ตอนวิหยาสะกำเที่ยวป่า จนถึงท้าวหมันยารับสารท้าวกุเรปัน

จับตอนวิหยาสกำเที่ยวป่า

๏ เมื่อนั้น วิยาหยาสะกำเรืองศรี
อยู่เย็นเปนศุขทุกราตรี เมื่อจะมีเหตุเภทพาล
ด้วยเทวามาเข้าดลจิตร ให้คิดจะไปเที่ยวไพรสาณฑ์
ล่าไล่มฤคาให้สำราญ พระภูบาลจึงสั่งเสนา
ให้เตรียมกระบวนอาชาไนย เราจะไปประพาศพฤกษา
แต่เพลาย่ำรุ่งสุริยา ตรวจตราให้พร้อมในราตรี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกษี
ยอกรก้มเกล้ามาทันที ตรวจเตรียมพาชีพร้อมไว้

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น วิยาหยาสระกำศรีใส
ครั้นรุ่งรางสางแสงอโณไทย ภูวไนยสระสรงสาคร

ฯ ๒ คำ ฯ

โทน น้ำกุหลาบอาบอบกลิ่นฟุ้ง ระคนปรุงจวงจันทน์เกสร
ทรงภูษาทองช้ำเชิงมังกร รัดพระองค์บวรกุดั่นดวง
ฉลององค์ตาดปักเปนรักร้อย ดุมพลอยเพ็ชรลูกแตงแสงช่วง
สังวาลตาบประดับทับทรวง ทองกรร่วงรุ้งเนาวรัตน์
แล้วสอดมหาธำมรงค์ แต่ละวงแสงใสไตรตรัด
ทรงมงกุฎอร่ามงามพิพัฒน์ ทัดอุบะกลิ่นฟุ้งขจาย
ทรงส้าโบะกรองทองสลับ พระจับกฤชฤทธิไกรผันผาย
ออกจากห้องแก้วพรรณราย นาดกรายขึ้นเฝ้าพระบิดา

ฯ ๘ คำ ฯ เพลง

ร่าย ครั้นถึงจึงถวายบังคม บรมบิตุราชนาถา
ทั้งองค์สมเด็จพระมารดา ทูลว่าลูกไม่สบายใจ
จะลาไปมะงุมมะงาหรา ล่าไล่มฤคาในป่าใหญ่
พอให้สำราญหฤไทย สุริย์ใสบ่ายคล้อยจะกลับมา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระบิตุเรศชนนีเสนหา
ได้ฟังโอรสทูลลา พระแสนกรุณาอาไลย
กอดจูบลูบทั่วกายา แก้วตาผู้ยอดพิศมัย
เจ้าจะไปเล่นป่าก็ตามใจ แต่อย่าได้อยู่ในพนาลี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วิยาหยาสะกำเรืองศรี
บังคมลาบิตุเรศชนนี ภูมีเสด็จคลาไคล

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงเกยแก้วรูจี พระขึ้นทรงพาชีศรีใส
คลายคลี่กรีพลอาชาไนย ออกจากเวียงไชยรีบมา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

โทน ม้าเอยม้าทรง อาจองเรี่ยวแรงแขงกล้า
ผ่านอำมฤคราชโสภา รจนาด้วยเครื่องพรรณราย
อานคร่ำจำหลักเปนรักร้อย กำภูภู่ห้อยเฉิดฉาย
หูบังตั้งฅอย่อท้าย เรียงรายบาทย่างอย่างยนต์
ตาหมายชายทุ่งแถวไพร ด้วยเจนในมรคามาหลายหน
พระเร่งรีบพาชีรี้พล จรดลเข้าในพนาวา

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

ยานี มาจะกล่าวบทไป ถึงองค์ปัตตาระกาหลา
เห็นวิยาหยาสะกำยกพลมา ก็นิมิตรกายาฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

ร่าย กลับกลายเปนรูปกวางทอง ประดับเครื่องเรืองรองเฉิดฉัน
ออกจากพุ่มไม้ไพรวัน ผาดผันระเห็จเตร็จทยาน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ วิ่งกรายร่ายชิดกระบวนม้า แล้วโผนผ่าพวกพลทวยหาญ
ขวางมาตรงหน้าพระภูบาล ทำอาการตื่นเต้นไปมา

ฯ ๒ คำ ฯ แผละ

๏ เมื่อนั้น วิยาหยาสะกำรุ่งฟ้า
ทอดพระเนตรเห็นมฤคา พระแสนเสนหาพันทวี
จึงตรัสสั่งพวกอาชาไนย ให้ล้อมไล่กวางทองผ่องศรี
สั่งพลางทางเร่งพาชี กับไพร่พลมนตรีตามไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กวางทองเทวาป่าใหญ่
เห็นพระควบขับอาชาไนย แล่นไล่กระชิดติดมา
ทำวิ่งระร่ายชายหนี ครั้นห่างพาชีก็หยุดท่า
กระดิกหางหูอยู่ไปมา ทำก้มกินหญ้าไม่เดินไป
ครั้นเห็นจวนทันก็ผันโผน โจนคะนองร้องปีบเสียงใส่
แล้วย่องเหยาะเหย่าเข้าไพร แกล้งให้ยวนใจพระทรงธรรม์

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น วิยาหยาสะกำเฉิดฉัน
ติดตามกวางทองเทวัญ รีบรันมิ่งม้าอาชาไนย
อันพวกพาชีทั้งนั้น ใครจะตามมาทันก็หาไม่
แต่ม้ากะหมันหรานั้นติดไป กับพระภูวไนยเปนสองรา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กวางทองปัตตาระกาหลา
วิ่งล่อวิยาหยาสะกำมา ถึงมรคาสามแพร่งพร้อมกัน
กลับกลายหายเพศมฤคา จึงวางรูปบุษบาสาวสวรรค์
ลงไว้ที่กลางทางนั้น เทวาก็อันตรธาน

ฯ ๔ คำ รัว เชิด

๏ เมื่อนั้น วิยาหยาสะกำใจหาญ
เร่งอัศวราชไชยชาญ ภูบาลเขม้นตามม้า

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ พอถึงมรคาสามแพร่ง สุดแรงพระองค์ลงหนักหนา
สิ้นทั้งกำลังอาชา พระสุริยาบ่ายคล้อยเมรุไกร
กวางทองหายไปกับไนยเนตร พระทรงเดชพะวงสงไสย
พระจึงรอรั้งอาชาไว้ ตรงรูปอรไทยที่วางนั้น

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึงกะหมันหรากิดาหยัน
เห็นกระดาษวาดรูปนางนั้น จึงโจนลงหยิบเอาทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วิยาหยาสะกำศรีใส
พระเห็นหยิบกระดาษประหลาดใจ ภูวไนยก็เรียกเอามาพลัน
คลี่ดูเห็นรูปเยาวเรศ ดังแว่นทองส่องเนตรเสียวกระสัน
เหมือนศรศักดิปักทรวงแดยัน ให้ป่วนปั่นมืดมัวไนยนา
เอารูปเหน็บใส่ในรัดองค์ ความจำนงซาบซ่านทั้งมังษา
สลบลงกับหลังอาชา กะหมันหราประคองพระองค์ทัน

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงเสนากิดาหยัน
อิกทหารโยธาทั้งนั้น มาทันก็ตระหนกตกใจ
เอาน้ำมาลูบภักตรา พระฟื้นกายาขึ้นมาได้
พระพี่เลี้ยงทูลถามว่าเหตุใด จึงซวนซบสลบไปดังนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วิยาหยาสะกำเรืองศรี
จึงบอกพี่เลี้ยงเสนี น้องวางพาชีหนักมา
จึงให้หิวโหยโรยแรง ฅอแห้งกระหายน้ำหนักหนา
ว่าแล้วก็กลับอาชา เร่งรีบพลมาเข้าธานี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นเอยครั้นถึง จึงประทับเกยแก้วเรืองศรี
พระเสด็จย่างเยื้องจรลี เข้าปราสาทมณีรจนา

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

ช้า พระปิดใบบานทวารทอง อยู่สองแต่กับกะหมันหรา
ทอดองค์ลงในที่ไสยา พระราชาเศร้าสร้อยละห้อยใจ
คลี่รูปโฉมตรูออกดูทรง แสนจำนงในจิตรพิศมัย
โอ้เจ้างามประเสริฐเลิศแดนไตร ทำไฉนจะได้มาชมชิด
แม้นรู้ว่าเจ้าอยู่บุรีไร จะตามไปภิรมย์สมสนิท
ไม่รักกายเสียดายแก่ชีวิตร นี่สุดความคิดสุดใจ
พระเอารูปประทับกับอุรา ถวิลหาแล้วถอนใจใหญ่
สุกรักสุดกลั้นชลไนย ก็ร่ำไรพิลาปโศกี

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

ร่าย บัดนั้น กะหมันหราซึ่งนั่งอยู่ข้างที่
เห็นภูวไนยไม่เปนสมประดี จึงชลีกรทูลไปทันใด
อันพระจะโศกเศร้าด้วยรูปทรง จะได้ดังจำนงก็หาไม่
จงระงับโศกาอาไลย เชิญไปสรงเสวยโภชนา
แล้วเสด็จขึ้นเฝ้าพระบิตุเรศ ทูลเหตุให้แจ้งดีกว่า
พระจะได้ให้เที่ยวทุกภารา น่าที่จะพบที่สบใจ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วิยาหยาสะกำศรีใส
จึงตอบกะหมันหราไปทันใด ไม่ไปไม่เห็นอกกัน
อันจะให้ดับความโศกา สุดปัญญาแล้วที่จะกลั้น
ด้วยปืนพิศม์ติดทรวงยิงยัน นับวันแต่จะม้วยบรรไลย
ถึงจะไปทูลพระบิดา ผ่านฟ้าจะได้ไหนมาให้
กิจจาก็จะแจ้งแพร่งไป จะได้ความอัปรยศอดอาย
ผิดชอบก็จะม้วยด้วยความรัก มิให้ประจักษ์คนทั้งหลาย
ตรัสพลางชลเนตรฟูมฟาย พระก่ายภักตร์พิลาปร่ำไร

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น ฝูงนางกำนัลน้อยใหญ่
เห็นพระปิดบานทวารไว้ มิได้สรงเสวยโภชนา
ได้ยินแต่เสียงสอื้นไห้ ต่างคนสงไสยเปนหนักหนา
ปรับทุกข์กันทุกกัลยา ฝูงนางก็พากันจรลี

ฯ ๔ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นเอยครั้นถึง จึงตั้งประนตบทศรี
ทูลพระบิตุเรศชนนี บัดนี้พระโอรสเรืองไชย
กลับมาแต่ไล่มฤคา เข้าห้องไสยาแล้วครวญใคร่
ทูลถี่คลี่คลายความไป ท่านทรงทราบพระบาทา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระบิตุเรศชนนีเสนหา
ฟังนางกำนัลทูลมา ทั้งสองกระษัตราก็ตกใจ
โอ้ว่าลูกรักไปป่า มีเหตุไภยมาเปนไฉน
ตรัสพลางสองเสด็จคลาไคล ไปยังปราสาทพระลูกยา

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงเห็นหับทวารไว้ พระแปลกเปลี่ยนใจเปนหนักหนา
จึงตรัสเรียกไปมิได้ช้า กะหมันหราจงเปิดทวารไชย

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วิยาหยาสะกำศรีใส
ได้ยินเสียงบิตุเรศก็ตกใจ เอารูปนางซ่อนไว้ทันที

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
ทั้งประไหมสุหรีเทวี เข้าไปนั่งที่แท่นไสยา
เห็นลูกรักบังคมแล้วร้องไห้ พระลูบไล้ปลอบถามโอรสา
เปนไฉนลูกแก้วแววตา จึงมาโศกาอยู่ดังนี้
เจ้าลีลาไปประพาศป่า หวังว่าจะให้เกษมศรี
ฤๅเกิดโรคายายี จงบอกคดีแต่จริงมา

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

โอ้ เมื่อนั้น วิยาหยาสะกำรุ่งฟ้า
กราบบาทบิตุเรศมารกา โศกาพลางทูลสนองไป
๏ ครั้งเอยครั้งนี้ ชีวีลูกจะม้วยตักไษย
จะขอลาบาทบงสุ์พระทรงไชย ทูลพลางร่ำไห้โศกี

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

โอ้ เมื่อนั้น พระบิตุเรศมารดาทั้งสองศรี
ฟังโอรสาพาที ดังใครเด็ดดวงชีวีไป
สององค์ทรงโศกโศกา กอดราชบุตราเข้าร่ำไห้
เจ้าผู้มิ่งเมืองเรืองไชย ไยพ่อมาว่าจะมรณา
แม้นจะประสงค์สิ่งไร จะหาให้ดังใจปราถนา
บรรดามีในใต้ฟ้า จะนำมาให้สมอารมณ์คิด
วานพ่ออย่าว่าจะม้วยมรณ์ บิตุเรศมารดรจะขาดจิตร
ด้วยรักเจ้าเท่าดวงชีวิตร สุดคิดด้วยไม่บอกคดีี

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

ร่าย แล้วพระดำริห์ตริตรา ชรอยไปเล่นป่าต้องผี
จึงสั่งให้หาหมอคนดี ทั้งจัดเครื่องพลีเทวัญ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งแล้วผายผัน
เร่งให้หาหมอฉับพลัน ใครดีจัดสรรกันเข้ามา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ หมอปิศาจก็เสียพระไพร โหรว่าร้ายในชัณษา
แต่งเครื่องบูชาเทวา หมอยาแต่งยาวุ่นไป
ต่างรู้ต่างทำมากหลาย พระจะเคลื่อนคลายก็หาไม่
บรรดาหมอทุกคนก็จนใจ จะแก้ไขก็สุดปัญญา

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้ เมื่อนั้น ประไหมสุหรีเสนหา
เห็นโอรสไม่วายโศกา กัลยาพ่างเพียงจะขาดใจ
สองกรนางข้อนอุระร่ำ โอ้กรรมของแม่เปนไฉน
สุดคิดเห็นผิดใจไป จะแก้ไขก็ไม่เคลื่อนคลา

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

ร่าย พระชนนีจึงอุ้มขึ้นโลมเล้า อย่าโศกเศร้านักเลยฟังแม่ว่า
เชิญพ่ออาบน้ำกินโภชนา เหมือนเจ้าเมตตาชนนี
ปลอบพลางนางเห็นกระดาษ ซึ่งวาดรูปบุษบามารศรี
จึงทูลพระราชสามี รูปเลขานี้ประหลาดใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงเปนใหญ่
หยิบรูปมาดูทันใด ภูวไนยเพ่งพิศอัศจรรย์
เฉิดโฉมประโลมโลกา ยิ่งนางในฟากฟ้ากระยาหงัน
จึงตรัสถามโอรสไปพลัน เจ้าคลั่งรูปอันนี้ฤาไร

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วิยาหยาสะกำศรีใส
บังคมบิตุรงค์ทรงไชย ภูวไนยรับรศพจนา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระบิตุเรศตรัสแก่โอรสา
อันรูปนี้เลิศลักษณโสภา นางในใต้ฟ้าไม่มีใคร
ชรอยจะเปนรูปเทวา แกล้งนิมิตรมาให้หลงใหล
เจ้าอย่าโศกาอาไลย จงหักใจเสียเถิดณลูกรัก

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้ เมื่อนั้น วิยาหยาสะกำมีศักดิ
ได้ฟังกลัดกลุ้มฤไทยนัก ดังอัคนิรุตมาจุดใจ
เลื่อนลงจากตักพระชนนี ยิ่งแสนโศกีสอื้นไห้
พระบิตุเรศจะปลอบสักเท่าไร พระไม่เจรจาพาที

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

ร่าย เมื่อนั้น จึงองค์ประไหมสุรี
บังคมทูลท้าวผู้สามี พระจงถามเสนีทั้งหลายดู
เกลือกคนทั้งปวงจะแจ้งใจ หน่อกระษัตรกรุงใดจะมีอยู่
เหมือนรูปเลขาอันงามตรู จะสู่ให้โอรสดังจินดา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงรุ่งฟ้า
จึงถามพระราชบุตรา เจ้าได้รูปนี้มาแต่แห่งไร

ฯ ๒ คำ ฯ

(ตรงนี้ฉบับขาด)

๏ เมื่อนั้น พระบิตุเรศจึงถามกะหมันหรา
ยังจะจำสำคัญมรรคา ได้ฤๅมิได้จงว่าไป

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กะหมันหราบังคมประนมไหว้
ทูลว่าท่าทางพนาไลย อันที่ซึ่งได้รูปนารี
เปนทางร่วมไปเมืองจรกา ทางหนึ่งดาหากรุงศรี
ทางหนึ่งมาเมืองพระพันปี รูปนี้วางอยู่ที่ตรงนั้น

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระบิตุเรศไอสวรรย์
จึงว่าแก่โอรสด้วยพลัน อย่าโศกเศร้าแสนศัลย์ไปมา
พ่อจะหาให้เจ้าจงได้ ให้สำเร็จดังใจปราถนา
ปลอบให้สรงเสวยโภชนา แล้วพาเอารูปเลขาไป

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ถึงปราสาทแก้วแววฟ้า จึงแจ้งแก่เสนาผู้ใหญ่
ใครได้เห็นนางอย่างเขียนไว้ ธิดาเมืองไหนยังจะมี

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงทูลแจงถ้วนถี่
อันรูปนี้จะเปนพระบุตรี ดาหาธานีเปนแน่นอน
ข้างท้าวจรกาให้มาสู่ น่าจะวาดรูปนี้ไปดูก่อน
จึงตกอยู่ทางร่วมพระนคร เห็นแน่นอนอยู่แล้วพระพันปี
เดิมพระบุตรีดาหานั้น ข้างท้าวกุเรปันเรืองศรี
ตุนาหงันให้ระเด่นมนตรี พระมิได้ยินดีด้วยกัลยา
พระไปเลี้ยงระเด่นบุตรี ในราชธานีหมันหยา
ท้าวดาหาแค้นขัดพระนัดดา ว่าไม่มาทำการพิธี
พระไม่คิดแก่ศักดิเทวา จึงยกราชธิดาโฉมศรี
ให้แก่จรกาภูมี บัดนี้ยังไม่ได้แต่งการ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงได้ฟังสาร
ชื่นชมภิรมย์เบิกบาน จึงกล่าวพจมานแก่เสนา
ด้วยระเด่นมนตรีไม่เลี้ยงนาง ฝ่ายข้างจรกาจึงมาว่า
เราก็จะไปขอนางกัลยา แล้วแต่พระบิดาจะปลงใจ
ถึงจะรบล่าสำจรกา อันจะกลัวฤทธาก็หาไม่
จึงแต่งราชสารทันใด บรรยายตามในคดี
พระจึงส่งรูปอันเลขา ซึ่งรจนายิงอับศรศรี
กับเครื่องบรรณาการมากมี ตามประเพณีวงษ์เทวัญ
สั่งให้ดะหมังตำมะหงงไป แล้วให้ตรวจเตรียมทัพขันธ์
แล้วสั่งไปนอกราชสารนั้น ถ้าทรงธรรม์มิให้ธิดา
เร่งระมัดประหยัดองค์จงดี จะยกมาตีกรุงดาหา
แล้วเร่งไปบอกอนุชา ให้หาเมืองขึ้นจงพร้อมกัน
บัดนี้จะมีการณรงค์ จงเร่งยกมาเปนทัพขัน
สั่งเสร็จเสด็จจรจรัล ผายผันมาปราสาทพระโอรส

ฯ ๑๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงตระโบมโลมไล้ แล้วแจ้งความให้คลายกำสรด
พ่ออย่าโศกศัลย์รันทด คงสมดังมโนรถลูกยา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วิยาหยาสะกำรุ่งฟ้า
กราบกับพระบาทพระบิดา ทรงแสนโศกาค่อยบันเทา

ฯ ๒ คำ ฯ

ตอนนี้ฉบับลบ

จับตอนเมืองขึ้นกะหมังกุหนิงยกมา

๏ เมื่อนั้น เหล่าระตูปรีดิ์เปรมเกษมศรี
จะขออาสาไปครานี้ พระมีสงครามแต่ละครั้ง
พระองค์อย่าร้อนหฤไทย จะสู้ม้วยบรรไลยไม่กลับหลัง
กว่าจะสุดฤทธิกำลัง จะตั้งหน้าต่อด้วยไพรี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
ชวนสองอนุชาผู้ภักดี จรลีเข้าในปราสาทพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า

๏ ระตูทั้งปวงก็คลาไคล ต่างองค์ต่างไปตั้งที่มั่น
มาตั้งทัพยับยั้งอยู่แน่นนัน ตรวจเตรียมพลขันธ์ให้พร้อมไว้

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งสองอนุชาศรีใส
จึงทูลพระเชษฐาธิราชไป เปนไฉนจึงมาเปนดังนี้
อันองค์อสัญแดหวา ฤทธาดังพระยาราชสีห์
ทั้งทหารชาญไชยก็มากมี เลือกล้วนฝีมือระบือฤทธิ์
ทั้งเมืองขึ้นเมืองออกก็นับร้อย เราเท่าหิ่งห้อยกะจิหริด
จะมาแข่งด้วยแสงพระอาทิตย์ เห็นผิดระบอบบุราณมา
อันตัวเรามีฤทธิไกร จะเปรียบไปดังน้ำค้างที่ปลายหญ้า
แต่ร้อนแรงต้องแสงพระสุริยา มิช้าก็จะแห้งเหือดไป
ขอพระองค์ผู้ทรงทศธรรม์ เอาปัญญาผ่อนผันแก้ไข
พระเปนที่ดับเข็ญให้เย็นใจ สิ่งใดพระคิดดูจงนัก

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงทรงศักดิ์
พระร่านร้อนหฤไทยอยู่นัก จึ่งหาญหักเบี่ยงเลี่ยงตอบมา
อันเจ้าว่าทั้งนี้พี่แจ้งใจ ใช่จะไปรบวงษ์อสัญหยา
จะชิงไชยด้วยท้าวจรกา เจ้าจะปรารมภ์ใจไปไยมี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองระตูประนตบทศรี
อันพระองค์ดำริห์ดังนี้ เห็นผิดท่วงทีบุราณมา
แม้นนางไปอยู่เมืองระตู ก็ควรอยู่ด้วยพ้นกรุงดาหา
นี่นางยังอยู่กับภารา ท้าวดาหาฤาจะทิ้งอรไทย
อันวงษ์อสัญแดหวา ก็ปรากฎพสุธาหวั่นไหว
จรกาฤาจะพานางไป เห็นจะพึ่งฤทธิไกรพระบิดา
อันจะทำสงครามครานี้ ใช่แต่ธานีดาหา
สามบุรีก็จะกรีพลมา จรกาจะได้สรวลไยไพ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงเปนใหญ่
เปนผลกรรมที่จะบรรไลย พเอิญให้เบี่ยงเลี่ยงจำนรรจา
อันระเด่นมนตรีกุเรปัน ไปเลี้ยงนางในเมืองหมันหยา
ท้าวดาหาแค้นขัดพระนัดดา อันจะมาช่วยรบเห็นผิดไป
ฝ่ายข้างระเด่นมนตรี ก็ตัดรอนไมตรีเปนข้อใหญ่
กับอาว์สิขัดข้องหมองใจ พี่เห็นจะไม่ไคลคลา
จะรบกันแต่สามบุรี ท่วงทีจะกะไรกันหนักหนา
อันระตูล่าสำจรกา เห็นน่าจะไม่เปนไรนัก
เราก็มีฤทธิแรงแขงขัน เพียงนั้นเห็นพอจะโหมหัก
อันอนะนี้คลั่งใจนัก มิได้นางว่าจักมรณา
ถ้าวิยาหยาสะกำมอดม้วย พี่ก็จะตายด้วยโอรสา
ไหนไหนก็ในจะมรณา ถึงเร็วถึงช้าก็เหมือนกัน
ผิดก็ทำสงกรามดูตามที เกลือกบุญมีจะได้นางสาวสรรค์
พี่ดังพฤกษาพนาวัน จะอาสัญเพราะลูกดังกล่าวมา

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกระษัตรได้ฟังเชษฐา
ทูลทัดเห็นจะขัดอัชฌา ทั้งเอนดูนัดดาจะบรรไลย
จึงสั่งให้เตรียมพลมนตรี จะคอยฟังสารศรีไปกรุงใหญ่
จะโต้ตอบว่าขานประการใด แม้นมิให้จะยกไปต่อตี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
กับสองอนุชาธิบดี ต่างองค์เข้าที่ไสยา

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ บัดนั้น ฝ่ายดะหมังตำมะหงงใจกล้า
ซึ่งเปนทูตถือราชสารมา ถึงปลายด่านดาหาธานี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ จึงเร่งให้บอกแก่ขุนด่าน ว่าเครื่องบรรณาการกับสารศรี
มาแต่กะหมังกุหนิงบุรี ถวายอัญชลีพระราชา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ชาวด่านครั้นแจ้งก็หรรษา
ก็เขียนหนังสือมิทันช้า ขึ้นม้าควบขับไปฉับไว

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ มาเอยมาถึง ยังมหาเสนาผู้ใหญ่
ขุนด่านจึงคลานเข้าไป กราบไหว้แล้วให้หนังสือพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงครั้นแจ้งก็ผายผัน
ถึงเวลาเฝ้าพระทรงธรรม์ ก็เข้าไปอภิวันท์พระพันปี

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ว่าบัดนี้มีทูตจำทูลสาร มาอยู่ยังปลายด่านกรุงศรี
จะถวายบังคมพระภูมี จงแจ้งธุลีพระทรงไชย

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวดาหาเรืองฤทธิ์ดังสุริย์ใส
จึงสั่งตำมะหงงเสนาใน ให้แต่งไปรับราชสารมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงรับสั่งใส่เกษา
ก้มเกล้าเคารพสามลา มาตรวจตราตามมีพจมาน
ทั้งเครื่องแห่แหนโดยขนาด ตามอย่างเคยรับพระราชสาร
ทุกหมวดทุกหมู่พนักงาน ก็ได้จบครบการมิทันช้า
จึงแต่งให้เสนาผู้ใหญ่ คุมพลสกลไกรซ้ายขวา
ครั้นเสร็จให้ยกโยธา ออกมายังด้านเวียงไชย

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น จึงมหาเสนาผู้ใหญ่
ก็เข้าไปแถลงให้แจ้งใจ แก่ทูตผู้ใหญ่ซึ่งมานั้น

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทูตานุทูตคนขยัน
ครั้นใกล้รุ่งรังษีรวีวรรณ ก็ยกพลขันธ์เข้ากรุงไกร

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ มาเอยมาถึง จึงไปหาเสนาผู้ใหญ่
ครั้นเวลาเฝ้าก็เข้าไป สำนักอยู่ในศาลา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพดาหา
ครั้นจะใกล้รุ่งแสงพระสุริยา ก็สระสรงคงคาอ่าองค์
ทรงอุรับสุคนธ์ปนทอง ทรงสังวาลกาญจน์กรองก่องก่ง
ทรงพาหุรัดธำมรงค์ แล้วทรงมงกุฎเพ็ชรพราย
ทรงอุบะสุวรรณอันอำไพ ทรงกฤชฤทธิไกรผันผาย
สู่ภัทรบิฐแก้วแพรวพราย ผายเผยสีหบัญชรไชย

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาสามนต์บังคมไหว้
ดะหมังจึงทูลขึ้นทันใด เบิกทูตทั้งสามมิได้ช้า
ข้าขอบังคมบรมนารถ พระบาทผู้ผ่านภพดาหา
ท้าวกะหมังกุหนิงมีสารมา ให้ดะหมังเสนาจำทูล
บัดนี้มาอยู่ณศาลา จะเข้ามากราบบาทนเรนทร์สูรย์
จำเริญราชไมตรีให้เพิ่มภูล ตามบูรพ์ประเพณีมา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงเมืองเรืองรุ่งกรุงดาหา
จึงสั่งปาเตะเสนา ให้เบิกทูตาเข้ามาพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ปาเตะรับสั่งแล้วผายผัน
จึงออกไปยังศาลาพลัน ก็นำทูตนั้นเข้ามา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น ดะหมังตำมะหงงใจกล้า
ก้มเกล้ากราบงามสามลา ถวายรูปพระธิดาทันที
ทั้งเครื่องราชบรรณาการ ทูลถวายพระราชสารศรี
ส่งให้ตำมะหงงเสนี ตำแหน่งที่ได้อ่านสารา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงฝ่ายกรุงดาหา
ก้มเกล้ากราบงามสามลา รับสารมาอ่านฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า ในลักษณราชสารศรี ว่าภูมีอันครองไอสวรรย์
กรุงไกรกะหมังกุหนิงนั้น ขอถวายอภิวันท์พระบาทา
พระผู้บรมวงษ์เทเวศร์ ซึ่งดำรงนัคเรศดาหา
อันทรงสุรภาพมหิมา จะขอพึ่งเดชาพระทรงธรรม์
ให้เย็นไพร่ฟ้าอาณาจักร เปนที่พำนักโลกสบสรรพ์
จะสมบูรณ์ภูลศุขทุกนิรันตร์ จะดับเข็ญเย็นขัณฑเสมา
ให้ปรากฎยศเกียรติทั้งธาตรี จะเปนที่ใสโสมนัศา
ปัจจามิตรที่คิดจะบีทา จะระอาเข็ดขามไม่ลามลวน
เพราะพระเดชาอานุภาพ จะปราบหมู่ทุจริตผิดผวน
จะประกอบแต่ชอบทั้งมวญ พระควรเปนปิ่นปักในโลกา
ข้าน้อยขอแถลงในบาทบงสุ์ พระจงโปรดเกล้าเกษา
อันวิยาหยาสะกำกุมารา ไปเล่นป่าได้รูปพระบุตรี
บัดนี้คลั่งไคล้ใหลหลง จิตรจงปลงรักนางโฉมศรี
แม้นมิได้จะม้วยชีวี ชรอยมีวาศนาเคยคู่กัน
พระองค์จงประทานชีวิตรไว้ อย่าให้สุดสิ้นอาสัญ
แม้นวิยาหยาสะกำม้วยชีวัน อันชีวิตรข้านั้นจะปลดปลง
พระอย่าสลัดตัดเยื่อใย จงอวยให้ดังใจประสงค์
จะเปนแผ่นทองเดียวด้วยพระองค์ อันทรงทศพิธไม่ผิดธรรม์

ฯ ๑๘ คำ ฯ

ร่าย เมื่อนั้น ท้าวดาหาฤทธิเพียงพระสุริย์ฉัน
จึงกล่าวพจนาดถ์ไปพลัน อันระตูจะขอพระบุตรี
ข้างจรกามาว่าไว้ เราก็รับจะให้นางโฉมศรี
ครั้นจะรับของสู่ระตูนี้ จะเสียคำพาทีฉันใด

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทูตานุทูตบังคมไหว้
จึงสนองมธุรศทันใด ระตูให้กราบทูลพระภูมี
เปนพจนาดถ์นอกราชสาร ถ้าภูบาลมิประสาทนางโฉมศรี
เร่งระวังพระองค์ให้จงดี ตกแต่งบุรีให้มั่นคง

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวดาหาเรืองฤทธิ์สูงส่ง
มีสุรสิงหนาทอาจอง จะทำการณรงค์ก็ตามใจ
อันจะอาสัจให้ผิดธรรม์ ขนบโบราณนั้นไม่ได้
ตัวเราเผ่าเทพเรืองไชย สู้ม้วยบรรไลยด้วยสัจจา
ครั้นสรรพก็หับบัญชรไชย ร้อนเร้าหฤไทยเปนหนักหนา
ดังไฟหมกไหม้ในกายา พระแค้นขัดนัดดาแสนทวี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทูตาประนตบทศรี
ลงจากพระโรงรูจี ขึ้นพาชีขับไปฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ท้าวดาหาฤทธิแรงแขงขัน
จึงสั่งดะหมังฉับพลัน จงไปกุเรปันธานี
กับกรุงกาหลังภารา ทั้งอนุชาสิงหัดสาหรี
อิกระตูจรกาธิบดี จงแจ้งตามที่สารา
ว่าท้าวกะหมังกุหนิงชาญไชย มาขอบุตรีให้โอรสา
แม้นมิให้จะรบเอาธิดา พระเชษฐาจะโปรดประการใด

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทั้งสี่เสนีบังคมไหว้
ออกมาขึ้นพาชีไชย แยกกันไปคนละบุรี
คนหนึ่งไปกรุงกุเรปัน คนหนึ่งไปสิงหัดสาหรี
คนหนึ่งไปกาหลังธานี คนหนึ่งไปบุรีจรกา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ มาเอยมาถึง จึงแจ้งคดีแก่ยาสา
ครั้นเวลาเฝ้าก็เข้ามา ยังพระโรงรจนาทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผ่านภพกุเรปันเปนใหญ่
ครั้นรุ่งรางสางแสงอโณไทย ภูวไนยออกพระโรงรจนา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ กับพระมเหษีห้าองค์ สำหรับวงษ์อสัญแดหวา
สถิตย์ยังแท่นแก้วมุกดา ปราไสเสนาทั้งปวงไป

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาดาหาบังคมไหว้
ทูลว่าพระอนุชาชาญไชย ให้ข้าน้อยมาแจ้งกิจจา
ด้วยท้าวกะหมังกุหนิง จะมาชิงพระบุตรีดาหา
ขอพระองค์จงแจ้งบาทา พระอนุชาร่านร้อนรำคาญ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวกุเรปันได้ฟังสาร
จึงมีวโรรศพจมาน อันการสงครามที่มีมา
ด้วยอิเหนาทำการนี้ผิดนัก ไปหลงรักบุตรีเมืองหมันหยา
จึงเกิดเหตุเภทไภยในนัครา พระมิได้ว่าขานประการใด

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาดาหากรุงใหญ่
ไปสิงหัดสาหรีทันใด ทั้งพิไชยกาหลังธานี
ครั้นถึงจึงเข้าไปวันทา ทูลพระอนุชาทั้งสองศรี
ตามในเหตุผลต้นคดี ว่าธานีเกิดการโกลา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสิงหัดสาหรีรุ่งฟ้า
ได้แจ้งแห่งคำเสนา พระจึงมีวาจาทันใด
องค์พระเชษฐานี้ผิดนัก ไม่รักศักดิจึงเกิดศึกใหญ่
เพราะพระธิดายาใจ แม้นครองไว้ในวงษ์เทวัญ
ที่ไหนจะเปนเช่นนี้ บุรีก็จะศุขเกษมสันต์
เอาศักดิชั่วมาระคนปนกัน หุนหันตัดรอนห่อนคิด
ว่าพลางทางสั่งเสนา กับสุหรานากงผู้ร่วมจิตร
ให้จัดทหารชำนาญฤทธิ์ เคยปราบปัจจามิตรมีไชย
จะไปช่วยสงครามเมืองดาหา พระเชษฐามีการศึกใหญ่
ให้เร่งยกทัพขับพลไป แต่ในพรุ่งนี้อย่าได้ช้า
ฝ่ายท้าวกาหลังฤทธิรงค์ ให้ตำมะหงงคุมพลอาสา
ไปช่วยพันตูพระพี่ยา ในพิไชยดาหาธานี

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายท้าวกุเรปันเรืองศรี
จึงสั่งดะหมังเสนี ให้แต่งสารศรีสองใบ
ใบหนึ่งให้ท้าวหมันหยา กับองค์โอรสาศรีใส
แต่งสารแจ้งความตามใน จะคิดอ่านเปนไฉนครั้งนี้

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ดะหมังรับสั่งใส่เกษี
ออกมาแต่งสารทันที แล้วขึ้นพาชีรีบไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ มาเอยมาถึง ซึ่งพิไชยหมันหยากรุงใหญ่
ไปยังติกาหรังพระภูวไนย บังคมไหว้แล้วถวายสารา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีรุ่งฟ้า
รับสารจากดะหมังเสนา พระผ่านฟ้าคลี่อ่านทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า ในลักษณสารพระบิดา ว่ากรุงดาหาเปนศึกใหญ่
ให้เร่งยกพลสกลไกร ไปช่วยชิงไชยให้ทันที
ถึงจะไม่เลี้ยงกับบุษบา ว่าชั่วช้าอัปรลักษณ์ทั้งศักดิศรี
แต่เขาแจ้งอยู่สิ้นทั้งธรณี ว่านางนี้เปนน้องของตัวมา
อนึ่งท้าวดาหาฤทธิไกร มิใช่อาว์ฤๅไรให้เร่งว่า
อันสุริวงษ์เราเหล่าเทวา ไม่เคยเสียภาราแก่ผู้ใด
ถ้าแม้นเสียกรุงดาหา ตัวจะอายหน้าฤาหาไม่
อันเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะใคร ถ้าไปอยู่เลี้ยงกับบุตรี
ที่ไหนจะเกิดสงคราม ใครจะหยาบหยามได้ก็ใช่ที่
ซึ่งเกิดเหตุเภทไภยครั้งนี้ เพราะตัวทำความดีเปนพ้นไป
ครั้งหนึ่งก็เสียวาจา อายชาวดาหากรุงใหญ่
ครั้งนี้จะคิดประการใด จะให้เสียศักดิก็ตามที
แม้นว่ามิยกไปช่วย ถึงเรามอดม้วยอย่าดูผี
อย่าดูทั้งเปลวอัคคี ขาดกันแต่วันนี้ไป

ฯ ๑๔ คำ ฯ

ร่าย ครั้นอ่านเสร็จสารพระทรงฤทธิ์ ถอนฤไทยคิดแล้วสงไสย
บุษบาจะงามสักเพียงไร จึงให้ช่วงชิงกันเปนโกลี
ช่างไม่เสียดายชีวา จะพากันมาม้วยด้วยโฉมศรี
แม้นงามเหมือนจินตะหราวาตี ถึงจะเสียชีวีก็ควรนัก
แล้วว่ากับดะหมังเสนา จงจัดแจงโยธาไปหาญหัก
มิให้เสียวงษาสุรารักษ์ งดสักเจ็ดวันจะยกไป

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดะหมังบังคมประนมไหว้
ทูลว่าช้านักพระภูวไนย เกลือกว่าไม่ทันจะเสียที
เชิญเสด็จไปก่อนดีกว่า เสร็จแล้วจึงกลับมากรุงศรี
ท้าวจะหน่วงภูวไนยไว้ไยมี พันปีอย่าร้อนพระหฤไทย

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีศรีใส
พระคิดจะบิดเบือนเลื่อนวันไป ก็เกรงในบิตุเรศตัดมา
ความกลัวความรักสลักอก วิตกด้วยห่วงหลังกังวลน่า
จำเปนจำกูจะไคลคลา จึงสั่งประสันตาทันใด
จงเร่งรัดจัดพลอาสา โยธาสำหรับทัพใหญ่
ม้ารถคชสารชาญไชย เลือกเอาพลไกรแต่ตัวดี
ที่คงทนรณรบไม่ราถอย สิบคนสู้ร้อยไม่รู้หนี
แต่ปืนตึงก็ถึงไพรี ให้ทันทีสวนควันเข้าไป
เราจะรบให้ระตูรู้ฤทธิ์ นานไปอย่าให้คิดต่อได้
จะให้ปรากฎพระยศไว้ ทั้งในแว่นแคว้นแดนชวา
พรุ่งนี้จะยกพลไกร รีบไปพันตูกรุงดาหา
สั่งเสร็จเสด็จทรงอาชา ไปเฝ้าท้าวหมันหยาทันใด

ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ดะหมังเสนาผู้ใหญ่
จึงรีบลีลาคลาไคล เข้าไปยังที่ศาลา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงแจ้งคดี แก่มหาเสนีหมันหยา
ตามสารศรีที่มีในสารา แล้วพากันเข้าเฝ้าพระทรงธรรม์

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาหมันหยาคนขยัน
จึงทูลเบิกดะหมังด้วยพลัน ว่าท้าวกุเรปันใช้มา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดะหมังกราบงามสามท่า
ทูลตามสำเนาสารา ให้ข้ามาเฝ้าพระภูมี

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวหมันหยารับเอาสารศรี
มาจากดะหมังเสนี แล้วคลี่ออกทรงทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ

ต่อนี้ฉบับขาด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ