ตอนเข้าเมืองมละกา จนถึงอุนากันขึ้นเขาประจาหงัน

จับตอนเข้าเมืองมละกา

๏ ครั้นใกล้รุ่งเรืองประเทืองศรี รัศมีเรืองรองพระเวหา
ปันหยีลงจากที่ไสยา ระเด่นกัญจนาก็ไปรถ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงชำระสระสรง แล้วทรงสุคนธาปรากฎ
พระยิ่งโศกศัลย์รันทด สลดใจไม่พบบุษบา
พระเอนองค์คนึงนึกตรึกไตร ทั่วทุกเวียงไชยไปเที่ยวหา
สิ้นแคว้นแผ่นดินแดนชวา ไม่ได้ข่าวยิหวายาใจ
จำจะข้ามไปเกาะมลากา หาดูให้สิ้นสงไสย
จึงสั่งไปพลันทันใด ให้ยืมสำเภามาบัดนี้

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาประนตบทศรี
มาสั่งว่าจะข้ามวารี เร่งรัดบัดนี้ให้พร้อมไว้
ว่าแล้วจึงขึ้นพาชี มายังบาหลีกรุงใหญ่
จึงกราบทูลพลันทันใด ปันหยีให้มายืมนาวา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระตูครั้นแจ้งก็หรรษา
สั่งให้ไปจัดนาวา ล้าต้าต้นหนบัดนี้

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดะหมังรับสั่งใส่เกษี
ไปเร่งรัดจัดเรือบรรดามี เสนีตกแต่งรจนา
ครั้นว่าได้ถ้วนหกลำ จึงนำมาจอดทอดท่า
กราบทูลปันหยีมิได้ช้า นาวามาแล้วพระภูวไนย

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มิสารปันหยีศรีใส
กุมกรขนิษฐายาใจ เสด็จไปลงยังนาวา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

จำปาทองเทศ ลมดีก็ใช้ใบไป ภูวไนยอุ้มองค์ขนิษฐา
ขึ้นนั่งยังท้ายเภตรา ชี้พรรณมัจฉาให้นางดู
ฉนากฉลามว่ายตามกัน โลมาผุดผันเคียงคู่
มังกรลอยล่องฟ่องฟู เงือกงูราหูเหรา
ปลาวาฬผุดฟูเล่นน้ำ เพียนทองคลาคล่ำแน่นหนา
ปลากาว่ายเวียนไปมา เลี้ยวลอดศิลามากมี
ที่เขียวก็งามดังมรกฎ แดงดังทับทิมสดสี
ที่ลายก็คล้ายราชาวดี เทวีเบิกบานสำราญใจ

ฯ ๘ คำ ฯ โล้

ร่าย มาเอยมาถึง ยังเมืองท้าวล่าหงิดเปนใหญ่
ให้ลงสมอรอไว้ แทบใกล้ปากน้ำมิได้ช้า

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ชาวด่านมลากาถ้วนหน้า
ครั้นเห็นสำเภานาวา ก็ร้องถามมาทันใด
สำเภาผู้ใดใช้มา มีธุระกิจจาเปนไฉน
ฤๅพานิชมาค้าสิ่งใด มาแต่กรุงไหนจงบอกมา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึงพระพี่เลี้ยงกระตาหลา
ตอบไปว่าใช้ใบมา จะชมภาราเวียงไชย
จะมากินเข้าแกงเมืองมลากา เข้าชวาเบื่อแล้วไม่กินได้
แล้วสรวลขึ้นพร้อมกันทันใด ต่อหน้าชาวกรุงไกรมลากา
จึงบอกว่านายเราชาวพงไพร ชื่อปันหยีมีใจหรรษา
อยากจะใคร่ชมภารา จงแจ้งกิจจาพระภูมี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ชาวด่านอกสั่นขวัญหนี
วิ่งแข่งไปแจ้งคดี ตามที่เนื้อความถามไป

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึงมหาเสนาผู้ใหญ่
จึงเข้าไปทูลพลันทันใด ว่าปันหยีใช้ใบแล่นมา
อยู่ท่าปากน้ำประจำเมือง เขาฦๅเลื่องว่าแขงแรงกล้า
ครั้นถามว่ามาชมภารา เปนโจรป่าอย่าได้วางใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ราหยาคิดพรั่นหวั่นไหว
ว่าปันหยีนี้มีฤทธิไกร มีไชยในแคว้นแดนชวา
บัดนี้เที่ยวมาถึงธานี เราจะรับโดยดีจะดีกว่า
แต่งรับสำหรับกระษัตรา ไปเชิญขึ้นมาบัดนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึงมหาเสนาทั้งสี่
เร่งรัดจัดกันเปนสิงคลี บ้างแต่งทางที่จะมานั้น
แม่ค้าเคยค้าสิ่งใด ก็ให้ตกแต่งแกล้งสรร
บ้างค้าผ้าผ่อนแพรพรรณ ทั้งขันเงินขันทองมากองไว้
แต่งตัวโอ่อวดประกวดกัน ผิวพรรณก่งก่องผ่องใส
มานั่งรายเรียงเคียงกันไป พริ้มเพราเอาใจน่าใคร่ชม
น่าบ้านร้านใครก็กวาดแผ้ว แล้วจึงเอาทรายมารายถม
พร้อมกันทุกหมวดหมู่กรม ระดมกันให้ทันเวลา
อันเสนีที่รับแขกเมือง จัดเครื่องมณีมีค่า
อภิรุมชุมสายรายมา ทั้งม้ารองม้าทรงก็ส่งไป

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงบอกเสนา ว่าราหยายินดีจะมีไหน
ให้มาเชิญองค์พระทรงไชย ขึ้นไปจะได้ทัศนา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึงพระพี่เลี้ยงกระตาหลา
มาทูลปันหยีมิได้ช้า เสนามารับพระภูมี

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึงองค์มิสารปันหยี
ว่าเราจะเข้าบุรี ครั้งนี้ให้แต่งประกวดกัน
ใครจะนุ่งห่มสีใด ก็ถือธงให้ได้สีนั้น
ส่งเสร็จเสด็จเข้ามาพลัน พระบรรจงแต่งองค์อลงการ์

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

ชมตลาด สระสรงสุคนธ์ปนทอง ให้หนุนผิวผ่องมังษา
สนับเพลาพิจิตรเจษฎา ภูษาผุดผ่องยองยง
ทรงเสื้อสีม่วงโหมดทอง สังวาลกาญจน์กรองสอดส่ง
ทับทรวงดวงประดับยิ่งยง สอดทรงทองกรวาสุกรี
ธำมรงค์เรือนเก็จเพ็ชรพราย มงกุฎเก็จกระจายแจ่มสี
กรกุมกฤชกรายจรลี ถือเช็ดหน้าสีริมทอง

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย ครั้นเสร็จเสด็จยาตรา ลงยังนาวาลอยล่อง
ประทับท่าโยธาเนืองนอง ลั่นฆ้องกลองอินทเภรี

ฯ ๒ คำ ฯ

โทน ม้าเอยม้าต้น ใหญ่ล้นเรี่ยวแรงดังราชสีห์
เบาะอานพานหน้าจินดาดี จับสีเครื่องทรงอลงการ์
ภู่พรายสายถือทองกรอง ดาวรายลำยองเลขา
แถบทับประดับจินดา ตาบน่าพรอยแพรวแววไว
ทั้งบังสูรย์ชุมสายมยุรฉัตร ธงไชยไกวกวัดงามไสว
สีธงระยับจับกันไป ดังแสงรุ้งที่ในท้องฟ้า

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

ร่าย บัดนั้น ชาวเมืองเนืองกันมาแน่นหนา
ทุกตรอกทรอกทางมรคา ตั้งหน้าชะแง้แลดู
บ้างกระซิบถามไถ่กันไปมา ชาวชวานี้เปนกะไรอยู่
ไม่เคยเห็นเขม้นจะคอยดู พรูมาเซงแซ่แจจรร
ครั้นถึงพลแห่แลถือธง ก็ว่าท่านบรรจงจัดสรร
ถึงมิสารปันหยีนั้น บ้างว่าเทวัญในโสฬศ
หยาดฟ้ามาแปลงเปนชวา จึงรุ่งเรืองฤทธาปรากฎ
ล้วนงามงามดีดีมียศ หมดทั้งพหลสกลไกร

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มิสารปันหยีศรีใส
ครั้นถึงทวารวังใน ลงจากมโนไมยไปพลัน
ขึ้นยังพระโรงรจนา ตรงหน้าราหยาแขงขัน
ลดองค์ลงนั่งยังที่นั้น มิได้บังคมคัลดุษฎี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระตูผู้ผ่านกรุงศรี
เห็นโฉมปันหยีฤทธี จึงมีพจนาดถ์ประภาษไป
เชิญขึ้นมานั่งบัลลังก์อาศน์ บิตุราชจัดแจงแต่งให้
มาเถิดเจ้ามาอย่าเกรงใจ พ่อไม่มีจิตรคิดฉันทา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีฤทธิไกรใจกล้า
ตอบรศพจนาดถ์วาจา ว่ากลัวตุหละปาจะเกิดมี
แล้วว่าข้านี้ชาวพงไพร ไม่พอใจที่สูงศักดิศรี
อันราหยาโปรดมาทั้งนี้ พระคุณพ้นที่จะพรรณา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านพิภพราหยา
ฟังสารปันหยีตอบมา มีใจเสนหาพ้นคิด
จึงเขยื้อนเลื่อนลงมาจากอาศน์ ประภาษถามทางสุจริต
เจ้ามาไยมิใช่พานิช มีกิจสิ่งใดจึงไคลคลา
จะมาเมืองนี้ฤๅไปไหน พอใกล้จึงแวะขึ้นมาหา
อนึ่งท่าทางทเลมา สลาตันอันตามลมบน
พวกพลมนตรีพร้อมเพรียง ฤๅสิ้นเสบียงขัดสน
ฤาขอบเขตรนิเวศน์มณฑล จลาจลบ้านเมืองเคืองใจ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยียิ้มแย้มแล้วทูลไข
อันมาท่าทางชลาไลย ใช้ใบได้ลมตลอดมา
ด้วยมีใจจงรักภักดี ทั้งไพร่พลมนตรีชื่นหน้า
ข้าอยู่ไพรไม่มีภารา จึงเที่ยวท่องนาวาให้สบาย
จะใคร่รู้นานาประเทศ จคงมาชมนัคเรศหลากหลาย
มิได้มีธุระเคืองระคาย ชมแล้วจะถวายบังคมไป

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ราหยายิ่งคิดพิศมัย
วาทจริตผิดชาวไพร หน่อในสุริวงษ์กษัตรา
ดีร้ายเที่ยวหาอิสัตรี คิดว่าลูกเรามีกระมังหนา
แล้วจึงกล่าวรศพจนา ดูราปันหยีฤทธิรอน
อันบิดาชราภาพนัก ลูกรักอย่าเพ่อไปก่อน
แผ่นดินสิ้นแคว้นพระนคร บิดรยกให้แก่เจ้าแล้ว
ตัวพ่อขอไปปะตาปา จะได้พึงเดชาอันกล้าแกล้ว
ไม่มีบุตรานัดดาแล้ว ลูกแก้วจงครองบุรี

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีผู้รุ่งรัศมี
แกล้งว่าข้าชาวพงพี ธานีมิคู่ควรครอง
ซึ่งจะให้ว่าขานการภารา จะเสียใจไพร่ฟ้าหม่นหมอง
โภไคยไอสวรรย์ไม่ปูนปอง จะเที่ยวท่องสัญจรดอนดง

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระภูบาลผ่านพิภพสูงส่ง
จึงว่าวิงวอนผ่อนลง เจ้าจงอยู่ด้วยพระบิดา
พ่อไร้โอรสกุมาร ถึงมิผ่านเวียงไชยก็ไม่ว่า
จะได้ดูต่างใจไนยนา เปนฝ่ายน่าข้าศึกไม่ต้านทาน
ว่าแล้วก็สั่งทันใด เร่งเลี้ยงพลไกรใจหาญ
กับพระโอรสกุมาร เร่งรัดจัดการบัดนี้

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดะหมังรับสั่งใส่เกษี
ยกเครื่องเนืองกันมาทันที ตั้งที่เคียงกันเปนหลั่นมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มิสารปันหยีสุกาหรา
ทั้งระเด่นสังคามารตา กับหน่อกระษัตราซึ่งมานั้น
ครั้นเสร็จเสวยโภชนา ก็ลาราหยาผายผัน
มิได้ถวายบังคมคัล ชวนกันมาขึ้นอาชา
กลับมายังท่านาเวศ พระชายเนตรชำเลืองแลหา
พระกรรณตรับฟังศัพท์บุษบา ก็ถึงท่าสำเภาทันใด

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงลงจากอาชา มาหาวิยดาศรีใส
ชมพลางพระทางถอนใจ ด้วยมิได้รู้ข่าวพระบุตรี

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงหวันยิหวาสาวศรี
เปนบุตรตำมะหงงเสนี ครั้นเห็นปันหยีกลับไป
นางแย้มบานแกลแลตาม มีความสนิทพิศมัย
สุดสายไนยนาอาไลย ป่วนใจจะใคร่เปนไมตรี

ฯ ๔ คำ ฯ

ชมตลาด ครั้นค่ำจึงชำระกายา ล้างหน้าชำระสระเกษี
สำอางกลิ่นกลั่นน้ำมันดี กลั้วกลิ่นมาลีขจายจร
สอดสีสลับทับทิม เพริศพริ้มดังนางอับศร
บิดาหลับจึงลอบบทจร กุมกรทาษามาพลัน

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

ร่าย ครั้นถึงจึงลงนาวา เลียบมาประทับกับกำปั่น
แล้วสเทินเขินจิตรแจ่มจันท์ ผินผันมิได้พาที

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตามาทูลปันหยี
ในนาวาข้าเห็นเปนนารี ดีร้ายสัตรีลงมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีได้ฟังจึงสั่งว่า
พี่ไปบอกสังคามารตา จงรับมาอย่าให้เปล่าไป

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตามาแจ้งแถลงไข
วันนี้โชคดีเปนพ้นไป ลาภใหญ่มาถึงภูมี
องค์สารปันหยีประทานมา ชื่อหวันยิหวาโฉมศรี
ให้ไปรับนางงามตามที บัดนี้ยังอยู่นาวา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามารตาจึงตอบว่า
ไม่รู้จักภาษากัลยา เมื่อเจ้าเจรจามลายู
จะพาทีด้วยนางอย่างไร พรั่นใจให้คิดอดสู
จะพูดอย่างไรก็ไม่รู้ เอนดูข้าจงขับกลับไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาจึงแจ้งแถลงไข
ถึงว่าภาษามิเข้าใจ พูดมิได้ก็อย่าเจรจา
อาหารประทานมาถึงปาก ทำลำบากคนใช้ไยหนักหนา
ซื้อแถมเหน็บแนมแกมมา ได้เปล่าแล้วว่ามิรับไว้
ประสันตารบรันคั้นเตือน ทำบิดเบือนจะเข้าก็หาไม่
ไปลองดูให้รู้จักไว้ ได้เช่นแล้วจะย่ามตามพี่ยา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามารตาจึงตอบว่า
จะแขงใจไปส่งภาษามา สำรวลสรวลร่าแล้วลุกไป

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ถึงนาวาน้อยค่อยย่าง นั่งลงใกล้นางจึงปราไส
เชิญเจ้าแก้วตายาใจ ขึ้นไปบนท้ายเภตรา
จะว่าไรนางก็ไม่ตอยถ้อย ทำแต่ชะม้อยเมียงเบี่ยงหน้า
กุมกรอรไทยไคลคลา ขึ้นมายังห้องบรรธมใน

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

ชาตรี พระพลางสัพยอกหยอกเย้า โฉมเฉลาเยาวเรศพิศมัย
พี่เห็นน้องช่องแกลแลไป ก็ตั้งใจคอยท่าจนราตรี
พี่ผูกใจจึงไปดลจิตรเจ้า ขวัญเข้าจึงมาสมศรี
จะขืนขัดตัดใจไปไยมี สนทนาพาทีด้วยพี่ชาย
อันชวากับนางมลายู จะรู้จักภาษากันง่าย
อย่าคิดบิดไปให้ยากกาย เจ้าสายสุดที่รักจงเมตตา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ว่าพลางทางแอบแนบเน้น เตือนเต้นกระสันหรรษา
ชูคางเชยปรางปรีดา กลิ่นมาลาฟุ้งจรุงใจ

ฯ ๒ คำ ฯ

ร่าย พระเอยพระพันปี มาทำทีลามลวนแต่ด่วนได้
วางข้าอย่ากุมกรไว้ ว่าไรไม่แจ้งวาจา
นางสบิ้งสบัดบิดหนี สัตรีนี้จะอายภายน่า
พลั้งคิดผิดใจได้ลงมา เห็นนาวาแล้วจะลาไป

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้โลม น้องเอยน้องรัก ไม่สมัคจะร่วมพิศมัย
ผิดภาษาน้องมิต้องใจ เสนหาอาไลยก็เหมือนกัน
มาพี่จะสอนชวาให้ แจ้งใจเจ้าแล้วจึงผายผัน
พลางอิงพิงหาดพัลวัน กระสันสนิทชิดชม
จูบเกษเนตรนมชมภักตร์ รศรักแรกรู้สู่สม
พระกรกอดเกี่ยวเกลียวกลม ทรามชมดังดวงจันทรา
เมฆนิโรจน์ครื้นครั่นเสียง เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงฟ้าบนเวหา
โปรยปรายขจายแจ่มฟ้า ภุมราบินผันโผลง
เซ็นซาบอาบรศวารี ยินดีชมชิดพิศวง
แรกเริ่มประเดิมบุษบง เสร็จสรงสำราญบานใจ

ฯ ๑๐ คำ ฯ โลม

ร่าย บัดนั้น หวันยิหวานารีศรีใส
วันทาแล้วลาคลาไคล กลับไปยังบ้านบิดา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น มิสารปันหยีสุกาหรา
ครั้นอรุณรุ่งแสงสุริยา ก็ใช้ใบเภตรามาพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ โล้

๏ มาเอยมาถึง จึงขึ้นท้ายบาหลีเขตรขัณฑ์
ให้ยกพลด้นไปในไพรวัน ดัดดั้นเดินในอรัญวา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

ชมดง เดินเอยเดินไป หว่างเขาเงาไม้ใบหนา
พิศพรรณมิ่งไม้นานา ผกายื่นย้อยยวนใจ
บ้างรบัดผลัดใบแย้มยอด บ้างทอดช่อชูดอกออกไสว
ที่โรยร่วงพวงพรรณแกว่งไกว ทั้งกล้วยไม้ชายแครงสีดา
มะกล่ำลำดวนดวงดาษ พฤกษชาติเรียงรายริมผา
โศกรักสักขีคนทา หลาลกรกฟ้าขานาง
เกดกุ่มพุมเรียงเหียงหัน ชิงชันกันเกราเสลาสล้าง
แจงจิกปริกปรูหูกวาง ปริงปรางประยงค์ยมโดย
กาหลงชงโคโยทะกา เปราะป่าพยอมหอมโหย
วายุพัดรบัดโบกโบย ที่ดอกโรยก็ร่วงรายลง
โศกสร้อยสนสักลักรจั่น ทั้งสุคันธลิกามหาหง
ลมุดปรางลางสาดดูดาษดง ตระแบกใบบุษบงบังแซม
สารภีพิกุลบุนนาค ตระบากงอนงามใบแสล้ม
สาวหยุดพุดตาลบานแย้ม สุกรมแกมแต้วแตงตะโกนา
ร่มชิดปิดแสงพระสุริย์ฉัน หอมหวนทุกพรรณบุหงา
รอนแรมมาในอรัญวา ก็มาถึงประจาหงันบรรพต
พระสั่งให้หยุดโยธา จงตั้งพลับพลาให้ปรากฎ
แต่น้อยน้อยพอพระองค์ผู้ทรงยศ เร่งระทดหฤไทยถึงเทวี

ฯ ๑๘ คำ ฯ

ร่าย บัดนั้น ประสันตารับสั่งใส่เกษี
ให้หยุดยั้งยังที่คิรี ตั้งที่มีน้ำลำธาร

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า เมื่อนั้น ปันหยีฤทธิไกรใจหาญ
พระเร่งครวญคร่ำรำคาญ ด้วยเที่ยวหาเยาวมาลย์ก็ไม่พบ
พระเน่งนอนถอนจิตรเจ็บใจ ทั้งบกเรือเหนือใต้ก็หาจบ
แว่นแคว้นแดนชวาเที่ยวรานรบ ก็ไม่ประสบพบเทวี
โอ้จะคิดไฉนดีณอกอา จึงจะได้บุษบามาสมศรี
ฤาเทวาพาขึ้นไปดุษฎี ฤาเสือสีห์พาไปให้วายปราณ
จึงสูญสิ้นชื่อระบือนาม ไม่มีความบอกเล่าข่าวสาร
จะตามไปชมน้องครองวิมาน ไม่ให้ป่วยการในแดนดิน
จำเราจะเข้าปะตาปา ปราถนาสิ่งใดจะได้สิ้น
เดชะตระบะร้อนอมรินทร์ จะได้ยินข่าวที่พี่จำนง

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นคิดเสร็จแล้วก็ลีลา ขึ้นบนภูผาอันสูงส่ง
แลเห็นศาลาไลยดังใจจง ก็ตรงเข้าวันทาพระอาจารย์

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อายันอันอยู่ในสถาน
นั่งสำรวมอินทรีย์มินาน เล็งญาณก็แจ้งที่ในใจ
ชายนี้กระษัตรพลัดคู่ เล็งดูแล้วจึงปราไส
เจ้าพลัดกำจัดจากสิ่งใด ธุระฤๅจะให้แก้ร้อน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีฤทธิรงค์ทรงศร
จึงว่าข้าเที่ยวดั้นดงดอน เที่ยวทุกสิงขรคิรี
ข้านี้มีใจศรัทธา จะใคร่ปะตาปาเปนฤๅษี
โปรดด้วยช่วยร้อนอันราคี เพราะฤทธิพิธีปะตาปา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อายันยิ้มพลางทางว่า
อันเปนหนุ่มรุ่นตรุณา จะปะตาปาได้สักกี่วัน

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ปันหยีสำรวลสรวลสันต์
ยิ้มพรายชายตาหากัน อภิวันท์แล้วผ่อนผันมา
จึงนุ่งคากรองเปลือกไม้ ได้ชื่ออายันกัศมาหรา
เหล่าระเด่นกิดาหยันหลั่นลงมา บ้างว่าข้าจะบวชดูลอง
อันระเด่นสังกามารตา ชื่ออายันยาหยันคำรบสอง
แต่ประสันตาคนคนอง จะบวชลองกว่าจะสิ้นเคราะห์ร้าย
ทั้งพี่เลี้ยงเสนากิดาหยัน ก็บวชด้วยกันมากหลาย
เอาผ้าเปลือกไม้มาพันกาย จึงถวายนามตามประตาปา

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระอาจารย์ฌานกิจแก่กล้า
จึงสอนสั่งให้นั่งภาวนา เจ้าอุส่าห์ระงับดับใจ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยียอกรบังคมไหว้
ไปอยู่กุฎีทันใด น้อยน้อยรายไปดาษดา
ฝ่ายองค์อายันปันหยี ก็ชลีกรกึ่งเกษา
เดชะข้าได้ปะตาปา ขอให้พบบุษบายาใจ
จงร้อนอาศน์ปัตตาระกาหลา ไปดลใจมาให้จงได้
ถึงอยู่ในสวรรค์ชั้นใด บาดาลต่ำใต้ให้ขึ้นมา
ถ้าผู้ใดลอบลักพาไป ให้บรรไลยทั้งวงษ์พงษา
ขอให้ได้ดวงแก้วแววตา ตามความปราถนาว่าไว้
ครั้นเสร็จตั้งความพิศฐาน เข้าที่มัสการตามได้
อุส่าห์ขืนอารมณ์ข่มใจ ด้วยจะใคร่ได้องค์บุษบา

ฯ ๑๐ คำ ฯ ตระ

ช้า มาจะกล่าวบทไป ถึงอุนากันกะหมันวิยาหยา
แต่พลัดกำจัดจากภารา ตกมาประมอตันพระบุรี
เปนโอรสราชกุมาร ค่อยศุขสำราญเกษมศรี
บิตุรงค์แลองค์พระชนนี มีความพิศวาศจะขาดใจ
เมื่อวันปันหยีปะตาปา ให้ร้อนกายาดังเพลิงไหม้
อาวรณ์รุ่มร้อนภายใน ให้คิดถึงปันหยีพี่ยา
ทอดองค์ลงทรงโศกี ป่านนี้พระพี่จะโหยหา
ใครจะไปแก้งกิจจา ว่าเทวาพามาไว้เมืองนี้
แต่เที่ยวสัญจรนอนดง แม้นรู้ก็คงตรงมานี่
จะมุ่นหมกตรอมใจใช่พอดี คิดว่าน้องนี้หายไป
ฤๅคิดคืนหลังยังหมันหยา จินตะหราเปนที่พิศมัย
ละน้องไว้เดียวเปลี่ยวใจ สอึกสอื้นไห้แล้วโศกา

ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด

ร่าย บัดนั้น ทั้งสองพี่เลี้ยงเสนหา
จึงปลอบระเด่นบุษบา แม่อย่าโศกาจาบัลย์
เดชะความสัตย์สุจริต จะดลจิตรพระพี่แม่นมั่น
ไม่ช้าจะมาพบกัน จอมขวัญแม่อย่าโศกี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุนากันผู้เฉิดโฉมศรี
ได้ฟังสองนางพาที จึงค่อยคลี่คลายสบายใจ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นเอยครั้นค่ำ บุหลันจำรัสแสงใส
จึงชวนสองพี่เลี้ยงร่วมใจ ชี้ไปให้ชมจันทรา
ทรงกลดหมดเมฆแจ่มใส สว่างไปทั่วในทิศา
กลีบเมฆตั้งขึ้นบังจันทรา มืดกลุ้มเวหาอยู่ช้านาน
เหมือนน้องเมื่ออยู่ในกรุง เรืองรุ่งปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
เพราะพระเชษฐามาไภยพาล ทำการฉกลักหนีมา
ให้น้องจากราชธานี เปนราคีเหมือนจันทร์ไม่แจ่มหล้า
อสุรินทร์เหมือนหนึ่งจรกา จะขึ้นจับจันทราให้มืดมัว
เดชะบุญอันได้ตกแต่ง จงพลิกแพลงส่องโลกได้ทั่ว
จึงพ้นราคีที่มืดมัว เหมือนตัวน้องมาอยู่ในไพร
เดชะวาศนาจะพาพบ ให้ประสบเชษฐาจงได้
ว่าพลางทางเคลิ้มหลับไป เมื่อในประถมราตรี

ฯ ๑๒ คำ ฯ ตระ

ยานี มาจะกล่าวบทไป ถึงปัตตาระกาหลาเรืองศรี
สถิตย์ยังชั้นฟ้าดุษฎี คิดถึงสองศรีนัดดา
แต่ทรมานมาช้านานนัก หลานรักทั้งสองเสนหา
อุนากันมาอยู่ในภารา แต่โศกาครวญคร่ำร่ำไร
อย่าเลยกูจะให้พานพบ ประสบกับอิเหนาจงได้
สี่กษัตรได้ร่วมเวียงไชย ในกรุงกาหลังพระบุรี

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย คิดแล้วสำแดงแผลงฤทธิไกร ก็ไปประมอตันกรุงศรี
เข้าฝันอุนากันในราตรี ว่าบัดนี้อิเหนากุเรปัน
แต่เที่ยวมะงุมมะงาหรา โศกาวิโยคโศกศัลย์
คิดถึงคนึงไม่ราวัน เที่ยวค้นทุกเขตรขัณฑเสมา
เมื่อเจ้ามานิ่งนอนใจ ทำไฉนจะพบพระเชษฐา
แม้นยกออกเดินอรัญวา เห็นว่าจะประสบพบกัน

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุนากันเพราเพริศเฉิดฉัน
รุ่งแจ้งแสงศรีรวีวรรณ จึงบอกสองพี่เลี้ยงนั้นทันใด
น้องหลับสนิทนิมิตรฝัน เทวัญมาบอกคดีให้
ว่าพระเชษฐายาใจ อาไศรยอยู่บนคิรี
ปะตาปาอยู่ยอดเขาใหญ่ ใกล้พิไชยกาหลังบุรีศรี
ทำไฉนจะแจ้งคดี สองศรีิจะคิดประการใด

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองนางประนมบังคมไหว้
มาเราจะไปเฝ้าท้าวไท ได้ช่องแล้วจึงจะทูลลา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุนากันกะหมันวิยาหยา
ได้ฟังพี่เลี้ยงทูลมา ยินดีปรีดาข้างในใจ

ฯ ๒ คำ ฯ

ชมตลาด เข้าที่ชำระสระสรง ทรงสุคนธรศแจ่มใส
ทรงภูษาพิจิตรอำไพ ชายไหวเครือวัลย์บรรจง
ชายแครงแสงใสลไมพริ้ง ทองกรดาดกิ่งก่องก่ง
เหน็บกฤชกระหวัดรัดยิ่งยง ทัดทรงอ้อนแอ้นรจนา
ห้อยส้าโบะชมพูประเสริฐสรรพ งามรับจับผิวมังษา
แล้วเสด็จยุรยาตรคลาศคลา พี่เลี้ยงสองราก็ตามไป

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

ร่าย มาเอยมาถึง จึงตั้งบังคมประนมไหว้
กราบลงตรงภักตร์พระภูวไนย มิได้ทูลพิดกิจจา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวประมอตันนาถา
จึงชมโฉมเยาวลักษณ์ลูกยา งามล้ำเทวาสุราไลย
อันบุรุษที่ในใต้หล้า จะเปรียบกับลูกยาไม่หาได้
อย่าเลยจะยกราไชย ให้ผ่านกรุงไกรสวรรยา
ควรที่จะหาคู่ให้ มอบราชเวียงไชยเปนฝ่ายน่่า
คิดแล้วจึงมีพระวาจา ดูราอุนากันลูกรัก
พ่อคิดจะหาคู่ให้ จะได้ผ่านราไชยไตรจักร
พ่อนี้สิแก่ชรานัก ลูกรักจะเห็นประการใด

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุนากันประนมบังคมไหว้
ยิ้มพลางแล้วทางทูลไป พระตรัสดังนี้ไซ้ก็ควรนัก
ลูกคิดจะถวายบังคมลา ไปเที่ยวปราบภาราให้ประจักษ์
ให้ฦๅชื่อไว้ในลูกรัก ลูกจักหาคู่ให้ชอบใจ
ได้แล้วก็จะกลับคืนมา ถึงจะเปนฝ่ายน่าก็พอได้
ด้วยเกียรติยศปรากฎไป ขอแจ้งหฤไทยพระภูมี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวประมอตันเรืองศรี
ได้ฟังลูกยาพาที โต้ตอบคดีก็ควรนัก
จึงบอกแก่ประไหมสุหรี ลูกยาพาทีเห็นแหลมหลัก
เห็นชอบระบอบบุราณนัก น้องรักจะคิดประการใด

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีศรีใส
จึงว่าแก่อุนากันทันใด เจ้าจะไปรบรุกทุกภารา
รูปร่างอ้อนแอ้นดังสัตรี อยู่กับชนนีจะดีกว่า
แม่จะให้สมเด็จพระบิดา เขียนศุภสาราส่งไป
ถึงเมืองขึ้นน้อยใหญ่ของเรา จัดเอาบุตรีที่แจ่มใส
ให้แต่งมาส่งถึงกรุงไกร ให้ได้ดังใจเจ้าจินดา

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น อุนากันกะหมันวิยาหยา
จึงทูลสนองพระวาจา ตรัสมาดังนี้มิควรนัก
อันเกิดเปนชายแล้วไซ้ ผู้ใดจะผ่านไตรจักร
ย่อมรู้การรบครบนัก ควรจักให้ครองเวียงไชย
ตัวลูกสิยังลับอยู่ กรุงใดจะรู้ก็หาไม่
ลูกจำจะลาคลาไคล ปราบได้แล้วจึงจะกลับมา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวประมอตันนาถา
ทั้งประไหมสุหรีศรีโสภา ทรงโศกโศกาพันทวี
จะห้ามเท่าไรก็ไม่ฟัง ร้อยชั่งจงไปเกษมศรี
ไปแล้วลูกแก้วจงจรลี กลับมาธานีอย่าอยู่ช้า
พระจึงสั่งตำมะหงงเสนี ให้จัดโยธีทั้งซ้ายขวา
สรรพเครื่องอาวุธนานา อาสาชำนาญในการรบ
ยกรบัตรเกียกกายซ้ายขวา ทัพน่าทัพหลังให้ถ้วนจบ
ทั้งกองแล่นแสนขันให้ครันครบ การรบให้ครบบัดนี้

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงรับสั่งใส่เกษี
ก้มเกล้ากราบลงสามที เสนีไปสั่งพนักงาน
จัดหมู่พหลน้อยใหญ่ ทั้งอาสาเก่าใหม่ห้าวหาญ
ที่เจนจบเคยรบชำนาญการ เคยประจญประจันบานแต่ก่อนมา
ครั้นจัดได้เสร็จสรรพฉับไว เข้าไปบังคมเหนือเกษา
กราบทูลพระองค์ทรงศักดา โยธาพร้อมแล้วพระภูมี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุนากันผู้รุ่งรัศมี
ถวายบังคมลาด้วยยินดี จรลีไปสรงคงคา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน แล้วจึงชำระสระสนาน เริงระรื่นชื่นบานหรรษา
ทั้งสองศรีพี่เลี้ยงก็ปรีดา เข้าขัดสีกายาอ่าองค์
ทรงสุคนธรศอันเรืองศรี ผัดภักตร์ภูมีให้ก่องก่ง
ทรงสนับเพลาพริ้งยิ่งยง แล้วทรงภูษิตพิศพราย
คาดปั้นเหน่งกุดั่นจำหลักเพ็ชร แล้วใส่ไตรเตร็จเฉิดฉาย
พลางทรงเสื้อพื้นทองเพราพราย ลวดลายจำหลักไหมเบญจพรรณ
ส้าโปะสีทับทิมขลิบทอง ริมกรองงามเลิศเฉิดฉัน
พระกรจับกฤชเทวัญ เหน็บมั่นกับกายกายา

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย ทรงเครื่องสำเร็จเสร็จแล้ว ผ่องแผ้วหฤไทยหรรษา
พี่เลี้ยงสองศรีก็ปรีดา มาขึ้นรถาทันใด
อันหมู่พหลโยธา แวดล้อมตามมาอยู่ไสว
ออกจากด่านทวารเวียงไชย ก็เข้าในป่าไม้พงพี

ฯ ๔ คำ ฯ

ชมดง ชมนกชมไม้ในดง ป่าระหงส่งเสียงปักษี
จากพรากก้องไพรโนรี นกขมิ้นกินปลีกลุมภู
มยุราคลาคล่ำดำเปนฝูง นกยูงม่ายเมียงเคียงคู่
ไก่แก้วโกญจาเห็นน่าดู นกเขาขันคูอยู่ในไพร
โพรโดกเคียงคู่กระตั้วเต็น จิบจาบจับเต้นจากกอไผ่
สาลิกาเยี่ยมหน้าในโพรงไม้ คาบเหยื่อมาให้ลูกในรัง
พระชมหมู่สหชาติปักษา บ้างโผผินบินมาบ้างคืนหลัง
ไพเราะเพราะเพรียงเสียงดัง ทรายทองเที่ยวทั้งระวังไพร
คับแคแลตระไนไก่ฟ้า สัตวากาเหว่าเสียงใส
พระฟังเสียงปักษาเร่งอาไลย ภูวไนยคิดถึงพระพี่ยา
แต่พระแรมร้อนนอนไพร สร้อยเศร้าฤไทยถวิลหา
เปลี่ยวเปล่าเศร้าใจทุกเวลา ล่วงมาได้หลายราตรี

ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด

ร่าย เมื่อนั้น อุนากันผู้รุ่งรัศมี
จึงยกทัพชุมพลมนตรี ออกจากไพรศรีด้วยพลัน
ครั้นมาถึงด่านปะตาหรา จึงให้ตั้งพลับพลาอยู่ที่นั่น
ให้ทหารเข้ารุกบุกบัน ชาวบุรีนั้นก็บรรไลย
แต่รบได้ถึงหกภารา ไม่มีผู้ใดมาต่อฤทธิได้
ระตูล่าหงิดชาญไชย ถวายสองทรามไวยบุตรี
ชื่อระเด่นจินดาอรสา ภักตราแช่มช้อยมีศรี
อันองค์ขนิษฐานารี ชื่อจันทรารัศมีโสภา
ท้าวสังอุหนุงภูบาล ถวายสองกุมารโอรสา
ชื่อระเด่นยาหยากระษัตรา อันองค์พระอนุชาลาวรรณ
ชื่อระเด่นกุดาริยาหยา รูปโฉมโสภาเฉิดฉัน
ระตูผู้บุตรสัตกัน ถวายบุตรีอันโฉมยง
ชื่อระเด่นรัตนาวาตี รัศมีลอองก่องก่ง
กล้องแกล้งแน่งน้อยเยียรยง งามบรรจงยิ่งอย่างนารี
ระตูตันหยงบุหรา ถวายราชธิดามีศรี
ชื่อนางหงอุหลันเทวี ทรงศรีรูปโฉมประโลมใจ
อันพระกุมารอนุชา ชื่อสิงกันรสาศรีใส
ระตูล่าสำชาญไชย ถวายองค์อรไทยกัลยา
ชื่อระเด่นกุสุมานงเยาว์ โฉมเฉลาเพราเพริศดังเลขา
ระตูปัตตาหรำราชา ถวายสุวรรณมาลาบรรณาการ
กับสาตราอาวุธนานา อิกทั้งโยธาทหาร
อันองค์สองราชกุมาร กล้องแกล้งพึ่งพาลโสภา
ระเด่นดรสาทรงลักษณ์ เยาว์นักได้ห้าชัณษา
พระคิดถึงองค์สียะตรา เสนหาก็เอาเปนโอรส
อันพระราชธิดาทั้งห้าองค์ ทรงรถบรรจงอลงกฎ
เหล่าประเทียยก็เรียบเรียงรถ ตามเชิงบรรพตพงไพร
เที่ยวเตร่ตามพระเชษฐา ไม่รู้ว่าจะไปหนไหน
ครั้นสายัณห์ควันเย็นลงไรไร ก็ให้ตั้งที่ประทับพลับพลา
ครั้นค่ำก็เข้าที่ไสยาศน์ เอนอาศน์องค์เดียวอยู่ในป่า
รำฦกตรึกถึงพี่ยา ถวิลหาให้เร่งรัญจวนใจ

ฯ ๓๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองพี่เลี้ยงนารีศรีใส
เข้าไปบังคมทูลทันใด ให้เชิญองค์อรไทยมาไสยา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุนากันจึงตอบคำว่า
น้องคิดอดสูพ้นปัญญา จะนิทราด้วยนางอย่างไร

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประจินดาจึงทูลแถลงไข
จะคิดอ่านฉนี้ผิดทีไป จะทำให้ทั้งปวงเขาสงกา
ว่าพระองค์เปนกระษัตรี จึงไม่มีความเสนหา
ธรรมเนียมบุรุษในโลกา เปนที่เสนหาแก่สัตรี
แต่นางมาอยู่เปนหลายวัน จะมิคิดความนั้นก็ใช่ที่
ฝอยฤาจะไว้ใกล้อัคคี ที่จะมิติดเชื้ออย่าสงกา
ถ้าใครแจ้งว่าแปลงมาบัดนี้ เห็นทีจะไม่พบพระเชษฐา
จะระคนปนศักดิด้วยชายช้า จำเปนแล้วอุส่าห์แขงใจ
ให้ไปเชิญระเด่นบุตรีมา พูดจาปลอยโยนแต่ตามได้
แต่สองต่อสองที่ห้องใน ข้างนอกใครรู้ว่าไรมี

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุนากันจึงตอบนางสาวศรี
จะปลอบโยนโอนอ่อนกะไรดี น้องไม่รู้ที่จะเจรจา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประจินดาก็ตอบคำว่า
พระพี่ปลอบกะไรกับไฉยา พระองค์จงว่าให้เหมือนกัน
จึงว่าบนตัวไว้สามปี ไม่ร่วมรศฤดีด้วยสาวสรรค์
ทำเชิงชายเล่นเช่นนั้น อย่าให้ใครทันสงกา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุนากันได้ฟังพี่เลี้ยงว่า
สำรวลสรวลไปไม่ไคลคลา ประจินดาปลอบโยนพาไป

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน ชำระพระองค์สรงสนาน แล้วทรงสังวาลแจ่มใส
ทรงสำอางเอี่ยมเอาใจ อำไพพิศเพียงจันทรา
ทรงอุบะบุหงาตันหยง ส่งกลิ่นเฟื่องฟุ้งหรรษา
จับชายกรายกฤชลีลา ลงจากพลับพลาทันใด

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

ร่าย มาเอยมาถึง รถบุตรีล่าสำกรุงใหญ่
ขึ้นบนรถแก้วแววไว เห็นนางอรไทยไสยา
เอาสไบปิดภักตร์แล้วโหยไห้ พระไปนั่งชิดขนิษฐา
เลิกผ้าออกจากภักตรา อย่าโศกานักเลยณทรามไวย

ฯ ๔ คำ ฯ

ชาตรี จงหักห้ามความทุกข์เสียบ้าง เจ้าจงคิดถึงทางพิศมัย
บิตุเรศมารดาของอรไทย ท่านมิได้มีจิตรคิดเมตตา
จึงได้มาเปนชเลยพี่ กระนี้ฤๅยังแค่นกรรแสงหา
แม้นรักฤาจะให้เจ้าไคลคลา ท้าวจะต่อฤทธาพี่ลองดู
แม้นว่าพ่ายแพ้ก็จำเปน จึงจะเห็นประจักษ์ว่ารักอยู่
ส่วนตัวทำได้ไม่เอนดู โฉมตรูจะร่ำรักไย
มาร่วมรักกับพี่จะดีกว่า จะทำเหมือนบิดาเจ้าหาไม่
สู้ตายมิให้แก่ชายใด อย่าโศกาไลยเลยเทวี

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย เมื่อนั้น นางจินดากุสุมาโฉมศรี
ได้ฟังวาจาพระภูมี เทวีค่อยส่างโศกา
สุรเสียงเสนาะเฉื่อยฉ่ำ ดังอำมฤตย์สักแสนห่า
คิดคิดจะใคร่ตอบวาจา กัลยาขวยเขินสเทินใจ
จึงถอยองค์ลงมาเสียให้ห่าง นวลนางประนมบังคมไหว้
กราบก้มภักตร์อยู่ไม่ดูไป อรไทยไม่ตอบพระวาจา

ฯ ๖ คำ ฯ

โอ้โลม เมื่อนั้น อุนากันกะหมันวิยาหยา
เห็นนางค่อยส่างโศกา ทำทีเสนหานางเทวี
ยอกรขึ้นลูบปฤษฎางค์ เอวบางจงฟังคำพี่
ความรักเจ้าสุดแสนทวี มิเสียทีที่พี่อุส่าห์มา
พี่ก็ยังไม่เคยมีคู่ อดสูแก่ใจเปนหนักหนา
ด้วยรักจึงหักใจมา อนิจาเจ้าไม่พาที
แต่หน้าก็ไม่ควรดู โฉมตรูคิดแค้นสิ่งใดพี่
เชิญชม้ายชายตามาข้างนี้ พี่จะเล่าคดีให้น้องฟัง
พี่นี้มีทุกข์ทังวล ได้ออกบนไว้แต่หนหลัง
ถ้ามิสำเร็จทุกข์ที่รุงรัง ก็ยังไม่ร่วมรักด้วยนางใด
แม้นถ้วนกำหนดสามปี จึงจะร่วมฤดีสัตรีได้
เจ้าอย่าทำขวยเขินสเทินใจ พูดจาปราไสกันโดยดี

ฯ ๑๒ คำ ฯ

ร่าย เมื่อนั้น ระเด่นกุสุมามีศรี
ประจักษ์ใจในรศวาที นางค่อยคลี่คลายสบายใจ
จึงเหลือบแลแปรภักตร์ผันมา ชายตาพิศทรงก็หลงใหล
แล้วก้มภักตร์ทูลไปทันใด น้องไกลบิตุเรศมารดา
มาอยู่ในใต้บาทบงสุ์ ถ้าพระองค์จะโปรดเกษา
แม้นจริงเหมือนหนึ่งพระวาจา ตัวข้าจะค่อยผาศุกใจ

ฯ ๖ คำ ฯ

โอ้โลม บุญเอยบุญหนัก พี่รักเจ้าจริงจริงอย่าสงไสย
พี่ไม่แต้มแต่งแกล้งใส่ไคล้ สิ่งไรมิจริงไม่เจรจา
แต่แรกพี่เห็นนางนงลักษณ์ ก็ให้มีใจรักเปนหนักหนา
จะใคร่พูดเล่นเจรจา แต่ว่าพี่ยังอดสูใจ
คิดอยู่เปนนิจนิรันดร์ เปนหลายวันแล้วพึ่งมาได้
ว่าพลางกุมกรอรไทย เข้าไปบรรธมเล่นเจรจา
สององค์ทรงเยาวแน่งน้อย ก็ค่อยสนิทเสนหา
สัพยอกหยอกกันไปมา นิทราหลับใหลในราตรี

ฯ ๘ คำ ฯ ตระ

ร่าย ครันเอยครันรุ่งราง ส่องสว่างแสงพระสุริย์ศรี
พระมาจากรถนางเทวี สั่งให้กรีธาทัพมาฉับไว

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ มาได้ถึงเจ็ดราตรี ก็ถึงที่คิรีศรีใส
เห็นยอดแหลมแนมฟ้ามาแต่ไกล เขาใหญ่ชอุ่มดังเมฆา

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า มาจะกล่าวบทไป ถึงองค์อายันกัศมาหรา
แต่เพียงได้เข้าปะตาปา ราชาเปนศุขทุกราตรี
เมื่อวันจะพบอุนากัน ทรงธรรม์ร้อนใจดังไฟจี้
พระอยู่ไม่ได้ในกุฎี ออกมานั่งที่แผ่นศิลา

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

ร่าย จึงเรียกอายันยาหยี มานั่งด้วยพี่จะปฤกษา
ครั้นมาถึงมิทันจำนรรจา ก็แลลงมาเห็นทัพไชย
คลายเคลื่อนมาตามทิวทาง ยูงยางธงทิวปลิวไสว
ให้ม้าใช้ไปถามจงฉับไว คือใครยกทัพขับพลมา

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย บัดนั้น กิดาหยันรับสั่งใส่เกษา
มาสั่งปะหรัดกัตติกา บอกแจ้งกิจจาทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ปะหรัดกัตติกาอัชฌาไศรย
จึงขึ้นอาชาคลาไคล ตรงไปกองทัพฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ มาเอยมาถึง ยังที่กองทัพคับขัน
จึงถามคนแห่น่านั้น ว่าจะจรจรัลไปแห่งใด
อันองค์ระตูผู้เรืองฤทธิ์ สถิตย์ถิ่นฐานบุรีไหน
ฤาเปนโจรป่าพนาไลย จงแจ้งไปตามสัจจา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนพลนายใหญ่ซึ่งแห่น่า
บอกแก่ปะหรัดกัตติกา ว่าทัพมิสาอุนากัน
มาเที่ยวแสวงหาคู่ จักดูทุกประเทศเขตรขัณฑ์
เปนโอรสระตูประมอตัน ท่านนั้นผู้ใดใช้มา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ม้าใช้ก็กล่าวคำว่า
ปันหยีอยู่บนบรรพตา เข้าปะตาปามาช้านาน
แลมาเห็นพลสกลไกร จึงใช้ให้เรามาฟังสาร
บอกแล้วกลับมามิทันนาน ก็แจ้งการทั้งปวงไปทันใด

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กิดาหยันครั้นแจ้งแถลงไข
กราบทูลพระองค์ผู้ทรงไชย ตามในเนื้อความที่ถามมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึงองค์อายันกัศมาหรา
ว่าแก่อายันอนุชา จะใคร่เห็นองค์อุนากัน
เขาฦๅว่าฤทธากล้าหาญ เที่ยวบุกรุกรานทุกเขตรขัณฑ์
ไม่มีผู้ต้านทานทัน แต่ได้ชเลยนั้นมามากมี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุนากันผู้รุ่งรัศมี
ครั้นมาใกล้ประจาหงันคิรี เห็นพลับพลาปันหยีมหิมา
เห็นทัพน้อยน้อยดาดาษ ดังเอาผ้าขาวลาดไปทั้งป่า
แลไปจนสุดสายตา ยังไม่สิ้นโยธาพลไกร
จึงสั่งให้ม้าใช้ไปถามดู ว่าทัพระตูฤๅไฉน
มาแต่สถานบ้านเมืองใด จึงมาตั้งอยู่ในพนาวา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึงขุนพลซึ่งแห่น่า
มาบอกพี่เลี้ยงมิได้ช้า ตามเรื่องราวมาทุกสิ่งอัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงทูลว่าพลขันธ์
ซึ่งอยู่ที่เชิงกุหนุงนั้น ว่าปันหยีมาเข้าปะตาปา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุนากันกะหมันวิยาหยา
จึงให้หยุดรถไว้ในมรคา ด้วยรู้ว่าประจาหงันคิรี
อยู่ใกล้กาหลังกรุงไกร จะใคร่ขึ้นไปดูปันหยี
แล้วจะเข้าไปในบุรี กราบบทศรีสองกษัตรา
แทนพระบิตุเรศมารดร อันผ่านพระนครดาหา
แต่พลัดพรากจากพระภารา ได้ช้านานมาเหลือใจ
จึงชวนระเด่นทั้งสองรา มาจะไปเที่ยวบนกุหนุงใหญ่
ทั้งสององค์ก็ทรงอาชาไนย ไปลงม้าถึงใกล้เชิงคิรี

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เกนหลงหนึ่งหรัดมารศรี
ขึ้นไปเล่นบนเนินคิรี กับสาวศรีค่อมเค้านานา
นางแลไปเห็นอุนากัน เคลิ้มไปไม่ทันจะดูหน้า
คิดว่าปันหยีพี่ยา นางจึงวิ่งมากอดไว้

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุนากันเฉิดโฉมพิศมัย
เหลียวดูกัลยาก็ว่าไป ลูกใครฉนี้โสภา
นรลักษณ์ภักตราน่าพึงใจ เช่นไฉนเจ้าวิ่งมากอดข้า
รู้จักเราฤานางกัลยา พลางยกขนิษฐาอุ้มไว้
ด้วยเทวัญมากั้นกำบังตา จะรู้จักวิยดาก็หาไม่
จึงซักไซ้ไต่ถามนางทรามไวย เจ้านี้ลูกใครจงบอกมา

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เกนหลงหนึ่งหรัดเสนหา
เห็นมิใช่ปันหยีพี่ยา ก็ทรงโศกาขึ้นทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ

ต่อนี้ฉบับขาด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ