เดือน ๙ จุลศักราช ๑๒๔๐

วันอังคารขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

ข้อ ๑ เช้าไม่มีการอะไร เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ มิสเตอรเยซัลมอนกงซุลวิลันดาคนใหม่เฝ้าไปรเวต กงซุลอเมริกันเข้ามาด้วย กงซุลอเมริกันถวายจดหมายฉะบับหนึ่ง ว่าความ ๓ ข้อขึ้นลอย ๆ ว่าถ้าผู้หนึ่งผู้ใดเจ้านายท้าวขุนไพร่ราษฎรชายหญิงมีความเชื่อจะเข้าถือในศาสนาพระยโฮวาพระเยซู ก็สุดแต่ใจเขา อย่าให้ผู้ใดห้ามปรามขัดขวางเขา

ข้อ ๒ ว่าอนึ่งถ้าผู้ใดได้เข้าถือในศาสนาพระยโฮวาพระเยซูแล้ว ได้ทิ้งการไหว้ผีและเลี้ยงผี อย่าให้เจ้านายก็ดีกำลังก็ดี ว่ากล่าวบังคับห้ามปรามปรับไหมเขา

ข้อ ๓ ว่าอนึ่งผู้ที่ถือศาสนาพระยโฮวาพระเยซู เป็นพวกคริสเตียนแล้ว ในวันอาทิตย์ต้องเว้นการงานทั้งปวง ยกเป็นวันบริสุทธิ์ อย่าให้ผู้ใดบังคับให้เขาทำการในวันนั้น เว้นเสียแต่การสงครามและการที่จำเป็น ดังนี้ แล้วทูลว่าลาวที่เมืองเชียงใหม่ห้ามปรามเสียไม่ให้คนเข้าศาสนา จะขอให้ไทยบังคับ จึงทรงตอบ เมื่อจะว่ากระไรก็ต้องว่าที่กรมท่า ที่มาว่าดังนี้ไม่ถูก (ความมันเหลว ๆ อยู่)

๒ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษี นำดาบญี่ปุ่นอย่างดีเข้ามาถวายเป็นตัวอย่าง ๘ เล่มเบาดี แล้วพระราชทานเงินค่าดาบซี่งถวาย วันศุกร์แรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ พระราชทานหนังสือสำคัญเงินไปตามจำนวน ออกขุนนาง

๓ เซ็นเรื่องราวกรมหมื่นนเรศขอเลขถวายวันศุกร์ แรม ๑๒ ค่ำเดือน ๘ ว่าให้กรมพระสุรัศวดีหักให้เถิด แล้วพระราชทานพระศรีกาฬสมุดไป แล้วเซ็นบาญแผนกบุตรพระยาไชยสุรินทร์ถวายวันเสาร์แรม ๑๓ ค่ำเดือน ๘ ว่าให้ตั้งผู้รับเงินสูงไปทั้ง ๗ ราย แล้วเซ็นบาญแผนกกรมท่าถวายวันอาทิตย์แรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ ว่าให้ตั้งจีนกิมลี้ผู้บวกเงินสูงทำต่อไป พระราชทานหลวงภิรมย์ไป

๔ พระยาศรี อ่านบอกเมืองเกษตรวิสัย เมืองขึ้นเมืองชัยภูมิจะขอยกมาขึ้นกรุงเทพ ฯ กล่าวโทษเจ้าเมืองชัยภูมิ โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จกรมพระไล่เลียงดู

๕ หลวงพิพิธภักดีอ่านบอกพระยาภูเก็ต ว่าด้วยพระยาวิชิตสงครามจางวางเมืองภูเก็ตถึงแก่กรรม แล้วถวายหนังสือสมเด็จเจ้าพระยาทูลเกล้า ฯ ถวายฉะบับหนึ่ง ถึงเจ้าพระยาสุรวงศ์ ๆ ส่งมาทูลเกล้าฯ ถวายฉะบับหนึ่ง หนังสือพระยามนตรีสุริยวงศ์ฉะบับหนึ่ง เจ้าพระยาสุรวงศ์เข้าซองมา

หนังสือสมเด็จเจ้าพระยาถวายว่า ท่านได้ออกจากเมืองกาญจนดิฐมาทางแม่น้ำหลวงสามวัน แล้วจึงเดินบกมา ๔ วัน ถึงเมืองกระบี่ พักอยู่วันหนึ่ง ออกเดินมาอีก ๖ วันถึงควนธานี เมืองตรัง ณวันพุธขึ้น ๔ ค่ำเดือน ๘ ที่เมืองตรังนั้นร่วงโรยมาก ท่านกำลังที่จะคิดจัดแจงทำนุบำรุงอยู่ กับว่าพระยาภูเก็ตมีหนังสือบอกอาการพระยาวิชิตสงครามจางวางมาว่าป่วยเป็นไข้มาแต่วันแรม ๓ ค่ำเดือน ๗ ถึงวันศุกร์ ขึ้น ๖ ค่ำเดือน ๘ ถึงแก่กรรม ท่านมีความวิตกด้วยการเมืองภูเก็ต จึงให้พระยามนตรีไปฟังการที่เมืองภูเก็ต จะไปวันอาทิตย์ขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๘ ท่านจะต้องรอฟังการเมืองภูเก็ตดูก่อนถ้าเรียบร้อยแล้ว จึงจะได้มาเมืองนครศรีธรรมราช ลงเรือกลับเข้ามากรุงเทพ ฯ ตามกำหนด เดชะพระบารมีปกเกล้า ฯ ท่านและนายไพร่ซึ่งออกไปเป็นสุขสบายอยู่ทั้งหมดหนังสือเขียนที่ควนธานีเมืองตรังวันอาทิตย์ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ ฉะบับหนึ่งเจ้าพระยาสุรวงศ์ว่าความละเอียดตั้งแต่ออกจากท่าทองลงเรือวันแรม ๕ ค่ำเดือน ๗ แล้วบอกระยะทางขึ้นบกถึงกระบี่วันแรม ๑๑ ค่ำเดือน ๗ มีพระอิศรา พระยาบริรักษ์ พระยาภูเก็ต พระปลัดตะกั่วป่า นายเล่ห์อาวุธ ผู้ว่าราชการตะกั่วทุ่งมาคอยรับอยู่ในแขวงกระบี่ ว่าผู้คนในบ้าน ในแขวงออกมารับมาดูพร้อม ๆ กัน ว่าพระยาระนองมาคอยรับอยู่ที่เมืองตรัง ตั้งแต่เข้าแขวงเมืองตรัง ว่าไม่พบชาวบ้านเลย มีแต่เรือนนาร้างมาตลอดทางจนถึงควนธานี ราษฎรไทย แขก จีน ทั้งถิ่นถานบ้านเรือนอพยพไปเสียมาก ด้วยปลัดกรมการประพฤติไม่เป็นยุตติธรรม มีแต่การกดขี่ราษฎรได้ความเดือดร้อนมากนัก มีคนโทษจำอยู่ในตรางถึง ๓๐๐ เศษ ท่านให้ตั้งกองชำระอยู่แล้ว จะพรรณนาความชั่วของผู้รักษาเมืองตรังมาให้ฟังก็มากมายนัก แล้วว่าด้วยพระยาภูเก็ตมารับแล้วกลับไป บอกมาด้วยพระยาวิชิตสงครามถึงแก่กรรม ถ้าการเมืองภูเก็ตเรียบร้อยจะออกจากเมืองตรังกลับมาเมืองนครวันแรม ๕ ค่ำเดือน ๘ แล้วว่าด้วยพระบารมีพระเจ้าอยู่หัวปกเกล้า ฯ ท่านและคนที่ไปมีความสบาย (แล้วตกท้ายว่า) หนังสือที่ถวายมาความสั้นนัก ควรจะมีให้ยืดยาว การก็พึ่งไปถึง กำลังที่จะคิดจัดแจงการอยู่ หนังสือฉะบับนี้ ถ้าถวายให้ทรงทราบด้วยก็จะดี ลงวันเดียวกันกับหนังสือถวาย โปรดเกล้า ฯ ให้คัดไว้

หนังสือพระยามนตรีว่าวันอาทิตย์ขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๗ ออกจากเมืองนครไป ๕ วัน ถึงควนธานีวันพฤหัสบดีขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๗ พักอยู่ ๒๐ วัน สมเด็จเจ้าพระยาไปถึงตำบลกลาเสน้อยพรมแดนกระบี่ต่อตรัง วันอังคารขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๘ ตัวแกไปรับการที่สิเกาแล้วสมเด็จเจ้าพระยารับหนังสือด้วยเรื่องพระยาวิชิตสงครามถึงแก่กรรม สมเด็จเจ้าพระยาให้แกไปเมืองภูเก็ต ไปถึงวันจันทร์ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๘ แกพร้อมกับพระยาภูเก็ตกรมการได้หาจีนหัวหน้ามาพร้อมกันที่ออฟฟิศได้กำชับให้ระวังเหตุการ อย่าให้มีขึ้นได้ พวกจีนในเหมืองจีนลูกค้าก็ทำเหมืองแร่ดีบุกค้าขายเป็นปกติเรียบร้อย แต่สะเบียงอาหารที่พระยาวิชิตสงครามจัดซื้อเข้ามาไว้ทดรองให้พวกจีนในเมืองนั้นตรวจดู มีน้อย เห็นว่าการสะเบียงอาหารถ้าฝืดเคืองเข้าพวกจีนจะระส่ำระสาย ได้ปรึกษาพระยาภูเก็ต ได้มีหนังสือไปให้จัดซื้อในเที่ยวเรือเมล์แต่วันพุธขึ้น ๑๑ ค่ำเดือน ๘ แล้ว พระยาภูเก็ตและมารดาขอให้แกอยู่รอการก่อน แกจะรออยู่ ๓ วัน ถ้าเรือมุรธาวสิทธิไปถึงเมืองภูเก็ตแล้ว แกจะกลับมาเมืองตรังด้วยเรือนั้น เขียนที่เมืองภูเก็ตลงวันพุธขึ้น ๑๑ ค่ำเดือน ๘

๖ กาพย์จดหมายถวายว่า นายสรการจดหมายมาลา ว่าจะขอไปพยาบาลบุตรและภรรยาป่วยหนักกว่าจะทุเลา

๗ พระองค์เจ้าสุขุมาลถวายเรื่องราวพระยาไพบูลย์ว่าด้วยเรื่องราวหลวงพิศาล ว่าเดิมปีมะแม หลวงพิศาลกู้เงิน ครั้นปีระกาหลวงพิศาลต้องเกาะเร่งเงินมรดกพระยาพิศาล ซึ่งแบ่งให้ซุ่นบุตรที่อยู่บ้านสมเด็จเจ้าพระยา หลวงพิศาลจึงทำบัญชีรายลูกหนี้เจ้าหนี้ยื่นกรมท่า จะขอล้มเลหลังแล้วหลวงพิศาลไปอ้อนวอนเจ้าหนี้ให้ยกดอกเบี้ย จะเสียต้นเงินให้เงินร้อยชั่งปีละ ๑๐ ชั่ง เจ้าหนี้ก็ยอมตามแล้วก็ไม่ล้ม แกจึงเห็นว่าหลวงพิศาลทำการไม่สุจริต จึ่งได้ไปเรียนเจ้าพระยาภาณุวงศ์ว่าที่สวนตำบลใน คลองวัดทองธรรมชาติเป็นของสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย เดิมจะให้แกไปทำบ้าน แต่หน้าโฉนดแกยังไม่ได้ ครั้นสมเด็จองค์น้อยถึงแก่พิราลัย เจ้าคุณตำหนักเดิมโกรธแกจึงได้เอาหน้าโฉนดให้พระยาพิศาล ๆ ถึงแก่กรรมตกเป็นของหลวงพิศาล แกได้ให้คนไปขอซื้อขึ้นราคาให้อีกเท่าเป็น ๒๐ ชั่งก็ไม่ขายให้ แกได้ไปง้อให้เจ้าคุณตำหนักเดิมว่าก็ไม่ให้ บัดนี้หลวงพิศาลไม่มีเงินจะใช้มรดก จึงคิดผ่อนเงินให้เจ้าหนี้แล้ว แกเห็นว่าเป็นคนใจเหี้ยมเตรียมไม่แผ่เผื่ออยากจะให้เสด็จกัน เดิมต้นเงิน ๔๐๐ ชั่ง ให้ ๒๐๐ ชั่ง จะขอแต่ ๒๐๐ ชั่ง กับดอกเบี้ยค้างเก่ารายพระยาไชยยศหักไว้ ๒๐ ชั่ง รวมเงิน ๒๖๐ ชั่งกับสวนที่กล่าวมานี้ กรมท่าว่าจะช่วยว่ากล่าวให้ ครั้นอยู่มาแกเตือน ท่านก็ว่าหลวงพิศาลจะยอมยกให้ๆ แกทำแผนที่มาให้ท่านดู แกก็ได้ทำไป ครั้นมาสัก ๑๒-๑๓ วัน พระยาโชฎึกพาหลวงพิศาลไปหา กลับคำว่าต้นเงิน ๔๐๐ ชั่ง จะขอส่งปีละ ๔๐ ชั่ง แกไม่ยอมจะเอาตามเรียนกรมท่าไว้ ครั้นอยู่มา ๙-๑๐ วัน พระยาราชพงษา แต่ยังเป็นหลวงโกษา เอาสัญญาพระยาเพ็ชร์พิชัยกับหลวงพิศาลมาให้แก บอกว่ากรมท่าให้เอาสัญญาเจ้าหนี้ทำให้ลูกหนี้มาให้แกดู แกตอบว่า ซึ่งเจ้าหนี้ทำสัญญาให้ลูกหนี้ไม่เห็นมีธรรมเนียม ถ้ากรมท่าตัดสินให้แกทำแกก็จะยอมทำ แต่ขอหน้าโฉนดสวนมาให้ก่อน พระยาราชพงษาว่าท่านไม่บังคับตัดสิน แล้วแต่เจ้าหนี้ลูกหนี้ยอมกัน อยู่มาแกไปเรียนเตือนท่านว่าหลวงพิศาลเดี๋ยวนี้มีแต้มขึ้นไม่มาไปเหมือนแต่ก่อน ไม่มีช่องจะว่า อยู่มา ๔-๕ วัน แกให้สวาดภรรยาพระยาราชพงษาบุตรแก ไปเรียนกรมท่าว่าจะฟ้องเรียกเงิน ท่านตอบว่าดีแล้ว คงจะตกมาที่นี่จะได้มีที่ว่า แกจึงแต่งให้หลวงอินทรสมบัติฟ้องตกศาลกรมท่าก็ไม่ว่ากล่าว ประมาณ ๔ ปีเศษ หลวงอินทรจึงทำเรื่องราวร้องทุกข์กราบเรียนท่านก็เฉยเสีย แกจึงทำฎีกาถวาย จึงทราบความตามพระราชหัตถ์ที่ทรงเซ็นไป แกหาทราบว่าความเป็นดังนี้ไม่ สมเด็จเจ้าพระยา เจ้าพระยาภาณุวงศ์ ก็หาได้หาตัวแกกับหลวงพิศาลไปว่ากล่าวตัดสินไม่ แต่เมื่อครั้นหลวงพิศาลต้องชำระแกเห็นว่าขัดสนจึงไม่ลดเงินให้ บัดนี้หลวงพิศาลค้าขายบริบูรณ์ขึ้นมากกว่าแต่ก่อน แกจะขอต้นเงินและดอกเบี้ยตามพระราชบัญญัติ ไปเซ็นพรุ่งนี้

วันพุธขึ้น ๒ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ เซ็นท้ายเรื่องราวพระยาไพบูลย์คืนไปว่าได้ตรวจดูเรื่องราวซึ่งพระยาไพบูลย์ยื่นชี้แจงเรื่องราวให้ฟังนั้น ได้ความตลอดแล้ว แต่ความเรื่องนี้ต้นเดิมจะมาเป็นประการใดก็ไม่ทราบได้ ทราบแต่เท่านี้เขียนมาในจดหมายฉะบับก่อน ซึ่งพระยาไพบูลย์ว่าไม่ทราบคำตัดสิน และไม่ยอมลดต้นเงินให้หลวงพิศาลตามเช่นว่าไว้แต่ก่อน จะขอให้เต็มตามพระราชบัญญัตินั้น ความซับซ้อนกันมาหลายชั้น สมเด็จเจ้าพระยาท่านก็จวนจะมาถึงอยู่แล้ว เมื่อท่านมาถึงจึงให้พระยาไพบูลย์ไปร้องต่อท่านตามที่ได้สั่งมาในเรื่องราวฉะบับก่อนนั้นเถิด

๒ รับหนังสือพระยาธรรมจรันยานุกูลมนตรีศรีสุรเดช มหานิเวศนานุกิจจาธิบดี ว่าด้วยเรื่องทาสวังนันท เดิมทูลกระหม่อม ทรงพระราชรำพึงถึงสังขารธรรม โดยพระไตรลักษณะทั้ง ๓ ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยงแท้ลงที่ตรงไหนจะผันแปรไปต่าง ๆ พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าชาย หญิง ก็มีมาก ฉวยกาลต่อไปภายหน้าแผ่นดินจะแปรผันไปประการใดก็ไม่ทรงทราบชัด ถ้าหากว่าท่านผู้ใดมีบุญไม่ตั้งอยู่ในยุตติธรรม เอาอำนาจเข้าบีบคั้นข่มเหงพระเจ้าลูกเธอของท่านให้ได้ความคับแค้นจนชั้นรั้งวังจะไม่มีที่อาศัย จะได้ไปอาศัยอยู่วังนันทอุทยาน เป็นที่ชัยภูมิดีไม่ไกลไม่ใกล้พระบรมมหาราชวังนักดังนี้ จึงให้แกไปดูที่ชัยภูมิสวนหลวงเดิม ซึ่งขึ้นอยู่ในแกแต่ครั้งแผ่นดินพระนั่งเกล้า แกก็ทำแผนที่มาถวาย ทรงเห็นว่าเป็นที่ดีลับๆแฝงๆไม่สู้เปิดเผยนัก ด้วยด้านตะวันออกมีวัดพระยาธรรม ตะวันตกวัดชิโนรสกั้นเหนือ วัดระฆังใต้ คลองมอญกับวัดนาคกลางกั้นเป็นเขตต์แดน ควรจะเป็นที่ถาวรยืดยาวไปได้ ขึ้นชื่อว่าวัดวิหารถึงผู้มีบุญมีอำนาจก็ไม่อาจทำลายล้าง ทรงว่าแกเป็นข้าศิษย์เก่าของท่านพอไว้พระทัยได้ ที่จะช่วยบำรุงพระเจ้าลูกเธอ จึงให้แกนำพระกระแสไปหารือสมเด็จองค์น้อยก็เห็นตามพระกระแส ท่านได้สั่งให้รีบจัดการเถิด ถ้าขัดขวางประการใดจะช่วยให้สำเร็จ ก็โปรดให้แกเป็นกงสี พระยาเพ็ชร์พิชัยหนู แต่ยังเป็นพระสามภพพ่าย เป็นนายช่างสร้างวัง แล้วทรงพระราชดำริถึงพระองค์ท่านเองว่า ถ้าอันตราย ๔ ประการ คือพระเนตรทั้ง ๒ ข้างบอดหนึ่ง พระกรรณซ้ายขวาหนวกตึงหนึ่ง เป็นง่อยเปลี้ยพระหัตถ์พระบาทหนึ่ง โรคเสียพระจริตหนึ่ง ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งมีขึ้นในพระองค์แล้วจะดำรงศิริราชสมบัติไปก็จะเป็นที่รังเกียจกีดขวางแก่ท่านที่จะมีบุญในเบื้องหน้า จะต้องละราชสมบัติและครอบครัวไปประทับอยู่ที่วังนันทอุทยาน จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ทำพระที่นั่งและตำหนักหมู่เป็นพวกๆ ให้ตัดถนนลงแม่น้ำ ถ้าน้ำแห้งจะได้เดิน แล้วให้ซื้อสวนราษฎรขึ้นอีก และเงินที่ใช้ซื้อและสร้างวังใช้เงินพระคลังข้างที่ทั้งนั้น แล้วรับสั่งว่ารั้ววังทำขึ้นแล้วไม่มีใครรักษาก็จะชำรุดซุดโซม จึงโปรดให้แกออกประกาศตามบรรดาราษฎรที่เป็นหนี้ทาส ให้สมัครมาเป็นทาสหลวงวังนันทให้ได้หลาย ๆ ร้อย เมื่อมีการฉุกเฉินประการใดจะได้ใช้สอย แล้วโปรดเกล้า ฯ ให้เบิกเสาไม้รวกไม้ไผ่จากสมุนปลูกเรือนโรงให้อยู่ในจังหวัดสวนวังนันท ให้ตัวแกควบคุมไว้เป็นกลางก่อน เมื่อมีพระราชประสงค์จะพระราชทานพระเจ้าถูกเธอพระองค์ใด จะมีพระราชหัตถ์กำหนดให้แกแจก จึงได้มีพระราชบัญญัติให้เรียกทาสหลวงพวกนี้ ว่าทาสกองรวมบ้าง ว่าเลขกองรวมบ้าง ว่ากรมกองรวมบ้าง ให้สักข้อมือว่าพระเจ้าลูกเธอเป็นกลาง ๆ ไว้ แล้วรับสั่งว่าอย่ากดขี่ใช้การงานมันให้หนักนักเหมือนเลขไพร่หลวงเลย ให้เอาใจใส่ประคับประคองใช้การงานเหมือนทาสราษฎร เมื่อมันสมัครอยู่ก็ให้อยู่ เมื่อไม่สมัครอยู่ มันจะหาเงินมาส่งก็ให้รับเงินตามสารกรมธรรม์เถิด แล้วให้เอาเงินช่วยคนอื่นไว้เพิ่มเข้าดังเก่า เงินค่าราชการกีโปรดให้แกเบิกเงินข้างที่รองไปแทน กลัวว่าเงินหลวงจะทับถมอยู่กับแกผู้เป็นเจ้าหมู่ แต่เงินค่าราชการรายนี้ยังไม่มีผู้เร่งและแกยังไม่ได้เบิกส่งเลยจนทุกวันนี้ แต่สารกรมธรรม์พระยาศรีสุนทรให้ขุนหมื่นอาลักษณเขียนแล้ว อาลักษณรักษาไว้สำหรับหอ ครั้นปีขาลอัฐศกแกทูลขอหลวงอัครนารีรัตนามาตย์ กับนายโม้ข้าหลวงเดิม เป็นขุนราชบริหาร เจ้ากรมกองรวม ก็โปรดให้หลวงอัครนารีเป็นเจ้ากรมใหญ่ ขุนราชบริหารเจ้ากรมรอง ต่อมาแกป่วยไม่ใคร่จะได้ไปดูการ มีข้างในออกไปสวนไม่มีบาดหมาย เจ้าพนักงานจะไปถางหญ้ารกท่วมศีร์ษะ จึงรับสั่งออกพระนามในล้นเกล้าฯ ว่าทรงพระเจริญแล้ว ให้แกยกคนกองรวมไปถวาย แกก็ได้พร้อมกันกับพระยาศรีสุนทรนำสารกรมธรรม์และเจ้ากรมนำบัญชีคนไปถวายที่พระที่นั่งสวนกุหลาบ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้หลวงนายเดช (ทองอยู่) กับเจ้าพนักงานกรมพระคลังมหาสมบัติคนใดแกจำไม่ได้ รับสารกรมธรรม์และชำระบัญชีสอบสวนถูกต้องแล้ว แต่สารกรมธรรม์โปรดเกล้า ฯ ให้ท่านผู้ใดรักษาไว้แกไม่ทราบ

๓ รับหนังสือเจ้าปฤษฎางค์ถวายว่าไปถึงลอนดอนวันที่ ๙ ยูน มีความสุขสบายอยู่ มีมาวันที่ ๙ ยูน

๔ กรมภูธเรศ ถวายสารบบเดือน ๘ ใบสัตย์ฉะบับหนึ่ง ลูกขุนปรึกษาฉะบับหนึ่ง เทพราชธาดาใบสัตย์ฉะบับหนึ่ง พระยาอนุชิตรับฟ้องฉะบับหนึ่ง

๕ ออกขุนนางพระยาศรีอ่านบอกพระศักดิ์เสนีส่งเงินแทนส่วยเร่วเมืองสังข์

๖ พระราชทานสัญญาบัตร์ตั้งหลวงเทพราชธาดาเป็นขุนหลวงพระไกรศรี นายโหมดบุตรพระยาพิทักษ์โกษาเป็นหลวงสุทธิโกษา

๗ พระยาจ่าแสนยถวายริโปดความมหาดไทยเดือน ๕-๖-๗-๘ ความค้างฉลู ๔๐ ใหม่ ๔๐ รวม ๘๐ นั้นแล้ว ๓๖ คง ๔๔ พระพิเรนทรนครบาล ความเดิม ๓๐๐ ใหม่ ๕ รวม ๓๐๕ นั้น แล้ว ๓๖ คงค้างส่งผู้ปรับ ๙๑ ส่งปรึกษา ๘๐ ชำระ ๑๒๕ รวม ๒๙๙

๘ พระยาศรีถวายหนังสือมิสนอกซ์มีมาที่สมเด็จกรมพระ ว่าด้วยบุตรสาวของมองซวยอัด จะขอให้ลงมาอยู่กรุงเทพ ฯ นางคำทิพย์นั้นจะลงมาด้วยก็ให้ลงมา ถ้าไม่ลงมาก็ให้คืนของให้บุตร จะทิ้งไว้เมืองเชียงใหม่กลัวจะเป็นอันตราย ด้วยบุตรเป็นผู้หญิง ขอให้คอเวอนเมนต์ช่วย ทรงว่าอย่าให้เป็นท้องตราเป็นแต่หนังสือไป

๙ กรมท่าส่งสำเนาหนังสือพระยาสยามธุระพาหะเข้ามาถวายลงวันที่ ๒๑ ยูน ว่าการที่ประชุมมาจนวันนี้ยังทุ่มเถียงกันยังไม่ตกลง ได้ยินว่าออสเตรียกับอังกฤษเข้ากัน เห็นในการอาณาเขตต์ที่ฝ่ายรุสเซียจะตั้งขึ้นใหม่ในประเทศเตอรกีนั้น และเมืองเยอรมนีกับเมืองฝรั่งเศสก็ยังเป็นกลางอยู่ อนึ่งแกได้ให้ปฤษฎางค์อยู่กับเซอรยอนฮอกโซ ด้วยเห็นว่าเป็นอินเยอรเนียที่ ๑ ในยุโรป กับเจ้าปฤษฎางค์ลาไปดูเอกษหิบิเชนฝรั่งเศสสักอาทิตย์หนึ่ง แกเห็นดีแล้วได้ยอมให้ไป

๑๐ รับโทรเลขฉะบับหนึ่งว่า เรือศักดิ์สิทธาวุธขุนวิสุทธิ์เป็นนายเรือมาจากบ้านดอนใช้จักรขึ้นมากรุงเทพ ฯ เวลาย่ำค่ำครึ่ง

วันพฤหัสบดีขึ้น ๓ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ หลวงราชโยชาเทพเฝ้าถวายหนังสือว่า ทราบเกล้าว่าน้ำหมึกต้องจ่ายราชการปีหนึ่งใช้มาก เขาลองทำดูใช้ได้เหมือนหมึกนอก ไม่ควรจะต้องจ่ายเงินหลวงซื้อ เขาจะทำหมึกขึ้นทูลเกล้าถวายฉลองพระเดชพระคุณให้พอใช้ราชการทุกปี นำตัวอย่างมาถวายขวดหนึ่งด้วย ใช้ได้ดี

๒ เจ้าเข่งถวายหนังสือสมเด็จกรมพระ และบัญชีเลขโยมสงฆ์ที่จะจ่ายเดือนทำวัดพระเชตุพน แล้วว่าเลขโยมสงฆ์ในกรมสมเด็จพระปรมานุชิต ๑๖๕ คน ทูลกระหม่อมพระราชทานให้พระยาอนุรักษ์ควบคุมไว้ใช้ราชการในวัดพระเชตุพน ไม่ได้จับจ่ายการสิ่งใด พระยาอนุรักษ์ก็เก็บเงินเป็นอาณาประโยชน์มาหลายปีแล้ว ครั้งนี้ขอพระราชทานจ่ายเดือนด้านทำวัดพระเชตุพน พร้อมด้วยเลขโยมสงฆ์ทั้งปวงตั้งแต่เดือน ๙ นี้ไป ทรงเซ็นท้ายบัญชีไปว่าชอบแล้ว

๓ กรมพิชิตถวายริโปดความที่ทรงตัดสิน ทรงเซ็นให้ศาลฎีกาตัดสิน ทรงสอบถามแต่เดือน ๕ ถึงเดือน ๘ รวม ๓๒ ฉะบับ อีกฉะบับ ๑ ศาลฎีกาตัดสินความเดือน ๘ ความเดิม ๓๙ ใหม่ ๕ รวม ๔๔ แล้ว ๔ คง ๔๐ แพ่งกลาง เดิม ๕๘ ใหม่ ๗ รวม ๖๕ นั้น แล้ว ๖ คง ๕๙ กับใบสัตย์หัวเมือง พระเกษมด้วยมีอีกฉะบับหนึ่ง ๑

๔ ออกขุนนาง พระยาศรีอ่านบอกพระศักดิ์เสนี

๕ หลวงพิพิธอ่านบอกเมืองเพ็ชร์บุรีบอกน้ำฝนต้นข้าว

๖ หม่อมเจ้านิลวรรณในกรมหมื่นอดุลย์ถวายเรื่องราวขอเลข ว่าเดิมเจ้าทิพรศได้ทูลขอเลขกรมอดุลย์สิบยก ๖ สม ๒๐ ก็พระราชทานให้ตามขอ เจ้าทิพรศสิ้นชีพิตักษัยแล้ว แกขอเลขในหม่อมเจ้าทิพรศซึ่งเป็นญาติสิบยก พระราชทานเพิ่ม ๓๐ ยก คงกรม ๑ สม ๕ รวมเลข ๙ คน เซ็นพระราชหัตถ์ว่าให้กรมพระสุรัศวดีหักให้เถิด

๗ พระยาศรีทูลด้วยพระพลนายด่านเมืองตาก ถึงฝรั่งเมืองมอลเมนเข้ามาด้วยเรือเมล์ ถึงพระยาศรีว่าด้วยเรื่องความนำหนังสือถวาย โปรดเกล้า ฯ ให้มิสเตอรอาลบาศเตอแปล

วันศุกร์ขึ้น ๔ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ กรมหมื่นนเรศไปสั่งแหวนที่ห้างยุเลียน

๒ ท่านเทวัญถวายจดหมายอาลบาศเตอ ส่งร่างพระราชหัตถ์ตอบมิสเตอรแมกเนียว่า เขาได้อ่านหนังสือสโร่งแอนด์กริชที่แมกเนียทูลเกล้าฯถวายนั้น เขาเห็นว่าแต่งดีเป็นทางเกี่ยวข้างในเมืองไทยดีขึ้นมาก ด้วยธรรมเนียมต่าง ๆ ควรที่จะถวายให้ทรง เขากะหน้าหนังสือมาด้วย เรื่องนั้นมีเรื่องทาสเป็นต้น จึงมีพระราชหัตถ์ตอบไปฉะบับหนึ่งสมด้วยเรื่องราวเขาแต่งนั้น ซึ่งได้ทรงตอบไปช้าไปนี้เพราะเวลาทรงน้อย กับว่าด้วยการจัดทาสกระเษียณอายุของเมืองว่าเห็นจะดีกว่า เขามีไปกระดาษขนาดกลาง

๓ พระยารองเมืองนำแผนที่วังกรมหมื่นเทเวศ และแผนที่วังพระองค์เจ้าโสณบัณฑิตย์ ซึ่งจะซื้อต่อพระราชทานมาถวาย

๔ หม่อมราชวงศ์โนรี บุตรพระองค์เจ้าประเสริฐศักดิ์ จดหมายถวายว่าด้วยโปรดเกล้า ฯ ให้พระองค์เจ้าประเสริฐศักดิ์ทำเครื่องมโหรี ได้เบิกงาไปทำลูกมหวดฆ้อง คันซอไทย ยังหาพอไม่ งาอีกกองหนึ่งเจ้าพนักงานว่าไม่มีพระบรมราชโองการสั่งให้จ่าย ๆ ไม่ได้ ยังติดอยู่ด้วยงา อีกฉะบับหนึ่งเป็นรายบัญชีซื้อของจ้างคนทำเครื่องมโหรี ที่พระราชทานล่วงหน้าไป ๑๐ ชั่งนั้นยังไม่พอ แต่ทำไปสิ้น ๑๓ ชั่ง ๗ ตำลึง ๒ บาทแล้ว ขอรับพระราชทานอีก ๑๐ ชั่ง พระราชทานหนังสือสำคัญให้

๕ ท้าวราชกิจถวายการ์ดบอกแต่งงานของคอมมารเดอแมดทิวอเมริกันส่งเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวาย ว่าส่งทุกแห่ง เสนาบดีรับสั่งจะให้พระยาภาษตอบให้พรเขาไป

๖ รับบาญแผนกฉะบับหนึ่ง เซ็นชื่อมหามาลา จาตุรนต์ หลุย อุทัยธรรม ไชยสุรินทร ราชธน สมพัตสรไม้ ๘ อย่าง กรุงเทพ ฯ และหัวเมือง รวม ๗ เมือง นายพวกคนเก่าว่าถ้าไม่เสียค่าตราสักหลัง จะรับทำ เงินเดิม ๑๑๐ ชั่ง บวกขึ้นข้างที่ ๑ ชั่ง รวม ๑๑๑ ชั่ง คนใหม่ ๒ คน ยื่นเรื่องราวไม่รับประมูล สมพัตสรเมืองสระบรี เมืองวิเชียร นายทองคนเก่าทำครบปี เจ้าพนักงานออกหมายประกาศไม่มีใครยื่นเรื่องราว นายทองจะขอทำตามเดิมปีละ ๑๐ ชั่ง ๕ ตำลึง บ่อนเบี้ยเมืองสรรค์บุรี จีนโป๊คนเก่ายื่นเรื่องราวร้องขาดจะรับทำ เงินเดิม ๖ ชั่ง ขาด ๒ ชั่ง คง ๔ ชั่ง แล้วจีนโป๊ถอนเรื่องราวคืนไป จะรับทำตามเดิม ๖ ชั่ง ได้ส่งล่วงหน้าฝากไว้แล้ว จีนสุดใจตัวอากร จีนสุดประกัน คนใหม่จะทำตามเรื่องราว เงินเดิม ๖ ชั่ง ขาด ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง คง ๔ ชั่ง ๑๐ ตำลึง จะส่งล่วงหน้า ๓ เดือน จะส่งรายเดือนแต่ว่าเงินสูงไปกว่าเรื่องราวไม่รับทำ ไปเซ็นวันอาทิตย์ขึ้น ๖ ค่ำเดือน ๙

๗ รับคำโทรเลข ๓ ฉะบับ เรือออก ๕ ลำ

๘ วันนี้ไม่ได้ออกขุนนาง ไม่สู้สบายพระนาภี

วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ รับคำโทรเลขเรือศักดิ์สิทธาวุธออกไปถึงเมืองสมุทรบ่ายโมง ขุนวิสูตรเป็นนายเรือทอดอยู่ น้ำขึ้นจะไปบ้านดอน บรรทุกอิฐไปทำที่พักเมืองปราณ

๒ กาพย์จดหมายถวายว่าหลวงศัลยุทธกราบถวายบังคมลาไปพยาบาลไข้พระยาเพ็ชรชฎา ตั้งแต่วัน ๕ ค่ำ จนวัน ๘ ค่ำ

๓ กรมขุนบดินทรถวายริโปดความเดือน ๗-๘ ความเก่า ๔ ใหม่ ๒๘ รวม ๓๒ นั้น แล้วใหม่ ๙ คงความเก่า ๔ ใหม่ ๒๙ รวม ๓๓ เรื่อง

๔ วันนี้กรมหมื่นนเรศไปห้างสั่งแหวนพลอยต่าง ๆ มงคลเพ็ชร์

๕ มีพระราชหัตถ์ถึงพระยาอัษฎงค์ ว่าด้วยแต่ได้ทรงบอกพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกเธอออกไปว่ามหาอุณหิศนั้น บัดนี้ได้เติมเข้าอีกเป็นมหาวชิรุณหิศ แปลว่า มงกุฎเพ็ชร์ใหญ่ เขียนตามอักษรอังกฤษ สร้อยพระนามแต่อดิศรมหาจุฬาลงกรณ์นั้น คงอยู่ตามเดิม จึงทรงแจ้งความมาให้ทราบ กับต้นไผ่นั้นยังไม่พอให้ส่งมาอีก อนึ่งเรื่องตราเซ็นต์ไมเคอลเซ็นต์ยอชที่จะตกลง กับว่าคอเวอเนอสิงคโปร์จะเข้ามาหรือไม่เข้ามานั้น ทรงรอฟังกงซุลอังกฤษกรุงเทพฯอยู่ ก็ยังไม่ได้ยินมาพูดว่ากระไร ตั้งแต่ได้ทรงตอบยอมรับตรานั้น ความก็เงียบอยู่ ถ้าคอเวอเนอสิงคโปร์จะถาม ก็ให้ตอบดังเช่นรับสั่งมานี้ ทรงมีความยินดีมาก ที่จะรับคอเวอเนอสิงคโปร์ในกรุงเทพ ฯ ให้สมควรแก่ทางพระราชไมตรีกรุงอังกฤษกับกรุงสยาม และความรักใคร่ในระหว่างคอเวอเนอสเครตเซตเตอลเมนต์ และพระองค์สืบๆ กันมา

๖ ออกขุนนาง พระยาศรีอ่านบอกเมืองตาก ๒ ฉะบับ ๆ หนึ่งว่าด้วยคิดจะตั้งโปลิศรักษาโจรผู้ร้าย แต่กฎหมายสำหรับโปลิศยังไม่มี ได้ให้ไปขอกฎหมายที่โปลิศอังกฤษมา มีอักษรอังกฤษอักษรพะม่ากำกับกันเป็นอักษรพะม่า ดูได้ความบ้าง กฎหมาย ๒ เล่มร้อยข้อเศษจะใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้ส่งต้นกฎหมายและคำแปลลงมา จะโปรดให้ใช้ประการใดจะได้จัดตามกฎหมาย แล้วขอต้นกลับคืนขึ้นไปส่งเขา กับบอกเรื่องความมาเรื่องหนึ่ง

๗ จหมื่นเทพเสนา ถวายคำปรึกษาเรื่องหม่อมราชวงศ์ชุ่มตายใหม่ ที่โปรดให้ยกโทษไม่ให้ฆ่า

๘ พระมงคลรัตนถวายเรื่องราวกล่าวโทษเสมียนตรา ว่าเรื่องเงินค่าธรรมเนียม ค่าตราตั้ง ค่าเชิงประกันต่อเจ้าภาษีนายอากรไว้ปีหนึ่งมาก ๆ นำมาส่งน้อย เกียจกันไว้เป็นอาณาประโยชน์ กับเงินค่าธรรมเนียมที่เป็นเงินค่ารับสั่งข้างในก็เอาไว้เสียไม่ส่ง บังคับให้เจ้าภาษีอากรไปส่งที่บ้าน หามารับราชการทำตราสลักหลังตรารับเงินพร้อมด้วยเจ้าพนักงานไม่ ฉ้อบังไว้ประมาณ ๒๐๐ ชั่งเศษ ทำมาตั้งแต่ปีระกาเบ็ญจศก ถ้าโปรดเกล้าฯให้ชำระ ก็จะได้เงินมาเพิ่มเติมที่พระราชทานเงินเดือนเงินปีเจ้าพนักงาน เซ็นพระราชหัตถ์พระราชทานไปที่สมเด็จกรมพระ ว่าการเรื่องนี้ถ้าจริงก็ผิดด้วยกฎหมาย ให้ท่านทรงชำระดู โปรดให้กรมหมื่นนเรศนำไป

วันอาทิตย์ขึ้น ๖ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ พระดิฐการถวายริโปดความศาลกรมท่า เดือน ๘ ความเดิม ๑๓ ใหม่ ๒๒ รวม ๓๕ นั้น ความส่งตามกระทรวง ๓ แล้ว ๑๖ รวม ๑๙ คงความ ๑๖ เรื่อง

๒ เซ็นท้ายบาญแผนก ตั้งอากรที่ถวายวันศุกร์ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๙ ว่าสมพัตสรรายค้างต้นทั้ง ๒ นั้น ตั้งให้ผู้รับเงินสูงไปทั้ง ๒ ราย แต่บ่อนเบี้ยเมืองสุพรรณบุรีนั้น จีนโป๊ถอนเรื่องราวเดิมยื่นใหม่ก่อนว่าประมูลกัน ก็เห็นพอจะให้ทำได้ตามเงินสูง

๓ สมเด็จกรมพระถวายอาการพระเสวตรสุนทรสวัสดิ์ ชลูดไป

๔ กาพย์จดหมายถวายถามด้วยเงินเดือนเณรไปเยอนั้น จะโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งเป็นหาฟเปหรือยกออกทีเดียว กับการเฉลิมพระชนม์พรรษาทุกปี ๆ เคยได้จัดสิ่งของต่าง ๆ ประดับมิวเซียมสำหรับจะเปิดให้ราษฎรเข้ามาดู ในปีนี้มิวเซียมชำรุด หลังคารั่วลงมาถูกตู้ที่ตั้งของไว้หลายแห่ง ต้องเลื่อนตู้เก็บของรวมแอบไว้ที่ไม่รั่ว ครั้งนี้ถ้าจะจัดก็เห็นว่าเดือน ๑๐ ก็ยังเป็นฤดูฝน ถ้าจะจัดตามเดิมกลัวของจะเป็นอันตรายไป ครั้นจะไม่เปิดมิวเซียมก็จะเงียบเหงาไป แล้วแต่จะโปรด กับนายสรพลลาไปพยาบาลพระยาเพ็ชรชฎากว่าอาการจะทุเลา

๕ มีพระราชหัตถ์สั่งให้ขุนหลวงพระไกรศรีว่าที่เคลิกออฟเคาน์ซิล ประชุมเคาน์ซิลออฟสเตตที่เก๋งวรราชสภาภิรมย์ตรวจกฎหมายโปลิศ ให้พระยาภาษเป็นผู้ตรวจแปลคำอังกฤษ ให้พระยาศรีกำหนดหมายมาและเข้าในที่ประชุม ด้วยข้อใดควรใช้ได้ตามเขาก็ให้เอาตามนั้น ด้วยบ้านเมืองเป็นเขตต์แดนติดต่อกัน ถ้าข้อใดผิดเพี้ยนกับกฎหมายประเพณีบ้านเมืองเราก็ให้ยกเสีย ถ้าขัดข้องด้วยธรรมเนียมเมืองตากประการใด ให้พระยากระลาโหมราชเสนา พระยาสังหเทพ ผู้เป็นเจ้าพนักงานชี้แจงให้โหวตเลือกเปรซิเดนต์ตามกฎหมาย แล้วให้ขุนหลวงพระไกรศรีนำรายงานมาถวายเนือง ๆ

๖ ออกขุนนาง พระยาศรีอ่านบอกจ่าเร่งงานรัดรุด พระยาพิชัยซึ่งไปชำระผู้ร้ายเมืองน้ำปาด ว่าได้เอาตัวผู้บอกเล่าให้นำไปดูที่ฝังศพ แต่ความที่ฆ่ากันเมื่อปีชวดมาฟ้องปีฉลูยังสงสัยอยู่ ยังให้สืบจับผู้ร้าย กับบอกน้ำฝนต้นข้าว

๗ หลวงพิพิธอ่านบอกเมืองราชบุรี น้ำฝนต้นข้าว

๘ นายเยื้อนถวายเรื่องราวกล่าวโทษพระสุริยภักดี เดิมตัวซื้อไม้มาขายแล้ว มีผู้รับไปขายให้ ขายไม้หมดเงินคงค้างอยู่กับผู้รับไปขาย ๑๕ ชั่งเศษ เขาทำตั๋วไว้ให้ ครั้นไปเตือนก็ไม่ให้ จึงได้นำไปอายัดอำเภอ ลูกหนี้ก็ได้เอาเงินไปส่งอำเภอแล้ว ไปเตือนจะรับเงิน อำเภอว่ามีผู้ไปอายัดว่าเงินรายนี้ไป ของมีผู้เป็นหนั้นายหนูสนิทสมบัติ ๆ ต้องเร่งเงินหลวง ได้เอาเงินไปส่งพระสุริยภักดีเสียแล้วได้ไปร้องพระสุริยภักดี พระสุริยภักดียังไม่ทันชำระ ผู้ที่ว่าเป็นเจ้าของเงินตาย แล้วเกิดการทัพด้วย เมื่อพระสุริยภักดีกลับแต่ทัพ ได้ไปเตือนก็ว่าเงินรายนี้พระยาศรีว่าบุตรหญิงผู้ที่เจ้าของเงินอยู่ที่พระยาศรี่ ขอพระสุริยภักดิส่งเงินใช้หนี้หลวงเถิด ไปเตือนก็ไม่ว่าให้

วันจันทร์ขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ พระภาษีสมบัติบริบูรณ์ถวายเรื่องราวว่าด้วยเงินหลวงซึ่งยืมไปทำทุนน้ำตาลทราย เมื่อวันขึ้น ๑๑ ค่ำเดือน ๒ ปีชวดอัฐศก เงิน ๒๐๐ ชั่งนั้น คิดดูทำน้ำตาลขาวมีกำไร ๔๐๐ ชั่ง แต่น้ำตาลแดงยังหาครบสัญญาที่ขายให้นายห้างยุโรปไม่ ต้องซื้อน้ำอ้อยค่นที่โรงจีนมาเคี่ยวทำน้ำตาลได้เนื้อน้อย ขาดทุนสัก ๒๕๐ เศษ ยังเหลืออยู่ ๑๕๐ ชั่ง จีนไร่อ้อยเอาไปทำทุนปลูกอ้อย ปีฉลูฝนแล้งอ้อยแห้งเสียมาก ครั้นปลายปีฉลูต้องหยุดโรงจักร ไม่มีอ้อยจะบีบ ได้ส่งเงินทุน ๒๐๐ ชั่งต่อพระยาสมบัติยาธิบาลแล้ว แต่ดอกเบี้ยนั้นขอรับพระราชทาน ปีนี้ฝนดีอ้อยก็งาม จีนมาขอเงินไปทำทุน แกเห็นว่าน้ำตาลทรายขาวในกรุงเทพ ฯ ราคาขึ้นหาบละ ๑๖ บาท จีนลูกค้าซื้อน้ำตาลเมืองจีนมาจำหน่ายมาก ถ้าจะรอไปจนเดือนอ้าย จึงจะซื้ออ้อย ก็กลัวว่าบรรดาจีนเถ้าแก่ไร่อ้อยไม่มีเงินจะรองให้ลูกจ้าง ก็จะพากันอพยพหนีทิ้งไร่อ้อยเสีย ขอรับพระราชทานยืมเงิน ๕๐๐ ชั่ง ไปอุดหนุนทุนจีนถวายดอกเบี้ยชั่งละบาท

๒ พระยาอาหารจดหมายถวายว่า นายแจ้งบุตรพระยานาวารับตั๋ว ๑๕ ยก อยู่ในหลวงอภัยเสนา กรมพระสุรัศวดีเกาะเอาตัวนายแจ้งไปจะสักเป็นไพร่หลวง นายแจ้งคนนี้แกได้รับพระราชทานใช้มาแต่ยังเป็นนายรองขัน ขอรับพระราชทานนายแจ้งมาเป็นขุนหมื่นกรมในกรมนา

๓ มีพระราชหัตถ์ถึงพระราชวรานุกูลที่กระเษตราธิบดี ฉะบับหนึ่ง ว่าด้วยในการเฉลิมพระชนม์พรรษาปีนี้ ทรงพระราชดำริว่าจะออกเงินพระคลังข้างที่เป็น การบุญการทาน ๙๑๓๒ บาท เงินรายนี้ขอให้ท่านช่วยจัดซื้อข้าวสารและปลาซึ่งเป็นกับข้าวพอสมควรส่วนละถัง ๆ จะได้สักกี่พันส่วนก็ตาม เหมือนดังเช่นท่านได้ทำแล้ว ทรงมีความยินดีอนุโมทนาด้วยมาก จึงได้คิดทำตาม ขอให้จัดการให้ทันกำหนด เมื่อได้จำนวนมากน้อยเท่าไร ให้จดหมายมาทูลให้ทราบ

๔ รับคำโทรเลขว่าวังหน้ากลับมาแต่เมืองสมุทรบ่าย ๔ โมง

๕ รับหนังสือทูลกระหม่อมพระองค์ใหญ่ถวาย ว่าพระพรหมบริรักษ์ไปทูลเตือนท่านด้วยเรื่องที่บ้านพระยาสมบัติยาธิบาลที่ทูลขอ ท่านได้แจ้งว่าที่บ้านนั้นมีพระราชหัตถ์เลขาทูลกระหม่อมพระราชทานให้เป็นสิทธิ์ ได้นำแผนที่บ้านพระยาสมบัติยาธิบาลจีนอุ่นนายอากรทั้ง ๒ ฉะบับทูลเกล้า ฯ ถวาย แล้วทรงพระราชดำริว่าที่บ้านจีนอุ่นนั้น พระพรหมบริรักษ์ว่าไกลวังมากจะมาลำบาก โปรดให้ท่านเลือกหาที่ใหม่ การนั้นก็ค้างมา บัดนี้พระพรหมบริรักษ์จะขอพระราชทานที่บ้านจีนอุ่นนายอากรตามพระกระแสพระราชดำริเดิม ถวายแผนที่มาด้วย

๖ ออกขุนนาง พระยาศรีอ่านบอกเมืองอุบล ว่าด้วยกล่าวโทษท้าวเพี้ยเกลี้ยกล่อมครัวพวนมาขาย กับว่าครัวสมัครมาอยู่มาก ได้จัดที่ให้อยู่และจ่ายเงินซื้อสะเบียงเลี้ยงและให้ของทำกิน

๗ ตั้งขุนพรสมบัติเป็นหลวงสุนทรพิมล ขุนอินทรจักรเป็นขุนเทพยากร

๘ หลวงวิจารณ์ถวายริโปตความกระลาโหมเดือน ๘ ความเดิม ๒๔ ใหม่ ๖ รวม ๓๐ นั้น แล้วเก่า ๕ ใหม่ ๖ รวม ๑๑ ค้าง ๑๙ เรื่อง

๙ รับหนังสือทูลกระหม่อมพระองค์น้อย ๒ ฉะบับ ใหญ่ฉะบับหนึ่ง เล็กฉะบับหนึ่ง ใหญ่ว่าโปรดเกล้า ฯ พระราชทานฎีกาอำแดงพินกล่าวโทษพระองค์เจ้ากมลาศ พระองค์เจ้าไชยา เจ้าจอมมารดาเที่ยง และบ่าวทาสให้ตัดสินเปรียบเทียบให้แล้วนั้น ท่านได้หาตัวมาว่ากล่าว อำแดงพินติดใจให้ว่าความ ถ้าไม่ฉะนั้นอำแดงพินจะขอเงินทำขวัญ ๖ ชั่ง ท่านได้เปรียบเทียบว่ากับองค์กมลาศ ไม่ยอมปรองดอง กรมพิชิตไปทูลท่านว่ากระแสพระราชดำริจะให้เปรียบเทียบให้แล้วกัน อย่าให้มากความไป แต่ความไม่ตกลงมาขัดข้องดังนี้แล้วแต่จะโปรด ฉะบับเล็กว่าท่านให้ไปตรวจเรือรบป้อมในคลองบางกอกน้อย เป็นเรือสร้างขึ้นไว้ในแผ่นดินทูลกระหม่อม เจ้าหมื่นเสมอใจเอมกับพระยาอุทัยธรรมเป็นผู้ทำ มีอยู่หลายลำ ปืนศีร์ษะเรือมีบ้างไม่มีบ้าง เห็นพอจะบรรทุกศิลาเมืองสมุทรขึ้นมากรุงเทพ ฯ ได้ ด้วยไม่สู้ชำรุด แต่เกรงอยู่ว่าเป็นเรือรบจะใช้ได้หรือไม่ อยากจะรับพระราชทานยืมใช้ ๒-๓ ลำ ครั้นจะต่อใหม่หรือจัดซื้อก็แพงนัก จะคิดจ้างเรือก็เปลืองเงินมาก หรือจะให้สร้างให้ซื้อก็แล้วแต่จะโปรด เรือนี้ต้องเป็นเรือใหญ่เท่าเรือลำเลียง จึงจะไม่เสียเที่ยว สัก ๒-๓ ลำพอเปลี่ยนไปมา

๑๐ เมื่อเวลาบ่าย ๕ โมง ภรรยากงซุลวิลันดาคนใหม่มาเฝ้าพร้อมด้วยฝรั่งผู้หญิงอีก ๒ คน แล้วขอไปหาข้างใน รับสั่งให้ไปเฝ้าทูลกระหม่อมปราสาท

๑๑ รับคำโทรเลขเรือไปลำหนึ่ง

วันอังคาร ขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ รับหนังสือพระยาภาษกรวงศ์ฉะบับหนึ่ง ว่าโปรดเกล้า ฯ ให้ประชุมเคาน์ซิลตรวจกฎหมายโปลิศพะม่าอังกฤษที่พระยาเทพให้ล่ามแปลออกจากภาษาพะม่า ให้แกตรวจภาษาอังกฤษนั้น แกได้ไปเรียกฉะบับอังกฤษและคำแปลมาจากพระยาศรีตรวจความดูในตอนต้น เห็นฉะบับที่ลงพิมพ์ทั้งสองภาษา ๒ เล่มสมุดแบ่งเป็นสามตอน เป็นเรื่องพนักงานโปลิศเป็นคำถามคำตอบกัน กัปตันไฟรเยอรผู้ช่วยสิเกรตารีของชีพกอมมิศชันเนอ พะม่าอังกฤษเป็นผู้แต่ง คัดความออกจากกฎหมายโปลิศและลักษณนครบาลในอินเดียหลายเรื่อง เป็นหนังสือสำหรับมือโปลิศให้ศึกษาหาใช่กฎหมายแท้ไม่ แต่เนื้อความใช้ได้มาก และภาษาพะม่านั้นมองหลินเสมียนในศาลใหญ่เป็นผู้แปลออกจากอังกฤษ คำแปลที่พระยาเทพส่งมานั้น เป็นความเอาแต่เนื้อความ เกินไปบ้าง ขาดไปบ้าง หาสู้ถูกต้องกับฉะบับอังกฤษไม่ แกจึงให้แปลความในฉะบับอังกฤษและคัดที่แปลมาแล้วอย่างละ ๖ ข้อ แล้วแต่จะโปรด ที่ประชุมเคาน์ซิลนั้นกลัวจะช้าเพราะคำอังกฤษและพะม่าที่แปลนั้น เคลือบแฝงกันอยู่ จะใช้ตามคำแปลก็ไม่ได้ เห็นด้วยเกล้าฯ ต้องเรียงความใหม่ ถ้าโปรดให้ผู้ใดผู้หนึ่งเรียงขึ้นแล้ว จึงปรึกษาเห็นจะเร็วขึ้น ถ้าจะโปรดให้แกเรียง รับฉลองพระเดชพระคุณให้เสด็จใน ๒ เดือน แต่ต้องรับพระราชทานลูกขุนนาย ๑ เสมียนเรียงความ ๒ กอปี้ ๒ ขอพระราชทานให้พระยาศรีสุนทรเป็นผู้ช่าวตรวจแก้ถ้อยคำด้วย ถ้าโปรดให้มีตราถึงพระยาเทพ ให้ตรวจข้อความที่แปลมานี้ ข้อใดควรใช้ได้ไม่ได้ในเมืองเชียงใหม่และจะควรเพิ่มเติมข้อใดแล้วให้บอกลงมา เห็นว่าจะเป็นการเร็วแล้วก็ใช้ได้ทีเดียว ที่ว่าพระยาเทพและเชียงใหม่นี้ แกเพ้อไป

๒ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เฝ้า

วันพุธขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ รับบาญแผนกลงชื่อ มหามาลา จาตุรนต์ หลุย อุทัยธรรม ไชยสุรินทร ราชธน บ่อนเบี้ยเมืองชลบุรี จีนซุนคนเก่าส่งคืน จีนชังตัวอากร ขุนจงรักษ์ราชากร ประกัน คนใหม่รับทำตามเดิม ๑๕๐ ชั่ง ค่าน้ำเมืองปทุมธานี นายวินคนเก่าส่งคืน นายมากตัวอากร นายจูประกัน คนใหม่รับทำเดิม ๑๖ ชั่ง ๑๕ ตำลึง ประมูลขึ้นข้างที่ ๑๕ ตำลึง รวม ๑๗ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ค่าน้ำเมืองราชบุรีเจ้าพนักงานออกหมายประกาศวันเสาร์แรม ๑๓ ค่ำเดือน ๓ ไม่มีเรื่องราวประมูล นายเชยคนเก่าจะรับทำ เดิม ๔๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง บวกขึ้นพระคลังข้างที่ ๑๐ ตำลึง รวม ๔๓ ชั่ง รวมอากร ๓ ราย เดิม ๒๐๙ ชั่ง ๕ ตำลึง ประมูลบวกขึ้น ๑ ชั่ง ๕ ตำลึง รวม ๒๑๐ ชั่ง ๑๐ ตำลึง เจ้าพระยาภาณุวงศ์จดหมายถวายว่าความพระยาไพบูลย์กับหลวงพิศาลนั้น ได้ทำขัดข้องขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวาย โปรดเกล้า ฯ ให้งดไว้คอยท่าสมเด็จเจ้าพระยาตัดสินนั้น ได้นำขัดข้องไปเรียนท่านทำคำตัดสินเซ็นชื่อประทับตราส่งให้ท่าน มีแจ้งอยู่ในคำตัดสินทูลเกล้า ฯ ถวายแล้ว

ขัดข้องเจ้าพระยาภาณุวงศ์ว่า เมื่อเดือนยี่มีพระประสาสน์สั่งให้ขายเลหลังของหลวงพิศาล เฉลี่ยใช้เจ้าหนี้ตามคำหลวงพิศาลร้อง ครั้นภายหลังพระยาเพ็ชรพิชัยผู้เป็นเจ้าหนี้มาขอห้ามการเลหลังไว้ พระยาเพ็ชรพิชัยเป็นหัวหน้าว่ากล่าวกับเจ้าหนี้ของหลวงพิศาลทุกๆราย ให้ยอมยกดอกเบี้ยให้ แล้วให้หลวงพิศาลทำการค้าขายเก็บเงินผ่อนใช้เจ้าหนี้ร้อยละสิบทุกปีเสมอ ไปทุกรายกว่าจะครบต้นเงินเจ้าหนี้มีอยู่ ๑๓ ราย ยอม ๑๒ราย รวมต้นเงิน ๓๐๕๙ ชั่ง แล้วทำสัญญายกดอกเบี้ยให้หลวงพิศาล แต่พระยาไพบูลย์รายหนึ่งต้นเงิน ๔๐๐ ชั่ง หายอมตามคำพระยาเพ็ชรพิชัยไม่ ครั้นวันศุกร์ขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๓ ปีระกาเบ็ญจศก พระยาไพบูลย์แต่งให้หลวงอินทรสมบัติเป็นทนายฟ้องศาลหลวง ให้เรียกเงินหลวงพิศาล ฟ้องตกกรมท่ากลาง ทนายก็ทิ้งความไม่ไปว่าถึง ๕ ปี มาถึงวันอังคาร ขึ้น ๑๑ ค่ำเดือน ๗ ปีขาลนี้ หลวงอินทรจึงนำเรื่องราวกล่าวโทษตระลาการยื่นต่อท่าน ครั้นจะใช้ชำระก็ขัดอยู่ เจ้าหนี้ทั้ง ๑๒ ราย รวมต้นเงินถึง ๓๐๕๙ ชั่ง ก็ได้ยอมตกลงกันลงชื่อทำสัญญากันมาถึง ๕ ปีแล้ว ซึ่งหลวงอินทรมาร้องดังนี้ จะควรประการใดแล้วแต่จะโปรด เรียนวันพุธขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๙

๒ คำตัดสินว่าจุลศักราช ๑๒๔๐ ปีขาลสัมฤทธิศก สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์นั่งว่าราชการณออฟฟิศ ท่านเจ้าพระยาภาณุวงศ์ทำขัดข้องเรื่องความพระยาไพบูลย์เจ้าหนี้ หลวงพิศาลลูกหนี้มาเสนอ ได้ตรวจสิ้นข้อความมีแจ้งอยู่ในขัดข้องนั้นแล้ว มีพระประสาสน์เห็นว่าเมื่อเจ้าหนี้ทั้งปวงไม่ยอมรับเลหลังหลวงพิศาลนั้น เจ้าหนี้ยอมยกเงินดอกเบี้ยให้หลวงพิศาล ยอมให้หลวงพิศาลส่งต้นเงินให้เจ้าหนี้ คิดต้นเงิน ๑๐๐ ชั่ง ให้ส่งปีละ ๑๐ ชั่ง เจ้าหนี้ ๑๒ รายรวมต้นเงิน ๓๐๕๙ ชั่ง เมื่อเวลานั้นถ้าพระยาไพบูลย์ไม่ยอมก็ชอบแต่มาร้องต่อเราผู้สั่งจะได้ตัดสินให้ตามควร พระยาไพบูลย์หามาร้องไม่ ความขาดเสียแล้ว ภายหลังพระยาไพบูลย์แต่งทนายฟ้องศาลหลวงนั้น ไม่ควรจะรับฟ้อง ให้เจ้าพระยาภาณุวงศ์บังคับให้หลวงพิศาลใช้ต้นเงินให้แก่พระยาไพบูลย์ ให้เหมือนกับเจ้าหนี้ ๑๒ ราย อย่าให้สูงๆ ต่ำ ๆ แก่กันจึงจะเป็นยุตติธรรม เซ็นชื่อประทับตราอาทิตย์ กับส่งต้นหนังสือมิสนอกซ์ขึ้นมาฉะบับหนึ่งว่าบาดะระดาน ๑ มูกินะดาน ๑ แขกในบังคับอังกฤษเข้ามากรุงเทพฯ แจ้งความว่าเขาเอาต้นไม้เงินต้นหนึ่งกับม้าอย่างดีต่าง ๆ ที่มีราคามาจะขอทูลเกล้า ฯ ถวาย และส่วนที่เขาเอามาขายนั้นต่างหาก เขาจึงแจ้งความมาให้ท่านทราบ สุดแต่ท่านจะเห็นควร ลงวัน ๗ ค่ำ

๓ มีพระราชหัตถ์ตอบไปฉะบับหนึ่งว่ากงซุลอังกฤษที่แขกมีของมาจะถวายนั้น การที่เขามีน้ำใจมาถวายก็ขอบใจอยู่ แต่ไม่ได้ทรงสงเคราะห์ทรงหาสิ่งใดเป็นบุญคุณแก่เขา ไม่อยากจะรับของถวาย แล้วแต่ท่านจะคิดอ่านพูดบิดเบือนไปเถิด อนึ่งท่านส่งคำตัดสินสมเด็จเจ้าพระยาเรื่องความหลวงพิศาลกับพระยาไพบูลย์ถวายทอดพระเนตรนั้น ซึ่งสมเด็จเจ้าพระยาท่านตัดสินเป็นเด็ดขาดไป ไม่ต้องมาถึงตรงนั้น เป็นที่ยินดีอยู่แล้ว

๔ พระยาราชเฝ้าถวายจำนวนที่จะจัดข้าวถังในการเฉลิมพระชนม์พรรษา เงิน ๙๑๓๒ บาท คิดแบ่งเป็นส่วนๆ ละ ๑ บาท ๒ สลึง ได้ ๖๐๘๘ ส่วนๆละ ๑ บาท ๑ สลึง ๑ เฟื้อง ได้ ๖๖๔๑ ส่วนๆละ ๑ บาท ๑ สลึง ได้ ๗๓๐๕ ส่วน โปรดให้เอาส่วนละ ๑ บาท ๑ สลึง ๑ เฟื้อง

๕ มีพระราชหัตถ์ถึงพระยาภาษ

๖ สั่งประหารชีวิต

๗ ออกขุนนาง พระยาศรีอ่านบอก พระยาคทาธร พระยานุภาพ ส่งพระมโนจำนง พระสุริยภักดี หลวงปลัดเมืองเซลำเภา บอกพระปรีชาว่าด้วยผู้ร้ายลักกระบือกล่าวโทษเมืองนครนายก นายตำบลไม่ตรวจผู้ร้ายหนีไปได้บ่อยๆ กับกล่าวโทษหลวงจ่าเมืองเมืองปราจิณ หลวงนรินทรว่าสมคบผู้ร้ายหลายข้อ โปรดเกล้า ฯ จะให้ทำโทษลงพระราชอาชญา ๙๐ ส่งคุก แล้วทูลพระพรหมบริรักษ์กราบถวายบังคมลาไปทำวิหารพระป่าเลไลเมืองสุพรรณ กับพระชัยสงครามนายด่านเมืองตากเข้ามาเฝ้าวันนี้ พระนรินทรหายป่วยเข้ามาด้วย

วันพฤหัสบดีขึ้น ๑๐ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ เซ็นท้ายบาญแผนกวานนี้ ว่าให้ตั้งผู้รับทำเงินสูงไปทั้ง ๓ ราย

๒ รับหนังสือสมเด็จเจ้าพระยาว่าด้วยความมองกุณ แสนบันบุง ว่าท่านได้ดูหนังสือบอกพระยาเทพทราบทุกประการแล้ว เห็นว่ามองกุณก็ไม่ยอมให้พระยาเทพรื้อความขึ้นชำระใหม่ เจ้านครลำปางก็ไม่ยอมให้ชำระแสนบันบุงที่ศาลเมืองเชียงใหม่จะลงมาณกรุงเทพ ฯ สู้ความทั้งสองเรื่อง ดังนี้ ซึ่งจะมีศุภอักษรกดขี่ให้เจ้านครมาชำระที่ศาลเมืองเชียงใหม่ และจะให้อำนาจพระยาเทพขึ้นไปอีกนั้น เห็นว่าจะเป็นที่ก่อเหตุก่อการใหญ่ขึ้นจะลำบากมากหนักไป ความทั้งสองเรื่องเหลือกำลังพระยาเทพ จะตัดสินให้แล้วต้องส่งลงมากรุงเทพ ฯ ก็เป็นธรรมดาหัวเมืองว่าความไม่ตกลงก็ต้องส่งลงมากรุงเทพ ฯ หาเป็นที่เสียเกียรติยศแก่ข้าหลวงไม่ เมื่อเจ้านครลำปางมาถึงกรุงเทพ ฯ แล้ว ก็จะได้ทำสัญญาข้อความ ซึ่งจะปรนนิบัติแก่ข้าหลวงที่เมืองเชียงใหม่สักกี่ข้อนั้น ก็จะตริตรองทำให้เด็ดขาด ซึ่งจะมีศุภอักษรไป ๆ มา ๆ นั้น ก็หาเป็นที่มั่นคงไม่ ประการหนึ่งข้อความทั้งสองเรื่องนี้ลงมาถึงกรุงเทพ ฯ ก็จะได้คิดผ่อนปรนไปให้พอควรแก่การ ท่านเห็นความดังนี้ กับมีฉะบับเล็กติดมาด้วยฉะบับหนึ่งว่า และเมื่อวันพุธ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๙ กงซุลอังกฤษมาเยี่ยมเยือน ท่านให้พูดถึงความมองกุณ กงซุลว่าความเรื่องนี้ยังไม่รู้แจ่มแจ้ง ทราบแต่ว่าข้าหลวงตัดสินให้ความลาวแพ้คนสับเยกอังกฤษต้องเฆี่ยน ต้องจำท่านว่าที่ลงพระราชอาชญาหาเป็นดังคำเล่าลือไม่ เพราะหลวงบริบาลทำเรื่องราวว่ากล่าวเหลือเกินอำนาจของตัวจึงต้องรับพระราชอาชญา ความได้พูดกันแต่เท่านั้น

๓ มีพระราชหัตถ์ตอบไปฉะบับหนึ่ง แล้วโปรดให้เรานำไปถวายสมเด็จกรมพระทำตรา

๔ รับหนังสือเจ้าพระยาภาณุวงศ์ส่งเป็นสำเนาหนังสือเมซัน ลงวันที่ ๒๘ ยูน ตรงวันศุกร์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๗ ว่าด้วยการประชุมที่เบอลินนั้น เข้าใจในหนังสือพิมพ์ว่าเป็นสำคัญที่ฝ่ายอังกฤษได้ขอนั้นได้ตกลงกันแล้ว อังกฤษชนะเพราะลอร์ดบิคอนฟิลด์ ถ้าหนังสือสัญญาออกประกาศเมื่อใดจะส่งมาภายหลัง หนังสือพระยาสยามธุรานุรักษ์ กงซุลเยเนอราลสยามมีมาลงวันเดียวกันกับเมซันว่า ได้รับตราตั้งและขอบพระเดชพระคุณ กับว่าด้วยบุตรได้ช่วยรับการทั้งการเอกษหิบิเชนด้วย กับว่ามีผู้ซื้อของไทยมาก กับถามว่าของที่ส่งออกไปนั้น ถ้าจะส่งซื้อตามราคาบัญชีจะได้หรือไม่ ขอให้ส่งเงิน ๗๐๐๐ เหรียญตามขอส่งไป กับว่าด้วยการประชุมสำเร็จ กับการศพกิงแฮนโนเวอได้แห่ที่ปารีศในวันที่ ๑๘ ยูนแล้วไปฝังวินเซนอังกฤษ กับว่าด้วยได้ข่าวว่ากวีนสเปนตาย กับต้นหนังสือพิมพ์และคำแปลหนังสือพิมพ์เมอแกนไตแอดเวิดไตเซอเมืองปินัง ลงวันที่ ๒๖ ยูไล ว่าด้วยสมเด็จเจ้าพระยาออกไปจัดเมืองต้องสรรเสริญมาก

๕ ทรงตัดสินความท่านทองกับพระพิทักษ์เทพธานีแพ้เพราะพินัยกรรม์ แต่ด้วยพะยานพระไม่สม พะยานกรมการแตกเสีย ๒ คน อยู่แต่ ๓ คน กับบาญแผนกมีชื่อพระพิทักษ์ผู้ได้อยู่ด้วยลูกขุนปรึกษาว่าเป็นพินัยกรรม์ไม่ได้

๖ พระยาสมบัติยาธิบาลเฝ้าถวายจำนวนพระภาษีกู้เงินปีชวดอัฐศกเงิน ๒๐๐ ชั่งคิดดอกเบี้ยชั่งละบาท พระภาษีส่งต้นเงิน ๔ ครั้งเสร็จแล้ว ค้างดอกเบี้ยอยู่ ๓๔ ชั่ง ๑๓ ตำลึง ๒ บาท จึงทรงเซ็นท้ายเรื่องราวพระภาษีถวาย วันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๙ พระราชทานพระยาสมบัติยาธิบาลไปว่า รายพระภาษี ๆ ทำการโรงหีบอ้อยนี้ ได้ออกเงินช่วยไปคราวก่อน ๒๐๐ ชั่ง กีเพราะประสงค์จะให้การโรงหีบเจริญเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง พระภาษี ฯ ทำการก็ไม่มีกำไรตลอดไปได้ บัดนี้จะขอยกดอกเบี้ยเป็นเงิน ๓๔ ชั่ง ๑๔ ตำลึง ๒ บาทนั้น เดิมก็ได้ว่าไว้แล้วว่าดอกเบี้ยนั้นก็ไม่ต้องการนัก ขอแต่การเจริญอย่างเดี๋ยว บัดนี้ก็ยอมยกดอกเบี้ยให้พระภาษีตามขอ แต่ข้อซึ่งจะขอเงินไปทำทุนใหม่อีก ๕๐๐ ชั่งนั้น เงินทุนที่ออกเสียในการโรงหีบนี้ ได้มอบธุระวางใจแก่พระยาสมบัติยาธิบาล ๆ เห็นควรว่าจะให้ในคราวนี้สักเพียง ๒๐๐ ชั่งก่อน ก็จะต้องให้แต่ ๒๐๐ ชั่งเท่าที่พระยาสมบัติยาธิบาลตามเคย แต่อย่าให้เลื่อนเปื้อนบิดหนังสือสัญญาไปเหมือนดังคราวนี้ ให้พระยาสมบัติยาธิบาลเบิกเงิน

๗ ออกขุนนาง คลังให้พระภาษีเหมือนดังแต่ก่อนเถิด เซ็นท้ายเรื่องราวนายเยื้อน ว่าความรายนี้ให้กรมพิชิตสอบถามพระสุริยภักดีดู ได้ความประการใดมาบอกให้ทราบจะตัดสินให้

๘ พระยาศรีอ่านบอกเมืองนครนายก ๓ ฉะบับ เรื่องผู้ร้ายลักกระบือ

๙ กรมมหาดไทยถวายหนังสือราชการปีระกาเบ็ญจศกเล่ม ๑ ปีจอฉอศก เล่ม ๑ กรมท่าเล่ม ๑

๑๐ พระองค์เจ้าเทวัญถวายบัญชีของแต่งตำหนักพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์เจ้าสุนันทา พระองค์เจ้าสว่าง พระองค์เสาวภา รวมเป็นเงิน ๙๘ ชั่ง ๕๙ บาท ๔๐ สลึง กับทรงเรียกบัญชีแพร พระราชทานข้างในเงิน พระราชทานหนังสือสำคัญ ๒ ฉะบับ

๑๑ พระพิเรนทรถวายรายโทษอ้ายเร่ง อ้ายพุ่ม อ้ายโต อ้ายโนราไชย ผู้ร้ายปล้นต้องพระราชอาชญาจำคุก ที่ถวายฎีการับพระราชทานโทษ โปรดให้พระพิเรนทรไปตรวจทั้ง ๒ ฉะบับนั้น

๑๒ พระนรินทรถวายงบเดือนภาษีฝิ่น ภาษีร้อยชักสาม เดือน ๗ ภาษีร้อยชักสาม มีเรือกำปั่นไฟ ๘ เรือใบ ๗ เรือใหหลำ ๑๒ เรือแง่ ๕ รวม ๓๒ ลำ รวมราคาสินค้า เดิมบอก ๒๘๑๐๕๐-๘-๔-๗ ตีขึ้น ๑๖๒๐๕-๓-๙-๙-๕ รวม ๒๙๗๒๕๖-๒-๔-๖-๕ เหรียญ เรียกภาษีได้เงินได้ผ้า เงิน ๘๙๑๗-๖-๘-๗ เป็นเงิน ๑๘๕ ชั่ง ๑๕ ตำลึง ๒ บาท ๓ สลึงนั้น จำหน่ายเงิน ๔๙ ชั่ง ๑๙ ตำลึง ๑ ไพ คงเรียกได้เงิน ๑๐๑ ชั่ง ๘ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง ได้ผ้าลาย ๑๙๕ กุลี ๑๐ ผืน

วันศุกร์ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิ์ศก ๑๒๔๐

๑ รับหนังสือกงซุลอเมริกันมีมาที่เจ้าพระยาภาณุวงศ์ๆ ส่งมา ฉะบับหนึ่งกงซุลอเมริกันนำส่งต้นหนังสือหมอแมกคินเอซีหมอซิกซึ่งอยู่เมืองเชียงใหม่มีลงมาถึงกงซุลอเมริกันฉะบับหนึ่ง ลงวันที่ ๑๕ ยูน ตรงวันเสาร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ กับส่งคำขอให้ประกาศในเมืองเชียงใหม่ ๓ ข้อ (ตามที่ถวายวันอังคารขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๙) ฉะบับ ๑ ประกาศสำเนาหนังสือหมอแมกคินเอกับหมอซิกมีมาถึงกงซุล ว่าด้วยอุปราชเมืองเชียงใหม่ขัดขืนไม่ให้ลาวถือสาสนาพระเยซู เดิมหมอได้ไปขอปรึกษาเจ้านายลาว เจ้าอุปราชนั้นขัดขืนไม่ยอม ว่าเป็นเมืองขึ้นกรุงสยาม ต้องขอฟังบังคับกรุงสยาม ๆ ยอมจึงจะยอม ขอให้กงซุลช่วยว่า โปรดให้เราคัดสำเนาเอาไปถวายสมเด็จกรมพระ ควรจะมีตราหรือหนังสือไปถึงพระยาเทพ จะควรว่ากล่าวอย่างไรก็ให้ว่ากล่าวไปตามควรตามสัญญา อย่าห้ามหวงเขาตามแต่ใจจะถือ

๒ วันนี้ประชุมเคาน์ซิลออฟสเตตที่เก๋งวรราชสภาภิรมย์ ขุนหลวงพระไกรศรี ขาด พระยามหาอำมาตย์ พระยาธรรมจรันยา ป่วย ๒ คน ประชุม ๑๐ คน กับพระยาศรีปรีวิเคาน์ซิลอีกคนหนึ่ง รวม ๑๑ คน ตกลงโหวตพระยาภาษกรวงศ์เป็นไวซ์เปรซิเดนต์ แล้วให้แปลกฎหมายและเรียงความกับด้วยขุนหลวงพระไกรศรีให้ชัดเจน แล้วจึงประชุมปรึกษาพร้อมกันภายหลัง

๓ ท้าวราชกิจถวายคำฟ้องสมเด็จเจ้าพระยากับนิราศหนองคาย ว่าด้วยท่านได้เห็นหนังสือนิราศฉะบับนี้ ว่ากล่าวเสียดแทงเป็นที่ช้ำชอกแก่ผู้บังคับการแผ่นดินหนัก ลงพิมพ์ไว้ดังนี้ก็คงติดอยู่ช้านานยืดยาวไป คนในกาลนี้ก็รู้ว่าว่าคนพวกฟุ้งสร้านมันทำ ต่อไปภายหน้าถ้าล่วงกาลนานไปก็เป็นความติเตียนผู้ครอบครองไม่รู้สิ้นรู้สุด คนพูดสำนวนฟุ้งสร้านดังนี้มีมาทุกแผ่นดิน แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จางวางเสือทำหนังสือทิ้งว่าหม่อมไกรสร ท่านก็เอาโทษ เจ้าพระยาบดินทรเดชาไปทัพเขมร หมื่นไวยเพงนอกราชการ นายเถื่อนคางแพะ พูดจาติเตียนแม่ทัพนายกอง ท่านก็เอาโทษถึงตายทั้งนั้น และผู้ทำนิราศแต่ก่อนมา พระยายมราชกุญ หม่อมพิมเสนครั้งกรุงเก่า หลวงสุนทรภู่ครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลยก็ทำไว้หลายเรื่อง หาได้กระทบกระทั่งถึงการแผ่นดินไม่ ผู้ที่ทำนิราศฉะบับนี้ ว่าความก้าวร้าวหนัก ด้วยการจะบังคับบัญชารักษาแผ่นดินต่อไป จะเป็นที่ชอกช้ำด้วยถ้อยคำของคนที่กล่าวเหลือ ๆ เกิน ๆ ได้เขียนจดหมายชี้ข้อติดมาในหนังสือพิมพ์นี้ด้วยแล้ว หน้า ๒ บรรทัดที่ ๓ ว่าข้อนี่ไม่ควรจะเอาพระนามมาดัดแปลงใส่หนังสือเพลงยาว นิราศหน้า ๒๓ ตั้งแต่บรรทัดที่ ๑๓ ลงไปจนหมด ว่าข้อนี้เป็นความติเตียนแก่ผู้บังคับกองทัพว่าไม่รู้จักฤดูกาลที่ควรและไม่ควร หน้า ๒๔ บรรทัดที่ ๑ ไปจนที่ ๕ ว่าข้อนี้เป็นความกระทบกระเทียบแรงนัก หน้า ๓๐ บรรทัดที่ ๑๕ ลงไปจนหมดว่าข้อนี้ยกข้างหนึ่ง ติเตียนข้างหนึ่ง หน้า ๓๑ บรรทัดที่ ๖ ลงไปตลอดหน้าว่าข้อนี้ผู้ขึ้นไปตักเตือนขาดเมตตาจิตต์ ไม่มีความกรุณาแก่ไพร่พลทั้งปวง หน้า ๑๕๔ ทั้งหน้าว่าข้อนี้หยาบคายเรี่ยวแรงนัก

๔ รับสั่งให้ท้าวแพไปหาตำรวจเวร เป็นเวรพระยามหามนตรี (รับสั่งว่าไม่อยากให้เป็นพระยามหามนตรี ก็เผอินให้ถูกด้วยก็เป็นจนใจ) ซึ่งพระราชทานคำกระทู้ให้ไปเอาตัวอ้ายทิมมาถาม ว่าอ้ายทิมผู้แต่งหนังสือนิราศว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปรึกษาพร้อมด้วยท่านเสนาบดี จัดกองทัพขึ้นไปเพื่อจะป้องกันพระราชอาณาเขตต์ ให้ข้าขอบขันฑสีมาอยู่เย็นเป็นสุขทั่วกัน อ้ายทิมไปในกองทัพเจ้าพระยามหินทร แล้วกลับมาแต่งหนังสือนิราศ ในหนังสือนั้นหาเป็นเหมือนนิราศทั้งปวงซึ่งผู้อื่นทำครวญถึงลูกเมียและว่าถึงระยะทางอย่างเดียว หนังสือนิราศฉะบับนี้กล่าวความเหลือเกินไปต่าง ๆ คือออกพระนามพระเจ้าแผ่นดินเปลี่ยนแปลงสร้อยประกอบลงในนิราศ ซึ่งเป็นหนังสืออ่านเล่น และติเตียนผู้บังคับการว่า ไม่รู้จักฤดูกาลที่ควรและไม่ควรและฆ่าอ้ายฮ่อ เปรียบเทียบยกย่องข้างหนึ่ง ติข้างหนึ่ง และด่าผู้ติเตียนกองทัพข้างท้ายหนังสือโดยคำหยาบคายเรี่ยวแรงดังนี้ อ้ายทิมทำหนังสือเหลือเป็นการหมิ่นประมาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินและท่านเสนาบดีผู้บัญชาการ และล่วงเกินเข้าไปพูดจาถึงราชการจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง จะเป็นแบบอย่างให้ราชการแผ่นดินภายหน้าเสียไปดังนี้ อ้ายทิมจะมีความผิดหรือไม่ (พระกระทู้ต้องจำถาม) ออกขุนนาง

๕ พระยาจ่าแสนยอ่านบอกเมืองเสียมราฐส่งเงินแทนส่วยขี้ผึ้งเร่ว เมืองพรหมบอกน้ำฝนต้นข้าว

๖ พระนรินทรทูลให้หลวงพิพิธอ่านบอกเมืองปทุมธานีน้ำฝนต้นข้าว

๗ พระยามหามนตรีถวายคำสารภาพอ้ายทิมผู้แต่งหนังสือนิราศหนองคาย ทรงเซ็นให้ลงพระราชอาชญา ๕๐ แล้วจำคุก พระยามหามนตรีกลับออกไปลงพระราชอาชญา ๕๐ แล้วจำคุกเดี๋ยวนั้น แล้วทรงกริ้วต่อไปมาก

๘ พระยาจ่าแสนยทูลพระพหลกราบถวายบังคมลาไปเมืองลพบุรี จัดการรับเสด็จ

๙ พระยารองเมืองถวายบัญชีชื่อหม่อมเจ้าในกรมพระเทเวศ มีชาย ๕ หญิงมีผัว ๓ ยังไม่มีผัว ๕ รวม ๘ รวม ๑๓ องค์

๑๐ รับคำโทรเลขเรือสงครามครรชิตเข้ามาจากบ้านดอนมากรุงเทพ ฯ

๑๑ มิศซิสเมียกงซุลวิลันดาจดหมายขอบพระเดชพระคุณพระราชทานต้นไม้

๑๒ ทรงเซ็นแซงชั่น พระยารัตนโกษาทำถนนต่อสะพานเหล็กบ้านพระยารัตนโกษาไป ข้อนี้ได้สั่งก่อนให้ทูลกระหม่อมองค์น้อยดูการถนน จึงรับสั่งให้ไปดูตัวอย่างต่อที่ทูลกระหม่อมพระองค์น้อย

วันเสาร์ขึ้น ๑๒ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ รับหนังสือพระยาราชถวายว่า พระสยามลาวบดีปลัดกรมการเมืองสระบุรีบอกลงมาฉะบับหนึ่งว่า วันพุธ ขึ้น ๑๑ ค่ำเดือน ๘ เวลา ๓ ยามเศษ มีผู้ร้าย ๑๖-๑๗ คน ปล้นเรือนนายพ่วง อำแดงหลี บ้านสองยางตำบลหนึ่ง ตีปล้นเรือนนายคำ อำแดงหลี บ้านหัวนาตำบลหนึ่ง ผู้ร้ายได้เงินรายนายพ่วง ๕ ชั่งเศษ รายนายคำ ๔ ชั่งเศษ กับสิ่งของรูปพรรณหลายสิ่ง ออกสืบยังไม่ได้ตัว ครั้นวันอังคาร แรม ๒ ค่ำเดือน ๘ เวลา ๓ ยาม มีผู้ร้ายปล้นเรือนนายเทดอำแดงคำ บ้านผ่าไผ่ ผู้ร้ายตีฟันอำแดงเภามารดานายเทด นายเทดภรรยามีบาดแผล กรมการสืบจับผู้ร้ายรายนี้ได้ ๑๒ คนกับของกลาง ผู้ร้ายรับเป็นสัตย์ ยังเร่งของกลางอยู่

๒ เราเฝ้าทรงกะโปรแกรมเฉลิมพระชนม์พรรษา

๓ พระยาภาษถวายหนังสือพระยาอัษฎงค์ ว่าได้รับพระราชหัตถ์เลขาลงวันเสาร์ แรม ๑๔ ค่ำเดือน ๗ ฉะบับหนึ่ง ลงวันอังคารแรม ๒ ค่ำเดือน ๘ ฉะบับหนึ่ง กับพระราชหัตถ์ถึงเกาเวอนเนอสิงคโปร์ฉะบับหนึ่ง ส่งแล้ว เมียและเกาเวอนเนอจะเข้ามายังไม่มีกำหนด ซึ่งทรงเห็นว่าตำมะหงงคงจะสมคิดเป็นแน่นั้น ด้วยอังกฤษอุ้มชูตำมะหงงจึงได้สมคิดโดยง่าย เขาทราบว่าตำมะหงงจ้างช่างเขียนรูปกวิ่นแล้วเอาไปถวาย ทรงแล้วเอากลับมาไว้ที่บ้านเกาเวอนเนอสิงคโปร์ โปลิติกของอังกฤษมีผู้ติเตียนมาก เหมือนคราวนี้เตอรกีรบกับรุสเซียนั้น เพราะอังกฤษเป็นผู้ยุยงให้รบ เตอรกีจึงยับเยินมาก ชุมนุมทำสัญญารุสเซียก็ไม่เสียเปรียบประการใด อังกฤษกลับเอาไซรเบือดของเตอรกีมาได้ ออสเตรียไม่ต้องรบพุ่งก็ได้เมืองบอสเนีย และเมืองอารโกปีเนีย ๒ เมืองเปล่า ๆ เตอรกีก็ต้องเป็นลูกหนี้รุสเซียและอังกฤษทั้งสองฝ่าย เมืองบอสเนีย เซอเวีย มอนตินิโกร โรบีเนีย ก็ตั้งเป็นอินดิเปนเดนต์ ไมตรีกับรุสเซีย รุสเซียได้เมืองบอสเติน ๑ เก ๑ บาสริเวีย ๑ ตั้งให้เป็นฟรีโพ้ตให้ค้าขายโดยสดวก นานไปรุสเซียจะแข็งแรงจะทำการลำบากต่อไป ฝ่ายอังกฤษโปลิติกจะเสียเปรียบเป็นมั่นคง ด้วยขุนนางอังกฤษยังทำผิดๆ ถูกๆ ข่มเหงผู้น้อยในเมืองเอเชียอยู่เนือง ๆ กับทราบว่าพระราชทานพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาอุณหิศนั้น มีความยินดีเป็นที่ยิ่ง กับส่งคืนพระราชหัตถ์ถึงท่าวแพ กับส่งหนังสือพิมพ์เรื่องสมเด็จเจ้าพระยาไปเมืองตรังเข้ามาด้วย วันศุกร์ขึ้น ๔ ค่ำเดือน ๙

๔ แล้วถวายบิลมิสเตอรชูเรนค่าพระรูปเขียนน้ำมันทูลกระหม่อม ๑ ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๑ กรมสมเด็จพระสุดารัตน ๑ พระองค์ศรีวิไลย ๑ เจ้าจอมมารดาแพ ๑ พระที่นั่งวโรภาศพิมาน ๑ รูปเขียนเกาะบางปอินวรนาฏ ๑ คลองบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ๑ รวม ๘ พระรูป ทูลกระหม่อมเล็กเขียนน้ำมันอีก ๑ รวมราคา ๖๙๒ เหรียญ ค่าเครื่องโต๊ะและขวดปักดอกไม้เป็นพระรูป ๑๔๗๒ เหรียญ รวมเงิน ๒๑๖๕ เหรียญ พระราชทานหนังสือสำคัญเป็นเงิน ๔๕ ชั่ง ๘ บาท ๑๖ สลึง

๕ รับหนังสือทูลกระหม่อมพระองค์น้อย ไปรเวตว่า ท่านทราบว่าพระยาเวียงในเข้าไปทูลขอหลวงอภัยพิทักษ์เป็นพระรามพิไชย ท่านเห็นชอบด้วยแล้ว แต่ที่หลวงอภัยพิทักษ์นี้ ท่านเห็นว่านายสวัสดิ์เป็นที่ขุนสรรพพลแกล้ว ขุนป้อมบุตรพระรามพิชัยที่ถึงแก่กรรม ควรจะรับราชการได้ เคยทำการอยู่กับบิดา ๆ ได้ใช้สอยแทนตัวอยู่เนืองๆ ด้วยมีบุตรคนเดียวหน้าตาก็ดีด้วย แต่เป็นคนหนุ่มอยู่สักหน่อย ขอรับพระราชทานให้นายสวัสดิ์เป็น ด้วยนายสวัสดิ์เดิมพระรามพิไชยได้มาฝากไว้แก่ท่านให้ใช้สอย พอได้รับราชการเกื้อตระกูลบิดาบ้าง ประการหนึ่งที่พระรามพิไชยตกเป็นของหลวงอภัย ๆ ก็เป็นอาว์ เห็นจะรับราชการได้เรียบร้อย แต่นายสวัสดิ์คนนี้ พระยาเวียงในทราบว่ามาอยู่ในท่านมีความขัดเคืองได้กระทบกระแทกแก่นายสวัสดิ์อยู่เนือง ๆ เกรงว่าจะขอที่หลวงอภัยให้ผู้อื่นเสียเป็นแน่ ถ้าโปรดให้นายสวัสดิ์เป็นก็จะได้เป็นคนใช้สนิทของท่านบ้าง เพราะคนในกรมล้อมวังเก่าๆ อยู่ข้างจะห่างท่านนัก ถึงการเหล่านี้ก็ไม่ได้มีใครมาปรึกษาท่านก่อนเลย (รับสั่งกับเราว่าที่นี้พระยาเวียงในก็ไม่ได้ขอ ด้วยทรงเคยใช้สอยหลวงภาพลแสนซึ่งเป็นนายด้านพระที่นั่ง จึงจะให้เป็นหลวงอภัย ๆ ที่จะให้เป็นพระรามพิไชยเล่าก็ทรงเอง ตำแหน่งที่ล้อมพระราชวังนี้ ใครจะขอไม่ได้ ต้องเป็นของนายหลวงทรงเอง จึงทรงว่าเห็นหลวงอภัยจะไปขอให้ท่านว่า จึงมีพระราชหัตถ์ไปรเวตไปฉะบับหนึ่งดูเหมือนจะให้เป็นหลวงอะไรในขุนป้อม โดยเกรงพระทัยท่าน)

๖ นายบำรุงจดหมายถวายทูลขอที่บ้านจีนจ้ายเจ้าภาษีใหม่ที่ตาย เงินหลวงค้างที่กว้าง ๖ วา ๒ ศอก ยาว ๑๓ วา กับมีเรือนฝากระดาน ๓ หลังกับแพ ๆ หนึ่ง

๗ ออกขุนนาง พระยาศรีอ่านบอกพระอุทุมพรเทศานุรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองอุทุมพรพิไสยไม่ขอขึ้นเมืองขุขันธ์ จะขอยกมาขึ้นกรุงเทพ ฯ ว่าด้วยข่มเหงเรื่องส่วย จมื่นประธานมณเฑียรหลวงเทเพนทร ข้าหลวงกรมการเมืองอินทร บอกเรื่องชำระผู้ร้าย ขัดข้องด้วยผู้ร้ายเป็นคนรับสินค้าคนต่างประเทศไปจำหน่าย จะไปเอาตัวอำแดงบ๋อยคนสับเยกออกขัดขวางต่อสู้ แต่ไม่ทราบว่าสับเยกชาติใดแล้ว

๘ มีพระราชหัดถ์ถึงพระยาราชฉะบับหนึ่ง ว่าด้วยเดิมคิดเงินไปให้ ๙๑๓๒ บาท ไปคิดจัดข้าวแจกพระสงฆ์และราษฎรได้ ๖๖๔๑ ส่วนนั้น จะแจกพระสงฆ์เสีย ๔๐๐๐ ส่วนเศษ เห็นว่าส่วนที่แจกราษฎรมีอยู่แต่ ๒๐๐๐ ส่วนเศษ น้อยนัก ยอมพระราชทานเงินอีก ๓๔๒๗ บาท ๒ สลึงเฟื้อง ให้ครบ ๙๑๓๒ ส่วนนั้น ให้พระยาราชจัดซื้อข้าวปลาเพิ่มเติมขึ้นให้เต็มตามส่วน เมื่อกำหนดจะเอาวันละเท่าไรแน่จึงจะบอกมาให้ทราบต่อครั้งหลัง ในพระราชหัตถ์ลงวันเสาร์ขึ้น ๑๑ ค่ำเดือน ๙ นั้นผิด คือขึ้น ๑๒ ค่ำ กับนำเบอรลงไปว่า ๒๑๙ ผิด คือ ๒๒๙

๙ เจ้าจำเริญ พระครูพราหมณ์ พระสิทธิไชย โหรมีชื่อถวายฎีกาจันทรอุปราคา วันจันทรขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๙

วันอาทิตย์ขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ รับหนังสือเจ้าพระยาภาณุวงศ์ส่งร่างหนังสือตอบกงซุลอังกฤษว่าด้วยตั้งกงซุลเมืองเชียงใหม่เข้ามา ว่าสมเด็จเจ้าพระยาให้ความร่างหนังสือแล้ว ท่านได้แก้ไขว่าดีแล้วจึงส่งเข้ามาทูลเกล้า ฯ ถวายร่างหนังสือข้างต้น ตามร่างเจ้าพระยาสุรวงศ์ร่างมาวันจันทรแรม ๙ ค่ำเดือน ๗ แต่ตั้งแต่ที่ว่าแต่คอเวอนเมนต์สยามมีความวิตกอยู่ว่า เจ้านายไพร่บ้านพลเมืองลาวเมือง ฯลฯ ความรู้และประพฤติรักษาธรรมเนียมให้เหมือนชาวยุโรปยังไม่ได้นั้น ท่านว่ามาว่าให้เหมือนชาวยุโรปนั้น ไม่มี แล้วเติมว่า แต่ข้าหลวงกรุงเทพ ฯ ที่ให้ขึ้นไปตั้งอยู่ณเมืองเชียงใหม่ทุกวันนี้ คอเวอนเมนต์สยามก็ยังไม่เป็นที่ไว้ใจมั่นคงลงได้ ก็ถ้าจะตั้งไวซ์กงซุลขึ้นแล้ว ฯลฯ (ความเก่า) ไปแปลกอยู่ที่ว่าความผิดของเจ้านายไพร่บ้านพลเมืองลาวก็จะมาตกอยู่แก่คอเวอนเมนต์สยามดังแต่ก่อนอีก ท่านตัดที่ว่า ดังแต่ก่อน เสียขาดทีเดียว กับที่ว่า ข้าพเจ้าขอท่านส่งความวิตกของคอเวอนเมนต์สยามออกไปยังท่านคอเวอนเมนต์อังกฤษซึ่งเป็นประเทศใหญ่ได้เปิดความสว่างของกรุงเทพ ฯ ก่อนประเทศทั้งปวงออกเสีย เติมว่า ที่ได้ทำทางพระราชไมตรีกับกรุงเทพ ฯ ให้เจริญขึ้นก่อนประเทศทั้งปวงได้ทราบไว้ก่อน ต่อนั้นก็ลงความ ฯ จึงรับสั่งให้เอาไปถวายสมเด็จกรมพระทอดพระเนตร ท่านจึงรับสั่งว่าร่างนี้ให้พระยาศรีร่างมาให้ท่านแก้ ท่านไม่อาจแก้ไป กลัวจะว่าเอาต่าง ๆ ต้องแก้ข้อที่เพิ่มเติมเสียเห็นจะดี เอาเข้ามาทูลจึงตกลงแก้ที่ว่า แต่ข้าหลวงกรุงเทพ ฯ ที่ให้ขึ้นไปตั้งอยู่ณเมืองเชียงใหม่ทุกวันนี้ คอเวอนเมนต์สยามก็ยังไม่เป็น/*267ที่ไว้ใจมั่นคงลงได้ นั้น แก้เสียใหม่ว่า แต่ข้าหลวงกรุงเทพ ฯ ขึ้นไปตั้งอยู่ณเมืองเชียงใหม่ทุกวันนี้แล้ว ก็ยังไม่ใคร่จะเรียบร้อยลงได้ เท่านั้นแล้วส่งไป ได้ตอบพรุ่งนี้ คัดไว้ในสำเนาหนังสือต่าง ๆ ที่ ๖ ฉะบับหนึ่ง

๒ พระอินทรเทพจดหมายถวายว่าวันเสาร์ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๙ อำเภอบางระมาดจับตัวอีแข อ้ายแดง อ้ายเจ็ก กับถุงย่ามของกลางมีเงิน ๓ บาท ๑ เฟื้องกับตะกรุดทองคำ ๒ ดอก หนัก ๑ เฟื้อง ๓ ไพ ของอำแดงด้วงชาวเรือ อีแข อ้ายแดง อ้ายเจ็ก ผู้ร้ายล้วงเรือรับเป็นสัตย์ กับว่าเที่ยวทำดังนี้อยู่เนือง ๆ

๓ วันนี้รับสั่งกับเราด้วยได้ทราบข่าวว่าสมเด็จเจ้าพระยา เจ้าพระยาสุรวงศ์ เจ้าพระยาภาณุวงศ์ ชมพระปัญญาในล้นเกล้า ฯ มากว่าชำระความเรื่องนิราศหนองคายรวดเร็วดี รวบหัวรวบท้ายไม่ยืดยาวได้ ไม่ถึงเจ้าพระยามหินทรประการหนึ่ง ถ้าช้า เจ้าพระยามหินทรก็จะออกขวาง ๆ รี ๆ ท่านคิดไม่เห็นว่าจะแล้วในคำนั้น ๆ เราก็ได้กราบบังคมทูลว่า ได้ทราบมาจากจ่ายงว่าเจ้าพระยามหินทรก็คิดถึงพระเดชพระคุณมาก เห็นว่ายังจะทรงชุบเกล้า ฯ เลี้ยง ทรงประคับประคองไม่ให้ถึงตัว แต่โกรธข้างโน้นมากว่าจงล้างจงผลาญ ออกขุนนาง

๔ พระยาศรีอ่านบอกน้ำฝนต้นข้าวเมืองลพบุรี แล้วพระยาจ่าแสนยถวายร่างตราถึงพระยาเทพ ให้ส่งความมองกุณ แสนบันบุง ตามความเห็นสมเด็จเจ้าพระยา

๕ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์น้อยจดหมายถวายฉะบับหนึ่ง ว่าพระยารองเมืองไปทูลขอตัวอย่างท่อถนน ว่าจะไปแก้ถนนเจริญกรุง บำรุงเมือง และถนนอื่น ๆ ที่มีท่อน้ำในพระนคร ท่านมีความสงสัยอยู่ว่าท่านได้นำตัวอย่างเข้ามาถวาย ขอรับพระราชทานให้ทำถนนเป็นอย่างใหม่ และจะแก้ท่อเก่า ก็ทรงพระกรุณาโปรด ๆ แล้วท่านจะได้ลงมือแก้พร้อมกับทำถนน พระยารองเมืองมาแจ้งดังนี้ ไม่ทราบพระกระแสว่าจะโปรดเกล้า ฯ ประการใด จะได้จัดการตามพระราชดำริ อนึ่งตั้งแต่โปรดเกล้า ฯ ให้ทำถนนให้เรียบร้อยนั้น ก็ยังหาได้ลงมือทำไม่ เพราะถนนจะใช้ด้วยศิลา ได้ศิลายังน้อยอยู่ ศิลาที่ปากน้ำลูกค้าก็บรรทุกมายังไม่ถึง การจึงหาได้ลงมือทำไม่ ขอรับพระราชทานการที่จะเอาศิลาตั้งแต่ปากน้ำขึ้นมาถึงกรุงเทพ ฯ ท่านจะได้จัดการให้ทันกับบรรทุกศิลาเข้ามาถึงปากน้ำ

๖ ทรงสั่งพระยารองเมืองให้จัดคนชราและราษฎรที่ขัดสนรับทานในการเฉลิมพระชนม์พรรษา ๓๐๐๐ เศษ กับรับสั่งให้เราไปทูลสมเด็จให้จัดพนักงานตรวจตราพระที่จะรับข้าวถังวัดพระเชตุพน เอาเจ้านายและตำรวจ ๗ วันนี้เราไปสั่งหีบหมากจะพระราชทานสมเด็จเจ้าพระยาแซยิดรอบ ๗๐ ที่มิสเตอรอาลบาศเตอ กำหนดให้เข้ามาถึงกรุงเทพ ฯ วันที่ ๑๕ ดิเซมเบอร

๗ หนังสือที่ตกหายเจ้าสายเป็นผู้สืบมาได้แต่พระวัดมหาธาตุ ว่าศิษย์วัดเก็บมาได้ เอาไปขายเลขเข้าเดือน

๘ เวลาค่ำเราไปอยู่ที่วังสมเด็จกรมพระถวายโปรแกรมเฉลิมพระชนม์พรรษาให้ท่านหมาย กับทูลให้ท่านกะเจ้านายและตำรวจตรวจตราถวายข้าวถังวัดพระเชตุพน

๙ เวลา ๔ ทุ่มพระองค์เจ้าสุนันทาประชวรครรภ์ เสด็จลงประทับอยู่ที่ตำหนักจันทร รุ่งยังไม่ประสูติ

๑๐ เทวัญถวายฎีกาจันทรอุปราคา

วันจันทรขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ ประทับอยู่ที่ตำหนักพระองค์เจ้าสุนันทา ได้เข้าที่เมื่อจวนรุ่งจนเช้า ๕ โมง

๒ เวลาบ่าย ๔ โมง มิสเตอรริชแมนกับภรรยาเข้ามาเฝ้า ท่านกาพย์เป็นผู้พาเข้ามา สมเด็จพระองค์น้อยทูลไว้แต่วานนี้ เสด็จกลับมาจากพระที่รับเขา แล้วมาประทับตรัสอยู่กับเราเรื่องประชวรครรภ์หน่อยหนึ่งแล้วเสด็จลงอีก

๓ รับงบเดือน ๘ เจ้าพนักงานหอรัษฎาถวาย เกณฑ์บุญ เงิน ๙ ชั่ง ๕๗ บาท ๕๖ สลึง งวดคลังเงิน ๖๒๑๐ ชั่ง ๗๗ บาท ๗๐๓๔ ชั่ง ๒ บาท ๔๘ สลึงนั้น ข้างที่ ๖๐๒ ชั่ง ๑๗ บาท ๕๖ สลึง ได้เงิน มีพระชนม์ ๓๖ ชั่ง ๖๓ บาท ๕๖ สลึง พี่นาง ๒๑๑ ชั่ง ๑๗ บาท ๕๖ สลึง จ่ายทองใบเนื้อ ๘/๗ ชั่ง กรมต่าง ๆ น้องยาเธอ ๑๓๖ ชั่ง ๗๑ บาท น้องนางเธอ ๓๗ ชั่ง ๗๑ บาท ลูกเธอ ๓๗ ชั่ง ๗๑ บาท เกณฑ์บุญ จ่ายเงินเกณฑ์บุญ ๑๐ ชั่ง งวดคลัง ๕๓๘๙ ชั่ง ๓๕ บาท ๒๔ สลึง รวม ๕๙๘ ชั่ง ๓๕ บาท ๒๔ สลึง

๔ รับคำโทรเลขฉะบับหนึ่งเรือไฟมาลำหนึ่งชื่อมาดากาศกา

๕ เวลา ๕ ทุ่ม ๑๑ นาฑี กับ ๒๕ วินาฑี พระองค์เจ้าสุนันทาประสูติพระราชบุตรี รกติดอยู่ประมาณ ๑๕ นาฑีจึงออก เราอยู่ที่วังสมเด็จกรมพระ ๆ กับเราเข้าไป รับสั่งให้เราแขวนพระกระโจมอย่างคราวก่อน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิงนั้น มีติ่งที่ริมพระกรรณข้างขวาหน้าออกมาตรงพระปราง ติ่งนั้นยาวประมาณ ๓ กระเบียดน้อย เมื่อเรากลับออกมากับสมเด็จกรมพระนั้น ฝนตกเวลา ๗ ทุ่ม ๔๕ มินิตถึงบ้าน

๖ มีพระราชหัตถ์ถึงเสด็จที่วัดขอรับประทานดวงพระชันษา (วันนี้เป็นวันจตุสไดด้วย) แล้วเสด็จขึ้นเข้าที่บันทมที่นั่ง

๗ ค่ำวันนี้เวลาตี ๑๑ ทุ่ม มีจันทรอุปราคา ประทานเทียนไปบูชาเจ้าขึ้นกระจาด

๘ สมเด็จถวายฎีกาจัน

วันอังคารขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ บันทมตื่นแล้ว เวลาเช้า ๔ โมงเศษ เสด็จพระที่นั่งทรงธรรมสังเวยเทวดาพระสยามเป็นต้นที่รักษากรุงเทพพระมหานครและพระราชอาณาจักรสยาม มืลครพระยามหามนตรี ทอดพระเนตรบนพระพุทธนิเวศน์ ด้วยพระราชดำริเห็นว่าเทพยดาซึ่งรักษากรุงสยามยังทำนุบำรุงพระองค์และกรุงสยามอยู่ จึงเผอิญให้เห็นปรากฏแก่ตาคือ เจ้าพระยาภาณุวงศ์และเจ้าพระยามหินทรเป็นคนไม่ชอบกันก่อนแล้ว เขาชอบกันใหม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ตั้งแต่พระไพไปขอลูกสาว พากันติเตียนในล้นเกล้ามาก เพราะเจ้าพระยาภาณุวงศ์เสียใจ ว่าทรงเชื่อถือเจ้าพระยาสุรวงศ์มากกว่าตัว เจ้าพระยามหินทรก็พลอยด้วย ครั้นเมื่อทรงตัดสินความพระยาจันทบุรี ก็พากันช่วยโต้ทานพระราชกระแสทั้ง ๒ คน แล้วพลอยช่วยความจีนแสงยุให้ร้องฎีกา เจ้าพระยามหินทรเล่า ก็หัดลครเล่นเรื่องราชาธิราช เมื่อลูกพระเจ้าอังวะประสูติบุตรสมิงพระรามเป็นเจ้าฟ้า ทำเครื่องประสูติเปรียบดังนี้ เทพยดาก็บังเอินให้ช่วยตกต่ำ ได้ความทุกข์สิ้นเกียรติยศปรากฏแก่ตา คือ เจ้าพระยามหินทรนั้นเล่า ต้องเป็นที่เจ็บใจเรื่องลครที่สมเด็จเจ้าพระยาว่าที่บ้านพระยามนตรีที่ ๑ เรื่องลูกเขยกับลูกสาวต้องแตกกันเพราะมีชู้กลางเมืองที่ ๒ เรื่องนิราศหนองคายที่ ๓ เจ้าพระยาภาณุวงศ์เรื่องลูกกับลูกสะไภ้ต้องแตกกันที่ ๑ เรื่องเจ้าพระยาสุรวงศ์จับเอาตัวนายแฉ่งนายหวานไปจำตรวนที่ ๒ เรื่องเจ้าจอมมารดาวังหน้าจับจีนแสนไปจำตรวนที่ ๓ เรื่องอีเอี่ยมปาราชิกที่ ๔ คนเหล่านี้ฝากตัวอยู่ที่นั่นทั้งนั้น สง่าและเกียรติยศก็เสียลงมากเลิกแตกกันทั้ง ๒ คน เป็นศัตรูกันขึ้น จึงทรงพระราชดำริเห็นว่าเครื่องเส้นนั้น เห็นจะไม่เสียเปล่า จึงได้ให้สังเวยเทพยดาอีกครั้งหนึ่งเป็นการคิดถึงบุญคุณ ทอดพระเนตรลครอยู่จนเวลาบ่าย ๕ โมงเศษเสด็จกลับ

๒ ทรงรับสำเนาหนังสือมิสเตอรแคสเวล ถึงเจ้าพระยาภาณุวงศ์ฉะบับ ๑ ลงวันที่ ๓ ยุไล ตรงกับวันพุธขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๘ ว่าเขาได้ไปถึงกรุงลอนดอนส่งตราตั้งและหนังสืออื่น ๆ ให้พระยาสยามธุรพาหะแล้ว บัดนี้เขามีความเสียใจมาก ต้องแจ้งความให้ทราบ ตั้งแต่นั้นมาพระยาสยามประพฤติต่อเขาเป็นไม่สู้ชอบใจเลย ในการที่เขาได้มา เข้ามาจัดการของพระยาสยามในกรุงเทพ ฯ นั้น เขาต้องออกจากที่เกี่ยวข้องกับพระยาสยามทีเดียว เขาก็็ได้แจ้งแก่พระยาสยามทราบแล้ว กับได้บอกว่าเขามีความนับถือในสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม และคอเวอนเมนต์เป็นอันยิ่ง และเขาอยากให้สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามและคอเวอนเมนต์เห็นจะแจ้งว่า เขายังมีความคิดถึงพระเดชพระคุณอยู่เสมอ จึงได้บอกพระยาสยามธุรพาหะว่า ถ้าแม้นพระยาสยามจะรับตามพระกระแสของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามให้เข้ามาในกรุงเทพ ฯ แล้ว เขาจะมีความยินดี จะรับการแทนพระยาสยามธุรพาหะอยู่ที่กรุงลอนดอน (พระยาสยามจึ่งโกรธเขา) อนึ่งการทั้งปวงที่เขามาจัดแทนพระยาสยามในกรุงเทพ ฯ เจ้าพระยาภาณุวงศ์ก็แจ้งอยู่หมดแล้ว ยังเป็นการพระยาสยามไม่ชอบใจ เขาจึงมีความเสียใจนัก เพราะเขาได้รู้จักกันเคยกับคนฝ่ายสยามมาก ในคราวที่เข้ามาเดี๋ยวนี้ ก็ตัดเสียเหมือนไม่ให้รู้จัก ความในหนังสือนี้จะให้พระยาสยามทราบด้วย กับขอต่อเจ้าพระยาภาณุวงศ์ว่า ความในหนังสือนี้จะเห็นสมควรให้ผู้ใดทราบ เพื่อจะได้ป้องกันรักษาชื่อเขาแล้ว ก็สุดแต่เจ้าพระยาภาณุวงศ์

๓ ขุนสมุทรเอาหนังสือไปรเวตพระยาเทพมาฝากเราไว้ถวายด้วย ยังเสด็จไปทอดพระเนตรลครอยู่ ค่ำเสด็จออกประทับตรัสอยู่กับเราด้วยเรื่องราวต่าง ๆ เราถวายหนังสือพระยาเทพมีอยู่ ๒ ฉะบับ ลงวันจันทรแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ ว่าด้วยรับพระราชหัตถเลขาลงวันพุธขึ้น ๓ ค่ำเดือน ๒ ปีฉลูนพศก ว่าทนายมองกุณะโจทก์มาว่ากับพระยาศรีว่าเมื่อจะลงมานั้น ได้ถามพระยาเทพว่าลงไปกรุงเทพ ฯ แล้ว ความไม่แล้ว จะต้องกลับขึ้นมาอีกดอกกระมัง พระยาเทพได้ตอบว่า ลงไปกรุงเทพ ฯ คงจะแล้วเสด็จนั้นพระเดชพระคุณเป็นล้นเกล้า ฯ ซึ่งพระยาศรีกราบทูลว่าทนายมองกุณะโจทก์มาว่ากับพระยาศรีนั้น คือผู้ใดเป็นทนายมองกุณะ แกไม่ได้มีบอกลงมาว่ามองกุณะแต่งให้ผู้ใดว่าความต่าง ในบอกว่าแกมีว่า แกได้บอกให้มองกุณะโจทก์หนานอุดน้อยมหาไชยจำเลยลงมากรุงเทพ ฯ มองกุณะว่าได้ให้มองซวยเลนเป็นผู้ต่างตัวลงมาแล้ว เป็นแต่มองกุณะว่ามิใช่แกมีบอกลงมาว่ามองกุณะแต่งให้มองซวยเลนเป็นทนายว่าความต่าง จะได้ฟังเอาว่าเป็นทนายได้ กับข้อที่ว่ามองกุณะได้ถามแก ๆ ได้ตอบนั้น พระยาศรีได้ความแน่นอนมีสำคัญสิ่งใด จึงเชื่อฟังได้ จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูล ซึ่งพระยาศรีเป็นปรีวีเคาน์ซิลเป็นใจด้วยพะม่านำคำพะม่าไม่มีสำคัญขึ้นกราบบังคมทูลหมายจะให้แกผู้ไปราชการต่างพระเนตรพระกรรณดังนี้ พระยาศรีผิดต่อคำสาบาลปรีวิเคาน์ซิล (รับสั่งว่าพระยาเทพงอนไป) อีกฉะบับ ๑ ว่ามีใบบอกลงมาฉะบับหนึ่งคัดบอกถวายมาด้วยแล้ว ซึ่งเจ้านครลำปางกับราชวงศ์ทำดังนี้ ดังทั้งเมืองเชียงใหม่ พวกพะม่าพูดกันว่าเจ้านครกับราชวงศ์ทำเหมือนจะคิดกระบถ อนึ่งเมื่อเดือน ๔ ปีฉลูนพศก เจ้านครจับนายฟ้าร่วนจำคุกไว้ นายน้อยเรียวคำบุตรเจ้านครบอกกับเจ้านครว่าให้เอานายฟ้าร่วนไปฆ่าเสีย นายน้อยเรียวคำคนนี้เป็นคนชั่วร้ายมาก ฆ่าคนตายหลายคนแล้วไม่มีใครฟ้อง เพราะเป็นบุตรเจ้านคร เมื่อแกกับเจ้าเมืองเชียงใหม่ให้คนถือหนังสือไปถึงเจ้านครด้วยความนายฟ้าร่วน มีคนบอกว่านายน้อยเรียวคำจะคอยทำร้ายผู้ถือหนังสือให้ระวังตัว แต่ราชวงศ์นั้น พูดจาลบหลู่แผ่นดินมาก ขอพระราชทานเอาลงพระราชอาชญาจำไว้กรุงเทพ ฯ อย่าให้กลับขึ้นไปเลย ถ้าไม่หักราชวงศ์เสียคนหนึ่งแล้ว ลาวจะพากันกำเริบขึ้น เจ้านครคนนี้โง่ป่าเต็มที ไม่รู้จักผิดและชอบ เชื่อแต่ราชวงศ์คนเดียว เจ้านายอื่นๆ ก็แตกกันหมด สำเนาบอกลงวันจันทรขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๘ ว่าได้โปรดเกล้า ฯ ให้แกมีอำนาจชำระความลาวต่อลาวได้ แกก็ได้รับชำระความที่ราษฎรมาร้องกล่าวโทษเจ้านายท้าวพระยาที่สนาม ซึ่งว่าชำระความไม่เป็นยุตติธรรม ถ้าความยังไม่ได้ฟ้องสนาม มาฟ้องศาลต่างประเทศ แกก็ไม่รับชำระให้ไปร้องสนามก่อน ครั้นเดือน ๓ ปีฉลู นายฟ้าร่วนเมืองนครลำปางยื่นเรื่องราวกล่าวโทษเจ้านครและเจ้าราชวงศ์ เป็นเนื้อความหลายข้อ แกจึงมีจดหมายให้คนไปขอตัวราชวงศ์ต่อเจ้านคร เวลานั้นราชวงศ์อยู่นั้นก็พูดว่าเอาคานหามมาหามก็ไม่ไป เจ้าบุรีรัตน์เมืองเชียงใหม่อยู่นั้นก็ห้ามปราม ครั้นมา ๕-๖ วัน เจ้านครมีหนังสือมาว่าความเรื่องนี้เจ้านครยังไม่ทราบ ให้ส่งฟ้าร่วนไป จะชำระดูก่อน ถ้าไม่ตกลงจึงจะส่งมา แกจึงส่งความไป ครั้นมาประมาณ ๑๕ วัน เจ้านครมีจดหมายว่านายฟ้าร่วนเป็นกระบถ ถ้าไม่เกรงใจข้าหลวงจะปุดคอเสีย นายฟ้าร่วนจึงทำเรื่องราวให้ท้าวทองดีมายื่นแกอีกฉะบับ ๑ เจ้าเชียงใหม่ฉะบับ ๑ ความต้องกันว่าเจ้านครให้เจ้าบุรีรัตน์เชียงใหม่ชำระ เจ้าราชวงศ์ไม่ให้การ เจ้าบุรีรัตน์คบคิดกับราชวงศ์เอาเรื่องราวนายฟ้าร่วนส่งให้ราชวงศ์ไปแก้คดี และเจ้าบุรีรัตน์มาถามฟ้าร่วน ๆ ว่าแจ้งอยู่ในเรื่องราวแล้ว แล้วนายฟ้าร่วนกลับไปบ้านประมาณครู่หนึ่ง เจ้าบุรีรัตน์ให้คนไปหาตัวมาที่จวนเจ้านคร ๆ ก็ให้จำตรวนจำโซ่คอเอาโซ่ล่ามช้างหนักประมาณ ๕๐ ชั่ง ลุกนั่งไม่ได้ขังไว้ในที่มืด ขอให้ข้าหลวงและเจ้าเชียงใหม่ช่วย แกได้ปรึกษาพร้อมกับเจ้าเชียงใหม่ว่า ถ้าข้าหลวงไม่มีหนังสือไปถอดเห็นเกิดเหตุใหญ่ ก็พร้อมกันกับเจ้าเชียงใหม่มีหนังสือไปคนละฉะบับ ให้ถอดนายฟ้าร่วนออก เจ้านครก็ถอดออกจากจำ แล้วส่งตัวมาทั้งเจ้าราชวงศ์ แกได้พูดจาชี้แจงให้ราชวงศ์ตามกระบวนความให้ราชวงศ์คืนช้างให้นายฟ้าร่วนเสีย ให้ความเป็นเลิกแล้วแก่กัน เจ้าราชวงศ์ก็ไม่ยอมคืนให้ ว่าเจ้าญาณรังษีบิดานายฟ้าร่วนเอาช้างของราชวงศ์ไป เจ้าญาณรังษีถึงแก่พิราไลย มรดกตกแก่ฟ้าร่วน เจ้าราชวงศ์จึงให้ทาส ๓ คนไปเอาช้างฟ้าร่วนมา แกเห็นว่าราชวงศ์ไม่นั่งแล้ว จึงให้เจ้าอุปราชเชียงใหม่เป็นตระลาการ บังคับให้ส่งทาสตอนที่ฟ้าร่วนหาว่าเป็นผู้ร้ายก็ไม่ส่ง ครั้นวันอาทิตย์แรม ๑ ค่ำเดือน ๗ เจ้านครตามราชวงศ์มาเชียงใหม่ เจ้านครรวนกับแกว่าความมองกุณะแสนบันบุงนายฟ้าร่วนนี้ ไม่ยอมให้พระยาเทพชำระที่เชียงใหม่ ให้ส่งลงมาที่กรุงเทพ ฯ แล้วพูดแทนราชวงศ์เกะกะไปต่าง ๆ แล้วจะขอเอาราชวงศ์แล้วไป แกจึงบังคับเจ้าอุปราชให้แกเอาไว้ แล้วราชวงศ์จึงได้ส่งคน ครั้นวันพุธขึ้น ๑๑ เดือน ๘ เจ้าอุปราชมาแจ้งความว่า เจ้านครมาว่าจะขอเอาราชวงศ์กับทาสไป เจ้าอุปราชได้ให้ไม่ได้ต้องบอกข้าหลวง ครั้นวันพฤหัสบดีขึ้น ๑๒ ค่ำเดือน ๘ เวลาเช้าอุปราชยังไม่ตื่น เจ้านครพาราชวงศ์กับทาสหนีไป เมื่อเจ้านครอยู่เชียงใหม่แกได้ให้คนไปหาตัวมาจะชี้แจงเรื่องความ ๓ เรื่อง ก็หามาไม่ อนึ่งเมื่อเดือน ๔ ปีฉลู เจ้าเมืองมรแมนมีหนังสือมาฉะบับ ๑ ว่าส่างยาณะคนในบังคับอังกฤษ ทำมาหากินมีภรรยาอยู่เมืองนคร เมื่อเดือน ๗ ปีฉลู ชายมีชื่อ ๖ คน เป็นชาวเมืองแพร่ ปล้ำข่มขืนเปลี่ยนกันทำชำเราภรรยาส่างยาณะ ๆ จับได้ตัว ๒ คนชื่ออ้ายน้อยกา อ้ายข้อ เอาอายัดไว้กับพระยาวังซ้ายเมืองนคร ถามปากคำรับแล้วก็ไม่ปรับไหมให้ แกได้มีหนังสือไปเมืองนครให้ส่งตัวอ้าย ๒ คนมาชำระเชียงใหม่ เจ้านครก็ขัดเสียหาส่งไม่ ประมาณ ๒ เดือน ราชวงศ์มาเชียงใหม่ แกต่อว่าราชวงศ์เตือนให้ส่งจำเลย ๒ คน ได้ประมาณ ๑๐ วัน เจ้านครมีหนังสือมาว่า เมื่อพระยาเทพมีจดหมายไปให้ส่งคน ๒ คน ได้กะเกณฑ์คนจะมาส่ง มันคัดตรวนหนีไป ยังเกณฑ์คนติดตามอยู่ เมื่อได้ตัวจึงจะส่ง อนึ่งแกได้มีจดหมายให้เจ้านครที่เมืองเชียงใหม่ เมื่อวันพฤหัสบดีแรม ๕ ค่ำเดือน ๗ ให้ส่งตัวพระยาไชยมงคลเอื้อย จำเลย แสนบันบุง ในจดหมายกำหนดให้ส่งใน ๑๕ วัน ตามพระราชบัญญัติ ตั้งแต่วันเจ้านครจับจดหมายจนถึงวันกลับไปได้ ๒๑ ก็หาส่งไม่ แสนบันบุงก็มาเตือนอยู่เสมอ การจะควรประการใดแล้วแต่จะโปรด ได้คัดสำเนาเรื่องราวนายฟ้าร่วนกับคำให้การราชวงศ์มาด้วย

๔ ค่ำวันนี้ เราไปเฝ้าสมเด็จกรมพระ ทรงด้วยเรื่องพระลักขณาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอประสูติใหม่ และเรื่องกรมมเหศวร และครั้งพระนั่งเกล้าฯ ทูลกระหม่อมสวรรคต ยืดยาวมาก

วันพุธแรม ๑ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ กรมหมื่นนเรศรเฝ้าทูลด้วยสมเด็จกรมพระรับสั่ง ว่าพระลักขณาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงที่ประสูติใหม่นั้น เดิมวันประสูติท่านคิดว่าสถิตย์ราษีมิน แต่ครั้นไปสอบมหานาทีดูว่าสถิตย์อยู่ราษีเมษ กับนาฬิกาถวายมานั้นเป็นมินเต็มหว่างลักขณา ต้องใช้เป็นเอปริลไตม์ ว่าท่านจดหมายมาที่ท่านเทวัญนั้นความสั้นนัก ไม่ใคร่จะจะเข้าใจ ครั้นทำสอบเข้าก็ยังตกอยู่ในราษีมิน ประการหนึ่งเป็นที่สงสัย ที่เวลาเป็น ๑๗ มินิตน้อยเข้าแล้ว ทำไมจึงเลื่อนไปราษีเมษ กับเวลาที่ใช้แต่ก่อนนี้ก็ใช้มินไตม์ทั้งนั้น ถ้าแก้แล้วดวงเก่า ๆ ก็ต้องแก้หมด กับไม่อยากจะแก้แล้ว จะเป็นเหตุต่อไป รับสั่งให้กรมหมื่นนเรศรไปถามสมเด็จ ให้ท่านตรวจไล่เลียงดูเสียให้แน่

๒ รับสำเนาหนังสือเจ้าพระยาภาณุวงศ์ส่งเป็นหนังสือมิสเตอรเอมิลบาเดเลีย ผู้ว่าการแทนกงซุลสยามที่เมืองร่างกุ้ง มีเข้ามานำส่งเรื่องราวมิสเตอรชาเลเรนิเกาวีทูลเกล้า ฯ ถวาย ขอให้ช่วยการอย่างหนึ่ง ลงวันที่ ๒๔ ยุไล ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ ในเรื่องราวมิสเตอรชาเลเรนิเกาวีเมืองร่างกุ้งว่าเขาได้คิดการอย่างหนึ่งที่จะใช้แกลบต่างฟืน ใช้ในหม้อน้ำเครื่องจักรกลไฟหรือใช้การอื่น ๆ ที่จะต้องใช้ฟืนนั้นได้หลายอย่าง เขาได้รับหนังสือคอเวอนเมนต์อินเดียอนุญาตสิทธิ์แต่ผู้เดียว ผู้อื่นทำไม่ได้ เขาจึงขอรับพระราชทานเหมือนคอเวอนเมนต์อินเดียด้วย และเขาเข้าใจว่าเป็นธรรมเนียมในกรุงเทพ ฯ เผาแกลบทิ้งเสียเปล่าๆเป็นการโสโครกด้วย ไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย และการที่เขาได้คิดใช้ต่างฟืน และไม่ได้กลิ่นเหม็น การเป็นประโยชน์นี้เขาจะรับผู้เดียว ตามแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ สัญญาให้เขาประการใด ลงวันที่ ๑๗ ยุไล

๓ มีพระราชหัตถ์ถึงเจ้าพระยาภาณุวงศ์ฉะบับหนึ่ง ตอบเรื่องกงซุลอเมริกันมีมาว่าด้วยสาสนาเมืองเชียงใหม่นั้น ได้ส่งหนังสือไปถวายสมเด็จกรมพระ ให้ท่านมีตราถึงพระยาเทพแล้ว การสาสนาในเมืองเชียงใหม่ ได้สอบถามหลวงสุริยามาตย์ หลวงเสนีพิทักษ์ ซึ่งเป็นข้าหลวงที่สองที่ขึ้นไปอยู่ในเมืองเชียงใหม่ ได้ความว่าเจ้าเชียงใหม่หาได้ห้ามปรามไม่ แต่ลาวไม่ใคร่จะเข้าสาสนาเอง ผู้สั่งสอนก็แจกเงินทุกวันอาทิตย์ ผู้รับเงินก็เข้าสาสนาในวันรับเงินแจกวันเดียว ต่อไปก็อยู่เสียเฉยๆ การอย่างนี้ถึงกรุงเทพ ฯ ก็มี เมืองก็เป็นเมืองประเทศราช ไม่เคยประกาศขึ้นไปถึง และจะเหมือนต้อนคนให้เข้าสาสนา จะเป็นที่สะดุ้งสะเทือนใจพวกลาวมากนัก ตราที่จะมีขึ้นไปคราวนั้ ว่าเป็นแต่เพียงให้พระยาเทพว่ากล่าวเจ้าเชียงใหม่ทำให้ถูกต้องตามหนังสือสัญญา ฝ่ายกงซุลอเมริกันในกรุงเทพ ฯ นี้จะควรตอบประการใด พอให้แล้วกันไปได้ ขอให้ท่านคิดตอบเสียเถิด ให้คัดสำเนาคำแจ้งความหลวงสุริยามาตย์ หลวงเสนีพิทักษ์มาให้ท่านทราบไว้เสียด้วย

๔ คำหลวงสุริยามาตย์ คำหลวงเสนีพิทักษ์ ว่าเห็นหมอตั้งบ้านเรือนอยู่ฟากน้ำตะวันออก ห่างกับกำแพงเมืองประมาณ ๙-๑๐ เส้น มีหมอสำหรับสอนสาสนาคนหนึ่ง หมอสำหรับรักษาโรคต่าง ๆ คนหนึ่ง รวมบุตรภรรยา ๗ คน มีลูกจ้างลาวชายหญิงใช้สอยอยู่ประมาณ ๔-๕ คน ถ้าเจ้านายพระยาลาวท้าวแสนป่วยไข้สิ่งใด ก็ได้หาหมออเมริกันไปรักษาบ้าง ที่เป็นไพร่บ้านพลเมืองเจ็บป่วยก็ไปรักษาตัวอยู่ที่บ้านหมอก็มีบ้าง ครั้นถึงวันอาทิตย์ มีคนไปฟังเทศนาสั่งสอนอยู่ที่บ้านหมอประมาณ ๑๕-๒๐ คน ครั้นเทศนาสั่งสอนแล้ว บางทีหมอก็แจกเงินแก่ผู้ที่มาฟังเสมอคนละเฟื้องรูเปีย เจ้านครเชียงใหม่และเจ้านายทั้งปวงก็หาได้ว่ากล่าวห้ามปรามในการสาสนาและมีความรังเกียจกับหมอสิ่งใดไม่ (ถวายหลายวันมาแล้ว)

๕ กาพย์จดหมายถวาย ว่าด้วยหลวงสรจักรทูลลาไปช่วยพระยาธรรมจรันยาแต่พรุ่งนี้ จนวัน ๕ ค่ำ กับจมื่นสราภัยรับซ่อมมิวเซียม จะให้เปิดคราวเฉลิมพระชนม์พรรษานี้ ประมาณเงิน ๑๔-๑๕ ชั่ง

๖ ออกขุนนาง พระยาศรีอ่านบอกพระยาเทพ ซึ่งมีมาว่าด้วยฟ้าร่วนกับคำหาคำให้การราชวงศ์ แล้วทูลพระยาวิเศษฦาไชยผู้ว่าราชการเมืองฉะเชิงเทราคุมเงินค่าคลองเข้ามาส่ง ๘ ชั่ง ๖ ตำลึง แล้วเข้ามาเฝ้า กลับรับสั่งให้ทำรายงานพาราษฎรเข้ามาถวาย แล้วทูลพระพลสงครามเมืองตากเข้าเฝ้าด้วย

๓ พระยาพิพัฒน์ถวายสารบบความฉกรรจ์ในศาลเมืองนนทบุรี มีอยู่ ๑๓๕ เรื่อง แต่พระยานนท์กรมการทำสารบบยื่นแกแต่ ๑๓๒ เรื่อง ความฆ่ากันตายอีก ๓ เรื่อง พระยานนทบุรีโต้เสียหายื่นไม่ กริ้วพระยานนท์ว่าทิ้งให้ความรกร้างมาก แล้วปิดความฆ่ากันตายเสียถึง ๓ เรื่อง ให้พระยาพิพัฒน์เรียนเจ้าพระยาภาณุวงศ์เอาตัวมาจำตรวน มีกระทู้ถาม

๘ หลวงโลกทีปทูล พรุ่งนี้พระอาทิตย์เป็นสงกรานต์ เดือนย้ายมาราษีสิงห์

วันพฤหัสบดีแรม ๒ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ พระอินทรเทพเฝ้าถวายแผนที่สวนวังนันทอุทยานที่จะซ่อมทำโรงสกูลและขุดคลอง ราคาคลองตีมาแพง รับสั่งให้ไปคิดใหม่ แล้วถวายริโปดความอำเภอเดือน ๗-๘ ความเดิม ๒ ใหม่ ๑๕ รวม ๑๗ แล้ว ๑๒ คง ๕ แล้วเซ็นพระราชหัตถเลขาในเรื่องราวพระอินทรเทพถวายวันอาทิตย์ขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๙ ว่าให้เฆี่ยนอีแขต้นเหตุผู้บังคับ ๖๐ ที วังนันทอุทยานปีครึ่ง จึงให้พ้นโทษแล้ว

๒ เซ็นท้ายเรื่องราวพระยาอาหารขอขุนหมื่นวันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๙ ว่ายกให้เถิด

๓ มีพระราชหัตถ์ถึงเจ้าพระยาภาณุวงศ์ ว่าด้วยหนังสือไวซ์กงซุลเมืองร่างกุ้งนำหนังสือมิสเตอรชาเลเรนิเกาวี ซึ่งคิดจะใช้แกลบต่างฟืนในเครื่องจักรต่าง ๆ จะขอให้ให้เปแตนทำการในกรุงเทพฯ นั้น ได้ทราบแล้ว ธรรมเนียมที่ให้เปแตนกันนี้มีผู้ทูลขอหลายหน แต่ไม่อาจให้ด้วยไม่เคยมีธรรมเนียมมาแต่ก่อน ถ้าให้ไปแล้ว การที่จะห้ามปรามต่อไป ถูกคนต่างประเทศเข้าแล้วจะห้ามไปไม่ตลอดก็จะเสียไป ครั้นจะว่าไปว่าไม่ให้เปแตน ก็ดูเหมือนหนึ่งไม่บำรุงวิชาการในบ้านเมือง และธรรมดาเมืองที่เป็นเอกราชก็ย่อมจะมีอำนาจบังคับจัดการในบ้านเมืองของตัวได้ ที่จะบอกว่าทำไม่ได้นั้น ก็ดูเหมือนหนึ่งว่าไม่ได้เป็นเมืองเอกราช แต่การในเมืองของเราอย่างไรท่านก็ย่อมทราบอยู่แล้ว เรื่องที่ใช้แกลบต่างฟืนนี้ เมื่อพระยานรนารถยังทำอากรเตาสุราอยู่ เขาก็ได้ต้มกลั่นใช้ด้วยแกลบมาคราวหนึ่ง แต่จะต้มกลั่นอย่างอื่นไม่ได้ใช้ด้วยเครื่องจักร หรือเมื่อใช้เครื่องขุนสุนทรแล้วจะยังใช้แกลบอยู่ตามเดิมก็ไม่ทราบ การเรื่องนี้เล่าก็ไม่สู้จะเข้าพระทัยนัก ให้ท่านไต่สวนดู คิดหาทางตอบตัดไปเสียได้ ถ้าพลาดพลั้งลงก็จะเป็นที่เสียเกียรติยศบ้านเมือง

๔ สมเด็จกรมพระจดหมายถวายว่าด้วยพระลักขณาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงประสูติใหม่นั้น ท่านได้หาหลวงโลกทีป ขุนเทพพยากรณ์มาคำนวณตามมหานาทีถูกต้องกัน พระลักขณาสถิตย์ราษีเมษ เสวยณวางค์ ๒ ที่ ๔ ตรียางค์ ๑ ทรงพระเจริญพระชนมายุ

จึงโปรดเกล้าฯให้เรานำลายพระราชหัตถ์ไปถวายเสด็จที่วัดท่านจะตัดสินอย่างไร

๕ ออกขุนนาง พระยาศรีอ่านบอกเมืองตาก ๒ ฉะบับ ว่าด้วยหักเลขรายพระยาจ่าแสนย (ขลิบ) มีหนังสือไปแล้ว ฉะบับหนึ่งส่งความลักช้าง มองเปฟ้องเรื่องหลวงชำนาญขัดข้อง

วันศุกร์แรม ๓ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ เช้า ๔ โมง กรมหมื่นนเรศไปเฝ้าเสด็จที่วัด ท่านรับสั่งว่าท่านทำตำราหนึ่ง ไม่เหมือนกัน ท่านทำตามอันโตนาที ถ้าทำตามมหานาทีแล้วก็ต้องผิด ท่านทำถวายมาแต่ก่อนๆ ก็อันโตนาทีทั้งนั้น ถึงถวายฤกษ์ก็ได้ถวายด้วยอันโตนาที ถึงดวงเก่า ๆ สอบดูเขาก็ลงด้วยอันโตนาทีทั้งนั้น ผิดอยู่ ๒ ดวง คือหม่อมไกรษรทำดูอยู่ราษีดุล แต่เจ้าของว่าอยู่ราษีพิจิก อีกดวงหนึ่งเจ้าพระยาภูธราภัยทำดูอยู่ราษีพฤษภ เจ้าของว่าอยู่เมษ ถึงตำราทูลกระหม่อมท่านก็ทรงอย่างนี้ ท่านได้ลงดวงองค์จิตรเจริญไปครั้งหนึ่งผิด เพราะทรงจดเวลามาไม่ทรงเข้าพระทัยถนัด กลางวันเป็นกลางคืน กริ้วท่านทรงจดตำราประทานมาก็ถูกกัน ก็ครั้งนี้แล้วแต่จะโปรดอย่างไหน ท่านตัดสินไม่ได้ ครั้นกรมหมื่นนเรศรมาถวาย ก็ทรงว่าเมื่อว่าถูกทั้ง ๒ อย่าง คนละตำรา ก็ต้องใช้ทั้งสองอย่าง จึงทรงลงพระราชหัตถ์ในลายพระหัตถ์สมเด็จว่าเป็นตำรามหานาทีของสมเด็จกรมพระทรง

๒ เราถวายสายนาฬิกาเพ็ชร์ทรงซื้อราคา ๑๕ ชั่ง พระราชทานพระองค์เจ้าสุนันทาประสูติ กับรับสั่งให้เติมแหวนที่ทรงซื้อเงินพระคลังข้างที่อีก ๒ วง ที่ราคาวงละ ๑๙ ชั่ง รวม ๓๘ ชั่ง ขายเงินงวดตามธรรมเนียม

๓ เวลาสมโภช ๓ วัน

๔ ค่ำทรงธรรม พระอนุรักษ์ถวายเรื่องราวว่า เดิมเลขโยมสงฆ์พระวรญาณวัดราชบูรณที่ถึงมรณภาพ มีตัวอยู่ ๓๖ คน สมเด็จพระปรมานุชิตถวายพระพรขอพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า พระราชทานสักแปลงมาอยู่วัดพระเชตุพน มาแผ่นดินพระนั่งเกล้า หม่อมไกรษรเอาไปจ่ายใช้ราชการ สมเด็จพระปรมาทูลขออีก จึงดำรัสไม่ให้จ่าย ให้ไว้สำหรับพระองค์ต่อมา ครั้นท่านสิ้นพระชนม์ ได้สักลูกหมู่ขึ้นอีกจำนวน ๖๔ คน กรมอุดมรับสั่งให้ยกเลขรายนี้ให้พระพิมลธรรมวัดพระเชตุพน ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเช้าพระฉันขนมเบื้องที่พระที่นั่งทรงธรรม ทูลกระหม่อมทรงประเคน มีราชาคณะ ๖๔ รูป แกยังเป็นพระอินทราทิตย์เจ้ากรมสนมพลเรือนซ้าย ทรงประเคนแล้วดำรัสถามแกว่าเลขรายนี้ใครควบคุม แกทูลว่ากรมอุดมยกให้พระพิมลธรรม จึงรับสั่งให้ยกเลขรายนี้มาไว้เป็นข้าพระสมเด็จพระปรมาให้แกควบคุมต่อไป รับสั่งกับเจ้าจินดาว่า เลขโยมสงฆ์หมู่นี้ พระอัฐิยังอยู่ตราบใดขออย่าให้เอาเลขรายนี้ไปใช้การอื่น ๆ ครั้นปีชวดอัฐศก เจ้าพระยามหินทรจะเอาเลขรายนี้ไปใช้ราชการแกไม่ยอม เจ้าพระยามหินทรทำเรื่องราวถวายทรงเซ็นพระราชหัตถ์เลขาว่า เลขโยมสงฆ์จำนวน ๑๐๖ คนนี้ ไปจ่ายไว้สำหรับพระอัฐิ เจ้าหมื่นสรรเพธได้เก็บลายเซ็นไว้ ความก็งดมาหาได้จ่ายไม่ ครั้นวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีขาลสัมฤทธิศก พระศรีกาฬสมุดจะเอาเลขรายนี้ไปจ่ายการ แกได้บอกว่าทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ยกเลขรายนี้ไว้สำหรับพระอัฐิ แกจะให้ก็เกรงพระราชอาชญา จะเป็นล้างพระบรมราชโองการ ครั้นจะไม่จ่ายให้ก็กลัวความผิด จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาแล้วแต่จะโปรด ฯ ไปเซ็นวันอังคารแรม ๗ ค่ำ เดือน ๙

๕ มีพระราชหัตถ์ถึงสมเด็จเจ้าพระยาว่าด้วยประสูติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิง ไม่มีเหตุการสบายดีอยู่ แจ้งความมาเพื่อให้ท่านทราบ

วันเสาร์แรม ๔ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ พระชลธารเฝ้าถวายริโปดขุดคลอง แต่ปลายคลองบางไผ่ถึงธารวังเย็น ลงชื่อพระยาวิเศษฦาชัย พระชลธารจ้างขุดเปน ๔ อย่าง คือขุดพื้นดินเสมอ กว้าง ๔ วา ลึก ๔ ศอก ราคาเส้นละ ๗๒ บาท ขุดรุ้งลำรางเก่า กว้าง ๔ วา ลึก ๓ ศอก ราคาเส้นละ ๕๒ บาท ขุดรุ้งลำรางเก่า กว้าง ๔ วา ลึก ๒ ศอก เส้นละ ๓๔ บาท ขุดรุ้งลำรางเก่า กว้าง ๔ วา ลึก ๑ ศอก เส้นละ ๑๖ บาท ขุดมาแต่วันเสาร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑ ปีฉลูนพศก ถึงวันอังคารขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ขุดได้ยาว ๑๙๗ เส้น ได้เปิดทำนบเรือเดินถึงกันได้ตามคลองขุด และลำรางเก่าที่ยังไม่ได้รุ้งอีก ๔๐ เส้น รวม ๒๓๗ เส้น ราษฎรมาขอที่นาให้ทันฤดู ก็ได้ให้ปักให้ ๖๘ ราย รวมเนื้อนาขึ้นใหม่ ๓๔๐๐ ไร่ ได้วัดตรวจที่นาฟางเดิมทั้ง ๒ ฝั่ง ตั้งแต่ต้นคลองในระหว่าง ๒๓๗ เส้น ยืนขวางคลองขึ้นไปฝั่งละ ๓๐ เส้นนั้น ที่มีใบจอง ๔๐ ราย เป็นนา ๙๐๐ ไร่ ที่ไม่มีใบจอง ๒๑๕ ราย เป็นนา ๗๖๑๐ ไร่ ราษฎรยอมเสียค่าขุดคลอง นามีใบจอง ๔๐ ราย นา ๙๐๐ ไร่ ๆ ละ ๒ สลึง เงิน ๕ ชั่ง ๑๒ ตำลึง ๒ บาท นาไม่มีใบจองยืนขวางขึ้นไป ๒๐ เส้น ๑๓๐ ราย นา ๔๔๗๐ ไร่ ด้วยใกล้คลองไร่ละ ๑ บาท เงิน ๕๕ ชั่ง ๑ ตำลึง ๒ บาท นาไม่มีใบจองพ้น ๒๐ เส้นขึ้นถึง ๓๐ เส้น ๘๕ ราย นา ๒๒๔๐ ไร่ เป็นที่ไกลคลองไร่ละ ๒ สลึง เงิน ๑๔ ชั่ง รวมนาฟาง ๗๖๔๐ ไร่ ยอมเสียค่านาตามบัญชีเดิม รวมเงินค่าขุดคลอง ๗๕ ชั่ง ๑๐ ตำลึง กับนาร้างขอเป็นนาขึ้นใหม่ ๖๘ ราย นา ๓๔๐๐ ไร่ ช่วยขุดคลองไร่ละ ๑ บาท ขอยกค่านา ๓ ปี ตามพระราชบัญญัติเงิน ๔๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง รวมเนื้อนาในตอนคลองขุดได้ ๒๓๗ เส้น ได้ที่นา ๑๑๐๑๐ ไร่ เงิน ๑๑๘ ชั่ง ราษฎรขอส่ง ๓ งวด คือปีขาล ปีเถาะ ปีมะโรง พระยาวิเศษ ฯ ได้ให้หลวงนานายอำเภอทำฎีกาจำนวนนาให้ราษฎรและเก็บเงินค่าช่วยขุดคลองที่ ๑ มาส่ง ส่งบ้าง ยังไม่หมดเงิน ๘ ชั่ง ๖ ตำลึง

๒ รับสั่งให้กรมหมื่นนเรศรไปไล่เลียงหมอที่ตำหนักสมเด็จพระเจ้าลูกเธอประชวรแน่นพระนาภีไม่บรรทมที จะแก้ไขอย่างไร

๓ ออกขุนนาง พระยาศรีอ่านบอกเมืองตาก ๓ ฉะบับ กล่าวโทษพระพลซึ่งไปเก็บเงินค่าตอไม้แล้ว เลยจะไปว่าความเมืองมรแมน และกล่าวโทษพระไชยสงครามเรื่องนี้ลงมากรุงเทพ ฯ กับว่าด้วยเงินค่าตอไม้ และส่งต้นหนังสือพระพลมีมา และพระยาวิชิตรักษาตอบไปลงมาด้วย

๔ พระดิษฐการภักดีถวายหนังสือเจ้าพระยาภาณุวงศ์ และกระทู้ถามพระยานนท์และคำสารภาพ หนังสือเจ้าพระยาภาณุวงศ์ว่าวันพุธแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ พระยาพิพัฒน์รับพระบรมราชโองการไปแจ้งต่อท่านว่า พระยาพิพัฒน์ได้นำความค้างโรงค้างศาลเมืองนนทบุรี แต่ที่เป็นความฉกรรจ์ ๑๓๕ เรื่อง ซึ่งได้ไปตรวจขึ้นทูลเกล้า ฯ โปรดให้ท่านหาตัวพระยานนท์มาลงพระราชอาชญาจำแล้ว ให้มีกระทู้ถามนัน ท่านได้สั่งให้จำพระยานนท์แล้ว แล้วทำเป็นพระกระทู้ให้พระยาพิพัฒน์พระดิษฐการถามพระยานนท์รับสารภาพผิด มีความแจ้งอยู่ในคำให้การ ซึ่งนำทูลเกล้า ฯ ถวายแล้ว อนึ่งราษฎรแขวงเมืองนนท์ที่เป็นความทำเรื่องราวมาร้องต่อท่าน กล่าวโทษพระยานนท์อยู่เนือง ๆ ว่าชำระความกดขี่และลงเอาเงินราษฎร ท่านได้ให้ตระลาการชำระแพ้ราษฎรมาหลายเรื่องแล้ว แต่เรื่องราวที่พระยานนท์แต่งทนายมาว่าต่าง ยังชำระค้างอยู่ และเรื่องราวที่ยังไม่ได้ชำระนั้น รวม ๙๓ ฉะบับ ทุกวันนี้ราษฎรก็ยังร้องกล่าวโทษพระยานนท์อยู่เดือนละ ๖-๗ ฉะบับเสมอทุกเดือน ลางเดือนถึง ๙-๑๐ พระยานนท์คนนี้ เป็นคนขู่ก็ไม่กลัว ยอก็ไม่ขึ้น ความเจ็บอายก็ไม่มี เป็นแต่จะต้องการเงินอย่างเดียว เหลือกำลังที่ท่านจะบังคับบัญชาว่ากล่าวต่อไป กระทู้ถามพระยานนท์ ๓ ข้อ ๆ หนึ่งว่าด้วยทิ้งความฉกรรจ์ ไม่เร่งชำระถึง ๑๓๒ ให้ค้างโรงค้างศาลจะผิดหรือไม่ ข้อ ๒ มีพระบรมราชโองการให้ประกาศแก่เจ้าเมืองกรมการว่า ถ้าเกิดผู้ร้ายปล้นและแทงฟันกันตาย เป็นความเสี้ยนหนามแผ่นดิน ให้ผู้ว่าราชการเมืองกรมการบอกมาใน ๓ วัน เหตุใดพระยานนท์จึงกดความไว้ ข้อ ๓ ความฆ่ากันตาย ๓ เรื่องทำไมปิดบังไว้ไม่ยื่นสารบบ พระยานนท์สารภาพว่า ข้อหนึ่งความให้กรมการชำระ โจทก์จำเลยมาหาพร้อมกันไม่ ความจึงค้างอยู่ แกไม่ตักเตือนนั้นมีความผิด ข้อ ๒ ที่ไม่บอกมานั้นมีความผิด ข้อ ๓ ความฆ่ากันตายนั้นเรื่อง ๑ นายด้วงโจทก์ หาว่า นายแจ้ง นายมอน นายเขียว นายชุ่ม ตีนายปิ่นตาย ขุนมหาดไทยเป็นตระลาการพิจารณาถึงสืบโจทก์ จำเลยไม่นำสืบ ไม่มาว่าความต่อไป เรื่อง ๑ นายสุกโจทก์หาว่ามะเหิม มะเผือก มะเทด มะเรือง ตีมะหนูตายที่เมืองประทุม นายสุกมาฟ้องเมืองนนท์แล้วไม่มาประทับฟ้องหายไปเรื่อง ๑ นายสุกโจทก์หาว่า อำแดงเปลี่ยน อำแดงพุ่ม ตีนายเทียนตาย ไปเกาะตัวอำแดงเปลี่ยนหาได้หัวไม่ ได้แต่อำแดงพุ่มมาแล้ว บิดาลุงผู้ตายมารับประกันไป ตามตัวอำแดงเปลี่ยน หาได้ตัวไม่ โจทก์จำเลยก็ไม่มาว่า ซึ่งแกไม่ยื่นสารบบนั้นมีความผิด

๕ พระศรีกาฬสมุดถวายหนังสือเจ้าพระยามหินทร ว่าขุนรามภักดีกรมพระสุรัศวดีซ้าย เจ้าพนักงานจ่ายเลขไพร่หลวงมาร้องขัดข้องต่อแก มีความแจ้งในเรื่องราวแล้ว ได้นำมาทูลเกล้า ฯ ถวาย เรื่องราวขุนรามภักดิ์ว่าเดิมณปีชวดอัฐศก เงินค่าราชการเดือนค้างกรมอาษาใหญ่ขวา จำนวนเดือนเก้า ๑๖ สิบ ๘ สิบเอ็ด ๗ สิบสอง ๒ อ้าย ๔ ยี่ ๖ สาม ๕ รวม ๔๕ คน รวมเงิน ๓ ชั่ง ๖ ตำลึง ตัวได้ทดรองเงินให้แก่ นายด้าน นายรอง ไปแล้ว ได้เตือนให้หลวงไกรนารายน์ เอาเงินมาชำระหลายครั้งก็นิ่งเสีย ครั้นวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีฉลู ได้เกาะหลวงไกรนารายน์ ๆ ทำฎีกาขึ้นถวาย มีพระราชหัตถ์ถึงเจ้าพระยามหินทร ๆ ได้นำคำตัดสินขึ้นถวายแล้ว แต่เงินที่ค้างยังหาได้ไม่จนทุกวันนี้ ส่งคำตัดสินไปวันพฤหัสบดีแรม ๙ ค่ำ เดือน ๙ ถวายต้นหนังสือบอกพระยาอุไทยธานี พระพิทักษ์อุไทยบุตร ว่าด้วยที่สมเด็จกรมพระให้ไปเกลี้ยกล่อมสราคางกู ได้ไปเกลี้ยกล่อมมาแล้ว ว่าถ้าจะทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงให้มีชื่อมีเสียง จะรับราชการฉลองพระเดชพระคุณ ผู้ร้ายทางนั้นไม่ให้มีต่อไป จะช่วยสืบเสาะติดตามด้วย มาอยู่ที่นี้ ๑๒ ปี ก็อยากจะหาชื่อเสียงอยู่ เดือน ๑๑ จะมาเฝ้า มีหนังสือมาที่พระยาศรีด้วยฉะบับหนึ่ง สมเด็จกรมพระท่านเห็นว่าถ้าทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงไว้แล้วเห็นจะดีด้วยกันผู้ร้ายได้ทางหนึ่ง ไม่สิ้นไร้ไม้ตอกอะไร เหมือนกรมกระลาโหมขอตั้งพระแม่กลองภูผา ครั้นจะว่ากล่าวทำโทษก็ไม่มีโจทก์ ถ้าโปรดเกล้า ฯ แล้ว ท่านจะมีตราไปให้มันรับสืบเอารายผู้ร้ายปล้นฆ่าหมื่นอาจเมืองสุพรรณ และฆ่าจีนหัวเมืองกาญจนบุรี ก็ทรงพระกรุณาโปรดว่าชอบแล้ว

วันอาทิตย์แรม ๕ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ รับสั่งให้หาพระยาพิพิธโภคัยเข้ามาเฝ้า รับสั่งด้วยจะให้เป็นผู้รับรอง แกออดแอดนิดหน่อย ก็รับตามพระกระแส

๒ ทรงเรียงประกาศให้พระยาพิพิธโภคัยเป็นผู้รับรองไปลงราชกิจจานุเบกษา ส่งไปลงพิมพ์วันศุกร์แรม ๑๐ ค่ำเดือน ๙

๓ รับสำเนาหนังสือเจ้าพระยาภาณุวงศ์ส่งมาเป็นสำเนาหนังสือมิสเตอรนอกซ์ กงซุลอังกฤษมีมาว่าด้วยเรื่องตั้งไวซ์กงซุลเมืองเชียงใหม่ ว่าได้รับหนังสือของเจ้าพระยาภาณุวงศ์ลงวันจันทร์ขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๙ เรื่องไวซ์กงซุลที่ค้างอยู่นั้น ได้ทราบแล้ว ตามความปราถนาของเจ้าคุณนี้ ข้าพเจ้าได้คัดสำเนาหนังสือของเจ้าคุณส่งไปยังท่านเฮอมาเยศติสิเกรตรีออฟสเตตผู้ว่าการต่างประเทศกรุงลอนดอนนั้นแล้ว ข้าพเจ้าเห็นในหนังสือของเจ้าคุณที่มีมาหลายข้อนั้น ก็เห็นชอบแล้ว แต่ว่าถ้าคอเวอนเมนต์ไทยได้แจ้งความมาอย่างนี้ตั้งแต่เดิมนานมาแล้ว เพราะไม่ได้แจ้งความอย่างนี้แต่เดิมจึงต้องมีความลำบาก หนังสือลงวันเสาร์เดือน ๙

๔ วันนี้ไม่ได้ออกขุนนาง ทรงพระวิตกด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศประชวรมากไป หมอนั้นแฉะเสียเฉย จึงโปรดให้เปลี่ยนหมอชะเลยศักดิ์ หมอจ๋ายเข้ามาถวายยาก็ค่อยคลายลง

วันจันทร์แรม ๖ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ พระยาโชฎึกราชเศรษฐีเฝ้าถวายขัดข้องด้วยจีนฉายเป็นที่ขุนภาษีวิเศษเจ้าภาษีเกลือคนใหม่ ยื่นเรื่องราวกล่าวโทษเจ้าภาษีเกลือคนเก่า ความว่าเกลือเก่าที่ค้างอยู่ในยุ้งฉางของราษฎรเจ้าของเกลือนั้น เจ้าภาษีคนเก่าคบคิดกับราษฎรเจ้าของเกลือ เรียกภาษีที่ค้างเก่านั้นลดหย่อนพิกัดท้องตรา ราษฎรเจ้าของเกลือก็ยอมเสียภาษีให้แก่เจ้าภาษีเสียทั้งหมด เจ้าภาษีคนใหม่หามีเกลือที่จะเก็บไม่ แต่เจ้าภาษีคนใหม่จะต้องส่งเงินหลวงตามงวดพิกัด ท้องตราความแจ้งอยู่ในเรื่องราวแล้วๆ แกได้นำเรื่องราวไปเสนอต่อเจ้าพระยาภาณุวงศ์ ๆ มีบัญชาว่าได้พิเคราะห์ดูเนื้อความในเรื่องราวฉะบับนี้ ก็เห็นผิดกับพิกัดท้องตราภาษีเกลือที่เจ้าพนักงานและเจ้าจำนวน จะตัดสินไปก็เป็นการเกินอำนาจ ให้แกนำเรื่องราวกับขอพิกัดท้องตราภาษีเกลือขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวาย เรื่องราวขุนภาษีวิเศษมีข้อความตามขัดข้องพระยาโชฎึก กับมีอีกข้อ ๑ ว่ามีเรือบรรทุกเกลือ ๘ ลำ เป็นเกลือประมาณ ๘-๙ เกวียน ล่องมาด่านภาษี เรียกจะเก็บภาษี ลูกค้าร้องว่าเจ้าภาษีเกลือคนเก่าเก็บแล้ว เจ้าภาษีใหม่จึงยึดตั๋วไว้ เจ้าภาษีเก่าเก็บล่วงงวดเขาเข้ามาแล้ว พระยาโชฎึกถวายต้นหนังสือเสมียนตรากระลาโหมมีถึงพระยาโชฎึกว่าเมืองเพ็ชร์บุรีบอกเข้ามาว่าราษฎร ๕๑ คนได้ซื้อเจ้าภาษีเก่าไว้เสียภาษีแล้ว เกลือยังเหลืออยู่ ๓๗๗๕ ถัง เจ้าภาษีใหม่ห้ามไม่ให้ใช้สอย จะเรียกภาษีเอาเกวียนละ ๖ บาทอีก พระยาเพ็ชรบุรีขัดข้องเข้ามา ได้นำเสนอเจ้าพระยาสุรวงศ์แล้ว มีบัญชาว่า แรกเจ้าภาษีเก่า เจ้าภาษีใหม่ ผลัดเปลี่ยนกันนั้น มักเกิดถ้อยความทุ่มเถียงกันต่อหลายวันหลายเดือนจึงเรียบร้อย ซึ่งราษฎรซื้อเกลือเสียเงินภาษีแก่เจ้าภาษีเก่าแล้ว ราษฎรใช้ให้หมด เหลือมาถึงเจ้าภาษีคนใหม่ ควรแต่เจ้าภาษีคนใหม่ตรวจต้องเปลี่ยนฎีกาให้ราษฎรจะเป็นสองซ็ำไป แต่ภาษีเกลือขึ้นกรมท่าซ้ายให้นำใบบอกมาเสมอท่าน ซึ่งเป็นเจ้าจำนวนตัดสิน ๆ แล้วส่งมา จะได้มีท้องตราส่งออกไปลงวันจันทร์ขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๙ ทรงพระราชดำริว่าความตัดสินง่าย ๆ ไม่ควรจะลำบากเลย ด้วยพิกัดท้องตราก็มี จึงทรงตัดสินเป็นกระดาษติดกับเรื่องราวจีน และต้นหนังสือเสมียน ตรากระลาโหมไปว่าได้ตรวจดูขัดข้องเรื่องราวทั้ง ๔ ฉะบับตลอดแล้ว ข้อ ๑ ขุนภาษีวิเศษร้องว่า จีนโบเจ้าภาษีเกลือคนเก่าลดหย่อนเงินภาษีต่ำกว่าพิกัดท้องตรา ราษฎรเจ้าของเกลือยอมเสียภาษี ให้เสียแก่เจ้าภาษีเก่าทั้งหมด ขุนภาษีวิเศษ เจ้าภาษีคนใหม่ไม่มีเกลือจะเก็บนั้น เห็นว่าธรรมดาภาษีอากรที่ผลัดเปลี่ยนกันใหม่ก็ย่อมคิดเอารัดเอาเปรียบกันบ้างตามธรรมเนียม ซึ่งเจ้าภาษียอมลดพิกัดให้แก่ราษฎรเพราะหาผลประโยชน์ของตัว แต่ไม่เป็นการเดือดร้อนแก่ราษฎร ครั้นจะไปเรียกเจ้าภาษีมาชำระมีโทษก็เห็นว่าเป็นการไม่ควร และตัวขุนภาษีวิเศษเป็นผู้จะทำต่อไป ก็คงมีเวลาออกเหมือนกัน ซึ่งจะยกเอาเหตุนี้มาตั้งว่า ส่งเงินตามงวดไม่ไหวนั้นไม่ได้ ธรรมดาภาษีอากรที่สัญญาทำ ๓ ปี ก็เพราะเหตุที่ผู้ทำจะมีกำไรต่อปีที่สองที่สาม จึงได้ผ่อนออกให้ยาวเวลาเป็นธรรมเนียมดังนี้มาทุกภาษีอากร ข้อ ๑ ขุนภาษีวิเศษร้องว่าเจ้าภาษีคนเก่าเก็บภาษีล่วงเกินกำหนดเข้ามาในวันของตัวนั้น จำนวนก็เคยว่ากล่าวไต่สวน แล้วตัดสินไปตามพิกัดท้องตรา เรื่องภาษีเกลือนี้พิกัดท้องตราก็มีเนื้อความชัดอยู่แล้ว ให้พระยาโชฎึกราชเศรษฐีผู้เป็นเจ้าจำนวนชำระไต่สวนแล้วตัดสินไปตามท้องตรา ข้อ ๑ เมืองเพ็ชร์บุรีบอกเข้ามาว่าเจ้าภาษีคนใหม่ เที่ยวปิดยุ้งฉางราษฎรซึ่งเสียภาษีแล้วจะเรียกภาษีอีกชั้นหนึ่งนั้น เพราะเจ้าภาษีคนใหม่เห็นว่าเจ้าภาษีคนเก่าเรียกภาษีไว้น้อยตามเรื่องราวที่มาร้อง จึงได้ปิดไว้ จะเรียกภาษีให้เต็มพิกัด เห็นว่าราษฎรเสียภาษีชั้นหนึ่งแล้ว หาควรจะเก็บซ้ำอีกให้เป็น ๒ ชั้นไปไม่ ให้พระยาโชฎึกบังคับห้ามปรามเจ้าภาษีเสีย อย่าให้ปิดยุ้งฉางกักขังราษฎรซึ่งได้เสียภาษีแล้ว ให้ได้ความลำบากต่อไป

๒ พระอมรวิสัยสรเดชถวายหนังสือขอนายปานบุตรพระยาวิชัยบุรินทรา ซึ่งว่าที่เลฟเตแนนต์ในทหารปืนใหญ่ เป็นหลวงสรวิเศษเดชาวุธกัปตัน หม่อมอรุณบุตรหม่อมเจ้านิลกอปราลในกรมทหารมหาดเล็กกอมปนี่ที่ ๕ มาเป็นตำแหน่งที่นายปาน

๓ พระยานรนารถกลับมาแต่บางปอินว่าทำการทิ้งกระจาดแล้ว เป็นเงินเรี่ยรายได้ ๑๐ ชั่ง ๗๑ บาท ทั้งของหลวงพระราชทาน ถวายพระราชกุศล

๔ ออกขุนนาง พระยาศรีอ่านบอกพระยาเทพว่าด้วยเรื่องมรดกตั้งแต่ชำระเปรียบเทียบไม่ยอมกัน กับอ่านบอกศุภอักษรเจ้าเชียงใหม่ บอกกำหนดจะไปตั้งเมืองเชียงใหม่ แล้วอ่านบอกน้ำฝนต้นเข้าเมืองกำแพงเพ็ชร์หรือสุโขทัยฟังไม่ถนัด กับทูลพระพลสงครามเมืองตากเข้ามาเฝ้าและอ่านตราไป พระยาเทพตอบเรื่องฟ้าร่วน

๕ พระยาพิพัฒน์อ่านบอกน้ำฝนต้นเข้าเมืองอะไรฟังไม่ถนัด

๖ พระยาศรีทูลลา พระยาวิเศษ พระยานครนายก ไปเมือง

๗ ทรงเซ็นท้ายกระทู้สารภาพพระยานนทบุรีว่า พระยานนทบุรีเป็นคนรับราชการตรากตรำ ได้เห็นมาแต่เล็กจึงชุบเลี้ยงให้เป็นเจ้าเมือง ตัวกีไม่ประพฤติให้สมกับตำแหน่ง จนมีผู้มากล่าวโทษถึง ๙๓ รายด้วยความในเมืองรุงรังค้างโรงค้างศาลอยู่มาก ครั้นจะให้ขึ้นไปรับราชการต่อไป บัดนี้ก็เห็นว่ารุงรังนัก ให้เอาตัวพระยานนท์จำไว้กรุงเทพ ฯ ให้ตระลาการพิจารณาความราษฎรซึ่งมาร้องกล่าวโทษทุกราย ราชการในเมืองนนท์นั้น ให้พระสยามนนทเขตต์ขยันรับราชการแทนไป แล้วพระราชทานพระดิษฐการไป

๘ กรมขุนเจริญเฝ้าถวายจดหมายว่าด้วยท่านจะรับกรม วันพุธขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๑๐ กับตรงวันแซยิดด้วย พระราชทานหนังสือสำคัญเงินตั้งกรมไป ๑๐ ชั่ง

๙ ทอดพระเนตรเห็นราชกิจจาซึ่งออกวันนี้ หน้า ๑๕๓ ที่ ๒๐ ว่าด้วยนิราศหนองคายเพ้อเจ้อ ว่าเป็นมีพระบรมราชโองการให้เก็บฉะบับเผา ที่จริงไม่ได้ทรงสั่ง กริ้วว่าลงผิดดูเป็นสั่งการสั่งงานไม่ประมาณการไป รับสั่งให้หากรมขุนบดินทรมาแล้ว ออกขุนนางทรงกริ้วมาก รับสั่งต่อไปต้องเอาโทษ ถ้าจะลงอะไรแปลก ประหลาดให้มาถามก่อน

วันอังคารแรม ๗ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ ทรงร่างประกาศไปลงพิมพ์ราชกิจจาว่าด้วยนิราศหนองคาย พระศรีสุนทรเป็นผู้รับพระบรมราชโองการ ส่งไปวันศุกร์แรม ๑๐ ค่ำเดือน ๙

๒ พระยาเจริญราชไมตรีเฝ้าถวายจดหมายว่า เจ้าพระยาภาณุวงศ์ว่าสะพานขึ้นหน้าศาลต่างประเทศชำรุดมากนัก ให้แกเบิกเงินจ้างเหมาทำใหม่ แกได้จ้างทำสะพานสามห้อง ยาว ๓ วา กว้าง ๖ ศอก กับบันไดเป็นเงิน ๑ ชั่ง ๑๕ ตำลึง ขอรับพระราชทานเบิกเงิน โปรดให้เบิก

๓ เจ้าพระยาภาณุวงศ์ส่งสำเนาหนังสือพระสยามธุรานุรักษ์เข้ามาฉะบับหนึ่งลงวันที่ ๑๒ ยูไล ตรงวันศุกร์ขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๘ ว่าด้วยการโปลิติกในยุโรปว่า สุลต่านเตอรกีได้ยกเกาะไคปรัศให้แก่อังกฤษ อังกฤษรับจะช่วยสุลต่านรักษาหัวเมืองขึ้นของเตอรกีที่ยังคงอยู่นั้น มิให้เมืองอื่นมาตีเอาได้ กับว่าด้วยบุตรแกได้รับบุตรเจ้าพระยาสุรวงศ์และเจ้าปฤษฎางค์ไปดูเอกษหิบิเชน กับเตือนเงินเอกษหิบิเชนแล้วว่าจะส่งบัญชีก็ช้าอยู่ ด้วยต้องแปลเป็นอังกฤษ กับสำเนาหนังสือเมซันมีมาว่าด้วยสัญญาอังกฤษที่จะรักษาอาณาเขตต์เตอรกี ๆ ยกเกาะไคปรัศให้อังกฤษ แกได้คัดสำเนาสัญญาข้อ ๑ เข้ามา หนังสือลงวันเดียวกับแครฮาน ความในสัญญาว่า ข้อ ๑ ว่าถ้าเมืองบาทุม เมืองอาดาฮาน เมืองการษ์ จะตกเป็นของรุสเซียทั้ง ๓ กีดี่ หรือเมืองเดียวก็ดี และรุสเซียจะเอาเมืองขึ้นของเตอรกีในอาเซียอีก เกินกำหนดในสัญญาที่จะทำต่อภายหลังให้เสด็จกันนั้น ฝ่ายอังกฤษจะรับจะยกทัพมาช่วย ช่วยสุลต่านรักษาหัวเมืองเหล่านั้นไว้ สุลต่านยอมรับจะจัดธรรมเนียมเมืองเหล่านั้นตามที่ตกลงกับอังกฤษให้เรียบร้อยสมควร กับจะถือศาสนาพระเยซูและศาสนาอื่นๆด้วย กับจะยกเกาะไคปรัศให้อังกฤษครอบครองรักษา ถ้ารุสเซียคืนหัวเมืองขึ้นของเตอรกี ซึ่งรุสเซียได้ไว้ในการสงครามนี้คืนให้แล้ว อังกฤษจะคืนเกาะไคปรัศให้เตอรกี

๔ พระวิสูตรสาครดิษฐเฝ้าทูลเรื่องกรมอดิศรขายเรือไฟเล็กกับมิสเตอรกอเก ไม่มีหนังสือ ราคา ๑๐๐ ชั่ง กอเกได้ส่งเงินแล้ว ๕๐ ชั่งแล้วไปเข้าอู่ไว้ ภายหลังแกไม่อยู่มีหนังสือกรมอดิศรให้ฝรั่งไปถอน ว่าเรือนั้นขายให้กับฝรั่งคนนั้น แกก็ต้องให้ไปแล้ว ห้างกำปนีจะฟ้อง แกได้ไปไกล่เกลี่ยแล้วกันแล้ว แต่หนังสือพิมพ์ฮ่องกงลงว่าเจ้าในกรุงเทพ ฯ ขายเรือ ๒-๓ แห่งเสียมาก แล้วทูลจะขอให้บุตรสาวมาเยี่ยมทูลกระหม่อมป้า ก็โปรดให้มา

๕ เซ็นท้ายเรื่องราวพระยาอนุรักษ์ถวายเรื่องเลขโยมสงฆ์ถวายวันศุกร์แรม ๓ ค่ำเดือน ๙ ว่าเลขรายนี้ เดิมได้สั่งไม่ให้จ่ายไว้ครั้งหนึ่งจริง แต่คราวนี้เห็นว่าเป็นการในวัดพระเชตุพน ถ้ากรมสมเด็จพระปรมานุชิตยังมีพระชนม์อยู่ ก็คงต้องช่วยทำบ้าง จึงยอมให้จ่าย ถ้าจะไปจ่ายการที่อื่นนั้น จึงจะควรยกไว้ให้เป็นเลขสำหรับพระอัฐิ ครั้งนี้ให้จ่ายทำการในวัดพระเชตุพนไปบ้างกว่าจะแล้ว ให้เราไปถวายสมเด็จกรมพระ

๖ ออกขุนนาง พระยาศรีอ่านบอกเมืองอินทร จมื่นประธานมณเฑียรข้าหลวง บอกลงมาด้วยจับอำแดงบ๋วยกับผู้ร้าย ได้แต่มีหนังสือกงซุลฝรั่งเศสและวิลันดาไปว่าเป็นคนสับเยกให้มาค้าขายเมืองอื่น ไม่มีหนังสือเดินทาง ดูเหมือนโปรดให้ต่อว่ากงซุล หรือบอกกับกงซุลให้ทราบเสีย

๗ มีพระราชหัตถ์ถึงพระยาเทพประชุน

วันพุธแรม ๘ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ มีพระราชหัตถ์ถึ่งกรมพิชิต

วันพฤหัสบดีแรม ๙ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ รับหนังสือมิสเตอรยอนคลูนิตเตือนเงินค่าโคมขอให้ใช้ให้เสด็จว่าด้วยเมซันเครื่องสายกันฟ้าพระที่นั่งเข้ามาส่งอินวอยมา ราคาเงิน ๕๙ ปอนด์ ๙ ชิลลิง แล้วทำบัญชีเงินค่าป่วยการรายเงินค่าโคมที่ไม่ได้ ๒ เดือน ต้นเงิน ๕๐๙ ชั่ง ๔๒ บาท ดอกเบี้ย ๕ เปอรเซ็น เงิน ๔ ชั่ง ๑๙ บาท ค่าขนของขึ้นจากกำปั่นเงิน ๑๑ ชั่ง ๑๓ บาท ค่าสายกันฟ้าคิดทั้งค่าเอกษเชน เงิน ๖ ชั่ง ๕๕ บาท รวมเงิน ๒๒ ชั่ง ๓๗ บาท กับขอเงินรายเอสติเม็ตซึ่งค้างอยู่ ๔ เดือนด้วย กับส่งเอสติเม็ตของเมซันที่จะสั่งท่าน้ำพระตำหนักแพเข้ามารอบ ถ้าจะทำเงิน ๑๘๕๐ ปอนด์ เอสติเม็ตตำหนักแพ

๒ พระราชหัตถ์สั่งให้พระยามหามนตรีเก็บหนังสือนิราศหนองคาย

๓ ออกขุนนาง พระยาศรีทูลบอกเมืองยโสธร บอกเผาศพพระสุนทรราชวงศ์แล้ว ท้าวเพี้ยพร้อมกันขออุปฮาดเป็นเจ้าเมือง แต่พระยามหาอำมาตย์มีจดหมายถวายสมเด็จว่า อุปฮาดเป็นคนกระเทยไม่รู้การงาน ท้าวเพี้ยเหล่านั้นขอให้เป็นเจ้าเมือง ราชการจะตกกับท้าวเพี้ย ขอให้ราชบุตรเป็น แก่งแย่งกันอย่างนี้ สมเด็จรับสั่งให้กรมหมื่นนเรศกราบบังคมทูลแต่วานนี้ แล้วแต่จะโปรด แต่เห็นว่าทำวเพี้ยเขาพร้อม ถ้าจะตั้งตามพระยามหาอำมาตย์ว่า ถ้าไปเป็นเหตุอย่างไรก็ลำบาก กลัวท่านจะสั่งให้พระยาศรีถวายหนังสือพระยามหาอำมาตย์ ครั้นถวายแล้วโปรดให้อุปฮาดเป็น อีกฉะบับหนึ่ง ส่งเงินแทนส่วย

๔ พระยาพิพัฒน์ทูลลาพระแกลงกลับไปเมือง

๕. พระราชทานคำตัดสินเรื่องหลวงไกรนารายน์ ซึ่งเจ้าพระยาบหินทรถวายวันอาทิตย์แรม ๔ ค่ำเดือน ๕ ให้พระศรีกาฬสมุดไป ไม่ได้เซ็นว่ากระไรไป

๖ พระนรินทรถวายงบภาษีฝิ่นร้อยชักสามจำนวนเดือน ๘ วันนี้สวดมนต์หล่อพระชนมพรรษาและยกยอด

วันศุกร์แรม ๑๐ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ เวลาเช้าเลี้ยงพระบนพระมหาปราสาท ๓๐ รูป บนพระที่นั่งอาภรณพิโมกข์ ๑๐ รูป ครั้นเวลาบ่ายโมง ๓๐ นาที ยกขึ้นพระที่นั่งใหม่ซึ่งเป็นยอดปราสาท ๓ ยอด เวลาบ่าย ๒ โมง ๒๒ นาที เสด็จออกหล่อพระชนมพรรษาที่โรงทอง ขุนนางเฝ้า

๒ มีพระราชหัตถ์ถึงเสด็จที่วัดที่พระที่นั่ง

๓ เวลาบ่าย เสด็จที่วัดถวายมา ๖ ชื่อ พระที่นั่งสุนทรวิจิตรไพศาล ๑ ศรีตลาภาษวายุพาน ๑ สิวาลัยทิพยพิมาน ๑ ศิริรัตนราชพิมาน ๑ มูลสถานบรมอาศน์ ๑ เหมรังสฤษดิปราสาท ๑

๔ กรมอดิศรเฝ้าถวายหนังสือว่าด้วยขอตั้งทหารล้อมพระราชวังเป็นที่ต่าง ๆ โปรดพระราชทานให้พระยามหามนตรีจัดพร้อมกัน

๕ มิศซิสแมกีบุช กับมิศซิสเบลบิลเฝ้า แล้วไปเยี่ยมสมเด็จพระเจ้าลูกเธอประสูติใหม่ทั้ง ๒ พระองค์ ถวายฉลองพระองค์ ๆ ละองค์ ซ่อมช้อนมีดองค์ละสำรับ กับน้ำอบฝรั่งองค์ละหีบ แล้วว่าจะไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพย์ เจ้าเข่งเห็นว่าไม่ได้เตรียมตัว บอกเขาว่าพระองค์สุขุมาลไม่ทรงสบาย ไม่มีใครจะมาพูดรับเขา ก็ฝากของไว้ถวายแล้ว

๖ อาลบาศเตอเฝ้าถวายแผนที่

๗ วันนี้ไม่ได้ออกขุนนาง เพราะออกเมื่อหล่อพระชนมพรรษาแล้ว

วันเสาร์แรม ๑๑ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ เสด็จที่วัดถวายชื่อพระที่นั่งมาอีก ปนเก่ามาด้วย ๔ ยกเหมรังสฤษดิปราสาทเสีย กับศรีตลาภาษแก้เป็นสีตลากาศวายุพาน เติมสักรินทรบรรหาร ๑ เสนามาตยสโมธาน ๑ สีหาสนสถิตยอวตาร ๑

๒ มีพระราชหัตถ์ไปฉะบับหนึ่ง

๓ แล้วท่านถวายมาอีก ๒ ชื่อ นิพัทธกิจราชบรรหาร ๑ นรินทราณัติสโมธาน ๑

๔ องค์มนุษย์ถวายงบจำนวนฎีกาทรงเซ็นเดือน ๘ รวม ๒๙ ฉะบับ กับรวมสารบบกรมต่างๆ เดือน ๘ รวมทุกกรมความแล้ว ๙๒ เรื่อง พระยาอภัยรณฤทธิ์ ความลักกระบือ ปีฉลูอีก ๒๒ รวม ๑๑๒ คงความทุกกรม ๕๗๘

๕ เวลาวานนี้พระปรีชาทูลด้วยมิสเตอรนอกซ์ช่วยหาอินเยอเนียมารับทำทองไล่แร่ให้ได้ตันหนึ่ง ๕ เอาซ์ แต่จะขอสิบลด รับสั่งให้เจ้าพนักงานทำความเห็นมาก่อน ครั้นวันนี้พระปรีชานำต้นหนังสือมิสเตอรนอกซ์มีถึงพระปรีชาลายมือแฟนนีเขียน ว่าท่านได้ทำการมาหลายปีแล้ว ยังไม่มีกำไร ท่านยังไม่เคยมีคนใช้ที่เข้าใจในการแร่ทอง ในการไมเนอต้องมีคนรู้จักสองอย่าง คนสำหรับชุดแร่ให้เสียเงินน้อยและเอาทองออกจากแร่ เดี๋ยวนี้มีคนอังกฤษอยู่ในบางกอกคนหนึ่งไม่ใช่นักปราชญ์ ไม่ใช่เป็นคนออกตัว เป็นคนทำการในออสเตรเลีย ๒๐ ปี ทำด้วยมือของตัวเอง แต่ไม่ชอบรับเงินเดือน ใจเหมือนคนเล่นเบี้ย อย่างคนเล่นเบี้ยอยากได้หากำไรของตัวเอง ข้าพเจ้าคิดว่าทำอย่างนี้เห็นจะดี เดี๋ยวนี้ท่านทำการตันหนึ่งได้ทองแต่ครึ่งเอาซ์ ไม่พอแก่เงินที่จะต้องใช้ ถ้าตันหนึ่งได้ทอง ๑ เอาซ์ จะมีกำไรถมไป คิดว่าถ้าทำหนังสือสัญญากับคนอังกฤษนี้ สัญญาตันหนึ่งได้ทอง ๕ เอาซ์จะให้เอาสิบเปอรเซ็น ถ้าทองไม่ถึง ๕ เอาซ์ก็ต้องเสียประโยชน์ของเขาเอง เพราะไม่ได้กำไรในสิบเปอรเซ็น จะได้รับเงินเดือน ๆ ละร้อยเหรียญ ข้าพเจ้าคิดว่าเห็นจะไม่ได้ถึง ๕ เอาซ์ แต่คิดว่าอย่างน้อยทีเดี่ยวจะได้เพียงเอาซ์หนึ่ง ถ้าได้ถึง ๕ เอาซ์ จะมีกำไรมากนัก จะต้องให้เขาสิบเปอรเซ็น เขาได้มีน้ำใจเข็งแรง ถ้าทำการ ๖ เดือนขาดทุนเหมือนอย่างแต่ก่อน ให้เขาออกเสียก็ได้ ถ้าเขาทำแร่ตันหนึ่ง ไม่ถึง ๕ เอาซ์ แต่มีประโยชน์มาก ขอเพิ่มเงินเดือนให้เขาบ้าง เพราะเขาไม่ได้สิบเปอรเซ็น (เซ็น)

๖ จึงมีพระราชหัตถ์สลักหลังเหน็บไปว่า พระปรีชากลการนำหนังสือกงซุลอังกฤษมีมาด้วยเรื่องบ่อทองมาให้ดูนั้นได้ตรวจดูแล้ว เห็นว่าซึ่งกงซุลอังกฤษช่วยแนะนำคนที่เคยทำการมาเพื่อจะให้เป็นประโยชน์แก่การก็ขอบใจเขาอยู่ การบ่อทองทุกวันนี้ทำมาช้านาน เงินรายเดือนก็ต้องเสียอยู่มากไม่ได้ทุนคืนมา ก็ควรคิดอ่านให้เป็นประโยชน์ขึ้น อย่าให้เงินแผ่นดินต้องตกสูญเปล่าไป ให้พระยากระสาปน์ พระปรีชา ทำจดหมายรายการและความเห็นในถ้อยคำที่เขาว่ามายื่น จะเห็นประการใดก็ให้ว่ามา จะได้เป็นทางตริตรองการต่อไป แล้วพระราชทานคืนพระปรีชาไป

๗ พระยาภาษฝากหนังสือเจ้าให้ถวายว่าเรื่องกัปตันแมทิวบอกเข้ามาด้วยเรื่องแต่งงานนั้น ว่าควรจะพระราชทานของออกไปสักสิ่งหนึ่ง กับการเรียนหนังสือสังสกฤตนั้น พระสาสนโสภณกับพระสงฆ์ผู้เรียนปรึกษาพร้อมกัน ขอรับพระราชทานหยุดพักในเดือนสิบนี้ ขอรับเขียนครามมาให้แล้วจึงจะลงมือเขียนใหม่ เดี๋ยวนี้หนังสือไม่มีพร้อมกัน แต่ครูนั้น ขอรับพระราชทานเบี้ยเลี้ยงให้ แต่เดือนที่หยุดนั้นจะไม่คิด จะเกณฑ์ให้รีบแต่งคราม การรับรางวัลที่จะพระราชทานพระสงฆ์นั้น ได้จัดไว้แล้ว จะพระราชทานส่งออกไปก็ได้ วัน ๑๒ ค่ำ จะได้ประชุม (ทรงตอบไปให้เลิก)

๘ ออกขุนนาง พระยาศรีอ่านบอกน้ำฝนต้นข้าวกรุงเก่า กับทูลเจ้าพรหมเทวาเมืองอุบลเข้ามาเฝ้า ทรงทักทายปราสัยตามคุ้นเคย

๙ กรมท่าถวายหนังสือราชการตราต่าง ๆ เล่ม ๓

๑๐ สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีถวายรายชื่อดาบญี่ปุ่นอย่างหนึ่งราคาเล่มละ ๒ บาท ๒ สลึง ๑ เฟื้อง ๑๐๕๔ เล่ม เงิน ๓๔ ชั่ง ๔๖ ตำลึง ๔๘ สลึง อย่างหนึ่งเล่มละ ๒ บาท ๒ สลึง ๔๐๐ เล่ม เงิน ๑๒ ชั่ง ๔๐ บาท รวมดาบ ๑๔๕๔ เล่ม เงิน ๔๗ ชั่ง ๖ บาท ๔๘ สลึง ไปใช้วันพุธขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๑๐

วันอาทิตย์แรม ๑๒ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ พระยามหามนตรีเฝ้า ถวายคำให้การอ้ายทิมว่า ฉะบับนิราศหนองคายนั้น เจ้าพระยามหินทรเรียกเอาไป อยู่ที่เจ้าพระยามหินทร

๒ มีพระราชหัตถ์สั่งให้พระยามหามนตรี

๓ พระปรีชานำหนังสือพระยากระสาปน์ ความเห็นเรื่องบ่อทองมาถวาย ว่าด้วยเดิมมิสเตอรนอกซ์ (ว่าใจความหนังสือมิสเตอรนอกซ์ย่อๆ จนถึงพระปรีชานำพระราชหัตถ์ให้ทำความเห็นทูลเกล้า ฯ ถวาย) แกเห็นว่าการซึ่งโปรดเกล้า ฯ ให้แกทำทองอยู่ทุกวันนี้ ลางทีขุดแร่ถูกที่ดีเนื้อศิลามีทองมาก ตันหนึ่งก็ได้ทอง ๑-๒ เอาซ์ มีกำไรได้ ถ้าขุดไม่ถูกที่ดีศิลานั้นเนื้อทองน้อย ก็ได้เพียงครึ่งเอาซ์ และต่ำลงมาหาใคร่จะพอโสหุ้ยใช้สรอยไม่ เพราะไม่ได้เนื้อทองเสมอกัน การที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ถ้าปะโชคลาภก็ได้เนื้อทองมาก ถ้าหาโชคลาภไม่ ก็ได้เนื้อทองน้อยขาดทุน จะกำหนดเอาเป็นแน่ชัดไม่ใคร่จะได้ บัดนี้มิสเตอรนอกซ์ว่าอินเยอเนียสำหรับขุดแร่นี้ จะคิดอ่านทำให้ได้แร่ตันหนึ่งได้เนื้อทอง ๕ เอาซ์ แต่จะขอเอา ๑๐ เปอร์เซ็น แกเห็นว่าถ้าเขาทำเนื้อแร่ตันหนึ่งได้ทอง ๕ เอาซ์จริงดังกล่าว ถึงจะเสียลดให้ ๑๐ เปอร์เซ็นก็ยังดี เพราะคงจะมีผลประโยชน์มากด้วยคิดประมาณดูตามเครื่องจักร์ ๒๔ ชั่วโมง ทำแร่ได้ ๒๐ ตัน ๆ ละ ๕ เอาซ์ ๒๐ ตัน ก็เป็นทองหนัก ๑๘๗ บาท ๒ สลึง คิดหัก ๑๐ ลดเสีย ๑๘ บาท ๒ สลึง คงได้ทองหนัก ๑๖๙ บาท คิดราคา ๑๖ หนัก เป็นเงิน ๓๓ ชั่ง ๑๖ ตำลึง เดือนหนึ่งได้ทองหนัก ๕๐๗๓ บาท เป็นเงิน ๑๐๑๔ ชั่ง ถ้าทำการได้แร่ทองมากขึ้นไป ก็คงจะมีกำไรมากกว่านี้ ถ้าโปรดเกล้า ฯ ให้ทำหนังสือสัญญากับเขา ก็จะทำสัญญาแต่เพียง ๓ ปีลงมา เมื่อถึงกำหนดตามสัญญาแล้ว คิดว่าคงจะทำอย่างที่เขาทำนั้นไว้ได้บ้าง แล้วจะให้ออกเสียก็ได้ รายทอง ๑๐ เปอร์เซ็นนั้น ก็คงจะเป็นของหลวงเมื่อภายหลัง

๔ มีพระราชหัตถ์ถึงสมเด็จเจ้าพระยาฉะบับ ๑ ว่าด้วยพระปรีชานำหนังสือกงซุลอังกฤษมีมาถึงพระปรีชาว่าด้วยอินเยอเนีย จะรับทำการขุดแร่เมืองกระบินทรบุรีมาถวายฉะบับหนึ่ง และว่ากงซุลอังกฤษอยากจะมาเฝ้าทูลเอง ให้รับสั่งให้หาเขาเข้ามา ทรงเห็นว่าการที่บ่อทองของเราออกทุนทำไปก็ยังไม่ได้ทุนกลับคืน ครั้นจะพูดปรึกษาหารือกับเขาก่อน ก็ยังไม่ทราบการภายในของเรา และยังไม่ได้ปรึกษาหารือกัน จึงทรงสั่งให้พระยากระสาปน์ พระปรีชา ให้ทำรายการบ่อทองที่ทำได้อยู่ทุกวันนี้ และความเห็นเจ้าพนักงานมายื่น พระยากระสาปน์ พระปรีชาได้ทำความเห็นมายื่น ได้คัดสำเนาหนังสือกงซุลอังกฤษมีมายังพระปรีชาฉะบับหนึ่ง ถึงพระยากระสาปน์ฉะบับหนึ่ง ส่งมาด้วยแล้ว การเรื่องทำทองนี้ เป็นการใหญ่อยู่ จะได้เสียดีร้ายต่อไปประการใด ก็ทรงเกรงจะเห็นการไปไม่ตลอด ขอเจ้าคุณได้ช่วยตริตรองจะเห็นการประการใดให้ทรงทราบด้วย

๕ ออกขุนนาง พระยาศรีทูลบอกน้ำฝนต้นข้าวเมืองไรจำไม่ได้ฉะบับหนึ่ง

วันจันทร์แรม ๑๓ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ จมื่นทิพยเสนาเฝ้าถวาย หนังสือพระยามหามนตรีกัปตัน ฉะบับนิราศหนองคาย ๔ เล่ม ในหนังสือจ่าให้จมื่นทิพยเสนา เชิญพระราชหัตถ์ไปให้เจ้าพระยามหินทรดู เจ้าพระยามหินทรได้ส่งต้นฉะบับมา ๔ เล่มแล้ว แจ้งว่าหนังสือที่ตีพิมพ์ที่โรงพิมพ์หมอสมิธนั้น เจ้าพระยามหินทรได้ไปซื้อมาแล้วเป็นสมุดใบปกแข็ง ๕๗ เล่ม ใบปกลายศิลา ๑๒๗ เล่ม ใบปกเขียว ๑๗๘ เล่ม รวม ๓๖๒ เล่ม กับหนังสือยังไม่ได้เย็บอีก ๑๐ ยกประมาณ ๑๐๐ เล่ม ได้ส่งไปที่พระยารองเมืองแต่วันเสาร์แรม ๑๑ ค่ำเดือน ๙ แกไปถามพระยารองเมืองว่าจริงแล้ว จะทำบัญชีขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวาย

๒ มีพระราชหัตถ์ถึงมิสเตอรอาลบาศเตอ

๓ รับหนังสือสมเด็จเจ้าพระยาตอบเรื่องทำทองว่า ได้รับพระราชหัตถ์และสำเนาซึ่งพระราชทานไปนั้น ทราบแล้ว และหนังสือมิสนอกซ์ว่ามีคนอังกฤษคนหนึ่งในบางกอกไม่ใช่นักปราชญ์ ไม่ใช่คนอวดตัว เป็นคนเคยทำแร่ทองในออสเตรเลียมาถึง ๒๐ ปี จะขอทำการไป บ่อทองทำสัญญา แร่ตัน ๑ ถ้าได้ทอง ๕ เอาซ์ จะขอเอาสิบลด ถ้าไม่ถึง ๕ เอาซ์ไม่เอาสิบลด จะขอแต่เงินเดือนๆละ ๑๐๐ เหรียญ กงซุลเห็นว่าควรให้เขาทำสัก ๖ เดือน ถ้าไม่ได้เหมือนอย่างว่า จะให้ออกเสียก็ได้ ซึ่งกงซุลว่ามาดังนี้ ก็ดีอยู่ ความเห็นของพระยากระสาปน์นั้นว่ายืดยาวมาก ถ้าโปรดเกล้า ฯ ให้ทำสัญญาก็จะทำถึง ๓ ปี เกินหนังสือกงซุลอังกฤษ ถ้าเป็นคนไม่ได้การ จะมิต้องเสียเงินมากนักหรือ ควรจะต้องเอาตามหนังสือกงซุล ให้ลองทำดูสัก ๖ เดือน ถ้าดีกว่าการที่ทำมาแต่ก่อนจะทำสัญญาให้ยาววันออกไปอีกสักเท่าไร เดือนละเท่าไร ท่านก็ไม่ทราบ ได้ทองมาส่งเท่าไรท่านก็ไม่ทราบ ซึ่งจะให้พูดไปนั้นเหลือปัญญาอยู่ พระยากระสาปน์ก็เป็นอธิบดีอยู่ในการนี้ รู้การมาก ฉลาดทั้งพวก ขอให้มีประโยชน์แก่แผ่นดินบ้าง อย่าให้เงินแผ่นดินสูญสิ้นไปเสียอย่างเดียว ท่านเห็นการดังนี้

๔ เวลาวานนี้ รับสั่งไปกับท้าวแพว่าเดือน ๑๒ จะเสด็จอ่างศิลา วันนี้ได้รับหนังสือเจ้าพระยาภาณุวงศ์ทูลตอบ ว่าพลับพลาชำรุดมากจะต้องซ่อมในเดือน ๑๐ นี้ คนที่จะทำการนั้นเป็นคนเมืองพนัสนิคม เมืองบางลมุง เป็นคนอดสะเบียงอาหาร ขอรับพระราชทานจ่ายข้าวจนการแล้ว ทรงตอบไปว่าอย่าซ่อมเลย จะประทับในเรือ ท้าวแพเป็นคนไปบอก

๕ ออกขุนนาง ไม่มีราชการอะไร เมื่อก่อนออกขุนนางรับหนังสือเจ้าพระยาภาณุวงศ์ ว่าด้วยพระยาอภัยบริรักษ์ผู้ว่าราชการเมืองพัทลุง ทำหนังสือมาขอโทษพระปริยันตกระเษตรานุรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองปะเหลียน ท่านได้นำขึ้นเรียนสมเด็จเจ้าพระยา ๆ ว่าเมื่อท่านไปเมืองตรัง ได้ยินราษฎรติเตียนพระปะเหลียนมาก ชื่อเสียงหาเป็นที่สรรเสริญไม่ ถ้าจะโปรดเกล้า ฯ พระราชทานโทษแล้ว ก็ให้มอบให้พระยาอภัยบริรักษ์ ด้วยถ้อยความนั้นจะถือเอาเป็นแล้วเสด็จยังไม่ได้ เมื่อมีผู้มาว่ากล่าวอีก จะได้เรียกมาชำระตัดสินต่อไป แต่เมืองปะเหลียนเป็นที่ประชุมคนชั่วร้ายมาก ให้พระยาพัทลุงบังคับให้หลวงเขตรขันธ์ภักดีปลัดเมืองปะเหลียนว่าราชการรักษาบ้านเมือง ลูกค้าจะได้ทำมาค้าขายเป็นสุข สมเด็จเจ้าพระยาท่านว่าดังนี้ ถวายต้นหนังสือพระยาอภัยบริรักษ์มา ต้นหนังสือพระยาอภัยบริรักษ์ลงวันศุกร์แรม ๑๒ ค่ำเดือน ๔ คัดสำเนาไว้ แล้วทรงสั่งพระนรินทรให้เรียนเจ้าพระยาสุรวงศ์ว่าให้พ้นโทษออกจากจำ แต่อย่าให้ไปว่าราชการ ให้มอบให้พระยาอภัยบริรักษ์ไว้ให้หลวงปลัดว่าการเมืองต่อไป

๖ พระศรีกาฬสมุดถวายหนังสือเจ้าพระยามหินทร ๒ ฉะบับ ๆ หนึ่งว่าด้วยไพร่หลวงและไพร่สมกรมต่าง ๆ มีทุกข์ร้อนขึ้น ก็มาร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงาน ก็ได้พิเคราะห์ตัดสินไปตามพระราชกำหนดกฎหมาย แต่ครั้งนี้นายทอง นายจาด ขุนหมื่น ตัดขึ้นในกรมแสงทำเรื่องราวกล่าวโทษหลวงเสน่ห์สรชิต ว่าเดิมพระองค์สายให้เร่งขุนหมื่นตัดขึ้นมาหัดเป็นทหารปืนแคตลิงกัน หลวงเสน่ห์ลงเอาเงินกับนายจาด นายทอง คนละ ๒ ชั่ง ๓ ตำลึง ได้ทำหนังสือประทับตราให้ไว้เป็นสำคัญ แล้วนายวุธรณรงค์ไปจับเอาตัวนายจาด นายทอง มาจะเอาเป็นทหาร จึงได้ทำเรื่องราวมาร้องขอเป็นไพร่หลวงจ่ายเดือนกรมต่าง ๆ แจ้งอยู่ในเรื่องราวนั้นแล้ว ครั้นแกจะตัดสินตามธรรมเนียมไพร่หลวงกรมต่าง ๆ ก็เกรงพระราชอาชญา ด้วยทหารปืนแคตลิงกันตั้งขึ้นใหม่ จึงนำขึ้นกราบทูลขอพระราชทานเป็นพระราชบัญญัติต่อไป

เซ็นพระราชหัตถ์ว่าหลวงเสน่ห์ลงเอาเงินแก่นายจาดนายทอง ก็ควรที่นายจาดนายทองจะทำเรื่องราวยื่นพระองค์สาย ซึ่งบังคับการในกรมแสงก่อน เมื่อไม่ชำระให้ จึงควรเป็นการเดือดร้อนแท้ ที่นายจาดนายทองมาร้องก่อนดังนี้ ไม่ควรจะรับร้องนายจาดนายทอง แต่ข้อซึ่งนายจาดนายทองว่าสมัครเป็นไพร่หลวงจ่ายเดือนนั้น ก็ยกเหตุที่หลวงเสน่ห์ลงเอาเงิน เมื่อพระองค์สายชำระให้แล้วก็เป็นสิ้นความกัน ซึ่งจะให้นายจาดนายทองเป็นไพร่จ่ายเดือนตามใจนั้นไม่ได้ ด้วยทหารปืนแคตลิงกันจัดขึ้นใหม่สำหรับจะรักษาบ้านเมือง ไม่ควรจะชักคนเสียให้น้อย ให้นายจาดนายทองคงเป็นทหารปืนแคตลิงกันตามหมู่เดิม อีกฉะบับหนึ่งว่าด้วยนิราศหนองคายแกได้เก็บรวบรวมมาก่อน ที่จมื่นทิพย์เสนานำพระราชหัตถ์ไป ได้ไปส่งพระยารองเมืองเสียแล้ว แต่วันเสาร์แรม ๑๑ ค่ำเดือน ๙ คงได้ส่งจมื่นทิพยเสนาต้นฉะบับมา ๔ เล่ม

๗ กาพย์จดหมายถวายว่าด้วยจมื่นสราภัยร้องว่าทหารอินเยอเนียที่ทำการมิวเซียมบิดพลิ้วมาก ขอทำโทษ กับการเฉลิมพระชนม์พรรษาจะโปรดเกล้า ฯ ให้กอมปนีแต่งที่ใด ทหารม้าขอแต่งโรงสูงด้านตะวันตก โปรดเกล้า ฯ ว่าให้ท่านกาพย์กะเข้ามา ครั้นดึกอีกหน่อย ก็กะมาทูลเกล้า ฯ ถวายอีกฉะบับหนึ่ง

๘ เมื่อเสวย ท้าวแพทูลว่าสมเด็จเจ้าพระยาพูดออดแอดด้วยเขาไกรลาศที่จะโสกันต์ ท่านศรีวิไลยกลัวเจ้าพระยามหินทรจะตรองโต้ด้วยนิราศหนองคาย ว่าเกิดมาไม่เคยเห็นแต่ครั้งปู่ย่าตายาย ว่าหน้าฝนไม่ยกทัพ ท่านเป็นผู้คุ้ยเขี่ยขึ้นครั้งนี้ ก็จะตรองโต้ว่ายังไม่เคยเห็นพระองค์เจ้าโสกันต์เขาไกรลาศ จึงรับสั่งว่าเคยมีเจ้าวังหน้ายังโกนได้ จึงโปรดเกล้า ฯ ให้คัดสำเนาพระราชหัตถ์สั่งสมเด็จทำเขาไกรลาศไปให้ท่านดู แล้วท้าวแพทูลว่าเอะอะมาหาคนลูกหลานจะช่วยในการแห่ แล้วให้ทูลว่าจะทรงเกณฑ์อะไรให้เกณฑ์เสีย กับขอให้กำหนดพระฤกษ์ จึงรับสั่งให้เราไปทูลสมเด็จ

๙ เสด็จพุทธมณเฑียรทำบุญพระบรมอัฐิพระพุทธยอดฟ้า สมเด็จพระอมรินทร วันสวรรคตแล้ว

๑๐ มีพระราชหัตถ์ถึงเจ้าพระยาสุรวงศ์ ถึงเจ้าพระยาภาณุวงศ์

วันอังคารแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๙ ปีขาลสัมฤทธิศก ๑๒๔๐

๑ รับหนังสืออาลบาศเตอตอบพระราชหัตถ์

๒ มีพระราชหัตถ์ถึงสมเด็จเรื่องเงินรายหมื่น

๓ เสด็จวังกรมเจริญ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ