตถ์ตบหลังข้าพเจ้าเบาๆ รับสั่งว่า “วิสูตร เธอเป็นคนที่แปลกที่สุดและดีที่สุดคนหนึ่งเหมือนกัน” ตรัสแล้วชำเลือง พระเนตรขึ้นไปเห็นนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนเศษ พระองค์ชายรับสั่ง “แหมดึกจัง กันต้องไปนอนเสียที กู๊ดไนท์”

รับสั่งแล้วก็เสด็จออกจากห้องไป

เข้านอนคืนนั้น ข้าพเจ้าอดนึกไม่ได้ว่า พระองค์เจ้าวรประพันธ์และไอรีนจะสมรสกัน การที่ข้าพเจ้าได้ทูลพระองค์ชายไปว่า “ถ้ามีทรัพย์และเกียรติยศเหมือนพระองค์ท่านจะไม่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ใดๆ มาห้ามไม่ให้ข้าพเจ้าแต่งงานกับมาเรียได้นั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบจนบัดนี้ว่า ข้าพเจ้าตั้งใจพูดเช่นนั้นหรือเปล่า มันเป็นการยากจริงไหมท่าน?”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ