เพลงยาวเจ้าฟ้ากรมขุนกระษัตรานุชิต ทรงปฏิสังขรณ์วัดอไภยทาราม
๏ สุริย์วารอาสุขมาสี | |
กาฬปักษ์ทวาทัศมี | ปีมะเมียสัมฤทธิศกประมาณ[๑] |
สมเด็จพระขัตติยภากรมขุน | กระษัตรานุชิตสุนทรไพศาล |
ประณามน้อมอัญชลิตกฤษดาญ | ถวายกฐินทานสงฆ์สังวรครอง |
ในอารามที่ปลายซองคลองสามเสน | เห็นบริเวณเป็นแขมคาป่าร่องหนอง |
ไม่รุ่งเรืองงามอร่ามด้วยแก้วทอง | ไร้วิหารห้องน้อยหนึ่งมุงคา |
ไม่ควรสถิตพระพิชิตมาเรศ | น่าสังเวชเหมือนเสด็จอยู่ป่าหญ้า |
ทั้งฝืดเคืองเบื้องกิจสมณา | พระศรัทธาหวังประเทืองในเรื่องธรรม์ |
สั่งผู้ถือบาญชีศีโรรัตน์ | ให้เกณฑ์ไพร่ปฏิสังขรณ์สรรค์ |
ชำระชัฏให้จังหวัดคงขอบคัน | แล้วพลันปรุงพระอุโบสถสรรค์ทรง |
ถึง ณ วารครุบุสสมาสี | เอกทัศดิถีโดยประสงค์ |
กาฬปักษ์จุลศักราชคง | ตรงพันร้อยห้าสิบเศษเก้าปี |
อัสสสังวัจฉเรศสัมฤทธิศก | สุริยะยกจากมีนราศี |
เสด็จโดยฤกษ์ราชพิทธี | ไปก่อที่พระอุโบสถเป็นเริ่มวัน |
สนั่นสัทกาหลดนตรีซ้อง | เสียงก้องกึกฮึกโห่หืฤๅหรรษ์ |
จึ่งทรงวางแผ่นอิฐปิดสุวรรณ | ระคับชั้นเริ่มรากเป็นการไว |
คณาพลนายการประกวดก่อ | แย้มย่อตามแบบประดับใส่ |
คราวเดียวถึงที่สำเร็จไป | ดั่งกิจในสุรราชบัญชา |
ทำคูรอบขอบเขื่อนเฟือนดินถม | ที่หล่มลาดดาดเต็มเสมอหน้า |
ตะพานชลมีสถลแถวถยา[๒] | สองศาลาหน้ามุขริมวาริน |
ปราการรอบรายสี่ทวาเรศ | ไว้ลานเขตทัศนัขประทักษิณ |
สถานรายไปด้วยทรายระดับดิน | ประจำถิ่นทิศมีเจดีย์ราย |
สี่สถูปรูปละมุมปราการแก้ว | แพร้วแพร้วยอดรัตน์จำรัสฉาย |
อุโบสถเรืองรุจิเรขพราย | ครั้นสายฟ้าส่องแสงสุวรรณวาม |
สัณฐานทรงทรงสร้างเป็นอย่างตึก | สูงพิฤกลอยลํ้าประจำสนาม |
แทนช่อฟ้าหน้าพรหมจำรัสงาม | ตามลำยองทองทาบกระจังเรียง |
ต่างเศียรนาคนั้นเทพพนมหัตถ์ | โฉมสวัสดิ์ดั่งจะหยัดแย้มเสียง |
ทรงสร้อยเทริดสังวาลวัลย์กรรเจียกเคียง | รัดเอวเรียงรายรัตน์วลัยกร |
กทำเทพเพียงเทพนฤมิต | ทั้งสี่ทิศขำคมประนมสลอน |
บนเบื้องบันช่อวัลย์กระหนกชอน | โมรินฟ่ายฟ้อนจับกับเครือวัลย์ |
กระจังรายชายบันพาไลลด | ทวยชดทีเชิงภุชงค์ถลัน |
ผนังรอบขอบบนเป็นบุษบัน | เชิงยันฐานปัทม์เป็นบัวรอง |
มีซุ้มแกลแลเรียงรันดับผนัง | บังอวจมังกรเกี้ยวกระหวัดสอง |
ทุกบานบังหลังลายรดนํ้าทอง | มีชานช่องสองซุ้มทวาไร |
เช็ดหน้าทองล่องลอดไบบานปิด | ภาพลิขิตเซี่ยวกางอย่างวิสัย |
สองกำยำกรกำอาวุธไว | เพียงจะไกวกวัดง้าวเข้ายุทธกัน |
พื้นนอกในใสสะอาดดั่งดาดรัตน์ | เงากระจกเพียงจะชัดเห็นสิ่งสรรพ์ |
ผนังวาดพาดเครือเป็นแย่งวัลย์ | ไพรเครือพันพุ่มช่อดูอรชร |
เพดานดาดชาดพื้นสุวรรณวาด | เด่นดวงมาศจันทร์แจ่มประภัสสร |
ในวงแว่นล้วนสุวรรณดารากร | เพียงทิฆัมพรพุ่งผกายขจาย |
คู่ระย้าย้อยแสงวิเชียรโชติ | ไพโรจน์รัตน์อัจกลับระยับฉาย |
แสงอัคคีส่องศรีมณีพราย | เพียงห้องทิพย์ว่ายฟ้ามาแปรเป็น |
บัลลังก์ทองฉลองมัญจาอาสน์ | กระหนกมาศพาดช่องกระจกเห็น |
นาสาสิงห์จตุรัสสมบูรณ์เพ็ญ | หน้ากระดานเด่นสุวรรณก้านแย่งกรอง |
ช่อห้อยทองท้องกระจกกระจังจัด | เศวตฉัตรสุวรรณพัสตร์ภิเษกฉลอง |
รังสรรค์โสรม[๓]พระชิเนนทรจำลอง | เหนืออาสน์ทองร่มเศวตฉัตรสุวรรณ |
งามที่จีวรสังฆาฏิพาด | ทรงสมาธิ์สังวรวิมลสวรรค์ |
สองพระอัครสาวกบังคมคัล | พระอานันท์นั่งประณามประนอมกร |
นอกปราการฝ่ายทวารทักษิณทิศ | เจดีย์ใหญ่ไพจิตรประภัสสร |
เฉลิมทรงส่งวิลาสอาภรณ์ | ปราการแก้วบวรจังหวัดวง |
หนึ่งหอไตรไว้พระไตรปิฏกนั้น | สารพันประเสริฐทรงระหง |
หอระฆังทั้งกฏิ[๔]ตระหง่านทรง | สิบกุฏิ์สงฆ์สำหรับระงับกาย |
มีโรงธรรมและเสาธงบรรจงสรรค์ | อินทรียันยอดเพียงกระหยับผาย |
ที่ปรกสงฆ์บริวาสกรรมกาย | เสร็จถวายที่สุดส้วมเป็นสังฆทาน |
ทรงพระราชอุทิศนิจภัต | ให้โสมนัสสมณากระยาหาร |
ถึง ณ บุสสมาสีภุมวาร | กาฬปักษ์ทวาทัศมี |
จุลศักราชราชรังสรรค์ | พันร้อยหกสิบสามปีเศษดิถี |
โสนัขจัตวาศกมหุรดี | สุรีย์แรงสั่งแสงจะอัสดง |
ก็เอิกเกริกด้วยพิทธีมี่อึงอัด | จะผูกพัทธเสมาประชุมสงฆ์ |
พร้อมด้วยราชสมณาศีลาทรง | พร้อมด้วยพงศ์ขัตติเยศแลมาตยา |
พลากรที่รีบร้อนมารับเสด็จ | ก็พร้อมเสร็จตำแหน่งเกียรติยศถา |
พระราชทานเลี้ยงสรรพโภชา | ทุกหน้านายพฤนท์ไพร่ได้สำราญ |
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสององค์ | ผู้ทรงธรรม์อันสถิตมหาสถาน |
ก็เสด็จด้วยราชบริพาร | กระบวนธารชลมารคมหึมา |
ถึงประทับพลับพลาอาวาสวัด | ดำรัสการที่สืบพระศาสนา |
สะท้านเสียงดุริยสัทโกลา | กาหลดนตรีก้องประโคมไชย |
เสร็จพระราชนุกิจพิทธีกุศล | เป็นวันมณฑลจันทรไม่แจ่มใส |
ประทีปรัตน์รายเรืองแสงโคมไฟ | เสด็จครรไลเลิกกลับแสนยากร |
ถึง ณ ครุวารเอกทสี | ดิถีเป็นศุกรปักษ์รุ่งแสงสร[๕] |
มาฆมาสศุภฤกษ์พยากรณ์ | หักทอนถ้วนจุลศักราชทรง |
พันร้อยหกสิบแปดปีขาล | กำหนดกาลกิจฉลองเสร็จประสงค์ |
คู่นาวีศรีแย่งสุวรรณผจง | จงกลทรงพู่ผ้าหน้าดาวทอง |
ฝีพายสวมเสื้อหมวกสีสักกะหลาด | ลำพาหนาสน์พระที่นั่งนั้นทั้งสอง |
บรรทุกบาตรแลกาสาผ้าไตรครอง | เรือพายชักชักประคองสองคู่เคียง |
ฝ่ายหน้าข้าราชการในกรมแห่ | พร้อมกลองแตรปี่พาทย์หวาดหวั่นเสียง |
เรือนางเหล่ามโหรีมี่สำเนียง | ขับเรียงลำตามไปในหลังชล |
ถึงอารามให้ประทานเงินคนละเฟื้อง | นายไพร่เนืองแน่นวัดอัดแถวถนน |
เงินสามชั่งสิบบาทคนสองพันคน | แล้วนิมนต์พระให้เทศน์ธรรมโพชฌงค์ |
สองกัณฑ์ผ้าไตรโคมแก้วพัชนี | คัมภีร์ปักทองแล่งงามสมสงฆ์ |
รองเท้าเสื่อกรรมพฤกษ์ใส่เงินลง | ถวายทั้งสององค์เสมอกัน |
เพลาค่ำทั้งให้หาเหล่านักเลง | มาทำเพลงให้เขาฟังแก้กันขัน |
ครั้นรุ่งขึ้นเป็นคำรบที่สองวัน | จึ่งสรรสิ่งอันประเสริฐเครื่องไทยทาน |
ทรงบูชาพระพุทธรูปในโบสถ | ไตรครองกลดบาตรแก้วย่ามเครื่องคาวหวาน |
ที่บรรทมหมอนอิงเบาะนั่งขดาน | พิงพัดวาลวิชนีเตียงศีลาลาย |
กาชำระหม้อบังคนเครื่องเหล็กตราด | ดอกไม้ชาติทองเงินบรรจงถวาย |
ทั้งธูปเทียนพุ่มประทุมประทีปปราย | ระย้าย้อยสายแสงส่องบูชา |
ถวายของสงฆ์ห้าสิบองค์ทั้งโบสถ | ตามบาลีคำมคธกลางภาษา |
กฏิหอไตรตะพานข้ามคงคา | ศาลาปรกหอระฆังส้วมกุฎี |
ไตรย่ามเสื่อเครื่องย่ามพร้อมไม้เท้าบาตร | ร่มกระดาษพัชนีหุ้มแพรสี |
รองเท้าเทียนธูปหอมคล้ายสารภี | สิบสิ่งนี้ถวายเหมือนกันทุกองค์ |
นิมนต์พระแจงธรรมกัณฑ์หัสไนย | ถวายไตรโคมพัชนีงามควรสงฆ์ |
รองเท้าเสื่อคัมภีร์ทองแล่งแกล้งผจง | กลดธูปเทียนจบลงก็ทรงประเคน |
สั่งให้ตั้งฉ้ทานสิบศาลา | เลี้ยงลาวยวนมอญพม่าข่าเขมร |
ไทยชาวใต้ฝ่ายเหนือสงฆ์เถรเณร | เย็นเช้าเพลมิได้ขาดจนเลิกงาน |
แล้วนิมนต์สงฆ์สวดสูตรพระสมัย | ระงับภัยชุมเทวทุกสถาน |
ครั้นพลบค่ำให้ทำเพลงฉลองทาน | ชาวบางบ้านสวนฟังไม่วายวัน |
เพลาเช้าที่สามนั้นทรงบาตร | ราธนาพระห้าสิบองค์ฉัน |
ทั้งเช้าเพลแล้วให้เทศน์คาถาพัน | กับสังคหะสองกัณฑ์ตะวันชาย |
เทศน์อัฏฐังคิกมรรคอิกองค์หนึ่ง | จึงเทศน์อานิสงส์สองกัณฑ์ถวาย |
ทั้งหกกัณฑ์ทรงฟังธรรมบรรยาย | เพราะธิบายโดยพุทธฎีกา |
ครั้นเย็นลงสงฆ์สวดสูตรพระปริต | กำจัดคิดหมู่มารพาลริษยา |
วันที่สี่ทรงบาตรแล้วราธนา | พระสงฆ์ห้าสิบฉันทั้งเช้าเพล |
เทศน์ซึ่งธรรมเจ็ดกัณฑ์เจ็ดคัมภีร์ | พระผู้มีอายุศมสังฆเถร |
เทศน์เทโวโรหนสูตรแจ้งชัดเจน | แปดกัณฑ์เกณฑ์เพราะไม่โอนเอนพื้นภูมิธรรม์ |
เพลาค่ำสงฆ์สวดคิริมานนท์ | วันที่ห้าทรงบาตรนิมนต์ฉัน |
ทั้งเช้าเพลคิดสิริเข้าด้วยกัน | มีบัญชีห้าร้อยหกสิบเก้าองค์ |
ให้แจงพระประถมสังคายนาย | สวดสองคู่เทศน์ธิบายความสามสงฆ์ |
ห้าร้อยสิบเบ็ดรูปอ่านสถานตรง | หวังดำรงธรรมไว้ให้ยืนยาว |
แล้วแจกเงินกจก[๖]เจ็ดสิบคน | รับเรียงคนคนสลึงกับผ้าขาว |
เงินกรรมพฤกษ์สองชั่งฝังในมะนาว | ทิ้งทานแจกทานคราวนี้พร้อมกัน |
เพลาเย็นสงฆ์สวดสูตรภาณต้น | วันที่หกทรงบาตรนิมนต์ฉัน |
เทศน์จตุราริยสัจควรอัศจรรย์ | ทั้งสี่องค์นั้นเพราะพ้นประมาณ |
พระสงฆ์เทศน์สี่วันยี่สิบห้าองค์ | ทรงถวายไตรบาตรพร้อมเครื่องบริขาร |
ธรรมกรกกล่องเข็มหินเหล็กจาร | กะดานชนวนกะปุกหมึกแส้แว่นตา |
เข้มขาบห่อคัมภีร์สมุดกล่องดินสอ | ตะลุ่มกำมะลอราวรับเช็ดหน้า |
ตะบะรองย่ามตะบะเครื่องบูชา | ตะบะยากาชำระหม้อหมวดสะเดียง |
ดอกไม้เงินทองเทียนธูปกลดตราด | ถาดล้างหน้าม้ารองถาดเบาะเสนี่ยง[๗] |
หมอนอิงปักทองเสื่ออ่อนมุ้งเตียง | ของเรียงย่ามย่ามถุงหมากมีดตะบัน |
ตะไกรแหนบซองพลูช้อนมีดโกน | กะโถนถุงโอลายรดนํ้าขัน |
จอกลอยผ้าเช็ดปากตลับจันทน์ | เครื่องเหล็กสรรพเครื่องครัวพร้อมเครื่องชา |
ถ้วยแก้วขวดนํ้าผึ้งนํ้ามันพร้าว | พานทองขาวรองขันนํ้าล้างหน้า |
อ่างอาบน้ำเบาะกะดานพิงศิลา | ไม้เท้ากาต้มนํ้ากากะเยียลาน |
รองเท้าปักทองโคมแก้วพัชนี | มีทั้งกรรมพฤกษ์แทนคาวหวาน |
องค์ละเจ็ดสิบสามสิ่งเครื่องทาน | ยังอานไตรห้าร้อยสิบเบ็ดองค์ |
สิบเบ็ดรูปไตรธูปเทียนเสื่ออ่อน | สองชั้นซ้อนควรลาดเป็นอาสน์สงฆ์ |
โคมแก้วเหลี่ยมพัชนีกรกอย่างทรง | ไม่ขึ้นลงเจ็ดสิ่งเสมอกัน |
ของสิ่งห้าร้อยสงฆ์ห้าร้อยรูป | สบงธูปเทียนเสื่อร่มคันสั้น |
กับรองเท้าเข้ากันเป็นสามพัน | นั้นถวายองค์หกสิ่งตามบัญชี ฯ |
ครั้นพลบค่ำย่ำแสงตะวันสิ้น | ยังแต่มุลทินเมฆไม่มีสี |
เล่นโหมโรงเรื่องอิเหนาเมื่อราตรี | เข้าที่ชมจินตะหราในห้องนาง |
ทำกระบวนเย้ายวนยิ่งอย่างคน | เข้าหยอกกันแต่ข้างบนไม่หยอกล่าง |
หนังสองโรงโรงหนึ่งเล่นรามตามกวาง | จอหนึ่งเล่นเรื่องสร้างเมืองลงกา |
แต่คืนวันที่หนึ่งถึงที่เจ็ด | แม้นเอาเพชรขึ้นไปปรายรายเวหา |
แสนทะนานก็ไม่ปานแสงไม้ระทา | พลุลั่นเลื่อนลอยฟ้าแลเลือนดาว |
หมู่ไม้พุ่มสีอร่ามงามผุดผ่อง | ส่องหน้าคนเหมือนผัดแป้งย่อมนวลขาว |
ฝนแสนห่าซ่านซ่าแสงพรายพราว | เสียงห้าวเหี้ยมกระหึมฮือคือฟ้าคะนอง |
ไฟพะเนียงเนื่องกระจายรายช่อช้อย | เช่นทองลุกสุกย้อยค่าสิบสอง |
คนแทนม้าหน้าจังหันหางฝอยทอง | วิ่งเหยาะย่องทำนองม้าละครรำ |
ไม้กระถางตะละอย่างยิ่งไม้ดัด | โรยระบัดใบระบ่มถมสีขำ |
เหมือนต้นไม้ลายระบายจานจีนทำ | ควรจะนำใจคนให้เชยซม |
ไม้พ้อมซ่อนซ้อนกลีบบานห้าชั้น | ฝักแคลั่นเงือกว่ายสยายผม |
หงส์จากพรากวาฬฉนากยูงเล่นลม | จีนห่มเสื้อเสือช้างกวางเจดีย์ |
มังกรเลี้ยวไล่แก้วแก้วเวียนล่อ | เข้ารอรอริมปากแล้วบากหนี |
ทำหวาดหวั่นพรั่นกลืนกลัวราคี | เช่นสตรีบังไม่เคยเชยชมชาย |
รูปไม้กลคนวิ่งกระบือรอบ | ไม่หิวหอบถ้าควายจริงวิ่งใจหาย |
ยวนเล่นโคมเคล้าคู่ดูแยบคาย | เดินเลี้ยวขวามาซ้ายคลายโคม |
ดอกไม้รุ้งประจำยามตามกำหนด | เล่ห์งูพดพ่นพิษควันปิดเศียร |
แสงบูชางามอร่ามด้วยความเพียร | ถ้าใกล้เจียนจะล่องเห็นห้องวิมาน |
ครั้นรุ่งเช้ามีละครรำโรงใหญ่ | ผ้าใบบังแสงแดดทั้งแปดด้าน |
ประดับเขาถํ้ากุฎีที่ชมธาร | แถวสถานศาลเจ้าหลักเมืองชวา |
พลับพลาศรีที่เสด็จผูกม่านทอง | สิ้นทั้งสิบเจ็ดห้องใช้แทนฝา |
ข้างในดูตามมู่ลี่ไม่อิ่มตา | ข้างหน้าดูเห็นทั่วตัวคนรำ |
วันที่หนึ่งนั้นเล่นเรื่องใช้บน | จนสังคามาระตาไปแต่งถ้ำ |
แล้วเรื่องเผาเมืองมือทหารทำ | ท้าวล่าสำจรกาลาตามไป |
จนอุณากรรณยกเข้ากาหลัง | วันสามตั้งแต่ปันหยีมิสงสัย |
ตามเข้าเมืองเลื่องชื่อว่าโจรไพร | จนชนไก่เล่นหนังเรื่องสึกชี |
งามคนรำงามทำกระบวนบท | ดูชดช้อยเช่นนุ่งลายห่มสี |
ในอายุศม์คนน้อยกว่าร้อยปี | ว่าเพราะยิ่งเรื่องนี้อย่าเชื่อคำ |
ความสุขเธอก็เลิศชายจะใครเหมือนบ้าง | ให้สาที่สืบสร้างไม่อิ่มหนำ |
จะปรารถนาเป็นชวาก็กลัวกรรม | ขอสำราญดูสักคราวเพียงชาวไทย |
ฝ่ายโรงหุ่นนั้นเล่นเรื่องไชยทัต | ปรบไก่ร้องโสวัตตบมือไสว |
นอนหอกดาบคาบขอนลอดบ่วงไฟ | หกคะเมนไต่ลวดหกลังกา |
ไทยโยนดาบญวนหกโตล่อแก้ว | ทรงแลแล้วให้เปรียบมวยดูสูงหนา |
รูปกลมแน่นแบนคล้ายละม้ายตา | ครั้นได้บ่าบอกคู่ให้แต่งตัว |
ใส่กางเกงเชือกคาดหมัดคาดรัตคด | กันเท้าจดเท้าเหน็บค่อยยังชั่ว |
ล่ำทะมึนทั้งคู่ดูน่ากลัว | จับมงคลใส่หัวเข้าในวง |
แกะเอาดินขึ้นขยี้ลงที่กระหม่อม | เดินอ้อมราหูจรทำหยิบหย่ง |
แล้วกระหยับย้ายมาให้หน้าตรง | ตั้งมั่นแหย่ตัวลงเล่ห์เหลี่ยมละคร |
ฝ่ายข้างหนึ่งลวงให้ชกยกเข่าปัด | ยังเป็นทีมิถนัดก็หลอกหลอน |
เขาซ้อมสอบหอบล้มตะแคงนอน | ไม่ซํ้าผ่อนให้ลุกขึ้นตั้งเข้ามา |
ครั้นเท้าตกชกเฉียดไปริมหู | นักเลงดูร้องหุยหัวร่อร่า |
หมัดซ้ายซ้ำตำถูกเข้าลูกตา | เสียงคนฮาดังได้ยินถึงปลายบาง |
ทิ้งรางวัลแล้วร้องเรียกมวยผู้หญิง | ดูขันจริงทำแสยะแบะแบย่าง |
เอาหมัดสั้นตีถองกันถูกปากคาง | เลือดไม่แดงเหมือนน้ำฝางอย่างมือชาย |
กอดคอฟัดสลัดล้มลงทั้งคู่ | ผ้าบังอยู่จึงไม่เห็นเป็นเบี้ยหงาย |
ถึงให้ทองก็ควรที่มิเสียดาย | จึ่งเรียกเงินท้ายที่นั่งให้รางวัล |
แล้วทิ้งทานกรรมพฤกษ์ทั้งสี่ต้น | เสียงคนรับทานเหมือนน้ำธารลั่น |
มือตบแผ่นดินฝุ่นฟุ้งเป็นควัน | ดูอัศจรรย์ยิ่งจันทรอุปราคา |
ทิ้งทานสามวันสิ้นเงินหกชั่ง | จึ่งสมโภชตั้งเครื่องสิ่งยิ่งค่า |
บายศรีถมเงินทองแก้วไยกะตรา | รอบโบสถงามสง่าทั้งแปดทิศ |
เวียนเทียนด้วยแว่นนากทอง | ตามถ่องแถวกำแพงแก้วก่ออิฐ |
มโหรีถวายเสียงเกลี้ยงหวาดชิด | ปี่พาทย์ทำเพลงฤทธิ์อสูรรำ |
กลองแขกแตรสังข์ส่งสำเนียงก้อง | เหมือนประโคมท้องสนามในยามค่ำ |
เพราะพร้อมทั้งจังหวะแลลำนำ | ถ้วนกำหนดเจ็ดวันแล้วเลิกงาน |
สร้างวัดสิ้นเงินห้าสิบเก้าชั่ง | พระทัยหวังจะให้เป็นแก่นสาร |
ตั้งทำอยู่แปดปีจึ่งเสร็จการ | ขนานชื่อวัดอไภยทาราม |
เมื่อฉลองมีเทศน์ยี่สิบแปดกัณฑ์ | เลี้ยงพระสงฆ์พันเจ็ดสิบสาม |
เงินร้อยสามสิบชั่งสิ้นพองาม | แจกจำหน่ายตามอย่างบาญชีคลัง |
คิดทั้งสร้างแลฉลองเข้ากันเสร็จ | เป็นเงินร้อยเก้าสิบแปดชั่ง |
ขอเป็นพระชนะมารได้บัลลังก์ | จะน่าสัตว่ไปยังนิพพานเอย ๚ะ |
๚ะ เป็น ๑๘๙ คำ เสร็จบริบูรณ์ ๚ะ
[๑] วันอาทิตย์ เดือน ๑๑ แรม ๑๒ ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๖๐ (สวป.)
[๒] น่าจะเป็น “รัถยา” (สวป.)
[๓] โสรม = สวม (สวป.)
[๔] กฏิ หมายถึง กุฏิ (สวป.)
[๕] “รุ่งแสงสร” เข้าใจว่าคงตัดจากศัพท์ “รุ่งแสงประภัสสร”
[๖] กจก = ยาจก หมายถึง ขอทาน (สวป.)
[๗] น่าจะเป็น “เสลี่ยง” (สวป.)