ตอนตั้งวงษ์เทวา จนถึงอิเหนาไปอยู่เมืองหมันหยาครั้งแรก

บทลครเรื่องอิเหนา

พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑

ช้า มาจะกล่าวบทไป ถึงสุริวงษ์เทพไทเรืองศรี
สี่องค์ล้วนทรงธรณี ทุกบุรีตรีชวาไม่เทียมทัน
ท้าวร่วมบิตุเรศมารดา วิทยายิ่งยวดกวดขัน
อันพระเชษฐาผู้ทรงธรรม์ งามล้ำเทวัญนฤมิตร
ผิวผ่องอรสุนทราโฉม ประโลมโลกย์เลิศล้ำละลานจิตร
ดังพระนราวงษ์ทรงฤทธิ์ ทุกทิศเกรงเดชกระจายจร
เปนฉัตรกั้นธรณินทร์ปิ่นชวา นามกรภาราบดีศร
ชื่อหยังหยังเอกระทุกนคร อุดารัดฤทธิรอนกุเรปัน
อันพระอนุชาไชยชาญ วโรฤทธิเปรียบปานพระสุริย์ฉัน
ขาวเหลืองเรืองรองลอองจันทร์ วิลาศล้ำเทวัญในโสฬศ
พระครองกรุงดาหาธานี เอกระนัคหรีปรากฎ
ประกาหวันเลื่องชื่อระบือยศ ทั่วทศทิศไม่เทียมทัน
อันพระราชอนุชาที่สาม เรืองรามพริ้งเพริศเฉิดฉัน
ขาวเขียวแข่งแขพริ้งพรรณ คมสันเลิศโลกลักขณา
พระเปนจอมจุลจักรในกาหลัง เองยังหนึ่งหรัดกาหรา
ฤทธิรงค์ทรงเดชฦาชา ดังพระยาสิงหราชอาจอง
อันพระหริวงษ์องค์สุดนั้น เปนจอมจันทร์จักรภพสูงส่ง
ผิวภักตร์ผ่องเพริศเลิศทรง อรองค์แน่งน้อยละกลกัน
พระครองกรุงสิงหัดสาหรี เมาตรีอากงณรังสรรค์
ทั้งสี่องค์ทรงทศทางธรรม์ เปนหลักในเขตรขัณฑ์ปัถพี
พระเดชานั้นขจรสยอนเดช พระองค์วงษ์เทเวศร์เรืองศรี
จรัสรุ่งฟุ้งเฟื่องทั่วธาตรี เปนที่เฉลิมโลกย์โลกา
อันระตูทุกเมืองซึ่งเรืองฤทธิ์ ก็ให้คิดครั่นคร้ามอยู่หนักหนา
สยบสยองพองเศียรโลมา ด้วยเกรงอานุภาพเปนพ้นคิด
ระบือถึงไหนก็ย่อท้อ ไม่หาญต้านต่อรอติด
ฤทธิรงค์ดังองค์พระอาทิตย์ เมื่อสถิตย์ในกลางอัมพร
บ้างน้อมเกษถวายบรรณาการ ช่อสุวรรณประทุมมาลย์สลับสลอน
พระเกียรติฟุ้งเฟื่องเรืองขจร ทั้งสี่พระนครเสมอกัน

ฯ ๒๘ คำ ฯ

ยานี อันแว่นแคว้นแดนขัณฑเสมา สนุกดังเมืองฟ้าสรวงสวรรค์
อันปรางค์ปราสาททั้งสี่นั้น ล้วนสุวรรณมณีจินดา
ทั้งหางหงษ์ช่อฟ้าปราลี เลิศล้วนมณีมีค่า
มรฎปเก้ายอดโอฬาร์ มีเทวาถือฉัตรประนมเรียง
อันเทพอับศรกินริน ดีดพิณมณีประโคมเสียง
ไพเราะครื้นครั่นสนั่นเวียง เพียงนางบำเรอสหัสไนย
มีปรางค์ปราสาทน้อยรายรอบ ประกอบกาบสุรกาญจน์ไม่นับได้
กระหนกกระหนาบคาบคั่นเปนชั้นไป อำไพเลิศโลกย์ละลานตา
เพดานในไว้เดือนระยับย้อย ระย้าห้อยเพ็ชรดีมีค่า
ตรีมุขสิงหาศน์ดาษดา ด้วยมหาเนาวรัตน์อันยิ่งยง
น่าบันบรรเจิดเลิศนัก เฉลาฉลักวิจิตรพิศวง
สุบรรณยุดนาคินทร์บรรจง หางหงษ์ระยับเพียงพรรณราย
แสงแก้วกาญจนกุดั่นดวง วิเชียรช่วงระดับเลิศเฉิดฉาย
มีพรหมสี่หน้าเรียงราย ถือประทุมถวายบังคมคัล
อันแท่นรองปราสาทกนกห้อย ระยับพลอยมรกฎสดสีสัน
มีสิงห์อัดหยัดย่องเรียงรัน ทั้งเก้าชั้นวิไลยยรรยง
แวววับจับดวงพระสุริย์ศรี เปนที่อาไลยใหลหลง
มุขเด็จเจ็ดชั้นบรรจง เหมหงษ์ทรงมันเปนหลั่นมา
พรหมภักตร์สิงหาศน์อาศน์โถง ท้องพระโรงแปดด้านทิศา
พระฉายใหญ่ตั้งมั่นเปนชั้นมา อัจกลับโมรารายเวียน
ม่านทองกรองดวงแมงทับพราย เปนนารายน์ทรงสุบรรณสามเศียร
จงกลภู่กลิ่นดูแนบเนียน สุจหนี่ปูเลียนละลานตา
อันวิสูตรรูดวงบนแท่นแก้ว ยี่ภู่แผ้วหอมตระหลบด้วยบุหงา
พฤกษาดัดล้วนสุวรรณอลงการ์ ฤดูดอกจินดาวิลาวรรณ
ครั้นวายุพัดระบัดต้อง เสนาะก้องบรรเลงเพลงสวรรค์
พระลานรื่นวิเชียรเรียบสลับกัน เกยแก้วเกยสุวรรณ์เรืองราม
พระคลังทองสิบสองหลั่นตั้งซ้ายขวา ทิมดาบมุกดาแปดด้าน
ที่นั่งเย็นล้วนแก้วเก้าประการ เรือนสนมพนักงานดาษดา
อันวิมานปรเมศสุราฤทธิ์ ก็มาสถิตย์ทั้งแปดทิศา
ทั้งโรงม้าโรงรถคชา อลงกฎรจนาเปนพ้นคิด
ทั้งหางหงษ์ช่อฟ้าบราลี ช้างแก้วมณีไพจิตร
สินธพชาติอาจองทรงฤทธิ์ สำหรับองค์จักรกฤษณ์อันเชี่ยวชาญ
ทั้งรถแก้วบัลลังก์เปนชั้นเชิด ประกอบเกิดนฤมิตรทุกทิศสาร
ทั้งโรงนาเวศอันโอฬาร ระโหฐานระยับจับตา
โรงเครื่องโรงแสงไพจิตร เพ่งพิศเรียงรันทั้งซ้ายขวา
ที่นั่งโถงโรงสุวรรณอลังการ์ ศาลาใหญ่ดาดภู่ดูงาม
อันที่นั่งทรงปืนทั้งซ้ายขวา เปนสง่าเอกเอี่ยมเหี้ยมหาญ
เกยสรงมุรธาภิเศกชาน โรงอาลักษณ์เรียงขนานเปนหลั่นมา
อันที่พราหมณีชีอันวิเศษ ได้สวดพุทธเวทคาถา
เขนยทองเรียงรันเปนชั้นมา สำหรับองค์พระมหามุนี
อันตึกโหราพฤฒามาตย์ ราชครูเรียงรันกันตามที่
ที่นั่งลอยพร้อยเพริศรูจี สำหรับที่โปรยสุวรรณทำทาน
หอกลองแก้วเจ็ดสีมณีวรรณ เปนหลั่นเรียงอยู่กลางราชฐาน
เรือรบรายรอบประจำงาน จะคอยราญไพรีให้วายชนม์
ทุกด้านเตรียมการรายเรียง ให้พร้อมเพรียงตรวจจัดไว้สับสน
บัวสุวรรณบัวแก้วเปนวังวน เครื่องต้นเกิดกับสำหรับเมือง
อันต้นกัลปพฤกษ์ทั้งแปดทิศ ก็เปนสิทธิ์ระบือฦาเลื่อง
อร่ามรายพรายพุ่งรุ่งเรือง ทั้งสี่เมืองวิไลยละลานตา
อันโรงเล่นการมหรศพ ก็ถ้วนครบทุกสิ่งล้วนเลขา
สุราฤทธิบรรจงอลงการ์ รจนาเลิศโลกวิไลยวรรณ
อันกรุงกุเรปันนัคเรศ ภายนอกพระนิเวศน์เขตรขัณฑ์
มีภูผาชื่อว่าหะรีกัน ที่นั้นเรืองรามอร่ามตา
อันพรรณพฤกษาผลาผล เหลือล้นบรรจงไว้หนักหนา
ทรายเขียวมรกฎรจนา พร้อมพรรณปักษาเคล้าเคียง
เปนที่สถานเทเวศร์ โนเรศร่อนร้องถวายเสียง
ทั้งสระแก้วประทุเมศรายเรียง เพียงโบกขรณีในเมืองอินทร์
มีทั้งอาศรมพระนักพรต ก็ปรากฎอยู่ในไพรสินธุ์
น้ำพุดุดั้นสนั่นดิน กระแสสินธุ์ดังจะวิ่งเข้าชิงดวง
ล้วนแล้วด้วยแก้วเก้าประการ โอฬารประเสริฐเฉิดช่วง
แสนสำราญระรื่นชื่นทรวง หอมพวงบุหงาที่ไพรวัน

ฯ ๖๐ คำ ฯ

นกร่อน อันพระนครดาหา ชื่อวิลิศมาหราเฉิดฉัน
ระยับสีมณีแนมแกมสุวรรณ อยู่นอกเขตรขัณฑ์ธานี
อันกรุงกาหลังภพไตร มีกุหนุงอำไพใสศรี
ชมพูนุทสุดประเสริฐเลิศโลกีย์ ชื่อจะมาเลงคิรีเลิศลบ
อันกรุงสิงหัดสาหรีนั้น ชื่อกุนุกุตุหวันขจรจบ
ดังเงินยวงขาวผ่องเปนหลักภพ ปรากฎครบทั้งสี่ธานี
แล้วมีฉัตรแก้วมณีโชติ ไพโรจน์อยู่กลางกรุงศรี
เรืองรองส่องฟ้าธาตรี ดังฉัตรพระศุลีมีฤทธิ์
อันปรางค์ปราการทั้งเจ็ดชั้น ล้วนสุวรรณวิเชียรเสถียรสถิตย์
โขลนทวารบานบังพึงพิศ ลวดลายวิจิตรติดตา
ทั้งหอรบเชิงเทินป้อมต่าย คูเคียงเรียงรายแน่นหนา
ล้วนทองรองรับกับจินดา สว่างอยู่ทุกทิวาราตรีกาล
อันที่ติกาหรังทั้งสี่ มีทุกบุรีพิศาล
สำหรับพระราชกุมาร อยู่นอกปราการชั้นใน
กำแพงแลงเล่ห์แก้วประพาฬ ชัชวาลย์ล้ำดวงพระสุริย์ใส
เจ็ดชั้นย่อเหลี่ยมอำไพ รอบในล้วนสุวรรณพรรณราย
ระเบียบช่องปืนใบเสมา รจนาเงินนากหลากหลาย
ถัดมาจินดาเพริศพราย แก้วกลายพิฦกโอฬาร์
อันหว่างใบเสมารอบเมือง มีฉัตรแก้วรุ่งเรืองพระเวหา
เรียงเรียบระเบียบกันมา ใบโพห้อยระย้าพรรณราย
ครั้นวายุพัดไพเราะ เสนาะสำเนียงหลากหลาย
ฟังเล่นเปนศุขสนุกสบาย ดังเทเวศร์ถวายดนตรี
แล้วมีมณเฑียรนากอยู่นอกเมือง รุ่งเรืองจำรัสรัศมี
สำหรับรับกษัตราทุกธานี เปนที่เฉลิมโลกย์สำราญใจ
อันภายนอกพระนครทั้งแปดด้าน มีอยุทยานยาวใหญ่
มีสระแลสวนดอกไม้ มีมณฑิราไลยรจนา
มีตำหนักทองกลางสตาหมัน บุหงาทุกพรรณหนักหนา
ตำหนักจันทน์เปนหลั่นเรียงมา ทั้งพลับพลาเขาแก้วยรรยง
มีสระใหญ่อยู่นอกธานี ปราบไพรีแล้วก็เสด็จสรง
ล้วนพรรณโกมุทบุษบง ทรงกลิ่นตระหลบอบอาย
อันที่สตาหมันอันพิศาล พรรณไม้ตระการหลากหลาย
มีปรางค์ปราสาทแก้วแพรวพราย เรือนหลวงเรียงรายรจนา
มีแท่นศิลาอยู่กลางสวน รายรอบแต่ล้วนบุบผา
มีสระใหญ่หลวงมหิมา โกมุทบุษบามากมี

ฯ ๓๔ คำ ฯ

ร่าย สนามไชยทรายทองในภารา แลลิ่วสุดตาไม่สุดที่
ราบรื่นดังน่าเภรี เปนที่ประลองศิลป์สาตรา
ประลองรถคชสารชาญไชย ประลองอาชาไนยแกล้วกล้า
ประลองทวยหาญโยธา ซ้อมหัดอัตราให้ชำนาญ
อันฝูงทหารชาญไชย ไม่มีผู้ใดจะต่อต้าน
เข้าไหนไม่มีใครต้านทาน ฦาสเทือนสท้านทุกภารา

ฯ ๖ คำ ฯ

ชมตลาด อันถนนหนทางตะพานพาด ล้วนดาดด้วยเงินยวงเลขา
ตึกร้านรวดริมรัถยา ศิลาทองเล็งแลงประดับปน
จักรวรรดิลิ่วลอยพระเวหา รจนาด้วยสุวรรณไม่หมองหม่่น
ป้อมปืนยืนเยี่ยมอยู่กลางชล ล้วนถกลโคมเพ็ชรอลงการ์
อันตึกดินรางแลงศิลาสลับ ระยาบยับสอดสีล้วนมีค่า
พรายเพริศเลิศทรงอลงการ์ ด้วยมหาเนาวรัตน์อำพน
อันลูกค้าวานิชทุกภาษา มาพึ่งขัณฑเสมาทุกแห่งหน
คับคั่งทั้งภูมิมณฑล ประชาชนชื่นบานสำราญใจ
บ้านเล่นฆ้องกลองลองเพลงรบ เจนจบครบการทหารใหญ่
ล้วนชำนิชำนาญการชิงไชย ตกแต่งเอาใจไม่เว้นคน
บ้างเล่นยอเง็ดแลฟ้อนขับ แซ่ศัพท์พาทย์พิณทุกแห่งหน
บ้างเล่นสับประแลไก่ชน ครั้นเวลาเข้าสนธยา
ดาหลังอายังแล้วชูเชิด ฉลุฉลักลายเลิศเลขา
บ้างขับโต้ตอบกันไปมา บ้างเล่นเสภามโหรี
ฝูงหญิงบรรจงเกษเกล้า ผัดผ่องภักตรเผ้าสดศรี
นุ่งจวนชวาตานี ใส่เสื้อสอดสีจับตา
ห่มสไบบางสีต่างกัน ล้ำหอมปลอมคันธบุหงา
อวลอบตระหลบอยู่อัตรา ทั้งรูปโฉมโสภาไม่เว้นคน
ออกเที่ยวดูงานสำราญใจ เนืองแน่นกันในแนวถนน
เปนเหล่าเหล่าล้วนสุมทุมคน เบียดเสียดสับสนกันไปมา

ฯ ๒๐ คำ ฯ

ร่าย ฝูงชายชายตาเมียงม่าย เดินชายแวดเวียนเคียงหา
บ้างล่อเลี้ยวเกี้ยวกล่าวเจรจา บ้างเลียมลอดสอดคว้าวุ่นวาย
บ้างดีดนิ้วผิวปากไปตามเพลง ล้วนทรงนักเลงฉุยฉาย
บ้างกุมกฤชพาดนาดกราย จับชายบรรจงจรลี
ทัดอุบะทุกพรรณบุหงา ถือเช็ดหน้าบางต่างสี
อุรับจับกลิ่นน้ำมันดี บุหรี่กลิ่นฟุ้งจรุงใจ
กลิ่นร่ำกลิ่นอบตระหลบกัน กลิ่นคันธรศมาเติมใส่
ทั้งกลิ่นบุหงารำไป อบอวลยวนใจนิจกาล
ทุกข์โศกโรคไภยไม่ใกล้กราย หญิงชายมีแต่เกษมสานต์
ทั้งรูปทรงส่งศรีก็สคราน สมบัติพัศฐานก็ครามครัน
อันทั้งสี่เมืองเรืองเดช ด้วยอสัญเทเวศร์มาสร้างสรรค์
แล้วพระองค์ก็ทรงทศธรรม์ จึงปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ทั้งกรุงไกร
อันองค์อสัญแดหวา ตามจารีตก่อนมาไม่เสียได้
มเหษีห้าองค์เปนหลั่นไป ตั้งได้แต่สี่พารา

ฯ ๑๔ คำ ฯ

พระทอง อันประไหมสุหรีซึ่งเปนใหญ่ ย่อมบุตรีท้าวไทในวงษา
มะเดหวีที่สองรองลงมา แล้วมะโตโสภายาใจ
ถัดมาลิกูโฉมเฉลา แล้วก็เมาหลาหงิดศรีใส
ย่อมราชธิดาภูวไนย ตามเมืองน้อยใหญ่ลำดับกัน
แต่ละองค์ล้วนทรงนรลักษณ์ พิศภักตร์พริ้งเพริศเฉิดฉัน
ผิวผ่องลอองเอียมเทียมจันทร์ ที่มเหษีนั้นเปนห้าองค์

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย พระสนมแปดหมื่นซ้ายขวา เลิศลักษณ์ภักตรานวลหง
เอวอ่อนระทวยนวยทรง เลือกล้วนเผ่าพงษ์มนตรี
อันนางสิบสองพระกำนัล ก็สรรทั้งรูปทรงส่งศรี
ดังอับศรอินทร์แลกินรี แวดล้อมภูมีทุกเวลา

ฯ ๔ คำ ฯ

ช้า มาจะกล่าวบทไป ถึงพิไชยธานีหมันหยา
เปนใหญ่กว่าทุกภารา แต่ยังไม่ตั้งสี่ธานี
อันปราสาทราชมณเฑียร ล้วนแก้ววิเชียรแสงศรี
มีสระสำหรับพระบุรี ติกาหรังทั้งสี่รจนา
อันแสนสมบัติพัศฐาน ศฤงฆารบริวารหนักหนา
ม้ารถคชสารแลโยธา ทหารอาสาครบครัน
กำแพงแลงล้อมป้อมต่าย ค่ายคูประตูเขื่อนขันธ์
หอรบเชิงเทินแลนางจรัล ปราการล้อมสามชั้นมั่นคง
มีทั้งอุทยานตระการใจ ปลูกทุกพรรณไม้ไม่หลอหลง
อันสระศรีมีพรรณบุษบง ทรงกลิ่นตระหลบอบเอาใจ
อันมหาเสนาทั้งสี่ มีทุกบุรีน้อยใหญ่
ต่างใจไนยเนตรท้าวไท ดำรงราชฤไทยให้เปรมปรีดิ์
อันเมืองหมันหยาแต่ก่อน บ่ห่อนจะเศร้าหมองศรี
ตั้งแต่พระองค์ทรงธรณี พระภูมีเสร็จสู่สวรรคต
ยังแต่ประไหมสุหรี ครองบุรีอยู่ด้วยกำสรด
รักษาพระธิดาเรืองยศ ปรากฏทั้งสามกษัตรี
อันระเด่นวิหยาจินดานั้น พระจอมภพกุเรปันเรืองศรี
ไปตุนาหงันกัลยาณี เปนประไหมสุหรีที่พึงใจ
องค์หนึ่งชื่อบุหลันวาตรี มีศรีสมบูรณ์ผ่องใส
ท้าวดาหาตุนาหงันไป เปนประไหมสุหรีศรีโสภา
องค์หนึ่งชื่อนิดดาสาหรี บุตรีแน่งน้อยเสนหา
สุดสวาดิพระราชมารดา จะให้ครองหมันหยากรุงไกร
ระตูองค์ใดมาตุนาหงัน จะรับไปครองเมืองนั้นพระไม่ให้
แต่ระตูมงกลชาญไชย ได้รักใคร่เปนสหายกันมา
กับท้าวหมันหยาที่บรรไลย ภูวไนยนั้นมีโอรสา
พระคิดถึงไมตรีที่มีมา จะบำรุงหมันหยาให้เรืองไป
จึงแต่งของมาตุนาหงัน พระชนนีนางนั้นก็อวยให้
จึงเศกองค์พระโอรสไว้ ในพิไชยหมันหยาธานี

ฯ ๒๘ คำ ฯ

ร่าย มาจะกล่าวบทไป ถึงไทกุเรปันเรืองศรี
พระภิรมย์สมศุขทุกราตรี ด้วยพระมเหษีทั้งห้าองค์
กับฝูงสุรางค์นางใน เลิศลักษณ์วิไลยนวลหง
เพลิดเพลินพระไทยงวยงง ดำรงพิภพมาหลายปี
จึงมีพระโอรสา ด้วยลิกูชายามเหษี
จึงให้นามตามวงษ์พงษ์พีร์ ทั้งรูปทรงส่งศรีก็โสภา
ชื่อระเด่นกะรัชชปาตี อาหรัดสาหรีกาหรา
หริกันมิสาหรันกุมารา มาหงนนรยาธิบดี
พระบิตุเรศมารดาทั้งห้าองค์ พิศวงจงรักเกษมศรี
แสนสนิทพิศวาศพันทวี ผ่านทุกนารีสนมใน

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ อันพี่เลี้ยงแลนางนมนั้น ก็เลือกสรรจัดแจงแต่งให้
กิดาหยันร้อยหนึ่งอันพึงใจ ล้วนในลูกหลานเสนา
จึงจัดพี่เลี้ยงสี่คน เปนลูกสามนต์ให้รักขา
ของขวัญนั้นทำตามตำรา ทั้งเถ้าแก่นารีให้พิทักษ์
ให้ทำกฤชสำหรับพระกุมาร เรืองฤทธิสังหารปรปักษ์
ฤาษีองค์ใดเชี่ยวชาญนัก ให้เอากฤชลูกรักไปปักไว้
ครั้นท้าวกาหลังมีธิดา ด้วยลิกูชายาศรีใส
ชื่อบุษบารากาทรามไวย พระกล่าวให้กะรัชชปาตี
พระจินดาปรารมภ์ในฤไทย จะใคร่ให้องค์ประไหมสุหรี
มีกุมารชาญชิตฤทธี ให้มีอานุภาพมหิมา
ให้ปรากฎยศยิ่งฝูงชาย ให้สืบสายอสัญแดหวา
ตัวกูนับวันจะชรา จะได้มาครองราชธานี
พระจึงตั้งบวงสรวงแก่เทเวศร์ อันเรืองเดชจงโปรดเกษี
ขอให้มีกุมารชาญฤทธี กับประไหมสุหรียิ่งชาย
ข้าจะบูชาจัตุบาท สิ่งละร้อยธรรมชาติรังถวาย
จะเอาแก้วสวมเขาพรรณราย ภูเขาเงินทองพรายด้วยเนาวรัตน์
จะเอาทองคำทำเปนเสาศาล ให้รจนาด้วยม่านเพดานดัด
ธูปเทียนเทียวธงราชวัตร ทั้งฉัตรดอกไม้เงินทอง
จะตั้งประทีปเถือกถ่องทั้งสองข้าง อิกสุรามัจฉมางษ์ทั้งผอง
ทั้งบายศรีแก้วบายศรีทอง แตรสังข์พาทย์ฆ้องกลองไชย
จะถวายเทวัญวันเรืองฤทธิ์ พระจงปองประสิทธิประสาทให้
ถ้าสมดังจิตรที่คิดไว้ จะสมโภชจงได้เจ็ดวัน

ฯ ๒๒ คำ ฯ

ช้า เมื่อนั้น ประไหมสุหรีเลิศเฉิดฉัน
ภิรมย์สมศุขด้วยทรงธรรม์ เมื่อจะทรงครรภ์กุมารา
จึงฝันใฝ่ในสมัยราตรี ว่าสุริย์ศรีตกจากพระเวหา
นางรับได้ดวงพระสุริยา เอามาประทับอุระไว้
รุ่งเรืองจำรัสรัศมี ทั่วทั้งธาตรีแจ่มใส
ครั้นฟื้นองค์จึงทูลทันใด ตามในนิมิตรทุกประการ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย เมื่อนั้น องค์ศรีปัตหราเกษมสานต์
แจ้งในสุบินนางนงคราญ จะมีราชกุมารดังจินดา
ครั้นพระสุริโยไทยไตรตรัด จำรัสแจร่มแจ่มเวหา
พระเสด็จจากที่ศรีไสยา ยาตรามาสรงสาคร

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

โทน พระไขท่อแก้วสุรกาญจน์ รศสุมาลย์เฟื่องฟุ้งด้วยเกสร
สุคนธารทาทรงอลงกรณ์ สนับเพลาเชิงงอนงามวิไลย
พรายเพริศจีบโจงโจมจัด จดจีบเรืองจรัสเพียงแขไข
ชายแครงแข่งเพ็ชรอำไพ อำพนชายไหวไหวงาม
ฉลององค์ตาดปักเปนรักร้อย ร้อยเรียบเพ็ชรพลอยเหลืองอร่าม
อินท์ธนชูช่วงดวงพลาม ทับทรวงแวววามตาบทิศ
ตาบทับสังวาลสังเวียนห้อย ระยับพร้อยระย้าเฟื่องไพจิตร
กัญจุการารามอร่ามพิศ อร่ามเรืองวิจิตรทองกร
ทองกาบกาบเก็จเพ็ชรพราย เกยูรเลื่อมลายประภัศร
ส่องสีกัณฐ์อพก์ดอกไม้ซ้อน รัดองค์บัวอ่อนกุดั่นดวง
ดวงเด็ดเพ็ชรรัตน์สอิ้งแก้ว กรรเจียกแพร้วจับสีมณีช่วง
ช่วงโชติมงกุฎเพ็ชรพวง อุบะดวงตันหยงระคนกัน
ระคนกลิ่นอุรับปนปรุง ธำมรงค์เรืองรุ่งเฉิดฉัน
ถือเช็ดหน้าพื้นทองกรองสุรรรณ เหน็บกฤชกุดั่นยรรยง
นาดนวยระทวยยุรยาตร งามดังเทวราชครรไลหงษ์
สาวสรรค์ตามเสด็จบทบงสุ์ ดังอับศรอนงค์ในชั้นฟ้า
พระเสด็จออกพระโรงอำไพ เสนาในเฝ้าแหนอยู่แน่นหนา
เสด็จขึ้นแท่นแก้วแววฟ้า แจ้งแก่โหราพฤฒาจารย์

ฯ ๑๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย บัดนั้น ทั้งสี่พระโหราได้ฟังสาร
ก้มเกล้าเคารพกราบกราน ในยามอัฐกาลนี้ดีนัก
ปฤกษาเห็นพร้อมกันทั้งสี่ จึงทูลคดีพระทรงศักดิ์
พระสุบินนี้ใหญ่หลวงนัก เปนหลักในแว่นแคว้นแดนไตร
ซึ่งพระอาทิตย์ตกลงมา พระอรรคชายารับได้
ประทับกับพระอุระไว้ ภูวไนยจะมีพระโอรส
ทรงโฉมประโลมโลกา จะรุ่งเรืองฤทธาปรากฎ
จะฟุ้งเฟื่องเลื่องฦาระบือยศ ผู้ใดคิดคดจะบรรไลย
ซึ่งรัศมีจำรัสสัทการ รุ่งเรืองชัชวาลย์แสงใส
จะมีอานุภาพปราบแดนไตร เปนใหญ่ในแว่นแคว้นแดนชวา
ซึ่งเอาประทับไว้กับทรวง พระจะรักดังดวงยิหวา
อันทรงสุบินในเวลา พระสุริยาจะใกล้อโณไทย
สิ่งใดพระองค์ปราถนา ในตำรานั้นว่าจะพลันได้
แต่ในสองเดือนถ้าเคลื่อนไป พระอย่าไว้ชีวิตรโหรา

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนรินทร์ปิ่นภพนาถา
ชื่นชมโสมนัศเปรมปรา ด้วยคำโหราทำนาย
จึงประสาทพระราชรางวัล เสื้อผ้าแพรพรรณหลากหลาย
ถ้าสมดังคำโหราทาย จะให้ข้าหญิงชายจงครามครัน
อิกทั้งม้ารถคชไกร ให้ฝูงกำนัลในเปนเมียขวัญ
ตึกร้านบ้านเรือนให้ครบครัน แล้วทรงธรรม์เสด็จเข้ามา

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

ช้า เมื่อนั้น ประไหมสุหรีเสนหา
สมสนิทพิศมัยด้วยราชา ประมาณเดือนหนึ่งมาก็มีครรภ์
เมื่อจะใกล้ถ้วนทศมาสา งามดังเทวาณรังสรรค์
ครัดเคร่งเปล่งปลั่งผิวพรรณ ดังบุหลันเมื่อเพ็ญไพบูลย์

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย เมื่อนั้น พระโฉมยงผู้ทรงไอสูรย์
เสนหาพนิดาเพิ่มภูล เปรียบปูนดังดวงชีวา
จึงให้จัดพี่เลี้ยงแลนางนม เลือกล้วนอุดมวงษา
ทั้งเถ้าแก่ชาวแม่จ่าชา เตี้ยค่อมจัดมาให้พร้อมไว้
อิกทั้งขับไม้มโหรี ดุริยางค์ดนตรีเสียงใส
นักสนมกำนัลจงสรรไป ให้รักษาครรภ์นางกัลยา
ให้จัดลูกเสนาน้อยน้อย ให้ถ้วนหมื่นหกร้อยเร่งจัดหา
แต่อายุสิบขวบลงมา จะให้พระโอรสายาใจ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ท้าวนางรับสั่งบังคมไหว้
สั่งให้เขียนหมายรายไป ให้ทุกหมวดหมายเสนี
ให้ส่งบุตรภรรยาเข้ามาพลัน แล้วจัดนางกำนัลสาวศรี
ครบตามรับสั่งพระภูมี ไปถวายเทวีฉับพลัน

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพไอสวรรย์
เมื่อกาลวารหย่อนอยู่เจ็ดวัน ครรภ์นั้นจะถ้วนทศมาตรา
จึงบังเกิดนิมิตรอัศจรรย์ หมอกกลุ้มเปนควันทั้งเวหา
บดบังมืดมนพระสุริยา ฟ้าลั่นสนั่นภพไตร
แลบพรายเปนสายอินท์ธนู สักครู่ก็เกิดพยุใหญ่
ไม้ไหล้ลมกลาดดาดไป แล้วห่าฝนใหญ่ตกลงมา
เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงฟ้าฟาดสาย แต่มิได้อันตรายจะผ่า
เย็นทั่วฝูงราษฎร์ประชา ทั้งเจ็ดทิวาราตรี
พระเห็นมหัศจรรย์ใจ จึงไถ่ถามโหราทั้งสี่
อันเกิดเหตุการทั้งนี้ จะร้ายฤาดีประการใด

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระโหราทั้งสี่บังคมไหว้
ข้าน้อยคำนวณไว้แจ้งใจ อย่าพรั่นพระไทยพระราชา
แต่วันแรกเกิดอัศจรรย์นั้น ข้าบาทพร้อมกันได้ปฤกษา
ขับควณทวนเทียบด้วยตำรา พิเคราะห์พระชัณษาชตาเมือง
เกณฑ์ดีไม่มีเภทไภย สิ่งข้องพระไทยจะปลดเปลื้อง
ข้างน่าไปจะได้รุ่งเรือง พระเกียรติจะฟุ้งเฟื่องทั้งไตรดาล
อันเกิดเหตุใหญ่ในเวหา สำแดงอิทธิ์ฤทธากล้าหาญ
อานุภาพแห่งราชกุมาร ในพระครรภ์บันดาลให้เปนไป
อันฟ้าครื้นครั่นสนั่นเสียง สำเนียงนฤนาทหวาดไหว
แล้วแลบเปนสายประสานกันไป พระจะเที่ยวชิงไชยทุกบุรี
อันเกิดพยุล้มพฤกษาใหญ่ เหล่าระตูจะอยู่ใต้บทศรี
อันฝนตกเจ็ดวันเจ็ดราตรี บรรณาการจะมีเนืองมา
เมื่อพระชัณษาสิบห้าขวบ พระเคราะห์ร้ายประจวบกันหนักหนา
จะพลัดพรากจากเมืองถึงสามครา แต่ว่าจะไม่เปนไรนัก
พระจะได้ไปชมบุรีอื่น จะชูชื่นกระษัตรีอันมีศักดิ์
แล้วจำเปนจำจากกันทั้งรัก พระจะได้ทุกข์นักด้วยนารี
เหตุผลจะเปนต้นด้วยเยาวมาลย์ จึงจะได้รุกราญทุกกรุงศรี
ส่วนพระองค์ผู้ทรงธรณี มิได้ยินดีด้วยกัลยา
ที่เปนเนื้อเชื้อวงษ์พระจงให้ มิสำเร็จในพระปราถนา
อันเมฆหมอกออกบังพระสุริยา ธุมามืดกลุ้มมัวมน
พระองค์ดังดวงทินกร พระเกียรติฟุ้งขจรทุกแห่งหน
พระโอรสยศยิ่งภูวดล ดังเมฆเกลื่อนกล่นมาบังไว้
ซึ่งเปนควันมืดมัวไปทั่วทิศ พระทรงฤทธิ์จะร้อนรนหม่นไหม้
ด้วยพระโอรสาระคลาไคล จำเปนจำให้กำจัดกัน
พระจะเที่ยวมะงุมมะงาหรา ไปรบทุกภาราเขตรขัณฑ์
สิบสามปีจึงจะคืนกุเรปัน จะได้องค์แจ่มจันทร์มาธานี
จึงจะเย็นเฉื่อยฉ่ำทั้งแหล่งหล้า พระจะผ่านภาราเกษมศรี
จะสมบูรณ์ยิ่งกว่าทุกวันนี้ จะมีพระมเหษีถึงสิบองค์
แต่บรรดาเมืองชวาทั้งนั้น จะขึ้นแก่กุเรปันเปนส่วยส่ง
ปฤกษาพร้อมกันเปนมั่นคง พระจงส่างสนเท่ห์ฤไทย

ฯ ๓๐ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น องค์ศรีปัตหราเปนใหญ่
ได้ฟังเบิกบานสำราญใจ พระจึงให้บำเหน็จแก่โหรา
เราถึงใจพลางเปนรางวัล เงินทองแพรพรรณเสื้อผ้า
ครั้นเสร็จพระเสด็จยาตรา มาปราสาทรัตนานางเทวี

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ นั่งแนบแอบองค์นงลักษณ์ กอดจูบลูบภักตร์นางโฉมศรี
แล้วแถลงแจ้งความตามคดี ทั้งสี่โหราทายไว้

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีศรีใส
กราบประนตบทมาลย์พระภูวไนย หฤไทยเกษมเปรมปรีดิ์
ครั้นได้เวลาศุภผล มงคลฤกษ์อานดิถี
ชั้นโชคโยคเกณฑ์นาที ยามดีประสูตรพระกุมาร

ฯ ๔ คำ ฯ มโหรี

๏ อัศจรรย์ทั้งปวงก็สงัด ตระบัดแจ่มแจ้งแสงฉาน
สุริยงทรงกลดชัชวาลย์ แสงฉานส่องต้องดังทองทา
อันองค์พระดรุณราชนั้น อุดมลักษณ์ลาวรรณหนักหนา
ดำแดงขำแข่งอมรินทรา สอดสร้อยโสภาน่ารัก

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผ่านภพกุเรปันทรงศักดิ
ทั้งประไหมสุหรีนงลักษณ์ กับสี่องค์อรรคชายา
พิศวาศพระราชกุมาร ชมชื่นรื่นบานหรรษา
ดังเกิดแต่ครรภ์กัลยา แสนสนิทเสนหาดังดวงใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ท้าวนางบรรดาซึ่งเปนใหญ่
ทั้งพวกนักสนมกรมใน ไปจนไพร่ฟ้าประชากร
บรรเทิงเริงรื่นชื่นชม ยอกรบังคมอยู่สลอน
แซ่ซ้องสรรเสริญเจริญพร ราษฎรเกษมเปรมปรา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาทั้งสี่มียศถา
ก็ชวนกันพาบุตรา กับหญิงชายทั้งนั้นเข้ามาพลัน
ย่อมบุตรมหาเสนี รูปทรงส่งศรีเฉิดฉัน
เข้ามาถวายบังคมคัล เปนข้าพระขวัญบุตรา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพในแหล่งหล้า
ครั้นเห็นเกษมเปรมปรา จึงมีรศพจนาทันใด
อันบุตรเสนาอารีหรัด ชื่อกุดาชวารัดพี่เลี้ยงใหญ่
อันบุตรจะมาหงนเสนาใน ตั้งให้เปนสุหรันปาตี
อันบุตรดาหมังกุรีหนา ตั้งที่กะระตาสาหรี
อันบุตรนะระหยาเสนี ตั้งที่ประสันตาครบกัน
แต่ล้วนหนุ่มน้อยโสภา รูปทรงหน้าตาคมสัน
พระสั่งให้ให้รางวัล ตามหลั่นพี่เลี้ยงแลมนตรี

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงเหล่ากษัตรเรืองศรี
ซึ่งอยู่ใกล้กุเรปันธานี กับสามบุรีพระอนุชา
เห็นเกิดอัศจรรย์บันดาล สเทื้อนสท้านทุกทิศา
ต่างตระหนกตกใจเปนโกลา ไม่รู้ว่าร้ายดีประการใด
บ้างให้ค้นตำหรับในหอหลวง ใครยังล่วงรู้เห็นเปนไฉน
ที่แก่เถ้าก็ให้เอามาซักไซ้ บ้างให้ไต่ถามโหรา
บ้างเดินป่าไปหาพระฤาษี พราหมณ์ชีบีกูประมาหนา
จึงเล่าความตามในนิมิตรมา ก็จะแจ้งกิจจาพร้อมกัน
ซึ่งสำแดงฤทธิไกรไชเยศ ผู้เรืองเดชมาเกิดในเขตรขัณฑ์
เปนโอรสของท้าวกุเรปัน จะประสูตรจากครรภ์พระชนนี
เปนใหญ่ในแว่นแคว้นแดนชวา จะรุ่งเรืองฤทธาดังสุริย์ศรี
พระจะเที่ยวราญรุกทุกบุรี ใครต่อฤทธีจะบรรไลย

ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ทั้งสามพระอนุชาเปนใหญ่
แจ้งข่าวสำราญหฤไทย ให้หาเครื่องสมโภชพระกุมาร
ตามที่เอกอรรคชายา ส่งมาสมควรด้วยถิ่นฐาน
ตำราตราตั้งจิรังกาล ทั้งสี่พิศาลธานี
ให้เสนาผู้ใหญ่ผายผัน ไปยังกุเรปันเรืองศรี
คุมของโดยคลองประเพณี ไปจำเริญเชิญศรีพระนัดดา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ มาะกล่าวบทไป ถึงประไหมสุหรีเมืองหมันหยา
ครั้นแจ้งว่าราชนัดดา เปนพระกูมาราก็ดีใจ
โหรดูทำนายอัศจรรย์ พร้อมกันทูลแจ้งแถลงไข
ต่างองค์เกษมเปรมใจ ต่างจะใคร่เห็นองค์พระนัดดา
จึงให้จัดพี่เลี้ยงแลนางนม อุดมทั้งรูปทรงวงษา
กับชายหญิงสองร้อยล้วนโสภา สำหรับองค์กษัตราธิบดี
คุมของโดยคลองประเพณี มาจำเริญเชิญศรีพระนัดดา

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ แต่บรรดาเมืองขึ้นทั้งนั้นไซ้ แจ้งใจต่างโสมนัศา
ต่างจัดบรรณาการนานา ต่างกรีธาพลสกลไกร
บ้างมาขอออกทุกนคร สยอนฤทธิครั่นคร้ามหวั่นไหว
ต่างรีบโยธาคลาไคล มาในกุเรปันนัครา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงหยุดอยู่ปลายด่าน ทวยหาญแน่นนันกันหนักหนา
ใช้เสนีถือหนังสือมา ให้ชาวด่านภาราด้วยพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ชาวด่านแจ้งใจแล้วผายผัน
ควบขับอัศดรจรจัล รีบรันเข้ามายังธานี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงลงจากอาชา กราบไหว้เสนาทั้งสี่
แจ้งความตามมูลคดี ขอท่านเสนีจงแจ้งใจ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อารีหรัดเสนาผู้ใหญ่
ได้ฟังเบิกบานสำราญใจ ก็เข้าไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงทูลกิจจา พระผู้ผ่านนัคราณรังสรรค์
บัดนี้หน่อกษัตรทุกเขตรคัน กรีธาพลขันธ์ยกมา
ยับยั้งอยู่ยังปลายด่าน บรรณาการหลายหลากหนักหนา
มาสู่โพธิสมภารพระราชา พระน้อยหน่อขัติยาธิบดี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริวงษ์ทรงฤทธิดังสุริย์ศรี
ได้ฟังเกษมเปรมปรีดิ์ จึงมีวโรรศพจนา
บรรดาเมืองขึ้นทั้งหลาย มาถวายสุวรรณบุบผา
กับกรุงกระษัตรบรรดามา สู่โอรสาธิบดี
จงแต่งสมโภชพระกุมาร ให้ครบการภิญโญเฉลิมศรี
บรรดามีมาทั้งนี้ จะจำเริญเชิญศรีพระลูกยา
แล้วเร่งจัดพลทั้งนั้น ไปรับเข้าเขตรขัณฑ์ให้หรรษา
สั่งเสร็จเสด็จเข้ามา ยังปราสาทรัตนานางเทวี

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกษี
กราบกรานคลานออกมาทันที กะเกณฑ์ตามมีพระบัญชา
บ้างตั้งโรงงานมหรศพ ประดับครบตรวจเตรียมให้พร้อมหน้า
บ้างแต่งพนมแก้วโอฬาร์ พนมสุวรรณรจนาเรืองไร
บ้างแต่งสุพรรณภาชน์ทอง ฉัตรแก้วกุก่องผ่องใส
สุจหนี่ปูลาดอำไพ ตาดสุวรรณคุมไว้เรียงรัน
บ้างขนเงินกองทองลาก มณีอันหลายหลากจัดสรร
กองเรียงรอบแท่นพรายพรรณ แน่นนันท้องพระโรงรจนา
อันการมหรศพทั้งปวงนั้น เล่นสนั่นเอิกเกริกคอยท่า
พิณพาทย์เรียงรันเปนหลั่นมา พร้อมดังบัญชาทุกประการ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น จะมาหงนเสนาใจหาญ
กะเกณฑ์กันพลันมิทันนาน แล้วกรีธาทวยหาญยกไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ มาเอยมาถึง ยังด่านพระนิเวศน์กรุงใหญ่
ลงจากอาชาคลาไคล เข้าไปจะแจ้งกิจจา
บัดนี้พระผู้จอมนัคเรศ มงกุฎเกษพิภพในแหล่งหล้า
ทราบเบื้องบทมาลย์พระผ่านฟ้า ว่าร้อยเอ็ดนัคราธานี
อิกหน่อกษัตรขัติยา ทั้งยี่สิบห้ากรุงศรี
มีจิตรจงรักภักดี พ้นที่จะอุประมาไป
พระมีความไพบูลย์ภูลสวัสดิ์ พิพัฒน์ด้วยสถาพรแจ่มใส
จึงให้ข้ากรีธาพลสกลไกร เชิญท่านเข้าในภารา

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น เหล่าระตูได้ฟังก็หรรษา
ต่างองค์สระสรงคงคา สุคนธาตระหลบอบเอาใจ
ต่างองค์ต่างทรงเครื่องต้น อำพนทิพรศสดใส
เหน็บกฤชอันเรืองฤทธิไกร ถือเช็ดหน้ายองใยต่างกัน
ต่างทรงคชาพาชี รถแก้วมณีเฉิดฉัน
ต่างกรีธาพลจรจรัล เข้าในเชตรขัณฑ์ทวารา
เสียงช้างเสียงม้าเสียงรถ เสียงทศโยธาแน่นหนา
เหล่าร้านเรียงรวดรัถยา ก็แต่งตัวโอ่อ่าเอาใจ
บ้างค้าผ้าผ่อนแพรพรรณ เครื่องสุวรรณกุก่องผ่องใส
แก้วแหวนเรียงรันเปนหลั่นไป ห้อยอุบะมาไลยระคนกัน
ครั้นเห็นพลไกรมาแน่นหนา ดาษดาเพียงปัถพีลั่น
ร้องชมสมภารพระทรงธรรม์ พระโอรสเลิศลั่นโลกา

ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น จะมาหงนเสนาในใจกล้า
นำพลไกรไคลคลา ลงจากอาชาจรลี
เหล่าระตูทั้งปวงก็คลาไคล ลงจากรถไชยเรืองศรี
เสนานำเสด็จจรลี มาสำนักยังที่ศาลา

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น มะเดหวีมีความหรรษา
จวนจะใกล้ได้ฤกษ์เวลา ก็ยาตราจากแท่นพรรณราย

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ชมตลาด จึงเข้าที่ชำระสระสรง แต่งองค์ประเสริฐเฉิดฉาย
งามรับสรรพสรรพางค์กาย แล้วผันผายย่างเยื้องจรจรัล

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

ร่าย ครั้นถึงปราสาทโอรสา จึงขึ้นแท่นรจนาเฉิดฉัน
เอาผ้าสีเจ็ดอย่างต่างพรรณ ซ่อนกันเหนือเพลากัลยา
จึงช้อนพระกุมารจากพานทอง ค่อยถนอมประคองเปนหนักหนา
จึงให้เชิญบีกูทั้งสี่มา จำเริญพระเกษาด้วยพลัน
ครั้นได้ฤกษ์ไชยก็ลั่นฆ้อง กึกก้องบรรเลงเพลงสวรรค์
แตรสังข์ประดังขึ้นนี่นัน ครั้นเสร็จจึงรับพระกุมาร
สรงน้ำพิธีสาครทอง ประดับเนาวรัตน์รองฉายฉาน
จึงชำระสระเกษตามการ แล้วอุ้มพระกุมารขึ้นทันใด
ราชครูบีกูประมาหนา เอาน้ำสุคนธามาประให้
พระนมเอกแต่งตัวอำไพ ผัดภักตร์วิไลยลำยอง
ใส่สร้อยห้อยมวยพรอยพราย กรรเจียกกระจายแสงส่อง
อ้อนแอ้นเอวกลมดังกินร นาดนวยอรชรวิลาวรรณ
นุ่งตานีสีฟ้าอำไพ ห่มสไบสอดสีเฉิดฉัน
เอาผ้าสีลายทองวิไลยวรรณ เจ็ดชั้นซ้อนลาดเหนือเพลา
คลานออกมาหมอบอยู่เรียงรัน ทั้งพี่เลี้ยงพร้อมกันเตรียมเฝ้า
นางนมก้มกราบพระทรงเยาว์ เขนยทองรองเพลาถวายนม

ฯ ๑๒ คำ ฯกล่อม

๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงฤทธิ์สูงสม
ครั้นจะใกล้ได้ฤกษ์อันอุดม พระชื่นชมสั่งมหาเสนาใน
ให้เชิญอุชงหงันอันปรากฎ จะรับพระโอรสศรีใส
เหล่าเสนาน้อยน้อยทั้งนั้นไซ้ ให้แต่งตัววิไลยตามมา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จะมาหงนรับสั่งใส่เกษา
มาจัดแจงแต่งตามพระบัญชา มิช้าเสร็จสรรพฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผู้ทรงพิภพไอสวรรย์
ชวนห้าอัคเรศจรจรัล สระสรงสุคันธมาลี

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน พระไขประทุมท่อธารา สุธารศรจนาเฉลิมศรี
สีแสงสนับเพลาจินดาดี จินดาดวงมณีเชิงงอน
นางทรงผาทิพอำไพ อำพนวิไลยประภัศร
พระทรงโขมพัตรกระจายจร กระจายจับบวรชายแครง
นางปรัดผัดภักตร์อำไพ อาภรณ์สไบระยับแสง
พระทรงชายไหวเปนลายแทง ลายทางเครื่องแย่งสนององค์
นางทรงสร้อยสนสังวาลย์วรรณ สังเวียนวายกุดั่นงามระหง
พระทรงทับทรวงเพ็ชรยรรยง ยงยิ่งบรรจงตาบทิศ
นางทรงทองกรอำไพ อำพนวิไลยไพจิตร
พระทรงกัญจุการามอร่ามพิศ อร่ามเรืองวิจิตรทองกร
นางทรงธำมรงค์มีค่า ค่าควรภาราพระทรงศร
พระทรงกรรเจียกแก้วกระจายจร กระจายจับบัวอ่อนกุดั่นดวง
พระทรงมงกุฎแก้วแววฟ้า แวววับจับตาโชติช่วง
นางทรงกุณฑลดอกไม้พวง พวงเพ็ชรรับช่วงพรรณราย
พระทรงอุบะมลารอละลานจิตร ละลานใจประไพพิศเฉิดฉาย
ทั้งห้าองค์ทรงมงกุฎจำหลักลาย จำรัสเรืองกระจายต่างกัน
พระทรงกฤชฤทธิไกรเรืองศักดิ์ ถือเช็ดหน้าตาดปักเฉิดฉัน
เชิดช่วงธำมรงค์วิไลยวรรณ นางทรงอุบะประกันอำไพ

ฯ ๑๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นเสร็จเสด็จลีลาศ มาปราสาทพระโอรสพิศมัย
ช้อนองค์ขึ้นบนเพลาพระภูวไนย โหราถวายไชยทันที
จึงเสด็จขึ้นทรงอุชงหงัน ถนอมขวัญมิให้กำสรดศรี
ทั้งห้าองค์อัคเรศเทวี ตามเสด็จออกที่พระโรงไชย
อันเสนาน้อยน้อยขนัดแน่น ประนมกรแห่แหนมาไสว
ทั้งนางท้าวเจ้าวังทั้งนั้นไซ้ สนมในเยียดยัดอัดกัน
มานั่งเรียงเปนหลั่นทั้งซ้ายขวา ทั้งพฤฒาเสนาหนานั่น
เสด็จขึ้นแท่นแก้วแพรวพรรณ สนั่นเสียงประโคมทั้งภารา

ฯ ๘ คำ ฯ มโหรี

ยานี มาจะกล่าวบทไป ถึงองค์อสัญแดหวา
ซึ่งเปนบรมราชไอยกา สถิตย์ในชั้นฟ้าโสฬศ
ครั้นสรรนัดดาลงไป จะรุ่งเรืองฤทธิไกรปรากฎ
สืบวงษ์เทวัญอันเรืองยศ กำหนดยิ่งกว่าสามธานี
อย่าเลยกูจะไปอำนวยไชย ให้นัดดายาใจเฉลิมศรี
จึงนฤมิตรกฤชเพ็ชรอันรูจี จาฤกนามตามที่บัดดล
ครั้นเสร็จเทวัญอันเรืองฤทธิ์ สำแดงอิทธิครื้นครั่นพระเวหน
ได้ฤกษ์งามยามไชยมงคล จึงเหาะดลยังแท่นอันรูจี

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย เมื่อนั้น พระจอมภพกุเรปันเรืองศรี
ทั้งร้อยเอ็ดกษัตราทุกธานี ทั้งหน่อกษัตรธิบดีชาญไชย
อิกทั้งเสนาพฤฒามาตย์ ราชครูชีพราหมณ์น้อยใหญ่
นั่งแน่นทั้งท้องพระโรงใน เห็นเทวัญชาญไชยศักดา
ต่างคนต่างกราบบังคม พระบรมเทเวศร์นาถา
ต่างอวยไชยถวายองค์กุมารา สนั่นทั้งมหาปัถพี
อันพระองค์ผู้ทรงฤทธิไกร ทั้งห้าทรามไวยมเหษี
กราบก้มบังคมด้วยยินดี ให้พราหมณ์เบิกแว่นมณีรจนา

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เวียนเอยเวียนเทียน ให้เวียนแต่ซ้ายมาหาขวา
บรรดาอำมาตย์มาตยา รับแว่นรจนาเปนหลั่นกัน
ครั้นครบสิบเอ็ดรอบมิทันช้า องค์ปัดตาระกาหราเฉิดฉัน
จึงรับเอาแว่นแก้วแพรวพรัน โบกควันแล้วอวยพระพรไชย
ให้เจ้าเรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ์ เปนที่พำนักทั้งต่ำใต้
อันหมู่อรินราชเรืองไชย พ่ายแพ้ฤทธิไกรพระนัดดา
ได้ยินข่าวถึงไหนให้ครั่นคร้าม สยอนนามฦๅฤทธิ์ทุกทิศา
ให้ภิญโญยศยิ่งในโลกา อย่ารู้อัปราไชยใคร
ครั้นเสร็จอำนวยอวยพร จึงเขากฤชฤทธิรอนนั้นให้
แล้วเสร็จสำเร็จอวยไชย เหาะไปกระยาหงันมิทันช้า

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

ร่าย เมื่อนั้น ทั้งห้ามเหษีเสนหา
เห็นเทวัญอันเรืองฤทธา ต่างยินดีปรีดาเปนพ้นไป
ต่างองค์สมโภชพระกุมาร เสียงสท้านสเทือนหวั่นไหว
ยินดีทุกหน้าสนมใน ไปจนไพร่ฟ้าทั้งนั้น

ฯ ๔ คำ ฯ

ช้า เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพไอสวรรย์
เบิกบานพระไทยทรงธรรม์ เอากฤชนั้นออกพิจารณา
จึงเห็นจาฤกอักษร ให้นามกรโอรสา
ชื่อหยังหยังหนึ่งรัดอินทรา อุดากันสารีปาตี
อิเหนาเองหยังกาหรัด เมาะตาริยกัดตังสุริย์ศรี
ดาหยังปราบอรินราชไพรี เอกระนัคหรีกุเรปัน

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย ทรงเอยทรงแล้ว พระไทยผ่องแผ้วเกษมสันต์
จึงยอกรถวายอภิวันท์ องค์อสัณแดหวาเรืองไชย
พระมาช่วยอุปถัมภ์บำรุง ทุกกรงจะย่อท้อไม่ต่อได้
สมคำโหราทำนายไว้ ตระหนักในเทวัญเปนมั่นคง
พระให้เครื่องอุปโภคอันรุ่งเรือง ทั้งเมืองขึ้นยี่สิบเปนส่วยส่ง
ให้มนตรีรี้พลจัตุรงค์ แก่องค์พระโอรสยศไกร

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดาหมังกุรินาบังคมไหว้
ทูลว่าพระอนุชาชาญไชย ทั้งสามกรุงไกรให้ของมา
เหล่านี้ของพระไอยกี กับสองศรีระตูเมืองหมันหยา
ให้พระราชวงษ์องค์หนึ่งมา เปนวงษ์พระไอยกาภูมี
ชื่อระเด่นดาหยนหนุ่มน้อย ภักตราแช่มช้อยมีศรี
กับชายหญิงสองร้อยล้วนดีดี ทั้งนางนมพี่เลี้ยงแปดคน

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ศรีปัตหราแจ้งเหตุผล
เบิกบานพระไทยภูวดล สั่งให้จัดเครื่องต้นอันรจนา
กับสิ่งของเงินทองแพรพรรณ กิดาหยันกำนัลหนักหนา
ประทานระเด่นดาหยนกุมารา ให้อยู่ที่ติกาหรังนั้น
แล้วปราไสสี่เสนา ทั้งสี่ภาราเขตรขัณฑ์
อันพระอนุชาเมื่อมานั้น เกษมสันต์อยู่ฤๅประการใด
ทั้งองค์พระราชไอยกี กับพระน้องสองศรีนั้นเปนไฉน
ยังค่อยผาศุกสนุกใจ ฤาโรคันอันใดมายายี

ฯ ๘ ฯ คำ เจรจา

๏ บัดนั้น เสนาทั้งสี่กรุงศรี
บังคมแล้วทูลไปทันที อันทั้งสามพระศรีอนุชา
ทั้งพระไอยกีธิราชนั้น เกษมสันต์เปนบรมศุขา
อิกทั้งฝูงราษฎร์ประชา ทั้งสี่ภาราก็สำราญ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ศรีปัตหราเกษมสานต์
จึงมีพจนาดถ์มิทันนาน ซึ่งพระประทานของมา
อิกทั้งระเด่นซึ่งเปนวงษ์ ทรงพระคุณการุญเปนหนักหนา
ขอถวายบังคมไปใต้บาทา อันอนุชาทั้งหกองค์
ว่าเราอำนวยอวยพรไป คิดสิ่งใดให้ได้ดังประสงค์
ให้อยู่เย็นเปนศุขทุกองค์ ท่านจงไปแจ้งคดี
แล้วประทานเงินทองเสื้อผ้า แก่มหาเสนาทั้งสี่
แล้วปราไสหน่อกษัตรธิบดี พระอวยศรีสวัสดิพรไชย
ท่านจงไปครอบครองพระนิเวศน์ ให้เรืองเดชอย่ามีใครต่อได้
เราขอบใจทุกทั่วท้าวไท ให้เปนศุขด้วยไชยสวัสดี
แล้วประทานเครื่องต้นอลงกรณ์ สังวาลวรรณบวรรังษี
มงกุฎกุดั่นจินดาดี ประทานให้ตามที่เปนหลั่นมา

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เหล่าระตูยินดีเปนหนักหนา
ก้มเกล้ารับพรพระราชา แล้วสนองพระวาจาไป
จะขอเอาพระบาทบทเรศ ปกเกษกว่าจะม้วยตักไษย
ทั้งพระโอรสยศไกร ไม่มีใครจะเยี่ยมเทียมทัน
เดชะพระเดชกุมาร จะแผ้วพาลอันตรายทุกสิ่งสรรพ์
จะอยู่เย็นเปนศุขทุกนิรันดร์ ดังฉัตรแก้วกั้นเกษให้เย็นใจ
แล้วรับสิ่งของซึ่งประทาน เบิกบานภิรมย์ผ่องใส
พร้อมกันบังคมลาคลาไคล ต่างกรีพลไปพระภารา

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ช้า มาจะกล่าวบทไป ถึงประไหมสุหรีเมืองหมันหยา
ทรงครรภ์ถ้วนทศมาตรา ประสูตรมาเปนพระราชบุตรี
งามงอนอ่อนระทวยนวยแน่ง ดำแดงนวลเนื้อสองสี
อันองค์พระชนกชนนี ทั้งพระไอยกีศรีโสภา
แสนพิศมัยใหลหลง ในองค์บุตรีเสนหา
จึงให้นามตามลักษณ์อักขรา เรียกระเด่นจินตะหราวาตี
อ่อนเดือนกว่าอิเหนากุเรปัน แต่ร่วมปีร่วมวันกันสองศรี
อันฝูงกำนัลนารี รักราชบุตรีทั้งวังใน

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย เมื่อนั้น องค์ศรีปัตหราเปนใหญ่
ทั้งอนุชาดาหาชาญไชย ให้ของขวัญไปแก่บุตรี
มเหษีกุเรปันแลดาหา ก็ส่งของขวัญมาเปนถ้วนถี่
พี่เลี้ยงนางนมแลนารี ไปจำเริญเชิญศรีพระนัดดา
แล้วจัดไปถวายพระไอยกี กับนัดดาสาหรีขนิษฐา
ให้เสนาผู้ใหญ่ไคลคลา ไปยังหมันหยาธานี

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงไทสิงหัดสาหรี
ครอบครองภารามาหลายปี จึงมีพระโอรสกุมารา
กับองค์ประไหมสุหรี พระมีความยินดีเปนหนักหนา
เทวาเอากฤชนฤมิตรมา วางข้างไสยาฉับพลัน
อันองค์อสัญแดหวา เทวาประสิทธิกฤชเปนของขวัญ
เมื่อครบคำรบเจ็ดวัน สำคัญจะได้ผ่านภารา
ทั้งจะได้ฟุ้งเฟื่องเรืองฤทธิ์ ปราบปัจจามิตรทุกทิศา
วายุกูลสืบวงษ์เทวา จาฤกนามมาทันที
ชื่อระเด่นสุหรานากง ยาหยาฤทธิรงค์รังษี
กุดาหลังเองหยังปาตรี จะระกัดสาหรีชาญไชย
อันพี่เลี้ยงทั้งสี่แลของขวัญ ก็เหมือนกับกุเรปันกรุงใหญ่
อันพระบิตุรงค์ทรงไชย พิศมัยพระราชกุมาร
ทั้งองค์ประไหมสุหรี มีความยินดีเกษมสานต์
มเหษีทั้งสี่ก็ชื่นบาน ตระการรุมรักดังดวงตา
ครั้นท้าวกาหลังมีบุตรี กับประไหมสุหรีเสนหา
ตามจารีตวงษาสุรารักษ์ ใครจะมาปนศักดิ์นั้นไม่ได้
ตำราตราตั้งบังคับไว้ ตุนาหงันกันได้แต่สี่เมือง
แล้วมีพระวรอินทรีย์ ผิวผ่องสองสีขาวเหลือง
เพริศพริ้มนิ่มเนื้อเรื่อเรือง จึงให้นามตามเรื่องพระมารดา
ชื่อระเด่นจินดาสาหรี เลิศล้ำนารีในแหล่งหล้า
ทั้งสามเมืองส่งเครื่องขวัญมา ให้ภาราขึ้นสิบเหมือนกัน
อันบุตรีมหาเสนา คนหนึ่งตั้งชื่อว่าบาหยัน
เนาวรัตน์กนัจาอันดับกัน คนหนึ่งประเสหรันนารี
คนหนึ่งตั้งชื่อสุดาหวัน ตั้งครบที่นั้นทั้งสี่
สำหรับชื่อพี่เลี้ยงพระบุตรี เหมือนกันทั้งสี่ภารา

ฯ ๒๖ คำ ฯ

ช้า มาจะกล่าวบทไป ถึงประไหมสุหรีเมืองดาหา
อยู่จำเนียรกาลนานมา กัลยาทรงครรภ์พรรณราย
งามแจ่มจำรัสครัดเคร่ง ดังบุหลันเมื่อเพ็งบูรณ์ฉาย
ผิวผ่องกุก่องสกลกาย พรรณรายดังดวงจินดา
ครั้นถ้วนกำหนดทศมาศ วันจะประสูตรราชโอรสา
วันหนึ่งยามไสมยเวลา พระสุริยาใกล้รุ่งราตรีกาล
จึงบังเกิดนิมิตรอัศจรรย์ หอมคันธรศฟุ้งซ่าน
หอมหวนอวลกลิ่นสุมามาลย์ โอฬารตระหลบทั้งธานี
ภุมรินบินว่อนร่อนร้อง เอาชายลอองสาหรี
ประสานศัพท์คลับคล้ายเปนดนตรี บางทีดังดังดุริยางค์
บ้างเปนเสียงฆ้องแลเสียงสังข์ กังวาลบันดาลดังต่างต่าง
ปักษีร่อนร้องก้องพลาง ต่างต่างทุกพรรณสกุณา
ดังดังจำเรียงเสียงประสาน ขับขานเสนาะหนักหนา
ครั้นอรุโณไทยใสส่องฟ้า อัศจรรย์ก็ปรากฎไป
สุริย์ศรีดังสีธรรมชาติ เลื่อมพรายปราสาทแจ่มใส
จึงประสูตรพระธิดารจนาไมย ทรงลักษณวิไลยเพราพราย
ซึ่งเกิดอัศจรรย์ก็บันดาล ตระบัดอันตรธานสูญหาย
ยังแต่กลิ่นบุหงาชวยชาย จึงถวายนามตามอัศจรรย์
เรียกระเด่นบุษบาหนึ่งหรัด สมบูรณ์ภูลสวัสดิ์เฉิดฉัน
นางในไตรจักรไม่เทียมทัน ทรงศรีดังสุวรรณพรรณราย
บรรดาสุริวงษ์พงษา ก็ส่งของขวัญมามากหลาย
ครั้นอยู่มาสักห้าปีปลาย มีกุมารสืบสายกันไป
รูปทรงเหมือนองค์บุษบา แน่งน้อยโสภาศรีใส
จึงองค์เทวัญชาญไชย จาฤกนามใส่ในกฤชมา
ชื่อระเด่นสียะตราหนึ่งหรัด เมาะตาริยกัดในแหล่งหล้า
มิสาหรัดยาหยีศรีโสภา อนะดาหาธานี

ฯ ๒๖ คำ ฯ

ร่าย อันพระบิตุเรศมารดา เสนหาโอรสทั้งสองศรี
ให้ถวายสมโภชทันที ตามที่ซึ่งได้กฤชนั้น
ครั้นการสำเร็จเสร็จแล้ว พระผ่องแผ้วฤไทยเกษมสันต์
แต่บรรดานักสนมกำนัล รักสองแจ่มจันทร์ทั้งวังใน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวกุเรปันเปนใหญ่
ให้แต่งตุนาหงันไป ยังพิไชยดาหาธานี
กล่าวระเด่นบุษบานงเยาว์ ให้แก่อิเหนาเรืองศรี
ตามขนาดบูรพ์ราชประเพณี ไม่มีศักดิ์อื่นมาแปมปน
ครั้นเสียสุริวงษ์เทวา เกิดเหตุใหญ่มาเปนหลายหน
พระนครมักได้ร้อนรน เปนจลาจลทั้งธานี

ฯ ๖ คำ ฯ

ช้า มาจะกล่าวบทไป ถึงระตูหมันหยาเรืองศรี
กับประไหมสุหรีเทวี จึงปฤกษาคดีกันไปมา
แล้วแต่งราชสารสองใบ จะให้ไปถวายศรีปัตหรา
ทั้งดาหากุเรปันนัครา ว่าพระมารดาสวรรคต
พระประชวรมาได้ห้าวัน พระโรคนั้นเห็นพอจะเปลื้องปลด
โภชนาอาหารก็เปนรศ เสด็จบทจรอยู่ทุกเวลา
บรรธมเชยชมพระดไนย เห็นสำราญพระไทยอยู่หนักหนา
ต่อรุ่งรางสางแสงพระสุริยา จึงรู้ว่าพระสวรรคาไลย
ให้เชิญเข้าใส่พระโกษฐทอง ประกับเนาวรัตน์รองผ่องใส
จะแต่งการทั้งปวงให้พร้อมไว้ ยังไม่เชิญไปพระเมรุทอง
ต่อพระองค์เสด็จมาถึงธานี สุดแต่พระมเหษีทั้งสอง
จะทรงพระดำริห์ตริตรอง น้องจะทำตามทุกสิ่งอัน
ครั้นเสร็จจึงสั่งม้าใช้ ทั้งสองแยกไปยังเขตรขัณฑ์
ภาราดาหากุเรปัน แต่ในเจ็ดวันเร่งกลับมา

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกษา
ทั้งสองรับสารแล้ววันทา มาขึ้นม้ายกแยกกันไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ มาเอยมาถึง พระนครกุเรปันกรุงใหญ่
จึงให้นระหยาพาเข้าไป ยังในพระโรงรัตนา
จึงบังคมก้มเกล้าดุษฎี ถวายสารองค์ศรีปัตหรา
เพ็ดทูลตามมูลคดีมา ให้ทราบเบื้องบาทาพระภูวไนย

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผู้วงษ์เทวัญเปนใหญ่
จึงทรงสารตราทันใด ก็แจ้งฤไทยพระทรงธรรม์
แล้วหับบัญชรไชยศรี จรลีย่างเยื้องผายผัน
เข้าไปปราสาทแก้วแพรวพรรณ ขึ้นยังบัลลังก์รัตน์มณี

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ พระส่งสารให้องค์อัคเรศ แล้วจะแจ้งแห่งเหตุถ้วนถี่
ตามคำดาหมังเสนี บรรยายคลายคลี่แต่เดิมมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ประไหมสุหรียอดเสนหา
รับสารมาพิจารณา แจ้งว่าพระมารดาพิราไลย
ทอดองค์ลงทรงโศกี สมประดีจะมีก็หาไม่
เพียงจะพินาศขาดใจ ฤไทยกลัดกลุ้มรุ่มร้อน

ฯ ๔ คำ ฯโอด

โอ้ โอ้ว่าสมเด็จพระมารดา เมื่อลูกรักจากมาพระพร่ำสอน
ลูกจึงมิได้อนาทร ด้วยลูกผ่อนตามพระวาจา
พระองค์มาสวรรคาไลย ลูกมิได้พิทักษ์รักษา
ยิ่งคิดเปนน่าอนิจา จะใคร่แบหลาตามพระชนนี

ฯ ๔ คำ ฯโอด

ร่าย

๏ แล้วจึงทูลถวายบังคมลา ไปยังหมันหยากรุงศรี
จะได้แทนคุณพระชนนี ดูเปลวอัคคีพระมารดา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจอมภพกุเรปันรุ่งฟ้า
พระตรึกไตรซึ่งนางจะไคลคลา ไปยังหมันหยาเวียงไชย
เกลือกว่าระตูจะดูหมิ่น จะอายในแดนดินเปนใหญ่
จะเสียศักดิ์เกียรติยศของเราไป ทั้งจะได้ติฉินนินทา
คิดแล้วปลอบประโลมนางโฉมศรี อย่าโศกีนักเลยฟังพี่ว่า
อันเกิดแล้วไม่แคล้วมรณา ถึงพรหมินทร์อินทราก็เหมือนกัน
แต่เขาพระสุเมรุแลหิมพานต์ ก็ยังอันตรธานไม่ตั้งมั่น
จงระงับโศกาจาบัลย์ เอาปัญญาผ่อนผันณเทวี
ซึ่งจะไปแทนคุณพระมารดา ยังนครหมันหยากรุงศรี
พี่พรั่นใจด้วยจะไปในพงพี ครรภ์นี้ก็ได้แปดเดือนปลาย
เกลือกจะเกิดเหตุใหญ่ที่ในป่า จะลำบากกายานางโฉมฉาย
รู้ไปถึงไหนจะได้อาย เจ้าขวนขวายแต่งการให้โอฬาร์
จึงให้อิเหนาเอาไป ยังกรุงพิไชยหมันหยา
ก็เหมือนหนึ่งดวงใจพี่ไคลคลา แก้วตาจะเห็นประการใด

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึงองค์ประไหมสุหรีศรีใส
ได้ฟังภิปรายค่อยคลายใจ บังคมท้าวไทแล้วทูลมา
อันพระเจ้ากล่าวมาทั้งนี้ ก็เห็นชอบท่วงทีเปนหนักหนา
จึงก้มกราบบังคมพระผ่านฟ้า กลับมาปราสาทนางเทวี

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ จึงสั่งพี่เลี้ยงทันใด ให้จัดแจงแต่งไว้ถ้วนถี่
สั่งเสร็จเสด็จจรลี เข้าในแท่นที่ศรีใสยา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพในแหล่งหล้า
จึงสั่งมหาเสนา ให้จัดไทยทานมามากมี
แล้วตรวจจัตุรงค์ให้พร้อมไว้ ให้โหราหาฤกษ์ไชยศรี
เราจะให้อิเหนาจรลี ไปถวายอัคคีท้าวไท
จึงสั่งอารีหรัดกับนระหยา จงไปต่างตาเราจงได้
แล้วสั่งดาหมังเสนาใน เร่งไปดาหาพระบุรี
บอกพระอนุชาให้แจ้งใจ ด้วยองค์ประไหมสุหรี
มิได้ไปหมันหยาธานี แต่อิเหนาจะลีลาไป

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดาหมังกุริหนาบังคมไหว้
มาสั่งเจ้าพนักงานทันใด ให้จัดไทยทานไว้จงครบครัน
แล้วให้เร่งม้ารถคชสาร รี้พลทวยหาญแขงขัน
ให้สรรพเสร็จแต่ในเจ็ดวัน เร่งตรวจตรากันอย่านอนใจ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ สั่งแล้วมาขึ้นอาชา ยกไปดาหากรุงใหญ่
ครั้นถึงจึงบอกเสนาใน แล้วเข้าไปคอยเฝ้าพระราชา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงเสนาในหมันหยา
ซึ่งจำทูลพระราชสารมา ครั้นถึงดาหาพระบุรี
จึงไปหาจะมาหงนเสนา ก็พาเข้าพระโรงไชยศรี
พร้อมกันคอยเฝ้าพระภูมี จะถวายสารศรีท้าวไท

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงเมืองเรืองรุ่งกรุงใหญ่
ครั้นอรุณเรืองรองส่องภพไตร พระคลาไคลมาสรงสาคร

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน ไขท่อประทุมวาริน วารีตระหลบกลิ่นเกสร
ทรงสุคนธารทิพขจายจร ขจายจับบวรด้วยมาลี
พระสอดทรงสนับเพลาเชิงกนก กนาบยกเครือราชปักษี
จีบโจงพื้นสุวรรณกินรี กินเรศเรืองศรีรจนา
พระทรงสอดสนององค์อำไพ อำพนวิไลยเลขา
อินท์ธนูชูช่วงพรายตา พรายแพรวมหาสังวาลวรรณ
พระทรงทับทรวงตาบทิศ ตาบทับวิจิตรเฉิดฉัน
สร้อยสอิ้งพริ้งเพ็ชรพรายพรรณ พรายเพริศกุดั่นทองกร
พระทรงกัญจุการามอร่ามเรือง ชายไหวไหวเฟื่องประภัศร
ชายแครงแข่งสีมณีกร มณีนิลบวรจำหลักลาย
พระทรงธำมรงค์แวววับ แววรุ้งพุ่งจับพระสุริย์ฉาย
พระทรงกรรเจียกแก้วขจรจาย มงกุฎพรายพื้นเพ็ชรจำรูญเรือง
ทรงอุบะก้านสุวรรณเพ็ชรขจิตร เหน็บกฤชฤทธิไกรอันฦๅเลื่อง
ถือเช็ดหน้าสีฟ้าแสงประเทือง พระเสด็จย่างเยื้องลีลา

ฯ ๑๔ คำ ฯ เสมอ

ร่าย พร้อมด้วยนักสนมนารี แวดล้อมภูมีทั้งซ้ายขวา
พระเผยบัญชรแก้วแววฟ้า ปราไสพฤฒาเสนาใน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาหมันหยาบังคมไหว้
ทูลแถลงแจ้งความทั้งปวงไป ถวายสารภูวไนยด้วยพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ศรีปัตหราเฉิดฉัน
ครั้นแจ้งแห่งสารทรงธรรม์ จึงสั่งซั้นให้แต่งเครื่องไทยทาน
ครั้นเห็นดาหมังเสนา ซึ่งมาแต่กุเรปันราชฐาน
จึงมีมธุรศพจมาน พระภูบาลใช้มาว่าไร

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดาหมังกุริหนาบังคมไหว้
ทูลว่าพระเชษฐาอันเรืองไชย ให้ข้าน้อยมาทูลพระราชา
พระจะให้แต่ระเด่นมนตรี เสด็จไปบุรีหมันหยา
อันเครื่องไทยทานการนานา ให้แล้วแต่ในสิบห้าวัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ศรีปัตหราเฉิดฉัน
ได้ฟังเสนาทูลพลัน มุ่งมั่นในพระอัธยา
พระเชษฐาน่าจะมีสิ่งแหนง จึงให้มาแจ้งเจาะว่า
ประสงค์มิให้องค์กัลยา ไปยังหมันหยาธานี
คิดแล้วจึงมีพจนาดถ์ อำมาตย์จงคืนไปกรุงศรี
ทูลพระเชษฐาธิบดี ว่าเราอัญชลีพระบาทา
เราจะให้เสนาคุมของไป กุเรปันกรุงไกรพระเชษฐา
จะให้ไปด้วยองค์พระนัดดา ยังพิไชยหมันหยาธานี
สั่งสรรพก็หับบัญชรไชย ไปปราสาทประไหมสุหรี
พระเสด็จยังแท่นรูจี แล้วส่งสารศรีให้กัลยา

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีเสนหา
รับสารมาพิจารณา แจ้งว่าพระสวรรคาไลย
ทอดองค์ลงทรงโศกี สมประดีจะมีก็หาไม่
เพียงจะพินาศขาดใจ ตีทรวงร่ำไห้ไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

โอ้ โอ้ว่าพระมารดาเจ้า พระบาทเคยปกเกล้าเกษา
แต่ยังเยาว์คุ้มเท่าจำเริญมา โอ้อนิจามาจากไป
เมื่อพระเกิดโรคันกันดาร ลูกจะได้พยาบาลก็หาไม่
คิดมาเปนน่าน้อยใจ จะใคร่มอดม้วยด้วยชนนี

ฯ ๔ คำ ฯโอด

ร่าย แล้วกราบลงกับพระบาทา พระผ่านฟ้าจงโปรดเกษี
จะถวายบังคมลาไปธานี ดูเปลวอัคคีพระมารดา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนรินทร์ปิ่นภพดาหา
จึงโลมเล้าเอาใจนางกัลยา แก้วตาจงระงับดับใจ
อันเกิดมาในโลกโลกา ใครจะพ้นมรณาก็หาไม่
เอาปัญญามาหักอาไลย ถึงโศกไปใช่ที่จะคืนมา
เจ้าเร่งบรรจงไทยทาน ส่งสักการพระศพดีกว่า
จึงจะพลันพ้นกรรมเวรา ประเสริฐกว่าดูเปลวอัคคี
แล้วเปนทางทุเรศกันดาร คชสารเถื่อนท่องพนาสี
สิงสัตว์ร้ายกาจใช่พอดี จงฟังพี่เถิดเจ้าอย่าไป
ท่านเปนผู้ใหญ่ไม่ไคลคลา แก้วตาพี่จะไปกะไรได้
ให้เสนาคุมของคลาไคล ไปด้วยอิเหนากุเรปัน

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ประไหมสุหรีงามเลิศเฉิดฉัน
ค่อยระงับดับความจาบัลย์ ยอกรอภิวันท์แล้วจรลี

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงปราสาทรัตน์ชัชวาลย์ จึงสั่งให้จัดการถ้วนถี่
ทั้งเครื่องไทยทานมากมี แต่ในบัดนี้อย่าช้า

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกษา
กราบกรานแล้วคลานออกมา จัดหาไทยทานทันใด
ทั้งเครื่องสักการบูชา ย่อมล้วนรจนาไม่ขาดได้
ครั้นเสร็จมาทูลทรามไวย ไทยทานบรรจงพร้อมแล้ว

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีเร่งผ่องแผ้ว
เห็นไทยทานตระการเพริศแพร้ว แล้วเข้าจบพระหัตถ์บัดใจ
จึงสั่งพี่เลี้ยงสาวศรี เอาสิ่งของทั้งนี้ไปส่งให้
แก่ดาหมังกุริหนาเสนาใน ให้ไปด้วยอิเหนากุเรปัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงรับสั่งแล้วผายผัน
ขนของส่งให้ดาหมังพลัน แล้วสั่งซั้นตามราชเสาวนี

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดาหมังครั้นแจ้งในสารศรี
ขนของใส่รถรัตน์มณี มาขึ้นพาชีคลาไคล

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ รีบรัดดัดดั้นดงดอน ถึงนครกุเรปันกรุงใหญ่
ครั้นเวลาเฝ้าก็เข้าไป ยังในพระโรงรจนา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์พงษ์เทพนาถา
ครั้นอรุณเรืองรองส่องโลกา พระสำอางอ่าองค์อำไพ
กับห้าองค์อัคเรศมเหษี มาที่พระโรงทองผ่องใส
สนั่นศัพท์กรับแก้วแววไว เสนาในกราบเกล้าดาษดา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดาหมังฝ่ายกรุงดาหา
ยอกรก้มเกล้าวันทา ทูลตามบัญชาทุกประการ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ศรีปัตหราได้ฟังสาร
ทั้งประไหมสุหรีนงคราญ จึงมีพจมานทันใด
อนะอิเหนาจงไคลคลา เอาของสองภารานี้ไปให้
แก่ระตูหมันหยาชาญไชย บอกให้จะแจ้งกิจจา
ว่าองค์ชนนีของเจ้านั้น ทรงครรภ์แก่เกือบหนักหนา
เกลือกจะมีเหตุกลางมรคา พ่อเห็นจะช้าการไป
จึงให้เจ้ามาแทนมารดา แม้นเห็นการแล่ล้าเปนไฉน
จะเติมพลทั้งสองกรุงไกร ไปทำการพระศพให้ทันที
เสร็จแล้วลูกแก้วอย่าอยู่ช้า พระกำชับเสนาทั้งสองศรี
ช่วยพิทักษ์รักษาให้จงดี เสนีต่างใจต่างตา

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมเฉิดเลิศฤทธิ์ทุกทิศา
อภิวาทบิตุราชมารดา มาปราสาทรัตนาทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นรุ่งรางสว่างเรืองแรง อโณไทยไขแสงแขงไข
เสด็จจากไสยาศน์บรรธมใน คลาไคลไปสรงคงคา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน พระไขประทุมแก้วเพ็ชรรัตน์ เพ็ชรเรืองจำรัสพระเวหา
เปนพวยภู่กลิ่นกระจายด้วยมาลา มาเลศรจนาสุคนธ์ทรง
น้ำกุหลาบอาบอบปนปรุง ปนสุวรรณเรืองรุ่งกลิ่นส่ง
สนับเพลาเชิงงอนงามยง งามยิ่งบรรจงจำหลักลาย
แล้วทรงจีบโจงโขมพัตร โขมราษฐเรืองจำรัสเฉิดฉาย
สนององค์ริ้วทองเพริศพราย ตาดแล่งดาวกระจายอินท์ธนู
แล้วทรงกัญจุการาราม อร่ามเรืองวิไลยใครจะคู่
ชายไหวไหวพริ้งงามตรู งามเอี่ยมเทียมคู่อมรินทร์
ชายแครงแข่งเพ็ชรอำไพ อำพนวิไลยเฉิดฉิน
รัดพระองค์เพ็ชรเพริศเลิศอินทร์ เลิศแล้วเปนกินรินรำ
พระทรงสร้อยกุดั่นเพ็ชรระยับ เพชรระย้าส่องจับเฉิดฉัน
ตาบทิศทับทรวงสังวาลวรรณ สังวาลเวียนวาบกุดั่นทองกร
สุวรรณกัณฐอพก์ดอกดวงเพ็ชร เพ็ชรเฟื่องเรืองเด็ดไม่เทียมสอง
ธำมรงค์เรืองรุ่งขจายจร ขจายจับบวรพรรณราย
ทองปลายพระกรจำรูญ จำหลักเลิศเกยูรเฉิดฉาย
ส้าโบะครุยกรองทองพราย เครือทองกระจายจับกัน
พระทรงลดาแก้วแววฟ้า รจนาพริ้งเพริศเฉิดฉัน
เชิดช่วงกรรเจียกวิไลยวรรณ ทรงอุบะประกันอำไพ
ถือเช็ดหน้าสีทับทิมขลิบทอง ลายกรองเครือวัลย์ระกำไหม
เหน็บกฤชเทวัญชาญไชย ดังไกรสรราชผงาดจร
พระเสด็จย่างเยื้องยุรยาตร ผุดผาดเพียงเทพอดิศร
สอดฉลองพระบาทเชิงงอน ดังจะร่อนลอยฟ้ามาขึ้นรถ

ฯ ๒๒ คำ ฯ เสมอ

โทน รถเอยรถทรง กำกงกึกก้องปรากฎ
ปรักแปรกแอกบัลลังก์เรือนรถ สีสดแสงส่องต้องตาพราย
ดอกดวงอัจกลับภู่ห้อย กระจังติดตาอ้อยเฉิดฉาย
ดุมเพลาเสาพนักจำหลักลาย พริ้งพรายจับแสงอโณไทย
โตกตั้งบัลลังก์ประพาฬรัตน์ สิงห์อัดหยัดย่องขึงไข
ชั้นสองสุบรรณขันนาคไว้ ชั้นสามเทพไทถวายกร
อภิรุมชุมสายรายริ้ว ธงทิวสีระยับสลับสลอน
เสวตรฉัตรรบัดบังรวีวร จามรบังสูรย์จำรัสฟ้า
รถดั้งรถกันสรรสรรพ รถรองระยับจับเวหา
เข้าในพนมพนาวา โยธาเยียดยัดอัดไพร

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

ชมดง เดินเอยเดินทาง มาตามคิรีเนินไศล
พระชมพฤกษาสารตระการใจ ทั้งคณานกไม้นานา
นกแก้วจับแก้วแล้วส่งเสียง กระวานเมียงกิ่งกระวานหรรษา
คับแคจับแคชำเลืองมา กระสาจับกระสังสนั่นไพร
สาลิกาจับต้นกาหลงร้อง สร้อยทองจับกิ่งโศกใหญ่
โนเรศจับรังแล้วบินไป เขาไฟจับจอมภูผาเรียง
กะลุมพูจับกะลำพักภ้อ จิงโจ้จับจิงจ้อแล้วส่งเสียง
หงษ์ทองร้องท่อเปนคู่เคียง เพียงนางบำเรอเมื่อไสยา
ชมพลางทางเด็ดดอกไม้ ประกันอำไพใบหนา
มลารอหอมหวนยวนมา กลั้วกลิ่นบุหงาปะราบี
ตันหยงปาหนันกะรุวังลา ตระปะกิกะริหนาสดสี
กะนิหราบุหงาจะรุนี รื่นรศมาลีตระหลบไป
โห่ร้องก้องกึกครึกครื้น สัตว์ตระหนกตกตื่นเข้าป่าใหญ่
รอนแรมมาในพนาไลย ถึงพิไชยหมันหยาธานี

ฯ ๑๔ คำ ฯ เชิด ฯ

ร่าย ครั้นถึงจึงหยุดอยู่ปลายด่าน ถิ่นฐานเปนศุขเกษมศรี
ตรวจจัดพหลมนตรี ทุกน่าที่พิทักษ์พระทรงไชย

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ชาวด่านครั้นแจ้งแถลงไข
แต่งหนังสือแล้วขึ้นอาชาไนย ขับควบเข้าไปภารา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงเข้าไปกราบไหว้ แก่เสนาในหมันหยา
ยื่นสารแล้วแจ้งกิจจา ว่าระเด่นมนตรีกุเรปัน
บัดนี้เสด็จมาอยู่ปลายด่าน ขอท่านกราบทูลขมีขมัน
ให้แจ้งพระไทยทรงธรรม์ แต่โดยพลันทันใดอย่าได้ช้า

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงผู้ใหญ่ในหมันหยา
จึงมากราบทูลพระราชา ว่าองค์ระเด่นมนตรี
เสด็จมาพักพลอยู่ปลายด่าน พระภูบาลจงทราบบทศรี
ชาวด่านถือสารมาวันนี้ ขอพระภูมีจงแจ้งใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวหมันหยายินดีจะมีไหน
จึงสั่งให้ไปรับจงฉับไว เชิญให้นัดดาเข้ามาพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงรับสั่งแล้วผายผัน
มากะเกณฑ์แห่แหนแน่นนัน ธงเทียวสรรพสรรพ์รจนา
ทั้งม้ารถคชพลสกลไกร พรั่งพร้อมนายไพร่ทั้งซ้ายขวา
ตำมะหงงขี่ควบอาชา ยกมาปลายด่านพระเวียงไชย

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ มาเอยมาถึง จึงตั้งบังคมประนมไหว้
กราบทูลพระองค์ผู้ทรงไชย ระตูให้เชิญเสด็จเข้าภารา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมเฉิดเลิศลบทุกทิศา
ได้ฟังเสนาทูลมา จึงมีบัญชาทันใด
แก่พระพี่เลี้ยงทั้งสี่ วันนี้เราจะเข้ากรุงใหญ่
ให้ตกแต่งเพริศเพราเอาใจ จะนุ่งห่มสิ่งไรให้เหมือนกัน
อย่าให้อัปรยศชาวหมันหยา ทั้งสีธงเสื้อผ้าให้จัดสรร
พลเราแห่ต้นเชือกนั้น แห่น่าจัดสรรชาวภารา

ฯ ๖ คำ ฯ

ยานี บัดนั้น พระพี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกษา
มาจัดพหลโยธา เหล่าพวกสีฟ้าไว้ชั้นปลาย
แล้วสรรสีแสดเข้ารอง สีใบตองรับเลิศเฉิดฉาย
ถัดมาสีทับทิมพริ้มพราย ม่วงคั่นรองรายเรียงมา
สีธงสีผ้าอ่าองค์ บรรจงดังแกล้งเลขา
เหมือนสีรุ้งอำไพในพื้นฟ้า คอยเสด็จยาตราคลาไคล

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย ครั้นจัดสำเร็จเสร็จสรรพ จึงกลับมาทูลแถลงไข
อันพวกพหลสกลไกร เตรียมไว้พร้อมแล้วพระภูธร

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริวงษ์เทวาอดิศร
พระเสด็จฉุยฉายกรายกร บทจรย่างเยื้องจรลี

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน ไขสหัสธาราอ่าองค์ อ่าเอี่ยมทรงสุคนธ์ใสศรี
สอดใส่สนับเพลาจินดาดี จินดาดวงมณีเชิงงอน
เชิงงามผ้าทิพภูษิต ภูษาวิจิตรประภัศร
สพักสีโขมพัตรอลงกรณ์ อลงกฎบวรสนององค์
อินท์ธนูตาดแล่งเปนรักร้อย ลอยเด่นเพ็ชรพลอยงามระหง
กัญจุการาเลิศเพริศทรง ทรงพิศบรรจงอร่ามเรือง
ชายไหวเปนรูปนาคากลาย กลายกลับพรรณรายเฟื้อยเฟื่อง
ชายแครงเพ็ชรรัตน์จำรัสเรือง จำรูญรุ่งแสงประเทืองเปนกินริน
รัดพระองค์ประรำยามงามพราย พรายเพริศเปนนารายน์ทรงสินธุ์
สร้อยสอิ้งพริ้งเพริศเลิศอินท์ เลิศเอกเอี่ยมสิ้นทับทรวง
สังวาลวรรณตาบทิศเพ็ชรแพร้ว แววแววรุ่งโรจน์โชติช่วง
สุวรรณกัณฐอพก์ดอกไม้พวง พวงภู่จับช่วงทองกร
ทองกาบกาบเก็จเพ็ชรระยับ เพ็ชรเรืองเฟื่องจับแสงส่อง
เกยูรรัตพัตรกระจายจร กระจ่างจับบวรธำมรงค์
ส้าโบะตาดปักระยับย้อย ระย้าพลอยทับทองงามระหง
ครุยทองกรองชายยรรยง ยงยิ่งบรรจงอลงการ
ทรงลดาเพ็ชรแพร้วแววไว แวววับวิไลย์ใสสานต์
กรรเจียกจรกระจายโอฬาร โอภาษชัชวาลย์ล้วนพลอยเพ็ชร
ห้อยอุบะเพ็ชรพวงเพริศแพร้ว เพริศพิศด้วยแก้วกนกเก็จ
ถือเช็ดหน้าตาดทองกรองเพ็ชร เพ็ชรเลิศเพริศเสร็จพรายฟ้า
สอดทรงรองพระบาทเชิงงอน งอนงามบวรเลขา
เหน็บกฤชฤทธิไกรไคลคลา ซึ่งเทวาประสิทธิประสาทไว้
งามทรงดังองค์หริรักษ์ วายุกูลทรงจักรเปนใหญ่
จะไปล้างอาธรรม์ให้บรรไลย มาทรงอาชาไนยไชยชาญ

ฯ ๒๔ คำ ฯ เสมอ

โทน ม้าเอยม้าต้น ประดับเพ็ชรเลิศล้นเหี้ยมหาญ
เหี้ยมฮึกองอาจสรรพางค์ เข้าไหนไล่ล้างไพริน
ไพรีขจรสยอนฤทธิ์ ดังหงษ์พิศณุรักษ์บรรธมสินธุ์
สินธพชาติดาดสีเนียมนิล ดังม้าทรงองค์อินทร์เพริศพราย
พรายพริ้งตาดหน้าดาวสุวรรณ อานกุดั่นใบโพเฉิดฉาย
เฉิดฉินโกลนกุดั่นพรรณราย หักทองขวางกระจายจับกัน
จับแสงจงกลภู่ห้อย เพราพร้อยเพ็ชรระยับเฉิดฉัน
เชิดช่วงสายสร้อยวิไลยวรรณ บังเหียนกุดั่นโมฬี
โมฬิศด้วยแก้วแววไว ฉัตรไชยไพโรจน์เรืองศรี
สีธงลายทองรูจี บังสูรย์มณีประดับงาม
ประดับด้วยจามรทานตวัน พัดโบกโบกหลั่นเหลืองอร่าม
อร่ามเรืองแสงกุดั่นจำหลักงาม เดินตามเคียงอาชาคลาไคล
คลาเคลื่อนฆ้องกลองก้องกึก ครั่นครึกเพียงปัถพีไหว
แตรฝรั่งกระทั่งเสียงเกรียงไกร เสียงสนั่นทั้งในปัถพี
แตรงอนเหล่าสังข์เปนคู่เคียง คู่เคล้าจำเรียงเสนาะสี
ปี่แก้วปี่ไฉนมากมี เพียงหนึ่งดนตรีในตรึงษ์ไตร
อันระเด่นดาหยนวงษา ขี่อาชางามตามไสว
พระพี่เลี้ยงเคียงข้างภูวไนย พลไกรแห่แหนแน่นมา
ธงชายปลายริ้วปลิวระบัด แกว่งกวัดวัดวิ่งมาหนักหนา
ดูไหนก็วิไลยละลานตา ทั้งเครื่องม้าเครื่องทรงจำเริญใจ

ฯ ๒๐ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น หญิงชายมาสิ้นไม่อยู่ได้
เบียดเสียดสับสนปนไป คอยดูภูวไนยไม่เว้นคน
ที่ปากกล้าสามาญก็เพิดภ้อ ด่าทอผลักไสพิไรบ่น
ปะชายเฉโกพาโลลน มานั่งบ่นกูปะเตะให้คว่ำไป
นี่ที่ทางมึงได้ที่ไหนมา มีแต่ตาดูเล่นมาด่าให้
เปนวิวาทชกตีกันมี่ไป ที่ผู้ใหญ่ก็ห้ามปรามมา
ครั้นเมื่อเห็นองค์พระทรงฤทธิ์ บ้างสกิดแซ่ซ้องหรรษา
บ้างพิศวงงวยงงไม่พริบตา จนลืมวันทาพระภูธร
ลางคนระรื่นชื่นชม ยอกรบังคมอยู่สลอน
บ้างร้องอำนวยอวยพร ราษฎรเกษมเปรมปรีดิ์

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระรุ่งเมืองเรืองฤทธิรังษี
ครั้นถึงทวารวังพระภูมี เสด็จจากพาชีลีลา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ขึ้นไปยังท้องพระโรงไชย แสนเสนาในแน่นหนา
พรั่งพร้อมเกลื่อนกลาดดาษดา คอยท่าจะเฝ้าท้าวไท

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวหมันหยาเปนใหญ่
ครั้นรุ่งรางสางแสงอโณไทย เสด็จไปสระสรงคงคา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ชมตลาด ทรงสุคนธารศขจรกลิ่น รวยรินด้วยพรรณบุบผา
สนับเพลาพื้นทองทอตา ภูษาพื้นพรรณบรรจง
กัญจุการาเรืองเฟื่องห้อย พื้นพลอยแดงดีสีส่ง
สุวรรณกัณฐอพก์ทับรับทรง สังวาลวรรณยรรยงทับทิมพราย
ตาบประดับทับทรวงดวงแดง พาหุรัดจัดแสงมณีฉาย
ชายแครงแสงส่องพรรณราย กระจายจับชายไหวไวแวว
พระธำมรงค์ค่าควรภพไตร ร่วงรุ้งอำไพด้วยแสงแก้ว
ทรงมงกุฎทับทิมแกมแวมแวว กรรเจียกจรพรายแพรวจะบาดตา
ทรงอุบะทรงกฤชฤทธิรอน กรายกรดังเทวะวงษา
เสด็จขึ้นแท่นแก้วมุกดา เสนากราบเกล้าดุษฎี

ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ

ร่าย จึงปราไสพระราชนัดดา พระบิตุเรศมารดาทั้งสองศรี
พระมีความศุขเกษมเปรมปรีดิ์ ฤๅมีทุกข์โศกโรคไภย
อันแว่นแคว้นแดนขัณฑเสมา ไพร่ฟ้าผาศุกฤาเปนไฉน
ฤๅไพรีเคืองข้องจองไภย ทางไกลทุเรศกันดารมา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อิเหนาอภิวันท์ด้วยหรรษา
ทูลว่าพระราชบิดา ครองขัณฑเสมาเปรมปรีดิ์
อยู่เย็นเปนศุขทุกถ้วนหน้า ไพรฟ้าผาศุกเกษมศรี
มิได้มีโรคามายายี แต่องค์พระชนนีนั้น
ทรงครรภ์แก่เกือบหนักหนา พระมารดาให้ข้าผายผัน
กับดาหมังนระหยาดาหานั้น เอาเครื่องไทยทานอันสรรดี
แม้นพระศพเนิ่นนานประการใด ให้เร่งบอกไปยังกรุงศรี
พระจะเติมพหลมนตรี ทั้งสองบุรีมาช่วยการ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวหมันหยาได้ฟังสาร
ซึ่งสี่พระองค์บรรจงไทยทาน ให้หลานรักมาช่วยการนี้
ทรงพระคุณหาที่สุดไม่ ขอบังคมไปใต้บทศรี
อันการพระศพครั้งนี้ ถ้วนถี่พร้อมมูลเสร็จแล้ว
แต่งท่าพระพี่นางทั้งสององค์ จึงยังมิส่งพระศพไปเมรุแก้ว
ซึ่งเจ้ามาบัดนี้ก็ดีแล้ว หลานแก้วจะถวายอัคคี
จึงสั่งโหราทันใด ให้เร่งหาฤกษ์ไชยศรี
จะได้เชิญพระศพชนนี ออกไปในที่พระเมรุพลัน
จงแต่งประเสบันอากง ให้องค์อิเหนาหลานขวัญ
ทั้งเครื่องเอมโอชโภชนานั้น กว่าจะไปกุเรปันภารา

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกษา
กราบกรานแล้วคลานออกมา แต่งที่ข้างน่าทันใด
กวาดแผ้วตั้งฉากผูกม่าน ดาดเพดานแล้วเอาลับแลใส่
ทั้งวัตถาลังการ์เครื่องใช้ ตรวจตราแต่งไว้ครบครัน
จึงกลับเข้ามากราบทูล นเรนทร์สูรผู้ผ่านไอสวรรย์
ที่พระราชนัดดาอยู่นั้น จัดสรรเสร็จแล้วพระพันปี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึงขุนโหราบดีศรี
ควณคูณแล้วทูลไปทันที ยังสามราตรีดีนัก

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวหมันหยาสุริวงษ์ทรงศักดิ์
ได้ฟังโหราผู้ใจภักดิ์ พระทรงศักดิ์จึงสั่งเสนาใน
ให้เร่งจัดการให้ครบครัน ทุกสิ่งอันอย่าให้ขาดได้
แล้วชวนพระนัดดาชาญไชย ไปยังพระศพไอยกี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นเอยครั้นถึง จึงระเด่นมนตรีเรืองศรี
ถวายอภิวันท์อัญชลี ศพพระไอยกีทันใด

ฯ ๒ คำ ฯสาธุการ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวหมันหยาเปนใหญ่
จึ่งสั่งสาวสรรค์กำนัลใน ให้ไปหาประไหมสุหรีมา
กับอนะจินตะหราวาตี บุตรีแน่งน้อยเสนหา
ขึ้นมายังปราสาทรัตนา เร่งเร็วอย่าช้าบัดนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางกำนัลรับสั่งใส่เกษี
ถวายบังคมคัลทันที ไปปราสาทเทวีฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯชุบ

๏ ครั้นถึงจึงทูลสองกษัตร บัดนี้พระผู้ผ่านไอสวรรย์
ให้มาเชิญเสด็จจรจรัล ขึ้นเฝ้าพระทรงธรรม์บัดนี้

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์ประไหมสุหรี
กับระเด่นจินตะหราวาตี เทวีทรงเครื่องประดับองค์

ฯ ๒ คำ ฯ

ชมตลาด แล้วทรงปรัดผัดภักตร์ เลิศลักษณ์นวลลอองก่องก่ง
ทรงสังวาลสร้อยสอิ้งยิ่งยง ทองกรธำมรงค์รูจี
ทรงสพักเพ็ชรแพร้วแววไว กันไรกวดเกล้าเกษี
แซมใส่บุบผามาลี ล้วนสุวรรณมณีแกมกัน

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย ครั้นทรงเสร็จพลันทันที จึ่งชวนพระบุตรีผายผัน
ลงจากปราสาทแก้วแพรวพรรณ สาวสรรค์สพรึบพร้อมตามไป

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงประนตบทศรี พระศพพระไอยกีเปนใหญ่
แล้วบังคมท้าวหมันหยาเรืองไชย ทรามไวยเหลียวดูพระนัดดา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีรุ่งฟ้า
เห็นองค์ประไหมสุหรีมา กับระเด่นจินตะหราทรามไวย
จึงน้อมประนตบทบงสุ์ องค์ประไหมสุหรีศรีใส
พลางพิศพระธิดายาใจ ภูวไนยเสนหาพันทวี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวหมันหยาผู้รุ่งรัศมี
จึงตรัสแก่จินตะหราวาตี อันระเด่นมนตรีนี้ไซ้
แก่เดือนกว่าอนะจินตะหรา ลูกยาจงบังคมไหว้
ฝากตัวแก่พี่ยาไว้ นานไปจะได้พึ่งพา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึงโฉมนวลนางจินตะหรา
ได้ฟังบิตุเรศวัจนา กัลยาเหลือบแลแปรไป
เห็นโฉมระเด่นมนตรี งามล้ำไม่มีใครเปรียบได้
นางยอกรบังคมพระภูวไนย แล้วเชือนภักตร์ไปไม่ต่อตา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริวงษ์อสัญแดหวา
ง่าหัตถ์รับหัตถ์นางกัลยา ไนยนาชายต้องตากัน
พิศทรงยงยอกามา ดังนางในห้องฟ้ากระยาหงัน
ภักตร์ผ่องโสภาลาวรรณ ดังบุหลันอันหมดราคี
เอวอ่อนระทวยนวยแน่ง ดำแดงนวลเนื้อสองสี
พระเกษบานเบิกภุมรี ไนยเนตรดังดวงมณีนิล
พระกรรณดังกลีบบุษบง พระขนงดังวงธนูศิลป์
นาสาดังขอกุญชริน โฉมฉินประโลมละลานตา
พระปรางเปล่งปลั่งดังปรางทอง โอษฐน้องดังจะแย้มหรรษา
พระสอตกปล้องต้องลักขณา ประทุมาดังดวงประทุมมาลย์
แต่พระเล็งลอบทัศนา เร่งปรีดาภิรมย์เกษมสานต์
ความรักมืดกลุ้มระลุงลาน ในโฉมเยาวมาลย์พันทวี
ลำลำจะใคร่เยื้อนปราไส คิดเกรงท้าวไททั้งสองศรี
แต่หยุดยั้งชั่งใจใช่พอดี สุดที่บังคมลาคลาไคล

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ พระเหลียวลอบดูนางกัลยา มิใคร่จะลีลามาได้
จำเปนจำเสด็จออกไป ฤไทยประหวั่นถึงเทวี

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงทวารวังทันใด จึงขึ้นมโนไมยไชยศรี
พร้อมด้วยพี่เลี้ยงแลเสนี มาที่ประเสบันอากง

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงเสด็จเข้าห้องใน เร่งคิดคลั่งไคล้ใหลหลง
อาไลยไม่ลืมรูปทรง องค์ระเด่นจินตะหราวาตี
เอนองค์ลงกับที่ไสยาศน์ ภูวนารถร่านร้อนดังเพลิงจี้
โหยหวนครวญถึงพระบุตรี จนภูมีนิทราหลับพลัน

ฯ ๔ คำ ฯตระ

๏ บัดนั้น ทั้งสี่เสนาคนขยัน
ซึ่งได้รับสั่งพระทรงธรรม์ มาจัดสรรแต่งการเปนโกลี

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี บ้างเกณฑ์กันตั้งพระเมรุทอง กุก่องช่อชั้นพรรณรังษี
ล้วนประดับมณีนิลจินดาดี ช่อฟ้าปราลีรจนา
มีรูปสิงห์อัดหยัดยัน รูปสุบรรณจับนาคเปนภักษา
เทพพนมถือดวงบุษบา มีพรหมสี่หน้าอยู่ชั้นบน
เครือคาบกายกระจังตาอ้อย ดอกลอยดวงเด่นเวหน
ราชวัตรฉัตรธงอำพน ดังทิพไพชยนต์มัฆวาน
ชั้นรอบพระเมรุก็แพรวพราย ระย้าโคมแขวนรายทั้งสี่ด้าน
เชิงเมรุมีรูปสัตว์หิมหานต์ คชสารสีหราชอาจอง
มีรูปกุมภัณฑ์อนันตยักษ์ รูปกินรเลิศลักษณ์เทรงระหง
แล้วเตรียมพิไชยรถทรง บรรจงดวงแก้วรูจี
อันรูปเทวาขี่ขับ สำหรับใส่เครื่องหอมตามที่
รถโยงปรายเข้าตอกมาลี จัดพระวงษาขี่ครบครัน
ราชครูบีกูประมาหนา ขี่รถรจนาผายผัน
อันพิไชยราชรถนั้น เฉิดฉันบุษบกรจนา
สำหรับใส่พระบรมศพ ขุนรถประดับครบคอยท่่า
คนชักแต่งตัวเปนเทวา แห่แหนแน่นดากันไป
เชิญพระยานุมาศบรรทับเกย ตามเคยทุกสิ่งไม่ขาดได้
ครั้นเสร็จก็กลับเข้าไป ทูลไทให้แจ้งกิจจา

ฯ ๑๘ คำ ฯ

ร่าย เมื่อนั้น ท่านท้าวหมันหยารุ่งฟ้า
ครั้นใกล้ฤกษ์อรุณเวลา พระสระสรงคงคาอ่าองค์

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน ทรงสุคนธรศอบอวล หอมหวนรวยรินกลิ่นส่ง
สนับเพลาภูษิตบรรจง ส้าโบะยรรยงครุยทอง
ฉลององค์ทรงสร้อยสังวาลวรรณ ตาบประดับกุดั่นกุก่อง
รัตพัตรจำรัสลำยอง ชายไหวไหวรองอร่ามพราย
ชายแครงแสงจับใจเพ็ชร พาหุรัดกาบเก็จเฉิดฉาย
ธำมรงค์รวยรุ่งพุ่งพราย กรรเจียกจรกระจายยับยับ
ทรงมหาพิไชยมงกุฎแก้ว ทรงอุบะเพ็ชรแพร้วพรายจับ
ทรงกฤชขึ้นสู่เกยประทับ สั่งให้รับพระศพไปใส่รถ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย ประดับชั้นอินทร์พรหมแห่ห้อม แวดล้อมรจนาปรากฎ
อันรถโยงนั้นโยงไปน่ารถ ปรายเข้าตอกเลื่อนลดถัดมา
แล้วรถอ่านหนังสือถือชู ราชครูบีกูประมาหนา
แล้วรถบรมศพโสภา ชาวมาลาประคองพระโกษฐไป
แล้วเหล่าสิบสองพระกำนัล ร่ำไรโศกศัลย์โหยไห้
ตีอกฟกทรวงตามไป จิตรใจไม่เปนสมประดี
พระองค์ขึ้นทรงยานมาศ องอาจดังไกรสรสีห์
ระเด่นมนตรีทรงพาชี ถัดองค์พระภูมีมา
แล้วม้าระเด่นตาหยน แล้ววอนฤมลเสนหา
องค์ประไหมสุหรีโสภา วอระเด่นจินตะหราเยาวมาลย์
ทั้งนางนักสนมกรมใน แน่นนันกันไปในสถาน
วิ่งเบียดเสียดสนลนลาน จะดูการพระศพท่านไท
ถึงต้นกัลปพฤกษ์ก็โปรยปราย ยาจกมากมายไม่นับได้
ช่วงชิงชกตีกันมี่ไป จนเข้าในเมรุรัตน์ชัชวาลย์

ฯ ๑๔ คำ ฯกลองโยน

๏ แล้วเชิญพระศพขึ้นใส่ไว้ ในพระเมรุอำไพใสสานต์
เครื่องสักการบูชาอันตระการ ทั้งสี่ด้านเถือกถ่องรองเรือง
เล่นการมหรศพครื้นครั่น สนั่นทั้งกรุงฟุ้งเฟื่อง
แล้วสดัปกรณ์นองเนือง ถวายเครื่องไทยทานนานา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ประไหมสุหรีทรงโทมนัศา
ทั้งจินตะหราวาตีกัลยา กราบเกล้าวันทาแล้วโศกี

ฯ ๒ คำ ฯโอด

โอ้ โอ้องค์พระชนนีเจ้า เคยปกเกล้าลูกได้เกษมศรี
พร่ำพิทักษ์รักษาทุกราตรี มีความอุส่าห์ทุกเพรางาย
แต่ยังเยาว์คุ้งเท่าจำเริญมา จนลูกแล้วนัดดาโฉมฉาย
พระก็ได้ลำบากยากกาย มิให้ลูกระคายเคืองใจ
พระพี่นางทั้งสองมาเชิญองค์ พระมิได้จำนงฝันใฝ่
ตัดสองธิดาไม่อาไลย ปลงพระไทยเจาะจงแต่ลูกรัก
ปลูกลูกบำรุงหลานเล่า นั่งเฝ้าประคองไม่ต้องหนัก
แต่นี้จะมีใครพิทักษ์ ทั้งลูกหลานรักจะเปล่าตา
จะเปล่าใจด้วยไกลพระมารดร มาบทจรเอองค์อนาถา
มาทิ้งหลานน้อยไว้ในภารา พระไปสู่ฟากฟ้าแต่องค์เดียว
แม่ลูกจะบ่ายหน้าไปพึ่งใคร ทุกข์ไภยไม่มีที่แลเหลียว
พระมาปละปลิดปลงไปองค์เดียว เหลียวภักตร์มาทักลูกก่อนรา

ฯ ๑๒ คำ ฯโอด

ร่าย เมื่อนั้น ท่านท้าวหมันหยารุ่งฟ้า
ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสุริยา ให้จุดโคมระย้าแลโคมราย
ทั้งดอกไม้พลุเพลิงเถกิงแสง พะเนียงกรวดรวดแรงผสานสาย
โรงหนังลงส้าวเชิดชูชาย ย่างย้ายถ่ายท่ารำไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีศรีใส
ชวนระเด่นจินตะหรายาใจ มาไปทักษิณศพพระไอยกี

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเรืองศรี
รู้ว่าประไหมสุหรีเทวี กับจินตะหราวาตีคลาไคล
ไปทักษิณพระศพไอยกี พระเร่งยินดีจะมีไหน
เสด็จตามมาพลางทางตรัสไป เปนไฉนทักษิณไม่บอกกัน
แล้วประนมกรทักษิณไป นางเดินแนวในโคมคั่น
พระเดินนอกโคมที่แขวนนั้น แกล้งให้สบกันทุกช่องโคม
แสงแก้วแวววับจับภักตรา รจนาประเสริฐเฉิดโฉม
ครั้นประสบพบเข้าทุกหว่างโคม ลำลำจะใคร่โลมกัลยา
แต่ตามเมียงม่ายชายชม บรรเทิงภิรมย์หรรษา
ไนยเนตรแลสบไนยนา ยิ่งแสนเสนหาดังดวงใจ
พระเร่งกระสันรัญจวน ปั่นป่วนด้วยความพิศมัย
ทักษิณจวนครบยิ่งอาไลย ด้วยจะไม่เห็นองค์นางเทวี

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวหมันหยาผู้รุ่งรัศมี
ทั้งประไหมสุหรีแลบุตรี จรลีเข้าสู่พระเมรุพลัน
จึงกราบวันทาษมาไป ธูปเทียนดอกไม้ทุกสิ่งสรรพ์
แล้วถวายพระเพลิงฉับพลัน แสงฉันโชติช่วงชัชวาลย์
องค์ท้าวหมันหยาก็รันทด มเหยีกำสรดสงสาร
ทั้งจินตะหราวาตีนงคราญ ข้อนอุระประปรานเข้าโศกา

ฯ ๖ คำ ฯโอด

๏ ครั้นถวายพระเพลิงเสร็จการ พระผู้ผ่านพิไชยหมันหยา
ชวนพระมเหษีแลธิดา เสด็จยังพลับพลาทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีศรีใส
พระแลตามองค์อรไทย ไปจนลับคลองไนยนา
แล้วเสด็จไปยังพลัยพลาไชย ฤไทยประหวั่นถวิลหา
ตรงเข้าสู่ที่ไสยา คนึงพลางนิทราหลับไป

ฯ ๔ คำ ฯตระ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวหมันหยาเปนใหญ่
ครั้นรุ่งรางสางแสงอโณไทย ภูวไนยจึงเสด็จยาตรา
ทั้งองค์ประไหมสุหรี จินตะหราวาตีเสนหา
ทั้งระเด่นมนตรีก็ตามมา ยังพระเมรุรัตนาบรรจง

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงบังคมคัลวันทา เขาสุคนธ์ธารามาโสรจสรง
เขี่ยหาพระธาตุโดยจง พลางทรงกรรแสงโศกี

ฯ ๒ คำ ฯโอด

๏ เมื่อนั้น ระเด่นจินตะหรามารศรี
เขี่ยหาพระธาตุไอยกี เทวีพลางร่ำโศกาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีศรีใส
เห็นนางหยิบลงแห่งใด ภูไนยหยิบลงที่ตรงนั้น
แต่พอหัดถ์ถูกกรนางเทวี พระค่อยปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
พลางแย้มแกมกลปนกัน ทำเปนโศกศัลย์รัญจวนใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวหมันหยาเปนใหญ่
ครั้นเสร็จเชิญพระธาตุท่านไท ใส่ในโกษฐแก้วอันรูจี
แล้วสั่งให้ลอยพระอังคาร ตามแถวชลธารวารีศรี
แล้วชวนนัดดาธิบดี กับประไหมสุหรีโสภา
กับจินตะหราเยาวมาลย์ มาไปสรงชลธารให้หรรษา
สระนั้นอยู่นอกภารา สำหรับกษัตราทุกธานี

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ มาเอยมาถึง จึงลงชำระในสระศรี
กับราชนัดดาบุตรี ทั้งประไหมสุหรีกำนัลใน
ชมพรรณโกสุมประทุมมาศ เกลื่อนกลาดดาษดางามไสว
บ้างบานแย้มแกมตูมบังใบ บ้างแฝงฝั่งปริ่มในชลธี
ทั้งบัวเผื่อนผันสันตะวา เบิกบานตระการตาสดสี
พระเด็ดให้จินตะหราวาตี กับประไหมสุหรีกำนัลใน

ฯ ๖ คำ ฯ ลงสรง

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเร่งผ่องใส
สรงสนานระรื่นชื่นใจ เล่นเลียมเข้าไปให้ใกล้นาง
ครั้นนางผาดโผพ้นไป พระลอยตามทรามไวยมิให้ห่าง
ลางทีฉวยได้สไบบาง ต่อนางรุกร้นจึงด้นไป
ลอยเล่นในน้ำทำสนิท หวังมิให้ใครคิดสงไสย
เอาใบบุษบงบังองค์ไว้ กลัวสองภูวไนยจะสงกา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จินตะหราวาตีเสนหา
สรงด้วยบิตุเรศมารดา ครั้นเชษฐาดูนักก็อายใจ
ลัดแลงเข้าแฝงพระชนนี กับฝูงสาวศรีไม่ห่างได้
เห็นบุษบาบานละลานใจ ชี้ชวนกำนัลในไปเด็ดมา
ครั้นปะอิเหนากุเรปัน อกสั่นตระหนกตกประหม่า
ผันกอดสาวสรรค์กัลยา โผมาให้ไกลภูมี
เห็นไล่ลามตามติดชิดองค์ ว่ายตรงเข้าหานางสาวศรี
เวียนว่ายไม่ไกลชนนี เทวีประหวั่นพรั่นใจ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวหมันหยาเปนใหญ่
สรงเสร็จพระเสด็จคลาไคล เข้าในราชฐานพระทรงธรรม์

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงลงจากพระยานุมาศ ยุรยาตรย่างเยื้องผายผัน
เข้าในปราสาทแก้วแพรวพรรณ ทรงธรรม์สร้อยเศร้าเปล่าใจ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเร่งหม่นไหม้
ขึ้นจากสระสรงคงคาไลย ทรงอาชาไนยไคลคลา
มายังประเสบันอากง จิตรจงในทรงขนิษฐา
คนึงโฉมประโลมวิญญา จนนิทราบรรธมหลับไป

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวหมันหยาเปนใหญ่
ครั้นรุ่งรางสางแสงอโณไทย ภูวไนยสรงสหัสธารา
ทรงสุคนธ์ตระหลบอบองค์ แล้วทรงพิพัฒภูษา
ทรงเครื่องบรรจงอลงการ์ ทรงมหามงกุฎแพรวพราย
ครั้นแล้วจึงชวนมเหษี กับพระราชบุตรีโฉมฉาย
สาวสนมแวดล้อมเรียงราย ผันผายออกน่าบัญชร
เสนาหมู่มุขอำมาตย์ หมอบดาดเฝ้าแหนสลับสลอน
ว่าขานกิจการพระนคร พระภูธรสำราญบานใจ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีศรีใส
ครั้นรุ่งรางสางแสงอโณไทย ภูวไนยตื่นจากไสยา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน จึงชำระพระองค์สรงสนาน รศมาลย์เฟื่องฟุ้งหรรษา
ทรงสุคนธ์ปนทองละลายทา กลั้วกลิ่นบุหงาตระหลบไป
แล้วทรงสนับเพลาภูษา รจนาพื้นสุวรรณสุกใส
ส้าโบะริ้วทองยองใย สอดใส่สร้อยสนสังวาลวรรณ
แล้วทรงทองกรจำหลักลาย พาหุรัดพริ้งพรายฉายฉัน
ธำมรงค์เพ็ชรแพร้วพรายพรรณ ทรงมงกุฎกุดั่นบรรจง
ทรงอุบะแล้วถือเช็ดหน้า กุมกฤชลีลาดังราชหงษ์
มาขึ้นม้ามิ่งยิ่งยง ตรงไปยังราชวังใน

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย มาเอยมาถึง ยังซึ่งทวารวังใหญ่
พระลงจากอาชาคลาไคล เข้าไปบังคมพระทรงธรรม์

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวหมันหยาทรงเพริศเฉิดฉัน
จึงตรัสแก่ระเด่นมนตรีพลัน วันนี้เราศุขสำราญ
จะรำเล่นให้เปนสถาพร ถวายกรเทวาในสถาน
เจ้าจัดกิดาหยันอันชำนาญ กับทหารชวามลายู
ให้รำโล่ห์ดั้งทวนตรี ดาบกฤชกระบี่เปนคู่คู่
แต่ล้วนเจนจัดสันทัดครู จะได้ดูสำราญบานใจ
แต่ฟังกิติศัพท์เขาฦๅมา ว่าองค์พระนัดดาศรีใส
งามดังเทวาสุราไลย เจ้ารำให้เปนศรีภารา

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีรุ่งฟ้า
รับสั่งแล้วสั่งประสันตา จงจัดกิดาหยันอันชำนาญ
ให้รำกระบวนทวนแทง กระบี่กฤชต่อแย้งห้าวหาญ
โล่ห์ดั้งดาบชเลยประจันบาน ตามมีพจมานบัดนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกษี
จึงจัดพหลมนตรี กับเสนีรี้พลโยธา
ทั้งเหล่ากิดาหยันสันทัด ทหารหัดกับเหล่าอาสา
พร้อมแล้วบังคมคัลวันทา ลุกขึ้นรำท่ามลายู
อันพระพี่เลี้ยงประสันตา กับการะตาหลานั้นจับคู่
ยะรุเดะกับปูนตาน่าดู ต่างรู้เพลงรบครบครัน
อันพวกรี้พลมนตรี บ้างรำกฤชกระบี่แลกั้นหยั่น
เหล่าทหารทำท่าดาบฟัน กิดาหยันนั้นรำเพลงทวน
ล้วนรำเปนคู่สู้กัน ต่อแย้งแทงฟันแล้วเสสรวล
บ้างไล่บ้างถอยทำลอยนวล เปนกระบวนต่างต่างกันไป

ฯ ๑๐ คำ ฯ กลองแขก

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีศรีใส
พยักหน้าระเด่นดาหยนไป พระบังคมภูวไนยแล้วจรจรัล
ทรงทวนแล้วรำเพลงทวน ย่างเยื้องตามกระบวนเฉิดฉัน
นาดชายกรายกรจรจรัล แกล้งรำเวียนรวันเปนวงเดือน
ประสงค์จะให้ตรงอรไทย รับรองว่องไวใครจะเหมือน
ไนยเนตรชม้ายชายเชือน เบี่ยงเบือนภักตร์ดูกัลยา
ประปรายปลายทวนเข้าทีไร ก็ดูให้สบเนตรนางจินตะหรา
แกล้งรำจะให้ต้องวิญญา แต่จับสายไนยนาอยู่ไม่วาย
แล้วทรงกฤชร่อนวนฉวาง งามสรรพสรรพางค์เฉิดฉาย
นาดนวยทวยทอดกรกราย ฉายกฤชอันเรืองฤทธิไกร
แล้วทรงกระบี่รำร่อน บทจรเยื้องกรายส่ายไหล่
งามดังเทวาสุราไลย ล่อเลี้ยวให้ไม้กันไปมา
ข้างระเด่นดาหยนตีไป มิได้ระคายผิวมังษา
แล้วรุกคลุกคลีตีไปมา ทำทีเงื้อง่าแทงฟัน
ระเด่นมนตรีรี่รับ กลอกกลับเร็วรวดกวดขัน
แล้วไล่กระชิดติดพัน ระเด่นดาหยนนั้นเสียที
อิเหนาตีต้องหัดถา โยธาพร้อมสรวลขึ้นอึงมี่
แล้วสองระเด่นผู้ภักดี ชลีท้าวหมันหยาด้วยพลัน

ฯ ๑๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาสำรวลสรวลสันต์
ค่อยกระซิบทูลองค์พระทรงธรรม์ วันนี้เห็นเหนื่อยครันไป
อันความร่านร้อนในสกนธ์ เห็นจะคลายทุกข์ทนหม่่นไหม้
พระธิดาอยู่บนบัญชรไชย มารางวัลภูวไนยจะสมกัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเฉิดฉัน
จึงเอาพลูรอยกัดซัดไปพลัน ทรงธรรม์แย้มสรวลสำราญใจ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีศรีใส
ทั้งฝูงสาวสนมกรมใน เกษมสานต์บานใจเปนพ้นนัก
ดูรำพลางชวนกันพาที ชมระเด่นมนตรีมีศักดิ์
งามดังเทวาสุรารักษ์ เลิศลักษณ์ล้ำชายในโลกา
จะดูทีรำก็เคล่าคล่อง ทั้งทำนองท่วงทีโอ่อ่า
สมทรงเปนวงษ์เทวา แกล้วกล้าในการทหารนัก
ทั้งพี่เลี้ยงเสนากิดาหยัน เจนจัดหัดกันแหลมหลัก
ดูจริตกิริยาน่ารัก พิศภักตร์โสภาลาวรรณ
แต่ระเด่นจินตะหราวาตี ครั้นสบเนตรภูมีก็แปรผัน
ในจิตรหากคิดผูกพัน กัลยาขวยเขินสเทินใจ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวหมันหยายิ้มแย้มแจ่มใส
จึงสั่งดาหมังเสนาใน เร่งไปจัดมงกุฎแลสังวาล
มาให้สองราชนัดดา อันพี่เลี้ยงเสนาทวยหาญ
เสื้อผ้าแพรพรรณอันตระการ ให้ประทานตามหลั่นกันลงมา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดาหมังรับสั่งใส่เกษา
ให้เบิกเครื่องทรงอลงการ์ ทั้งเสื้อผ้าแพรพรรณอันดีดี
ครั้นได้แล้วขนเข้ามา เสนาประนตบทศรี
เอามงกุฎสังวาลอันรูจี ถวายระเด่นมนตรีด้วยพลัน
ทั้งสร้อยสอิ้งพริ้งเพราพราย ถวายระเด่นดาหยนเฉิดฉัน
อันพี่เลี้ยงเสนาทั้งนั้น ให้ตามบัญชาพระภูมี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวหมันหยาผู้รุ่งรัศมี
ครั้นเสร็จพระเสด็จจรลี เข้าในปราสาทศรีรัตนา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงวงษ์อสัญแดหวา
เสด็จจากเฝ้าพระราชา ขึ้นทรงมิ่งม้าคลาไคล

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ มาเอยมาถึง ติกาหรังปาตีที่อาไศรย
จึงลงจากอาชาทันใด ตรงไปที่ศิริไสยา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

พระยาโศก ทอดองค์ลงกับบรรจฐรณ์ ฤไทยร่านรอนถึงจินตะหรา
ทีนี้เสร็จการนานช้า จึงจะได้เห็นหน้านางเทวี
โอ้จะคิดไฉนดีณอกอา จะได้อยู่หมันหยากรุงศรี
พระบิดาให้เร่งกลับธานี กูจะจากเทวีฉันใด
ยังมิได้สนิทเสนหา จะไปจากหมันหยากะไรได้
ดังปืนพิศม์ติดตรึงรึงใจ แต่ถ่ายถอนฤไทยไปมา
จะทิ้งดวงยิหวาของเรียมไว้ จะจำใจนิราศเสนหา
แม้นมิสมดังจิตรเจตนา ไม่กลับไปภารากุเรปัน

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย บัดนั้น พระพี่เลี้ยงเสนากิดาหยัน
เห็นพระวิปริตคิดอัศจรรย์ พระบรรธมทั้งเครื่องรจนา
จึงเข้ามาเปลื้องเครื่องทรง ให้พระองค์ทรงผลัดภูษา
เปนไฉนฉนี้พระราชา จงอุส่าห์ระงับพระหฤไทย

ฯ ๔ คำ ฯ

ต่อนี้ฉบับขาด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ