- พระยาอภิรักษราชอุทยาน (แฉล้ม อมาตยกุล)
- คำนำ
- ตอนตั้งวงษ์เทวา จนถึงอิเหนาไปอยู่เมืองหมันหยาครั้งแรก
- ตอนเข้าห้องจินตะหรา จนถึงอิเหนาตอบสารท้าวกุเรปัน ตัดอาไลยบุษบา
- ตอนวิหยาสะกำเที่ยวป่า จนถึงท้าวหมันยารับสารท้าวกุเรปัน
- ตอนศึกกะหมังกุหนิง
- ตอนเข้าเมืองมละกา จนถึงอุนากันขึ้นเขาประจาหงัน
- ตอนหย้าหรันตกไปเมืองมะงาดา จนถึงระเด่นดะราหวันตามหยันมาเมืองกาหลัง
ตอนวิหยาสะกำเที่ยวป่า จนถึงท้าวหมันยารับสารท้าวกุเรปัน
จับตอนวิหยาสกำเที่ยวป่า
๏ เมื่อนั้น | วิยาหยาสะกำเรืองศรี |
อยู่เย็นเปนศุขทุกราตรี | เมื่อจะมีเหตุเภทพาล |
ด้วยเทวามาเข้าดลจิตร | ให้คิดจะไปเที่ยวไพรสาณฑ์ |
ล่าไล่มฤคาให้สำราญ | พระภูบาลจึงสั่งเสนา |
ให้เตรียมกระบวนอาชาไนย | เราจะไปประพาศพฤกษา |
แต่เพลาย่ำรุ่งสุริยา | ตรวจตราให้พร้อมในราตรี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกษี |
ยอกรก้มเกล้ามาทันที | ตรวจเตรียมพาชีพร้อมไว้ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | วิยาหยาสระกำศรีใส |
ครั้นรุ่งรางสางแสงอโณไทย | ภูวไนยสระสรงสาคร |
ฯ ๒ คำ ฯ
โทน๏ น้ำกุหลาบอาบอบกลิ่นฟุ้ง | ระคนปรุงจวงจันทน์เกสร |
ทรงภูษาทองช้ำเชิงมังกร | รัดพระองค์บวรกุดั่นดวง |
ฉลององค์ตาดปักเปนรักร้อย | ดุมพลอยเพ็ชรลูกแตงแสงช่วง |
สังวาลตาบประดับทับทรวง | ทองกรร่วงรุ้งเนาวรัตน์ |
แล้วสอดมหาธำมรงค์ | แต่ละวงแสงใสไตรตรัด |
ทรงมงกุฎอร่ามงามพิพัฒน์ | ทัดอุบะกลิ่นฟุ้งขจาย |
ทรงส้าโบะกรองทองสลับ | พระจับกฤชฤทธิไกรผันผาย |
ออกจากห้องแก้วพรรณราย | นาดกรายขึ้นเฝ้าพระบิดา |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
ร่าย๏ ครั้นถึงจึงถวายบังคม | บรมบิตุราชนาถา |
ทั้งองค์สมเด็จพระมารดา | ทูลว่าลูกไม่สบายใจ |
จะลาไปมะงุมมะงาหรา | ล่าไล่มฤคาในป่าใหญ่ |
พอให้สำราญหฤไทย | สุริย์ใสบ่ายคล้อยจะกลับมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระบิตุเรศชนนีเสนหา |
ได้ฟังโอรสทูลลา | พระแสนกรุณาอาไลย |
กอดจูบลูบทั่วกายา | แก้วตาผู้ยอดพิศมัย |
เจ้าจะไปเล่นป่าก็ตามใจ | แต่อย่าได้อยู่ในพนาลี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิยาหยาสะกำเรืองศรี |
บังคมลาบิตุเรศชนนี | ภูมีเสด็จคลาไคล |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงเกยแก้วรูจี | พระขึ้นทรงพาชีศรีใส |
คลายคลี่กรีพลอาชาไนย | ออกจากเวียงไชยรีบมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
โทน๏ ม้าเอยม้าทรง | อาจองเรี่ยวแรงแขงกล้า |
ผ่านอำมฤคราชโสภา | รจนาด้วยเครื่องพรรณราย |
อานคร่ำจำหลักเปนรักร้อย | กำภูภู่ห้อยเฉิดฉาย |
หูบังตั้งฅอย่อท้าย | เรียงรายบาทย่างอย่างยนต์ |
ตาหมายชายทุ่งแถวไพร | ด้วยเจนในมรคามาหลายหน |
พระเร่งรีบพาชีรี้พล | จรดลเข้าในพนาวา |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
ยานี๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงองค์ปัตตาระกาหลา |
เห็นวิยาหยาสะกำยกพลมา | ก็นิมิตรกายาฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
ร่าย๏ กลับกลายเปนรูปกวางทอง | ประดับเครื่องเรืองรองเฉิดฉัน |
ออกจากพุ่มไม้ไพรวัน | ผาดผันระเห็จเตร็จทยาน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ วิ่งกรายร่ายชิดกระบวนม้า | แล้วโผนผ่าพวกพลทวยหาญ |
ขวางมาตรงหน้าพระภูบาล | ทำอาการตื่นเต้นไปมา |
ฯ ๒ คำ ฯ แผละ
๏ เมื่อนั้น | วิยาหยาสะกำรุ่งฟ้า |
ทอดพระเนตรเห็นมฤคา | พระแสนเสนหาพันทวี |
จึงตรัสสั่งพวกอาชาไนย | ให้ล้อมไล่กวางทองผ่องศรี |
สั่งพลางทางเร่งพาชี | กับไพร่พลมนตรีตามไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | กวางทองเทวาป่าใหญ่ |
เห็นพระควบขับอาชาไนย | แล่นไล่กระชิดติดมา |
ทำวิ่งระร่ายชายหนี | ครั้นห่างพาชีก็หยุดท่า |
กระดิกหางหูอยู่ไปมา | ทำก้มกินหญ้าไม่เดินไป |
ครั้นเห็นจวนทันก็ผันโผน | โจนคะนองร้องปีบเสียงใส่ |
แล้วย่องเหยาะเหย่าเข้าไพร | แกล้งให้ยวนใจพระทรงธรรม์ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | วิยาหยาสะกำเฉิดฉัน |
ติดตามกวางทองเทวัญ | รีบรันมิ่งม้าอาชาไนย |
อันพวกพาชีทั้งนั้น | ใครจะตามมาทันก็หาไม่ |
แต่ม้ากะหมันหรานั้นติดไป | กับพระภูวไนยเปนสองรา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | กวางทองปัตตาระกาหลา |
วิ่งล่อวิยาหยาสะกำมา | ถึงมรคาสามแพร่งพร้อมกัน |
กลับกลายหายเพศมฤคา | จึงวางรูปบุษบาสาวสวรรค์ |
ลงไว้ที่กลางทางนั้น | เทวาก็อันตรธาน |
ฯ ๔ คำ รัว เชิด
๏ เมื่อนั้น | วิยาหยาสะกำใจหาญ |
เร่งอัศวราชไชยชาญ | ภูบาลเขม้นตามม้า |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ พอถึงมรคาสามแพร่ง | สุดแรงพระองค์ลงหนักหนา |
สิ้นทั้งกำลังอาชา | พระสุริยาบ่ายคล้อยเมรุไกร |
กวางทองหายไปกับไนยเนตร | พระทรงเดชพะวงสงไสย |
พระจึงรอรั้งอาชาไว้ | ตรงรูปอรไทยที่วางนั้น |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึงกะหมันหรากิดาหยัน |
เห็นกระดาษวาดรูปนางนั้น | จึงโจนลงหยิบเอาทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิยาหยาสะกำศรีใส |
พระเห็นหยิบกระดาษประหลาดใจ | ภูวไนยก็เรียกเอามาพลัน |
คลี่ดูเห็นรูปเยาวเรศ | ดังแว่นทองส่องเนตรเสียวกระสัน |
เหมือนศรศักดิปักทรวงแดยัน | ให้ป่วนปั่นมืดมัวไนยนา |
เอารูปเหน็บใส่ในรัดองค์ | ความจำนงซาบซ่านทั้งมังษา |
สลบลงกับหลังอาชา | กะหมันหราประคองพระองค์ทัน |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงเสนากิดาหยัน |
อิกทหารโยธาทั้งนั้น | มาทันก็ตระหนกตกใจ |
เอาน้ำมาลูบภักตรา | พระฟื้นกายาขึ้นมาได้ |
พระพี่เลี้ยงทูลถามว่าเหตุใด | จึงซวนซบสลบไปดังนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิยาหยาสะกำเรืองศรี |
จึงบอกพี่เลี้ยงเสนี | น้องวางพาชีหนักมา |
จึงให้หิวโหยโรยแรง | ฅอแห้งกระหายน้ำหนักหนา |
ว่าแล้วก็กลับอาชา | เร่งรีบพลมาเข้าธานี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นเอยครั้นถึง | จึงประทับเกยแก้วเรืองศรี |
พระเสด็จย่างเยื้องจรลี | เข้าปราสาทมณีรจนา |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
ช้า๏ พระปิดใบบานทวารทอง | อยู่สองแต่กับกะหมันหรา |
ทอดองค์ลงในที่ไสยา | พระราชาเศร้าสร้อยละห้อยใจ |
คลี่รูปโฉมตรูออกดูทรง | แสนจำนงในจิตรพิศมัย |
โอ้เจ้างามประเสริฐเลิศแดนไตร | ทำไฉนจะได้มาชมชิด |
แม้นรู้ว่าเจ้าอยู่บุรีไร | จะตามไปภิรมย์สมสนิท |
ไม่รักกายเสียดายแก่ชีวิตร | นี่สุดความคิดสุดใจ |
พระเอารูปประทับกับอุรา | ถวิลหาแล้วถอนใจใหญ่ |
สุกรักสุดกลั้นชลไนย | ก็ร่ำไรพิลาปโศกี |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย๏ บัดนั้น | กะหมันหราซึ่งนั่งอยู่ข้างที่ |
เห็นภูวไนยไม่เปนสมประดี | จึงชลีกรทูลไปทันใด |
อันพระจะโศกเศร้าด้วยรูปทรง | จะได้ดังจำนงก็หาไม่ |
จงระงับโศกาอาไลย | เชิญไปสรงเสวยโภชนา |
แล้วเสด็จขึ้นเฝ้าพระบิตุเรศ | ทูลเหตุให้แจ้งดีกว่า |
พระจะได้ให้เที่ยวทุกภารา | น่าที่จะพบที่สบใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิยาหยาสะกำศรีใส |
จึงตอบกะหมันหราไปทันใด | ไม่ไปไม่เห็นอกกัน |
อันจะให้ดับความโศกา | สุดปัญญาแล้วที่จะกลั้น |
ด้วยปืนพิศม์ติดทรวงยิงยัน | นับวันแต่จะม้วยบรรไลย |
ถึงจะไปทูลพระบิดา | ผ่านฟ้าจะได้ไหนมาให้ |
กิจจาก็จะแจ้งแพร่งไป | จะได้ความอัปรยศอดอาย |
ผิดชอบก็จะม้วยด้วยความรัก | มิให้ประจักษ์คนทั้งหลาย |
ตรัสพลางชลเนตรฟูมฟาย | พระก่ายภักตร์พิลาปร่ำไร |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๏ บัดนั้น | ฝูงนางกำนัลน้อยใหญ่ |
เห็นพระปิดบานทวารไว้ | มิได้สรงเสวยโภชนา |
ได้ยินแต่เสียงสอื้นไห้ | ต่างคนสงไสยเปนหนักหนา |
ปรับทุกข์กันทุกกัลยา | ฝูงนางก็พากันจรลี |
ฯ ๔ คำ ฯ ชุบ
๏ ครั้นเอยครั้นถึง | จึงตั้งประนตบทศรี |
ทูลพระบิตุเรศชนนี | บัดนี้พระโอรสเรืองไชย |
กลับมาแต่ไล่มฤคา | เข้าห้องไสยาแล้วครวญใคร่ |
ทูลถี่คลี่คลายความไป | ท่านทรงทราบพระบาทา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระบิตุเรศชนนีเสนหา |
ฟังนางกำนัลทูลมา | ทั้งสองกระษัตราก็ตกใจ |
โอ้ว่าลูกรักไปป่า | มีเหตุไภยมาเปนไฉน |
ตรัสพลางสองเสด็จคลาไคล | ไปยังปราสาทพระลูกยา |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงเห็นหับทวารไว้ | พระแปลกเปลี่ยนใจเปนหนักหนา |
จึงตรัสเรียกไปมิได้ช้า | กะหมันหราจงเปิดทวารไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิยาหยาสะกำศรีใส |
ได้ยินเสียงบิตุเรศก็ตกใจ | เอารูปนางซ่อนไว้ทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี |
ทั้งประไหมสุหรีเทวี | เข้าไปนั่งที่แท่นไสยา |
เห็นลูกรักบังคมแล้วร้องไห้ | พระลูบไล้ปลอบถามโอรสา |
เปนไฉนลูกแก้วแววตา | จึงมาโศกาอยู่ดังนี้ |
เจ้าลีลาไปประพาศป่า | หวังว่าจะให้เกษมศรี |
ฤๅเกิดโรคายายี | จงบอกคดีแต่จริงมา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
โอ้๏ เมื่อนั้น | วิยาหยาสะกำรุ่งฟ้า |
กราบบาทบิตุเรศมารกา | โศกาพลางทูลสนองไป |
๏ ครั้งเอยครั้งนี้ | ชีวีลูกจะม้วยตักไษย |
จะขอลาบาทบงสุ์พระทรงไชย | ทูลพลางร่ำไห้โศกี |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้๏ เมื่อนั้น | พระบิตุเรศมารดาทั้งสองศรี |
ฟังโอรสาพาที | ดังใครเด็ดดวงชีวีไป |
สององค์ทรงโศกโศกา | กอดราชบุตราเข้าร่ำไห้ |
เจ้าผู้มิ่งเมืองเรืองไชย | ไยพ่อมาว่าจะมรณา |
แม้นจะประสงค์สิ่งไร | จะหาให้ดังใจปราถนา |
บรรดามีในใต้ฟ้า | จะนำมาให้สมอารมณ์คิด |
วานพ่ออย่าว่าจะม้วยมรณ์ | บิตุเรศมารดรจะขาดจิตร |
ด้วยรักเจ้าเท่าดวงชีวิตร | สุดคิดด้วยไม่บอกคดีี |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย๏ แล้วพระดำริห์ตริตรา | ชรอยไปเล่นป่าต้องผี |
จึงสั่งให้หาหมอคนดี | ทั้งจัดเครื่องพลีเทวัญ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งแล้วผายผัน |
เร่งให้หาหมอฉับพลัน | ใครดีจัดสรรกันเข้ามา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ หมอปิศาจก็เสียพระไพร | โหรว่าร้ายในชัณษา |
แต่งเครื่องบูชาเทวา | หมอยาแต่งยาวุ่นไป |
ต่างรู้ต่างทำมากหลาย | พระจะเคลื่อนคลายก็หาไม่ |
บรรดาหมอทุกคนก็จนใจ | จะแก้ไขก็สุดปัญญา |
ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้๏ เมื่อนั้น | ประไหมสุหรีเสนหา |
เห็นโอรสไม่วายโศกา | กัลยาพ่างเพียงจะขาดใจ |
สองกรนางข้อนอุระร่ำ | โอ้กรรมของแม่เปนไฉน |
สุดคิดเห็นผิดใจไป | จะแก้ไขก็ไม่เคลื่อนคลา |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
ร่าย๏ พระชนนีจึงอุ้มขึ้นโลมเล้า | อย่าโศกเศร้านักเลยฟังแม่ว่า |
เชิญพ่ออาบน้ำกินโภชนา | เหมือนเจ้าเมตตาชนนี |
ปลอบพลางนางเห็นกระดาษ | ซึ่งวาดรูปบุษบามารศรี |
จึงทูลพระราชสามี | รูปเลขานี้ประหลาดใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงเปนใหญ่ |
หยิบรูปมาดูทันใด | ภูวไนยเพ่งพิศอัศจรรย์ |
เฉิดโฉมประโลมโลกา | ยิ่งนางในฟากฟ้ากระยาหงัน |
จึงตรัสถามโอรสไปพลัน | เจ้าคลั่งรูปอันนี้ฤาไร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิยาหยาสะกำศรีใส |
บังคมบิตุรงค์ทรงไชย | ภูวไนยรับรศพจนา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระบิตุเรศตรัสแก่โอรสา |
อันรูปนี้เลิศลักษณโสภา | นางในใต้ฟ้าไม่มีใคร |
ชรอยจะเปนรูปเทวา | แกล้งนิมิตรมาให้หลงใหล |
เจ้าอย่าโศกาอาไลย | จงหักใจเสียเถิดณลูกรัก |
ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้๏ เมื่อนั้น | วิยาหยาสะกำมีศักดิ |
ได้ฟังกลัดกลุ้มฤไทยนัก | ดังอัคนิรุตมาจุดใจ |
เลื่อนลงจากตักพระชนนี | ยิ่งแสนโศกีสอื้นไห้ |
พระบิตุเรศจะปลอบสักเท่าไร | พระไม่เจรจาพาที |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
ร่าย๏ เมื่อนั้น | จึงองค์ประไหมสุรี |
บังคมทูลท้าวผู้สามี | พระจงถามเสนีทั้งหลายดู |
เกลือกคนทั้งปวงจะแจ้งใจ | หน่อกระษัตรกรุงใดจะมีอยู่ |
เหมือนรูปเลขาอันงามตรู | จะสู่ให้โอรสดังจินดา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงรุ่งฟ้า |
จึงถามพระราชบุตรา | เจ้าได้รูปนี้มาแต่แห่งไร |
ฯ ๒ คำ ฯ
(ตรงนี้ฉบับขาด)
๏ เมื่อนั้น | พระบิตุเรศจึงถามกะหมันหรา |
ยังจะจำสำคัญมรรคา | ได้ฤๅมิได้จงว่าไป |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กะหมันหราบังคมประนมไหว้ |
ทูลว่าท่าทางพนาไลย | อันที่ซึ่งได้รูปนารี |
เปนทางร่วมไปเมืองจรกา | ทางหนึ่งดาหากรุงศรี |
ทางหนึ่งมาเมืองพระพันปี | รูปนี้วางอยู่ที่ตรงนั้น |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระบิตุเรศไอสวรรย์ |
จึงว่าแก่โอรสด้วยพลัน | อย่าโศกเศร้าแสนศัลย์ไปมา |
พ่อจะหาให้เจ้าจงได้ | ให้สำเร็จดังใจปราถนา |
ปลอบให้สรงเสวยโภชนา | แล้วพาเอารูปเลขาไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ถึงปราสาทแก้วแววฟ้า | จึงแจ้งแก่เสนาผู้ใหญ่ |
ใครได้เห็นนางอย่างเขียนไว้ | ธิดาเมืองไหนยังจะมี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงทูลแจงถ้วนถี่ |
อันรูปนี้จะเปนพระบุตรี | ดาหาธานีเปนแน่นอน |
ข้างท้าวจรกาให้มาสู่ | น่าจะวาดรูปนี้ไปดูก่อน |
จึงตกอยู่ทางร่วมพระนคร | เห็นแน่นอนอยู่แล้วพระพันปี |
เดิมพระบุตรีดาหานั้น | ข้างท้าวกุเรปันเรืองศรี |
ตุนาหงันให้ระเด่นมนตรี | พระมิได้ยินดีด้วยกัลยา |
พระไปเลี้ยงระเด่นบุตรี | ในราชธานีหมันหยา |
ท้าวดาหาแค้นขัดพระนัดดา | ว่าไม่มาทำการพิธี |
พระไม่คิดแก่ศักดิเทวา | จึงยกราชธิดาโฉมศรี |
ให้แก่จรกาภูมี | บัดนี้ยังไม่ได้แต่งการ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงได้ฟังสาร |
ชื่นชมภิรมย์เบิกบาน | จึงกล่าวพจมานแก่เสนา |
ด้วยระเด่นมนตรีไม่เลี้ยงนาง | ฝ่ายข้างจรกาจึงมาว่า |
เราก็จะไปขอนางกัลยา | แล้วแต่พระบิดาจะปลงใจ |
ถึงจะรบล่าสำจรกา | อันจะกลัวฤทธาก็หาไม่ |
จึงแต่งราชสารทันใด | บรรยายตามในคดี |
พระจึงส่งรูปอันเลขา | ซึ่งรจนายิงอับศรศรี |
กับเครื่องบรรณาการมากมี | ตามประเพณีวงษ์เทวัญ |
สั่งให้ดะหมังตำมะหงงไป | แล้วให้ตรวจเตรียมทัพขันธ์ |
แล้วสั่งไปนอกราชสารนั้น | ถ้าทรงธรรม์มิให้ธิดา |
เร่งระมัดประหยัดองค์จงดี | จะยกมาตีกรุงดาหา |
แล้วเร่งไปบอกอนุชา | ให้หาเมืองขึ้นจงพร้อมกัน |
บัดนี้จะมีการณรงค์ | จงเร่งยกมาเปนทัพขัน |
สั่งเสร็จเสด็จจรจรัล | ผายผันมาปราสาทพระโอรส |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงตระโบมโลมไล้ | แล้วแจ้งความให้คลายกำสรด |
พ่ออย่าโศกศัลย์รันทด | คงสมดังมโนรถลูกยา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิยาหยาสะกำรุ่งฟ้า |
กราบกับพระบาทพระบิดา | ทรงแสนโศกาค่อยบันเทา |
ฯ ๒ คำ ฯ
ตอนนี้ฉบับลบ
จับตอนเมืองขึ้นกะหมังกุหนิงยกมา
๏ เมื่อนั้น | เหล่าระตูปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
จะขออาสาไปครานี้ | พระมีสงครามแต่ละครั้ง |
พระองค์อย่าร้อนหฤไทย | จะสู้ม้วยบรรไลยไม่กลับหลัง |
กว่าจะสุดฤทธิกำลัง | จะตั้งหน้าต่อด้วยไพรี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี |
ชวนสองอนุชาผู้ภักดี | จรลีเข้าในปราสาทพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
๏ ระตูทั้งปวงก็คลาไคล | ต่างองค์ต่างไปตั้งที่มั่น |
มาตั้งทัพยับยั้งอยู่แน่นนัน | ตรวจเตรียมพลขันธ์ให้พร้อมไว้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทั้งสองอนุชาศรีใส |
จึงทูลพระเชษฐาธิราชไป | เปนไฉนจึงมาเปนดังนี้ |
อันองค์อสัญแดหวา | ฤทธาดังพระยาราชสีห์ |
ทั้งทหารชาญไชยก็มากมี | เลือกล้วนฝีมือระบือฤทธิ์ |
ทั้งเมืองขึ้นเมืองออกก็นับร้อย | เราเท่าหิ่งห้อยกะจิหริด |
จะมาแข่งด้วยแสงพระอาทิตย์ | เห็นผิดระบอบบุราณมา |
อันตัวเรามีฤทธิไกร | จะเปรียบไปดังน้ำค้างที่ปลายหญ้า |
แต่ร้อนแรงต้องแสงพระสุริยา | มิช้าก็จะแห้งเหือดไป |
ขอพระองค์ผู้ทรงทศธรรม์ | เอาปัญญาผ่อนผันแก้ไข |
พระเปนที่ดับเข็ญให้เย็นใจ | สิ่งใดพระคิดดูจงนัก |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงทรงศักดิ์ |
พระร่านร้อนหฤไทยอยู่นัก | จึ่งหาญหักเบี่ยงเลี่ยงตอบมา |
อันเจ้าว่าทั้งนี้พี่แจ้งใจ | ใช่จะไปรบวงษ์อสัญหยา |
จะชิงไชยด้วยท้าวจรกา | เจ้าจะปรารมภ์ใจไปไยมี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองระตูประนตบทศรี |
อันพระองค์ดำริห์ดังนี้ | เห็นผิดท่วงทีบุราณมา |
แม้นนางไปอยู่เมืองระตู | ก็ควรอยู่ด้วยพ้นกรุงดาหา |
นี่นางยังอยู่กับภารา | ท้าวดาหาฤาจะทิ้งอรไทย |
อันวงษ์อสัญแดหวา | ก็ปรากฎพสุธาหวั่นไหว |
จรกาฤาจะพานางไป | เห็นจะพึ่งฤทธิไกรพระบิดา |
อันจะทำสงครามครานี้ | ใช่แต่ธานีดาหา |
สามบุรีก็จะกรีพลมา | จรกาจะได้สรวลไยไพ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงเปนใหญ่ |
เปนผลกรรมที่จะบรรไลย | พเอิญให้เบี่ยงเลี่ยงจำนรรจา |
อันระเด่นมนตรีกุเรปัน | ไปเลี้ยงนางในเมืองหมันหยา |
ท้าวดาหาแค้นขัดพระนัดดา | อันจะมาช่วยรบเห็นผิดไป |
ฝ่ายข้างระเด่นมนตรี | ก็ตัดรอนไมตรีเปนข้อใหญ่ |
กับอาว์สิขัดข้องหมองใจ | พี่เห็นจะไม่ไคลคลา |
จะรบกันแต่สามบุรี | ท่วงทีจะกะไรกันหนักหนา |
อันระตูล่าสำจรกา | เห็นน่าจะไม่เปนไรนัก |
เราก็มีฤทธิแรงแขงขัน | เพียงนั้นเห็นพอจะโหมหัก |
อันอนะนี้คลั่งใจนัก | มิได้นางว่าจักมรณา |
ถ้าวิยาหยาสะกำมอดม้วย | พี่ก็จะตายด้วยโอรสา |
ไหนไหนก็ในจะมรณา | ถึงเร็วถึงช้าก็เหมือนกัน |
ผิดก็ทำสงกรามดูตามที | เกลือกบุญมีจะได้นางสาวสรรค์ |
พี่ดังพฤกษาพนาวัน | จะอาสัญเพราะลูกดังกล่าวมา |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองกระษัตรได้ฟังเชษฐา |
ทูลทัดเห็นจะขัดอัชฌา | ทั้งเอนดูนัดดาจะบรรไลย |
จึงสั่งให้เตรียมพลมนตรี | จะคอยฟังสารศรีไปกรุงใหญ่ |
จะโต้ตอบว่าขานประการใด | แม้นมิให้จะยกไปต่อตี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี |
กับสองอนุชาธิบดี | ต่างองค์เข้าที่ไสยา |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายดะหมังตำมะหงงใจกล้า |
ซึ่งเปนทูตถือราชสารมา | ถึงปลายด่านดาหาธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ จึงเร่งให้บอกแก่ขุนด่าน | ว่าเครื่องบรรณาการกับสารศรี |
มาแต่กะหมังกุหนิงบุรี | ถวายอัญชลีพระราชา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ชาวด่านครั้นแจ้งก็หรรษา |
ก็เขียนหนังสือมิทันช้า | ขึ้นม้าควบขับไปฉับไว |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ มาเอยมาถึง | ยังมหาเสนาผู้ใหญ่ |
ขุนด่านจึงคลานเข้าไป | กราบไหว้แล้วให้หนังสือพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงครั้นแจ้งก็ผายผัน |
ถึงเวลาเฝ้าพระทรงธรรม์ | ก็เข้าไปอภิวันท์พระพันปี |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ว่าบัดนี้มีทูตจำทูลสาร | มาอยู่ยังปลายด่านกรุงศรี |
จะถวายบังคมพระภูมี | จงแจ้งธุลีพระทรงไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาเรืองฤทธิ์ดังสุริย์ใส |
จึงสั่งตำมะหงงเสนาใน | ให้แต่งไปรับราชสารมา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงรับสั่งใส่เกษา |
ก้มเกล้าเคารพสามลา | มาตรวจตราตามมีพจมาน |
ทั้งเครื่องแห่แหนโดยขนาด | ตามอย่างเคยรับพระราชสาร |
ทุกหมวดทุกหมู่พนักงาน | ก็ได้จบครบการมิทันช้า |
จึงแต่งให้เสนาผู้ใหญ่ | คุมพลสกลไกรซ้ายขวา |
ครั้นเสร็จให้ยกโยธา | ออกมายังด้านเวียงไชย |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | จึงมหาเสนาผู้ใหญ่ |
ก็เข้าไปแถลงให้แจ้งใจ | แก่ทูตผู้ใหญ่ซึ่งมานั้น |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทูตานุทูตคนขยัน |
ครั้นใกล้รุ่งรังษีรวีวรรณ | ก็ยกพลขันธ์เข้ากรุงไกร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ มาเอยมาถึง | จึงไปหาเสนาผู้ใหญ่ |
ครั้นเวลาเฝ้าก็เข้าไป | สำนักอยู่ในศาลา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงพิภพดาหา |
ครั้นจะใกล้รุ่งแสงพระสุริยา | ก็สระสรงคงคาอ่าองค์ |
ทรงอุรับสุคนธ์ปนทอง | ทรงสังวาลกาญจน์กรองก่องก่ง |
ทรงพาหุรัดธำมรงค์ | แล้วทรงมงกุฎเพ็ชรพราย |
ทรงอุบะสุวรรณอันอำไพ | ทรงกฤชฤทธิไกรผันผาย |
สู่ภัทรบิฐแก้วแพรวพราย | ผายเผยสีหบัญชรไชย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาสามนต์บังคมไหว้ |
ดะหมังจึงทูลขึ้นทันใด | เบิกทูตทั้งสามมิได้ช้า |
ข้าขอบังคมบรมนารถ | พระบาทผู้ผ่านภพดาหา |
ท้าวกะหมังกุหนิงมีสารมา | ให้ดะหมังเสนาจำทูล |
บัดนี้มาอยู่ณศาลา | จะเข้ามากราบบาทนเรนทร์สูรย์ |
จำเริญราชไมตรีให้เพิ่มภูล | ตามบูรพ์ประเพณีมา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงเมืองเรืองรุ่งกรุงดาหา |
จึงสั่งปาเตะเสนา | ให้เบิกทูตาเข้ามาพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ปาเตะรับสั่งแล้วผายผัน |
จึงออกไปยังศาลาพลัน | ก็นำทูตนั้นเข้ามา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้น | ดะหมังตำมะหงงใจกล้า |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | ถวายรูปพระธิดาทันที |
ทั้งเครื่องราชบรรณาการ | ทูลถวายพระราชสารศรี |
ส่งให้ตำมะหงงเสนี | ตำแหน่งที่ได้อ่านสารา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงฝ่ายกรุงดาหา |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | รับสารมาอ่านฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า๏ ในลักษณราชสารศรี | ว่าภูมีอันครองไอสวรรย์ |
กรุงไกรกะหมังกุหนิงนั้น | ขอถวายอภิวันท์พระบาทา |
พระผู้บรมวงษ์เทเวศร์ | ซึ่งดำรงนัคเรศดาหา |
อันทรงสุรภาพมหิมา | จะขอพึ่งเดชาพระทรงธรรม์ |
ให้เย็นไพร่ฟ้าอาณาจักร | เปนที่พำนักโลกสบสรรพ์ |
จะสมบูรณ์ภูลศุขทุกนิรันตร์ | จะดับเข็ญเย็นขัณฑเสมา |
ให้ปรากฎยศเกียรติทั้งธาตรี | จะเปนที่ใสโสมนัศา |
ปัจจามิตรที่คิดจะบีทา | จะระอาเข็ดขามไม่ลามลวน |
เพราะพระเดชาอานุภาพ | จะปราบหมู่ทุจริตผิดผวน |
จะประกอบแต่ชอบทั้งมวญ | พระควรเปนปิ่นปักในโลกา |
ข้าน้อยขอแถลงในบาทบงสุ์ | พระจงโปรดเกล้าเกษา |
อันวิยาหยาสะกำกุมารา | ไปเล่นป่าได้รูปพระบุตรี |
บัดนี้คลั่งไคล้ใหลหลง | จิตรจงปลงรักนางโฉมศรี |
แม้นมิได้จะม้วยชีวี | ชรอยมีวาศนาเคยคู่กัน |
พระองค์จงประทานชีวิตรไว้ | อย่าให้สุดสิ้นอาสัญ |
แม้นวิยาหยาสะกำม้วยชีวัน | อันชีวิตรข้านั้นจะปลดปลง |
พระอย่าสลัดตัดเยื่อใย | จงอวยให้ดังใจประสงค์ |
จะเปนแผ่นทองเดียวด้วยพระองค์ | อันทรงทศพิธไม่ผิดธรรม์ |
ฯ ๑๘ คำ ฯ
ร่าย๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาฤทธิเพียงพระสุริย์ฉัน |
จึงกล่าวพจนาดถ์ไปพลัน | อันระตูจะขอพระบุตรี |
ข้างจรกามาว่าไว้ | เราก็รับจะให้นางโฉมศรี |
ครั้นจะรับของสู่ระตูนี้ | จะเสียคำพาทีฉันใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทูตานุทูตบังคมไหว้ |
จึงสนองมธุรศทันใด | ระตูให้กราบทูลพระภูมี |
เปนพจนาดถ์นอกราชสาร | ถ้าภูบาลมิประสาทนางโฉมศรี |
เร่งระวังพระองค์ให้จงดี | ตกแต่งบุรีให้มั่นคง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาเรืองฤทธิ์สูงส่ง |
มีสุรสิงหนาทอาจอง | จะทำการณรงค์ก็ตามใจ |
อันจะอาสัจให้ผิดธรรม์ | ขนบโบราณนั้นไม่ได้ |
ตัวเราเผ่าเทพเรืองไชย | สู้ม้วยบรรไลยด้วยสัจจา |
ครั้นสรรพก็หับบัญชรไชย | ร้อนเร้าหฤไทยเปนหนักหนา |
ดังไฟหมกไหม้ในกายา | พระแค้นขัดนัดดาแสนทวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทูตาประนตบทศรี |
ลงจากพระโรงรูจี | ขึ้นพาชีขับไปฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาฤทธิแรงแขงขัน |
จึงสั่งดะหมังฉับพลัน | จงไปกุเรปันธานี |
กับกรุงกาหลังภารา | ทั้งอนุชาสิงหัดสาหรี |
อิกระตูจรกาธิบดี | จงแจ้งตามที่สารา |
ว่าท้าวกะหมังกุหนิงชาญไชย | มาขอบุตรีให้โอรสา |
แม้นมิให้จะรบเอาธิดา | พระเชษฐาจะโปรดประการใด |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทั้งสี่เสนีบังคมไหว้ |
ออกมาขึ้นพาชีไชย | แยกกันไปคนละบุรี |
คนหนึ่งไปกรุงกุเรปัน | คนหนึ่งไปสิงหัดสาหรี |
คนหนึ่งไปกาหลังธานี | คนหนึ่งไปบุรีจรกา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ มาเอยมาถึง | จึงแจ้งคดีแก่ยาสา |
ครั้นเวลาเฝ้าก็เข้ามา | ยังพระโรงรจนาทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระผ่านภพกุเรปันเปนใหญ่ |
ครั้นรุ่งรางสางแสงอโณไทย | ภูวไนยออกพระโรงรจนา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ กับพระมเหษีห้าองค์ | สำหรับวงษ์อสัญแดหวา |
สถิตย์ยังแท่นแก้วมุกดา | ปราไสเสนาทั้งปวงไป |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาดาหาบังคมไหว้ |
ทูลว่าพระอนุชาชาญไชย | ให้ข้าน้อยมาแจ้งกิจจา |
ด้วยท้าวกะหมังกุหนิง | จะมาชิงพระบุตรีดาหา |
ขอพระองค์จงแจ้งบาทา | พระอนุชาร่านร้อนรำคาญ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวกุเรปันได้ฟังสาร |
จึงมีวโรรศพจมาน | อันการสงครามที่มีมา |
ด้วยอิเหนาทำการนี้ผิดนัก | ไปหลงรักบุตรีเมืองหมันหยา |
จึงเกิดเหตุเภทไภยในนัครา | พระมิได้ว่าขานประการใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาดาหากรุงใหญ่ |
ไปสิงหัดสาหรีทันใด | ทั้งพิไชยกาหลังธานี |
ครั้นถึงจึงเข้าไปวันทา | ทูลพระอนุชาทั้งสองศรี |
ตามในเหตุผลต้นคดี | ว่าธานีเกิดการโกลา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวสิงหัดสาหรีรุ่งฟ้า |
ได้แจ้งแห่งคำเสนา | พระจึงมีวาจาทันใด |
องค์พระเชษฐานี้ผิดนัก | ไม่รักศักดิจึงเกิดศึกใหญ่ |
เพราะพระธิดายาใจ | แม้นครองไว้ในวงษ์เทวัญ |
ที่ไหนจะเปนเช่นนี้ | บุรีก็จะศุขเกษมสันต์ |
เอาศักดิชั่วมาระคนปนกัน | หุนหันตัดรอนห่อนคิด |
ว่าพลางทางสั่งเสนา | กับสุหรานากงผู้ร่วมจิตร |
ให้จัดทหารชำนาญฤทธิ์ | เคยปราบปัจจามิตรมีไชย |
จะไปช่วยสงครามเมืองดาหา | พระเชษฐามีการศึกใหญ่ |
ให้เร่งยกทัพขับพลไป | แต่ในพรุ่งนี้อย่าได้ช้า |
ฝ่ายท้าวกาหลังฤทธิรงค์ | ให้ตำมะหงงคุมพลอาสา |
ไปช่วยพันตูพระพี่ยา | ในพิไชยดาหาธานี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายท้าวกุเรปันเรืองศรี |
จึงสั่งดะหมังเสนี | ให้แต่งสารศรีสองใบ |
ใบหนึ่งให้ท้าวหมันหยา | กับองค์โอรสาศรีใส |
แต่งสารแจ้งความตามใน | จะคิดอ่านเปนไฉนครั้งนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | ดะหมังรับสั่งใส่เกษี |
ออกมาแต่งสารทันที | แล้วขึ้นพาชีรีบไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ มาเอยมาถึง | ซึ่งพิไชยหมันหยากรุงใหญ่ |
ไปยังติกาหรังพระภูวไนย | บังคมไหว้แล้วถวายสารา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีรุ่งฟ้า |
รับสารจากดะหมังเสนา | พระผ่านฟ้าคลี่อ่านทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า๏ ในลักษณสารพระบิดา | ว่ากรุงดาหาเปนศึกใหญ่ |
ให้เร่งยกพลสกลไกร | ไปช่วยชิงไชยให้ทันที |
ถึงจะไม่เลี้ยงกับบุษบา | ว่าชั่วช้าอัปรลักษณ์ทั้งศักดิศรี |
แต่เขาแจ้งอยู่สิ้นทั้งธรณี | ว่านางนี้เปนน้องของตัวมา |
อนึ่งท้าวดาหาฤทธิไกร | มิใช่อาว์ฤๅไรให้เร่งว่า |
อันสุริวงษ์เราเหล่าเทวา | ไม่เคยเสียภาราแก่ผู้ใด |
ถ้าแม้นเสียกรุงดาหา | ตัวจะอายหน้าฤาหาไม่ |
อันเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะใคร | ถ้าไปอยู่เลี้ยงกับบุตรี |
ที่ไหนจะเกิดสงคราม | ใครจะหยาบหยามได้ก็ใช่ที่ |
ซึ่งเกิดเหตุเภทไภยครั้งนี้ | เพราะตัวทำความดีเปนพ้นไป |
ครั้งหนึ่งก็เสียวาจา | อายชาวดาหากรุงใหญ่ |
ครั้งนี้จะคิดประการใด | จะให้เสียศักดิก็ตามที |
แม้นว่ามิยกไปช่วย | ถึงเรามอดม้วยอย่าดูผี |
อย่าดูทั้งเปลวอัคคี | ขาดกันแต่วันนี้ไป |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
ร่าย๏ ครั้นอ่านเสร็จสารพระทรงฤทธิ์ | ถอนฤไทยคิดแล้วสงไสย |
บุษบาจะงามสักเพียงไร | จึงให้ช่วงชิงกันเปนโกลี |
ช่างไม่เสียดายชีวา | จะพากันมาม้วยด้วยโฉมศรี |
แม้นงามเหมือนจินตะหราวาตี | ถึงจะเสียชีวีก็ควรนัก |
แล้วว่ากับดะหมังเสนา | จงจัดแจงโยธาไปหาญหัก |
มิให้เสียวงษาสุรารักษ์ | งดสักเจ็ดวันจะยกไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังบังคมประนมไหว้ |
ทูลว่าช้านักพระภูวไนย | เกลือกว่าไม่ทันจะเสียที |
เชิญเสด็จไปก่อนดีกว่า | เสร็จแล้วจึงกลับมากรุงศรี |
ท้าวจะหน่วงภูวไนยไว้ไยมี | พันปีอย่าร้อนพระหฤไทย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีศรีใส |
พระคิดจะบิดเบือนเลื่อนวันไป | ก็เกรงในบิตุเรศตัดมา |
ความกลัวความรักสลักอก | วิตกด้วยห่วงหลังกังวลน่า |
จำเปนจำกูจะไคลคลา | จึงสั่งประสันตาทันใด |
จงเร่งรัดจัดพลอาสา | โยธาสำหรับทัพใหญ่ |
ม้ารถคชสารชาญไชย | เลือกเอาพลไกรแต่ตัวดี |
ที่คงทนรณรบไม่ราถอย | สิบคนสู้ร้อยไม่รู้หนี |
แต่ปืนตึงก็ถึงไพรี | ให้ทันทีสวนควันเข้าไป |
เราจะรบให้ระตูรู้ฤทธิ์ | นานไปอย่าให้คิดต่อได้ |
จะให้ปรากฎพระยศไว้ | ทั้งในแว่นแคว้นแดนชวา |
พรุ่งนี้จะยกพลไกร | รีบไปพันตูกรุงดาหา |
สั่งเสร็จเสด็จทรงอาชา | ไปเฝ้าท้าวหมันหยาทันใด |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | ดะหมังเสนาผู้ใหญ่ |
จึงรีบลีลาคลาไคล | เข้าไปยังที่ศาลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงแจ้งคดี | แก่มหาเสนีหมันหยา |
ตามสารศรีที่มีในสารา | แล้วพากันเข้าเฝ้าพระทรงธรรม์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาหมันหยาคนขยัน |
จึงทูลเบิกดะหมังด้วยพลัน | ว่าท้าวกุเรปันใช้มา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังกราบงามสามท่า |
ทูลตามสำเนาสารา | ให้ข้ามาเฝ้าพระภูมี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวหมันหยารับเอาสารศรี |
มาจากดะหมังเสนี | แล้วคลี่ออกทรงทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ