มังทรารบเชียงใหม่

(๑) จักเฉลยริร่ำต้น คราวเมือง เมื่อเนิ้น
สารกระสัตรเราเรือง ทั่วด้าว
ลานนาโลกลือเลือง เป็นเจื่อง วันนัน
กวมเกิ่งชำพูน้าว เน่งน้อมในอาณา ฯ

แปล จะบรรยายตั้งแต่ต้นตามเหตุการณ์ที่เชียงใหม่เป็นมาครั้งกระโน้น ซึ่งเคยมีพระมหากระษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ มีพระนามลือขจรขจายไปทั่ว ตลอดถึงเรื่องราวของลานนาไทย ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือกันว่าใหญ่ยิ่ง มีเมืองขึ้นเกือบครึ่งชมพูทวีป ฯ

(๒) ราชวงศ์หลายเช่นท้าว แทนมา
เหนือแท่นมังรายตรา โลกหล้า
เป็นมกุฎทั่วทิสา เสวยราช เรืองเอย
เป็นชุมขุนแกล้วกล้า ชาตเชื้อเมืองกระสัตร์ ฯ

แปล มีพระมหากระษัตริย์เสวยราชย์สืบต่อกันมา ประทับเหนือราชอาสน์ที่พระเจ้ามังรายทรงเคยประทับ อันเป็นที่กำหนดรู้กันทั่วโลก ทุกพระองค์ที่เสวยราชย์ย่อมเป็นเยี่ยม รุ่งเรืองไปทุกทิศ ลานนาไทยชื่อว่าเป็นที่รวมของแม่ทัพที่กล้าหาญ ต่างก็เป็นเชื้อพระวงศ์ ฯ

(๓) มังรายเรืองแรกสร้าง สรีสถาน
วชิระปราการ ใหม่หม้า
เมโรก่อหินธาร สูงส่ง งามเฮย
รังแรกหอตั้งต้า เพศเพี้ยงพิมานเท ฯ

แปล พระเจ้ามังรายทรงสร้างพระนครขึ้น ทรงสร้างกำแพงแข็งแรงยิ่ง ก่อด้วยหินแข็งสูงใหญ่ ทรงสร้างป้อมหอรบเหมือนชลอพิมานลงมา ฯ

(๔) ครืเลิ้กแล้วเล่ากว้าง ปุนขาม
ชลพ่ำเพ็งเต็มตาม เทิกเท้า
ปทุมเรื่อเรืองงาม ไขข่าง รสเอย
งูเงือกจักเข้เฝ้า ขว่ายขว้างขางเวียง ฯ

แปล คูเมืองลึกและกว้างเป็นที่น่าขยาด มีน้ำเต็มอยู่ตลอดเวลา ดอกบัวบานส่งกลิ่นหอมขจรไป มีงู เงือก จระเข้ลอยระเกะระกะเผ้ารักษาเวียงไว้ ฯ

(๕) ริพลหมี่อาจอั้น สังขยา
แสนส่ำรถโยธา แก่นกล้า
คชสารใช่โยยา เหม็งหมื่น พรายเอย
อัสสะมวลช้างม้า มากเรื้องเรืองเลา ฯ

แปล มีกำลังรี้พลไม่อาจจะกำหนดนับถ้วน มีรถและมีทหารที่เก่ง ๆ เป็นแสน มีช้างสำคัญมากเป็นหมื่นเชือก ม้าก็มีเป็นอันมาก เสริมความรุ่งเรืองให้เด่นยิ่งขึ้น ฯ

(๖) เตโชไชยซราบเผี้ยน ผับไถง
ท้นเท่ามังรายใน ลุ่มฟ้า
ร้อยเอ็ดอ่อนปราไสร เป็นมิ่ง มิตรเฮย
ถวายส่วยสินช้างม้า ถี่ถ้วนสาวกระสัตริย์

แปล มีอำนาจอาจปราบได้ทั่วแผ่นดิน ใต้ฟ้านี้ มีแต่พระเจ้ามังรายองค์เดียวเท่านั้น แม้ร้อยเอ็ดพระนครก็ยอมอ่อนน้อมมาเป็นไมตรี ถวายช้าง ม้าและราชธิดาเป็นสินส่วย ฯ

(๓) สุขเกษมใต้ฟ้าโลก ลือเลา
สะพรั่งนิรันดร์เมา ชู่มื้อ
แขกเมืองมากแกมเกลา สนุกสนั่น เมืองเอย
ทุกเทพไธ้ฟ้าหยื้อ ชู่ชั้นพิมานเล็ง ฯ

แปล ใต้ฟ้านี้เป็นที่เล่าลือกันว่า ลานนาไทยเป็นดินแดนสุขเกษม พรั่งพร้อมด้วยความเพลิดเพลินทุกเวลาเป็นประจำ มีแขกเมืองมาร่วมสนุกสนานด้วย เป็นแผ่นดินแห่งความสุข เทวดาทุกชั้นฟ้าต่างก็อยู่บนวิมานมองดู ฯ

(๘) เสวยสุขมามากแล้ว เนรพาน
ไว้ลูกแลเหลนหลาน หลีดหลี้
กินเมืองสืบสันดาน โดยดั่ง เดิมเอย
สุดเช่นมังรายหนี้ รอดท้าวเทวี ฯ

แปล พระเจ้ามังรายทรงเสวยสุขมามากแล้วพระองค์ก็เสด็จสวรรคต ทิ้งเมืองไว้แก่ลูก เหลน หลาน หลีด หลี้ตามลำดับ ต่างก็เสวยราชย์สืบสันตติวงศ์มา หมดสิ้นราชวงศ์มังรายแล้ว จึงมาถึงแม่ท้าวเทวี ฯ

(๙) ยามนั้นยังพร่ำพร้อม พลพระ
เท่าแต่ทำกุสละ อยู่หย้อง
บ่แกว่นการพยุหะ สักสิ่ง สังเฮย
เพราะหมี่เคยได้ต้อง ชื่อชั้นสงคราม ฯ

แปล เวลานั้นกำลังรี้พลของนครเชียงใหม่ยังบริบูรณ์อยู่ แต่ว่า พระนางมุ่งสร้างแต่การบุญการกุศลกับการเสริมสวยเป็นประจำ ไม่สนใจเรื่องการรบเลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้ เพราะไม่เคยเจอศึกสงครามเลย ฯ

(๑๐) มังทราจงเจตเจ้า อาสิง
เห็นเหตุเป็นเมืองยิง แม่หม้าย
มาปองราชชูชิง เชียงใหม่ พระเอย
รอยฤกษ์รอมเราร้าย ม่านได้โดยจง ฯ

แปล กระษัตริย์พม่าตั้งพระทัยมุ่งจะมายึดนครเชียงใหม่ ด้วยเห็นว่าเป็นเมืองที่ผู้หญิงปกครอง จึงยกกองทัพมายึดนครเชียงใหม่ เป็นคราวที่ชาตาเมืองเข้าที่ร้าย พม่าจึงยึดได้เมืองตามที่มุ่งหมายไว้ ฯ

(๑๑) ได้แล้วเอาหน่อไธ้ ท้าวพระยา
สินส่วยเมืองหงสา เสพสร้าง
เมืองเป็นเขตอาณา ในราช เรืองเอย
สุภาพผืนนี้หล้าง โลกเรื้องลือกระสัตร ฯ

แปล เมื่อยึดเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว ก็เอาโอรสพระเจ้าแผ่นดินเชียงใหม่ พร้อมทั้งทรัพย์สินไปเป็นส่วยไว้ในเมืองหงสาวดี รวมเป็นอาณาเขตอันเดียวกัน แผ่นดินนี้น่าจะรุ่งเรืองมีกระษัตริย์ลือพระนามในโลก ฯ

(๑๒) ได้แล้วอภิเสกท้าว เทวี
เป็นแม่มังทราสรี เล่าเรื้อง
เหมียดมวลส่วยสินมี ตามแต่ เดิมเอย
หมี่ถอดถอนบั่นเบื้อง ว่องไว้วางมวล ฯ

แปล แล้วอภิเสกมหาเทวีผู้เป็นแม่มังทราขึ้นเสวยราชย์เหมือนเดิม ให้รวบรวมสินส่วยส่งเหมือนแต่ก่อน ไม่ทรงถอดถอนออก แต่มอบอำนาจให้ปกครองเมืองทั้งสิ้น ฯ

(๑๓) มหาอัครราชท้าว เทวี
ยอมหงอกกลินบุรี ถ่อมเถ้า
ทำทานชุเดือนปี สีลเสพ นิรันดร์เอย
เห็นเหตุไภยพระเจ้า ราชรู้อนิจจา ฯ

แปล พระมหาเทวียอมเสวยราชย์ในยามชราภาพ จึงทรงทำบุญทำทานรักษาศีลเป็นประจำ เพราะทรงเล็งเห็นความไม่เที่ยงแห่งสังขาร ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ ฯ

(๑๔) เสวยสุขมามากแล้ว หลายฉนำ
เถิงเขตอายุกัมม์ ก่อนสร้าง
กุสลราชทานทำ มามาก มวลเฮย
สระเด็จสู่สวรรค์ฟ้ากว้าง นั่งฝั้นแฝงอินท์ ฯ

แปล เสวยความสุขสำราญมานานปี ก็เสด็จสวรรคตตามกรรมที่สร้างมา เพราะเหตุที่พระนางทรงบำเพ็ญบุญกุศลมามาก จึงเสด็จขึ้นไปเกิดในสวรรค์ประทับนั่งเคียงกับพระอินทร์ ฯ

(๑๕) ลุนนั้นยกเจื่องเจ้า สาวถี
นรตรามังซอสรี ลูกฟ้า
มาเสวยราชธานี แทนแท่น พระนี
ทรงพวกพลช้างมล้า มากล้ำแถมถม ฯ

แปล หลังจากนั้นก็ทรงแต่งตั้งพระราชโอรสพระนามว่าเจ้าสาวัตถีนรตรามังช่อ ขึ้นเสวยราชย์ในเมืองเชียงใหม่แทน ยิ่งเพิ่มกำลังรี้พลช้างม้ามากขึ้น ฯ

(๑๖) เสวยสุขโดยดั่งอั้น ธัมมดา
หวังว่าไพร่จักอาสา แก่เจ้า
เสิกเมืองใหย่ขุณณา ยวนย่อม กลินเอย
บ่ห่อนหื้อข้าเคล้า ชาตเชื้อชุมกระสัตร ฯ

แปล เสวยราชย์มีความสุขมาตามสมควร นึกว่าชาวเมืองจะจงรักภักดี เมื่อมีศึกสงครามพวกไทยยวนจะช่วยเหลือ กลับไม่ยอมให้พวกคนดั้งเดิมเชื้อสายกระษัตริย์ร่วมด้วยฯ

(๑๗) ย่อมกินย้อนท้าวอิ่ม อุกพัตถะ
ชิงแท่นแทนเมืองพระ ใหย่หยุ้ง
เตโชราชไชยชนะ ม่านมาก มวนเอย
โจรชุบชิงฟื้นฟุ้ง คล่นคล้านพงไป ฯ

แปล ได้อยู่ดีกินดีเพราะมังซอศรี แต่กลับกลายเป็นขบถแย่งชิงเมือง เลยเกิดเรื่องยุ่งใหญ่ อำนาจของพม่ามีมากกว่าจึงได้ชัยชนะ พวกที่เป็นโจรปล้นชิงเมืองพ่ายแพ้ไปฯ

(๑๘) พระเลี้ยงถ้านอิ่มอั้น อุกอุย
สหาวเกิดเป็นคระมุย คลื่นเคล้า
บ่ลุเล่าสิ่งสุย เชื้อชาต มวนเอย
วิบากข้าฟื้นเจ้า บาปท้นคืนสนอง ฯ

แปล พระราชาทรงเลี้ยงดูให้อิ่มหนำสำราญ กลับมากลายเป็นคนร้าย ทำให้ยุ่งยาก เมื่อไม่สมหวังดังที่คาดไว้ ก็ตายกันเป็นจำนวนมาก บาปกรรมที่ไพร่เป็นขบถต่อเจ้านายจึงย้อนตอบสนองให้เป็นเช่นนี้ ฯ

(๑๙) ล้านนาเชียงใหม่หม้า ทังมวน
เป็นขระจุกกระจวน ลวดไหม้
ลวดหลอที่อันควร เกล่าเรียก เอาเอย
ยังค่อยสมริทธิ์ได้ พร่องแล้วดาดี ฯ

แปล ลานนาไทยนครเชียงใหม่ทั้งมวล กลายเป็นเมืองที่ระส่ำระสายไปทั่ว แต่ก็ยังดีที่เหลือคนเก่า ๆ อยู่บ้าง จึงเรียกมาช่วยกันทำงาน พอแก้เรื่องร้ายให้กลายเป็นดีขึ้นบ้าง ฯ

(๒๐) ธรอยเชียงใหม่หม้า อนัคฆา
ยังค่อยเป็นเมืองมา หมี่ร้าย
ลุนนั้นเพศพิษพา นเรตย์ เรืองเอย
ยุธิเยศโดยได้ส้าย เร่งร้ายเมืองมา ฯ

แปล เป็นบุญของนครเชียงใหม่ที่เคยสูงค่า ค่อยกลับฟื้นคืนมา ห่างจากความยุ่งยาก แต่หลังจากนั้นเสมือนดังเกิดพิษร้ายพาเอาสมเด็จพระนเรศวรกระษัตริย์อยุธยา ยกกองทัพมาซ้ำเติมอีก จึงยิ่งเพิ่มความร้อนร้ายให้นครเชียงใหม่ ฯ

(๒๑) นอเรศขอเจื่องเจ้า สาวกระสัตร
เทียมแท่นเสวยสมบัติ โกถเคล้า
แล้วเล่าลูกชายถัด เป็นแขก เขรยเอย
หวังว่าจักบางเส้า เล่าซ้ำแถมถม ฯ

แปล สมเด็จพระนเรศวรทรงขอพระราชธิดา เพื่อทรงนำไปเป็นพระเทวี ส่วนพระราชโอรสองค์ถัดไปทรงขอไปเป็นเขย นึกว่าความวุ่นวายยุ่งยากจะบรรเทา ยิ่งกลับทวีมากขึ้น ฯ

(๒๒) นอเรตย์ผันผราบได้ เมืองพระ
เขริงขราบไปอังวะ เพื่อนพ้อง
หมี่เถิงเล่ามรณะ วายวอด วันนัน
รามส่วนผู้น้องนั้น สืบท้าวแทนเมือง ฯ

แปล สมเด็จพระนเรศวรทรงได้นครเชียงใหม่แล้ว ทรงยกทัพจะไปปราบเมืองอังวะอีก เพราะเป็นเมืองคู่กันกับเชียงใหม่ แต่เสด็จไปไม่ถึง เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระราชอนุชาของพระองค์จึงเสวยราชย์ในอยุธยาแทน ฯ

(๒๓) สัตถรูเมี้ยนม้วยหมี่ เสตสะหลอ
เชียงใหม่ตกเป็นตอ ถ่านี้
โจรเข้าขร่ามขรามขอ ชีเวต วางเอย
มาชู่เมืองพร้อมพรี้ อยู่ร้างรามกาน ฯ

แปล ศัตรูหมดสิ้นไปไม่เหลือแล้ว ครั้งนี้เชียงใหม่เหมือนเป็นหลักเป็นตอ พวกโจรเข้ามาขันอาสาวางชีวิตเป็นประกัน ทุกๆเมืองมาชุมนุมกันในเมืองนี้ แต่อยู่กันว่างๆ ไม่ทำอะไร

(๒๔) เมืองพิงเป็นแม่ร้าง ยืนยาว
ครืนครอบมาเป็นสาว ใหม่หม้า
ทำทานอยู่ฉะฉาว สีลเสพ สนุกเอย
วิบากยงยั้งถ้า หมี่รู้เสมอตาย ฯ

แปล เชียงใหม่เป็นเหมือนแม่ร้างไปนานทีเดียว แล้วกลับคืนมาเป็นสาวที่สวยสดอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนพลเมืองต่างก็ทำบุญรักษาศึลเป็นที่สนุกสำราญ หวังผลอันประเสริฐที่รออยู่ข้างหน้า เพราะถ้าประมาทก็เหมือนคนที่ตายแล้ว ฯ

(๒๕) ตนเสวยเชียงใหม่หม้า มังทรา
ขรุกเขรือกทรงโรคา ร่อนร้าย
สารสระเด็จสู่ราชา ยุธิเยศ โพ้นเอย
เชิญลูกรักพระผร้าย รีบท้าวแทนเมือง ฯ

แปล มังทราองค์ที่เสวยราชย์ในเชียงใหม่ ประชวรด้วยพระโรคร้าย ชาวเมืองจึงมีหนังสือไปทูลกระษัตริย์อยุธยา อัญเชิญพระราชโอรสให้รีบเสด็จขึ้นไปเสวยเมืองเชียงใหม่ ฯ

(๒๖) พระเจ้ายุธิเยศรู้ สัญญา
เลยรีบสองกระสัตรา ด่วนเต้า
พวกพลแห่แหนมา มวลมาก วันนัน
ก็แก่นกัมม์พระเจ้า หากรู้มีมา ฯ

แปล กระษัตริย์อยุธยาทรงทราบอาณัติสัญญา ทั้งสองพระองค์กับพระราชโอรสยกทัพใหญ่รีบเร่งเสด็จขึ้นมา แต่เป็นเพราะกรรมแท้ ๆ จึงมีเหตุให้เป็นไป ฯ

(๒๗) อ้ายเยี้ยวทั้งพี่เลี้ยง โลกา
ขาหากรังริดา ฟาดฟื้น
เพราะเห็นเหี่ยวทันตา กินง่าย งามเอย
เขริงขราบพระช้อยขึ้น แรกได้เมืองนะคอน ฯ

แปล เกิดมีไอ้เงี้ยวพร้อมทั้งพี่เลี้ยงชื่อโลกา เขายกกองทัพมาเป็นขบถ เพราะเห็นว่าบ้านเมืองกำลังปั่นป่วนคงจะปราบได้ง่าย แล้วยกย่องพระอนุชาองค์เล็กขึ้นครองเมืองลำปางก่อน ฯ

(๒๘) พี่เลี้ยงเล็งเลียบแล้ว กินฟาน
เยียะโยดเหลือประหมาน หน่ายหน้า
มัวสุขหมี่หันการ ทุกข์เล่า ลุนเอย
หัวหมี่คุงฟ้าพลัน เท่าข้อมือเดียว ฯ

แปล พี่เลี้ยงมองเห็นว่าจะกินง่าย มันทำทนงโอหังยิ่งจนน่าเกลียด มัวเมาเพลิดเพลินในความสุข ไม่นึกว่าทุกข์จะเกิดขึ้นในภายหลัง ศีรษะมันไม่ถึงชั้นฟ้าคงจะเหลือสักข้อมือ ฯ

(๒๙) แต่นี้ไปหน้าหมี่ เหิงนาน
แล้วเล่าลาวพระยาหาน ฟาดฟื้น
ปลงปลดหน่อภูบาล ช้อยราช ลงเอย
ยกพี่ตนกลางขึ้น แรกได้เมืองฝาง ฯ

แปล ต่อจากนั้นไม่นาน ลาวพระยาหาญก็แข็งข้อเป็นขบถ ปลดพระอนุชาองค์เล็กออกจากราชสมบัติ แล้วยกพระเชษฐาองค์กลางขึ้นเสวยราชย์ในเมืองฝางก่อน ฯ

(๓๐) เท่าเยียะฉันนี้อยู่ อุกกะหลุก
เขาชุบชิงกันสุข หน่ายหน้า
เวนวางร่าฝนฝุก ตายไขว่ ขวิดเอย
เทสิ่งสินช้างม้า มากแม้นเมียนาง ฯ

แปล ชิงกันอยู่อย่างนี้เป็นโกลาหล ต่างคนก็แย่งกันเสวยสุข เป็นที่น่ารำคาญยิ่ง คนตายกันเกลื่อนกล่นเหมือนผีห่าลงมากิน ต่างก็แย่งชิงทรัพย์สมบัติช้างม้าตลอดถึงผู้หญิง ฯ

(๓๑) เสิกเกิดกลางบ้านดั่ง ฤๅดี
บ่ห่อนหันมามี ดั่งนี้
เมืองมัวมืดเสียสรี หมองหม่น นักแล
เขาแรกรังชักชี้ ช่องหื้อสัตถรู ฯ

แปล มีศึกเกิดขึ้นกลางเมืองเช่นนี้เป็นการไม่ดีแน่ แต่ก่อนมาไม่เคยเห็นเป็นเช่นนี้เลย บ้านเมืองมืดมัวไม่มีสง่าราศีเศร้าหมองยิ่งนัก อันนี้แหละ เป็นต้นเหตุชี้ช่องทางให้ศัตรู ฯ

(๓๒) เขาสมริทธิ์แล้วชู่ ทางทำ
พร่องทือกุบจิกคำ อาดอ้าง
สุบขระโจมเบิกนามนำ ตนใหย่ นักเอย
เลี้ยงเมกงามงาช้าง เติกต้านถมสะโถน ฯ

แปล เมื่อเขาทำสำเร็จทุกอย่างแล้ว บางคนก็เขาพระมาลาที่มียอดเป็นทองคำมาสวมทำตัวเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ บางคนก็เอามงกุฎมาสวมตั้งชื่อนำหน้าตัวเป็นเจ้าเครื่องเบญจกกุธภัณฑ์ตลอดถึงงาช้าง พวกเขายึดเอาตามใจปรารถนา ฯ

(๓๓) สิ่งเสียเป็นเจ้าแร่น เราบาน
นับนั่งนอนกินปาน ปู่เปี้ย
บ่เห็นที่แหนมาร ในนอก สังเอย
สงเสพอยู่มุกเมี้ย ม่วนด้วยกามคุณ ฯ

แปล ไม่สนใจทำงาน ทำตัวเป็นคนเจ้าสำราญ นั่งนอนกินเหมือนปู่เปี้ย ไม่หาหนทางป้องกันศัตรูทั้งภายในและภายนอก เพลิดเพลินอยู่กับกามคุณ ฯ

(๓๔) เท่าเอาเด็กน้อยม่าน มวลเม็ง
เป็นเสนาสมเส็ง ร่วมรู้
ธรำเธดไม่มีเหม็ง สักสิ่ง สังเลย
เมืองจึ่งจักหล้มหลู้ เพื่อท้าวตนกลาง ฯ

แปล แต่งตัวเด็ก ๆ ชาวพม่าชาวมอญทั้งมวลเป็นเสนา ให้ร่วมปรึกษาในการงาน แต่เดิมมาไม่เคยกระทำเช่นนี้เลย บ้านเมืองจึงล่มจมเพราะพระราชโอรสองค์กลาง ฯ

(๓๕) พระยาแสนหลวงนี้ลุ่ม ราชา
เป็นมหาเสนา โคตเคล้า
พรองเมืองแต่เมินมา รู้รีต รอยเอย
ปะไป่ความคนเถ้า ล่วงล้ำปเวณี ฯ

แปล พระยาแสนหลวงซึ่งเคยเป็นรองพระเจ้าแผ่นดิน เป็นเสนาผู้ใหญ่มาแต่เดิม คิดราชการงานเมืองมาแต่ก่อน รู้ระเบียบแบบแผนจารีต พวกเขาทำผิดประเพณีคือปลดท่านออกเสีย หาว่าท่านเป็นคนแก่ ฯ

(๓๖) แต่งสามล้านใหย่ล้ำ พระยาแสน
ผิดแผกโบราณแดน รีตรู้
เจ็บใจท่านดูแควน ยสยอบ อายเอย
ดักอยู่เรือนครุดครู้ หมี่ต้านเขกเสียง ฯ

แปล แต่งตั้งพระยาสามล้านให้เป็นใหญ่กว่าพระยาแสนหลวง ผิดระเบียบแบบแผนที่เรารู้มาแต่โบราณ พระยาแสนหลวงก็เจ็บใจเพราะถูกลดยศ และเกิดความละอายเพราะเขาดูถูก

ฉบับป่าแห่งไม่มีโคลงที่ (๓๗) คงคัดลอกตกหล่น

(๓๗) แสนหลวงบ่ตั้งแต่ง แปลงดาย
ยังว่าจักจำตาย ก่อนไข้
พระยาหานหากเป็นพาย ตนเพิ่ง พิงเอย
เอาใส่ฉลวนเก่าไว้ เร่งร้ายรอมเขา ฯ

แปล พระยาแสนหลวงไม่มีหน้าที่อะไรก็อยู่เฉยๆ อาจจะตรอมใจตายก่อนไข้ ส่วนพระยาหาญที่เป็นฝ่ายตนเคยพึ่งพาอาศัยกัน ก็ถูกเขาจับล่ามโซ่ไว้ การทำไม่ดีเช่นนี้ เหมือนรวมเคราะห์ร้ายไว้ที่พวกเขา ฯ

(๓๘) ทังข้าและเจ้าดั่ง สัตตริจฉาน
ชายชั่วพาลาปาน บอดใบ้
บ่คิดถี่เถิงมาร เธตเท่า ทำเอย
เขาหากแก้เสื้อไว้ เพื่อนโพ้นหันหลัง ฯ

แปล ทั้งเจ้านายและไพร่พลประพฤติตนเหมือนสัตว์เดียรัจฉาน ชายชั่วเหล่านี้เป็นคนพาล คนโง่ ไม่คิดถึงประเพณีโบราณและข้าศึก เท่ากับเปิดเสื้อให้ข้าศึกเห็นหลัง ฯ

(๓๙) แสนหลวงทังจ่าบ้าน เป็นกัน
เร็วเรียกนครยัน หย่องผร้าย
ซุบซิบแต่งคนขัน เข้าข่ม มาเอย
เทิงที่ทวารตั้งต้าย หากแข้งไขเอา ฯ

แปล พระยาแสนหลวงกับพระยาจ่าบ้านร่วมมือกัน นัดพวกลำปางให้ลอบยกทัพเข้ามา พวกลำปางก็แต่งคนอาสายกทัพเหยียบเข้ามา ถึงประตูเวียงที่ตั้งป้อม พวกในเวียงก็เปิดประตูเวียงให้ ฯ

(๔๐) ขุนเข้าขับค้นพ่าย เพพัง
ละราชเสียในวัง เปล่าปลิ้ง
เอาตนปล่อยปุนชัง ชุมชั่ว ชายนี
ไปบวดแกมกลั้วกลิ้ง จิ่มเจ้าภิกขุสงฆ์ ฯ

แปล แม่ทัพนายกองยกทหารเข้าค่นเมื่อพวกเขาพ่ายไปแล้ว ทิ้งพระราชโอรสและวังไว้ว่างเปล่า ต่างคนต่างหนี น่าอนาถกับพวกชายชั่วเหล่านี้ หนีไปบวชอยู่ปนกับพระ ฯ

(๔๑) เท่ากล้ากลางบ้านเมื่อ เมายา
ฟุมฟู่เมียในฝา อวดอู้
พบเสิกหมี่อาสา สมปาก เขาแล
กลัวฟั่งเฟือนฝ่าฟุ้ง หน่ายหน้าอดสรู ฯ

แปล ท่าเบ่งอวดเก่งเมื่อเมาเหล้า คุยอวดเมียแต่ในห้องนอน พอเกิดศึกจริง ๆ ไม่มีใครอาสาเหมือนคุยไว้ มีแต่กลัวตายวิ่งกันลนลานน่าอดสู ฯ

(๔๒) เท่าแต่พระยาพ่ายแล้ เอาการ
ยกเอาสองภูวบาล ใส่ช้าง
ชัมพูราชพายสาร สรเด็จออก โรงเอย
มาอยู่ยืนขั้งขว้าง ใฝ่เฝ้าแฝงทวาร ฯ

แปล มีแต่พระยาที่เคยพ่ายนั่นแหละทำหน้าที่ พาเอาสองราชขึ้นทรงช้างชื่อชมพูราชเสด็จออกจากโรงช้าง ไสช้างไปยืนสกัดขวางประตูเวียงไว้ ฯ

(๔๓) กองหาญมีมากอั้น อมู
สั่งแต่งทัพถมถรู ช่วยช้าง
เป็นทลายดั่งตำปู เหลวแหลก ไปเอย
ไทยนครนี้หล้าง ส่วนเสี้ยงทังปาง ฯ

แปล เสนาทหารกล้ามีมากไม่อาจกำหนดได้ จึงแต่งทัพติดตามออกไปช่วยช้าง ทั้งสองฝ่ายเกิดตลุมบอนกัน ตายแหลกเหมือนตำปู คนไทยลำปางถึงคราวที่จะต้องแตกทั้งสิ้น ฯ

(๔๔) วันนั้นเรียมราชแก้ว สกันชาย
สุบเครื่องเคราเขราะขร่าย ถี่ถ้วน
ทรงอัสสะออกผัดผาย ผันผ่า แทงเอย
ถือหอกยองเกล่าล้วน ถี่ถ้วนถมมือ ฯ

แปล วันนั้นข้าพเจ้าซึ่งเป็นยอดชายฉกรรจ์คนหนึ่ง แต่งตัวสวมเสื้อเกราะแน่นหนา ขี่ม้าโผนเข้าแทงฉวัดเฉวียนทะลุออกไป ด้วยหอกยองด้ามเก่าที่ถือกระชับมั่นมือฯ

(๔๕) พระยาหาญก็ขี่ช้าง ไชยภิรมย์
เด็กน้อยในถูถม ออกบ้าน
จักดาสั่นไสสน สารสู่ เสิกเอย
ไทยนครต้อนต้าน จิ่งแจ้งกลับคืน ฯ

แปล พระยาหาญขี่ช้างชื่อชัยภิรมย์ พระยาเด็กชายก็รีบออกจากบ้านเหมือนกัน เกือบจะไสช้างเข้าหาข้าศึกแล้ว แต่พวกไทยลำปางต่อต้านไว้ เมื่อเขาเห็นไม่เป็นการจึงถอยกลับ ฯ

(๔๖) นครเนืองเนื่องเข้า ตุมตาม
รือรืดเสียงครุมคราม โห่ห้อม
ไทยเวียงเปลี่ยวเขาขาม หลบหลีก หนีเฮย
คนหมี่ทันพระพร้อม ลวดเสี้ยงสุดคระนิง ฯ

แปล พวกลำปางยกทหารหนุนเนื่องเข้ามา เสียงเขาโห่ร้องดังสนั่นหวั่นไหว ล้อมเป็นวงเข้ามาทุกที คนไทยในเวียงไมมีที่พึ่งเกิดความเกรงกลัว จึงพากันหลบหลีกหนีไป เพราะไม่ทันได้เตรียมทหารไว้พร้อม จึงพ่ายแพ้อย่างคาดไม่ถึง ฯ

(๔๗) เขาปีนหอยอดขึ้น สรีษฐาน (ศรีสถาน)
บายแบกหินคระดาน ป่องเข้า
กระสัตรจึ่งไสสาร สรเด็จออก วังเอย
ไปเพิ่งครูพระเจ้า ราชโพ้นพายพระสิงห์ ฯ

แปล เขาพากันปีนขึ้นสู่ยอดปราสาท งัดก้อนอิฐและกระดานให้เป็นช่องลอดเข้าไป ส่วนกระษัตริย์ของเราก็รีบทรงช้างออกจากวัง ไปพึ่งพิงพระมหาราชครูวัดพระสิงห์ ฯ

(๔๘) นครหลุหลั่งเข้า ปราง(ค์)ทอง
เทสิ่งสินสัพพ์กอง โกดแก้ว
เรียมตามรอดเถิงถอง จวนจวบ พระเอย
เอาราชตนช้อยแผ้ว ปราบพื้นพิงไชย ฯ

แปล พวกลำปางหลั่งไหลเข้าสู่ปราสาท หรือค้นหาทรัพย์สิ่งของทองแก้ว ยึดเอาเป็นสมบัติของตน ส่วนข้าพเจ้าได้ออกติดตามพระราชาไปจนทัน แล้วยกย่องพระอนุชาองค์เล็กขึ้นเสวยราชย์ในนครเชียงใหม่ ฯ

(๔๙) เขาเอาพระเจ้าราช องค์กลาง
มาใส่เรืองขังขราง ฝ่ายเฝ้า
กำจัดปล่อยเป็นปาง ปลดชีพ วันนัน
เมือสู่สวรรค์ฟ้าเต้า เทพน้อมนมัสการ ฯ

แปล เขาจับพระราชโอรสองค์กลางขังไว้ในเรือน จัดคนเฝ้ารักษาไว้ แล้วปลงพระชนม์เสียในวันนั้น พระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ทวยเทพต่างน้อมไหว้ ฯ

(๕๐) พระยาน่านคันรู้ เรียกอังวะ
มาประจนเมืองพระ แมล่งมล้าง
มังทราจึ่งแปรประ เสิกสู่ นครเอย
เขาหมี่กลัวท้าวห้าง ต่อต้านองค์กระสัตร ฯ

แปล พระยาน่านเมื่อทราบเรื่องแล้วก็แจ้งไปทางกรุงอังวะ ให้ยกทัพมา เพราะเขารบเมืองของพระองค์ (เชียงใหม่) แตกกระจายไปสิ้น มังทราจึงยกทัพมุ่งหน้าสู่เมืองลำปาง พวกลำปางไม่เกรงกลัวเตรียมทัพไว้ต่อสู้ ฯ

(๕๑) หากวันเป็นแล้วหมี่ แหหน
เขาขร่ามแข็งทุกคน แก่นกล้า
อังวะช่างบินบน บังเมฆ มาก็ดี
เราใช่ชายน้อยหน้า ยอบยั้งยมเขา ฯ

แปล หากว่ายังมีชีวิตอยู่ เราจะกลัวมันทำไม เขาทุกคนต่างกล้าหาญเข้มแข็งอาสาจะต่อสู้ แม้นว่าพม่ามันจะเหาะดั้นเมฆมาก็ตามที เราก็เป็นลูกผู้ชายผู้มีศักดิ์ศรี จะนิ่งอยู่ยอมอ่อนน้อมแก่เขาไม่สมควร ฯ

(๕๒) ทังเมืองเป็นแม่หม้าย ก็ธำเนา
รบเสิกแกว่นการเรา แต่หน้อย
จักสละชีวิตเกลา กับม่าน ครานี
อันจักเป็นข้าข้อย ม่านเถ้าเสียตน ฯ

แปล ทั้งเมืองนี้จะเหลือแต่แม่หม้ายก็ช่างมัน การรบศึกเป็นหน้าที่ของพวกเรา เราฝึกหัดกันมาแต่เล็ก ๆ แล้ว จะสละชีวิตเข้าตลุมบอนกับพม่าในครั้งนี้ ที่จะยอมเป็นเชลยของพม่านั้นเสียศักดิ์ศรี

(๕๓) เขานี้แกล้วกล้าแก่น สกันชาย
รบเสิกหมึ่กลัวตาย สว่านสู้
ย่อมคนสะบึงผาย สุบผ่า ฟันเอง
สละชีพมรเมี้ยนกู้ เขตข้ามเป็นแดน ฯ

แปล เขาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนแกล้วกล้าชายฉกรรจ์ คึกคะนองใคร่แต่จะรบศึก ไม่เกรงกลัวต่อความตาย เป็นคนเข้มแข็งอดทนมุ่งแต่จะฟาดฟันกับข้าศึก สละชีวิตเพื่อจะกู้เขตบ้านแดนเมืองไว้เป็นที่หมาย ฯ

มี ๒ ฉบับว่า

(๕๓) เขานี้แกล้วกล้าแก่น สกันชาย
รบเสิกหมี่กลัวตาย ชู่ผู้
ย่อมคนสะบึงผาย ผันผ่า ฟันเอย
จาเยียะฉงานเพี้ยพู้ เพศเพี้ยงยักข์เย็น ฯ

แปล เขาเหล่านี้เป็นชายฉกรรจ์แกล้วกล้าเข้มแข็ง ทุกคนมุ่งจะประจัญบานกับข้าศึกโดยไม่กลัวตาย เป็นคนทรหดกล้าหาญมุ่งแต่จะฟาดฟันรบราประการเดียว พูดจาองอาจเหมือนขุนนางหรือเหมือนยักษ์ ฯ

(๕๔) เห็นเขาห้าวห้างต่อ พลพระ
มังธิราชเคยชนะ ปราบปร้าย
ขับพลออกสาวสวะ ปีนเบี่ยง เอาเอย
เสิกม่านเม็งเยี้ยวร้าย เร่งร้อนคระชังสัง ฯ

แปล เห็นพวกลำปางห้าวหาญเตรียมทัพไว้ต่อสู้กับทหารของพระองค์ มังทราเคยรบชนะมาทั่ว จึงขับทหารเข้าขึ้นปีนกำแพงเวียงอยู่สับสน ศึกพม่า มอญ เงี้ยว ครั้งนี้ร้ายแรงเหลือเกิน ฯ

มี ๒ ฉบับว่า

(๕๔) เห็นเขาห้าวห้างต่อ พลพระ
มังธิราชเคยชนะ ผราบแผ้ว
ขับพลพวกพละ ปีนป่อง เอาเอย
เยี้ยวม่านเม็งกล้าแกล้ว แก่นกล้าคระชังสัง ฯ

แปล มังทราเห็นพวกลำปางกล้าแข็งห้าวหาญเตรียมทัพไว้ต่อสู้กับทัพของพระองค์ ทุกครั้งพระองค์เคยรบชนะปราบมาทั่ว จึงขับทหารของพระองค์ขึ้นปีนช่องกำแพง พวกพม่า มอญ เงี้ยวต่างก็เข้มแข็งกล้าหาญด้วยกันทั้งสิ้น ฯ

(๔๕) สองเสิกในนอกขึ้น เกลากัน
เหนือเมกเมโรฟัน อาจอ้าง
ตกลงลุ่มเห็นหัน ปานไร่ รอนเอย
พายนอกมรม้วยมล้าง ถ่านี้มีเหม็ง ฯ

แปล เกิดรบกันขึ้นทั้งในเวียงและนอกเวียงถึงตลุมบอนกัน ที่บนเชิงเทินกำแพงเวียงก็ฟาดพื้นกันอย่างอาจหาญ เห็นร่วงลงจากกำแพงอยู่ไม่ขาด เหมือนคนพื้นหญ้าแผ้วถางไร่ พวกที่อยู่นอกเวียงก็ตาย การรบครั้งนี้หนักเหลือเกิน ฯ

(๕๖) ปองปีนหลุ่นแล้วเล่า เขิงขูด
วงแวดเวียงอะอูด ชู่ด้าน
เต็มขุมอยู่ระรูด คลาคลั่ง คลัดเอย
ไทยง่ายหวังจักค้าน ด่วนได้โดยคระนิง ฯ

แปล พม่าพยายามปีนขึ้น แต่ก็ถูกฟันร่วงลงคนแล้วคนเล่า บางพวกก็ขุดดั้นใต้กำแพงเวียง บางพวกก็ล้อมเวียงไว้ทุกด้าน พากันลงไปในหลุมอุโมงค์ที่ขุดนั้นคับคั่ง นึกใจว่าคนไทยลำปางจะพ่ายแพ้โดยง่าย ฯ

(๕๗) ชาวเวียงขุดออกต้อน เที่ยวแทง
รบม่านในขุมแขง ต่อต้าน
ชีวิตหมี่หนาแหนง สักสิ่ง สังเอย
เป็นยอดชายจ้อนจ้าน แก่นกล้าสกันชาย ฯ

แปล คนในเวียงก็ขุดอุโมงค์ออกมารับ เดินเข้าแทงฟันกันกับพม่าภายในหลุมนั้น เป็นการต้านทานไว้ เขาไม่เสียดายชีวิตเลย เป็นยอดชายฉกรรจ์กล้าหาญโดยแท้ ฯ

(๕๘) ชาวเวียงเขาแต่งป้อง แปลงทับ
ตืดปากขุมรองรับ ร่อมช้าง
จำบังถูกฉบับ กลแกว่น นักเฮย
อาม็อกสมหื้อห้าง ถ่อมถ้าเสิกสนอง ฯ

แปล ชาวเวียงแต่งทัพป้องกัน ปิดปากหลุมอุโมงค์ที่เขาขุดกว้างไว้ แล้วแอบซ่อนอยู่ในที่กำบังด้วยความชำนาญในกลศึก ผสมดินปืนเตรียมปืนใหญ่ไว้คอยยิงช่วยสนับสนุน ฯ

(๕๙) เวียงยุบทัดเขื่อนขั้ง เขาตาย มากแล
เห็นคำคึดทุกพาย เปี่ยงปัน
นครแก่นสกันชาย เร็วรีบ รับเอย
ยีย่ำฟันยอยัน ม่านซ้ำแถมถม ฯ

แปล กำแพงเวียงทรุดลงตรงที่ทำเขื่อนกั้นไว้ พวกเขาตายกันมาก ทำให้เห็นความคิดของทุกฝ่ายที่แห่งแย่งกัน ชาวลำปางต่างก็ฉกรรจ์เข้มแข็ง รีบเข้ารับศึกไว้ เกิดการตลุมบอนฟันแทงกัน ทหารพม่าหนุนเนื่องเข้ามาไม่ขาด ฯ

(๖๐) เมืองนายข้าฟ้ามิ่ง มังทรา
ยินยากอดอาสา เมื่อมล้าง
หนีมาสู่ราชา เชียงใหม่ เราเอย
ไชยโชคปานได้ช้าง เผือกผ้ายมามือ ฯ

แปล เจ้าฟ้าเมืองนายซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเจ้าฟ้ามังทรา รู้สึกหนักใจไม่อาจอยู่ทนอาสารบต่อไปได้ จึงแอบหนีกลับคืนมาสู่พระเจ้าแผ่นดินเชียงใหม่ของเรา นับเป็นโชคชัยเหมือนได้ช้างเผือกมาสู่เงื้อมมือ ฯ

(๖๑) ว่ามณีสารส่งเจ้า ยุธิยา
ยกพวกพลสระเด็จมา แต่ใต้
จักรุมราชมังทรา เอาม่าน มวลเฮย
เถิงกำแพงแล้วไส้ รอดรู้สัญญา ฯ

แปล ว่า “มณี” (ไม่ทราบว่าเป็นอะไร) มีหนังสือส่งไปถวายพระเจ้ากรุงอยุธยา พระองค์ก็ทรงยกทัพเสด็จขึ้นมาจากทางใต้ หมายใจจะรุมรบพม่าทั้งหมด พอมาถึงเมืองกาแพงเพชรแล้ว มังทราจึงทรงทราบเรื่อง ฯ

(๖๒) มังทราเฟือนฟั่งห้าง แหหน
เขรงขรามยุธิยาพล ฝ่ายฝ้า
ฝูงเจ็บป่วยเขาขน หามหาบ คืนเอย
จวนจวบเสิกซองหน้า ถูกถ้านเถิงตน ฯ

แปล มังทราตกพระทัยรีบแต่งทหารโดยรีบด่วน เพราะเกรงกลัวต่อกำลังพลมากมายของอยุธยา พวกคนที่เจ็บป่วยเขาช่วยกันหามกลับคืนเมือง ทหารเกือบจะประจัญหน้ากันแล้ว ฯ

(๖๓) จักตาดีแล้วเล่า ลอมพอม
วิบากกัมม์เรารอม ตอบต้อง
พระเมืองที่จิกจอม มรณาศ ไปเอย
ยุธิเยศบ่ป้านป้อง แวดว้ายเมือเมือง ฯ

แปล เหตุการณ์เกือบจะดีอยู่แล้วทีเดียว แต่เป็นเพราะกรรมวิบากของเรารวมกันมาตอบสนอง พระราชาผู้เป็นใหญ่ของเรากลับเสด็จสวรรคต กองทัพอยุธยาจึงไม่ช่วยเหลือป้องกัน ยกทัพกลับคืนพระนครเสีย ฯ

(๖๔) เท่าดูยับหื้อใส่ มือมาร
วายวอดกลางพระลาน ชั่วช้า
ดั่งสาราชภูบาล ยังตราบ เถิงนน
บ่ร่างจักเป็นข้า ม่านเพร้พรัดเมือง ฯ

แปล เท่ากับจับเอาไปวางไว้ในอุ้งมือพระยามาร วอดวายตายกลางพระลานเป็นอันมาก ถ้าแม้นว่าพระราชาของเรายังทรงพระชนม์อยู่ คงไม่ได้มาเป็นเชลยศึกของพม่าพลัดพรากบ้านเมืองมาอยู่ที่นี่ (เมืองหงสาวดี) ฯ

(๖๕) ท้าวพระยาเยียะโยดเรื้อง เหลือประหมาน
ดูดั่งเข้าเสิกชะนาน แกว่นกล้า
พาโลแผกผิดผาน ทูทูบ ทุกข์เอย
ปุนเหิดหัวดูหน้า เมื่ออี้อ้างเหยือง ฯ

แปล พระราชาทรงทำอะไรเกินสมควร ทำเสมือนเก่งกล้าชำนาญในการเข้าประจญข้าศึก ที่แท้เป็นคนไม่ฉลาดทำงานผิดพลาดจึงเกิดทุกข์ทุกฝ่าย น่าหัวเราะเยาะเย้ยแท้ ๆ ถึงตอนนี้อ้างว่าเบื่อ ฯ (ท้าวพระยา อาจแปลว่าขุนนางผู้ใหญ่ก็ได้)

(๖๖) พระเมืองหมี่ช่างฉ้อ สิบหาย
ชาวเก่าเกลากันตาย ใช่ช้า
ม่านเห็นจิ่งจักผาย เสิกสู่ เมืองเอย
วายวอดเพราะฝูงบ้า ถ่อยถ้านพาโล ฯ

แปล พระราชาไม่ฉลาด บ้านเมืองย่อมฉิบหาย พาชาวบ้านชาวเมืองเดิม ๆ ตายกันไม่ใช่น้อย พม่ามองเห็นเช่นนี้จึงยกทัพเข้าเมืองมา บ้านเมืองฉิบหายก็เพราะคนโง่คนพาลแท้ ๆ ฯ

(๖๗) ท่านเทช้างม้าสิ่ง สมบัติ
แสนสิ่งทำโรงรัตน์ โกดแก้ว
นาสสนมหมู่กระสัตร เมียราช รักเอย
พลพวกหาญเผี้ยนแผ้ว ย่ำยู้ยูเอา ฯ

แปล ถูกเขาริบเอา ช้าง ม้า สิ่งของสมบัติ ทุกสิ่งทุกอย่างตลอดถึงแก้วแหวนอันมีค่ามาก และนางสนมกำนัลรวมทั้งพระเทวี พวกทหารเขายื้อแย่งเอาไปสิ้น ฯ

(๖๘) กองหาญเขินแขกลื้อ แลมลาว
เยี้ยวม่านเม็งชุมชาว เทศใต้
ขับออกไปฉะฉาว เหม็งหมื่น หมายเอย
รือรืดเสียงหั้นไห้ ร่ำร้องรักเมือง ฯ

แปล กองทหารเขิน แขก ลื้อ ลาว เงี้ยว พม่า มอญ ฝรั่ง ไทยใต้ ถูกขับต้อนออกไปมากเป็นหมื่น ๆ เสียงร้องไห้ระงมคร่ำครวญในที่นั้น เพราะอาลัยรักบ้านเมือง ฯ

(๖๙) เสียดายเชียงใหม่หม้า อนัคฆา
นิเวศหอคำปรา- สาทเจ้า
เป็นเฉลิมแก่อาณา หมองหม่่น ครานี
อินท์ธิราชควรร้อนเร้า แห่งหั้นกัมพล ฯ

แปล เสียดายนครเชียงใหม่เคยเป็นเมืองใหญ่ล้นค่า เสียดายปราสาทราชวังของพระมหากระษัตริย์ เคยเป็นใหญ่กว่าเมืองทั้งมวล บัดนี้ถึงคราวหมดสง่าราศี น่าจะร้อนถึงที่นั่งของพระอินทร์แล้ว ฯ

(๗๐) เสียดายช้างชั้นชื่อ ชัมพู
หกสอกสูงสัตตรู ขร่ามได้
แส้งเสิกอุตดมดู เทียมแท่น พระเอย
มังธิราชเอาละไว้ ลวดร้างรามโรง ฯ

แปล เสียดายช้างทรงชื่อ “ชัมพู” สูงถึง ๖ ศอกทนทานต่อศัตรู ในขณะที่พระราชาประทับอยู่บนหลัง ทำการรบอย่างองอาจ มังทรายึดเอาไปเหลือแต่โรงไว้ว่างเปล่า ฯ

(๗๑) เสียดายอัสส์อาจเชื้อ ชาไนย
ยะย่องย่อมเดินไป จากครุ้ม
มนุสส์ห่อนหันไหน ด่วนเติบ ฉันนี
หลอแหลกลายเจี้ยจุ้ม ค่าค้อมควรเมือง ฯ

แปล เสียดายม้าตัวองอาจสืบพันธุ์มาแต่อาชาไนย มักจะก้าวย่างย่องเดินออกจากวัง มนุษย์ไม่เคยเห็นที่ไหนซึ่งม้าตัวโตและวิ่งเร็วเช่นนี้ บัดนี้เหลือแต่ความแหลกรานและผ้าไหมคลุมม้าค่าควรเมืองไว้ ฯ

(๗๒) สังสังหมี่รู้นั่ง นอนวาย
อากาสกลางหาวดาย หน่ายหน้อ
เท่าแต่องค์เดียวตาย ไทไพร่ ยังเอย
ก็ไป่เถิงถ้านฉ้อ ดั่งนี้เดียวยิน ฯ

แปล อะไร ๆ ก็พินาศฉิบหายหมด เหลือแต่ท้องฟ้าและอากาศอันว่างเปล่า น่าสลดสังเวชยิ่ง พระราชาแต่เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่สวรรคตไป แต่ไพร่ไทประชาชนยังอยู่ ไม่เคยได้ยินแม้แต่ครั้งเดียวว่า จะต้องถึงความฉิบหายเห็นปานนี้ ฯ

(๗๓) ศักราชเก้าร้อยเจ็ด สิบหก
จำจากเรียมยอยก แผ่นผ้าย
มาปลงนอกเวียงตก แฝงฝั่ง พิงเอย
แสนโสกรมร้อนร้าย เร่งร้อนรนทรวง ฯ

แปล จ.ศ. ๙๗๖ จำใจจากบ้านออกเดินทาง มาถึงนอกเวียงวางของพักที่ฝั่งน้ำปิง ในทรวงอกเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ที่รุมโหมให้เร่าร้อน ฯ

(๗๔) ทั้งเรียมและน้องเนื่อง เวทนา
จักจากพระมาดา แม่งมล้าง
ตกสะกึดเอ่าอาธวา วอนเจต เจ็บเอย
ชลเนตนองเท้าท้าง เล่าล้นลนทรวง ฯ

แปล พี่กับน้องพัวพันกันด้วยความเวทนา ซ้ำจะต้องถูกพรากจากพระมารดาไปอีกเล่า หวั่นผวาป่วนปั่นด้วยความเจ็บปวดในหัวอก น้ำตาทะลักไหลออกมาเพราะความร้อนลนในหัวใจ ฯ

(๗๕) เรียมชักวิบากเบื้อง สมภมิต
วิทุรย์ยักข์ปองปลิด จากหย้าว
ชนกและบพิตร พระเวส วันนัน
ไปอยู่วงกฏด้าว ด่านโพ้นเป็นฤๅษี ฯ

แปล พี่ขอดึงเอาเรื่องราวของสมภมิตรที่ได้พบวิบาก (พรากลูกเมีย) ในปางก่อน เรื่องวิฑูรบัณฑิตที่ถูกยักษ์นำพรากจากบ้าน และเรื่องพระชนกกับเรื่องพระเวสสันดรที่ต้องเสด็จนิราศจากเมือง ไปทรงผนวชเป็นฤๅษีอยู่ในเขาวงกฏ มาเล่าให้ฟัง ฯ

(๗๖) พายโคจอมเจื่องเจ้า มังทรา
ผายผาบผับอาณา ฝ่ายฟ้า
ลูกพระสืบสันดานมา แทนแท่น พระเอย
ต้องอูเอาเป็นข้า ลวดย้นยุทธกัมม์ ฯ

แปล มังทราผู้เป็นเจ้าแผ่นดินพะโค ยกทัพปราบไปทั่วทิศ มีโอรสสืบราชสมบัติแทน มายึดเอาเมืองตองอูเป็นเมืองขึ้น จึงเกิดการรบกันขึ้น ฯ

(๗๗) สงสารวิบากอั้น หนาหนำ
รอยร่างกะทำกัมม์ ก่อนกี้
ของหลังจวบจวนจำ จับจาก ไปเอย
จักแต่งตนลับลี้ อยู่ด้าวแดนใด ฯ

แปล ในโลกนี้การเสวยผลกรรมเป็นของหนัก ชรอยเราได้ทำกรรมไว้ในปางก่อน ผลแห่งกรรมนั้นจึงตามมาทันจับไข้เราพรากจากกัน ไม่อาจจะหลีกลี้หลบแฝงอยู่แห่งใดได้ ฯ

(๗๘) คันพอติดเนื่องด้วย เวระ
แม้นสัพพัญญูพระ หมี่เว้น
เรานี้สุชนะ ชะชั่ว ดายนี
บ่ใช่ของหลักเหล้น หลีกได้โดยจง ฯ

แปล หากว่าเราติตพันกันด้วยเวร แม้นสมเด็จพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ก็ไม่อาจทรงหลีกเว้นได้ เราเป็นแต่เพียงคนดีธรรมดา พยายามละเว้นความชั่วเท่านั้น ที่ไหนจะพ้นได้ เพราะฉะนั้นผลของกรรมนี้ไม่ใช่ของเล่น ๆ ที่ ใครจะหลีกหลบได้ ฯ

(๗๙) เรียมชักวิบากเบื้อง ปุพเพ
มาลูบโลมสุดสีเนห์ เจื่องเจ้า
กัมมฐานถี่แถมเท ท่านเทสน์ ฟังเอย
เสียโสกเราร้อนเร้า โยดย้อนพุทธคุณ ฯ

แปล พี่ได้นำเอาวิบากผลกรรมแต่ก่อนเก่า มาเล่าเล้าโลมน้องสุดที่รัก และชี้แจงเรื่องกรรมฐานโดยละเอียดตามที่ฟังพระเทศน์มา ความเศร้าโศกของเราก็ค่อยบรรเทาลงด้วยอำนาจพุทธคุณอันยิ่งยวด ฯ

(๘๐) ศักราชเก้าร้อยเจ็ด สิบเจ็ด
ปีใหม่ลุนสะเด็จ ฤกษ์ร้าย
จิตระออกเรืองเร็ด วันพร่ำ เพ็งนัน
จักจากยอยกย้าย เร่งร้อนรมมโน ฯ

แปล จ.ศ. ๙๗๗ หลังสงกรานต์ปีใหม่ฤกษ์ไม่ค่อยดีจากไป เดือน ๗ (เหนือ) เพ็ญ วันนี้แหละที่ได้ยกย้ายออกจากบ้าน ยิ่งเพิ่มความเร่าร้อนในหัวใจยิ่ง ฯ

(๘๑) มานอนขัวก้อมกลิ่ง มาดา
คืนสั่งสรีอำลา เล่าซ้ำ
สามสุมโสกเวทนา สยบม่อย มรเอย
สุดที่ทางคึดคล้ำ จิ่มเจ้าสุดสีเนห์ ฯ

แปล มานอนที่สะพานสั้นแห่งหนึ่ง ใจของพี่ก็ถวิลคิดถึงแม่ อยากจะกลับคืนไปลาซ้ำอีกทั้งน้องด้วย ทั้งสามเราจะร่วมกันโศกเศร้าเวทนาถึงสลบตายไป หมดหนทางที่พี่จะคืนไปหาน้องเสียแล้ว ฯ

(๘๒) ผีสางซ้ำแล้วคร่ำ เรารน
วิบากกัมม์กับตน ส่งส้วย
แหนมหนีพ่ายเกลากล แกมไพร่ เมืองเอย
งามง่ายปานกินกล้วย ปล่อยพ้นมือมาร ฯ

แปล ผีซ้ำแล้วยังมีวิบากกรรมเกิดจากตัวเราส่งเสริมให้ร้อนรนเพิ่มเติมเข้ามาอีก ยอมหนีพ่ายแพ้ไปปลอมอยู่กับไพร่พลดีกว่า การที่พม่าจะปล่อยให้พ้นมือมัน ไม่ใช่ง่ายๆ เหมือนกินกล้วย ฯ

(๘๓) ปางพระนเรศเรื้อง ริทธา
เรียมลูกรักเมืองมา ก่อนได้
ทศธัมม์มากเมตตา ปลงปล่อย มวลเฮย
นับราชเวนวางไว้ สืบสร้างไมตรี ฯ

แปล สมัยเมื่อพระนเรศวรผู้ทรงฤทธิ์กับพี่พร้อมด้วยลูกรัก ได้จากเมืองมาในครั้งก่อน พระเจ้าแผ่นดินพม่าผู้ทรงทศพิธราชธรรมยังทรงมีพระเมตตาปล่อยคืนมาทั้งหมด นับถือเป็นเจ้ามอบอำนาจการปกครองเมืองให้ เป็นราชไมตรีสืบต่อกันมาฯ

(๘๔) ครานี้วิบากเบื้อง ของหลัง
เคราะห์ครอบยอระนัง ส่งซ้ำ
หมดปลดเปล่าเวียงวัง ในนอก นาเอย
หลอแต่ดินดอยน้ำ เปล่าเสี้ยงสุดสงัด ฯ

แปล คราวนี้เป็นพระวิบากกรรมแต่ปางก่อน และเคราะห์ร้ายมาบรรจบถึง จึงซัดส่งซ้ำให้เราได้จากไป หมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งในเวียง ในวัง นอกเวียง และทุ่งนาว่างเปล่าไปสิ้น คงเหลือแต่แผ่นดิน ภูเขาและแม่น้ำ สุดแสนจะเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว ฯ

(๘๕) อยู่เนอชินเกสเกล้า อุสสุ
ฝูงธาตุเมินนานหลุ หล่มล้าง
อุโมงค์ป่าเวฬุ ลาร่ำ ครานี
จงอย่ามรม้วยมล้าง เช่นเสี้ยงสาสนา ฯ

แปล อยู่เถิดพระเกสธาตุของพระพุทธเจ้าบนดอยสุเทพ เป็นที่รวมพระธาตุมานมนานยังไม่พังทลายไป ทั้งวัดอุโมงค์ในป่าไผ่ จงอย่าพังทลายไปตราบชั่วยังไม่หมดพระศาสนา ฯ

(๘๖) อยู่เนอสุเทพตั้ง เสริมสรี
สักสวาดสิงห์มุนี รูปเจ้า
อุโมงคะคีรี เรียมร่ำ ลาเอย
มือม่อนถวายก้มเกล้า นอบน้อมอำลา ฯ

แปล อยู่เถิดดอยสุเทพอันเป็นที่สถิตสิงอันเป็นศรีสง่าคือพระธาตุเจ้า ทั้งรูปพระสิงห์มุนีอันมีศักดิ์ยิ่ง ตลอดถึงถ้ำและภูเขา ข้าพเจ้ากล่าวอำลาด้วยความรัก ขอประนมมือก้มศีรษะกราบนมัสการอำลา ฯ

(๘๗) ลาสรีสุเทพเจ้า จอมคีรี
ทั้งพระมหาเจดีย์ คล่นคล้าน
พระสิหิงค์รูปมุนี ทองเทพ ทิพย์เอย
อุโมงค์ราชเราสร้าง เนื่องเจ้ามโหสถ ฯ

แปล ขอลาพระธาตุเจ้าสุเทพที่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขา ขอลาพระเจดีย์หลวงที่โค่นพังไป ขอลาพระพุทธสิหิงค์และพระเจ้าทองทิพย์ รวมทั้งวัดอุโมงค์ที่พระเจ้าแผ่นดินเราสร้างอาศัยเรื่องเจ้ามโหสถ ฯ

(๘๘) พระสิหิงค์สักสวาดสร้อย สาสดา
เห็นเหตุการณ์โกลา โลกอั้น
องค์มารมืดสัญญา หลายหลาก นักเอย
พระสำแดงหื้อหั้น เนื่องด้วยปัณณสัตว์ ฯ

แปล พระพุทธสิหิงค์องค์มีศักดิ์อันยิ่งใหญ่ เป็นศาสดาสั่งสอนพระธรรมอันไพเราะ พระองค์คงทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์โกลาหลของโลกเมื่อครั้งนั้น คือพระยามารให้สัญญาความมืดมัวหลายประการยิ่ง พระองค์ทรงแสดงธรรมก็เพื่อปาณสัตว์ทั้งหลาย ฯ

(๘๙) อำลาพระแก้วแว่น วักเมือง ก่อนเอย
เดือนแปดเพ็งนันเนือง เนื่องเต้า
มโหสรพบ่าวสาวเรือง โดยแต่ เดิมเอย
ตามรีตเราพระเจ้า แผ่นผ้ายสรงชล ฯ

แปล ขอลาพระแก้วใสอันเป็นเหมือนดวงใจของบ้านเมือง ถึงเดือนหกเพ็ญคนเดินทางมากันมาก มีการแสดงมโหรสพต่าง ๆ บ่าวสาวสนุกสนานกันมาแต่โบราณ ตามจารีตของเรา พระเจ้าแผ่นดินย่อมเสด็จมาสรงน้ำพระแก้ว ฯ

(๙๐) ยากยินคึดคร่ำคร้ำ อกอิด
ม่านหากมาปองปลิด แม่งมล้าง
เจ็บใจดั่งปืนพิษ สอยเสียบ ทรวงเอย
จักจากรามรสร้าง แม่ไว้เวทนา ฯ

แปล นึกแล้วรู้สึกลำบากยากใจระทดระท้อในอก พม่ามาทำลายให้แตกพังไป เจ็บปวดในหัวใจเหมือนถูกศรอาบยาพิษเสียบทรวงอก พี่จะจากห่างร้างรสรัก ทิ้งน้องไว้ให้เวทนา ฯ

(๙๑) สองสงวนซบซาบซ้ำ ตาเตาะ
ปลดเปลี่ยนมือมาเมาะ อุ่นเอื้อม
อกอวรหากยินเพราะ สนุกสนั่น นักเอย
จักอยู่นานซ้อนเซื้อม หมี่ได้โดยคระนิง ฯ

แปล สองเราเอาหน้าแนบประทับแก่กัน ตาต่อตาประสานกัน เปลี่ยนกันจับมือมากุมไว้ พี่ได้ยินเสียงหัวใจน้องเต้นไพเราะอยู่ในทรวงอก แต่พี่ไม่อาจจะอยู่เป็นคู่กับน้องเหมือนใจคิดได้ ฯ

(๙๒) พรัดพรากปางนี้โยด ยาวไกล
จักครอบคืนฉันใด หมี่รู้
ตกสะกึดเอ่าอาลัย รักแม่ นะแม่
เยียวว่าตายรักชู้ ราศร้างรามสีเนห์ ฯ

แปล พี่พลัดพรากน้องครั้งนี้เป็นหนทางยืดยาวไกลเหลือเกิน ไม่ทราบว่าจะคืนกลับมาพบน้องได้อย่างไร พี่ผวาหวาดวิตก ความรักความอาลัยในตัวน้องเผาผลาญหัวใจพี่ ชรอยว่าคงจะตายเพราะร้างรักเสียเป็นแน่ ฯ

(๙๓) อังเชิญพระผ้ายเพื่อน เรียมไป
เยียวดั่งราชาไภย เล่าช้า
พระยาธรหากลักใจ แห่งราช วันนัน
เอาอ่อนนุชน้องหม้า เจื่องเจ้าสมสงวน ฯ

แปล จะอัญเชิญน้องไปเป็นเพื่อนพี่ด้วย ก็เกรงราชภัยจะทำใช้ลำบากอีกเล่า (ครั้นจะตั้งไว้) ก็เกรงวิชาธรมาขโมยเอาดวงใจแห่งพี่ คือน้องนุชผู้เลอโฉมไปเป็นคู่ครองเสีย ฯ

(๙๔) จักฝากน้องไว้ที่ ธรณี
เยียวราชเอาอวรหนี จากซ้ำ
ปางเสียสิดาสรี เมียราช วันนั้น
ย้อนว่าหอรมานค้ำ จึ่งได้สมสงวน ฯ

แปล จะฝากน้องไว้กับแผ่นดิน ก็เกรงว่าพระผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินจะพาน้องหนีไปจากพี่อีก ปางเมื่อเสียนางสีดามเหสีพระรามครั้งนั้น เพราะว่าหนุมานช่วยเหลือจึงได้นางคืนมาฯ

(๙๕) อยู่เนอทิพเทพเนื้อ นงคราน พี่เหย
จักจากเมือเมืองมาร ม่านแล้
สาอวรหมี่สาธารณ์ คืนครอบ อวรชา
สัจจ์ส่วนสองหมั้นแท้ เที่ยงล้วนลุคระนิง ฯ

แปล อยู่เถิดน้องผู้มีเนื้อเป็นทิพย์ของพี่ พี่จะจากไปสู่เมืองมารคือเมืองพม่าแล้ว แม้นน้องไม่ตกไปเป็นของชายอื่น พี่จะกลับคืนมาหาน้องอีก ความสัตย์ที่เราทั้งสองให้ไว้ต่อกัน ถ้ามันมั่นคงจริง ๆ ความคำนึงของเราคงบรรลุผล ฯ

(๙๖) ไปนอนที่บ้านกาดใกล้ รำราม
ฝันแม่มาทวยตาม ตอบต้าน
จักคืนครอบอวรจาม เจลยจาก วันนัน
นิมิตแม่นเถิงถ้าน รอดโพ้นพายโค ฯ

แปล ไปนอนที่บ้านกาดยังไม่ค่อยไกลเท่าไร กลางคืนฝันว่าน้องติดตามไปคุยด้วย จะคืนกลับมาหาน้อง แต่ก็จำเป็นต้องจากไป ในฝันว่าไปถึงเมืองพะโคแล้ว ฯ

(๙๗) เทียวเทิงบ้านเบื้อมิ่ง เมืองทะกาน
อารักข์พระยาแมนหาน อวดอู้
พอยลที่หอสาล เสียห่าง ฉันนี
ไปอยู่ไหนสุ่มสู้ ลอบลี้ลักเลง ฯ

แปล ไปถึงบ้านเบ้อและเมืองท่ากาน (อยู่ในเขตอำเภอสันป่าตอง) เขาลือกันว่าอารักษ์ชื่อพระยาแมนหาญเก่ง แต่เมื่อมองดูที่ศาลเห็นแต่ศาลว่าง ไม่ทราบว่าอารักษ์พระยาแมนหาญไปแอบมองเราอยู่ที่ไหน ฯ

(๙๘) วัดวาหันห่างหั้น ตะหละขระ
หลุหล่มฝนรำระ รั่วร้าย
ฝาแฝงก่อเพพะ ยูยูด พังเอย
พุทธรูปหมองหน้าหม้าย อยู่แล้งเลงหัน ฯ

แปล เห็นวัดร้างที่นั้นระเกะระกะ ปรักหักพังฝนตกก็รั่วไปหมด ผนังกำแพงที่ก่อไว้ก็ผุพังเอนเอียง พระพักตร์พระพุทธรูปก็หม่่นหมอง มองดูแล้วหดหู่ใจเหลือเกิน ฯ

(๙๙) สิบนิ้วนบนอบน้อม วอนวาน
ขอขรุ่งอันปณิธาน แก่แก้ว
พลันคืนครอบสถาน เถิงแม่ นะแม่
อย่ารีบชีพิตแคล้ว จากเจ้าสุดสีเนห์ ฯ

แปล พี่ประนมมือทั้งสิบนิ้วกราบนบน้อม ไหว้อ้อนวอนขอให้ความปรารถนาที่จะกลับคืนหาน้องจงพลันสำเร็จ อย่าด่วนตายจากน้องสุดที่รักไปเลย ฯ

(๑๐๐) ไปปลงข้างน้ำแม่ ทุรทุกข์
สุยส่องปานไฟลุก ล่าวไหม้
นอนฝั่งฝุ่นมวลมุก ทังเท่า ไฟเอย
ผามบ่คาเคร็ดไม้ ร่มร้ายบังบน ฯ

แปล ไปหยุดพักที่ข้างแม่น้ำแห่งหนึ่ง แสนลำบากยากยิ่ง แสงพระอาทิตย์ที่ส่องลงมาร้อนปานไฟเผาไหม้ นอนกันกับฝุ่นกับดินและขี้เถ้าเตาไฟ ปรำที่พักไม่มุงคาคือมุงด้วยแขนงไม้ ไม่มีร่มเสียเลย ฯ

(๑๐๑) ลำดับเถิงตราบท้อง จอมคีรี
นามชื่อดอยน้อยมี ธาตุตั้ง
รัสมีรุ่งเรืองสรี เปลวเป่ง นักเอย
รอยรูปเมินเรื้อรั้ง เช่นชั้นธัมมดา ฯ

แปล เดินทางมาตามลำดับจนถึงภูเขาลูกหนึ่ง มีชื่อว่า “ดอยน้อย” มีพระเจดีย์ประดิษฐานอยู่บนยอดเขา รัศมีรุ่งเรืองไพโรจน์ยิ่งนัก ชรอยว่าสร้างมานานแต่สมัยโบราณ ฯ (พระธาตุดอยน้อยอยู่ ในเขต อ. จอมทอง)

(๑๐๒) เรียมสถิตเหยี้ยมหยื้อผ่อ ยืนยัง
ยอบำบวงเทียวทัง หว่านไหว้
กุสลแผ่บุญบัง เถิงแม่ นะแม่
ขอครอบคืนแกมใกล้ จิ่มน้องนงสรี ฯ

แปล พี่หยุดยืนมองดู ยกมือไหว้บนบานทั้ง ๆ ที่ยังเดินอยู่ (คือเดินไปไหว้ไป) ขอบุญนี้จงไปปกปักรักษาถึงน้อง และช่วยให้พี่ได้กลับคืนมาอยู่กับน้อง ฯ

ฉบับคณะสังคม ฯ บาทที่ ๔ แปลกออกไปเป็น “อย่าจากเจียรรถไท้ กลิ่นแก้มนพมานฯ”

แปลว่า อย่าจากรสและกลิ่นแก้มของน้อง ฯ

(๑๐๓) แรกพี่ขอขร่ามได้ ธรำธเรศ
ผลเผื่อม่านถูกเด็ด อย่าใกล้
พลันคืนสู่สมเร็จ เถิงตราบ เรียงนี
พอพี่ทังน้องได้ ด่วนสร้างสมสงวน ฯ

แปล เบื้องแรกพี่ขอให้อดทนต่อความลำบาก ผลบุญนี้แต่เพื่อไปถึงพม่าให้ปลิดมันออกไปอย่ามาใกล้ และขอให้พี่กลับคืนสู่น้องพลันสมประสงค์ พอให้พี่และน้องให้อยู่ร่วมสุขด้วยกัน ฯ

(๑๐๔) เทียวเทิงทดที่หั้น ยายฝึก แฝงเฮย
เปิกเปอะเหลวธารธึก น่วมน้ำ
แค่งขาหมาดเหมือนหมึก มอมหมิ่น ทาเอย
บางเพกพิกหน้าขว้ำ ด่าวดิ้นเซรตน ฯ

แปล เดินไปถึงที่นั้นค่อยย้ายท้าวเดินไปอย่างลำบาก เพราะเป็นโคลนตมเหลวไปด้วยน้ำ ดินก็น่วมนุ่มนิ่ม แปดเปื้อนแข้งขาเหมือนน้ำหมึกหรือทาด้วยมินหม้อ บางคนเดินลื่นไถล พลิกกลับล้มคว่ำหน้าดิ้นกระเสือกกระสนกายไปก็มี ฯ

(๑๐๕) ชาวชนช้างม้าจาก เจียรคลา มากเอย
หนองครอบคราวทางมา เนื่องน้น
ไทเม็งม่านชวา ขับขิ่ว คราวเอย
เพียงแมลงมายล้ำล้น สู่ห้องหงสา ฯ

แปล ผู้คนช้างม้าเดินทางจรจากไปกันมาก ไปถึง “หนองครอบ” อยู่ในระหว่างหนทางติดต่อกัน มีทั้งคนไทย มอญ พม่า ลาว ถูกบังคับให้เดินไปตามทางไปสู่หงสาวดี มากมายเหมือนดังแมงเม่า ฯ

สองฉบับเหมือนกันว่า

(๑๐๕) ลุเถิงที่นึ่งนั้น มีมา
นามชื่อหนองนทีนา ครอบหั้น
ฝูงคนย่อมอิดมา มวลมาก นักเฮย
ระหืดเสียงไห้หั้น ทั่วท้างหนองนที ฯ

แปล บรรลุถึงที่แห่งหนึ่งตามลำดับหนทางที่เดินมา ที่นั้นชื่อว่า “หนองครอบ” หมู่คนเป็นอันมากต่างก็อ่อนระโหยโรยแรง เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วหนองน้ำ ฯ

หมายเหตุ โคลงบทนี้สงสัยจะแต่งแก้ของเก่า อนึ่งบ้านหนองครอบนี้เป็นหมู่บ้านคนมอญ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำปิงในเขตอำเภอสันป่าตอง ตรงกันข้ามกับบ้านมอญหนองดู่ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ปัจจุบันบ้านหนองครอบนี้อยู่ห่างจากถนนเชียงใหม่-ฮอด ไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๔ กม. มีวัดชื่อว่าวัดหนองครอบ ฯ

(๑๐๖) ทุพภิกขไภยบังเกิดได้ โรคา
ตายไขว่ขวิดทางมา มิ่งม้วย
แถมทุกข์เล่าสองครา วอนเวท นาเฮย
กัมม์แต่งแปลงแสร้งส้วย ชาติแล้วมาสนอง ฯ

แปล ข้าวปลาอาหารไม่มีกิน คนก็ป่วยเป็นโรค นอนตายกันระเกะระกะตามทางที่เดินมา เพิ่มความทุกข์อีกเป็นซ้ำสอง เป็นที่น่าเวทนายิ่ง กรรมที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนตามมาสนองจึงทำให้เป็นไปเช่นนี้ ฯ

ฉบับวัดป่าแพ่ง คณะสังคมปริวรรต วรรคที่ ๓ ฉบับที่ ๒ ว่า “เวนครอบ มาเอย” แปลว่า “เวรมาทัน”

(๑๐๗) แพระไพรหินแร่ร้าย เทียวไป
เป็นป่าเวฬุไกว เถื่อนกว้าง
เป็นทุกข์เอ่าอกใน วอนเวท นานา
แสนโสกรอมม้วยมล้าง จากห้องอินทรี ฯ

แปล เดินไปในป่าละเมาะเต็มไปด้วยก้อนกรวดก้อนหิน เป็นป่าไผ่กว้างใหญ่ยอดไผ่โอนเอนไปมา ความทุกข์เผาในหัวอกมีแต่คร่ำครวญด้วยเวทนา ความเศร้าโศกประมวลมาจะทำให้ชีวิตออกจากร่างเสียให้ได้ (ความโศกระดมกันเข้ามาเพื่อฆ่าให้ตาย)

อีก ๒ ฉบับว่า

(๑๐๗) แพระไพรหินแร่ร้าย เทียวมา
เป็นป่าเวฬุวันนา ใหย่กว้าง
เจ็บปักปวดปาทา ทุกข์เช่น ครานี
คึดกลิ่งเถิงน้องน้อย ใคร่ดั้นมาหา ฯ

แปล เดินทางมาในป่าละเมาะเต็มไปด้วยก้อนกรวดก้อนหิน เป็นป่าไผ่ที่กว้างใหญ่ หนามไผ่ตำเท้าเจ็บปวดเหลือเกินในครั้งนี้ พี่หวนคิดถึงน้องอยากจะบุกป่าคืนมา ฯ

หมายเหตุ สงสัยจะแต่งใหม่โดยรวมเอาโคลงที่ (๑๐๗) กับ (๑๐๘) เข้าด้วยกัน ฯ

(๑๐๘) กัณดาปักปวดหื้อ เกลาะแกละ
ราวป่าผงพรายแพระ ล่าวแล้ง
ยิ่งไปยิ่งเหยาะแหยะ ยวายเหยียบ หยุดเฮย
ทุกข์มากม่านมาแส้ง โสกสร้างสุดถวิล ฯ

แปล ถูกหนามตำเท้าเจ็บปวด ทำให้เดินลำบาก ราวป่าที่นั้นเป็นบ่าละเมาะที่แห้งแล้งเต็มไปด้วยความร้อนและฝุ่นธุลี ยิ่งเดินไปก็ยิ่งกระย่องกระแย่ง ค่อยก้าวเหยียบไปเป็นระยะ พม่าสร้างความทุกข์โศกให้แก่เราจนเกินที่จะคาดคิดถึง ฯ

(๑๐๙) เทียวเทิงใต้ท่งหั้น เขตตา
นามชื่อแสนคระแมดนา ที่นั้น
เดินไปแคล่กลางนา หัวเข่า คลอนเอย
หิวหอดแรงเสี้ยงหั้น โท่งร้ายปุนชัง ฯ

แปล เดินต่อมาทางได้เถิงทุ่งนาแห่งหนึ่งชื่อ “แสนคระแมด” (ปัจจุบันเป็นบ้านขะแมด อยู่ในเขต อ. จอมทอง จ.เชียงไหม่) เดินไปถึงแค่กลางทุ่งนาเท่านั้นก็เข่าอ่อนแล้ว รู้สึกหมดแรงไปสิ้น ทุ่งร้ายกว้างเหลือเกินน่าเบื่อแท้ ฯ

(๑๑๐) ทุเรทุเรศผ้าย เจียรจุ
น้ำน่านไหลลงลุ บวกหั้น
ขัวแขวนไต่หยะหยุ ยวายหย่อง หยุดเอย
เถิงตราบหนห้วยหั้น ยอบยั้งเซาแรง ฯ

แปล เดินทางจากมาไกลในหนทางที่ลำบาก จนกระทั่งไปถึงบ่อน้ำแห่งหนึ่ง มีแม่น้ำไหลลง เดินบนสะพานแขวนแกว่งไกวโยกเยก ต้องค่อยๆ เดินๆ หยุดๆ พอพ้นแล้วก็ถึงลำธารที่นั้น จึงหยุดพักผ่อนกัน ฯ

(๑๐๐) นทีห้วยลุเล่า หิวหน
ขัวเขื่อนแปลงรับพล ไต่เต้า
ม่านเมงหมู่ไทยยน หลุหลั่ง ไหลเอย
เขาชุบชิงกันเข้า ล่วงล้ำเทียวไป ฯ

แปล เดินไปถึงแม่น้ำลำธารอีกแห่งหนึ่ง ต่างก็อ่อนเพลียในการเดินทาง เขาทำสะพานเพื่อให้ทหารข้าม พวกพม่า มอญ ไทยยวน (ไทยลานนา) ต่างก็หลั่งไหลเดินบนสะพาน แย่งชิงกันเพื่อจะเดินล่วงหน้าไปก่อน ฯ

(๑๑๒) สีเนห์คึดกลิ่งน้อง นำถวิล
เจ็บเจตกายายิน ยากแสร้ง
อาดุรเดือดแดภินท์ ผร้ายพราก พลัดเอย
หิวหอดอกไข่แห้ง จากเจ้าเจียรฉงาย ฯ

แปล ความรักความอาลัยดึงใจพี่ให้ถวิลคิดถึงน้อง พี่เจ็บทั้งกายและใจ รู้สึกลำบากยากแค้น ความอาดุรเผาไหม้ในหัวอกปานจะแตกทำลาย เพราะที่ต้องพรากพลัดจากน้องไป หัวอกร้อนไหม้ด้วยความหิวและระโหย ด้วยพรากจากน้องไปไกล ฯ

(๑๑๓) สาลาทิพเทพตั้ง มีสอง
แฝงฝั่งระมิงยอง อยู่หั้น
ยิงชายทั่วทังผอง ผืนแผ่น มานัน
มาแม่มายั้งหั้น เสพสร้างสุขสบาย ฯ

แปล มีศาลเทพารักษ์ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำปิง ๒ หลัง ชายหญิงที่มาด้วยกันทั้งหมดต่างเรียกร้องกันว่า “เชิญขึ้นมาพักให้สบายเถิด”

ฉบับหนึ่งว่า

(๑๑๓) สาลาทิพเทพหั้น สองหลัง
ติดฝั่งแฝงระมิงทัง ท่าน้ำ
ฝูงคนย่อมอิดผรัง เทียวท่อง มานัน
มวนมากมาเท้าหั้น จอดจั้งสาลา ฯ

แปล มีศาลเทพารักษ์ ๒ หลังตั้งติดฝั่งกับท่าน้ำแม่ปิง หมู่คนที่เดินมาต่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนแรง ส่วนมากจึงมารวมกันพักในศาลนั้น ฯ

(๑๑๔) ฝูงคนเขาอาบเหล้น ชลนที
นามชื่อระมิงมี ที่นั้น
กระสถเดือดนันมี หลายหลาก นักแล
เขาอาบกินน้ำหั้น สว่างร้อนคระหายใจ ฯ

แปล หมู่คนพากันลงอาบน้ำปิง เพื่อคลายความร้อน ส่งเสียงเดือดดังกันเจี๊ยวจ๊าว เขาอาบและดื่มน้ำที่นั้นคลายร้อนสบายใจ ฯ

หมายเหตุ สงสัยว่าไม่ใช่โคลงโบราณฯ

(๑๑๔) สาวเสี้ยงไทยไพร่เงี้ยว มอนเมย
ทังแขกขอมลาวเรย ลวะลื้อ
ชลธารอาบสนเสย สนุกสนั่น เนืองเอย
หมี่ขาดสักแม่นมื้อ สว่างร้อนกระหายใจ ฯ

แปล สาวและไพร่พลทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเงี้ยว มอญ แขก ขอม ลาว ลวะและไทยลื้อต่างก็ลงอาบน้ำกันสับสนเป็นที่สนุกสนาน เพื่อให้คลายร้อนทั้งกายและใจในวันนั้นฯ

(๑๑๕) น้ำนี้เป็นหยั่งจิ้ว ใสสิน(ธุ์) สว่างเอย
หา มละมูลทิน หมี่ได้
เชิญยลละอองกิน สระเด็จด่วน มารา
จักค่อยตักไว้ถ้า อาบอ้อยสรงชล ฯ

แปล น้ำนี้เป็นเฉียบใสสะอาดไม่มีมลทินความสกปรกใดๆ เชิญน้องมาชมละอองน้ำและดื่มโดยด่วนเถิด พี่จะตักน้ำไว้คอยอาบให้น้อง ฯ

ฉบับหนึ่งว่า

(๑๑๕) น้ำนี้เป็นหยั่งจิ้ว ฟองใส
หา มละมุลทินไคล บ่ได้
อังเชิญยอดสายใจ สระเด็จด่วน มารา
จักค่อยตักถ้าไว้ อาบอ้อยสรงอวร ฯ

แปล น้ำนี้เป็นเฉียบมีระลอกใสสะอาด ไม่มีมลทินขี้ไคลสกปรก เชิญน้องเสด็จมาโดยด่วนเถิด พี่จะตักน้ำไว้รออาบให้น้อง ฯ

อีกฉบับทนึ่งว่า

(๑๑๕) น้ำนี้เป็นหยั่งจิ้ว ฟองใส
ฝูงม่านเมงชุมไทย อาบเหล้น
คิดเถิงนาดนงไวย สายเจต รักเอย
เหมือนนาชนงน้องไท้ อาบอ้อยชลนที ฯ

แปล น้ำนี้เป็นเฉียบมีระลอกคลื่นสะอาด พวกพม่า มอญ ไทยและลาวอาบเล่นกัน คิดถึงน้องผู้เป็นสายใจที่รัก เหมือนจะเห็นน้องมาอาบเล่นน้ำที่นี่ ฯ

หมายเหตุ เห็นไม่เหมือนกันทั้ง ๓ ฉบับจึงได้นำมาลงในที่นี้ เพื่อจะให้ท่านผู้อ่านได้ศึกษาเปรียบเทียบถึงการแก้โคลงหรือแปลงโคลงของคนโบราณ จนเราเกือบดูไม่ออกว่าโคลงใดเป็นของเดิม ฯ

(๑๑๖) บัดนี้ลุรอดแล้ว เถิงถอง
นามชื่อสรีดอยทอง ธาตุตั้ง
พระพุทธพระหารยอง ยายหยาด ตามเอย
กรูโนศพระเจ้าจั้ง เช่นชั้นธัมมดา ฯ

แปล บัดนี้บรรลุถึงดอยชื่อ “ศรีดอยทอง” (จอมทอง) ซึ่งมีพระธาตุพระพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ มีพระพุทธรูปและพระวิหารตั้งเรียงรายติดต่อกันไป พระพุทธเจ้าทรงกรุณาประทานไว้เพื่อให้เป็นที่พึ่ง (แก่คนและเทวดาทั้งหลาย) สืบต่อมาแต่โบราณ ฯ

(๑๑๗) เสียดายนอนนั่งหนี้ เทียวทุกข์
จักเสพสรีหาสุข อ่ำได้
รัตตินทิวาลุก ลาจาก จรเอย
มือม่อนถวายข้าไหว้ สั่งเสี้ยงทุกประการ ฯ

แปล เสียดายที่นั่งเดินนอนที่นี่เป็นทุกข์ จะสัมผัสกับความสุขหาได้ไม่ พักวันกับคืนหนึ่งแล้วก็จากลาไป มีแต่มือเท่านั้นที่ข้าพเจ้ากราบนมัสการ ขอสั่งอำลาสิ้นทุกอย่าง ฯ

(๑๑๘) อารักข์อาราธเรื้อง สูงสรี
ธิราชโกสัมพี เทพท้าว
บำบวงก่ายเกสี เรียมนอบ นบเอย
ขอจวบนุชน้องน้าว แห่งนี้จอมทอง ฯ

แปล ขออัญเชิญอารักษ์ผู้มีศักดิ์ศรีรุ่งเรืองยิ่ง ชื่อ “ท้าวโทสัมพี” ข้าพเจ้ายกมือตั้งเหนือศีรษะนอบน้อมบนบาน ขอให้ไปดึงเอาน้องมาพบพี่ที่จอมทองนี้ ฯ

(๑๑๙) ไม้ยางบึกบวกเบื้อง สรีสระ
กวมเกิ่งเกียงทันหะ โท่งใต้
นาตานคุถมตะ เต็มเทิก นอนเอย
พอพี่ทังน้องได้ ร่วมรสวันนิดา ฯ

แปล ไม้ยางต้นใหญ่อยู่ใกล้สระน้ำ กิ่งขยายแผ่ออกไปอย่างมั่นคงเกือบครึ่งทุ่งนาตาน (คุถมตะ ไม่ทราบว่าแปลอย่างไร คูถะ แปลว่า ขี้, มตะ แปลว่าตาย จะแปลว่าขี้แห้ง ?) กองระเกะระกะเต็มไปหมด พอให้พี่กับน้องได้ร่วมรักกัน ฯ

ฉบับหนึ่งว่า

(๑๑๙) ทุมตุมเทิงโท่งหั้น พินหวาน
นามชื่อว่านาตาน น่าไร้
กวมเกียงเกิ่งนาทาน นิดนั่ง นอนเฮย
เถิงตราบหนหล้าใต้ บวกน้ำหนองไม้ยาง ฯ

แปล ไปถึงทุ่งตุมต่อจากนั้นเป็นบ้าน “มะพินหวาน” ชื่อว่า “ท่งนาตาน” นั่นแหละครอบคลุมไปถึงครึ่ง “นาทาน” พักนั่งนอนกันที่นี่ จากนั้นก็ไปถึงทางทิศใต้คือ “บวกน้ำหนองไม้ยาง”

หมายเหตุ โคลงบทนี้น่าจะมีก่อนที่จะมาถึงวัดพระธาตุศรีจอมทอง เพราะทุ่งนาและชื่อบ้านดังกล่าวอยู่เหนือจอมทองทั้งสิ้น ที่ยังคงมีชื่ออย่างเดิมอยู่ก็คือ “วัดพระนอนทุ่งตุม” อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ฯ

(๑๒๐) อำรุงริร่ำไหว้ ผายผระ
เรียนผัดทักขิณะ ธาตุเจ้า
พระธัมม์และสังฆะ คุณคู่ นบเอย
ขอจุ่งหายร้อนเร้า สว่างเสี้ยงสวัสดี ฯ

แปล ได้บำรุงแล้วจึงเดินไหว้ไปทั่ว ประทักษิณพระบรมธาตุ นมัสการพระธรรมและพระสงฆ์ที่เป็นสิ่งมีคุณความดีเสมอกัน อธิษฐานให้หายคลายความโศกทั้งหมด ประสบแต่ความสวัสดีอย่างเดียว ฯ

๒ ฉบับว่าเหมือนกัน คือ

(๑๒๐) ตนเรียมเดินเทศผ้าย วันทา
ขรงเขตในอาวา(ส์) แห่งหั้น
พลันคืนครอบสฐา(น์) หนแห่ง อวรเทอญ
นบธาตุพระเจ้าได้ ขรุ่งเท้อปณิธาน ฯ

แปล พี่เดินไปนมัสการในบริเวณวัดจนทั่ว อธิษฐานขอให้ได้กลับคืนมาหาน้องโดยเร็ว พอนมัสการธาตุพระพุทธเจ้าแล้วขอให้ความปรารถนาสมหวังด้วยเถิด ฯ

(๑๒๑) อินดูตัวนาคน้ำ นาคา
นามชื่อฉันใดนา นาคนี้
เหมือนมีเจตวิญญา(ณ์) ยังยิ่ง ยสเอย
กลัวแก่นายโน้นชี้ รูปเรื้องงูงา ฯ

แปล น่าสงสารพระยานาค ไม่ทราบว่าชื่ออะไร เหมือนมีจิตมีวิญญาณน่าเกรงขาม ถ้าน้องมาพี่ชี้ให้ดูรูปนาคเรืองฤทธิ์นี้ คงจะกลัว ฯ

(๑๒๒) มังกรกินกอดเกี้ยว กันลืน รูปเอย
หัวส่งสูงแสร้งยืน ปากอ้า
ปุนกลัวม่ายเมียงมืน ผายผ่อ ดูรา
เล็บเกิ่มคูยคิ้วหน้า รูปนั้นมังกร ฯ

แปล รูปมังกรเกี้ยวพันกันกลมกลืน ผงกหัวขึ้นยืนอ้าปาก ชำเลืองตามมองดูน่ากลัวยิ่ง เล็บคม มีขนคิ้วหนา ดูรูปหน้าเหมือนมังกรจริง ๆ

ฉบับหนึ่งว่า

(๑๒๒) มังกรกลืนดอกเกี้ยว กินกัน
ครบคู่สิบตัวหัน คู่ฝั้น
ทันตายี่เขี้ยวฟัน แดงเหลือบ เหลงเอย
ยลเนตเห็นหั้นไข้ เยือกย้าวขวันสยอง ฯ

แปล รูปมังกรกลืนดอกไม้เกี้ยวพันกันแน่นสนิท มีสิบตัวเป็นคู่กัน แยกเขี้ยวสีแดงเหลือบเหลือง มองดูแล้วน่าขนพองสยองขวัญ ฯ

(๑๒๓) กุมภัณฑ์เล็งรูปร้าย ยูรยักข์
ถือเถี่ยนสรีไชยขัคค์ ฝ่ายเฝ้า
ทวาราอยู่พิทักษ์ เกรงแก่ กลัวเอย
งาแง่งอนเช้าเม้า รูปร้ายกุมภัณฑ์ ฯ

แปล กุมภัณฑ์มองดูรูปแล้วน่าเกลียดเพราะเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์ ถือด้ามพระขรรค์ชัยศรียืนเฝ้าประตู เป็นที่น่าเกรงขาม มีเขี้ยวงอกออกมาหน้าบูด รูปร่างกุมภัณฑ์น่าเกลียดมาก ฯ

(๑๒๔) พระหารสูงส่งล้ำ เห็นหัน
เทียมแทกเชตวัน ใหย่กว้าง
สรีมุขถูกเถิงกัน กลแกว่น งามเฮย
รอยร่างเมินแล้วสร้าง เช่นท้าวรัตนา ฯ

แปล เห็นพระวิหารสูงยิ่ง ทั้งกว้างและใหญ่เทียมเท่าพระวิหารเชตวัน หน้ามุขถูกแบบ นายช่างฉลาดทำงามอย่างยิ่ง ชรอยจะสร้างมาแต่สมัยพระเมืองแก้ว ฯ

(๑๒๕) เถรเถิรฟ้าหลั่งเรื้อง ฤๅประยา
ต้องสวาตร์สิปป์วิชา เจตแจ้ง
พระหารแกว่นเคยมา แปลงปลูก งามเฮย
ปานเทพเทฟ้าแสร้ง โลกเรื้องลือประยา ฯ

แปล พระเถระชื่อเถิงฟ้าหลั่งผู้เรืองปัญญา ได้ศึกษาศิลปศาสตร์วิทยาจนจบแจ้ง ท่านชำนาญในการสร้างวิหาร และเคยสร้างวิหารหลังงาม ๆ มาแล้ว ท่านสร้างวิหารหลังนี้งามเหมือนเทวดารื้อเอาวิมานลงมาทำ เพื่อให้โลกเลื่องลือในปัญญาของท่าน ฯ

ฉบับหนึ่งว่า

(๑๒๕) เถรเถิงฝาหลั่งเจ้า มีประยา
ตกแต่งตัดพระหารมา ใหย่กว้าง
จตุรมุขถูกฉบับนา กลแกว่น นักเอย
เป็นแต่บุญเจ้าสร้าง ชาตแล้วปุพเพ ฯ

แปล พระเถระชื่อเถิงฝาหลั่งเป็นผู้มีปัญญา ท่านเป็นผู้กำหนดแบบกะตัดไม้ทำพระวิหารหลังใหญ่และกว้าง มีมุขยื่นออกทั้งสี่ด้านถูกแบบ ด้วยความชำนาญของท่านยิ่งนัก นับเป็นบุญวาสนาที่ท่านได้สร้างมาในชาติปางก่อน ฯ

(๑๒๖) พระหารคลดคลั่งแคล้น คลาสงน
ฝูงม่านเม็งไทยหน เทสใต้
วันทาอยู่ฉาวฉลน นบธาตุ พระเอย
เสียงรึดรือเขาไหว้ ต่างด้วยภาษา ฯ

แปล ในพระวิหารเต็มแน่นไปด้วยคนเดินไปมาสับสน มีพม่า มอญ ไทยใต้ ต่างก็กราบไหว้พระธาตุอยู่อึงมี่ เสียงพึมพำภาษาของใครของมัน เมื่อเขากล่าวคำไหว้พระ

(๑๒๗) ทวาราวังแวดไว้ หับไข
เขียนขีดทังสามใบ ร่ามต้อง
เทพารูปเรืองใส คำคราด งามเฮย
ทวายเถี่ยนถือม้าวหย้อง รูปเรื้องเทวา ฯ

แปล มีประตูป้องกันไว้เปิดปิดได้ เขียนลวดลายทั้งสามใบงดงามอร่ามตา รูปเทวดางามผุดผ่องผูกคาดด้วยทองคำ ข้อมือใส่กำไลแขน เป็นรูปเทวดาที่งามยิ่ง ฯ

(๑๒๘) เมืองพิงตนนั่งเนื้อง องค์กระสัตร
ใจเจตหาทานวัตร เอกอ้าง
สหัสเนตนามรัตน์ ลือราช เรืองเอย
อยู่เสพสีลแท้สร้าง แทบเที้ยรบุรีรมย์ ฯ

แปล พระมหากษัตริย์องค์ที่เสวยราชย์ในเมืองพิงเชียงใหม่ มีพระทัยมุ่งทำบุญทำทานเป็นกิจวัตรอันประเสริฐ พระอินทร์ทรงถวายพระนามว่า “พระเมืองแก้ว” เป็นพระมหากษัตริย์มีพระนามระบือรุ่งเรืองยิ่ง ตลอดพระชนม์ทรงมุ่งแต่รักษาศีลและทานโดยแท้ ทำใช้ประชาชนอยู่กันอย่างสงบสุข ฯ

(๑๒๙) ระเบียงโขงขีดแข้ม ลายคำ
เป็นนิทานจงจำ ถี่ถ้อย
อักขระแต่งจำนำ ขอมเลข ลายเอย
เครือคร่ายสนสอดสร้อย สว่านเสี้ยวบวนบิน ฯ

แปล ตามระเบียงและประตูโค้งวาดรูปด้วยลายทองคำน้ำรด เป็นเรื่องราวที่ควรจดจำอย่างละเอียด มีอักษรขอมเขียนบรรยายเรื่องราวไว้ ลายเครือเถาด้นดั้นเกี่ยวพันกันทั้งปลายเปลวอย่างอ่อนช้อย งามเหมือนจะบินได้ ฯ

(๑๓๐) แสนทองทิพย์เทพสร้าง สมสนิท
โอนอำรุงเรียมริจ ร่ำไหว้
ชุมพูพระสถิต ในเอก องค์เอย
เทียมแทกสวรรค์ฟ้าได้ แห่งห้องเวไชยนต์ ฯ

แปล พระเจ้าแสนทองทิพย์เทพดามาสร้างไว้งามสมส่วนอย่างยิ่ง พี่น้อมศีรษะคารวะพระพุทธองค์ทรงสถิตเป็นเอกในชมพูทวีป มนุษย์จึงอยู่เป็นสุขเทียบกับอยู่เมืองสวรรค์อันเป็นที่ตั้งแห่งเวไชยนตร์ปราสาท ฯ

(๑๓๑) พรทิพย์ขุนขรุ่งได้ โดยใจ อยู่แล
ดับโศกแสนสีเนห์ไภย โลกอ้าง
ทังพระยอบยืนไสย สารูป เรียงนัน
ยืดโยดอย่าม้วยมล้าง ส่งเสี้ยงสาสนา ฯ

แปล พรใดเป็นทิพย์ที่พี่ขุนมุ่งบาดปรารถนามีในใจอยู่ ขอพรนั้นจงมาช่วยดับความเศร้าโศกอันมากยิ่ง ที่โลกอ้างว่าเป็นภัยเกิดจากความรักความเสน่หา ขอพระนั่งพระยืน พระนอนที่เป็นรูปพระพุทธเจ้าตั้งเรียงรายอยู่ จงยั่งยืนอยู่อย่ารู้แตกทำลายภินท์พัง จนสืบไปจนสิ้นพระพุทธศาสนา ฯ

(๑๓๒) จักลาไท้เทพไม้ ลังกา อยู่เนอ
ทังแจ่มสองนางนา ฝ่ายเฝ้า
พุทธสาสน์อาวา ยาวโยด ยืนเนอ
พิลาสเยนยักข์เร้า ร่วมรู้ฐปันนาฯ

แปล ขอลาเทวดารักษาไม้โพธิ์ลังกา ทั้งสองนางผู้ผุดผ่องที่ร่วมเฝ้าด้วย ขอพระพุทธศาสนาวัดวาอารามจงมั่นคงอยู่ยืนนาน พวกปีศาจ ยักษ์ รากษส ทั้งหลายโปรดรับทราบช่วยสถาปนาไว้ ฯ

อีกฉบับว่า

(๑๓๒) อลาไท้เทพไม้ ลังกา
ทังนุชนาฏสองนางนา พี่น้อง
กัมม์เวรหากพามา สยองตอบ เรียมแล
หมี่จวบนุชน้องแก้ว ผ่านโพ้นหนระมิง ฯ

แปล อำลาเทวลาที่รักษาไม้โพธิ์ลังกา ทั้งสองนางพี่น้อง เป็นกรรมเวรสนองตอบ จูงพาพี่จากมา ไม่พบห้องซึ่งอยู่ในเมืองเชียงใหม่โน้น ฯ

(๑๓๓) ปางนี้จักคลาดคล้อย คลาหนี
ลาเสี่ยงสองเมืองมี บ่อแก้ว
พระหารกู่กุดดี โดยแต่ เดิมเอย
ทุเรศเดินผ้ายแผ้ว พรากน้องจอมทอง ฯ

แปล คราวนี้จะต้องพรากจากหนีไป พี่ลาหมดทั้งศรีสองเมืองและน้ำบ่อแก้ว รวมทั้งวิหารพระเจดีย์และกุฏิที่มีมาแต่โบราณ พี่ต้องพรากน้องและพรากจอมทองไปในหนทางที่ทุรกันดาร ฯ

(๑๓๔) อยู่เนอจักขอบขว้าง เข้าเขต เข็ดเอย
จักจากจรลาเรจ รอดดั้น
วิถีถั่งแถวเธต อย่าโสก หมองเอย
เถิงถาบโบสถหั้น ลวดแล้วอำลา ฯ

แปล อยู่เถิดวงจักรอันมีขอบกว้าง พี่จะเข้าสู่เขตป่าที่น่ากลัว จักจากดั้นด้นไปตามทางที่ลำบาก น้องอย่าเศร้าโศกหม่นหมอง จนกระทั่งพี่ไปถึงโบสถ์ที่นั่นแล้วพี่ก็อำลาไป ฯ

(๑๓๕) ลาน้ำบ่อทิพแก้ว เป็นตรา
ทังมหาเจติยา ใหย่กว้าง
วันทาเล่าทูนสา เรียมนอบ นบเอย
ขอพรากรามน้องร้าง ก่อนเท้อทิพดา ฯ

แปล ขอลาบ่อน้ำทิพย์ที่คนกำหนดไว้ ขอลาทั้งพระมหาเจดีย์องค์ใหญ่ยิ่ง พี่ประนมมือก้มศีรษะกราบกล่าวคำอำลา ขอนิราศจากไกลน้องผู้งามเลิศไปก่อน ฯ

(๑๓๖) ค่อยอยู่เทอะแก้วยอด หัวใจ พี่เหย
จักจากเจียรอวรไป ถ่านี้
จักเดินท่องเทียวไกล เหวหึก มีแล
หมี่ห่อนจักได้เต้า ครอบน้องสองที ฯ

แปล อยู่เถิดน้องรักผู้เป็นยอดดวงใจของพี่ ครั้งนี้พี่จะจากน้องไปเดินทางไกล เต็มไปด้วยหุบเหวที่กันดารยิ่ง พี่จะกลับคืนมาพบน้องเป็นครั้งที่ ๒ อีก คงจะไม่มีแล้ว ฯ

(๑๓๗) นิททํบ่อิ่มได้ เต็มตา
ทุกข์เมื่อม่านพาลา ปราบได้
ตกสะกึดเอ่าอาธวา รักแม่ นี้แม่
สุดคำนึงนึกไห้ ท่องผ้ายเทียวมัคคา ฯ

แปล นอนหลับไม่อิ่มเต็มตาเลย แสนทุกข์ยากเมื่อม่านคนพาลมาปราบพวกเราได้ พี่มีแต่ผวาปั่นป่วนคร่ำครวญหาน้องรัก สุดที่จะคำนึงคืนมาหา จึงร้องให้เดินไปตามทาง ฯ

ฉบับหนึ่งว่า

(๑๓๗) นิททํบ่อิ่มได้ เต็มตา
ทุกข์เมื่อม่านพาลา ปราบได้
ตกสะกึดเอ่าอา- ลัยแม่ นะแม่
สุดคร่ำนึงนึกหน้า แม่ไว้วางเรียม ฯ

แปล (บาทที่ ๑-๒ เหมือนกัน)...มีแต่ผวาปั่นป่วนอาลัยน้องเท่านั้น สุดที่พี่จะคำนึงนึกถึงหน้าน้อง ที่พี่ทิ้งไว้ข้างหลัง ฯ (เข้าใจว่าแต่งแก้ของเดิม)

(๑๓๘) รุ่งแล้วเพียงพุ่งแจ้ง จวนถวิน
ไหวหวั่นเมทนิน เนือกน้อม
มังทราราชปองปลิน เอาธาตุ ไปเฮย
ทุกเทพเทฟ้าแสร้ง โสกส้มแสนกระหาย ฯ

แปล พอรุ่งเช้าจวนพระอาทิตย์ส่องแสง ก็เกิดแผ่นดินไหวโคลงเคลงเพราะมังทราปีนขึ้นเอาพระธาตุไป เทวดาทุกองค์เหมือนจะแกล้งรื้อท้องฟ้าทิ้ง (เพราะไม่พอใจ) ทำให้เราโศกแสบร้อนอย่างยิ่ง ฯ

(๑๓๙) อารักข์อาราชเรื้อง อังครฐะ
ทังยอดเมืองสิงฆะ ลูกเต้า
เชิญราชแห่แหนพระ ชินธาตุ องค์เอย
นำแนบไปผ้ายแผ้ว อย่าหื้ออนทราย ฯ

แปล ขอเชิญอารักษ์ผู้มีฤทธิ์ดำรงอยู่ในฐานะอันประเสริฐ ทั้งจอมเมืองที่ชื่อ “สิงฆะ” พร้อมด้วยลูก จงมาช่วยกันแห่แหนพระธาตุของพระชินศรีเจ้าไปโดยสวัสดี อย่าให้เกิดอันตราย ฯ

ฉบับหนึ่งว่า

(๑๓๙) อารักข์อาราธเรื้อง อัครฐา
ทังยอดเมืองสิงฆา ลูกเต้า
อังเชิญขรุ่งปณิธา ชูช่วย ชายรา
ขอจวบนุชน้องเหน้า พร่องเท้อมเหสักขา ฯ

แปล ขออัญเชิญอารักษ์ผู้มีฤทธิ์ดำรงอยู่ในฐานะอันเลิศ รวมทั้งยอดเมืองชื่อ “สิงฆะ” พร้อมด้วยลูก จงมาช่วยเราให้ได้พบน้องสมดังมุ่งปรารถนาไว้ด้วยเถิด ท่านผู้มีศักดิ์ใหญ่ ฯ (สงสัยว่าแต่งแก้ของเดิม)

(๑๔๐) อารักข์อาราชเรื้อง ขุนใหญ่ (น่าจะเป็น ขุนไหม)
วิเวกดงรีใน ป่ากว้าง
เชิญเจียรจุ่งเร็วไว เอาธาตุ พระเอย
อย่าแม่งม่านม้วยมล้าง ครอบตั้งฉันดี ฯ

แปล ขอเชิญอารักษ์ขุนใหญ่ที่อยู่วิเวกในป่ากว้าง จงรีบมาไว ๆ นำเอาพระธาตุกลับคืนมาประดิษฐานไว้เหมือนเดิม อย่าให้พม่ารื้อทำลายเอาไป

ฉบับหนึ่งว่า

(๑๔๐) อังเชิญพระเทพท้าว ขุนไหม
สถิตวิเวกดงรีใน เถื่อนกว้าง
พลพลันรีบเร็วไว สารใส่ เรารา
ขอจุ่งเดินดั้นห้วย หึกร้ายเหวคีรี ฯ

แปล ขออัญเชิญเทพชื่อ “ขุนไหม” ที่อยู่วิเวกในป่ากว้าง นำกำลังถือสารเราไปโดยเร็ว เร่งเดินดั้นเหวลึกและขุนเขาไป (นำเอาข่าวของเขาไปบอกแก่ภรรยาเขา)

หมายเหตุ เข้าใจว่าจะแต่งแก้ของเดิม เพราะใจความไม่เข้ากับเรื่องที่เป็นมา ฯ

(๑๔๑) อังเชิญพระเทพท้าว บัวบาน
ปิสาจเยนยักข์หาญ เผ่นผ้าย
เอาธาตุพระเดินสาร เสด็จด่วน มารา
ไว้ที่อย่าหื้อย้าย จากหนี้ดอยทอง ฯ

แปล ขออัญเชิญเทพไท้ชื่อ “บัวบาน” พร้อมด้วยปีศาจ ยักษ์ รากษส ผู้กล้าหาญ จงรีบพากันไปนำพระธาตุเสด็จกลับคืนมาโดยด่วนด้วย แล้วนำมาไว้ที่เดิม อย่าให้ได้โยกย้ายไปจากดอยทอง (จอมทอง) แห่งนี้ ฯ

ฉบับหนึ่งว่า

(๑๔๑) อังเชิญพระเทพท้าว บัวบาน
สระเด็จขี่นาวาซาน ล่องใต้
พลันพลันรีบไวไว ชูช่วย ชายเทอ
ขอจวบนุชน้องแก้ว ฝ่ายพ้นสมุทนที ฯ

แปล ขออัญเชิญเทพชื่อ “บัวบาน” จงขี่เรือเหาะมาทางใต้ มาช่วยพี่โดยด่วนด้วย ขอให้ได้พบน้องที่ฝั่งสมุทโน้น ฯ (สงสัยแต่งแก้ของเดิม)

(๑๔๒) ปณิธานคืนครอบน้อง สมสงวน
เถิงอรหัตตะจวน จิ่งแล้ว
ทิพย์ยิงแม่ยังหวน ขุนขรุ่ง เรียมฤๅ
บ่จากใจคลาแคล้ว แว่เว้นยังอวร ฯ

แปล พี่ตั้งปณิธานไว้ว่าจะกลับคืนมาพบน้องและอยู่ร่วมกับน้อง ได้เป็นพระอรหันต์เมื่อใดจึงจะหมดความปณิธานนั้น ถ้าน้องยังถวิลคิดถึงพี่อยู่ พี่จะไม่เปลี่ยนใจไปไหน จะแวะเวียนอยู่กับน้องตลอดไป ฯ

ฉบับหนึ่งว่า

(๑๔๒) ประณิธานครืนครอบน้อง สมสงวน
เถิงอรหัตตะจวน จิ่งแล้ว
ทิพยิงแม่ยังหวน ขูขรุ่ง เรียมฤๅ
บ่จ่ายใจเคียนแคร้ว แร่เร้นยังอวร ฯ

แปล พี่ตั้งปณิธานจะกลับคืนมาพบน้องอยู่ร่วมกันอีก ถ้าถึงอรหัตตผลเมื่อใด ก็เป็นอันหมดความปรารถนาเมื่อนั้น ถ้าน้องยังกรุณาคิดถึงพี่อยู่ พี่จะไม่แจกใจไปให้ใครอื่น จะแฝงฝังอยู่กับน้องคนเดียว ฯ

(๑๔๓) ไปนอนข้างน้ำแม่ เมืองกลาง
ติดฝั่งแฝงเทียมทาง ที่หั้น
คึดคืนครอบนุชนาง ทุกคร่าว คราวเอย
ใจเจตจิตแฝงฝั้น เฝ้าเน่งน้องในอาณา ฯ

แปล ไปนอนที่ข้างน้ำแม่กลางติดฝั่งริมทางที่นั่น พี่หวนคิดถึงน้องทุกระยะทางเดิน ใจของพี่แฝงเฝ้าอยู่เฉพาะกับน้องในเมือง ฯ

ฉบับหนึ่งว่า

(๑๔๓) ไปนอนข้างน้ำแม่ เมืองกลาง
ติดฝั่งแฝงเทียมทาง ที่นั้น
คึดคืนครอบพระนาง ทุกคร่าว ครวนเฮย
จักจากใจแฝงฝั้น เน่งน้อมในอาณา ฯ

แปล ไปนอนข้างน้ำแม่กลางติดฝั่งข้างหนทางที่นั้น พี่หวนคิดถึงพระนางทุกระยะทางมีแต่คร่ำครวญหา ถึงพี่จะจากไปแต่ใจพี่น้อมนิ่งแฝงฝังอยู่แต่ในเมือง ฯ

(๑๔๔) คราวนี้ยอบยั่งยั้ง กิจจา
เขาอยู่นิทในมัคคา ฝ่ายเฝ้า
ทังควายและสุรา หามหาบ มาเฮย
ฟันอ่อมกินแก้มเหล้า ลวดเสี้ยงมิดมวล ฯ

แปล วันนี้หยุดพักผ่อนไม่ประกอบกิจคือเดินทาง นั่งเฝ้ากันอยู่ตามทาง เนื้อควายและสุราที่หาบหามเอามา ก็ลาบและแกงอ่อมกินแกล้มเหล้าจนหมดสิ้น ฯ

(๑๔๕) มัวเมาน้ำเหล้าชื่อ ไชยบาน
หายโสกสัพพะเดดาน เดือดไหม้
สุขเสวยครอบคืนสถาน เถิงแม่ นะแม่
บ่อยู่ยืนยั้งได้ รุ่งย้ายยอไป ฯ

แปล ดื่มน้ำเหล้าชัยบานจนเมามาย ความเศร้าโศกเดือดร้อนทั้งปวงค่อยเบาบางลง ถึงพี่จะกินอย่างเป็นสุข ก็ยังคิดกลับบ้านมาหาน้อง ไม่อาจจะพักอยู่นานได้ ตื่นเช้าก็ยกกันเดินทางต่อไป ฯ

(๑๔๖) ไปนอนแฝงฝั่งน้ำ พิงพาว
ปุนม่วนมวลฉะฉาว คลื่นเคล้า
เวียนวงแวดวังขาว แห่ห่ม เอาเฮย
ปลาจี่จืนแก้มเหล้า สู่น้องสมเสวย ฯ

แปล ไปนอนพักที่ฝั่งแม่น้ำปิง เป็นที่สนุกสนานกันทั้งหมด ลงน้ำทอดแหได้ปลาตะเพียนมาเผา ย่างและทอดกินแกล้มเหล้า ส่วนพี่เอาสู่น้องเสวย ฯ

หมายเหตุ “สู่น้องสมเสวย” นี้ ตอนต้นของเรื่องไม่ได้กล่าวว่า เขาพาเอาเจ้าหญิงองค์ใดติดตามไปกับขบวนเชลย พึ่งจะมาปรากฏอยู่ในโคลงนี้และโคลงที่ (๒๑๔) (๒๑๙) (๒๒๕) (๒๒๘) (๒๓๓) (๒๓๗) ฯลฯ จากนั้นก็ไม่กล่าวถึงเป็นหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์จะค้นคว้าหาความจริงต่อไป เพราะในโคลงเรื่องนี้ท่านไม่ได้บอกชื่อไว้ ฯ

(๑๔๗) งัวเรียมตัวชื่ออ้าย อัสดอร
หื้อหาบปลาแปลงปอน เพื่อเจ้า
ครันเถิงที่คราวนอน ปลดต่าง เรียมเอย
สนุกสนั่นเมาเหล้นเหล้า ชู่ครั้งคราวทาง ฯ

แปล วัวต่างของพี่ตัวที่ชื่อ “อ้ายอัสดร” ใช้บรรทุกปลาแห้งเพื่อเจ้าน้อง (คนที่กล่าวถึงในโคลงที่ (๑๔๖) พอถึงที่พักก็ปลดต่างลง กินเหล้ากันเป็นที่สนุกสนานทุกครั้งเมื่อพักตามทาง ฯ

(๑๔๘) หากเป็นวันถ้านที่ ทางทุกข์
บ่ใช่ชายจักจุก เจ่าไห้
หมี่ตายหากจักสุข วันนึ่ง ชะแล
พอพี่จากน้องไท้ อย่าร้อมรมมโน ฯ

แปล ที่แท้หากเป็นวันที่เดินทางเต็มไปด้วยความทุกข์ แต่มิใช่ว่าพี่จะนั่งเจ่าจุกร้องร่ำไห้แต่อย่างเดียว ถ้าพี่ไม่ตายเสีย วันหนึ่งคงได้พบสุขเป็นแน่ ถึงแม้พี่จากน้องไปขอน้องอย่าร้อนใจไปเลย ฯ

(๑๔๙) ไปนอนสบน้ำแม่ แจมเจา
ขุนนึ่งทำกวนเกลา ว่าไข้
มายาย่างแล้วเฉา เป็นม่วง ทางเอย
หยุดอยู่หลังเหล่ใบ้ ลอบลี้ลักคืน ฯ

แปล ไปนอนที่สบน้ำแม่แจ่ม ขุนผู้หนึ่งทำอุบายว่าป่วยเดิน ๆ หยุด ๆ ว่าเป็นท้องร่วง แวะตามทางทำเล่ห์เหมือนเป็นคนโง่อยู่ท้ายขบวน แล้วแอบหนีกลับคืน ฯ

(๑๕๐) มานอนเมืองหอดข้าง ชลนที
ปลดเปล่าคนไหนหนี ไป่รู้
เขานี้มั่งมูลมี ชาวเช่า พระเอย
ก็ย่อมชุมเชื้อผู้ เผ่าอั้นอุกอุย ฯ

แปล มานอนที่เมืองหอด (อำเภอฮอด จ. เชียงใหม่) ข้างแม่น้ำ ปลดของวางไว้เหลือแต่ตัวเปล่า ตนใดจะหนีกลับไม่มีทางรู้ เขาเหล่านี้มั่งมีเป็นเชื้อสายเจ้าย่อมเป็นพวกที่ร่ำรวย ฯ

(๑๕๑) เพราะเรือยุธิเยศค้า เทียวเทิง
มีกาดแกมรีเลิง ชู่มื้อ
ชาวเชียงหลั่งไหลเถิง เมืองหอด เรียมเอย
สนุกสนั่นขายแล้วซื้อ พร่องถ้านเป็นเสฏฐี ฯ

แปล เพราะเหตุว่าพ่อค้าเรือทางอยุธยาขึ้นมาค้าขายถึง จึงมีตลาดสดขายของตลอดวันทุกวัน ชาวเชียงใหม่พากันมาถึงเมืองหอด (ฮอด) ซื้อขายกันเป็นที่สนุกพลุกพล่าน บางคนถึงขั้นเป็นเศรษฐี ฯ

(๑๕๒) เมียเรียมซ้ำชู้ชูบ สาวเสฏฐี
ยังมากมวลหลายหลี หอดหั้น
เซรซรัดพ่ายพังหนี แกมม่าน มานี
หาหมี่หนใดดั้น เพศเพี้ยงรอยเรือ ฯ

แปล ภรรยาของเราก็เป็นสาวรุ่นเดียวกับลูกสาวเศรษฐีแถวนี้ ซึ่งมีมากมายเหลือเกินที่เมืองหอดที่นั้น พี่ซมซานพ่ายหนีปนกับพม่ามาครั้งนี้ สอดส่ายสายตามองหาน้องหนใดไม่พบ อุปมาเหมือนมองหารอยเรือ ฯ

(๑๕๓) ครานี้พัดพรากน้อง ธรัมธราย
พอเท่าหันดินดาย บ่อนบ้าน
เรียมรักใคร่ผันผาย จงจวบ พระเอย
บ่ร่างจักเถิงถ้าน รอดชู้ชมสงวน ฯ

แปล ครั้งนี้พี่พลัดพรากน้องไปไกล ได้แต่เห็นแผ่นดินกับหมู่บ้าน พี่รักน้องอยากจะกลับมาพบน้อง คงจะไม่มีทางได้พบน้องร่วมชมเชยกันอีก ฯ

(๑๕๔) ละลาเมืองหอดแห้ง หิวหุ
นอนป่าเป็นเวฬุ ล่าวแล้ง
หินผาเกลื่อนกองกุ กระดุกกระเดื่อง ดินเอย
นอนเปลี่ยวเปลี่ยวข้าแสร้ง สั่งน้องนำถวิล ฯ

แปล ลาพรากจากเมืองหอด (ฮอต) ด้วยความแห้งแล้งและระโหยโรยแรงในการเดินทางไปพักนอนในป่าไผ่ที่ร้อนแล้ง มีหินแข็งกองเกลื่อนกระจัดกระจายไปตามดินพี่นอนด้วยความเปล่าเปลี่ยว แต่ก็ยึดเอาความเปลี่ยวนั้นนำความคิดกลับมาหาน้อง ฯ

(๑๕๕) คราวนี้เช้าเช่นแจ้ง เหน็ดหนาว
เผียวไผ่หนามเรียวราว ยาดเนื้อ
อินดูยอดยิงสาว เดินพราก ไปนัน
ชักจ่องผืนผ้าเสื้อ หน่ายหน้อทุกขํ ฯ

แปล คราวนี้ตอนเช้าอากาศหนาวเย็นยิ่ง เดินในป่าเผียวป่าไผ่ หนามไผ่เกาะเกี่ยวขีดข่วนร่างกาย สงสารหญิงสาวที่เป็นเชลยพรากเมืองไปด้วยกัน ถูกหนามไผ่เกาะเกี่ยวเสื้อผ้า เป็นที่ลำบากน่าอนาถแท้ ๆ ฯ

(๑๕๖) ไปปลงป่าไผ่ยั้ง ยามแลง
เทียวเทสดินดอยแฝง ฝั่งน้ำ
เถียงถึมถี่ดูแยง เลงเลือก นอนเอย
คึดกลิ่งเถิงน้องซ้ำ ใคร่ผ้ายผึงโดย ฯ

แปล ไปปลงของพักแรมในป่าไผ่ในเวลาเย็น เราเดินป่าปีนภูเขาและฝั่งน้ำ กระท่อมมุงไม้ไผ่สานละเอียดดี เราเลือกมองหาที่นอนเอา พี่ก็กลับคิดถึงน้องอีก อยากจะเผ่นโผนมาหา ฯ

(๑๕๗) รุ่งขึ้นปีนเปี่ยงพ้น ปัพพตา
ดอยชื่อกังสุนักขา ไต่เต้า
บางงัวยาดเพพา ทังต่าง ตกเอย
ครัวเรี่ยรายหม้อเข้า แตกท้อเททุม ฯ

แปล รุ่งเช้าแล้วก็พากันปีนขึ้นภูเขาชื่อว่า “ดอยกังหมา” (ปัจจุบันเรียกว่า “ดอยก๋างหมา”) วัวต่างบางตัวใช้เท้าครูดลื่นไถลตกลงไปทั้งของที่ต่างบนหลัง สิ่งของตกกระจัดกระจาย หม้อข้าวแตกเลยทิ้งเสียที่นั้น ฯ

(๑๕๘) หัวดอยลุแล้วโล่ง หายใจ
สุขสว่างหฤทัย เทื่อหน้อย
หินฝังฝ่ายดูไกล คราวเคร่ง นักเฮย
ปลดป่าปางเนื้อน้อย ค่วยแก้วมูลมณี ฯ

แปล พอขึ้นถึงยอดภูเขาแล้วค่อยหายใจโล่งอก ค่อยสบายหายเหนื่อยไปทีละน้อย แต่เมื่อมองดูหินหลักปักเขตแดนแล้วยังอยู่ไกล ยังเหลือระยะเดินเต็มเหยียด วางของพักกันที่นี้ครู่หนึ่ง บางคนคุ้ยเขี่ยหาแก้วซึ่งมีบ่อเกิดที่นี่ ฯ

(๑๕๙) นกแต้ร้องเรียกไว้ เป็นปาง
ป่าแพระไม้ยุงยาง หาดห้าว
จันจวงหยาดยายทาง แถวถั่ง งามเฮย
ลมลวาดดังซ้าวซ้าว ทั่วด้าวเหมือนฝน ฯ

แปล ได้ยินเสียงนกแต้ (นกต้อยตีวิต) ร้องเรียกมาเป็นครั้งคราว ป่านี้มีไม้ยูง ไม้ยาง ไม้หาด ต้นจันทน์ ต้นจวงขึ้นเรียงรายเป็นแถวตามทางเดินดูงดงามยิ่ง เสียงลมพัดไม้ดังกราว ๆ เหมือนเสียงฝนตก ฯ

(๑๖๐) ปักขีรักร่ำถ้อย แถวถวิล
ใสสว่างเสียงใยยิน จ่อแจ้
เทียวทนตราบเถิงหิน ผาลาด เรืองเอย
เยียวว่าเสียงสร้อยแหล้ ล่าเหล้นไพรพนม ฯ

แปล เสียงนกเจรจาภาษารักแก่กันตามทางผ่านมา ได้ยินเสียงไสไพเราะจ้อแจ้จอแจ อดทนเดินไปจนถึงหินผาลาดที่งามสะอาด นึกว่าเสียงน้องมาร้องเพลงเที่ยวเล่นในป่าเขา ฯ

(๑๖๑) สี่เสาแดนที่ตั้ง หินฝัง
ปันเขตเดิมแดนยัง เก่าเกื้อ
ลวะไทยเท่าเทียวทัง มวลหมู่ มาเอย
ตามแต่เดิมรั้งเรื้อ รอดรู้ธัมมดุล ฯ

แปล ไปถึงที่ฝังหลักหินสี่เสา เป็นแดนที่แบ่งเขตกันแต่โบราณยังคงอยู่ คนลวะและคนไทยที่เดินมาด้วยกันทั้งหมด มาถึงตรงนี้ก็ทราบว่าเป็นแดนที่เที่ยงธรรมตั้งแต่โบราณมา ฯ

(๑๖๒) ไปนอนคราวข่วงต้น จุมปา
ทรงดอกภมารา คลื่นเคล้า
ไขละอองกลิ่นคันธา กางกาบ งามเฮย
หอมตลบรสเร้า สว่างย้าวยินเสบย ฯ

แปล ไปนอนที่ลานดอกจำปากำลังมีดอก ฝูงผึ้งภู่บินตอมกันอยู่หึ่ง ๆ ดอกจำปาคลี่คลายขยายกลีบส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล ได้กลิ่นดอกจำปาแล้วค่อยชื่นบานสบายใจขึ้น ฯ

(๑๖๓) พฤกษ์ไพรผึงผ่าผ้าย เทียวทวน
รุกข์ร่มเรียมตระหมวน หมู่ไม้
บางจีจิ่งจุมควร คันธ์กลิ่น ตลบเอย
บางลวาดลมแรงไล้ เฟื่องฟ้อนสาขี ฯ

แปล เดินผ่านป่าไปโดยไว พีจะประมวลหมู่ไม้มาให้ฟัง บางต้นกำลังมีดอกตูม บางต้นส่งกลิ่นหอมตลบ บางต้นลูกลมพัดเชยแรงๆ กิ่งก้านแกว่งไกวเหมือนมันฟ้อน ฯ

(๑๖๔) พเนในเถื่อนไม้ แฝงฝูง
หลายส่ำปลายเมียงมูง มืดฝ้า
สาขีวอกวุยหูง ดางด่าง โดยเอย
บางบาทกำก้านคว้า แกว่งเต้นตัวไกล ฯ

แปล ในป่าเต็มไปด้วยไม้เบียดเสียดเยียดยัดกัน มีหลายชนิด บางต้นส่งปลายสูงมุงบังก้อนเมฆ ตามกิ่งก้านมีลิงและชะนีเตรียมโหนโดยว่องไว บางตัวเกาะกิ่งไม้ โหนตัวโยนไปไกล ฯ

(๑๖๕) ไปนอนห้วยกุ้งกว่า กลางคราว
ไม้มืดมุงเหมยหนาว เนื่องต้น
ยลบนหมี่เห็นดาว ดกด่าง ดงเอย
คึดกลิ่งเถิงน้องน้น เนื่องหื้ออาลัย ฯ

แปล ไปนอนที่ “ห้วยกุ้ง” อยู่กึ่งกลางระยะทางเดิน มีต้นไม้ขึ้นครึ้มแน่นหนาหมอกหนาวคลุมไปทั่ว แหงนมองท้องฟ้าไม่เห็นดาวเพราะใบไม้มุงบัง พี่คิดถึงห้องนอนในเมืองโน้น ทำให้อาลัยหา ฯ

(๑๖๖) รุ่งแล้วเท่าท่องฝ้าย ผึงดง
ดอยด่านพนาพง เถื่อนถ้อง
แรดช้างหมู่สิงห์สง ลงล่า เดินเอย
เสียงส่งครางคลื่นก้อง อ่าวเอิ้นเสือหมี ฯ

แปล พอรุ่งสว่างขึ้นมาก็เดินตะบึงเข้าป่าไป ผ่านภูเขาลำเนาดงใหญ่ อุดมด้วยแรด ช้าง เสือ สิงห์ ออกล่าหาเหยื่อ ส่งเสียงร้องครึมครางดังกึกก้องเพรียกร้องหากัน ฯ

(๑๖๗) บวกครกลุล่วงแล้ว ลาเจียร
จักตราบเถิงท้องเทียร ท่าน้ำ
เต็มคึดครอบปลดเบียน ปางเปล่า ทรวงเอย
เจ็บจ่ำงือชุช้ำ จากชู้ชมสงวน ฯ

แปล บรรลุถึง “บ้านบวกครก” แล้วก็จากไป จนตราบไปถึงท่าน้ำ “แม่เทียน” ถึงแม้พี่จะคิดถึงน้องก็จำต้องปลงวางไว้พยายามจะให้ใจว่าง แต่กลับเพิ่มความเจ็บปวดชอกช้ำเพราะพรากน้องที่พี่เคยเชยชมกกกอด ฯ

(๑๖๘) ไปนอนข้างน้ำแม่ เทียรทอง
สุดคึดอันจักปอง รอดน้อง
นอนคืนคึดแถมสอง หาแม่ นะแม่
ขวันขอดแขวนขำข้อง จิ่มเจ้าจอมพะงา ฯ

แปล ไปนอนข้างน้ำ “แม่เทียน” พี่หมดความคิดที่จะกลับคืนมาถึงน้อง ยามนอนตอนกลางคืนยิ่งทวีความคิดถึงน้องอีก ขวัญของพี่แขวนผูกติดไว้กับน้องคนสวยเสียแล้ว ฯ

(๑๖๙) เต็มคึดซ้ำไห้เล่า อกอิด
ทุกข์ม่านมาปองปลิด จากชู้
ใจเทิงบ่สมริทธิ์ โดยดั่ง คระนิงเอย
เยียวคริ่นขวันข้าผู้ พรากหื้อไกลไกล ฯ

แปล ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งอ่อนใจ ทุกข์ครั้งนี้เพราะพม่ามันพรากพี่จากน้อง แม้ใจพี่คิดมาถึงแต่ก็หาสมหวังดังที่คิดไม่ ชรอยว่าขวัญของพี่ติดอยู่กับน้องไม่ยอมพรากมาไกล ฯ

(๑๗๐) พเนแฝงแฝกฝั้น เผืออุก
เมืองม่านเมื่อเต็มทุกข์ เทื่อนี้
จะลานิรารุกข์ เขราะคริ่น คระนิงเอย
เชิญแม่มาพร้อมพรี้ อย่าเทิ้นไกลกลัว ฯ

แปล บุกบั่นป่าไม้ที่แน่นหนาติดกันเป็นพืด ไปเมืองพม่าครั้งนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ จะลาพรากจากป่า ใจพี่ก็ยังเกาะเกี่ยวคำนึงถึงน้อง อยากจะเชิญน้องมาพร้อมกับพี่ทางนี้ แต่ก็คิดว่าอย่ามาเลยมันไกลและน่ากลัว ฯ

(๑๗๑) แม่โถเถิงแล้วเขต กองลอย
หอมกลิ่นสาวชาวดอย บ่อบ้าน
ติณะคร่าครานฝอย เหลืองหล่น รุยเอย
บางแบ่งใบค้อมก้าน แผ่ผ้ายผายประกา ฯ

แปล ถึงบ้าน “แม่โถ” อันเป็นบริเวณเขต “บ้านกองลอย” ได้กลิ่นสาวชาวเขาบ้านบ่อหลวง แต่ว่าหญ้าแห้งผากเป็นฝอย ใบไม้เหลืองหล่นร่วงมา บางต้นใบอ่อนกำลังผล บางต้นตามกิ่งก้านอ่อนค้อมมีดอกบานเต็มไปหมด ฯ

(๑๗๒) สีสรีนวลร่มไม้ โพธิง
ตกแต่งก้านกิ่งอิง อืบหน้า
ตระหม้อแร่เหล็กหิน หืมบ่อ บักเอย
เป็นส่วนสินเจ้าฟ้า ก่อนกี้มาลุน ฯ

แปล ดูสีใบโพธิ์ดูนวลงามร่มรื่น กิ่งก้านเหมือนคนตัดแต่งไว้ ก่ายพิงกันคลุมไปหมด ที่นี้มีภูเขาแร่เหล็ก กำหนดเป็นหลักไว้ว่า เป็นทรัพย์สินของพระเจ้าแผ่นดินแต่โบราณมาแล้ว ฯ

หมายเหตุ โคลงต่อไปนี้ไม่แน่ใจว่าจะถูกกับต้นฉบับของเดิมจริง ๆ เพราะคลุมเคลือไม่แจ่มแจ้ง.

(๑๗๓) พระเวนหนาวเหนื่อยปลี้ ปลัดแปลน
ลุกเรียกเป็นพระแวน ม่อนบ้าน
สาอวรอ่อนมาแทน นิทนั่ง นอนเอย
จงเรื่องราวรู้ถ้าน ถ่องถ้อยถามนิทาน ฯ

แปล (บาทที่ ๑-๒ ไม่ทราบว่าจะแปลอย่างไร เข้าใจว่าเป็นประวัติบ้านนี้ ถ้าจะแปลคงจะได้ความว่า) “มาถึงบ้านพระเวนทั้งหนาวและเหนื่อย เขาเปลี่ยนชื่อบ้านขึ้นใหม่เป็นพระแวน เป็นหมู่บ้านตั้งบนเนิน ถ้าน้องมาแทน (เจ้าหญิงองค์ที่นำมา) จะนั่งนอนอยู่ใกล้ ใคร่รู้เรื่อราวความเป็นมาโดยละเอียด คงจะถามพี่ ฯ

(๑๗๔) รุ่งแล้วแพระผ้ายผ่า เป็นหิน
ปักปวดปาทาติน ไต่เต้า
อาดุรเดือดแดภิน- ทกเจ็บ สลนเอย
ริร่ำเถิงผู้เผ้า รอดน้องนพคุณ ฯ

แปล รุ่งขึ้นเดินผ่านป่าหิน เวลาเดินหินตำเท้าเจ็บปวดมาก เกิดทุกขเวทนาทั้งกายและใจ ปานหัวอกพี่จะแตกภินท์พังไป พี่ได้แต่รำพึงถึงน้องเท่านั้น ฯ

(๑๗๕) ฝูงนกเสียงโกดเคล้า กันกก
ขันเขี่ยงภาสานก ต่างร้อง
บางตัวเงื่องหงอยงก เหงยเหงี่ยง หงายเอย
บางเพื่อนเมียพู้ถ้อง หมู่แม้นปักขี ฯ

แปล ฝูงนกส่งเสียงร้องระงมป่า ต่างเคล้าเคลียกกกล่อมกัน ขันแข่งกันตามภาษานก บางตัวจับเจ่าเหงาหงอย บางตัวเอียงคอเงยหน้ามองไปมา บางตัวเป็นนกตัวผู้ตัวเมียขันคูโต้ตอบกัน ฯ

(๑๗๖) ไปนอนแม่ริดแทบ ตีนเขา
ใสส่องสุดแยงเงา แว่นหน้า
ปูปลามุดมันเมา เหม็งมาก มีเฮย
เชิญแม่มาน้อมหน้า พี่ชี้ชวนดู ฯ

แปล ไปนอนที่ฝั่ง “น้ำแม่ริด” ติดอยู่ไกล้เชิงเขา น้ำใสสะอาดแทนกระจกส่องดูหน้าได้ มีปูปลามากมายดำผลุดโผล่แหวกว่ายน้ำอย่างเพลิดเพลิน พี่อยากจะเชิญน้องมาพร้อม พี่จะชี้ชวนให้ชม ฯ

(๑๗๗) รุ่งแล้วหลุหลั่งขึ้น เขาถวิล
ฟังแต่สัตว์ฝูงยิน ร่ำร้อง
วุยวิดค่างลิงจิน โกโกก กันเอย
เสียงอ่อนวอนมี่ก้อง ทั่วท้องเขาสูง ฯ

แปล พอรุ่งสว่างก็พากันหลั่งไหลขึ้นภูเขา ได้ยินแต่ฝูงสัตว์ร่ำร้อง มีชะนี ค่าง ลิง อีโก (ประเภทชะนี) พากันโหนกิ่งไม้ส่งเสียงร้องระงมไพร เสียงค่อยเสียงดังฟังอึงมี่ทั่วภูเขาสูง ฯ

(๑๗๘) ดอยชันหิวหอดหื้อ จรจม
ราวป่าปลึกพนม เนื่องโน้น
ฝังตีนที่วายตม ตามรอด รูเอย
ไปเปี่ยงปีนหั้นโพ้น รอดห้องสะดือดง ฯ

แปล ไต่ขึ้นภูเขาชันเหน็ดเหนื่อย ราวป่ากับภูเขาติดต่อกันเป็นพืด บางแห่งเท้าติดร่องดินที่แตกระแหง จนกระทั่งพ้นจากที่นั้นก็เข้าถึงกลางดง ฯ

(๑๗๙) ไปนอนลายแม่น้ำ เย็นสุด
หัวเข่าขดขอคุด แนบเนื้อ
หนาวเหน็ดเหนื่อยทะทุด ทุกข์เมื่อ ครานี
มาแม่มาผ้าเสื้อ เสื่อซ้อนตางฟา ฯ

แปล ไปนอนที่ “น้ำแม่ลาย” หนาวเย็นที่สุดนอนงอเข่าแนบติดกาย ยังสั่นหนาวอยู่หงัก ๆ ทุกข์ลำบากที่สุดในครั้งนี้ มาเถิดน้องรักมาเป็นเสื้อ ผ้า ฟูก และมุ้งห่มทับให้พี่ ฯ

(๑๘๐) รุ่งขึ้นดอยชิ้งช่อง ทางเทียว
สุดส่งผันวิดเทียว หยืดหยื้อ
หวาวหวิวเหยียบหยุดเยียว พะลาด พะแลดชา
สุดเช่นตาแห่งหื้อ ขาดขวั้นขวันฉงาย ฯ

แปล พอรุ่งเช้าก็พากันขึ้นภูเขาชัน มีทางเดินเป็นช่องขึ้นไปสูง ค่อยเกาะจับยึดดึงตัวขึ้น บางที่ต้องโดดข้ามไป น่าหวาดเสียว ค่อยเหยียบ ๆ หยุดเกรงพลาดตกลงมา มองดูข้างล่างไกลลิ่วลี่สุดสายตา น่าสยองขวัญ ฯ

(๑๘๑) ดอยแดนดงด่านไม้ เป็นปลึก
เห็นวอกวุยลิงลึก ล่าเหล้น
สาขีรวบราวหึก หันวิ่ง วิดเอย
บางกิ่งเกาะน้าวเน้น ลูกส้มสุกกิน ฯ

แปล ด้าวป่าแดนภูเขานี้ มีป่าไม้แน่นหนาออกติดต่อกันเป็นพืด เห็นหมู่ลิง ค่าง ชะนีเยอะแยะไล่เล่นกัน บางตัวเกาะกิ่งไม้ใหญ่ เห็นมันวิ่งกระโดดไป บางตัวก็จับกิ่งไม้ดึงกิ่งไม้เข้ามาปลิดเอาผลไม้สุกกิน ฯ

(๑๕๒) มานอนข้างน้ำนึ่ง แพระไพร
ชื่อแม่เหาะสุทธ์ใส แก่งก้อน
เย็นซราบอ่อนเอาใจ ชวนชุ่ม ทรวงเอย
หายแห่งรนเร่าร้อน เดือดด้วยแสงสูรย์ ฯ

แปล มานอนข้างแม่น้ำแห่งหนึ่งในป่า ชื่อว่า “น้ำแม่เหาะ” มีน้ำใสสะอาด มีก้อนหินเป็นเกาะแก่ง น้ำเย็นเฉียบซาบชุ่มเข้าถึงทรวงอก เมื่อได้อาบแล้วก็คลายความร้อนระอุจากแสงพระอาทิตย์ ฯ

(๑๘๓) แม่เหาะเถิงรุ่งแล้ว ลาไป
เดินด่านดอยดงไกล ย่านโพ้น
ตำงนง่อมเหงาใน หนักเจต ทรวงเอย
รสกลิ่นไกลน้องโน้น เนื่องหื้ออาธวา ฯ

แปล พอถึงเวลารุ่งเช้าแล้ว เราก็ลา “น้ำแม่เหาะ” ไป เดินไปตามด้าวป่าและภูเขาไกลทางโน้น พี่หนักใจว่าเหว่ด้วยความเป็นห่วง พี่อยู่ไกลกลิ่นน้องจึงทำให้เกิดความปั่นป่วน ฯ

(๑๘๔) ไปนอนคราวหนึ่งนั้น ขนุนขนัก
ร้อยนิคมควรรัก บ่อนบ้าน
นทีท่าต่วงตัก ชลเชี่ยว งามเฮย
เห็นห่างหวนหั้นถ้าน ร่างร้อยปลายปี ฯ

แปล ไปนอนพักที่แห่งหนึ่งด้วยความยุ่งยาก เป็นบ้านที่ควรรักชอบชื่อ “ร้อยนิคม” มีท่าน้ำสำหรับลงไปตัก น้ำสะอาดไหลเชี่ยว เห็นเป็นบ้านร้างไป ทำให้พี่หวนคิดถึงน้องเหมือนพี่ร้างห่างมาเป็นร้อยกว่าปี ฯ

(๑๘๕) รุ่งแล้วยกย้ายจาก เจียรดล
ทุกข์ขอบเขาเทียวทน เทื่อนี้
คลาคลัดคลั่งฉงายฉงน ทรวงเจต เจ็บเอย
ยาวโยดดงด้าวพรี้ พรากร้างรามสีเนห์ ฯ

แปล รุ่งขึ้นเคลื่อนย้ายเดินทางต่อไป ทุกข์ยากด้วยการทนเดินตามขอบภูเขาครั้งนี้ ปวดร้าวอัดแน่นแค้นคั่งอยู่ในอก เพราะจากไปไกล ป่าแถวนี้ดูยืดยาวไกลยิ่งยวด พี่ต้องพรากห่างร้างน้องไปทุกที ฯ

(๑๘๖) หัวดอยด้าวด่านพ้น เสี้ยงสูญ
คราวข่วงเทิงละพูน โท่งยั้ง
ท่วนเทียวไปตามธูร พระอาช- ญาเอย
ทูเรศเดินซะซั้ง แผ่นผ้ายดอยดง ฯ

แปล พ้นจากหัวเขาที่นั้นสิ้นสุดลง เป็นระยะทางยาวเท่าลำพูนไปถึงทุ่งยั้ง (อยู่ในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์) เคยเดินทางไปด้วยธุระตามพระราชญา เดินทางไปไม่หยุดหย่อนผ่านป่าผ่านดงไป ฯ

(๑๘๗) ไปนอนเขื่อนน้ำป่า ปางยา
หวังว่าจักเอามา ฝากน้อง
ผึงลึงเล่าลงหา เหวหึก มวลเอย
ยินส่งเสือเสียงร้อง หมี่ได้เดินโดย ฯ

แปล ไปนอนเขื่อนกั้นน้ำป่าชื่อ “ปางยา” นึกว่าจะเอาน้ำยามาฝากน้อง รีบลงไปหาน้ำยาที่ลำธารลึก พอได้ยินเสียงเสือร้องก็เลยหยุด ไม่ได้ไปตามที่ตั้งใจไว้ ฯ

(๑๘๘) แมกไม้ลงรอดแล้ว ดูไกล
วางวิ่งเสียงยินใย เยือกก้อง
ตกสงนก่ำเดาใน หทเยศ ยุบเอย
ไปหมี่เป็นเพราะน้อง หน่องไว้เวทนา ฯ

แปล หมู่ไม้กว่าจะลงไปถึงมันแล้วรู้สึกว่าไกล มันเยือกเป็นวังเวงน่าขนลุก ตกใจเร่าร้อนปานดังหัวอกจะยุบยอบ พี่ไปได้ยากเพราะความเวทนาอาลัยถึงน้องดึงพี่ไว้ ฯ

(๑๘๙) เทียวเทิงปางเจ้าจาก สาวถี
สระเด็จสู่เสวยบุรี ใหม่หม้า
เขาจลักรูปมุนี กลางแก่น สักเอย
เป็นสากสีเจ้าฟ้า ต่อเสี้ยงสาสนา ฯ

แปล ไปถึงพลับพลา (ปาง) ที่พักเจ้าฟ้าหงสาวดี เมื่อพระองค์เสด็จเมืองใหม่ พวกช่างเขาแกะสลักพระพุทธรูปไว้กลางแก่นไม้สัก เป็นพยานแก่เจ้าฟ้าจนตราบสิ้นพระพุทธศาสนา ฯ

(๑๙๐) พระสถิตวิเวกต้าว ดงสงัด
จักบวชตนปฏิบัติ จิ่มเจ้า
ระนึกเน่งในสัจจ์ สองสั่ง วันนัน
ก็จิ่งจักยั้งเย้า ถ่อนถ้าถนอมอวร ฯ

แปล พระพุทธรูปสถิตอยู่ในป่าเปลี่ยว พี่จะบวชตัวเองอยู่ปฏิบัติท่าน แต่เมื่อมานิ่งนึกถึงสัจจะที่เราทั้ง ๒ ให้ไว้แก่กัน จึงยับยั้งไว้เพื่อจะรอถนอมน้องต่อไป ฯ

(๑๙๑) พี่แสวงเด็ดดอกไม้ ปูชา
เป็นส่วนสุดสีเนหา เจื่องเจ้า
อุทิสส่วนบุญญา ถวายแม่ นะแม่
สุขสำราญร้อยเข้า เที่ยงเท้าทีฆา ฯ

แปล พี่เที่ยวเก็บดอกไม้มาบูชาพระพุทธรูป เพื่อเป็นส่วนบุญแก่น้อง อุทิศส่วนบุญนี้ถวายแก่น้องคนเดียว ขอให้น้องสุขสำราญมีอายุยืนยาวเข้าถึง ๑๐๐ ปี ฯ

(๑๙๒) รุ่งขึ้นดอยด่านนี้ จำหมาย
นับแต่เมืองพิงยาย หยาดถ้อง
วาวัดคร่าวคราวถวาย พระอาช องค์เอย
หลักใหย่หลายเลยต้อง แต่งไว้สระเด็จดล ฯ

แปล พอรุ่งสว่างก็ขึ้นภูเขาอันเป็นแดนกำหนดหมายไว้ นับตั้งแต่เชียงใหม่มาตามลำดับ แล้ววัดระยะความยาวถวายแต่พระองค์ เป็นหลักหมายที่ใหญ่มาก ที่ต้องทำไว้เมื่อพระองค์เสด็จมาถึง ฯ

(๑๙๓) หลักแสนเขาเขตขึ้น แดนดอย
เห็นเขตเมืองยวมคอย ชู่หน้า
ตกสงนเจตสอยวอย วางเนต นุชเอย
ยลหมี่เห็นน้องหม้า พี่คร้ำเถิงอวร ฯ

แปล เลยจากหลักแสนก็ขึ้นภูเขา มองเห็นบริเวณเมืองยวมทุกแห่ง ตกใจอย่างยิ่งเมื่อมองหาน้องดูไกลลิ่วลี่ เมื่อมองไม่เห็นหน้าน้องพี่ก็คร่ำครวญถึงน้อง ฯ

(๑๙๔) ไปเถิงยวมยั้งผ่อ ผวนตา
เป็นป่าอุกอุยหนา แฝกฝั้น
ชาวชนหมู่ประชา รอยพ่าย พังเอย
เอาลูกเมียได้ดั้น หึกห้วยเหวคีรี ฯ

แปล ไปถึงเมืองยวมแล้วหยุดมองดูรู้สึกแปลกตา เพราะกลายเป็นป่ารกชัฏมีต้นพงขึ้น ผู้คนชรอยจะแตกพ่ายพาลูกเมียดั้นด้นเข้าป่าเข้าเหวไปสิ้น ฯ

(๑๙๕) ร้อยเก้าสิบสองว่าไว้ เป็นตรา
ตามคร่าวคราวมัคคา ไต่เต้า
พายโคโท่งหงสา จัดคร่าว คราวเอย
ตามอาชญาพระเจ้า บอกแจ้งเถิงอวร ฯ

แปล ๑๙๒ บทที่กล่าวไว้เป็นกำหนด ตามระยะหนทางที่เดินอันยืดยาวไกล แต่งพรรณาระยะทางไปสู่เมืองพะโคและหงสาวดี ซึ่งจำเป็นต้องไปด้วยอำนาจบังคับของมังทราผู้เป็นเจ้า พี่ขอบอกแจ้งข่าวถึงน้อง ฯ

มี ๒ ฉบับ โคลงในบาทที่ ๑ นี้ไม่เท่ากัน ดังนี้

(๑) ร้อย ๓๙ เขียนขีดไว้ เป็นตรา

(๒) ร้อยซาวบทเขียนขีดไว้ เป็นตรา

หมายเหตุ ในโคลงที่ ๑๙๕ มี โคลง เกินไป ๒ บท ส่วน ๒ ฉบับนั้นก็มีจำนวนโคลงไม่เท่ากัน เข้าใจว่าผู้คัดลอกอาจเพิ่มหรือตัดตอนของเดิม เมื่อเขียนมาถึงโคลงบอกจำนวน ก็นับจำนวนที่ตัวเพิ่มหรือตัด แล้วบอกจำนวนไว้ในโคลงแต่ละฉบับ ฯ

(๑๙๖) ขุนนึ่งชายแก้วแกว่น หันกลับ
ปลดลูกเมียซงซับ ซ่อนไว้
ไถ่คนใหม่ปลอมปรับ ทังลูก เมียเอย
สามสี่ทังน้องได้ ร่วมรู้สัญญา ฯ

แปล ขุนผู้หนึ่งเป็นผู้ชายที่แกล้วกล้าได้แอบหนีกลับ โดยเอาลูกเมียไปซ่อนไว้ ไถ่เอาคนใหม่เข้าปลอมแทนลูกเมียรวมทั้งน้องเป็น ๔ คน ต่างก็ร่วมรู้อาณัติสัญญาแก่กัน ฯ

(๑๙๗) ชายแกล้วสามสี่ห้า ทังเด็ก
ละลูกเมียเชนเช็ก ไป่เปิ้ง
เอาครัวแปลงเป็นเม็ก บิดเบี่ยง บังเอย
ทุมทอดต่างเสียเขริ้ง ลอบลี้ลักคืน ฯ

แปล ชายกล้า ๕ คนรวมทั้งเด็ก ทิ้งลูกเมียไม่เอาตามไปด้วย เอาสิ่งของเป็นเครื่องกำบังกาย แล้วทิ้งของที่แบกหามมานั้นเสีย พากันแอบหนีกลับคืน ฯ

(๑๙๘) รุ่งแล้วเทียวท่องผ้าย ผายผัง
รือรืดเสียงเด็งดัง ดั่งฟ้า
ละลึกต่างตามหลัง หลุหลั่ง ไปเฮย
คลัดคั่งทางซ้อมช้า ที่นั้นนอนวัน ฯ

แปล พอรุ่งสว่างก็เดินตะบึงกันต่อไป เสียงกระพรวนที่ผูกคอสัตว์ต่างดังเหมือนเสียงฟ้าร้อง คนเป็นอันมากต่างก็หลั่งไหลเดินตามไป ทางเดินก็คับแคบ คนจึงแออัดยัดเยียดกันมากทำให้เดินช้า พักนอนกันแถวนั้นวันหน่อย ฯ

(๑๙๙) รุ่งขึ้นดอยวอกน้อย หิวหน
ทั้งวอกหลวงเลยลน เล่าซ้ำ
อิดทางท่องเทียวหน ทุกข์เช่น ครานี
คอไข่ลายแล้งน้ำ หอดแห้งหิวทรวง ฯ

แปล พอรุ่งสว่างก็เดินขึ้น “ดอยวอกน้อย” ด้วยความโหยหิว ทั้งมีลิงตัวโต ๆ หลอกล้อซ้ำอีก เดินทางเหน็ดเหนื่อยลำบากเหลือเกินในครั้งนี้ คอแห้งน้ำลายเป็นผง กระหายหิวแห้งในทรวงอกยิ่ง ฯ

(๒๐๐) พนมในเนื่องขึ้น ขวางราว ด่านนี
ฝูงเทพเทฝ้าขาว ข่าวเอิ้น
หวังอวรอ่อนเสียงสาว สาโรช เรียมเอย
อาราธจุ่งแจ้งเทิ้น เทื่อนี้อัปสร ฯ

แปล ขึ้นภูเขาสูงสกัดขวางป่าไว้ ฝูวเทวดาแหวกเมฆขาวตะโกนบอกข่าว พี่นึกว่าเสียงอันไพเราะของน้องพี่ ขออัญเชิญเทพอัปสรนำข่าวนี้ไปบอกน้องด้วย ฯ

(๒๐๑) ดอยสูงเหมือนลอดพื้น เวไชยา
หอมกลิ่นสาวสุชาดา ดอกฟ้า
ซวะซวาดลวาดลงมา รสซราบ ทรวงเอย
เหมือนกลิ่นรสน้องหม้า พี่คร้ำเถิงอวร ฯ

แปล ขึ้นภูเขาสูงเหมือนลอดได้ปราสาทเวชยันตร์ของพระอินทร์ จนหอมกลิ่นสาวของนางสุชาดาผู้เป็นดอกฟ้า หอมรำเพยมากลิ่นซาบซึ้งถึงหัวใจ เหมือนกลิ่นของน้องทำให้พี่คร่ำครวญถึงน้อง ฯ

(๒๐๒) ลาลงลุรอดแล้ว ตีนตก
สัทท์สำเพียงนานก มีก้อง
ไถนงอกงุมกก กาจาก เจียรเอย
สมสู่กันแล้วร้อง ลูกส้มหวานเสวย ฯ

แปล ลงมาถึงเชิงเขาด้านตะวันตก ได้ยินเสียงนกต่าง ๆ ร้องดังอึงมี่ มีทั้งนกไถน นกงอก นกงุม นกกกและกา บ้างก็บินร่อนจากไป บ้างก็ร่ำร้องแล้วสมสู่กัน บ้างก็กินผลไม้ ฯ

(๒๐๓) ไปนอนสบน้ำแม่ สองแคว
คึดครอบคำรักแด เดือดไหม้
สุดทางที่ผันแผ จงจวบ พระเอย
ชลเนตนองหั้นไห้ แม่รู้เรียมฤๅ ฯ

แปล ไปพักนอนที่ปากน้ำ “สองแคว” พี่คิดถึงความรักที่มีต่อน้อง หัวอกพี่ร้อนเหมือนถูกไฟเผา หมดทางที่จะกลับไปพบน้อง พี่ร้องไห้น้ำตาพี่ไหลอยู่ที่นั้น น้องคงไม่รู้หรอก ฯ

(๒๐๔) รุ่งขึ้นเทียวท่องผ้าย แผวผุด
เถิงแม่คงจวนจุด จิ่มหน้า
หันเรือพ่วงแพดุจ ตกเจต ฉงนเฮย
เม็งม่านยวนเยี้ยวฝ้า ฝ่ายเฝ้าขนเขา ฯ

แปล พอรุ่งเช้าก็เดินทางต่อไป จนบรรถุถึงแม่น้ำสารวินซึ่งขวางอยู่ข้างหน้า เห็นเรือพ่วงแพที่เขาจัดไว้ตกใจน่าประหลาด พม่า มอญ ไทยยวน ไทยใหญ่ เขาเฝ้าขนข้ามไป ฯ

(๒๐๕) เขาแปลงเป็นฟ่อมไม้ มวนมัด
หยดหว่างเรือจิ่มจัด ต่วงติ้ว
ต่างตงคาดเต็งตัด สองฝั่ง ชลเอย
พันผูกผันเกี้ยวกิ้ว เพศเพี้ยงสายคระชิง ฯ

แปล เขาผูกมัดไม้ (ไผ่) ติดกันทำเป็นหุ่น ตรงกลางเป็นเรือผูกหุ่นขนาบสองข้าง ต่างตงทับซ้อนกันมัดแน่นหนา แล้วผูกโยงกับเชือกขึงระหว่างสองฝั่งแม่น้ำ) เชือกนั้นตึงเหมือนเชือกหนังที่นักกายกรรมใช้ไต่ ฯ (กลายเป็นสะพานแขวน ดูบทต่อไป)

(๒๐๖) ขัวแขวนยามย่างย้าย หยุหยะ อยู่แล
เหมือนย่ำปึงนุนะ น่วมน้ำ
สาอวรยอดยิงพระ มาเพื่อน เรียมเอย
ก็เที่ยงเทียวเหล้นซ้ำ ม่วนเหล้นหายเหงา ฯ

แปล สะพานแขวนเวลาเดินแกว่งโยนไปมาเหมือนเหยียบลงบนปึง ( ปึ๋ง คือ กองขยะที่มีหญ้า โคลน และอื่น ๆ รวมกันลอยอยู่ ในสระหรือหนองน้ำ แต่ไม่ไหลไปไหน เป็นที่อาศัยของปลาไหลเป็นต้น) มันอ่อนยวบโคลงไปมา ถ้าน้องมากับพี่คงจะวิ่งเล่นกลับไปกลับมาอย่างสนุกเป็นแน่ ฯ (เข้าใจว่าภรรยาเขาคงอายุไม่มาก)

(๒๐๗) ไปนอนนาโท่งน้อย ปลดปลง
นามชื่อนาทองคง เรียกเรื้อง
นอนคืนใฝ่ฝันหลง คืนครอบ พระเอย
เล็งสี่ทิสทุกเบื้อง เปล่าปิ้งเย็นสงัด ฯ

แปล ไปปลงของพักนอนกันที่ทุ่งนาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีชื่อเรียกกันว่า “นาทอง” กลางคืนพี่นอนฝันกลับมาหาน้อง (ตื่นขึ้น) มองดูทั้งสี่ทิศเงียบสงบวังเวง ฯ

(๒๐๘) ถัดนั้นนอนที่เจ้า คณายก
มาเสวยพิภก ใหม่หม้า
ตูบหลวงราชแปลงปลก ปางป่า วันนัน
ประสูติจอมเจ้าฟ้า ลูกอ้ายองค์กระสัตร ฯ

แปล ต่อจากนั้น ไปพักที่เจ้าคณายก สมัยเมื่อพระองค์มาเสวยราชย์ในตอนแรก รับสั่งให้สร้างพลับพลาใหญ่เป็นที่ประทับในป่า แล้วประสูติพระราชโอรสองค์แรกที่นี่ ฯ

(๒๐๙) รุ่งนี้เทียวห้วยด่ง ดอยคด
ตามร่อมรอยเขาขด ขอบขั้น
เหมือนทางที่วงกฏ พระเวส วันนัน
แคนค่ายพอพ้นหั้น ยอบยั้งเนานอน ฯ

แปล เช้าวันนี้ เดินไปตามเหวโค้งและภูเขาคด เดินไปตามช่องทางที่วนเวียนเป็นชั้น ๆ เหมือนหนทางในเขาวงกฎเมื่อครั้งพระเวสสันดรครั้งนั้น แสนเมื่อเหลือเกิน พอเลยจากที่นั้นก็หยุดพักนอนกัน ฯ

(๒๑๐) รุ่งขึ้นดอยเต่าน้อย เทียวหน
บางพร่องเซรซรน หาบกลิ้ง
อัสสาต่างทังตน พอเพก คืนเฮย
ดอยเผตผีชันชิ้ง เช่นช้อมสุดวิสัย ฯ

แปล พอรุ่งเช้าก็ขึ้นดอยเต่าน้อย บางคนเดินเซจนหาบกลิ้งตก ม้าต่างพร้อมกับของที่บรรทุกแทบหันกลับ ดอยเปรตดอยผีอะไรไม่รู้ ทางขึ้นทั้งชันทั้งแคบเกินวิสัย (เหลือเกิน) ฯ

(๒๑๑) วันนั้นฟ้าร้องร่วน เผลียงเผียะ
ฝนเร่งรำซะเซียะ เล่าแล้
คนเทียวท่าวเปอะเปียะ แดงด่วง ดำเฮย
ครัวแตกแตนแบนแบ้ หลูดหลุ้ยหลดหลัง ฯ

แปล วันนั้นฟ้าร้องคะนองฝนตกห่าใหญ่ กระหน่ำตกลงมาไม่หยุด คนเดินทางหกล้มโคลนเปรอะเปื้อนแดง ๆ ดำ ๆ ด่าง ๆ สิ่งของตกกระจายเรี่ยราด หลุดลงจากหลัง ฯ

(๒๑๒) บางยิงหันไห้ต่าง ตามงัว
บางหาบเด็กตลาครัว ลูกน้อย
บางยิงอ่อนอืดผัว เพราะพรวด ไปเฮย
แสนโสกเป็นข้าข้อย ม่านนี้ถนัดใจ ฯ

บางฉบับบาทที่ ๒ ว่า (บางหาบเด็กกลาครัว ลูกน้อย)

แปล ผู้หญิงบางคนร้องให้ตามวัวต่างไป บางคนหาบลูกคู่กับสิ่งของ บางคนอ่อนเพลียร้องไห้เพราะตามผัวไม่ทัน แสนโศกลำบากใจที่สุด ในการเป็นเชลยพม่าครั้งนี้ ฯ

(๒๑๓) ฝูงคนมวลมากได้ โรคา
ตายไขว่ขวิดทางมา เทิกเท้า
กัมมัฏฐานพี่ภาวนา บุญแบ่ง พระเอย
สุขสำราญร้อยเข้า ถ่อมถ้าถนอมเรียม ฯ

แปล คนป่วยเป็นโรคตายกันมาก นอนตายทับถมกันระเกะระกะตามทางที่เดินมา พี่ต้องภาวนากรรมฐานแบ่งส่วนบุญมาให้น้อง เพื่อให้น้องมีความสุขสำราญอายุยืนถึงร้อยปี รอคอยพี่กลับไปถนอมน้อง ฯ

(๒๑๔) ไปนอนแม่ซรอบแพระ ไพรสงัด อยู่เอย
คันค่ำเสียงเสือสัตว์ สิ่งร้อง
เยียวหลอนออกเกี้ยวกัด ลดลาก เอาชา
เรียมนั่งแฝงเฝ้าน้อง จวบแจ้งจวนตะวัน ฯ

แปล ไปนอนที่ “แม่ซรอบ” เป็นป่าดงที่เงียบสงบ พอค่ำลงได้ยินเสียงเสือและสัตว์อื่น ๆ ร้อง เกรงว่ามันจะออกกอดกัดตวัดชักลากเอาไป พี่นั่งเฝ้า “พระนางเจ้า” ตลอดคืน จนพระอาทิตย์ส่องแสง ฯ

(๒๑๕) รุ่งขึ้นดอยปู่เจ้า หลงเหล็ง
เห็นเขตขงเมืองเม็ง อยู่แล้
สุดคึดที่สมเส็ง ปลงปล่อย ฉันนี
ใครหมี่มากั้งแก้ ขวาดขว้างขวางทรวง

แปล พอรุ่งสว่างแล้ว ก็พากันขึ้นดอยปู่เจ้าหลงเหล็ง มองเห็นบริเวณเมืองมอญ (พม่า) ตั้งอยู่ สุดคิดที่จะปรึกษาให้เขาปล่อย มองดูแล้วไม่มีใครจะช่วยป้องกันแก้ไขความหนักใจให้หมดไปได้ ฯ

(๒๑๖) สองร้อยสิบสามแล้ว เรียมเขียน
เป็นคร่าวคราวทางเจียร รอดหั้น
นพบุรพรากไปเพียร เถิงเขต เม็งเฮย
เป็นสากสีไว้หมั้น ลูกหล้าหลานเหลน ฯ

แปล ๒๑๓ บทโคลงแล้วที่ข้าพเจ้าเขียนมา เป็นบทประพันธ์พรรณนาหนทางที่จากนครเชียงใหม่เพียรพรากไปจนถึงเขตเมืองมอญ (พม่า) เพื่อเป็นหลักฐานไว้มั่นคง แก่ลูกเหลนหลานที่เกิดมาภายหลัง ฯ

โคลงบาทที่ ๑ นี้ มี ๒ ฉบับที่เขียนไว้ ไม่เหมือนกัน ดังนี้

(ก) ร้อย ๕๗ แล้ว เรียมเขียน
(ข) ร้อยสามสิบแปดแล้ว เรียมเขียน

คงจะเป็นเช่นเดียวกับโคลงที่ (๑๙๕) ซึ่งได้หมายเหตุอธิบายไว้แล้ว จึงจะไม่กล่าวซ้ำอีก.

ฉบับ ก.ว่า (๒๑๗)

เมืองทรางลุแล้วเขต หงสา
ปางเมื่อมังทรามา ปราบได้
พระยาเม็งอุ้มกัญญา ถวายราช เราเอย
เป็นค่ามันหมื่นให้ ลูกท้าวพายโค ฯ

ฉบับ ข.ว่า

(๒๑๗) เมืองธรางลุแล้วเขต หงสา
ปางเมื่อมังรายมา ปราบได้
พระยาเม็งอุ้มกัญญา ถวายราช เราแล
เป็นค่านับหมื่นให้ ลูกท้าวพายโค ฯ

ฉบับวัดป่าแพ่ง คณะสังคม ฯ

(๒๑๗) เมืองทรางลุแล้วเขต หงสา
ปลางเมื่อฟ้ามังทรา ผาบได้
เพรียวเม็งอุ้มกัญญา ถวายราช เราแล
เป็นค่ามันหมื่นใต้ ลูกท้าวพายโค ฯ

หมายเหตุ ที่ต้องนำมาลงให้ดูทั้ง ๓ ฉบับ เพราะโคลงบทนี้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ อ้างชื่อกระษัตริย์ ๒ พระองค์ต่างกัน แม้ ๒ ฉบับจะกล่าวว่า “มังทรา” แต่บาทที่ ๓ วรรคที่ ๒ กล่าวว่า “ถวายราช เราแล” คงจะไม่หมายความถึง “มังทรา” เป็นแน่ คงจะเป็นเช่นฉบับ ข. กล่าวไว้ในบาทที่ ๒ ว่า “ปางเมื่อมังรายมา ปราบได้” คงจะหมายถึงพระเจ้ามังรายมากกว่า เพราะในพงศาวดารโยนก ของพระยาประชากิจกรจักร์ กรมศิลปากรอนุญาตให้สำนักพิมพ์แพร่พิทยาพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๑๕ หน้า ๒๖๑ กล่าวว่า

“อธิษฐานฉันนี้แล้ว พระยาเมงรายก็ยกพลโยธาไปเมืองหงสาวดี กองทัพข้ามแม่น้ำคงไปถึงแม่อาสา ขณะนั้นพระยาหงสาวดีตนชื่อว่าสุทธโฉม รู้ข่าวว่าพระยาเมงรายยกมาตั้งทัพในแว่นแคว้นแดนเมืองแห่งตนก็มีความตกใจ จึงแต่งอำมาตย์ผู้ฉลาดเชิญราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการมาถวาย ขอเป็นทางพระราชไมตรี และยอมยกพระราชธิดาผู้ชื่อว่านางปายโค (ในราชาธิราชว่าตละแม่ศรี) ให้แก่พระยาเมงรายมหาราชเจ้า”

พระยาสุทธโฉมในที่นี้คือ เจงพยุเจง เพราะฉะนั้นโคลงที่กล่าวไว้ทั้ง ๓ ฉบับข้างบนนี้ ฉบับ ข. น่าจะถูกกว่า ๒ ฉบับ จึงจะแปลเฉพาะฉบับ ข. ดังต่อไปนี้

แปล บรรลุถึงเมืองธรางอันเป็นเขตแดนแห่งเมืองหงสาวดี นีกถึงสมัยเมื่อพระเจ้ามังรายมาปราบได้เมืองหงสาวดี พระยามอญได้ถวายพระราชธิดาแก่พระราชาของเรา เป็นค่านับพันหมื่นอันเป็นราชธิดาของพระยาพะโค (หรือนางพายโคผู้เป็นราชธิดาของพระองค์)

(๒๑๘) มอตะมะเม็งพ่อค้า ชาวเรือ
มามากมวลหลายเหลือ เทิกเท้า
พริกขิงข่าปลาเกลือ กองก่อ ขายเฮย
แสนสิ่งมีเข้าเหล้า หมากเหมี้ยงสัพพะโภ ฯ

แปล เมืองเมาะตะมะมีพ่อค้ามอญชาวเรือ นำเรือมาค้าขายมากมายเต็มไปหมด มีสินค้าเช่นพริก ขิง ข่า ปลา เกลือขายกันเยอะแยะ มีทุกสิ่งทุกอย่างตลอดถึงอาหารเหล้าหมากเมี่ยงของกินทุกชนิด ฯ

(๒๑๙) นางเมืองผัดแผ่ร้อน โรคา
เพราะพรากพระมาดา โสกเส้า
แสงสูรย์ส่องเวทนา พายเพิก พัดเอย
เคยอยู่หอห้องเจ้า แท่นทุ้มสุขสบาย ฯ

แปล นางพระยาของเราทรงกระวนกระวายด้วยไข้ร้อน เพราะทรงพลัดพรากจากพระมารดาประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งทรงถูกแสงพระอาทิตย์สาดส่องและลมพัดจึงทรงได้รับทุกขเวทนา เพราะแต่ก่อนเคยทรงประทับอยู่แต่ในปราสาท บรรทมบนพระแท่นที่ปิดบังมิดชิด ฯ

(๒๒๐) สามคืนนอนอยู่ยั้ง ยังธราง
อาพาธพอเบาบาง น่อยเนื้อ
ทรงอัสส์อาจตีนตาง เทียวท่อง เดินเอย
พิษสว่างยังรั้งเรื้อ ไป่เสี้ยงสันดาน ฯ

แปล สามคืนนอนพักอยู่ที่เมืองธราง อาการของโรคค่อยทุเลาลงจากพระวรกายไปบ้าง จึงทรงม้าแทนเสด็จโดยพระบาท พิษไข้ยังคงมีอยู่ไม่เหือดหายไปจากพระวรกาย ฯ

(๒๒๑) ไปนอนข้างน้ำแม่ นาวา
เชิญเทพทิพย์ท่านยา แก่น้อง
คันหายจากโรคา ดับคลาด ไปนัน
งัวและควายจักสร้อง ส่งให้ปูชา ฯ

แปล ไปนอนฝั่งแม่น้ำชื่อ “นาวา” พี่ไหว้วอนเทวดาได้โปรดช่วยเยียวยาให้แก่พระนาง หากพระนางทรงหายประชวร จะเอาวัวและควายเป็นเครื่องสังเวยส่งไปถวายบูชา ฯ

(

๒๒๒) ไปนอนวังเผิ้งท่า ชลธา (ขุนทรา, ขุนธา, ก็มี)
เรือม่านเม็งชุมมา มากค้า
สัพพะเครื่องขายยา ปอนปลอด มีเอย
ทุกสิ่งแสนเสื้อผ้า คู่คู้เกสนา ฯ

แปล ไปนอนบ้าน “วังเผิ้ง” ท่าน้ำแม่ธาหรือขุนธา มีเรือพวกพม่าพวกมอญมาชุมนุมค้าขายกันมาก เครื่องสมุนไพรมีเยอะแยะล้วนแต่ของแท้ทั้งสิ้น มีของขายทุกชนิดแม้กระทั่งเสื้อผ้าคู่กับของหอมกฤษณา ฯ

(๒๒๓) จากเจียรวังเผิ้งหมี่ กลายไกล
นอนร่มโพไซร (ซะไร) กิ่งกว้าง
นางเมืองแม่ขระหายใจ ปัดเปื่อน ครานี
จักมิ่งมรม้วยมล้าง ว่องไว้วางเรียม ฯ

แปล ออกจาก “วังเผิ้ง” ไปไม่ไกลเท่าไร ก็หยุดพักนอนใต้ร่มไม้ไทรซึ่งมีกิ่งก้านกว้างขวาง พระนางเจ้าทรงกระสับกระส่ายด้วยประชวรไข้สูง มีพระอาการดังจะเสด็จสวรรคตทิ้งพี่ไปเสียให้ได้ ฯ

(๒๒๔) แปลงปล่องด่วนได้ดั่ง ใจมัก
มุงอ่อนอวรชอนชัก ที่ทุ้ม
พระอวรแม่เดียวดัก ในเน่ง นอนเฮย
เทท่อนผืนผ้าหุ้ม หื้อหั้นหามไป ฯ

ศัพท์

แปลง แปลว่า ทำ

ปล่อง แปลว่า ช่องทะลุ

ใจมัก แปลว่า ใจชอบ

มุง แปลว่า บัง

อ่อนอวร แปลว่า น้องนาง

ชอนชัก แปลว่า ลากไป

ที่ทุ้ม แปลว่า ที่คลุม

หมายเหตุ ข้างบนนี้เป็นศัพท์ของโคลงที่ ๒๒๔ แปลได้ทุกศัพท์ แต่ไม่อาจจะเก็บใจความเรียงเป็นประโยคได้ เข้าใจว่าจะคัดลอกกันมาผิด ต้องรอหาฉบับที่ถูกต้องในโอกาสต่อไป

แปล (เฉพาะบาทที่ ๓ บาทที่ ๔) พระนางเพียงพระองค์เดียวทรงบรรทมนิ่งเงียบอยู่ภายใน คลี่ผ้าห่มคลุมถวายในที่นั้น แล้วช่วยกันหามไป ฯ

หมายเหตุ ดูตามใจความที่แปลบาทที่ ๓ กับบาทที่ ๔ แล้ว เข้าใจว่า “คงจะให้ทำแคร่คานหามมุงบังเรียบร้อย เพื่อให้พระนางประทับอยู่ข้างใน”

(๒๒๕) เถิงดงด่านยั้งเนื่อง แนวนอน
ยังหมี่เสี้ยงสังหร อ่ำเอื้อ
ทังทัพอาชอัสดร ทุกข์เท่า เรียมเอย
คึดยากยินน้อยเนื้อ เนื่องน้องอาธวา ฯ

แปล ไปถึงดงด้าวป่าซึ่งเป็นระยะพัก จึงหยุดพักนอนกัน ความเป็นห่วงสังหรณ์ใจยังไม่หมดไป คนทั้งกองทัพและม้าทุกตัวไม่มีใครทุกข์เท่าพี่ เพราะหนักใจไม่สบายใจในพระอาการกระสับกระส่ายของพระนางนั้น ฯ

(๒๒๖) ไปปลงข้างน้ำแม่ อาสา
สุดส่วนแวววกตา ผ่อผ้าย
คืนนั้นเมฆชลธา หลอนหลั่ง ลงเฮย
นอนร่มโรงช่างร้าย รั่วล้นปิดปอง ฯ

แปล ไปพักนอนข้างแม่น้ำอาสา หันกลับเหลียวมองดูช่างไกลเหลือเกิน คืนนั้นฝนตกนอนพักกันในร่มโรงก็รั่วเหลือเกิน ช่วยกันมุงบังรูรั่ว ฯ

(๒๒๗) คืนนั้นเรืองรุ่งแจ้ง ดาดล
ขึ้นขี่นาวาวน วิ่งหว้าย
สมุทครื่นครางครน พายเพิก มาเฮย
เขรงเขรือกฟองน้ำร้าย สวาดเสี้ยงพุทธคุณ ฯ

แปล คืนนั้นพอรุ่งแจ้งสว่างแล้ว ก็เตรียมตัวเดินทาง ขี่เรือแล่นวนไป เพราะน้ำในแม่น้ำถูกลมเพิกพัดเสียงครวญครางสนั่น พี่กลัวคลื่นลูกโตๆ จึงสวาธิยายพุทธคุณทั้งหมด ฯ

(๒๒๘) วอนนางทิพเทพเจ้า เมกขลา
สมุทใหญ่รังรักษา ฝ่ายเฝ้า
เร่งเอาหน่อโพธิญา ยังโลก นี้เอย
มาช่วยชูน้องเหน้า พี่พ้นปั่นนที ฯ

แปล พี่ไหว้บนบานนางเมขลาผู้มีหน้าที่เผ้ารักษามหาสมุทร จงรีบช่วยนำเอาพระโพธิญาณมาสู่โลกนี้ เพื่อช่วยเหลือ “พระนาง” พ้นจากคลื่นที่ปั่นป่วนในแม่น้ำด้วยเถิด ฯ

(๒๒๙) ลุเถิงหลักหญ้าดั่ง บนบิน
เห็นโท่งถุยลุยบิน ยากไส้
ไม้คาหากเต็มติน ไปสอด แสวงเฮย
ก็หมี่สักน้อยได้ หากผ้ายผึงดาย ฯ

สองฉบับว่า

ลุเถิงเลกหญ้าดั่ง บนบิน

แปล บรรลุถึงทุ่งหญ้าเหมือนดังเหาะมา เห็นทุ่งหญ้าที่จะเดินลุยไป รู้สึกหนักใจ เดินเหยียบย่ำหญ้าคาไป จะมองหาไม้สักต้นหนึ่งก็ไม่มี จึงพากันเดินไปตามทุ่งโล่ง ฯ

(๒๓๐) ปูหนังเต็งต่างขึ้น เหนือเหน็ง อยู่แล
ฝนสมุททะเมืองเม็ง เล่าเลิ้ง
รึมรำอยู่พระเพร็ง เปียะเปียก วันนัน
เอาแผ่นผืนผ้าเกิ้ง คลี่กั้งกางนอน ฯ

แปล เอาผืนหนังคลุมสิ่งของบนหลังม้าต่างไว้ ฝนใกล้สมุทรในเมืองพม่านี้ตกอยู่ไม่ขาดเป็นห่าใหญ่พวกเรากรำฝนเบียกปอนกันหมดในวันนั้น ต้องเอาผ้าคลี่กันมุงไว้เมื่อพักนอน

(๒๓๑) รุ่งมาแล้วผ้ายจวบ จวนชล
ขัวใหม่แปลงรับพล เพื่อนเฝ้า
หมี่เห็นท่องเทียวหน สักชูบ ชุมเอย
เรือบ่สักเหล้มเต้า คลั่งแคล้นคาทรวง ฯ

แปล พอรุ่งขึ้น ก็เดินทางต่อไปพบแม่น้ำ เขาทำสะพานใหม่เพื่อรับพวกพล มีคนเฝ้ารักษาไม่เห็นใครเดินข้ามไปแม้แต่หมู่เดียว เรือแม้แต่ลำหนึ่งก็หาไม่ได้ ยุ่งยากหัวใจแท้ ๆ

ฉบับหนึ่งว่า

(๒๓๑) รุ่งมาแล้วผ้ายจวบ จวนชล
ขัวหมี่แปลงรับพล เพื่อเต้า
หมี่เห็นท่องเทียวหน สักชูบ ชุมเอย
เรือบ่สักเหล้มเล้า คั่งแค้นคาทรวง ฯ

แปล พอสว่างขึ้นมาก็เดินทางต่อไปพบแม่น้ำ เขาไม่ทำสะพานไว้ให้พวกเราเดินข้าม จึงไม่เห็นใครข้ามไปแม้แต่หมู่เดียว เรือก็ไม่มีสักลำ ยุ่งยากหัวใจแท้ ๆ

หมายเหตุ เข้าใจว่าโคลงหลังนี้จะถูกกว่า เพราะรับกับใจความในโคลงต่อไปดังนี้ -

(๒๓๒) พร่องจูงจับจ่องม้า ทังงัว
หาบต่างทูนเหนือหัว เดี่ยวหว้าย
ทนทุกข์ยากขนครัว รือรืด วันนัน
สมุทแง่ฟองน้ำร้าย ฟาดฟุ้งทะเลฟอง ฯ

แปล บางคนจูงวัวต่าง บางคนจูงม้าต่าง บางคนเอาสิ่งของทูนเหนือศีรษะ บางคนตีกรรเชียง บางคนก็ว่าย เสียงเอะอะเกรียวกราวเพราะความลำบากในการเอาสิ่งของข้ามน้ำ อนึ่งนั้นเล่า ทุกแง่มุมของแม่น้ำเต็มไปด้วยคลื่นลมอย่างร้ายแรง ฯ

(๒๓๓) ตนเรียมสวมแบกน้อง ฟูมฟอง
ลอยเดี่ยวผัดผยอง วิ่งหว้าย
บางที่ที่ยังถอง ยวายหยั่ง ไปเฮย
บางที่เลิ้กนักผ้าย ส่งเสี้ยงสุดมือ ฯ

แปล ส่วนตัวของพี่อุ้มแบกเอา “พระนาง” ลงโต้คลื่น ค่อยประคองตัวตีกรรเชียงหมุนปะทะคลื่น หลุดแล้วก็ว่ายไปโดยเร็ว บางแห่งไม่ค่อยลึกเท้าหยั่งถึงพื้น ก็ค่อยเดินประคองไป บางแห่งลึกจนสุดปลายแขนเดินไปไม่ได้ ฯ

(๒๓๔) ไปนอนป่องหลังที่ ทางดล
เสียอัสสมงคล ใส่น้อง
บาปกัมม์ก่อนจวนจน จับจาก ไปเอย
สมใส่ยาป้านป้อง หากเสี้ยงสุดคระนิง ฯ

แปล ไปนอนบริเวณที่โล่งแห่งหนึ่งใกล้ทางเดิน ม้ามงคลที่พระนางเคยทรงก็ตายไป บาปกรรมแต่ปางก่อนมาทันจึงจับเอามันไปเสียเช่นนั้น พี่ผสมยารักษาป้องกันมันเต็มที่ แต่ก็หมดหวัง ฯ

(๒๓๕) รุ่งนี้พอพี่ได้ ท่วนเทียว
อัสส์เท่ายังตัวเดียว ใส่น้อง
หนทางเปิกเปอะเหนียว เพพลาด พลัดเอย
แสนโสกรมร้อนต้อง แม่รู้เรียมฤๅ ฯ

แปล รุ่งขึ้น พอพี่จะเดินทางต่อไป ม้าเหลือเพียงตัวเดียวจึงถวายให้พระนางประทับขี่ ทางเดินเป็นโคลมตมเหนียวเหนอะหนะและลื่นทำให้คนเดินลื่นไถลไปมา แสนโศกเร่าร้อนเกิดกับพี่ น้องคงไม่รู้หรอก ฯ

(๒๓๒) ไปเถิงนามนึ่งนั้น สักกะหมะ
อวรเล่าหลอนแผรผระ เขรือกไข้
รอยฝนรั่วรำซะ ช้าชุ่ม คืนนี
เย็นนอกในหมุ้นไหม้ ร่านร้อนกระหายใจ ฯ

แปล ไปถึงที่แห่งหนึ่งมีชื่อว่า “สักกะหมะ” เกรงว่าอาการประชวรของพระนางจะแปรเปลี่ยนฟื้นคืนอีก เพราะฝนตกที่พักหลังคารั่ว มันตกอยู่ตลอดคืน ข้างนอกกายของพี่เย็น แต่ภายในใจเร่าร้อนกระวนกระวาย ฯ

(๒๓๗) รุ่งนี้ยกหมู่มาก มาปลง
ทัดที่ตีนดอยหงส์ ฝ่ายใต้
ฝนหลวงหล่อรำลง ลมเล่า คืนนัน
นุชนาฏนงน้องไข้ เขรือกร้อนถนัดใจ ฯ

แปล รุ่งขึ้น พาคนจำนวนมากมาหยุดพักที่เชิงเขาชื่อ “ดอยหงส์” ด้านใต้ ฝนห่าใหญ่ตกลงมาลมก็พัดแรงในคืนนั้น พระนางก็ประชวรไข้อีก ทำให้เร่าร้อนใจพี่เหลือเกิน ฯ

(๒๓๘) บ่นานยกหมู่เข้า เวียงวัง
ฝูงสัตว์สิงห์เสือยัง ฝ่ายเฝ้า
กลางคืนเล่าเลียบผัง ผกผ่า เอาเอย
จุรุ่งเราหนึ้งเข้า ออกแสวัวเอาไป ฯ

แปล ต่อจากนั้นไม่นาน เราก็ยกกันเข้าไปสู่ในเวียง เหลือแค่ฝูงสัตว์เช่นเสือสิงห์อยู่เฝ้ารักษา ตกกลางคืนมันออกมาล่าเหยื่อ เดินเลียบที่พัก คอยแอบซ่อนเพื่อจับเอาคนไป ใกล้รุ่งคนลุกขึ้นมานึ่งข้าวมันก็กระโดดคาบตวัดเอาไป ฯ

ฉบับหนึ่งในบาทสุดท้ายของวรรคที่ ๔ ว่า “ออกเสว้าสวดเอา ฯ”

(๒๓๙) สามเดือนเต็มเต้งรอด หงสา
ก็หมี่หันทำนา ฝ่ายเฝ้า
ไทยนครหมู่ชุมมา เถิงก่อน เรานัน
ตายไขว่ขวิดกั้นเข้า มากม้วยมรณา ฯ

แปล สามเดือนเต็มบริบูรณ์จึงไปถึงเมืองหงสาวดี ไม่เห็นเขาทำนากันเลย คนไทยเมืองลำปางเป็นพวกที่มาถึงก่อนเรา ตายอดข้าวกันเป็นจำนวนมาก ฯ

(๒๔๐) เข้าสามสลุงบาทเฟื้อง เงินปอน
คนเติกตายปานขอน ไขว่ขว้าง
เงินคำมากมาหลอน บกบ่า บางเฮย
เขรงเขรือกชีพิตมล้าง จากเจ้าสุดสีเนห์ ฯ

แปล ข้าว ๓ ขันต่อราคาบาทเฟื้องเงินบริสุทธิ์ คนนอนตายกองกันระเกะระกะเหมือนขอนไม้ เงินทองที่นำติดตัวมาก็ร่อยหรอลงไป เกรงว่าชีวิตพี่จะแตกดับตายจากน้องสุดที่รักเสียเป็นแน่ ฯ

(๒๔๑) ธรอยธรอยเมิกมากได้ ทำนา
ยุท่างกินสัพพทา ถูกถ้วน
สังหรราชวางมา เชียงใหม่ ครานัน
เราเที่ยงจักมุดม้วน อยู่หั้นหงสา ฯ

แปล แต่ก่อนมาเคยทำนากันมาก สะดวกสบายทุกอย่างในการอยู่การกิน เข้าของก็ถูก นึกสังหรณ์ไจแต่เมื่อพระราชาสั่งให้มาจากเชียงใหม่แล้วว่า เราจะต้องมาจมอยู่ที่เมืองพม่าแน่นอน ฯ

(๒๔๒) มาตกเมืองม่านเพร้ สิบหาย
เยียะยากกินแพงวาย วอดวี้
บางคนช่างขงขวาย เขียวสู่ เรือนเฮย
หมดใหม่ปานเป็นหนี้ ถูกถ้านเถิงตน ฯ

แปล มาตกอยู่ในเมืองพม่าที่นี้มีแต่ความฉิบหาย หางานทำยากค่าครองชีพสูง มีแต่ทางจะล่มจมอย่างเดียว มีบางคนที่ฉลาดในการแสวงหา เมื่อได้สิ่งของเงินทองมาก็รีบกลับบ้าน เมื่อกินหมดแล้วก็ออกไปหาใหม่ เหมือนหาเงินมาใช้หนี้ (หรือเหมือนเป็นหนี้เขา)

(๒๔๓) ผู้ยิงไร้ร้ายลวด บ่หนา
แสวงสอดเซาะคะชา ชู่มื้อ
คันลุลาภเอามา หัวเหิด กินเฮย
บางคาบชายหมี่หื้อ ลวดลว้ามเพิงอาย ฯ

แปล ผู้หญิงเลวๆ บางคน เพราะความขัดสนบังคับ จึงไม่สนใจต่ออะไรทั้งสิ้น ทุกวันออกไปหาเงิน พอได้เงินก็เอามาจ่ายซื้อกินกันอย่างสนุกสนาน บางครั้งผู้ชายไม่ให้เงินทำกล้อมแกล้มน่าอับอาย ฯ

(๒๔๔) หวังหวนหื้อย่ำ เครือผัก
ชวามถูกถงเงินหนัก ลอบลี้
วันบุญช่วยชูชัก ลุลาภ เลิงเอย
กินพร่องพอใช้หนี้ เก่ากล้ำหลังหลาย ฯ

แปล นึกว่าจะไม่ให้เหยียบถูกเครือผัก (ไม่ให้ลูกเมียเขาทราบ) เมื่อคลำพบถุงเงินหนักก็แอบไปพบกัน บางวันบุญช่วยก็ได้เงินทองมาบ้าน ใช้จ่ายซื้อกินบ้าง ใช้หนี้เก่าที่เคยกู้เขามาแต่ก่อนจำนวนมากบ้าง ฯ

(๒๔๕) ชายชนลุมลว้ามอยู่ กับการ
กู้ก่อนกินลุนนาน ดอกขึ้น
เมินนานลูกเมียผาน ผิดด่า ทอเอย
เทครอบครัวปลดพื้น เท่าฉ้อกับเก ฯ

แปล พวกผู้ชายก็มัวเมากับการกู้เงินเขามาจ่ายซื้อกิน ตอนหลังนานเข้าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น นานเข้าลูกเมียลำบากยากจน ก็ทะเลาะวิวาทด่าทอซึ่งกัน ถึงกับรื้อสิ่งของบ้านช่องหนีไป เป็นการฉ้อโกงเขาอย่างหนึ่ง ฯ

(๒๔๖) สองร้อยสี่สิบสาม เป็นตรา
บักบอกตราวมัคคา ไต่เต้า
เมืองเม็งม่านหงสา จุจอด เถิงเอย
เป็นเขตขงเมืองเจ้า ชื่อชั้นมังทรา ฯ

แปล ๒๔๓ บทเป็นกำหนด ที่แต่งบอกระยะทางที่เดินไปจนถึงเมืองพม่า อันเป็นเขตแคว้นของพระเจ้าแผ่นดินชื่อมังทรา ฯ

(๒๔๗) เท่านี้เป็นแว่นไว้ ยลแยง
เชียงใหม่นิทานแพง ค่าช้าง
ร่ำทุกข์จิ่งจักแปลง ยำย่อย นักเฮย
ควรแทกเทียมเจ้าอ้าง แต่งป้องปองเมือง ฯ

แปล เท่านี้เป็นกระจกสำหรับไว้ส่องดู เรื่องเมืองเชียงใหม่ซึ่งมีค่าแพงมาก เพราะว่าเป็นการบรรยายเรื่องทุกข์จึงแต่งโดยละเอียดยิ่ง ควรแก่การที่เจ้านายเอาไว้เปรียบเทียบเพื่อคิดป้องกันบ้านเมืองต่อไป ฯ

(๒๔๘) ขดคำแสวงสอดซื้อ ทุกทิส
ลอนว่าจักสัมริทธิ์ ยากไส้
นับไปเปล่าตายอิด อกแตก ตายเอย
ก็หมี่ลอนจักได้ ดั่งนี้เสมอเหมือน ฯ

ฉบับวัดป่าแพ่งบาทที่ ๑ ของโคลงนี้ว่า

๐ จักดาแสวงสอดซื้อ ทุกทิส

อีกฉบับหนึ่งว่า

๐ ขัดคำจักคล่าสอดซื้อ ทุกทิส

แปล ถ้อยคำที่สัมผัสพันกันเช่นนี้ หากจะไปเที่ยวเสาะซื้อทุกทิศ ยากนักที่จะสัมฤทธิผล เสียเวลาไปหาเปล่า ๆ อาจจะเหนื่อยอ่อนจนอกแตกตายก็ได้ ไม่อาจจะหาที่ไหนมาเทียบเทียมเสมอเหมือนเรื่องนี้ได้เลย ฯ

(๒๔๙) มังทราปลงปลูกหื้อ กินเถิน
เป็นพระยาเดียวเดิน ด่านเฝ้า
หมี่ยินสว่างสวะเสิน สักสิ่ง สังแล
บิดเบี่ยงเรียมร้างเจ้า แม่ไว้วางหลัง ฯ

แปล (ต่อมา) พระเจ้าแผ่นดินพม่าแต่งตั้งให้ไปเป็นเจ้าเมืองเถิน เป็นพระยาแต่เพียงองค์เดียวเท่านั้นไปเฝ้ารักษาเมืองหน้าด่าน ไม่รู้สึกสบายใจหรือน่าสรรเสริญอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะเท่ากับว่าแยกพี่ให้ห่างจากน้อง ทิ้งน้องไว้ข้างหลัง ฯ

(๒๕๐) รอยราทำบาปกลั้ว แกมบุญ ชะแล
สองจากเจ็บทารุณ อยู่ร้าง
คัดอกเอ่าอาดุร มีไน่ ในเอย
ปานดั่งคาแคนข้าง ไค่ค้ำคุงทรวง ฯ

แปล ชรอยพี่ได้ทำบาประคนกับการทำบุญหรืออย่างไร จึงทำให้เราทั้งสองได้รับความเจ็บปวดเพราะอยู่ห่างกัน ต้องทนทุกข์เร่าร้อนอัดแน่นอยู่ในอกเหมือนจะละลายอยู่ภายใน มันคาเสียดยอกอยู่ที่สีข้างบวมพองขึ้นมาค้ำยันในทรวงอก ฯ

(๒๕๑) พี่คือไม้ใกล้ฝั่ง แฝงชล
หวนเทิกตกตายตน แนบน้อง
บ่ขรุ่งคระนิงหน เรียมร่ำ - นึกนี
ปานปล่อนปืนพิษต้อง ถูกถิ้มหทยํ ฯ

แปล พี่เปรียบเหมือนไม้ที่อยู่ใกล้ฝั่งริมแม่น้ำ นึกไปก็กีดขวางด้วยความตายจะมาถึงตัวเสียก่อนที่จะได้แนบน้อง น้องคงไม่คิดคำนึงถึงพี่ พี่นึกเช่นนี้เหมือนถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษปักคาอยู่ที่หัวใจ ฯ

(๒๕๒) เจ็บปานปืนนายต้อง ตำพักตร์
โลกเล่าลือเจ็บนัก ว่าอั้น
หมอเถิงช่างพิทักษ์ หายห่อม ไปเฮย
ราจากเจ็บนี้ดั้น หมี่รู้หนหาย ฯ

แปล เจ็บเหมือนถูกลูกศรยิงถูกใบหน้า ชาวโลกเขาเล่าลือกันว่าเจ็บปวดอย่างยิ่ง แต่ถ้าหมอมาทันเข้าใจรักษาก็หายไปได้ แต่ความเจ็บที่พี่จากน้องครั้งนี้ มันเจ็บลึกด้นดั้นอยู่ในอก ไม่มีวันจะหายไปได้ ฯ

(๒๕๓) อันเจ็บทนามตอกเค้า ซาวเล็บ
ก็ไป่ปานปุนเจ็บ จากเจ้า
แม่นงูตอดเต็มเจ็บ อมสวาด หายเฮย
เจ็บจากเรียมร้างเถ้า ถ่านี้แวนเจ็บ ฯ

แปล อันว่าความเจ็บเพราะถูกหนามตอกโคนเล็บทั้งยี่สิบเล็บ ยังไม่เจ็บเท่าพี่จากน้อง ถูกงูฉกแม้นจะเจ็บปวด โอมสวาธิ์มนตร์เป่าก็หายไป แต่เจ็บเพราะพี่จากน้องยามแก่ครั้งนี้ เจ็บยิ่งกว่ามาก ฯ

(๒๕๔) หมี่ยินได้พร้อมท่าน เทวทัต
สังฆเภทอันถนัด นึ่งน้า
ฤๅเรียมราชขระจัด เจียรจาก พระนี
ยินยากจักเห็นหน้า แม่ซ้ำสองที ฯ

แปล พี่ไม่รู้สึกว่าได้ร่วมกับท่านเทวทัตกระทำสังฆเภท ซึ่งเป็นบาปหนักข้อหนึ่งหรือจึงทำให้พี่กับน้องพลัดพรากจากกัน รู้สึกว่าเป็นการยากที่พี่จะได้พบน้องอีกเป็นครั้งที่สอง ฯ

(๒๕๕) นายนาซัตแอกไม้ ตกสมุท
หัวเต่าหายใจผุด ออกน้ำ
หลอนแม่นมาจวนฉุด พาแอก ไปนัน
จักจวบนุชน้องซ้ำ เพศอั้นอุปมา ฯ

แปล น้องทิ้งแอกลงในน้ำมหาสมุทร เต่าตัวหนึ่งโผล่หัวออกจากน้ำมาเพื่อหายใจ แม้นว่าหัวเต่านั้นมาคล้องเอาแอกแล้วฉุดพาไปเมื่อใด พี่จะได้พบน้องอีก ก็อุปมาเช่นนั้น ฯ

(๒๕๖) ดั่งสาเรียมรู้สาสตร์ เถิงถอง
จักเลื่อทรวงเป็นสอง เสี่ยงได้
ยังยุท่างปุนปอง บายแบ่ง พระเอย
เฟื้องนิ่งเรียมจักไว้ ใฝ่ฝั่นแฝงอวร ฯ

แปล หากพี่เรียนรู้ศิลปศาสตร์จนทะลุจบถึงที่สุด พี่จะเลื่อยทรวงอกออกเป็นสองซีกให้ได้ จะสะดวกในการที่จะแบ่งให้น้อง จะทิ้งซีกหนึ่งไว้อยู่เฝ้าถนอมน้อง ฯ

ฉบับวัดป่าแพ่ง คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปริวรรตออกมาว่า ดังนี้

สาดังเรียมรู้สาตรได้ เถิงถอง
จักเลื่อยทรวงเป็นสอง เสี่ยงไว้
เฟื่องนึ่งยังปุนปอง บายแบ่ง พระนั่น
เฟื่องนึ่งเรียมจักไว้ ถ่อมถ้าถนอมอวร (๒๕๔)
(๒๕๗) ขันธะทังห้าไป่ เป็นทราย
จักปั่นปองครุยคราย แผ่นผ้าย
หมี่ละแม่เดียวดาย เปลี่ยนเปลี่ยว ทรวงเอย
อันว่าบุญนี้ส้าย หากรู้มีมา ฯ

แปล หากเบญจขันธ์ไม่แตกทำลายไป (ทราย อ่านว่า ทะราย เท่ากับ ทลาย ของภาคกลาง) พี่จะพยายามค่อยๆ เดินทางกลับมา ไม่ทิ้งน้องไว้ให้อยู่คนเดียวเปลี่ยวเปล่าในทรวง อันว่าบุญนี้ ถ้ามันจะให้ผลแล้ว มันย่อมเป็นไปเอง ฯ

(๒๕๘) พี่ไปผับแผ่นผ้าย เมืองมวล
ยังครอบคืนสมสงวน อิ่งอ้อย
ครานี้แผกผิดผวน กาลเก่า เราเอย
หลอนเท่ามาจมจ้อย อยู่คร้างครานทรวง ฯ

แปล พี่เคยไปทั่วบ้านทั่วเมือง ยังกลับคืนมาร่วมสุขกับน้อง แต่ครั้งนี้ผิดแปลกไปไม่เหมือนครั้งก่อน เพราะว่าจากมาจมหายค้างอยู่ที่นี้อย่างลำบากใจ ฯ

(๒๕๙) บ่คืนบ่ครอบน้อง คันตาย
ตาหมี่หลับเพราะนาย เนตแล้
คึดอวรอ่อนนงสาย ใจพี่ แพงเอย
เป็นแม่นหมั้นหมายแท้ ยากแล้วเยียวยิน

แปล ถ้าพี่ไม่ได้กลับคืนไปพบน้อง ถึงเวลาตายพี่คงตาไม่หลับ เพราะต้องคิดถึงน้องสุดสายใจที่รักอย่างแน่นอน เป็นการยากมากที่น้องจะรู้สึก ฯ

(๒๖๐) พลัดพรายหายห่างนั้น ธัมมดา
บ่จิ่งจักมีมา เมื่อนี้
สงสารโสกเวทนา ริร่ำ ใดนัน
พระย่อมเทียมชักชี้ ถี่ถ้วนเทสนา ฯ

แปล การพลัดพรากจากกันนั้นเป็นเรื่องธรรมดา มิใช่ว่าจะพึ่งมีแต่ครั้งนี้ ในโลกนี้ความโศกเศร้าเวทนาและความพิรี้พิไรใดๆ พระพุทธเจ้าย่อมทรงนำมาเปรียบเทียบแสดงโดยละเอียดแล้ว ฯ

(๒๖๑) รำเพิงพิจแท้ท่าน พังทลาย
สาดั่งราเดียวดาย ดั่งอั้น
กินยาเติกตนตาย ดีกว่า เป็นเอย
เต็มอยู่สุขร้อยชั้น หมี่ล้วนลุคระนิง ฯ

แปล รำพึงพิจารณาโดยแท้แล้วท่านทั้งหลาย หากว่าเราอยู่คนเดียวเปลี่ยวเปล่าเช่นนั้น กินยาตายเสียยังดีกว่ามีชีวิตอยู่ ถึงว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขสักร้อยเท่า ความรักของเราก็ไม่สำเร็จเช่นที่คิดไว้ ฯ

(๒๖๒) ท่านพรองขึ้นฟ้าชู่ ยิงชาย
เรียมปั่นปองผันผาย แว่เว้น
ปรารถนาใคร่สิบหาย วายวอด ไปนัน
ยังไป่สัมริทธิ์เร้น อยู่หนี้หนักทรวง ฯ

แปล คนทั้งหลายไม่ว่าผู้ชายผู้หญิงทุกคน ต่างก็มุ่งหวังขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่สำหรับพี่พยายามจะหลีกเว้น ปรารถนาแต่ใคร่ฉิบหายวายวอดไปเสียเลย แต่ยังไม่สำเร็จ แอบมีชีวิตอยู่ที่นี้มีแต่ความหนักใจ ฯ

(๒๖๓) ค่ายแคนเกิดเกิดแล้ว ตายตาย
รอมเรี่ยวสังขยาหมาย หมี่แพ้
ทนทุกข์วอดวำวาย ชลเนตร นองเอย
สาดั่งต่วงไว้แท้ ยิ่งน้ำในสมุท ฯ

แปล เบื่อหน่ายเหลือเกินกับการเกิดๆ ตายๆ ไปรวมกันอยู่ในป่าช้า จนไม่อาจจะนับไหวได้ทนทุกข์ ได้สูญเสีย ได้ตายจากกัน น้ำตาที่ร้องไห้นั้น หากว่ารองเก็บไว้ได้จริงๆ ก็มากกว่าน้ำในมหาสมุทร ฯ

(๒๖๔) สงสารนี้น้องอย่า ประไสร
นามรูปเรามีไหน หนั่งอั้น
สัพพะมากมวลไภย ทุกข์โทษ เทิงเอย
เร็วรีบฟูมฟั้น ถี่ถ้วนกัมมัฏฐาน ฯ

แปล โลกนี้น้องอย่าสนใจมันเลย นามรูปมันมีที่ไหนตามที่เราเข้าใจเช่นนั้น มีแต่ภัยและทุกข์โทษต่างๆ มาถูกต้อง เร็ว ๆ รีบเอาใจใส่ปฏิบัติกรรมฐานให้บริบูรณ์เถิด ฯ

(๒๖๕) ภาวนาสีลเสพแท้ ทังนาย
เร็วรีบกุสลผาย เผื่อถ้า
บ่นานเล่าจักตาย นุมเน่า ไปเอย
ปองปล่อยดินและฟ้า บาปเบื้องหนอบาย ฯ

แปล รักษาศีลภาวนาจริงๆ เสวนากับพระ รีบเร่งทำบุญกุศลเพื่อผลบุญอันกว้างขวางจักรออยู่เบื้องหน้า ไม่นานหรอกเราก็จักตายร่างกายจะเปื่อยเน่าไป พยายามวางปล่อยเมืองมนุษย์ ชั้นฟ้าและอบายบาปทั้งหลายเสีย (คือมุ่งเอาพระนิพพาน)

(๒๖๖) เถ้าแล้วมีมากน้อย ทำทาน
ลดแลกเอานิพพาน อย่าไว้
สมบัติย่อมสาธารณ์ ในโลก นี้เฮย
ตายหมี่ไปด้วยได้ หมูนี้นับสัง ฯ

แปล เฒ่าแก่แล้วมีสมบัติมากน้อยเท่าใดก็ควรทำบุญทำทาน สละเพื่อแลกเอาพระนิพพานอย่าตระหนี่ไว้ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเป็นของสาธารณ์ในโลกนี้ ตายไปแล้วไม่อาจจะนำติดตัวไปได้ ของเหล่านี้จะยึดถือมันทำไม ฯ

(๒๖๗) อันตายด้วยได้เท้า ปารมี
ควรพ่ำเพ็งนิรันตี เที่ยงแท้
หอมหยับหากจักดี โดยดั่ง คระนิงเฮย
เป็นดั่งเงานั้นแล้ แผ่นผ้ายตามตน ฯ

แปล ของที่จะติดตามเราเมื่อตายไป มีแต่บุญบารมีเท่านั้น ควรบำเพ็ญเป็นประจำเสมอโดยแท้ สะสมไว้ย่อมเป็นผลดีตามที่คิด เหมือนเงาติตตามร่างกายเมื่อเราเดินไปนั่นแหละ ฯ

(๒๖๘) วิญญูปองปล่อยพ้น กาโย
เป็นพหุทุกโข ถี่ถ้วน
ภาวนาเน่งพุทโธ เพียรพ่ำ เพ็งเทอ
เถิงอรหัตต์แล้วล้วน ลวดเข้าเนรพาน ฯ

แปล วิญญูชนย่อมพยายามปลงเพื่อให้หลุดพ้นจากสังขารร่างกาย เพราะมันเป็นที่รวมความทุกข์ทั้งหลายทุกชนิด พยายามบำเพ็ญเพียรภาวนาในพุทธคุณ เพื่อให้ใจเกิดสมาธิ เมื่อถึงอรหัตผลแล้วย่อมเข้าสู่พระนิพพาน ฯ

(๒๖๙) เท่ายังเราค้างอยู่ มือมาร
เป็นหลักตอสงสาร โสกไหม้
สารวมร่วมสันดาน โดยพี่ มานัน
จักสั่งสอนน้องไว้ ถี่ถ้วนภาวนา ฯ

แปล เท่าแต่ว่าเรายังเหลืออยู่ในมือมาร เป็นหลักเป็นตอในสังสารโลก ให้ความเศร้าโศกเผาไหม้อยู่ หากน้องร่วมกายมากับพี่ พี่จะสั่งสอนน้องให้รู้เรื่องการภาวนาโดยละเอียด ฯ

(๒๗๐) เมืองเถินมีที่หั้น คูหา
จักบวชตนภาวนา ลอบลี้
ดงรีร่มรุกขา ชลเชี่ยว งามเฮย
คึดถี่เถิงพระพรี้ เล่าซ้ำเซาคระนิง ฯ

แปล เมืองเถินนั้นมีถ้ำอยู่ พี่จะแอบเอาตัวไปบวชอยู่ในถ้ำนั้น ที่นั้นเป็นป่าดงร่มรื่นมีน้ำไหลเชี่ยวใสสะอาด แต่พี่คิดถึงน้องทางนี้อยู่ไม่ขาด จึงหยุดความคิดที่จะบวชไว้เสีย ฯ

(๒๗๑) ง่อมงันแคนค่ายเฝ้า เมืองเถิน
สุดคึดที่ทางเมิน รอดน้อง
เจ็บใจพี่เดียวเดิน จมจว่าม ครานี
เต็มร่ำไรฟุมฟ้อง หมี่ได้ใดมา ฯ

แปล เบื่อและเหงาที่อยู่เฝ้าเมืองเถิน สุดที่จะคิดเพราะหนทางยาวกว่าจะไปถึงน้อง เจ็บใจครั้งนี้พี่มาคนเดียว เลยจมติดอยู่ในเมืองเถิน ถึงแม้พี่จะร้องให้ฟูมฟายสักปานใดก็ไม่ได้อะไรมา ฯ

(๒๗๒) ตักกสิลสังบ่ลุได้ ดลเดิน
จักขี่ยนต์หงส์เหิน เดี่ยวดั้น
เมื่อเอาแม่มาเถิน เรียงร่วม รสเอย
คือดั่งสรีวิไชยอั้น ลุน้องสมสงวน ฯ

แปล ทำไมพี่ถึงไม่ได้เดินทางไปเมืองตักกสิลา (ถ้าได้ไปเรียนวิชามา) จะสร้างหงส์ยนตร์เหาะดั้นเมฆไปรับเอาน้องมาเมื่อเถิน เพื่อมานอนเรียงร่วมรสด้วยกันเหมือนเจ้าศรีวิชัยเช่นนั้น ซึ่งขี่หงส์ยนตร์ไปถึงเมียรัก ฯ

(๒๗๓) กอนกั่นโลงแปลงเจตหื้อ หายเหงา
ดับเดือดทุกข์ทางเรา คริ่นคร้อ
ร่ำรักแม่มาเมา มัวโสก ครานี
บักบอกเมืองเสี้ยงฉ้อ ถี่ถ้วนเถิงอวร ฯ

แปล แต่งกลอนโคลงเพื่อให้ใจหายเหงา และเพื่อดับความทุกข์ร้อนที่เกิดกับตัวเราโดยเฉพาะได้พรรณนาความรักถึงน้อง เพราะมัวเมาด้วยความเศร้าโศกในครั้งนี้ ได้กำหนดบอกชื่อเมืองจนหมดสิ้น ส่งมาถึงน้อง ฯ

(๒๗๔) จักแปลงเลิ้กแลบล้วน คัมภีรา
ก็ช่างสัพพทา เจตแจ้ง
สามานย์หมู่หนักหนา หมี่ถ่อง ถองเฮย
อันบ่ำมิตเราแสร้ง ใส่เสี้ยงเสียทืน ฯ
เสียบำมิตเราแสร้งสร้าง ใส่เสี้ยงเสียทืน ฯ

แปล จะให้เราแต่งคัมภีรภาพลึกซึ้งอย่างใด ก็แต่งได้ทุกชนิดตามใจมุ่งหมาย แต่คนธรรมดาสามัญปัญญาน้อย จะไม่เข้าใจโดยละเอียด ทำให้เรื่องราวหรือโคลงที่เราแต่งทั้งหมดขาดทุนคือเสียเวลาเปล่า ๆ ฯ

หมายเหตุ คำว่า “บ่ำมิต” ในบาทที่ ๔ ของโคลงนี้ ทั้ง ๓ ฉบับเขียนสะกดไม่เหมือนกัน ฉบับวัดป่าแพ่ง ที่คณะสังคมศาสตร์นำมาปริวรรต เขียนไว้ว่า

เสียบำมิตเราแสร้งสร้าง ใส่เสี้ยงเสียทืน ฯ

อีกฉบับหนึ่งว่า

เสียป่ำมีดเราแสร้ง ใส่เสี้ยงเสียทืน ฯ

เข้าใจว่าคนที่คัดจากต้นฉบับเก่าสืบต่อมา ก็คงจะไม่เข้าใจความหมาย เลยเขียนสะกดตามความเข้าใจตน และเป็นความจริงที่เราไม่อาจหาคำแปลคำนี้ได้ เพียงแต่สันนิษฐานเอาว่า “เป็นเรื่องราว หรือ โคลงที่แต่ง” เพราะใจความ ๓ บาทต้นส่อไปในทางนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ไม่ทราบว่าคำๆ นี้เป็นภาษาอะไรแน่ ในที่นี้ข้าพเจ้าจะยังไม่สันนิษฐานว่าเป็นคำกร่อนกลางตามแบบภาษาลานนาไทย เช่นคำว่า “เบิกบายรวายศี” เป็น “บายศรี” จะทิ้งไว้เพื่อค้นคว้าให้แน่นอนก่อน จึงจะลงมติว่า เป็นภาษาอะไรและแปลว่าอย่างไรแน่ ฯ

(๒๗๕) สงสารนี้น้อหมี่ ปุนหุม
ชรารีบเร็วรุม รูปมล้าง
ยามเราจิ่งจีจุม ยิงใฝ่ วันนัน
ก็ย่อมสาวเจ้าช้าง ลูกผู้กินเมืองฯ

แปล โลกนี้หนอ ไม่น่าจะเป็นที่ชอบใจหรือติดใจเลย ความชราดูรวดเร็วจริง มารุมทำลายรูปร่าง เมื่อเราขึ้นสู่วัยรุ่น ผู้หญิงต่างใฝ่ประสงค์ ซึ่งล้วนแต่ลูกสาวเจ้าบ้านผ่านเมืองทั้งสิ้น ฯ

(๒๗๖) ยามนั้นโฉมสากหลาก เหลือชาย
สาวปั่นปองติงตาย สว่านสู้
เวนวางครอบครัวถวาย สัพพ์สิ่ง สินเอย
กินนุ่งนอนย้อนชู้ เล่าแล้วเลายิง ฯ

แปล ยามหนุ่มรูปร่างสง่าเกินกว่าผู้ชายทั้งหลาย สาวๆ หมายปองดีดดิ้นให้ท่าเกือบตาย พวกเขาให้สิ่งของเงินทองทั้งปวงแก่เรา เราได้กินได้นุ่งได้นอนเพราะผู้หญิงสวยๆ คนแล้วคนเล่า ฯ

(๒๗๗) ยามนั้นผิวผ่องผ้ง คุยคาย
นิลเนตปานตาทราย ลูกเนื้อ
เกสาควี่ดกผาย พวงง่อน งามเฮย
ทรงท่อนกาสาเสื้อ สอดซ้ำกนทน ฯ

แปล สมัยนั้นผิวกายกำลังผุดผ่องเกลี้ยงเกลา ตาดำเหมือนตาลูกเนื้อ ผมดกคลี่สยายเป็นพวงย้อยลงท้ายทอยดูงดงามยิ่ง นุ่งเสื้อสีเหลืองสอดใส่ตุ้มหูอีกด้วย ฯ

(๒๗๘) สุดถนัดเชิงชู้แกว่น การขุน
เป็นสากเฉลิมนพบุร นึ่งน้า
ปีเดือนด่วนแปลงปุน เป็นปู่ ปางนี
เต็มแต่งตนเยียะง้า หมี่ได้ใดมา ฯ

แปล ชำนาญในเชิงเจ้าชู้ และเก่งในหน้าที่ราชการ เป็นศักดิ์ศรีเสริมชื่อเมืองเชียงใหม่คนหนึ่ง ปีเดือนล่วงไปไวเหลือเกิน เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงให้เราเป็นปู่ไปแล้ว ถึงจะแต่งกายให้งดงาม ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ฯ

(๒๗๙) เมื่อยามหนุ่มน้อยจิ่ง จีจาว
ยิงหนุ่มหันพิงพาว ร่วมผ้า
บัดนี้หงอกหัวขาว ชราคร่ำ มาเอย
ยิงบ่หุนหันหน้า หลีกเว้นแสนวา ฯ

แปล เมื่อกำลังหนุ่มขึ้นสู่วัยรุ่น ผู้หญิงเห็นก็ใคร่แอบอิงนอนร่วมผ้า บัดนี้ผมหงอกเพราะความชราเบียดเบียน ผู้หญิงไม่ชอบ พอเห็นหน้าก็หลีกไป ไกลเป็นแสนวา ฯ

(๒๘๐) เมื่อหนุ่มหน้อยเนื้อเลี่ยน ปานคำ
ยิงใฝ่หุมเทียมทำ อุ่นเอื้อม
บัดนี้ชราธัมม์ เลยไล่ ทันเอย
ยิงบ่หุมซ้อนเซื้อม หลีกเว้นไกลไกล ฯ

แปล เมื่ออยู่ในวัยหนุ่มเนื้อเกลี้ยงปานทองคำ ผู้หญิงสนใจชอบมาอยู่ไกล้ชิดเพื่อซุกอยู่ในอ้อมกอด บัดนี้ความชราไล่มาทันเสียแล้ว ผู้หญิงไม่ชอบมาเป็นคู่ร่วมรัก เขาหลีกเว้นไปไกลๆ ทีเดียว ฯ

(๒๘๑) เมื่อยามหนุ่มหน้อยจิ่ง พอซาว
เฉลียวฉลาดเพิงพาว ยอดแย้ม
เป็นจอมเจื่องใจสาว ภิรมย์เพื่อน เพราเอย
ทิพยอดยิงซ้อนแซ้ม จูบแก้มลืมวาง ฯ

แปล เมื่อหนุ่มอายุกำลังขึ้น ๒๐ ปี มีความเฉลียวฉลาดงดงามเป็นเยี่ยม เป็นขวัญใจของพวกสาว ๆ มีเพื่อนร่วมอภิรมย์ล้วนแต่งดงาม มีผู้หญิงชั้นยอดนอนร่วมห้องจูบแก้มไม่ยอมหยุด ฯ

(๒๘๒) ยามนั้นเป็นเผ่าผู้ ชายชิด นึ่งเอย
เชิงแง่งามสมสนิท แนบเนื้อ
ลางคนว่องไววิด เถิงขนาด นักเฮย
บิดเบี่ยงไปแอ้มเอื้อ จิ่มชู้ชมถนอม ฯ

แปล สมัยนั้นคือเมื่อตอนอายุ ๒๐ เศษ เป็นผู้ชายประเภทเลิศคนหนึ่ง ทุกส่วนสัดงามสมส่วน บางคนก็งดงามถึงขนาดยิ่ง ย่อมหาทางไปร่วมรักกับผู้หญิงที่ตัวรัก ฯ

(๒๘๓) เมื่อยามปีเปี่ยงขึ้น สามสิบ
สมแง่งามคือทิพพ์ แทกได้
เป็นจอมโลกเรืองลิบ ชมชื่น เชยเฮย
องค์อ่อนอวรร้อนไหม้ เพื่อข้อยทรงสม ฯ

แปล เมื่ออายุย่างขึ้น ๓๐ ปี ทุกสัดส่วนงดงามเสมอเทวดา เป็นจอมโลกเรืองลิ่วเป็นที่น่าชมเชยและชื่นชม ร่างกายอันอ้อนแอ้นของผู้หญิงต้องผ่าวร้อน เพราะว่าเรามีรูปงดงาม ฯ

(๒๘๔) ยามนั้นยงแก่นกล้า สะกันหาญ
จบเพทเชิงชายการ ชู่ถ้าน
เป็นจอมเจื่องนงคราน มนุสโลก นี้เอย
ยิงย่อมหุมเข้าต้าน ใฝ่ฝั้นแฝงชม ฯ

แปล เวลานั้นยังเป็นขายฉกรรจ์กล้าหาญ จบวิชาการของลูกผู้ชายทุกชนิด เป็นขวัญใจของผู้หญิงในโลกนี้ ผู้หญิงชอบที่จะเข้ามาพูดคุยด้วย มุ่งประสงค์เพื่อจะร่วมเรียง ฯ

(๒๘๕) ที่ใดมัวม่วนเหล้น ชายยิง
เรียมย่อมเดินไปอิง อุ่นเอื้อม
สนุกสว่างใจจิง ภิรมย์เพื่อน เพราเอย
สวมร่วมรสซ้อนเซื้อม กลิ่นแก้มกับองค์

แปล สถานที่ใดมีผู้ชายและผู้หญิงเล่นกันอย่างสนุกสนาน พี่ย่อมไปสนุกด้วยการแอบอิงเนื้ออุ่น สนุกเพลิดเพลินจริงๆ ที่ได้อภิรมย์กับเพื่อนที่สวยงาม สวมกอดร่วมรสกัน หอมกลิ่นแก้มกับกลิ่นกาย ฯ

(๒๘๖) อาหารเพียญโภชกั้น แลวัน ก็ดี
มาร่วมรสแพงพัน ใฝ่เฝ้า
ชีวิตเกือบขอขัน ถนอมเพื่อน เพราเอย
ชมกลิ่นรสผู้เผ้า อิ่มอ้อยอกเรียม ฯ

แปล ข้าวปลาอาหารจะอดสักวันไม่เป็นไร ขอให้ได้มาร่วมรสรักอยู่ใกล้ชิดกัน ชีวิตของเราเกือบจะผูกติดกันกับน้องรัก ได้ชมกลิ่นและรสรักของนางผู้เลิศแล้ว อกพี่อิ่มเอมด้วยรสหวาน ฯ

(๒๘๗) เชิงเป็นข้าท้าวป่ำ- เรินขุน
ก็หากยังปองปุน ถี่แคร้ม
ถองถัดชู่คองคุณ จบเพท นักเอย
เชิงขีดเขียนต้องแต้ม พร่ำพร้อมสัพพะการ ฯ

แปล ในทางที่เป็นข้าราชการบำเรอพระราชา ก็พยายามทำอย่างละเอียดถี่ถ้วน จบศิลปศาสตร์ทุกชนิดอย่างแจ่มแจ้ง แม้ในทางคัดเขียนและทางแกะสลักก็รู้พร้อมทุกประการ ฯ

(๒๘๘) ยามนั้นมัวม่วนเหล้น การขุน
บ่ช่างจักตีดุล เดี่ยวค้า
เชิงการบ่ปองปุน ฆราวาส ใดเลย
คันรุ่งเรียมหย่องถ้า ม่ายชู้มายา ฯ

แปล สมัยนั้นมัวเมาเพลิดเพลินกับราชการ ไม่เข้าใจเรื่องจะทำตราชั่งเดินเดี่ยวเที่ยวค้า เรื่องการงานแบบชาวบ้านไม่สนใจอะไรเลย รุ่งขึ้นก็แต่งตัวคอยเกี้ยวผู้หญิง ฯ

(๒๘๙) บัดนี้หลอนชวดแล้ว อ่อนชรา
สามสิบปลายมีมา ล่วงแล้ว
จักเฉลยปากเจียรจา เชิงเก่า มวลนัน
ยิงบ่หุมคำแล้ว ชวดชู้เชยชาย ฯ

แปล บัดนี้อายุชวดคล้อยชราลง คืออายุ ๓๐ กว่าปีล่วงไปแล้ว จะเอ่ยปากเจียรจาตามแบบก่อนๆ ทั้งหมดนั้น ผู้หญิงเขาไม่ชอบแม้แต่น้อย กลายเป็นชายที่ปราศจากคนรัก ฯ

(๒๙๐) จะตีต่างแก้วห่อ ลานคำ
ยินบ่สมสักคำ เพศหย้อง
หางตาเหี่ยวผิวดำ อายโลก นักเอย
เพราะเพื่อตนนี้เถ้า รูปร้ายชราทัน ฯ

แปล แม้จะทำต่างหูแก้วหรือม้วนลานทองคำ (สอดหู) รู้สึกไม่สมกับตัวสักนิดในการแต่งกายแบบนั้น หางตาก็เหี่ยวย่นผิวกายก็ดำ น่าละอายชาวโลกยิ่งนัก ทั้งนี้เพราะร่างกายเราแก่ เมื่อความชรามาถึงร่างกายก็ดูน่าเกลียด ฯ

(๒๙๑) เรียมชมรสกลิ่นน้อง จอมนิรมย์
หมี่อิ่มอกเรียมสม คู่แก้ว
ชราเร่งแถมถม หทเยศ ยุบเอย
สี่สิบปลายล้ำแล้ว แก่คร้าวชราเทิง ฯ

แปล พี่เชยชมกลิ่นและรสของน้องรัก เป็นคู่สู่สมที่ควรกับน้อง ยังไม่ทันอิ่มเต็มใจเลย ความชรารีบมาซ้ำเติมให้หัวใจฝ่อแฟบ อายุ ๔๐ กว่าขึ้นไปแล้ว ก็ถึงเขตชราอายุกลางคน ฯ

(๒๙๒) แก่แล้วแสนโสกเสี้ยง ถนัดใจ
ยามย่างเยื้องเทียวไป ไต่เต้า
เหน็ดเหนื่อยหนักทรวงใน หมี่ใคร่ ไปเอย
เรียมพี่ผันไม้เท้า อยู่ถ้าถนอมแพง ฯ

แปล แก่แล้วมันแสนโศกสุดสิ้นหัวใจ จะเยื้องย่างเดินไปก็เหน็ดเหนื่อย หนักอกหนักใจจนไม่อยากจะไปที่ไหน พี่ถือไม้เท้ารอถนอมน้องรักอยู่ ฯ

(๒๙๓) สี่สิบล้ำแล้วล่วง หลายปี
เสียสากสมสวยดี คร่ำเถ้า
บ่รู้หน่องนงสรี เสมอเนต เดียวเอย
ตนม่อนถือไม้เท้า ถ่อมถ้าแฝงชม ฯ

แปล อายุเลย ๔๐ มาหลายปี รูปโฉมที่เคยสวยงามดีก็เสื่อมโทรมไป เพราะความชราเบียดเบียน น้องรักเสมอดวงตาคนเดียวของพี่ คงไม่รู้หรอกว่าพี่ถือไม้เท้ารอคอยเชยชมน้องอยู่ ฯ

(๒๙๔) ชรามารอดแล้ว ยินวอน เช่นนอ
พระเกสเกสาผอน เผือกเสี้ยง
ทันตารีบเร็วคลอน จักหล่อน ไปเฮย
ผิวผ่องหันเหี่ยวเพี้ยง เพศพ้นพันวัสสา ฯ

แปล เมื่อความชรามาถึงแล้ว รู้สึกอ่อนอกอ่อนใจเหลือเกิน ผมก็หงอกขาวไปสิ้น แม้ฟันก็คลอนและจะถอนหลุดต่อไป ผิวหนังที่เคยผุดผ่องก็เห็นเหี่ยวย่นไป เหมือนอายุเป็นพันปี ฯ

(๒๙๕) หูตามัวมืดเสี้ยง เสียไวย
เสียงปากจาจามไอ ค่อยต้าน
คำคระนิงแกว่นก่อนไกว บ่อาจ สงวนเอย
ผมหงอกหัวก็ล้าน ลวดเสี้ยงทังคระเบน ฯ

แปล เมื่อวัยล่วงไป ตาก็มัว หูก็ตึง เสียงปาก เสียงจาม เสียงไอก็ค่อยลงไป ความคิดที่เคยคล่องแต่ก่อนก็แกว่งไกว ไม่อาจจะสงวนไว้ ได้ ผมก็หงอก หัวก็ล้าน หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ฯ

(๒๙๖) บัดนี้เถ้าชวดช้า เชิงชาย นาแม่
จักแง่งามยินอาย ชูเบื้อง
บ่หวังร่วมรสสาย สีเนห์เนต เรียมเอย
เยียวโลกยินรู้เรื้อง เล่าต้านนินทา ฯ

แปล บัดนี้เป็นคนแก่เสียแล้ว ชั้นเชิงชายก็หวิดๆ ขาดๆ ไม่ทันเขา จะแต่งกายให้งดงามก็รู้สึกอายเขาไปทุกอย่าง ไม่หวังที่จะได้ร่วมรสกับน้องรักเสมอตาของพี่ เกรงชาวโลกรู้เรื่องเขาจะนินทา ฯ

(๒๙๗) ห้าสิบปลายล่วงแล้ว ขับไป
จักมิ่งม้วยวันใด หมี่รู้
อายุเก่าจวนใจ ชรารอด เทิงเฮย
จักเที่ยงตายเสียชู้ ชายนี้ถนอมดาย ฯ

แปล ความชราขับไล่ไปจนอายุ ๕๐ กว่าล่วงไปแล้ว จะตายวันใดไม่ทราบ อายุหมดไปแสนจนใจ บัดนี้ความชรามาถึงเสียแล้ว จะต้องตายทิ้งน้องไปแน่นอน ชาตินี้หมดสิ้นไปเปล่า ๆ ฯ

(๒๙๘) บัดนี้เถ้าถ้วนชวด ยิงรัก
ฟันเน่าในแหงหัก หล่อนหล้อน
แม่นหูเล่าหนาหนัก ตามืด มัวเอย
ผมเผือกชาวล้วนล้อน เพศเพี้ยงปูนทา ฯ

แปล บัดนี้แก่เต็มที่แล้ว ชวดเวลาที่ผู้หญิงจะรัก โคนฟันก็เน่ามีแต่จะแตกหักหลุดออกไป แม้หูก็ตึง ตาก็มัว ผมก็หงอกขาวไปทั้งสิ้นเหมือนทาด้วยปูนขาว ฯ

(๒๙๙) อายุเจ็ดสิบแล้ว ดาปลาย
ผีเรียกกินแลงงาย ร่วมเร้า
โรคาคร่ำรนหลาย แถมถี่ นักเอย
จักเบื่อรามรสเข้า พรูกเช้าวันฤๅ ฯ

แปล อายุ ๗๐ ปีเกือบจะปลายอยู่แล้ว จนกระทั่งผีเรียกไปร่วมกินข้าวเช้าข้าวเย็น โรคภัยก็เบียดเบียนซ้ำเติมอีกมาก จะเบื่อข้าวปลาอาหารวันพรุ่งนี้เช้าหรือวันมะรืนยังไม่แน่

(๓๐๐) กอนกันโลงบทบอกเบื้อง เป็นตรา
เรียมแทกเทียมเขียนมา สืบไว้
เมื่อเรียมพรากชายา เมียมิ่ง วันนัน
เป็นกาบกลอนไว้ให้ อ่านเหล้นหายเหงา ฯ

แปล บทกลอนโคลงกำหนดบอกเบื้องหลังความเป็นมา พี่ได้เขียนเปรียบเทียบเพื่อให้เหลือเรื่องราวสืบเล่ากันไว้ สมัยเมื่อพี่พรากจากเมียรักวันนั้น แต่งเป็นกลอนโคลงไว้เพื่อให้น้องอ่านเล่นแก้เหงา ฯ

(๓๐๑) จาเป็นมอนสามสี่ เลขวัก
สัสสะห้ำวันทวัก บ่กุ้ง
โคมังอย่าลอนลัก ซวาซ่อน เอาเนอ
ลักเขรมองหมุ้งหมุ้ง แหล่ทับเซซวา ฯ

หมายเหตุ โคลงบทนี้ข้าพเจ้าไม่สามารถจะแปลได้ เพราะมองรูปศัพท์แล้วไม่เห็นเค้าความหมายเลย อาจเป็นกลบทอักษร หรืออาจเป็นภาษาชาติอื่น เช่นมอญ ที่ผู้แต่งนำมาแต่งปนกับภาษาลานนาไทย ต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้าหาคำแปลต่อไป ฯ

(๓๐๒) คนใดใจโลภเลี้ยว อำเอา
ยังเยื่องของอันเรา หมี่ให้
คันตายเที่ยงไปเนา นารกเล่า เลิงเอย
อกเอ่าไฟเร่าไหม้ เร่งร้อนรนทรวง ฯ

แปล คนใดมีใจคดโลภอำเอาสิ่งของที่เราไม่ให้ ตายไปย่อมไปตกนรกนานทีเดียว จะต้องถูกไฟนรกเผาเอ่าไหม้ทวีความร้อนอยู่ในอก ฯ

(๓๐๓) ใครใครยังซื่อด้วย ตามธัมม์
หมี่เจตใจจงอำ นึ่งหน้อย
คันตายเที่ยงบุญนำ เทวโลก โพ้นเอย
สนมนาฏนางฟ้าห้อย อิ่งอ้อยสุขสบาย ฯ

แปล คนใดมีความซื่อสัตย์ถูกคลองธรรม ไม่มีใจโลภอำเอาสิ่งของของผู้อื่นแม้แต่นิดหนึ่งเมื่อตายไป บุญย่อมจูงขึ้นสู่สวรรค์เทวโลก มีนางฟ้าเป็นบริวารห้อมล้อมเสวยความสุขอันเป็นทิพย์ ฯ

จบ.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ