ตอนหย้าหรันตกไปเมืองมะงาดา จนถึงระเด่นดะราหวันตามหยันมาเมืองกาหลัง

จับตอนหย้าหรันตกไปเมืองมะงาดา

๏ บัดนั้น เสนีจึงแจ้งอรรถา
ว่าระตูรับสั่งให้หามา จงก้มเกล้าวันทาภูวไนย

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรันจึงค่อยแถลงไข
เราจะวันทาไปว่าไร ถึงไหว้มิไหว้ก็เหมือนกัน
ถ้าให้ไปหาเราโดยดี ก็จะอัญชลีด้วยหฤหรรษ์
นี่ทำไม่ชอบระบอบธรรม์ จะประสงค์อันใดเอาเรามา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีผู้มียศถา
จึงว่าให้ไปเอาตัวมา ด้วยเลื่องฦๅฤทธาทั้งแดนไตร
ว่าเที่ยวรานรุกทุกบุรี จะมีความศุขก็หาไม่
ตัวชื่อปันหยีฤๅว่าไร จงเร่งบอกไปฉับพลัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรันตอบไปไม่ไหวหวั่น
จะทำไมแก่ปันหยีนั้น อันตัวเรานี้เปนอนุชา
แต่นามกรของเรานั้น ชื่อหย้าหรันวิลิศมาหรา
ไปเที่ยวชิงไชยได้ภารา ตามฤทธิชาวป่าพนาไลย

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระตูมะงาดาเปนใหญ่
จึงตรัสแก่เสนาใน อ้ายคนนี้มิใช่ตัวดี
เร่งกลับไปเอาอ้ายคนผิด กูจะผลาญชีวิตรปันหยี
แต่น้องมันยังหาญถึงเพียงนี้ ถ้าพี่มันจะหาญสักเพียงไร
ครั้นจะฆ่าเสียก่อนบัดนี้ ปันหยีจะรู้ก็หาไม่
จงเอาไปใส่ตรุไว้ ต่อได้พี่จึงจะฆ่าให้พร้อมกัน

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดะหมังรับสั่งแล้วผายผัน
ว่าแก่นักโทษทั้งสี่นั้น ไม่สืบให้มั่นด้วยอันใด
จึงเอามาให้ผิดตัวนี่ เร่งไปจับปันหยีมาจงได้
แล้วสั่งให้พาหย้าหรันไป ใส่ตรุตรากไว้ตรึงตรา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ธำมรงที่นั่งอยู่พร้อมหน้า
ก็พาตัวหย้าหรันออกมา พันธนาใส่ตรุตรากไว้
ห้ามมิให้ผู้คนไปมา พร่ำพิทักษ์รักษาไม่ขาดได้
ผลัดกันนั่งยามตามไฟ ตรวจไตรเปนนิจนิรันดร์

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายองค์ระเด่นดะราหวัน
ได้เห็นหย้าหรันวันนั้น ให้ผูกพันเสนหาอาไลย
จึงเรียกพี่เลี้ยงทั้งสอง เข้าไปในห้องพิศมัย
กระซิบบอกเหตุผลแต่ต้นไป เห็นมิใช่โจรไพรดังฦๅมา
รูปทรงส่งศรีมารยาตร เห็นองอาจห้าวหาญหนักหนา
เปล่าเปล่าไปเอาเขามา โทษาไม่มีแต่สักน้อย
พี่จงไปช่วยว่าขาน สอดสนบนบานติดสอย
อย่าอาไลยแก่ทรัพย์มากน้อย แต่ให้ถอยจากตรุที่ตรึงตรา

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกษา
ไปจัดเงินทองนานา เสื้อผ้าแพรพรรณอันพึงใจ
แล้วแต่งเอมโอชโภชนา บรรจฐรณ์ไสยาให้ใหม่ใหม่
ครั้นเสร็จก็ชวนกันคลาไคล กับข้าชิดใช้อันร่วมรู้
ครั้นมาถึงยังตรุที่ตรึงตรา เขาพิทักษ์รักษามั่นคงอยู่
จึงว่าทั้งปวงจงเอนดู แก่ผู้นักโทษใหม่นั้น
จะมีโทษาก็หาไม่ จำจองกะไรเปนกวดขัน
กระซิบแล้วหยิบทองออกให้พลัน จงเอนดูผ่อนผันให้เคลื่อนคลา

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายผู้พิทักษ์รักษา
จึงถอดหย้าหรันออกมา ให้อยู่ทับที่น่าตรุนั้น

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พี่เลี้ยงลีลาศผาดผัน
จึงเอาเข้าของทั้งนั้น ไปให้หย้าหรันทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรันยินดีจะมีไหน
จึงถามว่าพี่มาแต่แห่งใด ทำคุณน้องไว้ครั้งนี้

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองนางจึงแจ้งถ้วนถี่
ข้าเปนพี่เลี้ยงพระบุตรี ของนี้เทวีประทานมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรันตอบไปด้วยหรรษา
ได้เคลื่อนคลายออกจากพันธนา พระคุณล้ำฟ้าแดนไตร
แล้วได้เข้าของนานา ล้วนบรรจงมาประทานให้
ถึงชีวิตรจะม้วยบรรไลย ก็จะได้ความศุขเพราะเทวี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นวลนางพี่เลี้ยงทั้งสองศรี
ก็ลากลับมาทูลพระบุตรี ตามที่หย้าหรันว่ามา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นดะราหวันเสนหา
ครั้นค่ำสำอางองค์อลงการ์ พาพี่เลี้ยงลอบจรจรัล
ผู้ใดมิได้สงไสย ปนไปกับชาวเขตรขัณฑ์
ครั้นมาถึงน่าตรุนั้น เข้าในทับหย้าหรันทันใด

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรันตกใจจะมีไหน
ผุดลุกขึ้นแล้วก็ถามไป ใครมาแต่ไหนดังนี้

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นดะราหวันโฉมศรี
ยิ้มพลางทางตอบวาที ข้าตามพี่ทั้งสองที่ออกมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรันตอบไปด้วยหรรษา
คุณอยู่พี่พ้นคณนา ได้เคลื่อนคลาก็เพราะเจ้าปรานี
ว่าพลางกุมกรอรไทย ปลื้มใจมานั่งให้ใกล้พี่
กอดจูบลูบไล้ด้วยไมตรี บุญพี่จึงพบกัลยา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นดะราหวันเสนหา
สบัดมือพลางกล่าววาจา เวทนามายุดไว้ว่าไร
ข้าหวังจะฟังความจึงตามมา จะใคร่รู้โทษาเปนไฉน
หนักเบาไม่เล่าให้เข้าใจ มายื้อคร่าคว้าไขว่ไปมา
อย่ามือไวใจด่วนลวนลาม ใช่จะตามมาด้วยเสนหา
ทำผลักไสใส่กลโกรธา อนิจาทำได้ไม่ควรคิด

ฯ ๖ คำ ฯ

โอ้โลม ปลื้มเอยปลื้มใจ อย่าสลัดตัดใยไมตรีจิตร
พี่รักนางพ่างเพียงดวงชีวิตร คิดหวังจะประกอบตอบไมตรี
ถึงตัวเปนโจรไพรแต่ใจตรง ไม่จำนงจงร้ายหน่ายหนี
เจ้าได้ทำคุณไว้ครานี้ จะทดแทนโฉมศรีคุ้งวันตาย
ครั้นจะให้แก้วแหวนเงินทอง ของน้องก็มีอยู่มากหลาย
แล้วพี่ก็พลัดมาเดียวดาย มีแต่กายจะแทนคุณน้อง
ว่าพลางพระทางเชยชม จูบแก้มแนมนมทั้งสอง
เต่งตั้งดังดอกบัวทอง อันพึ่งผุดพ้นท้องสมุทไทย
นาภีเนียนแนบนาภี ฤดีป่วนปั่นหวั่นไหว
ภุมรินคลึงเคล้าดวงมาไลย สอดไซ้เอารศเสาวคนธ์
เกสรขจายคลายคลี่ เปรมปรีดิ์พร่ำพรอยฝอยฝน
ดังได้เสวยสวรรค์ชั้นบน ผ่อนปรนสอดคล้องทำนองกัน

ฯ ๑๒ คำ ฯ โลม

ช้า เมื่อนั้น จึงโฉมระเด่นดะราหวัน
ได้ร่วมรศรักผูกพัน กระสันฟั่นฟุ้งจรุงใจ
แต่อิงแอบแนบจิตพิศวาศ จะนิราศคลาศคลาก็หาไม่
แรกรู้รศรักประจักษ์ใจ ทรามไวยหลงลืมสมประดี
ทั้งสองจำนรรจาปราไส มีใจปรีดิ์เปรมเกษมศรี
แต่เวียนระไวไปมาทุกราตรี เทวีส่งเสียอยู่อัตรา

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย มาจะกล่าวบทไป ถึงเกนหลงหนึ่งหรัดขนิษฐา
ครั้นสิ้นกำลังมนตรา พลิกมาคว้าหาพระภูวไนย
ไม่พบก็ผันแปรแลหา พระพี่ยาหนีไปหนไหน
แม้นพระองค์เสด็จไปแห่งใด อันจะละกฤชไว้ก็ไม่มี
คิดฉงนจนใจเปนหนักหนา จึงมาหาพี่เลี้ยงทั้งสี่
ปลุกขึ้นแล้วแจ้งคดี บัดนี้พระพี่มาหายไป
ถึงจะไปแห่งใดแต่ก่อน บ่ห่อนจะทิ้งกฤชเสียได้
เห็นจะมีเหตุเภทไภย จึงไปแต่องค์เอกา

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงครั้นแจ้งอรรถา
ตกใจเปนพ้นคณนา รีบร้นค้นหาเปนสิงคลี
บอกกันเอิกเกริกทั้งหญิงชาย วุ่นวายเที่ยวค้นเปนถ้วนถี่
ไม่ประสบพบพานพระภูมี ทั้งสี่มาทูลอรไทย

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เกนหลงหนึ่งหรัดศรีใส
ตีทรวงเข้าพิลาปร่ำไร โอ้พระภูวไนยของน้องอา
พระบรรธมชมน้องอยู่แนบข้าง ใครหนอมาร้างเสนหา
มันชิงชังจังฑาลเราสองรา ดีร้ายมันจะฆ่าให้บรรไลย

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ตัวเอยตัวกู อันจะอยู่เปนคนอย่าสงไสย
กอดพระพี่เลี้ยงเข้าร่ำไร ทรามไวยซวนซบสลบลง

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงเข้าอุ้มนวลหง
เอาน้ำลูบภักตรานางโฉมยง ก็ฟื้นองค์ได้สมประดีมา

ฯ ๒ คำ ฯ รัว

๏ เมื่อนั้น เกนหลงโศกเศร้าเปนหนักหนา
จึงเข้าไปในห้องไสยา จับกฤชจะแบหลาพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงตกใจไม่มีขวัญ
รวบกอดอรไทยเข้าไว้ทัน สาวสรรค์เข้ากลุ้มกุมกรไว้
พระองค์อย่าเพ่อวุ่นวาย จะด่วนตีตนตายเสียก่อนไข้
จะไปทูลปันหยีชาญไชย ก็วิ่งออกไปมิได้ช้า
จึงสั่งพระพี่เลี้ยงทั้งสี่ จงไททูลปันหยีสุกาหรา
เร่งเชิญภูวไนยให้รีบมา พระน้องจะแบหลาบัดนี้

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงแจ้งใจถ้วนถี่
ก็ไปปันจรากันทันที ร้องทูลปันหยีมิได้ช้า

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มิสารปันหยีสุกาหรา
ผวาตื่นตกใจขึ้นมา แจ้งเหตุขนิษฐาทั้งสององค์
ดังเพลิงกาลผลาญเผาดวงจิตร เพียงชีวิตรจะม้วยเปนผุยผง
ฉวยคว้าได้กฤชฤทธิรงค์ ลงจากที่อยู่ดำเนินมา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงเสด็จเข้าไป ยังในห้องทองขนิษฐา
เห็นสี่พี่เลี้ยงกับกัลยา ยื้อคร่าช่วงชิงกฤชกัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เกนหลงหนึ่งหรัดเฉิดฉัน
กราบลงกับบาทพระทรงธรรม์ นางแสนโศกศัลย์พันทวี

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ พระเอยพระเจ้า พระจงโปรดเกล้าเกษี
น้องจะแบหลาเสียครานี้ ตายตามพระพี่ที่หายไป

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีผู้มีอัชฌาไศรย
สร้วมสอดกอดองค์พระน้องไว้ โลมเล้าเอาใจไปมา
เจ้าอย่าเพ่อแบหลาก่อน ดวงสมรจงฟังพี่ว่า
พี่จะให้ไปเที่ยวค้นคว้า ทั่วทุกภาราแลพงไพร
แม้นหย้าหรันนั้นม้วยมรณา จึงแบหลาลงเถิดไม่ขัดได้
ว่าพลางหยิบกฤชมาไว้ แล้วเสด็จคลาไคลออกไปพลัน

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ จึงสั่งสี่พี่เลี้ยงภูมี อิกสี่พี่เลี้ยงของหย้าหรัน
ให้เกณฑ์ทหารแยกย้ายรายกัน ไปเที่ยวค้นทุกขัณฑเสมา
อันตัวพี่เลี้ยงทั้งแปดคน จงไปรีบร้นค้นหา
รับระเด่นบุตรีทั้งปวงมา อยู่เพื่อนขนิษฐายาใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พี่เลี้ยงประนมบังคมไหว้
มาเกณฑ์ทหารชาญไชย ให้แยกย้ายรายไปดังบัญชา
แล้วสั่งกิดาหยันทันใด เร่งไปให้เทียมซึ่งรถา
รับเสด็จระเด่นบุตรีมา ยังวังดาหาปาตี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กิดาหยันครั้นแจ้งถ้วนถี่
จึงไปทูลระเด่นบุตรี ตามพระพี่เลี้ยงสั่งมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เหล่าระเด่นบุตรีเสนหา
ชวนกันทรงรถไคลคลา ไปยังดาหาปาตี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ มาเอยมาถึง จึงลงจากรถรังษี
เข้าไปบังคมดุษฎี องค์สารปันหยีชาญไชย

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีผู้มีอัชฌาไศรย
จึงสั่งบุตรีทั้งปวงไป เจ้าช่วยพาใจนางกัลยา
ชวนกันตระโบมโลมเล้า ให้พระน้องบันเทาทุกขา
ว่าพลางพานางทั้งปวงมา ปลอบโยนขนิษฐายังห้องใน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ สั่งแล้วมาขึ้นอาชา รีบเข้ามายังวังใหญ่
ครั้นถึงจึงทูลท้าวไท ตามเหตุเภทไภยแต่เดิมมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวกาหลังสุริวงษ์นาถา
ให้คิดพะวงสงกา อันเหตุนี้น่าอัศจรรย์
จึงสั่งให้เกณฑ์โยธา เร่งไปติดตามหาหย้าหรัน
ปันหยีจึงกลับไปฉับพลัน น้องนั้นจะได้ส่างโศกี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงองค์มิสารปันหยี
บังคมลามาขึ้นพาชี ไปดาหาปาตีทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงผู้มีอัชฌาไศรย
เร่งจัดทหารชาญไชย ก็ได้ครบครันดังบัญชา
อันพระพี่เลี้ยงทั้งแปดคน ก็คุมพวกพลอาสา
ต่างขึ้นมโนไมยไคลคลา ออกจากภารารีบไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ จึงแยกย้ายรายกันเที่ยวหา ค้นคว้าตามแถวแนวป่าใหญ่
เที่ยวทุกสุมทุมพุ่มไม้ แต่ไปได้ถึงเจ็ดราตรี

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า มาจะกล่าวบทไป ถึงติหลาอรสาโฉมศรีิ
แต่เข้าปะตาปาค่อยเปรมปรีดิ์ สถิตย์ที่ภูผาตะหลากัน
บำเพ็ญภาวนารักษากิจ ตั้งจิตรสำรวมอารมณ์มั่น
สังเกตเคยดูแลแน่ครัน สารพันแม่นยำชำนาญ
นางมิได้วายเทวศถึงเชษฐา กัลยาตั้งจิตรพิศฐาน
ขอเทพเทวัญจงบันดาล ให้ประสบพบพานพระพี่ยา
ครั้นจวนจะใกล้สิ้นคำสาป อานุภาพปัตตาระกาหลา
วันเมื่อจะพบประสันตา พเอิญให้กัลยาอาวรณ์

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย พอเวลาสายัณห์ตวันบ่าย แดดร่มลมชายมาอ่อนอ่อน
จึงชวนสองพี่เลี้ยงบังอร บทจรออกจากกุฎี

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

สมิงทอง ลดเลี้ยวเที่ยวชมบุบผชาติ งามประหลาดหลายอย่างต่างสี
ลมหวนอวลกลิ่นสุมาลี หอมตระหลบทั้งที่จงกรม
พวงพยอมยื่นย้อยห้อยระย้า กิ่งค้อมตามหลังคาอาศรม
นางเก็บกาหลงมาทรงดม เดินเล่นเย็นร่มสำราญใจ
ประเสหรันสั่นกิ่งพิกุลดก ดอกดวงร่วงตกลงใหม่ใหม่
บาหยันก้มเก็บใส่สไบ มาถวายอรไทยเทวี

ฯ ๖ คำ ฯ เพลงฉิ่ง

ร่าย แล้วชวนสองกัลยามานั่ง ที่ร่มไทรใกล้ฝั่งสระศรี
ร้อยพวงบุบผามาลี กับพี่เลี้ยงนารีสำราญ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตากุเรปันใจหาญ
เที่ยวไปในพงดงดาน ถึงสถานภูผาตะหลากัน
จึงคิดว่าศาลากุหนุงนี้ เห็นจะมีดาบศเปนแม่นมั่น
จะขึ้นไปเคารพอภิวันท์ ให้จับยามหย้าหรันที่หายไป
คิดพลางทางสั่งโยธี จงยับยั้งอยู่นี่อย่าไปไหน
ว่าแล้วลงจากอาชาไนย ขึ้นไปบนเนินคิรี

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ แลเห็นหลังคาอาศรม ประสัมตาชื่นชมเกษมศรี
ค่อยลัดแลงแฝงไม้จรลี เข้าไปใกล้ที่ศาลา
เห็นแอหนังนั่งร้อยดอกไม้ ใต้ต้นโศกใหญ่ใบหนา
พิศพลางทางถวิลจินดา ใครหนอเหมือนมิสาอุนากัน
จะเปนหน่อกระษัตรองค์ไหน จึงทรงลักษณ์วิไลยเฉิดฉัน
แม้นได้กับปันหยีจะสมกัน ครั้นนางผันภักตร์มาก็อัญชลี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ติหลาอรสาโฉมศรี
ครั้นเหลือบเห็นสุหราปาตี เทวีหวาดหวั่นพรั่นใจ
จะว่าปันหยีใช้ให้ตามหา ฤๅมาด้วยกันเปนไฉน
จะคิดผ่อนผันฉันใด ทรามไวยอาวรณ์ร้อนรน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาจึงแจ้งอนุสนธิ์
ข้านี้มีทุกข์กังวล จะนิมนต์ให้พิจารณา
ด้วยน้องของนายข้านั้น ชื่อหย้าหรันวิลิศมาหรา
หายไปกับที่ไสยา ไม่รู้ว่าจะดีฤาร้าย
เชิญมาจับยามตามสังเกต แจ้งเหตุแล้วจะลาผันผาย
พูดพลางทำหน้าตาตาย ดูนางนึกหมายกำหนดไว้

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ติหลาอรสาศรีใส
ได้ฟังคิดฉงนสนเท่ห์ใจ เมื่อกูอยู่ในพระบุรี
ก็มิได้รู้จักหน้าหย้าหรัน ว่าเปนพี่น้องกันกับปันหยี
ใครมาแต่ไหนดังนี้ คิดแล้วจึงมีวาจาไป
ท่านนั่งยับยั้งอยู่แต่นอก ร้ายดีจะบอกเหตุให้
เราเปนชีชาวพนาไลย อย่าว่าไปให้แจ้งถึงธานี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ว่าแล้วลีลาเข้าอาศรม โฉมยงปลงอารมณ์ดูถ้วนถี่
จึงใช้มะดาหยันกัลยาณี พี่ไปบอกคดีให้แจ้งใจ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น มะดาหยันผู้มีอัชฌาไศรย
รับรศพจนาแล้วคลาไคล ออกไปแจ้งความตามกิจจา
ว่าหย้าหรันนั้นยังไม่วอดวาย แต่เคราะห์ร้ายถึงฆาฏชัณษา
เขาลักไปไว้เมืองมะงาดา ใส่ตรุตรึงตราตรากไว้
สัตรีหนึ่งมีบันดาศักดิ์ ช่วยพิทักษ์อุปถัมภ์แก้ไข
จึงพ้นหากจำจองจำนองไภย เคลื่อนคลายออกได้จากตรุนั้น
เดิมทีเขาจะลักพี่ชาย แต่เคราะห์ของน้องร้ายเปนกวดขัน
จึงบันดาลให้แปลกเปลี่ยนกัน เขายังไม่ฆ่าฟันให้บรรไลย
แล้วเขาจะให้กลับมาจับพี่ แต่เคราะห์ดีไม่ทำอะไรได้
จะมีลาภทั้งสองอันต้องใจ ทั้งของเก่าของใหม่พร้อมกัน
จะเปนทุกขลาภไม่เปนไร เร่งติดตามไปขมีขมัน
จะได้ตัวมาในเจ็ดวัน แม่นมั่นเหมือนหนึ่งสัญญา

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาชื่นชมหรรษา
ยิ้มพลางทางตอบวาจา แม้นไปได้มาเหมือนถ้อยคำ
จะนับถือถวายตัวเปนญาติโยม อยู่เฝ้ากุฎิจุดโคมเวลาค่ำ
สนองคุณทดแทนที่แม่นยำ พูดพลางทางทำยิ้มพราย
วันนี้ก็จวนจะด่วนไป ไม่ทันหาอะไรมาถวาย
จะรีบเร่งตามน้องของนาย ว่าแล้วเดินชายออกมา
เลี้ยวเลียบลงจากบรรพต จำกำหนดแนวเขาลำเนาป่า
ลงมาถึงซึ่งเชิงบรรพตา กู่หาพวกพ้องก้องพงพี

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นพบพี่เลี้ยงทั้งเจ็ดคน จึงบอกยุบลเปนถ้วนถี่
ชาวเราจงรีบไปบัดนี้ ตามแอหนังชีบอกไป
เราจะกลับเข้าไปนัคเรศ ทูลเหตุให้แจ้งแถลงไข
ว่าแล้วขึ้นอาชาคลาไคล ทั้งเจ็ดรีบไปดังวาจา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ประสันตามาถึงกาหลัง ก็ไปยังปันหยีสุกาหรา
ยิ้มพลางทางทูลพระราชา วันนี้ผีพาข้าหลงไป
ได้ประสบพบองค์แอหนัง ปะตาปาอยู่ยังเขาใหญ่
รูปทรงโสภายาใจ เลิศลักษณ์วิไลยลาวรรณ
แม้นพระได้เห็นนางทรามไวย คงจะชอบพระไทยเปนแม่นมั่น
แล้วทูลความตามคำที่รำพรรณ ที่ได้ทายหย้าหรันทุกประการ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
จึงซักไซ้ไต่ถามถึงเยาวมาลย์ รูปพรรณสัณฐานนั้นเพียงไร
ทรวดทรงสูงต่ำดำขาว ชัณษาแก่สาวสักเพียงไหน
ว่าเล่นฤาจริงยังกริ่งใจ จงแถลงแจ้งไปอย่าปดกัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาทูลไปขมีขมัน
ข้ามิได้เอาเท็จมาผูกพัน พระทรงธรรม์อย่าพะวงสงกา
อันรูปทรงองค์แอหนังนี้ งามล้ำนารีในแหล่งหล้า
แม้นจะเปรียบกับพระน้องบุษบา เห็นน่าจะคล้ายคลึงกัน
บุญตัวประสันตาไม่ว่าเล่น เคราะห์ดีได้ไปเห็นนางสวรรค์
แม้นมิเหมือนวาจาที่ว่านั้น ก็ให้ลงโทษทัณฑ์ประสันตา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีเกษมสันต์หรรษา
ฟังข่าวกล่าวโฉมกัลยา ให้แสนเสนหาในรูปทรง
แล้วพระจึงตรัสไปทันใด จะแปลงเปนเทพไทดังประสงค์
แม้นจะออกไปรับตรงตรง เห็นองค์อรไทยจะไม่มา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตานบนิ้วเหนือเกษา
ยิ้มพลางทางทูลพระราชา พระตรัสมาดังนี้ดีนัก

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริวงษ์เทวามีศักดิ
ชื่นชมภิรมย์ใจเปนพ้นนัก พระทรงศักดิจึงเสด็จจรดล
ตรัสสั่งอนุชาผู้ภักดี วันนี้พี่จะไปไพรสณฑ์
อยู่หลังจงระวังนฤมล อย่าให้มีเหตุผลสิ่งใด

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ แล้วสั่งพี่เลี้ยงประสันตา จงไปจัดโยธาน้อยใหญ่
เอารถามาเทียมเตรียมไว้ ทั้งเครื่องทรงซ่อนใส่ในรถ
ทหารแห่แต่หกสิบถ้วน เลือกล้วนแกล้วกล้าขี่ม้าหมด
พอสิ้นแสงสุริยงอัษฎงคต กำหนดจะให้ถึงคิรี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ สั่งเสร็จเสด็จเข้าที่สรง สำอางองค์ทรงเครื่องเรืองศรี
จับชายกรายกรจรลี เข้าไปยังที่ห้องใน

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ นั่งเคียงเกนหลงหนึ่งหรัด แล้วตรัสว่าจะลาไปป่าใหญ่
เที่ยวหาหย้าหรันเรืองไชย แม้นได้ข่าวคราวจะรีบมา
น้องรักค่อยอยู่จงดี อย่าโศกเศร้าโศกีฟังพี่ว่า
สั่งพลางทางเสด็จลีลา มาทรงรถาคลาไคล

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นมาถึงภูผาตะหลากัน สุริยันเลี้ยวลับเหลี่ยงมไศล
จึงให้หยุดรถแก้วแววไว แทบใกล้แนวเนินกุหนุงนั้น

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี ครั้นยามค่ำย่ำสนธยากาล ภูบาลแต่งองค์เฉิดฉัน
สอดใส่สนับเพลาเชิงสุวรรณ เข็ดขัดทองพันภูษาทรง
พระพี่เลี้ยงเคียงเข้าช่วยแต่ง จัดแจงจีบโจงหางหงษ์
ตาดปักเครือทองฉลององค์ ปั้นเหน่งจำหลักลงราชาวดี
ตาบทิศทับทรวงดวงกุดั่น สังวาลวรรณแวววับจับสี
ธำมรงค์รจนาจินดาดี ทองกรมณีกนกพรรณ
พระทรงมงกฎแก้วแววฟ้า แต่งอย่างเทวาในสวรรค์
เหน็บกฤชนาดกรจรจรัล มากับประสันตาผู้ร่วมใจ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย พระป่ายปีนขึ้นบนปลายพฤกษา ร้องมามิให้จำเสียงได้
เจ้ามีความปราถนาสิ่งใด ทรามไวยจึงมาปะตาปา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น แอหนังติหลาอรสา
สำคัญจิตรคิดว่าเทวา จึงร้องตอบมาทันใด
ข้าจะปราถนาหาความชอบ ให้ประกอบตามอัธยาไศรย
ชาตินิ้บุญน้อยเปนพ้นไป ภายน่าจะให้สมคิด

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีชื่นชมภิรมย์จิตร
เราคือเทวาสุราฤทธิ์ สถิตย์ในนัคราคิรี
ชื่อว่าหลังหลังอาหลัด จะมาแจ้งอรรถแก่โฉมศรี
บัดนี้เทวัญจันทรี ทุกราษีคิดพร้อมยอมใจ
ว่าแอหนังนี้ทำความชอบ ประกอบพรตธรรม์ไม่หวั่นไหว
จึงให้ข้ามาเชิญขึ้นไป อยู่ในสวรรค์วิมานบน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองพี่เลี้ยงได้ฟังเหตุผล
ไม่แจ้งว่าแกล้งแต่งกล ได้ยินยุบลก็ตกใจ
แอหนังทั้งสองจึงไคลคลา ยังติหลาอรสาศรีใส
เมื่อฉนี้จะคิดประการใด ข้าน้อยจะไกลพระบาทา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น แอหนังติหลาอรสา
กับสองพี่เลี้ยงกัลยา กอดกันโศการ่ำไร
เราพลัดบุรีมาด้วยกัน ดัดดั้นไพรพงดงใหญ่
ตกไร้ได้ยากลำบากใจ น้องไม่เคยไกลสักนาที
ร่ำพลางนางกล่าวไปพลัน ดูราเทวัญเรืองศรี
แอหนังพี่ข้าทั้งสองนี้ เนาในคิรีปะตาปา
ยังจะไปด้วยได้ฤๅมิได้ เทพไทจงโปรดเกษา
เปนเพื่อนศุขเพื่อนทุกข์กันมา พี่น้องจะได้เห็นหน้ากัน

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
จึงตอบวาจาแอหนังนั้น จะพาไปด้วยกันอย่าปรารมภ์
เจ้าอย่าหน่วงหนักชักช้า เชิญยุรยาตราจากอาศรม
อย่าร้อนใจจะได้เสวยรมย์ ชมทิพสมบัติเปรมปรีดิ์

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ติหลาอรสามารศรี
คิดถึงชนกชนนี นางตีทรวงเข้าโศกา

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

โอ้ โอ้พระบิตุเรศมารดาเจ้า ตั้งแต่โศกเศร้าโหยหา
ทำไฉนพระจะแจ้งกิจจา ว่าลูกไปเมืองฟ้าสุราไลย
พระคุณล้ำฟ้าดินแดน จะได้แทนพระคุณก็หาไม่
เห็นจะได้เดือดร้อนอาวรณ์ใจ ด้วยลูกมาไกลพระบาทา
คิดว่าจะได้คืนกรุงไกร ถึงช้าพลันก็จะได้เห็นหน้า
ทีนี้ตั้งแต่จะไกลตา อนิจาจะคิดประการใด
โอ้ว่าเอนดูพระเชษฐา จะแสนโศกโศกาหม่นไหม้
สียะตราจะอ้อนอาไลย วิยดาจะร่ำไห้ทุกเวลา
ถึงบุญน้อยแล้วจะจำไกล แต่ให้ได้สั่งพระเชษฐา
ได้กราบบาทสองราชกระษัตรา ถึงจะไปก็ไม่อาไลยนัก
นี่ต่างไกลไม่รู้เหตุผล ต่างแสนทุกข์ทนเพียงอกหัก
ห่วงน่าห่วงหลังกังวลนัก อักอ่วนไปมาในราตรี

ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด

ร่าย เมื่อนั้น พระโฉมยงองค์สารปันหยี
คอยท่าเห็นช้าท่วงที จึงร้องเตือนเทวีลงไป

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ติหลาอรสาศรีใส
ฉวยคว้าได้กฤชทันใด สองพี่เลี้ยงร่วมใจตามมา
ปันหยีก็นำดำเนิน เดินลงตามเทินเนินผา
แอหนังจึงถามเทวา ว่าจะไปฟากฟ้าสุราไลย
เหตุไรจึงไม่เหาะเหิน จะพาเราเดินไปหนไหน
เราเร่งฉงนสนเท่ห์ใจ จงบอกเราไปอย่าได้ช้า

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มิสารปันหยีสุกาหรา
ว่าจะไปลงรถรัตนา ถึงเชิงผาแล้วจะเหาะไป
ว่าพลางพานางไคลคลา มิช้าถึงเชิงเขาใหญ่
จึงอุ้มขึ้นรถแก้วแววไว สองนางอรไทยก็ขึ้นท้าย
ประสันตาขับพาชีไชย วางวิ่งว่องไวดังใจหมาย
พวกทหารชำนาญซึ่งเดินท้าย ก็ร่ายแซงแฝงไม้มาแต่ไกล

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น แอหนังเร่งคิดสงไสย
ไม่เหาะขึ้นฟากฟ้าสุราไลย รถไปตามทางพนาลี
ชรอยเปนมนุษย์แปลงมา ไม่เหมือนเทวาในราษี
ฉุกใจจะคิดไฉนดี เทวีก็โศกาไลย

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีผู้มีอัชฌาไศรย
ค่อยโน้มน้าวกล่าวเกลี้ยงเอาใจ เจ้าอย่าละห้อยไห้ไปมา
พี่จะขอถามเจ้าตามจริง สิ่งใดอย่าได้พรางข้า
ยังมิทันแก่เถ้าชรา เจ้ามาปะตาปาด้วยอันใด
แม้นเจ้าบอกความตามสัจ พี่มิให้เคืองขัดอัชฌาไศรย
จะพานางสายสมรอรไทย คืนไปส่งไว้ยังกุฎี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ติหลาอรสามารศรี
ได้ยินวาจาพาที ก็รู้ว่าปันหยีชาญไชย
นางจึงค่อยกล่าวพจนา เปนความสัจจาจะบอกให้
เหตุด้วยสามีหนีหายไป ร้อนใจจึงมาปะตาปา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีได้ฟังนางว่า
คิดกริ่งหฤไทยไปมา แล้วจะเปนบุษบานารี
จึงถามว่าผัวเจ้าชื่อไร เปนลูกเต้าเผ่าใครจงบอกพี่
พี่จะพาไปส่งถึงธานี สามีเจ้าอยู่บุรีไร

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น แอหนังกล่าวแกล้งแถลงไข
ผัวข้าชาวดงพงไพร พลัดพรากกันไปนานช้า
จะเปนตายฉันใดมิได้รู้ ข้าเที่ยวหาอยู่หนักหนา
ข้าบอกความแต่ตามสัจจา ขอส่งข้าคืนไปยังคิรี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีเล้าโลมนางโฉมศรี
จะขึ้นไปต้องการอะไรมี เจ้าฟังคำพี่เถิดเยาวมาลย์
เจ้าก็ปะตาปาหาความชอบ หวังจะให้ประกอบเปนแก่นสาร
พี่ก็ได้ปะตาปามาช้านาน กุศลนั้นบันดาลประจวบกัน
พเอิญเห็นประจักษ์แล้วขวัญเจ้า ทั้งสองเราดังได้ตุนาหงัน
วาศนาเคยสนิทติดพัน จะมาถือเชิงชั้นไปไยมี
พี่จะรับทรามสงวนนวลน้อง ไปเปนคู่ครองของพี่
ศฤงฆารบริวารนารี บรรดามีจะมอบให้ครอบครอง

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ อย่าเอยอย่าว่า ข้าไม่ปราถนามีคู่สอง
โภไคยไอสูรย์ไม่ปูนปอง จะเที่ยวท่องสัญจรนอนไพร
ถึงมาทจะไม่พบกับสามี จะยินดีชายอื่นอย่าสงไสย
จะสู้ตายไม่เสียดายชีวาไลย ว่าแล้วทรามไวยก็โศกา

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น มิสารปันหยีสุกาหรา
เห็นนางซื่อสัจต่อภัศดา เกี้ยวพานพูดจาไม่จงใจ
ชำเลืองดูประสันตาแล้วสั่นเศียร ทำเปนแยบแนบเนียนบอกใบ้
พระกล่าวแกล้งแสร้งเสใส่ไคล้ พี่ว่าเล่นลองใจเทวี
โฉมยงอย่าทรงโศกา ภักตรานวลลอองจะหมองศรี
เช็ดชลนานางพลางพาที แม้นสามีน้องนั้นมิบรรไลย
สุดแต่จะให้ได้พบกัน ถึงช้าพลันจะทำกะไรได้
พี่จะช่วยสืบเสาะแสวงไป ให้สมหวังดังใจเจ้าจินดา
ปลอบพลางทางเร่งรถทรง เลี้ยวลัดตัดดงเดินป่า
คืนหนึ่งก็ถึงภารา ตรงมายังปันจะรากัน

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงกล่าวอภิปราย ขอเชิญโฉมฉายผายผัน
จะจวนรุ่งรังษีรวีวรรณ ผู้คนจรจรัลไปมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น แอหนังติหลาอรสา
กลุ้มกลัดขัดใจไม่เจรจา ซบภักตราลงทรงโศกี

ฯ ๒ คำ โอด

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงองค์มิสารปันหยี
จึงกล่าวเกลี้ยงเลี่ยงปลอบให้ชอบที เทวีอย่าถวิลกินใจ
อันถ้อยย้ำคำมั่นจำนรรจา ซื่อต่อภัศดาไม่หาได้
ต้องระบอบชอบที่เปนพ้นไป พี่ไม่เลียมล่วงประเวณี
เชิญเจ้าขึ้นไปติกาหรัง ร้อยชั่งอย่าแหนงแคลงพี่
จะรังเกียจเดียดฉันกันไยมี พี่จะพาเทวีไคลคลา
ไปเที่ยวรบรุกทุกบุรี ถ้าแม้นพบสามีขนิษฐา
เจ้าจึงไปดังใจจินดา เปนความสัจจาพี่ว่าไว้

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ติหลาอรสาศรีใส
ได้ฟังภิปรายค่อยคลายใจ อรไทยจึงตอบวาจา
เจ้าให้สัตย์ปัฏิญาณมั่นคง ข้าจะไปตามจำนงปราถนา
ทั้งนี้ตามแต่จะเมตตา จะได้มีชีวานั้นสืบไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยียินดีจะมีไหน
เห็นนางค่อยส่างโศกาไลย จึงชวนอรไทยไปพลัน
อุ้มองค์ลงจากรถา ลีลาย่างเยื้องผายผัน
เข้าในห้องทองพรายพรรณ สองพี่เลี้ยงนั้นก็ตามไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เชิญนางให้นั่งร่วมอาศน์ พระกล่าวพจนาดถ์ปราไส
เจ้าจงเอนกายให้สบายใจ ว่าแล้วภูวไนยก็ไคลคลา
เสด็จออกไปเปลื้องเครื่องทรง ซึ่งแปลงองค์เปนอสัญแดหวา
แล้วชำระสระสรงคงคา สุคนธาหอมตระหลบอบองค์
ครั้นเสร็จเสด็จบทจร กรายกรยุรยาตรดังราชหงษ์
คืนเข้าห้องสุวรรณบรรจง ถามองค์อรไทยไปพลัน
พี่ยังถวิลกินใจ เหตุผลกลใดณสาวสรรค์
กับผัวจึ่งพลัดกำจัดกัน อย่าบั่นแบ่งจงแจ้งเถิดเทวี

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ติหลาอรสามารศรี
ฟังถ้อยค่อยกล่าววาที อันเหตุที่พรากพลัดภัศดา
ก็เพราะผลกรรมได้ทำไว้ จึงลำบากยากใจเปนหนักหนา
ดัดดั้นกันดารมรคา ทนทุกข์ทรมามาช้านาน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีฤทธิไกรใจหาญ
เร่งกินแหนงแคลงคำเยาวมาลย์ จึงคิดอ่านเลี่ยงเลี้ยวถามไป
ซึ่งเจ้าว่าพลัดกับสามี ข้อนี้พี่ยังสงไสย
ฤาว่าชีวันจะบรรไลย จึงได้แต่กฤชติดตัวมา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น แอหนังฟังพลางทางว่า
เจ้าอย่าพะวงสงกา กฤชของผัวข้าที่ให้ไว้
ไปแล้วว่าจะกลับคืนมา เห็นช้าข้าคิดสงไสย
จึงสู้ติดตามหาด้วยอาไลย เกลือกผิดทางไปไม่พบกัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีลีลาศผาดผัน
ออกจากห้องแก้วแพรวพรรณ มายังแท่นสุวรรณรจนา
พระรำพึงถึงนางมิบอกแจ้ง กล่าวแกล้งเอื้อนอำอยู่หนักหนา
แล้วจะเปนน้องนุชบุษบา ที่ลมหาพัดหอบหายไป
ด้วยเหตุนั้นเปนมหันตนัก จึงไม่แจ้งประจักษ์ออกได้
นึกฉงนสนเท่ห์ฤไทย ทำไฉนจะรู้แบบคาย

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ คิดพลางย่างเยื้องยุรยาตร จากอาศน์สุวรรณผันผาย
เข้าในห้องแก้วแพรวพราย นั่งเคียงโฉมฉายแล้วพาที
พี่ยังกินแหนงแคลงใจ ที่ในถ้อยคำนางโฉมศรี
ถามเหตุด้วยพลัดสามี เพียงนี้มิพอจะพรางกัน
เจ้าก็ไม่แจ้งออกบอกตรง ใช่จะจงเจาะถามที่ความขัน
เปนความทุกข์จะได้ปรับทุกข์กัน จะรังเกียจเดียดฉันด้วยอันใด
ถึงข้อนี้มิแจ้งก็ทำเนา มิให้เจ้าเคืองขัดอัชฌาไศรย
อันผัวน้องนั้นมีฤทธิไกร ฤาหาฤทธิไม่ณเทวี

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ติหลาอรสาโฉมศรี
จึงเยื้อนตอบวาจาพาที ถามมาดังนี้เปนจนใจ
อันซึ่งสามีของข้า จะว่าเรืองฤทธาก็ว่าได้
ถ้าจะว่าไม่มีฤทธิไกร ก็ได้ดังน้ำใจนึก

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีได้ฟังก็ตริตรึก
ท่วงทีถ้อยคำนี้ล้ำฦก นิ่งนึกฉงนเปนพ้นไป
จึงว่าเชิญเจ้าจงไสยาศน์ เอนอาศน์สำราญอย่าหม่นไหม้
พระทำเฉยจะให้ชเลยใจ หวังจะได้ลักดูกฤชเทวี
แล้วเสด็จยุรยาตรคลาศคลา ออกมาจากห้องนางโฉมศรี
นั่งเหนือบัลลังก์รัตน์รูจี ตรึกที่ถ้อยคำนางอรไทย
ใครหนอว่าเรืองฤทธา จะฦๅชาปรากฎก็หาไม่
แต่กูอานุภาพเกรียงไกร ปราบได้ในแคว้นแดนชวา
คิดแล้วย่างเยื้องผันผาย จับชายกรายกรีดหัดถา
คืนเข้าห้องสุวรรณกัลยา จึงมีพจนาถามไป
เหตุไรผัวเจ้าไม่ตามหา ฤๅเขาไม่เมตตาเปนไฉน
ส่วนน้องเที่ยวท่องพงไพร ช้านานยังไม่พบกัน
ถ้าผัวรักเจ้าเขาตามหา เห็นว่าจะได้พบเปนแม่นมั่น
แต่จิตรเจ้ายังคิดผูกพัน สำคัญว่าเขายังเมตตา

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น แอหนังติหลาอรสา
ได้ฟังจึงตอบวาจา นี่แลจะว่าเปนจนใจ
เขาก็มีอิสัตรีเปนที่รัก เกลือกเปนห่วงหน่วงหนักไม่มาได้
ครั้นจะว่าไม่ตามเปนความไกล เกลือกตามแต่จะไม่พบน้อง
ที่จะรักมิรักไม่เล็งเห็น ว่าไปก็จะเปนคำสอง
สุดแต่ใจข้าไม่นึกปอง ที่จะมีคู่ครองสืบไป

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีเปลี่ยวจิตรคิดสงไสย
ด้วยถ้อยคำน้ำเสียงอรไทย เหมือนบุษบายาใจเปนพ้นนัก
ทั้งรูปทรงส่งศรีกิริยา เรื่องราวกล่าวมาก็แหลมหลัก
เห็นถูกต้องที่หมองแก่พี่นัก ด้วยพี่รักจินตะหราวาตี
แล้วคิดกินแหนงแคลงจิตร กูมิได้ให้กฤชแก่โฉมศรี
แปลกกันด้วยสำคัญข้อนี้ ภูมีคิดฉงนสนเท่ห์ใจ
แต่เวียนถามถึงความสามี เซ้าซี้จะให้สิ้นสงไสย
จะนั่งช้ากลัวจะผิดสัญญาไว้ ครั้นออกไปก็คนึงถึงนาง
เอนองค์ลงเหนือบรรจฐรณ์ ยอกรก่ายเกยเขนยข้าง
พระนิ่งนึกกินแหนงแคลงคลาง ให้สงไสยในนางเทวี

ฯ ๒๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เกนหลงหนึ่งหรัดมารศรี
ครั้นแจ้งเรื่องราวข่าวคดี ว่าปันหยีไปได้แอหนังมา
นั่งเฝ้าเล้าโลมกันอยู่ โฉมตรูขัดแค้นเปนหนักหนา
จึงมีมธุรศวาจา แก่ระเด่นรัตนาทรามไวย
เห็นแล้วฤากะกังปันหยี ช่างไปได้นางชีมาแต่ไหน
นั่งเฝ้าโลมเล้าเอาใจ เหตุผลก็ไม่มาบอกกัน
เดิมทีจะแบหลาพระมาห้าม ให้ระงับดับความโศกศัลย์
จะฟังเหตุมาเล่าเปล่าทั้งนั้น แกล้งผูกพันพูดเล่นเจรจา
น้องจะครองชีวิตรไว้ไย แม้นม้วยบรรไลยเสียดีกว่า
ร่ำพลางนางทรงโศกา กัลยาขัดแค้นแสนทวี

ฯ ๓๐ คำ ฯ โอด

๏ จึงเรียกบาหยันเข้ามาสั่ง พี่ไปบอกกะกังปันหยี
น้องจะขอเอากฤชบัดนี้ แม้นปรานีจริงจงให้มา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น บาหยันนบนิ้วเหนือเกษา
รับสั่งทรามไวยแล้วไคลคลา ไปจากดาหาปาตี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงวังปันจะรากัน จึงถวายอภิวันท์ปันหยี
ทูลแถลงแจ้งความตามคดี โดยดังวาทีอรไทย

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีครั้นแจ้งแถลงไข
จึงไปถามแอหนังทันใด ซึ่งเขาไปให้พิจารณา
เจ้าว่าจะได้ในเจ็ดวัน แม่นมั่นแล้วฤาขนิษฐา
เมื่อไรจะได้ตัวมา กัลยาจงบอกบัดนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น แอหนังได้ฟังปันหยี
พิเคราะห์ดูแล้วว่าไปทันที จะมาถึงวันนี้เปนมั่นคง

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีชื่นชมสมประสงค์
ออกจากห้องสุวรรณบรรจง มาขึ้นทรงพาชีไคลคลา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครันถึงวังดาหาปาตี ไปยังที่หลงหนึ่งหรัดขนิษฐา
นั่งลงข้างองค์กัลยา จึงกล่าววาจาไปทันใด
เปนไฉนจึงให้ไปเอากฤช ฤาคิดว่าผัวเจ้าตักไษย
พระจึงเล่าแถลงให้แจ้งใจ ที่ให้แอหนังดูมา
พี่ให้กะกังทั้งเจ็ดคน ให้รีบพาพวกพลไปตามหา
ข่าวคราวเปนไฉนยังไม่มา จึงมิได้กิจจามาแจ้งน้อง
บัดนี้แอหนังกำหนดไว้ ว่าจะได้ตัวมาไม่ขัดข้อง
วันนี้จะมาถึงดังใจปอง นวลลอองอย่าเพ่อโกรธา

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เกนหลงหนึ่งหรัดเสนหา
ซึ่งพิโรธโกรธแก่พระพี่ยา ได้ฟังวาจาก็คลายใจ
จึงบังคมคัลวันทา ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล
ในอกหมกมุ่นขุ่นเคืองใจ มิได้พาทีด้วยพี่ยา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงพี่เลี้ยงทั้งเจ็ดที่ตามหา
ครั้นไปถึงเมืองมะงาดา ก็พากันเข้าในกรุงไกร
อันเหล่าทหารทั้งหลาย ให้แยกย้ายรายกันเข้าอาไศรย
ทุกศาลาหลามรายไป แต่พี่เลี้ยงเข้าในธานี
เที่ยวฟังกิติศัพท์เขาพูดจา ทำอาการดังชาวกรุงศรี
ตร่ายเตร่เร่นั่งพาที ชาวบุรีมิได้สงกา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หญิงชายชาวเมืองถ้วนหน้า
เดินตามถนนกล่นเกลื่อนมา ต่างจำนรรจาชวนกัน
มาจะไปดูนักโทษใหม่ โฉมงามวิไลยเฉิดฉัน
หนุ่มน้อยโสภาวิลาวรรณ ใครจะทัดเทียมทันก็ไม่มี
บ้างได้ส้มสูกลูกไม้ จะไปให้นักโทษน้องปันหยี
ไม่มีโทษาน่าปรานี พาทีพลางเดินดำเนินไป

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น พี่เลี้ยงฟังแจ้งไม่สงไสย
จึงเดินตามชาวบุรีไป ถึงน่าทับที่ใกล้ตรุนั้น
บ้างเหลียวชะแง้แลหา พอสบไนยนาหย้าหรัน
ให้สลดรันทดใจจาบัลย์ ต่างคนต่างกลั้นโศกา
จึงถามว่าข้าจะให้หมากพลู แก่คนผู้อยู่ในโทษา
จะได้ฤามิได้จงบอกมา เราเห็นก็เปนน่าเอนดู

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ธำมรงซึ่งนั่งคุมอยู่
ไว้ใจเพื่อนไม่ทันรู้ เขาให้ทานอักขูจะเปนไร

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงทั้งเจ็ดก็หม่นไหม้
ส่งสลาให้พลางต่างดีใจ ดังตายแล้วเกิดใหม่ได้พบกัน
จึงเหลียวดูผู้คุมที่รักษา เห็นเขาเมินจึงว่าแก่หย้าหรัน
มาเราจะพากันจรจรัล ในเวลาสายัณห์ค่ำนี้
ว่าแล้วก็กลับออกมา ปรีดาภิรมย์เกษมศรี
ดังม้วยมุดสุดสิ้นชีวี แล้วมีชีวิตรคืนมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายระเด่นดะราหวันเสนหา
ได้ร่วมรักหย้าหรันแต่นั้นมา กัลยาจำนงจงใจ
ส่งเสียปรนิบัติอยู่อัตรา จะเว้นวันเวลาก็หาไม่
ครั้นค่ำคิดถึงคนึงใน ทรามไวยบรรจงแต่งกายา
ลูบไล้สุคนธ์ปนปรุง หอมฟุ้งตระหลบด้วยบุบผา
แล้วชวนพี่เลี้ยงลอบไคลคลา ออกมาจากนิเวศน์วังพลัน

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงศาลาน่าตราง ให้พี่เลี้ยงสองนางอยู่ที่นั่น
แล้วเสด็จย่างเยื้องจรจรัล เข้าไปหาหย้าหรันทันที

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรันเล้าโลมนางโฉมศรี
พูดจาปราไสเปนไมตรี ถ้อยทีปดิพัทธกำหนัดใน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงผู้มีอัชฌาไศรย
ครั้นสิ้นแสงสุริย์ศรีก็ดีใจ จึงพากันรีบไปดังใจปอง

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ถึงศาลาน่าบ้านผู้คุม แลตะคุ่มคนนั่งอยู่แต่สอง
เห็นเปนหญิงกริ่งจิตรเขม้นมอง ดูทำนองท่วงทีเหมือนชาววัง
จึงหลีกลัดตระหลบเลี้ยวมา ที่ริมร้านขายสุราน่าถัง
ครั้นถึงเรือนหย้าหรันก็ยับยั้ง หยุดยืนแฝงฟังซึ่งกิจจา
ได้ยินสำเนียงเสียงนารี จึงแอบเข้าข้างที่ริมฝา
กะทั่งไอให้เสียงสัญญา ส่งให้มาหาจะว่าไร

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรันผู้มีอัชฌาไศรย
เยี่ยมไปเห็นพี่เลี้ยงผู้ร่วมใจ ภูวไนยยินดีปรีดา
แล้วถามถึงพระน้องกับพระพี่ เห็นทีจะละห้อยคอยหา
ทำไฉนจึงแจ้งแห่งกิจจา ว่าเขาพาน้องมาถึงเมืองนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงจึงแจ้งถ้วนถี่
ซึ่งข้าน้อยมาภารานี้ ตามแอหนังชีบอกมา
อันพระเชษฐากับพระน้อง แต่ครวญคร่ำร่ำร้องกรรแสงหา
เพียงจะม้วยมุดสุดชีวา ขนิษฐาจะแบหลาลง
พระพี่ยาชิงกฤชไว้ได้ หาไม่จะม้วยเปนผุยผง
แล้วให้ทหารชาญณรงค์ เที่ยวหาพระองค์ทุกกรุงไกร

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรันครั้นแจ้งแถลงไข
ก็ทรงโศกโศกาอาไลย ชรอยกรรมทำไว้แต่ก่อนมา

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงโศกศัลย์เปนนักหนา
แล้วทูลถามพลันมิทันช้า ใครซึ่งมาหาพระองค์นี้

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรัดจึงแจ้งถ้วนถี่
นางนี้เปนราชบุตรี มารศรีมีคุณแต่แรกมา
สู้เสียเสื้อผ้าเงินทอง น้องจึงเคลื่อนคลายโทษา
บัดนี้สิจะไปภารา จำจะบอกกัลยาให้แจ้งใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงจึงทูลสนองไข
นางได้มีคุณเมื่อตกไร้ จะทิ้งไว้ไม่ชอบพระผ่านฟ้า

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรัดตอบคำพี่เลี้ยงว่า
พระน้องจะน้อยใจอนุชา จะแต่งมาตอบคุณอรไทย

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงจึงทูลสนองไข
ถึงพระน้องข้องเคืองประการใด โทษทัณฑ์สิ่งไรจะรับเอา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรันผู้เฉิดโฉมเฉลา
จึงเข้าไปหานางนงเยาว์ แล้วเล่าแถลงแจ้งกิจจา
วันนี้พี่จะลาไปเวียงไชย จำเปนจำไกลขนิษฐา
แม้ไม่ม้วยมุดสุดชีวา จะกลับมาสนองคุณนาง
น้องรักเจ้าค่อยอยู่จงดี มารศรีอย่าข้องหมองหมาง
พระชมโฉมโลบลูบปฤษฎางค์ เชยปรางพลางสั่งบังอร

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นดะราหวันดวงสมร
ได้ฟังมธุรศสุนทร ให้อาวรณ์ฤไทยไปมา
มิรู้ที่จะแขงขัดทัดทาน เยาวมาลย์มีจิตรเสนหา
จึงเยื้อนถ้อยค่อยกล่าววาจา ถ้าเมตตาจงพาเอาน้องไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรันปลอบพลางทางปราไส
เจ้าจะดำเนินกลใด ทุ่งกว้างทางไกลกันดารนัก

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ได้เอยได้ฟัง นางคั่งแค้นแสนโศกเพียงอกหัก
อนิจาน่าน้อยใจนัก กะนี้ฤๅว่ารักจะซัดไว้
เสียแรงน้องจำนงจงจิตร จะสู้ม้วยชีวิตรหาคิดไม่
ถึงมาททุ่งกว้างทางไกล จะตามไปไม่อยู่ไยดี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรันเล้าโลมนางโฉมศรี
เจ้าอย่าโศกเศร้าโศกี ใช่พี่จะทิ้งไว้เมื่อไร
ทีนี้เห็นประจักษ์ว่ารักจริง ยอดยิ่งหญิงอื่นไม่หาได้
เจ้าอย่าละห้อยน้อยใจ พี่จะพาทรามไวยไคลคลา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ว่าพลางกุมกรนางโฉมยง ลอบลงมาจากเคหา
มิให้สองอนงค์สงกา พระพี่เลี้ยงลอบพาจรลี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นพบพหลพลไกร ซึ่งซุ่มไว้ในป่าพนาศรี
พระอุ้มองค์ขนิษฐานารี ขึ้นทรงพาชีตัวเดียวกัน
พี่เลี้ยงตามเสด็จทั้งเจ็ดคน ขี่ม้าพาพลผายผัน
พวกทหารแห่แหนแน่นนัน รีบรัดดัดดั้นเดินไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงภารากาหลัง สุริย์ฉายบ่ายบังเหลี่ยมไศล
ลงจากม้าพาองค์อรไทย ตรงไปดาหาปาตี

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึงก้มเกล้าประนตบทบงสุ์ พระโฉมยงองค์สารปันหยี
สององค์ทรงโศกโศกี ต่างแจ้งคดีแก่กัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ แล้วเหลือบเห็นองค์ขนิษฐา ซูบผอมภักตราโศกศัลย์
พระทรงโศกาจาบัลย์ องค์ขนิษฐานั้นก็ร่ำไร

ฯ ๒ คำ ฯโอด

๏ เมื่อนั้น เกนหลงหนึ่งหรัดบังคมไหว้
ชลเนตรฟูมฟองนองไนยน์ ครั้นเหลือบไปเห็นนางกัลยา
นั่งอยู่ข้างหลังพระพี่ เทวีเคืองขัดสบัดหน้า
ไปเที่ยวเกี้ยวชู้แล้วพามา เสแสร้งโศกาว่ารักเรา
โอ้ว่าอนิจาแก่ตัวข้า จะมาม้วยมรณาเสียเปล่าเปล่า
ท่านไปหากได้คู่เคล้า มาหลับตาโศกเศร้าทุกราตรี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงองค์สารปันหยี
จึงถามหย้าหรันทันที นางนี้ได้มาแต่แห่งไร

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรันบังคมประนมไหว้
ชายเนตรดูพระน้องแล้วทูลไป นี่บุตรีท้าวไทมะงาดา
มาสู้เสียผ้าผ่อนเงินทอง น้องจึงเคลื่อนคลายโทษา
กะกังทั้งเจ็ดให้พามา น้องว่าก็ไม่ไยดี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ได้ฟังหย้าหรันพาที ยิ้มแล้วจึงมีวาจา
นางได้มีคุณแก่สามี มารศรีอย่าเคียดขึ้งหึงษา
สิ่งใดจงได้เมตตา เจ้าพูดจาทักทายแต่โดยดี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เกนหลงหนึ่งหรัดโฉมศรี
ชักหน้านิ่งอยู่ไม่พาที ก็เข้าไปในที่บรรธมใน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หย้าหรันรัศมีศรีใส
ตามองค์ขนิษฐายาใจ เข้าไปในที่ไสยา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ดะราหวันพรั่นใจเปนหนักหนา
ด้วยคิดผิดเปนพ้นคณนา เสียแรงรักตามมาแต่เดิมที
คิดว่าไม่มีคู่ครอง จึงตั้งใจว่าจะรองบทศรี
มาสเทินเขินค้างอยู่อย่างนี้ คิดแล้วเทวีก็จาบัลย์

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น ปันหยีสุกาหรารรังสรรค์
จึงตรัสปลอบอรไทยวิไลยวรรณ เจ้าอย่ากรรแสงสลดใจ
ซึ่งเมตตาน้องข้าในครานี้ คุณนั้นหามีที่สุดไม่
พี่จะสนองคุณนางทรามไวย สิ่งใดมิให้อนาทร
เจ้าอย่าได้หมองหมางระคางคิด ฉุกจิตรโฉมฉายสายสมร
เคยสำราญอย่างไรในนคร พี่จะเลี้ยงบังอรเหมือนดังนั้น
แล้วให้จัดเรือนให้อรไทย ทั้งเครื่องทรงเครื่องใช้ทุกสิ่งสรรพ์
ทั้งข้าหญิงชายครบครัน สารพันสมควรด้วยเทวี

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นดะราหวันโฉมศรี
ฟังปันหยีว่าพาที ดังเอาทิพวารีมารดกาย
ที่ร้อนทุกข์ขุกข้องหมองหมาง ค่อยเสื่อมส่างระงับดับหาย
ชลีกรรับของอันเพริศพราย โฉมฉายชื่นชมภิรมย์ใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ