ราชกิจจานุเบกษาในรัชกาลที่ ๕ เรื่องปราบฮ่อ - นิราศหนองคาย
ราชกิจจานุเบกษาในรัชกาลที่ ๕[๑]
เล่มที่ ๒ นำเบอร์ ๑๗๗ วันอาทิตย เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๓ ค่ำ
ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ แผ่นที่ ๒๒
บอกเมืองนครราชสีหมา
๏ ณ วัน เดือนเก้า แรมเจดค่ำ ปีกุนสัปตศก พระยานครราชสีห์มากรมการมีใบบอกลงมาฉบับหนึ่งว่า ขุนหารหักศึกออกไปสืบราชการ ถือหนังสือพระยาประทุมเทวาเจ้าเมืองหนองคายฉบับหนึ่งว่า พระพิทักษเขตรขันเจ้าเมืองหนองหาร ให้ท้าวเพี้ยคุมไพร่ ๑๐๐ คนไปเข้ากองทัพราชบุตรเมืองหนองคาย ยกค่ามน้ำของไปถึงบ้านปากทางริมเมืองเวียงจัน ณ วัน เดือนแปด แรมสี่ค่ำภบกองทัพห้อยกมา ๒๐๐๐ เสศ ราชวงษ ราชบุตรเมืองหนองคายเหนกำลังฆ่าศึกมาก ก็ค่ามของกลับมาเมืองหนองคาย ไพร่พลเมือง ๆ หนองคาย เหนราชวงษ ราชบุตรค่ามกลับมา ก็ภาครอบครัวเข้าป่าดงไป ราชวงษ ราชบุตร ก็ยกทัพตามมาถึงห้วยหลวงสกัดกั้นครัวไว้มิให้ระสํ่าระสาย พระยาประทุมเทวาไปอยู่เมืองอุบลราชธานีที่พระยามหาอำมาตย์ ๆ เกณฑ์คน ๕๐๐๐ คนให้พระยาประทุมเทวา ๆ ยกขึ้นไปถึงห้วยหลวง ภบราชวงษ ราชบุตร ก็ช่วยกันรวบรวมครอบครัว พระยานครราชสีห์มาจึงให้พระพรมภักดียกกระบัตร พระพลคุมไพร่ ๕๐๐ คน สรัพไปด้วยเครื่องสาตราวุธกระสุนดินดำยกออกไปเมืองหนองคายแต่ ณ วัน เดือนเก้า ขึ้นห้าค่ำ ปีกุนสัปตศก พระยานครราชสีหมากรมการยังเกณฑไพร่พลให้ได้ ๕๐๐๐ คนสรัพไปด้วยเครื่องสาตราวุธกระสุนดินดำเสบียงอาหาร กำหนดจะได้ยกตามพระพรหมภักดียกกระบัตรออกไป ณ วัน เดือนเก้า ขึ้นสิบสี่ค่ำ บอกมา ณ วัน เดือนเก้า ขึ้นเก้าค่ำ ปีกุนสัปตศก ๚ะ
เล่มที่ ๒ นำเบอร์ ๑๘๕ วันอาทิตย เดือน ๑๐ แรม ๕ ค่ำ
ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ แผ่นที่ ๒๓
กำหนดจะได้ยกทัพขึ้นไปเมืองหนองคาย
๏ ด้วย สมเดจเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงษรับพระบรมราชโองการไส่เกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ สั่งว่าพระยานครราชสีห์มา มีบอกลงมาว่ากองทัพห้อยกทัพล่วงลงมาตั้งอยู่เมืองเวียงจัน โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยามหินธรศักดิ์ธำรงค์เปนทัพหน้า สมเดจพระเจ้าบรมวงษเธอ เจ้าฟ้ามหามาลากรมพระบำราบปรปักษ ยกขึ้นไปเมืองหนองคาย กำหนด ณ วันพุฒ เดือนสิบ แรมแปดค่ำ ปีกุนสัปตศก เจ้าพระยามหินธรศักดิ์ธำรงค์ จะได้ยกออกจากกรุงเทพฯ นั้นเกณฑ์พระยา พระ หลวง ขุนหมื่น หัวเมืองกองนอกในพระบรมมหาราชวัง พระราชวังบวร แลให้ผู้ซึ่งต้องเกณฑ์ทั้งนี้ให้เตรียมสเบียงอาหารเครื่องสาตราอาวุธให้พร้อม แล้วให้ไปเข้ากองทัพเจ้าพระยามหินธรศักดิ์ธำรงค์ แต่ ณ วันพุฒ เดือนสิบ แรมแปดค่ำจะได้ยกขึ้นไปตามเกณฑ์ให้ครบให้ทันกำหนดอย่าให้ขาดได้ตามรับสั่ง หมายมา ณ วันเดือนสิบ ขึ้นสองค่ำ ปีกุนสัปตศก ๚ะ
เล่มที่ ๒ นำเบอร์ ๒๑๗ วันอาทิตย เดือน ๑๑ แรม ๓ ค่ำ
ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ แผ่นที่ ๒๗
พระราชทานเครื่องยศแก่ผู้ซึ่งกราบถวายบังคมลาไปราชการทัพ
๏ ณ วันศุกร เดือนสิบ แรมสามค่ำ ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงค์ เคาน์ซิลลอร์ออฟสเตด แลปรีวีเคาน์ซิล ๑ กับขุนนางนายทับนายกองพร้อมกัน น้อมเกล้าถวายบังคมลาขึ้นไปราชการทับ ณ เมืองหนองคาย แลทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องยศ มีดาบแลเสื้อหมวก เปนต้น ตามถานานุศักดิ์ทั่วกัน แต่เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงค์ ได้รับพระราชทานสิ่งของนอกจากเครื่องยศคือ ประคำทองยอดลงยาประดับเพชร์ ๑ ดิ่งทอง ๕ เมด สายทองสาย ๑ กตุด ทองสามดอกสาย ๑ แหวนนพเก้าวง ๑ นาฬิกาพกทองคำลงยาเปนอักษรพระนาม แลจาฤกอักษรหลังตลับ สร้อยสามกระษัตร เงิน ทอง นาก ๑ ได้ยกจากกรุงเทพฯ แต่ ณ วันพุฒ เดือนสิบ แรมแปดค่ำ ปีกุนสัปตศก ๚ะ
เล่มที่ ๒ นำเบอร์ ๒๔๑ วันอาทิตย เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๐ ค่ำ
ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ แผ่นที่ ๓๐
บอกพระยามหาอำมาตย
๏ พระยามหาอำมาตย์ บอกลงมาถึงกรุงเทพฯ ณ วันอาทิตย เดือนสิบสอง ขึ้นสามค่ำ ฉบับหนึ่งว่ามีตราพระราชสีหโปรดเกล้า ฯ ขึ้นไปให้เร่งยกไปตีกองทัพฮ่อให้แตกไปโดยเรวนั้น พระราชอาญาเปนล้นเกล้า ฯ เมื่อยกไปจากเมืองอุบลราชธานีฝนตกชุกชุมมาก หนทางเปนหล่มเปนโคลนต้องค่ามห้วยคลองหลายแห่งตำบลจึ่งเดินทัพช้าอยู่ ครั้นยกขึ้นไปถึงเมืองหนองหารจะยกค่ามโฃงต่อไป เรือที่เมืองหนองคายราษฎรเอาไปเสียบ้าง อ้ายฮ่อเอาไปเสียบ้าง จึ่งแต่งให้คนลงไปเอาเรือที่เมืองนครพนม เมืองมุกดาหาร ระยะทางถึง ๑๕ วันจึ่งช้าแล้วแต่งให้คนไปลักตัตเรือที่ค่ายอ้ายฮ่อได้หลายสิบลำ กับบอกลงมาครั้งก่อนว่า ได้แต่งให้เจ้าพรมเทวานุเคราะห์วงษ พระยาไชยสุนทรเจ้าเมืองกาลสิน หลวงปลัดเมืองประโคนไชยคุมคนนายไพร่ยกค่ามโขงไป ตั้งที่บ้านถิ่นแก้วตำบลหนึ่ง บ้านโพนทานาลาวตำบลหนึ่ง ครั้น ณ วันพุฒ เดือนสิบ แรมสิบห้าค่ำ แต่งให้หลวงเทเพนทร หลวงจ่าเมือง ๆ สรบูรียคุมคนนายไพร่เจดร้อยเสศมีเครื่องสาตราวุทครบมือ ยกไปตั้งที่ทางรวมบ้านโพนทานาลาวตำบลหนึ่ง ให้พระพรหมภักดียกระบัตรคุมท้าวเพี้ยนายไพร่ยกไปตั้งที่ด้านเหนือเมืองเวียงจันตำบลหนึ่ง พระภักดีศรีขันธเสมา เจ้าเมืองพิมาย หลวงปลัดคุมกองทัพเมืองนครราชสีมาไปตั้งด้านหลังเมืองเวียงจันตำบลหนึ่ง ครั้น ณ วันพฤหัศบดี เดือนสิบเอจ ขึ้นค่ำหนึ่ง เวลาเช้าโมงหนึ่ง พระยามหาอำมาตยคุมตนนายไพร่ลงเรือ ยกขึ้นไปถึงน่าค่ายอ้ายฮ่อวัดจัน อ้ายฮ่ออยู่บลตลิ่งอ้ายฮ่อเอาปืนยิงกราดลงมา พระยามหาอำมาตยให้เอาปืนหน้าเรือยิงโต้ตอบกันอยู่ ๑๗ นัด ๑๘ นัด อ้ายฮ่อถอยไปต้านใต้ กองทัพพระยาพิมายตีต้านเข้ามา พระยามหาอำมาตยจึ่งให้จอดเรือเข้า ให้นายทัพนายกองคุมไพร่ยกขึ้นบกยิงสู้รบกันอยู่กับอ้ายฮ่อจนเวลาเช้า ๕ โมงเสศ อ้ายฮ่อหนีเข้าค่ายอ้ายฮ่อเอาปืนขึ้นบลหลังคาโรงบ้างหอคอยบ้าง ยิงโต้ตอบออกมา พระพรหมภักดียกระบัตรเมืองนครราชสีมา พระเจริญราชเดชเจ้าเมืองมหาสารคาม คุมไพร่ยกเข้าตีค่ายอ้ายฮ่อบ้านศรีถานแตก อ้ายฮ่อค่ามน้ำถอยมาเข้าค่ายวัดจัน พระยานครราชสีมาคุมไพร่ไปถึงเอาปืนยิงระดมอ้ายฮ่อที่อยู่บลหลังคาบนหอคอย อ้ายฮ่อยิงโต้ตอบกันอยู่จนเวลาบ่าย ๓ โมงเสศ พระยามหาอำมาตยกับนายทัพนายกองพร้อมกัน คุมไพร่แหกค่ายอ้ายฮ่อเข้าไปได้เอาไฟจุดเรือนเผาค่ายอ้ายฮ่อตายอยู่ในไฟบ้างในที่รบบ้าง จับได้อ้ายกวานทรายฮ่อเปนน้องลิวศรีโก๋นายทัพคนหนึ่ง ไพร่ ๒๕ คน รวม ๒๖ คน แต่ลิวศรีโก๋นายทัพที่หนึ่ง ลิสิโปที่ ๒ ถูกปืนตายในที่รบทั้ง ๒ คน อ้ายฮ่อภากันหนีเข้าไปในโบถวัดจัน อ้ายฮ่อขึ้นหลังคาโบถเอาปืนยิงกราดลงมา ถูกไพร่เมืองนครราชสีมาตายบ้างพวกลาวตาย ๘ คน ภอเวลาพลบค่ำพระยามหาอำมาตยให้พระยานครราชสีมานายทัพนายกอง ตั้งค่ายล้อมค่ายอ้ายฮ่อ ครั้นเวลาดึก ๘ ทุ่มเสศฝนตกมาก อ้ายฮ่อตีหักฝ่าออกทางด้านหลัง อ้ายฮ่อประมาณ ๑๐๐ เสศแหกหนีไปได้ พระยามหาอำมาตยให้พระยาประทุมเทวา นายทัพนายกองคุมไพร่ยกติจตามอ้ายฮ่อไป ถ้าพระยาประทุมเทวา กลับมาแจ้งความว่า อ้ายฮ่อไปตั้งอยู่ที่ใดตำบลใดจึงจะบอกลงมาครั้งหลัง บอกมา ณ วันจันทร เดือนสิบเอจ ขึ้นห้าค่ำ ปีกุนสัปตศก ๚ะ
เล่มที่ ๒ นำเบอร์ ๒๖๕ วันอาทิตย เดือน ๑ ขึ้น ๑ ค่ำ
ปกุนสัปตศก ๑๒๓๗ แผ่นท ๓๓
บอกเจ้าพระยาภูธราภัย
๏ เจ้าพระยาภูธราภัยที่สมุหะนายก บอกให้นายเขียวนายเรือกลไฟประภารประภาถือลงมาถึงกรุงเทพฯ ณ วันเสาร์ เดือนสิบสอง ขึ้นเก้าค่ำ ปีกุนสัปตศก ๒ ฉบับ ๆ หนึ่งว่าขึ้นไปถึงเมืองพระพิศนุโลกย ณ วันสุกร เดือนสิบเอจ แรมแปดค่ำ ปีกุนสัปตศก พระยาพิศนุโลกยแจ้งความว่า ได้แต่งให้พระนครไทยคุมไพร่ ๑๕๐ คน ท้าวขัติยคุมไพร่ ๒๐๐ คน อุปฮาดเมืองด่านซ้ายคุมไพร่ ๑๐๐ คน รวม ๔๕๐ คน ยกขึ้นไปรักษาเมืองแก่นท้าว ให้หลวงพิทักษมนตรี หลวงศรีราชโกษาเมืองพระพิศนุโลกยคุมไพร่ ๓๐ คน ยกขึ้นไปรักษาเมืองด่านซ้าย กับได้เบิกเงินค่านาจัดซื้อเฃ้าเปลือกในแขวงเมืองพระพิศนุโลกยได้เฃ้าเปลือก ๑๓๙ เกวียน สิ้นเงินยี่สิบสองชั่ง เจดตำลึงกึ่ง เฃ้าเดิมคงฉางมือยู่ ๘ เกวียน เฃ้าราษฎรถวาย ๕ เกวียน รวมเปนเข้า ๑๕๒ เกวียน ได้แต่งคนคุมเรือบันทุกเฃ้าขึ้นไปส่งเมืองพิไชย ๒๐ เกวียน สีซ้อมเปนเฃ้าสารจ่ายราชการ แลส่งเมืองพิไชยสิ้นเฃ้าเปลือก ๒๗ เกวียน ๔๐ สัด ได้เฃ้าสาร ๑๓ เกวียน ๘๔ ถัง เจ้าพระยาภูธราภัยได้ให้พระยาพิศนุโลกย แต่งคนคุมเรือบันทุกเฃ้าขึ้นไปส่งเมืองพิไชย กับเจ้าพระยาภูธราภัย เหนว่าที่เมืองปากเหือง เมืองแก่นท้าว ผู้คนขึ้นไปอยู่มาก เกลือกจะขัดเสบียงอาหารได้สืบถามได้ความว่าเข้าเปลือกในแขวงเมืองนครไทย เมืองด่านซ้าย เมืองภูครัง เมืองเลย เมืองนครชุม มีอยู่บ้าง จึงให้หลวงพลเมืองพิศนุโลกยคุมเงินค่านาสิบห้าชั่ง ขึ้นไปจ่ายให้เจ้าเมืองกรมการจัดซื้อเมืองด่านซ้าย เงินสามชั่ง เมืองนครไทย เมืองนครขุม เงินห้าชั่ง เมืองภูครัง เงินสองชั่ง เมืองเลย เมืองแก่นท้าว เงินห้าชั่ง รวมเงินสิบห้าชั่ง ให้ฃนลำเลียงขึ้นไปส่งเมืองปากเหือง เมืองแก่นท้าวให้ภอจ่ายราชการกับได้มืตราให้หลวงพลเมือง พิศนุโลกย ขึ้นไปกำชับพระยาเพชบูรณ กำชับพระยกระบัตเมืองพิไชย ให้รักษาเมืองปากเหือง เมืองแก่นท้าวไว้ให้มั่นคง ถ้าขัดเสบียงอาหารให้บอกลงมาเมืองพิไชย กับให้แต่งคนไปสืบราชการเมืองหนองคายด้วย หลวงพลได้ยกไปจากเมืองพิศนุโลกย ณ วันอาทิตย เดือนสิบเบด แรมสิบค่ำ ปีกุนสัปตศก เจ้าพระยาภูธราภัย ภักรอนายทัพนายกองอยู่ที่เมืองพิศนุโลกยสามวัน ณ วันอังคาร เดือนสิบเบด แรมสิบสองค่ำ ยกจากเมืองพิศนุโลกย์ไปเมืองพิไชย ถ้าหลวงพลกลับมาได้ความประการใดจึ่งจะบอกมาครั้งหลัง ๚ะ
๏ ฉบับหนึ่งว่า ขึ้นไปถึงเมืองพิไชย ณ วันพุฒ เดือนสิบเบด แรมสิบสามค่ำ ปีกุน สัปตศก พระยาศุโฃไทยให้พระสิขมารัง เจ้าเมืองศรีสำโรง คุมขุนหมื่น คุมไพร่ ๙๐๐ คน พระยาพิจิตร หลวงปลัดคุมขุนหมื่นไพร่ ๒๐๐ คน ไปถึงเมืองพิไชยพระยาเทพประชุน เจ้าอินทรวิไชยยานนเจ้านครเชียงไหม่ เจ้าอนันตวรฤทธิเดชเจ้านครเมืองน่าน เจ้าพรมมารพิพงษธาดาเจ้านครลำปาง เจ้าดาราดิเรกรัตนไภโรจเจ้านครลำพูน พระยาแพร่แต่งให้แสนท้าวพระยาลาวมาฟังราชการที่เมืองพิไชย เจ้าพระยาภูธราภัย ได้มีหนังสือชี้แจงการไปยังพระยาเทพประชุนเจ้าอินทรวิไชยยานน เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าพรมมารพิพงษธาดา เจ้าดาราดิเรกรัตนไภโรจ พระยาแพร่ให้ทราบ กับได้ให้กรมการเมืองพิไชยขึ้นไปเอาตัวพระศรีอัฅหาดเจ้าเมืองปากเหืองลงมาเมืองพิไชย ครั้น ณ วันสุกร เดือนสิบสอง ขึ้นค่ำหนึ่ง นายทัพนายกอง ขึ้นไปถึงเมืองพิไชยพร้อมกัน พระไชยบูนปลัดนำหนังสือพระนครไทยมาแจ้ง ๒ ฉบับ ฉบับหนึ่งว่าเปนความเก่าว่าฮ่อยกมาตีเมืองปากเหือง จับบุตรภรรยาราชวงษกับราษฎรไป ฮ่อแม่ทัพไหญ่ชื่อเจ้าฟ้าหลวงตั้งอยู่เมืองเชียงขวางแต่บุตรเจ้าฟ้าหลวงเปนทัพน่า มาตั้งอยู่เมืองเวียงจันเก่าคน ๕๕๐ คน ๚ะ
๏ ฉบับหนึ่งว่า พระยามหาอำมาตยคุมไพร่หัวเมืองลาวฝ่ายตวันออกยกไปตีทัพห้อที่เมืองเวียงจัน เมื่อ ณ วันเดือนสิบ แรมสิบห้าค่ำ ห้อแตกหนีไปพระศรีวรราชกับนายทัพนายกองออกก้าวสกัดฮ่อหาได้ไม่ ความแจ้งอยู่ในหนังสือพระนครไทยแล้ว กับเจ้าพระยาภูธราภัย ได้มีหนังสือไปเร่งกองทัพหัวเมือง ให้ยกขึ้นไปเมืองพิไชยโดยเรว แล้วได้ให้พระสุริยภักดีคุมนายราชกิจ หลวงปลัดเมืองพิจิตรพระณรงเจ้าเมืองพูม หลวงปลัดเมืองสิง หลวงเทพอาญาเมืองอุไทยขุนหมื่นไพร่ ๒๗๕๐ คน เชิญกระแสพระราชดำริห์ ขึ้นไปชี้แจ้งกับพระยาพิไชย แลเจ้าเมืองหลวงพบาง แลเจ้าอุปราช เจ้าราชสำพันธวงษ แลสืบฟังข้อราชการทางเมืองหลวงพะบาง ทางเมืองหนองคายให้ได้ความว่า ฮ่อยกมาตั้งอยู่ตำบลใดคนเท่าใดให้ได้ความเปนแน่ให้พระยาพระกฤษหลวงขุนหมื่นนายไพร่ ๑๐๐ คน ยกขึ้นไปตรวจทัพที่เมืองแก่นท้าว เมืองปากเหือง สืบสวนฟังการทางเมืองหนองคาย กำหนดพระสุริยภักดี พระยาพระกฤษจะได้ยกจากเมืองพิไชย ณ วันพุฒ เดือนสิบสอง ขึ้นสิบสามค่ำ แต่เจ้าพระยาภูธราภัย จะภักอยู่จัดเสบียงอาหารส่งไปขึ้นฉางเมืองน้ำปาดให้ภอจ่ายกองทัพ ทุกวันนี้ทางที่จะเดินกองทัพน้ำก็ยังไม่แห้งกว่าจะจัดการที่เมืองพิไชยเรียบร้อย แลคอยกองทัพหัวเมืองมาพร้อมกันเหนจะเดินกองทัพไหญ่ได้ เจ้าพระยาภูธราภัยจึงจะยกกองทัพไปทางเมืองน้ำปาดไปตั้งอยู่ปากลายก่อน จะได้คิดราชการเมืองหลวงพบาง ควรจะจัดกองทัพค่ามน้ำของไปตั้งอยู่เมืองกาสีกองหนึ่ง ถ้าราชการผันแปรประการใดจะได้คิดการต่อไป กับได้จัดเงินค่านาเมืองพิไชยยี่สิบห้าชั่ง ให้พระยาสุโฃไทยจัดซื้อเฃ้าในแขวงเมืองสุโฃไทย ขนมาส่งที่เมืองพิไชย ๆ ก็ไม่มีผู้ดูแลการบ้านเมือง พระปลัดก็แก่ชะราขอรับพระราชทานพระศรีเสนาไว้รักษาเมืองพิไชย กับให้พระยาสวรรคโลกยมาช่วยพระศรีเสนานายหนึ่ง ถ้าพระยาสุโฃไทยซื้อเฃ้าเกวียนละเท่าใดฃนส่งมาเท่าใด จะบอกมาให้ทราบครั้งหลัง บอกมา ณ วันเสาร เดือนสิบสอง ขึ้นสองค่ำ ปีกุนสัปตศก ๚ะ
บอกพระยามหาอำมาตย
๏ พระยามหาอำมาตยฃ้าหลวง บอกลงมาถึงกรุงเทพฯ ณ วันเสาร เดือนสิบสอง แรมค่ำหนึ่ง ปีกุนสัปตศก ฉบับหนึ่งว่า ได้แต่งให้พระเจริญราชเดชเจ้าเมืองมหาษารคามคุมไพร่ ๒๐๐ คน พระพิทักษเฃตรขันเจ้าเมืองหนองลหารคุมไพร่ ๒๐๐ คน ราชวงษเมืองขอนแก่นคุมไพร่ ๒๐๐ คน นายทัพนายกองแยกกันออกติดตามอ้ายฮ่อที่หนีไป นายทัพนายกองทันอ้ายฮ่อพวกละ ๒๐ คนบ้าง ๓๐ คนบ้าง ฆ่าอ้ายฮ่อตายพวกละ ๗ คน พวกละ ๘ คน จับเปนได้พวกละ ๒ คน พวกละ ๓ คน อ้ายฮ่อแตกหนีเข้าป่าดงไป จึ่งแต่งให้พระยาประทุมเทวาเจ้าเมืองหนองคายกองหนึ่ง พระวิศโยดมเจ้าเมืองกระมุทธาใสกองหนึ่ง อุปฮาดเมืองหนองหานคุมไพร่ ๒๐๐ คน กับท้าวเพี้ยคุมนายไพร่พวกละ ๕๐ คน พวกละ ๖๐ คน เที่ยวค้นหาตามป่าดง ภบอ้ายฮ่อพวกละ ๒ คน พวกละ ๓ คน พระยาประทุมเทวา พระวิศโยดม อุปฮาดท้าวเพี้ยไพร่เอาปืนยิงอ้ายห้อตายหลายสิบคน อ้ายห้อเหลือตายหนีไปประมาณ ๔๐ เสศ อ้ายห้อเดินทางสามคืนจึ่งถึงค่ายบ้านโพนทานาเพล่า อ้ายห้อเข้าไปอยู่ในค่ายบ้านโพนทานาเพล่าเดิมประมาณ ๑๐๐ เสศ เจ้าพรมเทวาเมืองอุบล พระยาไชยสุนทรเมืองกาลสิน หลวงปลัดเมืองประโคนไชย นายไพร่ซึ่งแต่งให้ไปวกหลังสังกัดอยู่นั้น ได้รบกับอ้ายฮ่อที่ค่ายบ้านโพนทานาเพล่า สู้รบกันที่ค่ายได้สองวัน ครั้น ณ วันพฤหัศบดี เดือนสิบเบด ขึ้นแปดค่ำ ปีกุนสัปตศก เวลากลางคืนประมาณสองยามเสศ อ้ายห้อแตกออกจากค่ายบ้านโพนทานาเพล่าหนีไป พระยามหาอำมาตยได้ให้ราชวงษเมืองกาลสิน ให้ราชบุตรเมืองยะโสธร ให้ราชวงษเมืองสกลนคร อุปฮาดเมืองท่าอุเทนคุมไพร่กับพวกบ้านน้ำงึม นำนายทัพ นำนายกอง คุมไพร่ไปสกัดทางบ้านโฉมกีกองหนึ่ง ทางบ้านซวนเมืองฦกกอง ๑ ทางบ้านท่าเรือนำเงียบกอง ๑ ทางบ้านท่าโถมน้ำชันกอง ๑ ทางจะไปเมืองพวนสี่กอง ห่างกับค่ายบ้านโพนทาแห่งละคืน ๑ บ้าง ๒ คืนบ้าง ทางบ้านสามหมื่นเมืองเฟือง จะไปเมืองหลวงพะบางกองหนึ่ง ทางบ้านนาซายจะไปเมืองซุยกองหนึ่ง นายทัพนายกองฆ่าอ้ายห้อตายในค่ายบ้าง กองซำรานายไพร่จับอ้ายห้อได้บ้าง ฆ่าอ้ายห้อตายบ้างรวมกัน ๔๙๐ คนเสศ จับเปนอ้ายห้อได้ที่ถูกอาวุทป่วย ๔๐ คน ไม่ถูกอาวุท ๑๒ คน รวม ๕๒ คน แต่อ้ายห้อซึ่งถูกอาวุทป่วยนั้นนายทัพนายกองฆ่าเสีย อ้ายห้อเหลืออยู่หนีไปประมาณ ๙ คน ๑๐ คน กองสังกัดทางยังติดตามต่อไป นายทัพนายกองได้เครื่องสาตราวุทอ้ายห้อไว้ เปนปืนหามแล่น ๕ บอก เปนปืนคาบชุดไหญ่ ๓๐ บอก เปนอย่างปืนจีนเลก ๕๐ บอก รวม ๘๐ บอก เปนปืนคาบสิลา ๕๐ บอก รวม ๑๓๕ บอก เปนหอก ๕๐ เปนดาบ ๕๓ เปนเหลา ๗๐ เปนมีดเหนบ ๗๕ กับม้าภู่เมียใหญ่น้อย ๑๐๐ เสศ ม้าต้องอาวุทป่วย ๖๓ ม้า พระยามหาอำมาตยเอาปืนหามแล่น ๕ บอกรักษาไว้ แต่ปืนคาบสิลา ปืนคาบชุด หอกดาบ เหลามีดเหนบ กับม้าผู้เมียนั้น พระยา มหาอำมาต แจกให้เปนบำเนจ นายทัพนายกองไปทุกคน ซึ่งอ้ายห้อยกกองทัพล่วงเขตรแดนมาตั้งค่ายอยู่ที่วัดจันในเมืองเวียงจันเก่าตำบล ๑ ที่บ้านสิถารตำบล ๑ ที่บ้านโพนทานาเพล่าตำบล ๑ รวม ๓ ตำบลในเขตรแดนเมืองหนองคาย พระยามหาอำมาตยกับนายทัพนายกอง ได้รดมตีอ้ายห้อแตก ฆ่าอ้ายห้อตายเสรจทั้ง ๓ ตำบลแล้ว ได้ให้ราชวงษเมืองหนองคายคุมนายไพร่ ๔๐๐ คน ไปขัดทัพอยู่ เฃาหอม เฃตรแดนเมืองพวนกับเมืองหนองคายต่อกันกอง ๑ ให้พระวิศโยดมเมืองขึ้นเมืองหนองคายคุมไพร่ ๒๐๐ คนไปฃัตทัพทางสามหมื่น เมืองเฟืองพรมแดนเมืองพวน กับเมืองหนองคายต่อกันกอง ๑ ให้พระวิชิตพงษาพิไสย เมืองขึ้นเมืองหนองคาย คุมไพร่ ๒๐๐ คนไปฃัตทัพทางหินกนาพรมแดนเมืองพวนกับเมืองหนองคายต่อกันกอง ๑ รวม ๓ กอง เปนคนนายไพร่ ๘๐๐ คน แต่เฃาหอมไกลกับเมืองหนองคาย ทางเดิน ๕ คืน พระยามหาอำมาตยแต่งให้ราชวงษเมืองไชยบูรีคุมนายไพร่แปดร้อยคนไปฃัตทัพอยู่ที่ทางคำเกีดคำมอน พรมแดนเมืองไชยบูรีย์กับเมืองพวนต่อกันกองหนึ่ง ราชวงษเมืองโพนพิไสยคุมไพร่ ๒๕๐ คนไปฃัดทัพอยู่ที่ทางบ้านซวน เมืองฦถ พรมแดนเมืองโพนพิไสยกับเมืองพวนต่อกันกองหนึ่ง แล้วได้แต่งให้นายไพร่พวกละ ๔ คน ๕ คนไปสืบข้อราชการ ถ้าไปสืบราชการกลับมาได้ความประการใด จึ่งจะบอกมาให้ทราบครั้งหลัง บอกมา ณ วันอาทิตย เดือนสิบเบด แรมสามค่ำ ปีกุนสัปตศก
คำให้การอ้ายแลนแซนฮ่อ
๏ ข้าพเจ้า จีนแลนแขนซี แซ่ตันให้การว่า บิดาข้าพเจ้าชื่อ จีนลุบหอบ มารดาข้าพเจ้าเปนบุตรจีน ข้าพเจ้าเกิดเมืองเคาลือพี่น้องท้องเดียวข้าพเจ้าหามีไม่ แต่เจ้าเมืองเคาลือนั้นชื่อ มอไตเผง หญิงชายราษฎรประมาณหมื่นเสศ ไว้ผมยาวเปนญวน ราษฎรซื้อขายทำมาหากินภอรับพระราชทานเลี้ยงชีวิตร เมืองเคาลือเปนหัวเมืองขึ้นแก่กรุงเวียดนาม แต่เมืองเคาลือทางไปเมืองตังเกีย ๑๐ วัน เมืองตังเกียไปทางเมืองเว้ ๒๐ วัน แต่หัวเมืองไกล้เมืองตังเกีย ๗ เมือง คือเมืองเคาลือ ๑ เมือง เลียงซัน ๑ เมืองโมกฆาเสียง ๑ เมืองไทยินเสียง ๑ เมืองปักหนึงเสียง ๑ เมืองชันไชยเสียง ๑ เมืองซำคีสาง ๑ เจดหัวเมืองนี้คนต่างขึ้นแก่เมืองเว้ แต่เมืองฮ่อยางจิ๋ว มีแม่น้ำใหญ่ออกทเลถึงเมืองตังเกีย ทางศักกี่วันข้าพเจ้าหาทราบไม่ แต่ข้าพเจ้าทราบว่าฝั่งเหนือขึ้นกับเมืองหุนหนำจีน ฝั่งใต้เมืองฮ่อยางจิ๋วเปนเขตรแดนเมืองญวน แต่ข้าพเจ้าทราบว่า เจ้าบุตรหลานเจ้าไตเซิงชื่อไลยอ๋องหนีเชียงสือยาลองไปอยู่กับลูเชี่ย ลูเชี่ยสมเคราะห์อุดหนุนไลยอ๋อง ๆ คิดจะไปตีเอาเมืองญวนคืนจึงมาเข้ากับปองนันซี ปองนันซีเปนนายใหญ่ไว้ผมยาวอยู่เมืองกึงไส มาตั้งอยู่เมืองฮ่อยางจิ๋วแขวงเมืองตังเกีย อีกคนหนึ่งชื่อ จีวเกียนซิล เปนแม่ทับใหญ่ คนหนึ่งชื่อ ไตซือ เปนที่ปฤกษาการทัพ มีนายทหาร ๒๔ คนข้าพเจ้าหารู้จักชื่อไม่ แต่เมืองเคาลือที่ข้าพเจ้าอยู่จะไปเมืองฮ่อยางจิ๋วได้แต่ทางทเล ทางบกนั้นข้าพเจ้าหาทราบไม่ ปองนันซีมีเรือกลไฟสองลำเดินน้ำฦก ๑๐ สอก ไม่ทราบว่าบันทุกได้มากน้อยเท่าใด ถ้าจะต้องการกระสุนดินดำก็เอาเรือกลไฟไปเอามา แต่หาทราบว่าไปเอามาแต่แห่งใดไม่ เมื่ออายุข้าพเจ้าได้ ๑๕ ปีพวกฮ่อผมยาวทั้งศีสะถักเปียบ้างไม่ได้ถักเปียบ้าง ตัวนายชื่อ งัวจุง มาแต่เมืองนำฉวนคุมไพร่พลประมาณ ๒๐๐๐ มาตีเมืองเคาลือ พวกกองทับงัวจุงฆ่าบิดามารดาข้าพเจ้าตาย ข้าพเจ้าหนีไปทาง ๑๐ คืนถึงเมืองตังเกีย เจ้าเมืองตังเกียชื่อ อ่านซือเฮง มีไพร่พลราษฎรชายหญิงประมาณ ๒๐๐๐ เสศ ข้าพเจ้าอาไศรยอยู่ในเมืองตังเกียได้ ๗ ปี ฮ่องัวจุงยกทัพไปตีเมืองตังเกีย ข้าพเจ้าหนีไปได้สองเดือนถึงเมืองซำไต้ ข้าพเจ้าอาไศรยอยู่เมืองซำไต้ได้แปดปี ลิวสิกอ ซับกอ ฟาลองกอ มีไพร่พลประมาณ ๕๐๐ เสศ มาตีเมืองซำไต้แต่งัวจุงหาได้ยินว่าลงมาด้วยไม่ ข้าพเจ้าหาได้รู้จักไม่ เจ้าเมืองซำไต้ยอมเสียเงินให้ ๓๖๐๐ ตำลึงจีน เจ้าเมืองซำไต้ให้ข้าพเจ้ากับผู้มีชื่อ ๗ คนคุมเอาเงินออกไปให้ลิวสิกอ ๆ รับเอาเงินไว้แล้วเขียนหนังสือตอบให้ข้าพเจ้ามา ลิวสิกอ ซับกอ ฟาลองกอ ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เขตรแดนเมืองซำไต้ แล้วไฟไหม้บ้านเรือนเสียหมด ลิวศิกอจะเข้าไปอยู่ในเมืองซำไต้ เจ้าเมืองซำไต้ไม่ยอมให้อยู่ ลิวศิกอจึ่งจับตัวข้าพเจ้ากับปอวาย ๑ กับกายตง ๑ คนใช้ของเจ้าเมืองซำไต้แล้วลิวศิกอยกจากเมืองซำไต้ทาง ๒๐ วันถึงเซียงคิม แล้วลิวศิกอ ก็ใช้ให้ปอวายให้กายตงไปบอกแก่เจ้าเมืองซำไต้ว่าจะเอาเงินพันตำลึงเปนค่าถ่ายตัวข้าพเจ้าแล้วเจ้าเมืองซำไต้มีหนังสือมาว่า ข้าพเจ้าเปนคนล่ามแปรภาษา ขอให้เงินค่าถ่ายแต่ ๓๐๐ ตำลึง ลิวศิกอว่าถ้าไม่ได้เงินพันตำลึงแล้วจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจึ่งได้ยอมอยู่แก่ลิวศิกอ ๆ จึงไม่ได้ฆ่าข้าพเจ้า แล้วลิวศิกอ ซับกอ ฟาลองกอ ก็คุมคนประมาณ ๕๐๐ คน มีปืนยาว ๓ ศอก ๒๔ บอก ปืนสั้นยิงมือเดียว ๕๐ บอกเสศ มีไม้ยาว ๒ วา ไส่เหลกแหลมปลายประมาณ ๓๐๐ อัน ยกมาประมาณ ๑๐ วันถึงเมืองแถง เจ้าเมืองแถงไม่อาจสู้รบหลบหนีไป แล้วลิวศิกอ ซับกอ ฟาลองกอ เข้าอยู่ในเมืองแถง เอาเสบียงอาหารเลี้ยงกันอยู่ได้ ๓ เดือนเสศ แล้วลิวศิกอ ซับกอ ฟาลองกอ ก็ไปตีหัวเมืองขึ้นหัวเมืองแถงได้หลายเมือง เกบเอาเงินเกบเอาของ กับข้าพเจ้าทราบว่า ซำกอ ปิวเลิยงไตยิดปัดอิงกอง คุมไพร่ ๔ คนไปตีเมืองพวน ๘ เมือง แต่จะเปนประการใด ข้าพเจ้าหาทราบไม่ ครั้น ณ วันปีจอฉอศก ข้าพเจ้ายกมาจากเมืองแถง ๑๐ วันถึงทุ่งเชียงคำ เมื่อระดูเทศกาลฝน ลิวศิกอ ซับกอ ฟาลองกอ ไปพักอยู่ตำบลบ้านราษฎรมีเรือนประมาณ ๒๘ หลัง ๒๙ หลังในแขวงทุ่งเชียงคำ ห่างค่ายซำกอปิวประมาณ ๕๐ เส้น ข้าพเจ้าเหนค่ายซำกอปิวตั้งอยู่ค่ายหนึ่งเสาค่ายทำด้วยไม้ไผ่บ้างไม้จริงบ้าง กว้างยาวประมาณ ๓๐ วาเสศ สี่เหลี่ยมสูง ๓ วา ค่างในถมดินสูง ๒ ศอก มีเรือนในค่ายประมาณ ๑๐ หลัง แต่จะมีปืนกระสุนดินดำอยู่มากน้อยเท่าใดข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่ไพร่พลนั้นประมาณ ๔๐๐ เสศ คนในซำกอปิวบอกข้าพเจ้าว่า เมื่อซำกอปิวยกกองทัพมาถึงทุ่งเชียงคำได้รบกับพวกเมืองพวนอยู่หลายวันพวกพวนแตกหนีไป ตัวซำกอปิวถูกปืนกลับมาอยู่ค่ายได้หลายวันจึ่งตาย กอมาร กอเซงได้เปนนายใหญ่บังคับไพร่พลในกองทัพต่อไป ข้าพเจ้าเหนลิวศิกอ ซับกอ ฟาลองกอไปมาหาสู่กันกับกอเซง กอมาร แต่จะพูดจากันประการใด ข้าพเจ้าหาทราบไม่ แลคนในกองที่ข้าพเจ้ามาพูดกันว่าปันยโก ยิบไตโกคุมไพร่พลยกลงมาทางหนึ่ง จะเปนไพร่พลมากน้อยเท่าใด แลจะยกมาทางใดข้าพเจ้าหาทราบไม่ ลิวสิกอ ซับกอ ฟาลองกอ ภักอยู่ที่ทุ่งเชียงคำประมาณ ๓ เดือนก็ยกลงมา ๖ วันถึงบ้านลาดห่วง แต่ตัวข้าพเจ้าพูดภาษาลาวได้บ้าง ลิวสิกอจึ่งให้ข้าพเจ้าเที่ยวเกลี้ยกล่อมลาว ให้ยาฝิ่นข้าพเจ้ากึ่งตำลึงถ้าข้าพเจ้าไม่ไป ลิวศิกอก็โบยหลังข้าพเจ้า แต่คนในกองที่ข้าพเจ้ามาเปนคนสูบยาฝิ่นประมาณ ๑๐๐ เสศ แลที่เมืองเชียงขวางนั้นข้าพเจ้าทราบว่าผู้ใดจะยกเข้าไปไม่ ลิวสิกอ ซับกอ ฟาลองกอ ก็ยกจากทุ่งเชียงคำ ข้าพเจ้าก็ตามมาในกองทับด้วย มาทาง ๒๕ วันถึงบ้านโฉมดีแล้วยกมาอิก ๔ วันถึงบ้านโพนทานาเพล่าตั้งค่ายไม้ไผ่สูง ๑๐ ศอก ยาวสามสิบวา สี่เหลี่ยมมีประตูด้านละประตู หอคอย ๔ มูม แล้วลิวศิกอ ซับกอ ฟาลองกอ ก็แต่งคนไปเที่ยวขุดวัดขุดบ้าน แลเกบเอาทรัพยสิ่งของของราษฎร ถ้าไครเข้าหาลิวศิกอให้กะดานป้ายเปนอักษรจีน ๔ ตัว แปลว่าราษฎรซื่อตรงกับกะดาบป้ายใหญ่เปนหนังสือประกาษไม่ให้คนในกองทับไปคุมเหง แล้วลิวศิกอ ซับกอ ฟาลองกอ ก็ยกเข้าตั้งอยู่ในเมืองเวียงจัน เอาไม้หมากบ้างไม้จริงบ้าง ปักเปนเสาค่ายกว้างยาว ๓๐ วา ๔ เหลี่ยม มีประตูด้านละประตูมีหอคอย ๔ มุม มีเรือนอยู่ในค่าย ๓ หลัง มียุ้งเข้า ๒ หลัง เข้ามีเตมยุ้ง แต่ที่บ้านปากทางนั้นกองข้าพเจ้าหาได้ไปรบไม่ ที่ปากเหืองข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าคนในกองฃ้าพเจ้าไปรบ แต่จะไปสักกี่คนจะไปทำประการใด ข้าพเจ้าหาได้ไปด้วยไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ ตัวลิวศิกออายุประมาณ ๓๐ เสศ ซับกอ ฟาลองกออายุประมาณ ๔๐ เสศ จะไปค่างไหนสรวมเสื้อแพรศรีน้ำเงินยาวปิดถึงเข่า นู่งกังเกงแพรเอวคาดแพรแดงสรวมหมวก ขื้นม้ามีทหารถือปืนไปค่างน่าบ้างค่างหลังบ้างประมาณ ๔๐ คน ๕๐ คน มีม้า ๗๐๐ ม้า ตีบ้านใดเมืองใดก็จับเอาเดกตามหัวเมืองมาไว้ สำรับให้เลี้ยงม้า ข้าพเจ้าเหนธงในกองทัพมีธงใหญ่ประมาณ ๒๐ ธง ธงเลกมีมาก ธงทำด้วยแพรพื้นน้ำเงินริมขลิบขาว กว้างยาวประมาณ ๓ ศอก ๔ เหลี่ยม กลางธงมีวงกลมค่างหนึ่งฃาวแดงเกียวกัน แล้วมีธงเลกพื้นแดงริมฃลิบฃาว กว้างยาวประมาณศอกเสศ ริมหยักเปนฟันปลาอยู่ บนปลายธงแพรน้ำเงินใหญ่ แต่ซับกอถือธงแพรพื้นน้ำเงินริมขลิบฃาว กว้างยาว ๔ ศอก ๔ เหลี่ยม กลางธงมีตัวหนังสือจีนตัวหนึ่ง ภาษาจีนว่าเถา ภาษาไทยว่าปืน ตัวลิวศิกอ ซับกอ ฟาลองกอนั้น คนที่มาในกองทัพพูดกันว่าปองนันซิตังมา แลไพร่พลทหารห้าร้อย ถ้าตายลงเท่าใดก็มีอุดหนุนเพิ่มเติ่มมาเสมอจะมาแต่กองใดข้าพเจ้าหาทราบไม่ แลกองทัพลิวสิกอที่แตกไปนั้นจะยกกลับมาฤๅจะไม่ยกกลับมานั้นข้าพเจ้าหาทราบไม่ แต่ข้าพเจ้า ลิวสิกอใช้ให้มาเกลี้ยกล่อมคนที่เมืองหนองคาย ข้าพเจ้าก็มากับลาวพวน ๕ คน เอาเรือที่บ้านศิไคลค่ามแม่น้ำโขงมาถึงบ้านปอข้าพเจ้าแวะสูบฝิ่น กองทัพก็จับข้าพเจ้ามาส่งให้กับท่านฃ้าหลวงลงมา ณ กรุงเทพฯ เปนความสัจจริงสิ้นคำให้การข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำอ้ายตุ้ยให้การ
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายตุ้ยให้การว่าอายุได้ ๒๐ ปี บิดาข้าพเจ้าชื่อ เลา มารดาฃ้าพเจ้าชื่อ แอ ตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองลาน้อยขึ้นเมืองเชียงขวางทางใกล้เมืองเชียงขวาง ๑๐ คืน พี่น้องท้องเดียวข้าพเจ้ามี ๒ คน พี่สาวข้าพเจ้าชื่อ อ่อน บิดาฃ้าพเจ้าต้องเสียส่วยให้กับเจ้าเมืองลาน้อยปีละบาทเสมอทุกปี เจ้าเมืองลาน้อยเปนลาวมีเลขสกรรประมาณ ๔๐๐๐ เสศ ถึงปีเจ้าเมืองลาน้อยแต่งท้าวเพี้ยออกเกบเงินแก่ไพร่เสมอไม่ขาด เจ้าเมืองลาน้อยรวบรวมได้เงินแล้วคุมเอาไปส่งเจ้าเมืองเชียงขวาง ปีละสองชั่ง เงินเหลือนอกนั้นเจ้าเมืองลาน้อยเอาไว้จับจ่ายใช้สอยราชการ ราษฎรในเมืองลาน้อยเปนลาว ถึงปีคนที่มีนาก็ภากันทำนาที่ไม่มีนาก็ทำไร่ปลูกผลไม้ต่าง ๆ บ้าง ที่เมืองลาน้อยมีลำน้ำอยู่ค่างซ้ายเมืองชือลำน้ำแต่กว้างเท่าแม่น้ำกรุงเทพ ฯ ต้นน้ำออกเมืองญวนปลายน้ำไหลมาจากเมืองผง เมืองควาย เมืองหัว เมืองแตง ทางไกลเมืองลาน้อย ๒๔ วัน ๒๕ วัน ข้าพเจ้าหาได้ไปไม่ ที่เมืองลาน้อย หูงเกลือไม่เปนต้องไปซื้อเกลือเมืองญวนมารับพระราชทานเมืองลาน้อยกับเมืองญวนทางไปมาประมาณ ๒ เดือน ผู้ชายตัดผมเปนไท ผู้หญิงไว้ผมมวยบ้าง ผมสูงบ้าง นุงผ้าสิ้น ปลูกต้นมอนเลี้ยงไหมทอผ้าภอได้ นุ่งห่มซื้อขายบ้าง บิดามารดาข้าพเจ้าถึงเทศการเปนก็ภากันทำนาได้ผลเมดข้าวปีละเกวียน ๑ เกวียนเสศบ้าง เข้าเทศการแล้งทำไร่ปลูกฟักเฃยีว ฟักทองเผือกมัน ภอรับพระราชทานไม่เปนที่ซื้อขาย ครั้น ณ ปีวอกจัตวาศก ห้อยกทัพมาแต่เมืองลาหลวงมาตีเมืองผง เมืองควาย เมืองหัว เมืองม่วย เมืองขึ้น เมืองพวนแตกแล้วจะเปนเมืองใด ข้าพเจ้าจำไม่ได้ ห้อยกทัพมาตีเมืองลาน้อยที่ข้าพเจ้าตั้งบ้านเรือนอยู่ เจ้าเมืองลาน้อยก็ไม่ได้เกณไพร่สู้รบภาครอบครัวหนีเข้าป่าไปบ้าง เข้าเปนพวกห้อทั้งชายฉกรรประมาณ ๒๐๐ เสศ ๓๐๐ เสศ ที่ไม่เข้าพวกห้อฆ่าเสียโดยมาก บิดามารดาข้าพเจ้าไตกอห้อก็ฆ่าเสีย แล้วฉุดเอาสาวอ่อนพี่สาวข้าพเจ้าอายุประมาณ ๒๔ ปีไปเปนภรรยาไตกอ ตัวข้าพเจ้าเดิมไว้ผมเปนลาวไตกอห้อเอาตัวฃ้าพเจ้าไปให้ไว้ผมเปีย เปนจีนที่เข้าพวกห้อให้ไว้ผมเปียทุกคนแต่ข้าพเจ้าห้อไช้ให้เลี้ยงม้า ข้าพเจ้าเหนแม่ทับห้อคุมกองประมาณ ๓๐๐๐ เสศ ตั้งค่ายที่เมืองลาน้อยกว้าง ๓ เส้น ยาว ๕ เส้น เสาค่ายปักด้วยไม้แก่นสูง ๓ วา ขุดคูล้อมรอบถมดินเชิงเทิน มีปืนใหญ่กระสุน ๕ นิ้ว ๑๐ บอก ปืนคาบชุด ๓๐๐๐ เสศ มีหอกประมาณ ๒๐๐ เล่ม แยงเอาปืนคาบสิลาเมืองม่วยได้ประมาณ ๒๐๐๐ เสศ แปลงเปนปืนคาบชุดบ้าง มีม้าประมาณ ๓๐๐๐ ม้า ข้าพเจ้าเหนห้อแม่ทัพใหญ่ อ้วน ขาว สูง ตํ่าสันทัดคนไว้ผมเปียอายุประมาณ ๓๐ ปีเสศ ได้หญิงลาวชาวเมืองเชียงก้อ ๑ ลาน้อย ๑ เปนภรรยาแต่ยังไม่มีบุตรแม่ทัพห้อจะไปเที่ยวแห่งใดนุ่งกางเกง สวมเสื้อแพรเขียว คาดเอวแพรแดง ไส่หมวกสารอย่างจีนเมืองแต้จิว ขึ้นม้ามีไพร่ห้อถือหอกดํ้ายาว ๘ สอก เดินน่า ๑๐๐ คน มีห้อถือปืนเดินตามหลังประมาณ ๒๐๐ คน แม่ทัพห้อข้าพเจ้าได้ยินพวกห้อเรียกกันว่าลิวลิกอ ทรัพกอ ฟาลองกอ ๓ คน ข้าพเจ้าเหน พวกห้อไปขนเข้าราษฎรเมืองลาน้อยมาแจกจ่ายกันรับพระราชทาน กองทัพห้อตั้งอยู่ที่เมืองลาน้อย ๒ ปี ครั้นปีจอฉศก เดือน ๗ ห้อแม่ทัพยกเข้ารดมตีเมืองสพแอก เชียงก้อ ชำเหนือ ชำไต้ กองทัพลาวยกมาสู้รบต่างคนตายลาวสู้ห้อไม่ได้แตก ห้อรวบรวมได้คน ๔ เมืองเข้าเปนพวกประมาณ ๒๐๐ คนเสศ แล้วลิวสิกอ ทรัพกอ ฟาลองกอแบ่งกองทัพให้ปากินกอ ชำกอปิวเปนแม่ทัพคุมห้อ ๑๐๐๐ เสศมีปืนคาบชุด ๔๐๐ บอก หอกประมาณ ๑๐๐ เสศ มีม้า ๔๐๐ ม้า ลงมาตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งเชียงคำค่ายหนึ่ง ปากึนกอ ชำกอปิวเอาตัวข้าพเจ้ามาด้วย ข้าพเจ้าเหนห้อตั้งค่าย เสาค่ายปักด้วยไม่ไผ่สูงประมาณ ๓ วา ไม่ได้ถมดิน เชิงเทินมีหอคอย ๔ มุม ค่ายมีประตูเข้าออก ๔ ประตู ปักขวากหนามรอบค่ายมีเพิงในค่ายทั้ง ๔ ด้าน ปลูกเรือนในค่าย ๓ หลัง ๆ ละ ๔ ห้อง ขื่อกว้าง ๓ วา ทั้ง ๓ หลังปลูกยุงเข้าในค่ายขื่อยาว ๖ ศอก ๓ หลัง ๆ หนึ่งมีเข้าเปลือกประมาณ ๒๐ เกวียน ทางไกลเมืองเชียงขวาง ๒ คืน เมื่อห้อยกกองทัพมาตีเมืองลาน้อยข้าพเจ้าหาเหนอ้ายยันโกไม่ ครั้นมาถึง ทุงเชียงคำเปนเทศการฝน ข้าพเจ้าจึ่งได้พบอ้ายยันโก อยู่กับกงกอนายรอง แต่ลิวสิกอ ทัรพกอ ฟาลองกอ แม่ทัพยังรวบรวมผู้คนอยู่ที่เมืองชำไต้ แล้วเจ้าเมืองเชียงขวางเกณกองทัพเมืองพวน ยกไปรบกองทัพห้อที่ทุงเชียงคำรบกันอยู่ ๔ วัน กองทัพเมืองพวนยิงถูกชำกอปิวป่วยตาย แล้วกองทัพห้อยิงถูกแม่ทัพเมืองพวนตาย กองทัพเมืองพวนแตกถอยมารวมทัพอยู่ที่เมืองกัด กองทัพปากึนกอยกอ้อมเข้าไปตีกองทัพเมืองพวนที่เมืองกัด กองทับเมืองพวนแตกเข้าป่าหนีไป แล้วปากึนกอกลับมารวมทัพอยู่ที่ทุ่งเชียงคำ มีกองทัพญวนมารบปากึนกอที่ทุงเชียงคำ อีกข้าพเจ้าได้ยินพวกห้อพูดว่ามีญวนมาประมาณ ๓๐๐ เสศ แต่ตัวข้าพเจ้าแลพวกลาว เมืองลาน้อยนั้นพวกห้อหาได้ให้สาบานตัวไม่ห้อออกรบครั้งใด ก็หาเอาพวกลาวออกรบไม่ ตัวข้าพเจ้าห้อใช้ให้ไปเลี้ยงม้า ญวนกับห้อรบกันอยู่ ๓ วัน ครั้นเวลากลางคืนกองทัพห้อเข้าแหกค่ายญวนแตกหนีไป อยู่ประมาณ ๙ วัน ๑๐ วัน ลิวลิกอ ทัรพกอ ฟาลองกอยกมาที่ทุ่งเชียงคำภักอยู่ประมาณเดือนเสศ แล้วแบ่งพวกห้อให้รักษาครอบครัวอยู่ที่ทุ่งเชียงคำประมาณร้อยเสศประกาศให้ราษฎรที่เข้าเปนพวกทำนาให้ห้อดูแล ครั้นเดือน ๓ ข้างขึ้น ปีจอฉศก ลิวสิกอ ทรัพกอ ฟ้าลองกอคุมกองทัพห้อลาวประมาณ ๒๐๐๐ เสศ ยกมาเมืองเชียงขวางแม่ทัพห้อเอาข้าพเจ้ากับพวกลาวประมาณ ๑๐๐ เสศ คุมม้ามาในกองทัพพวกห้อม้าประมาณ ๓๐๐ เสศ มีปืนคาบชุด ๕๐๐ บอก หอก ๒๐๐ เล่ม เมื่อข้าพเจ้ามาได้เกี่ยวเข้าในนาแล้วครั้นมาถึงเมืองเชียงขวาง หามีพวนยกมารบต่อไปอีกไม่พวกห้อรวบรวมเสบียง อาหารได้ เข้าตั้งอยู่ในเมืองเชียงขวางเมืองขึ้นแตกหนีไปอยู่ในป่าบ้าง จับได้เรียกเอาเงินที่ได้เงินแล้วก็ปล่อยตัวไปที่ไม่ได้เงินไห้ฆ่าเสียก็มาก ข้าพเจ้าเหนแม่ทัพห้อขึ้นอยู่บนเรือนเจ้าเมืองเชียงขวางทั้ง ๔ คน เรือนเจ้าเมืองเชียงขวางมีอยู่ ๕ หลัง แล้วห้อให้ปักเสาค่ายไม้ไผ่ล้อมเรือนกว้าง ๑๐ วา ยาว ๑๑ วา ไพร่พวกห้อก็แยกขึ้นอยู่บนเรือนท้าวเพี้ยบ้าง ราษฎรบ้าง เข้าในยุ้งเจ้าเมืองเชียงขวางท้าวเพี้ยมีทุกเรือน ห้อจะต้องการเข้าก็ไปฃนเอามาแจกจ่ายกันกินไม่ฃัดสน ห้อภักกองทัพอยู่ที่เมืองเชียงขวางประมาณเดือนเสศ ทางตั้งแต่เมืองลาน้อยจะไปถึงเมืองลาใหญ่ ข้าพเจ้าได้ถามพวกห้อบอกว่าเดินบกมาถึงเมืองลาน้อย ๑๐ เดือนเสศ แต่เมืองลาน้อยไปถึงเมืองสบแอกทาง ๒ คืน แต่เมืองสบแอกไปเมืองชิยงก้อทางวันหนึ่ง แต่เมืองเชียงก้อไปเมืองชำเหนือทางวันหนึ่ง แต่เมืองชำเหนือไปเมืองชำไต้ทางวัน ๑ แต่เมืองชำไต้ถึงทุ่งเชียงคำทาง ๖ คืน แต่เมืองลาน้อยจะเดินตัดมาทุ่งเชียงคำทาง ๑๐ คืน แต่เมืองลาน้อยไปเมืองญวนทางเดือนหนึ่ง กองทัพห้อที่ยกมาจะวีวาทบาดหมางกับเจ้าเมืองลาใหญ่ประการใดข้าพเจ้าไม่ทราบ ๆ แต่ว่าห้อแบ่งกองทัพมาทางเมืองลาน้อย ๓๐๐๐ คน ยกลงมาทางเมืองญวน ๑๐๐๐ คน บันจบกับกองทัพห้อที่ยกไปก่อนจะมีคนเท่าใดข้าพเจ้าไม่ทราบ เมื่อรบกองทัพเมืองพวนห้อไปฃนเอาพระพุทธรูปตกั่วมาหลอมเข้าไส่รางทำเปนกระสุนปืน แต่ดินดำเอามาแต่เมืองลาใหญ่บ้าง แม่ทัพห้อทางเมืองญวนส่งขื้นมาบ้างรบบ้านเมืองใดแตกก็เกบเอาดินปืนมารวบรวมไว้แล้ว ลิวสิกอ ทรัพกอ ฟาลองกอให้ปากึนกอคุมพวกห้ออยู่รักษาเมืองเชียงขวางลิวสิกอ ทัรพกอ ฟาลองกอคุมห้อประมาณ ๕๐๐ คน ปืนคาบชุด ๓๐๐ บอก หอก ๒๐๐ เล่ม ม้า ๕๐๐ ม้า ยกลงมาตั้งค่ายอยู่ที่บ้านโพนาเลาตั้งค่ายหนึ่ง ค่ายกว้าง ๑๐ วา ยาว ๑๕ วา เสาค่ายปักด้วยไม่ไผ่ปลูกเรือนในค่าย ๓ หลัง ขุดคู รอบค่าย ถมดินเชิงเทิน มีหอคอยแลปักฃวากรอบค่าย มีเพิงในค่าย ลิวสิกอ ทรัพกอ ฟาลองกอ ภักอยู่ในค่ายบ้านโพทานาเพล่าเดือนหนึ่ง พวกลาวหาได้ยกกองทัพไปรบพวกห้อไม่ แล้วลิวสิกอ ทรัพกอ ฟาลองกอแบ่งคนรักษาค่ายคนจะมากน้อยเท่าใด ข้าพเจ้าไม่ทราบลิวสิกอ ทรัพกอ ฟาลองกอ ก็คุมคน ๕๐๐ คน ยกลงมาถึงปากทาง ได้รบกับกองทัพลาววันหนึ่ง กองทัพลาวแตกหนีไป ลิวสิกอ ทรัพกอ ฟาลองกอยกมาตั้งค่ายรวมเรือนเข้า ๔ หลัง อยู่ในเมืองเวียงจันค่ายกว้าง ๑๐ วา ยาว ๑๕ วา เสาค่ายปักด้วยไม้จริงไม้หมากบ้าง ขุดคูถมดินเชีงเทิน รอบค่ายมีหอคอยตามริมน้ำ ๒ หอ แม่ทัพห้อจะตั้งค่ายที่แห่งใดให้อ้ายยันโกที่ส่งมาพร้อมกับข้าพเจ้านี้เปนนายคุมคนตั้งค่ายทุกค่าย แล้วแม่ทัพห้อแต่งคนแยกย้ายไปฃุดวัดฃุดบ้านบ้าง หาทองเงินแลจับพวกลาวมาเร่งเอาเงิน ได้เงินแล้วให้ป้ายเฃียนเปนอักษรจีนผูกฅอคนละอันไปเปนสำคัญ ทุกคนที่ได้ป้ายแล้วจะไปเที่ยวแห่งไดพวกห้อไม้ทำอันตราย คนที่ไม่มีป้ายห้อภบปะก็จับมาเร่งเอาเงิน ไม่ได้เงินก็ฆ่าเสีย เมือข้าพเจ้าอยู่ในกองทัพห้อ เหนพวกห้อสูบฝิ่นประมาณสองส่วน ที่ไม่สูบฝิ่นประมาณส่วน ๑ ยาฝิ่นนั้นแม่ทัพห้อใส่กระสอบเอามาส่งพวกกองทัพ ต้มแจกกันสูบ แต่ข้าพเจ้านั้นบุตรแม่ทัพห้อใช้ให้ฃ้าพเจ้าเอาเข้าไปส่งห้อที่ไปเที่ยวขุดหาทองเงินตามวัดตามบ้าน ข้าพเจ้าไปถึงบ้านหาดนกแก้วทางไกลเมืองเวียงจันวัน ๑ เวลาคำพวกลาว ๒ คน จับตัวข้าพเจ้าลงเรือค่ามน้ำ ฃองมาส่งเมืองหนองค่าย แล้วพวกเมืองหนองคายส่งตัวข้าพเจ้าให้ท่านฃ้าหลวง คุมลงมา ณ กรุงเทพฯ และกองทับห้อจะยกค่ามมาเมืองหนองคาย แลไปตีเมืองปากเหืองเดือนใดกองทัพลาวยกค่ามน้ำของไปตี กองทัพห้อที่เมืองเวียงจันเมื่อใด ข้าพเจ้าเปนคนเลี้ยงม้าไม่ทราบเปนความสัจจริง ข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
เล่มที่ ๒ นำเบอร์ ๓๒๙ วันอาทิตย เดือน ๒ แรม ๑๓ ค่ำ
ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ แผ่นที่ ๔๑
บอกพระยามหาอำมาตย
๏ พระยามหาอำมาตยมีใบบอกให้พระณรงวิชิตถือลงมาถึงกรุงเทพ ณ วันอังคาร เดือนอ้าย แรมเก้าค่ำ ปีกุนสัปตศก ได้แต่งให้นายทัพนายกองคุมไพร่ไปสังกัดทางซึ่งอ้ายฮ่อจะหนีไปทางเมืองพวน ๔ กองนั้น กลับมาแจ้งความว่า อ้ายฮ่อที่แตกหนีจากค่ายบ้านโพนทานาเวลานั้นกองสังกัดทางฆ่าอ้ายฮ่อตายบ้างจับเปนได้บ้าง ซึ่งอ้ายฮ่อจะหนีล่วงทางไปเมืองพวนนั้นไม่มี เมื่ออ้ายฮ่อหนีไปนั้นหามีเสบียงไปไม่ เดินทางสิบห้าวันจึ่งถึงแขวงเมืองพวนจึ่งจะหาเสบียงได้ แล้วนายทัพนายกองจับได้คนเมืองสบแอก เมืองเชียงค้อกับเลขบ้านโฉมดีที่ลิวสิโกฮ่อเอาไปไว้ใช้สอย เอามาถามปากคำสอบกันให้การต้องกันว่า อ้ายลิวสิโกเปนนายใหญ่ที่หนึ่ง ซินซือเยียลับโก ๆ เลงโกเปาเปนนายรองอยู่ค่ายวัตจันฟาลงโกเปนนายใหญ่ ยีโกสุโกยันโกปาก ซันโกอยู่ค่ายบ้านสิถาน มกสิโกเปนนายใหญ่ โกเฮงโกจอไปซีแยเปนนายรอง อยู่ค่ายบ้านโพนทานาเลา ว่าตายในที่รบทั้งนั้น ครั้น ณ วันสุกร เดือนสิบเอจ แรมแปดค่ำ ปีกุนสัปตศก พระณรงค์วิชิตเชิญตราพระราชสีห กับคุมปืนสนัยเดอโหล ๑ ปืนอิ่นฟีน ๒ โหล ปัศตัน ๒๒๐๐ แก็บฉนวน ๖๐๐๐ กระสุน ๔๔๐๐ ดินดำหนัก ๖๐ ชั่ง พระราชทานขึ้นไปไว้สำหรับราชการนั้น ได้ทราบตามท้องตราทุกประการ แล้วได้รับ ปืน กระสุน ดินดำ แก็บฉนวน ไว้ครบตามจำนวนแล้ว ณ วันพุฒ เดือนสิบเอจ แรมสิบสามค่ำ ปีกุนสัปตศก เพี้ยแก้ว เพี้ยชานน บ้านนาขนซึ่งแต่งให้ไปสืบราชการทางเมืองพวนกลับมาแจ้งราชการว่า เหนฮ่อทั้งค่ายอยู่ที่ลาตรองมีฮ่ออยู่ประมาณ ๙๐ คน ค่ายเมืองเชียงขวางมีฮ่ออยู่ประมาณ ๓๐ คน ค่ายบ้านแอนมีฮ่ออยู่ประมาณ ๖๐ คน ค่ายเมืองเกิงมีฮ่ออยู่ประมาณ ๕๐ คน ค่ายลาตบวดมีฮ่ออยู่ประมาณ ๔๐ คน ค่ายทุ่งเชียงคำมีฮ่ออยู่ประมาณ ๑๑๐ คน ค่ายเมืองแสนมีฮ่ออยู่ประมาณ ๓๐๐ คน รวม ๗ ค่าย เปนคน ๖๗๐ คน อ้ายฮ่อพูดกันว่าจะไปรบเมืองหลวงพบาง แต่จะไปวันใดหามีกำหนดไม่ พระยามหาอำมาตยได้มีหนังสือไปถึงพระยาพิไชยที่เมืองหลวงพบาง แจ้งข้อราชการทางเมืองพวน เมืองหนองคาย ด้วยแล้ว แต่พระณรงควิชิตป่วยเปนไข้รับราชการไม่ได้ จึ่งให้คุมอ้ายฮ่อลงมากับปืน หอก ดาบ ธง แลม้า ซึ่งได้มาแต่ค่ายอ้ายฮ่อลงมาทูลเกล้า ฯ ถวาย ฮ่อ ๘ จีน ๔ ลาว ๒๖ ญวน ๙ รวม ๔๗ คน คุมลงมาด้วยแล้ว บอกมา ณ วันอังคาร เดือนสิบสอง ขึ้นสิบสองค่ำ ปีกุนสัปตศก ๚ะ
๏ พระศรีเสนาฃ้าหลวง พระปลัดกรมการเมืองพิไชยบอกส่งต้นหนังสือเจ้าพระยาภูธราภัย ๚ะ
๏ หนังสือเจ้าพระยาภูธราภัย ๑ หนังสือพระยาพิไชยมีมาเรียนเจ้าพระยาภูธราภัย ๑ กับคำให้การขุนสุภมาตราเมืองตรวนตริสิน ๑ รวม ๓ ฉบับ ให้หลวงวิชิตภักดีเมืองพิไชยถือลงมาถึงกรุงเทพฯ ณ วัน เดือนยี่ ขึ้นสี่ค่ำ ปีกุนสัปตศก ความในหนังสือ เจ้าพระยาภูธราภัยว่า ยกขึ้นไปถึงเมืองน้ำปาต ณ วันอาทิตย เดือนอ้าย ขึ้นสิบห้าค่ำ ขุนสุภมาตราเมืองตรวนตริสิน ถือหนังสือพระยาพิไชยลงมา ณ วัน เดือนสิบสอง ขึ้นแปดค่ำ พระยาพิไชยนายทัพนายกองยกขึ้นไปถึงเมืองสุย แต่เจ้าอุปราชเมืองหลวงพบาง หัวเมืองทั้งปวง ขึ้นไปไม่ทันกำหนด พระยาพิไชยยกไปทั้งค่ายอยู่บ้านสูท แขวงเมืองกัษ กองทัพฮ่อยกเข้ามาปล้นตีค่ายในเวลากลางคืน ได้สู้รบกับฮ่อ ๆ ถอยไป ครั้น ณ วัน เดือนสิบสอง แรมเก้าค่ำ ฮ่อยกมารบ ๒ วันยังสู้รบกันอยู่ พระยาพิไชยรักษาค่ายตั้งมั่นอยู่ พวกเวียนสุย เวียนคลัง เวียนทาย เวียนกริง เวียนเทียงที่หนีอยู่ในป่าออกมาหาพระยาพิไชย แต่เวียนแสง เวียนกวาน ทางเมืองเชียงขวางทุ่งเชียงคำหาได้เข้ามาไม่ พระยาพิไชยขอให้เร่งกองทัพเมืองสวรรคโลก เมืองสุโขไทย เมืองหลวงพบาง เมืองน่านรีบยกขึ้นไปโดยเรว ความแจ้งอยู่ในใบบอกพระยาพิไชยแล้ว เจ้าพระยาภูธราภัยได้มีหนังสือให้ขุนสุพมาตราถือกลับขึ้นไปให้พระยาพิไชย นายทัพนายกองช่วยกันรักษาค่ายให้ทั้งมั่นระวังด่านน่า ด่านหลังให้ตี อย่าให้เสียท่วงทีกับฆ่าศึกได้ แล้วได้มีหนังสือขึ้นไปให้พระสุริยภักดี เจ้าเมืองหลวงพบาง เร่งกองทัพเจ้าอุปราชเมืองหลวงพบาง เมืองน่าน พระปลัดเมืองสวรรคโลกให้รีบยกขึ้นไปบันจบพระยาพิไชยที่เมืองสุยให้ทันท่วงที ทางเมืองปากเหืองนั้น พระยาพกฤษให้พระบริรักษภักดีคุมไพร่ ๑๑๓ คน ค่ามน้ำของไปตั้งอยู่สามหมื่นอยู่เมืองเฟือง แล้วแต่งให้คนออกไปสืบราชการ ทางเมืองสุยทางหนึ่งได้ให้พระยาสุรินทรราชเสนีคุมไพร่ ๒๐๐ คนเสศ ยกค่ามน้ำชองไปทางเมืองแมต เมืองการ อีกกองหนึ่งพระยาพกฤษคุมไพร่ ๖๐๐ คนยกไปทางหนึ่ง ถ้ากองทัพพร้อมกันแล้วเหนการจะทำได้ก็ให้พระยาพิไชยกำหนดนัดให้พร้อมกันยกเข้าระดมตีกองทัพอ้ายฮ่อให้เลิกถอนไปให้ได้ แล้วเจ้าพระยาภูธราภัยฯ ได้ถามขุนสุภมาตราผู้ถือบอกพระยาพิไชยส่งลงมาด้วยแล้ว แต่เสบียงอาหารที่เมืองพบางกันดารให้พระยาแพร่เปนแม่กองลำเลียงเกณฑโคต่างมาบันทุกเข้าที่เมืองพิไชยไปขนขึ้นฉางไว้เมืองน้ำปาต แล้วจะให้อุปฮาตหลวงแก้วกรมการเมืองน้ำปาต ขนขึ้นไปใส่ฉางไว้ที่เมืองวาให้ภอจ่ายกองทัพ เจ้าพระยาภูธราภัย นายทัพนายกองจะได้น้อมเกล้าถวายคำนับบังคมลา ยกไปจากเมืองน้ำปาต ณ วันพุฒ เดือนอ้าย แรมสามค่ำ บอกมา ณ วันพุฒ เดือนอ้าย แรมสามค่ำ ปีกุนสัปตศก ๚ะ
เล่มที่ ๒ นำเบอร์ ๓๔๕ วันอาทิตย เดือน ๓ ขึ้น ๑๒ ค่ำ
ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ แผ่นที่ ๔๓
บอกเจ้าพระยาศรีพิพัฒน
๏ เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์บอกลงมา ๒ ฉบับ ๆ หนึ่งว่า ณ วันเสาร เดือนอ้าย ขึ้นสิบสี่ค่ำ ปีกุนสัปตศก พระมหาเทพเจ้ากรมพระตำรวจในซ้าย เชิญตราพระราชสีห ขึ้นไปถึงท่าบ้านอ้อย แขวงเมืองสรบูรีย ข้าพเจ้าได้ให้พระยาสยามลาวบดีปลัดจ่ายเสบียงอาหารให้แก่นายไพร่รับพระราชทาน ได้จัดช้างเมืองหล่มศัก ๑๐ ช้าง คนสำหรับช้าง ๑๐ คน โคต่าง ๑๓๒ โค คนสำรับโคนายไพร่ ๓๘ คน ให้พระมหาเทพบันทุกสิ่งของยกขึ้นไปเมืองนครราชสีมา แต่ ณ วันจันทร เดือนอ้าย แรมคำหนึ่ง ปีกุนสัปตศกแล้ว ๚ะ
๏ ฉบับหนึ่งว่า ณ วันพูฒ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๑ ค่ำ พระยาปราจีนแต่งให้หลวงพล เมืองปราจิณบุรี ขุนวิชิตษรไกร ขุนศรีมงคล เมืองประจันตคาม ขุนต่างใจ ขุนภักดี เมืองกระบินทร หลวงคลังเมืองวัฒนานคร ขุนจำนง เมืองอรัญประเทศ นายไพร่รวม ๙๘ คน คุมโคต่าง ๔๔๓ โค ครั้น ณ วันศุกร เดือนอ้าย ขึ้น ๑๓ ค่ำ พระยาวิเสศ ฦๅไชยกรมการเมืองฉเชิงเทรา แต่งให้ขุนพิทักษโควินเพี้ยตางพัน เพี้ยศรีคชศัก พันแผ้วใจหาร พันผลานใจภพ พันจงใจจิตร นายไพร่รวม ๒๒ คน คุมโคต่าง ๑๐๐ โค ขึ้นไปส่งข้าพเจ้า ณ วัดบ้านอ้อย เมืองสรบุรี ข้าพเจ้าได้ให้พระสยามลาวบดี ปลัดจ่ายเสบียงอาหารให้นายไพร่ เมืองปราจิณบูรี เมืองฉเชิงเทรา แลเมืองขึ้นรับพระราชทานภอเปนกำลังราชการแล้ว ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ๚ะ
บอกพระยามหาอำมาตย
๏ พระยามหาอำมาตยบอกให้พระณรงควิชิตถือมาถึงกรุงเทพ ณ วันอังคาร เดือนอ้าย แรม ๙ ค่ำ ปีกุนสัปตศก ว่าได้แต่งให้นายทัพนายกองไปวกหลังสังกัดทางอ้ายห้อจะหนีจากค่ายไปทางเมืองพวน ๔ กองนั้นกลับมาแจ้งข้อราชการว่า อ้ายห้อซึ่งแตกหนีออกจากค่ายบ้านโพนทานาเลานั้น กองสังกัดทางฆ่าอ้ายห้อตายบ้างจับเปนได้บ้าง อ้ายห้อจะหนีล่วงทางกลับไปเมืองพวนได้นั้นไม่มี เมื่ออ้ายห้อหนีไปนั้น เสบียงหามีไม่ ด้วยทางกันดารเปนช่องเฃาเดินสิบห้าวันถึงเมืองพวน อ้ายห้อจึ่งจะหาเสบียงได้ แล้วนายทัพนายกองจับได้คนสบแอกเชียงคัวกับเดกพวกบ้านโฉมกี ที่ลิวสิโกพวกอ้ายห้อจับไปไว้ใช้สอย เอามาถามปากคำสอบกันให้การถูกต้องว่า อ้ายลิวสิโกเปนนายใหญ่ที่ ๑ ชันสิแยสัพโก ๆ เลงโกเปาเปนนายรองอยู่ค่ายวัดจัน ภาหลงโกนายใหญ่ ยีโก สุโก ยันสัพโก ปากชันโกอยู่บ้านสีถาน มกสิโกเปนนายใหญ่ โกเฮงโกจ๋อไปสิแยเปนนายรองอยู่ค่ายบ้านโพนทานาเลาว่าถูกปืนตายทั้งนั้น ครั้น ณ วันศุกร เดือน ๑๑ แรม ๘ ค่ำ ปีกุนสัปตศก พระณรงค์วิชิตเจ้ากรมตำรวจในพระราชวังบวรฯ เชิญตราพระราชสีห คุมปืนสนายเดอโหล ๑ อีนฟิน ๒ โหล ปัศตัน ๒๒๐๐ ปัศตัน แกบฉนวน ๖๐๐๐ แกบกระสุน ๔๔๐๐ กระสุน ดินดำหนักหกสิบหาบ ขึ้นไปพระราชทานให้ไว้สำรับราชการนั้น ได้รับไว้ครบตามจำนวนแล้ว ครั้น ณ วันพุฒ เดือน ๑๑ แรม ๑๓ ค่ำ ปีกุนสัปตศก เพี้ยแก้ว เพี้ยซรานนซึ่งแต่งให้ไปสืบข้อราชการทางเมืองพวนกลับมาแจ้งความว่า เพี้ยแก้ว เพี้ยซรานนไปถึงเมืองพวนเหนอ้ายห้อตั้งค่ายอยู่ลาตรองมีห้อประมาณ ๘๐ คน ค่ายเมืองเชียงขวางมีห้ออยู่ประมาณ ๓๐ คน ค่ายบ้านแวนมีห้ออยู่ประมาณ ๖๐ คน ค่ายเมืองเคีงมีห้ออยู่ประมาณ ๕๐ คน ค่ายลาตบอกมีห้ออยู่ประมาณ ๔๐ คน ค่ายทุ่งเชียงคำมืห้ออยู่ประมาณ ๑๑๐ คน ค่ายเมืองแสนมีห้ออยู่ประมาณ ๓๐๐ คน รวม ๗ ค่าย เปนคน ๖๗๐ คน อ้ายห้อพูดกันว่าจะยกไปรบเมืองหลวงพบาง จะไปวันใดหามีกำหนดไม่ได้ มีหนังสือบอกไปยังพระยาพิไชยที่เมืองหลวงพบาง แจ้งข้อราชการทางเมืองหนองคาย เมืองพวน ด้วยแล้ว จึ่งแต่งให้พระณรงค์วิชิตคุมอ้ายห้อกับปืน หอก ดาบ ธง แลม้า ซึ่งได้มาแต่ค่ายอ้ายห้อลงมาทูลเกล้า ฯ ถวาย รายชื่ออ้ายห้อฆ่าศึกแลสิ่งของแจ้งมาในหางว่าวนั้นแล้ว บอกมา ณ วันอังคาร เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ ๚ะ
บอกเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง
๏ เจ้าพระยามหินทรศักดิธำรงบอกมาว่า ณ วันศุกร เดือนอ้าย ขึ้น ๖ ค่ำ ได้มีหนังสือไปถึงพระยามหาอำมาตย แลพระยาประทุมเทวาธิบาลเจ้าเมืองหนองคาย แต่งให้ซุนวิสูตรเสนี ขุนพินิจนิกรกรมสัศดี นายทัดลาวเมืองหนองคาย รวมนายไพร่ ๑๑ คน ถือหนังสือขึ้นไปสืบข้อราชการทางเมืองหนองคายกองหนึ่ง แต่งให้ขุนสัตยากรมสัศดี นายหนูอุปฮาตนอกราชการเมืองขอนแก่น รวมนายไพร่ ๘๐ คน ถือหนังสือขึ้นไปถึงพระนครศรีบริรักษ เจ้าเมืองขอนแก่นฉบับหนึ่ง ให้คัดสำเนาหนังสือซึ่งมีไปถึงพระยามหาอำมาตยแลพระยาประทุมเทวาธิบาลเมืองหนองคาย พระนครศรีบริรักษส่งลงมาด้วยแล้ว ครั้น ณ วันอาทิตย เดือนอ้าย ขึ้น ๘ ค่ำ มีตราพระราชสีห โปรดเกล้า ฯ ขึ้นไปถึงข้าพเจ้าว่า ให้แต่งนายทัพนายกองขึ้นไปสืบราชการทางเมืองหนองคายนั้นได้ทราบทุกประการแล้ว จึ่งแต่งให้พระยาวิชิตณรงค์ไปฟังราชการที่พระมหาอำมาตย ณ เมืองหนองคาย กับคอยฟังราชการกองทัพ ฯพณฯ สมุหนายกทางเมืองหลวงพบางด้วยแล้ว ครั้น ณ วันอาทิตย เดือนอ้าย ขึ้น ๔ ค่ำ เวลาเช้า ๔ โมงเสศ พระณรงควิชิตคุมห้อมาถึงเมืองนครราชสีมาแจ้งความว่า พระยามหาอำมาตยให้คุมห้อมาแต่เมืองหนองคาย ๔๗ คน ตายเสียตามทาง ๔ คน ยังคงห้ออยู่แต่ ๔๓ คน กับได้ส่งสำเนาหนังสือ ๔ ฉบับลงมาด้วยแล้ว บอกมา ณ วันพุฒ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ ๚ะ
๏ ข้าพเจ้า เจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง น้อมคำนับเรียนมายัง ฯพณฯ สมุหนายกแม่ทัพทางเมืองหลวงพบางได้ทราบด้วย ณ วันอาทิตย เดือนอ้าย ขึ้น ๘ ค่ำ มีตราพระราชสีหโปรดเกล้าฯ ไปถึงข้าพเจ้าที่เมืองนครราชสิมาว่า ให้แต่งนายทัพนายกองคุมไพร่ขึ้นไปสืบราชการที่พระยามหาอำมาตยเมืองหนองคาย ฤๅ ฯพณฯ ที่สมุหนายกแม่ทัพทางเมืองหลวงพบางจะมีหนังสือมานัดหมายว่า จะยกเข้าตีกองทัพห้อที่ตำบลใดวันใด ให้ข้าพเจ้านายทัพนายกองยกไปช่วยให้ทันท่วงที ถ้าเหตุการทางใดไม่มีก็ให้ข้าพเจ้านายทัพนายกองรออยู่ที่เมืองนครราชสีมาก่อน ถ้าจะมีราชการเข้าตีทัพห้อแห่งใดวันใด ขอไต้ท้าวกรุณาได้โปรดมีหนังสือนัดหมายไปแต่เนิ่น ๆ จะได้รีบยกขึ้นมาให้ทันท่วงที ได้แต่งให้พระยาวิชิตณรงค์ไปคอยฟังราชการอยู่ที่พระมหาอำมาตย ณ เมืองหนองคายด้วยแล้ว กราบเรียนมา ณ วัน พุฒ เดือนอ้าย แรมสามค่ำ ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ ๚ะ
๏ หนังสือเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรงมาถึงพระยามหาอำมาตย ด้วยข้าพเจ้าได้ให้ขุนวิสูตรเสนี ขุนพินิจนิกร กับนายทัดลาว ขาวเมืองหนองคาย นายไพร่ ๑๑ คน ถือหนังสือขึ้นมาสืบราชการเมืองหนองคายแต่ก่อนแล้ว ครั้น ณ วันอาทิตย เดือนอ้าย ขึ้นแปดค่ำ มีท้องตราโปรดเกล้า ฯ ขึ้นมาถึงข้าพเจ้าฉบับหนึ่งว่า ให้แต่งนายทัพนายกองไปฟังราชการ อยู่ที่พระยามหาอำมาตยเมืองหนองคาย ถ้าพระยามหาอำมาตยบอกลงไปว่ากองทัพฮ่อยกมาตีเขตรแดนเมืองลาวอีก ฤๅเจ้าพระยาภูธราภัยแม่ทัพทางเมืองหลวงพบางมานัดหมายว่า จะยกเข้าตีทัพฮ่อตำบลนั้นวันนั้น ให้ข้าพเจ้านายทัพนายกองยกไปช่วยทางนั้นวันนั้น ก็ให้เร่งยกกองทัพขึ้นไปช่วยเจ้าพระยาภูธราภัยแลพระยามหาอำมาตยให้ทันท่วงที อย่าให้รอถ้าท้องตราเลยถ้าเหตุการสิ่งใดไม่มีก็ให้ข้าพเจ้ารอฟังราชการอยู่ที่เมืองนครราชสีมาก่อน ข้าพเจ้าแต่งให้พระยาวิชิตณรงค์ขึ้นมาฟังราชการอยู่ที่เมืองหนองคาย กับฟังราชการทางเมืองหลวงพบางด้วย ถ้ามีราชการมาประการใดขอให้ท่านปฤกษาด้วยพระยาวิชิตณรงค์ตกลงประการใดเร่งบอกไปให้ข้าพเจ้าทราบโดยเรวให้ทันท่วงทีตามกระแสพระบรมราชโองการ ซึ่งโปรดเกล้าฯ ขึ้นมาจงทุกประการ แต่ขุนวิสูตรเสนีมาสืบราชการแต่ก่อนนั้นมีราชการประการใดให้ท่านมีหนังสือให้ขุนวิสูตรเสนี ลงมาแจ้งราชการกับข้าพเจ้า ณ เมืองนครราชสีมา หนังสือมา ณ วันพุฒ เดือนอ้าย แรมสามค่ำ ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ ๚ะ
๏ หนังสือเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรงมาถึงพระยามหาอำมาตย พระยาประทุมเทวาธิบาลเมืองหนองคาย ด้วยข้าพเจ้ายกขึ้นมาถึงเมืองนครราชสีมา ณ วันอาทิตย เดือนอ้าย ขึ้นค่ำหนึ่ง ปีกุนสัปตศก ได้ปฤกษากับพระยาราชเสนา พระยานครราชสีมาด้วยข้อราชการที่จะยกทัพขึ้นมาเมืองหนองคายโดยเรว พระยาราช เสนาแจ้งว่า ได้กำหนดเกณฑ์ไพร่หัวเมือง มาสมทบกองทัพที่เมืองขอนแก่นไว้พร้อม ต่อเดือนยี่ข้าพเจ้าจึ่งเร่งให้จัดช้าง เกวียน เสบียงอาหาร แลไพร่หัวเมืองให้ทันยก ในเดือนอ้ายนี้ก็ยังไม่พร้อม เกลือกจะช้าจะไม่มีข้อราชการบอกลงไปให้ทราบไต้ฝ่าลอองฯ จึ่งแต่งให้ขุนวิสูตรเสนี ขุนพินิจนิกร นายไพร่ ๑๑ คนขึ้นไปสืบราชการ ณ เมืองหนองคาย ขอให้ท่านพระยามหาอำมาตย พระยาประทุมเทวา เอาใจใส่แก่ราชการด้วยหนังสือมา ณ วันสุกร เดือนอ้าย ขึ้นหกค่ำ ปีกุนสัปตศก ๚ะ
๏ หนังสือเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรงมาถึงพระนครศรีบริรักษเจ้าเมืองขอนแก่น ด้วยข้าพเจ้ายกขึ้นมาถึงเมืองนครราชสีมา ณ วันอาทิตย เดือนอ้าย ขึ้นค่ำหนึ่ง ได้ปฤกษากับพระยาราชเสนา พระยานครราชสีมาด้วยข้อราชการที่จะยกขึ้นไปเมืองหนองคาย พระยาราชเสนาแจ้งว่า ได้เกณฑ์ไพร่หัวเมืองมาสมทบกองทัพที่เมืองฃอนแก่นให้พร้อมต่อเดือนยี่ก็ยังไม่ทันจะพร้อม จึ่งแต่งให้ฃุนสัตยากรกรมสัศดี นายไพร่ ๘ คนฃึ้นมาฟังราชการทางเมืองขอนแก่น ที่จะรวมทัพจะจัดการไว้ประการใด ให้พระนครศรีบริรักษ มีบอกแจ้งข้อราชการที่ได้จัดไว้ลงมาให้แจ้งจงทุกประการ
แลให้พระนครศรีบริรักษหาที่รวมกองทัพแลตั้งยุ้งฉางไว้เสบียงอาหารให้สมควรแล้วให้บอกลงไปโดยเรว หนังสือมา ณ วันสุกร เดือนอ้าย ขึ้นหกค่ำ ปีกุนสัปตศก ๚ะ
บอกพระยาราชเสนา
๏ พระยาราชเสนาฃ้าหลวง พระยานครราชสีมากรมการบอกลงมาว่า ณ วันอาทิตย เดือนอ้าย ขึ้นแปดค่ำ พระณรงค์วิชิตมาแจ้งว่า พระยามหาอำมาตยให้ พระณรงค์วิชิตคุมฮ่อ ๔๗ คน มาถึงเมืองขอนแก่นฮ่อป่วยตายเสีย ๔ คน ครั้นจะรีบเดินฮ่อก็อิดโรยล้มตาย ได้จัดให้หลวงศรีรณรงค์กับไพร่ ๑๐๐ คน คุมฮ่อลงมาส่งตามระยะทางใต้ถึงเมืองสระบูรี บอกมา ณ วันพฤหัศบดี ขึ้นสิบสองค่ำ ปีกุนสัปตศก ๚ะ
คำให้การอ้ายบากูญวนถามที่จวนสมเดจเจ้าพระยา
๏ ข้าพเจ้าอ้ายบากูให้การภาษาญวนว่า อายุศมข้าพเจ้าได้ ๒๕ ปี ข้าพเจ้าเกิดที่บ้านกุกทู แขวงเมืองทรงเพาญวน เจ้าเมืองชื่อไรข้าพเจ้าไม่ทราบเหนไว้ผมมวยเหมือนญวน ราษฎรในเมืองทรงเพาประมาณหมื่นเสศ บิดาข้าพเจ้าชื่อ จีนมก แต่มารดาชื่อไรข้าพเจ้าไม่ทราบตายเสียแต่ข้าพเจ้ายังเลกอยู่ ข้าพเจ้าก็อยู่ที่บ้านกุกทูมาจนถึง ณ ปีรกาเบญจศก เพลากลางคืนพวกห้อประมาณ ๑๐๐๐ เสศ เข้าล้อมหมู่ที่บ้านข้าพเจ้าอยู่ พวกฃ้าพเจ้าสู้ไม่ได้พวกห้อเกบเอาทรัพยสิ่งของ แล้วจับเอาตัวข้าพเจ้ากับเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่ข้าพเจ้าได้เจดคน เดินไปทางสามวันไปภักอยู่ที่บ้านทรงเบอเขตรเมืองทรงเพา แล้วลิวซีกอ ทรับกอ ฟาลองกอให้เอาไมไผ่ปักเปนค่ายยาวประมาณ ๒ วา มีประตู ๔ มีหอคอย ๔ มุม ขุดคูถมดินเปนเชิงเทิน ปลูกโรงในค่าย ๔ หลัง ๆ หนึ่งยาว ๑๐ วา กว้าง ๕ วา มุงหลังคาด้วยแฝก แต่พวกญวนเมืองทรงเพายกออกมารบครั้งหนึ่งก็หล้ากลับไป ลิวซีกอ ทรับกอ ฟาลองกอ พักอยู่ปีหนึ่งหมดเสบียงอาหาร ให้พวกห้อคนหนึ่งชื่อไรข้าพเจ้าไม่ทราบคุมไพร่ประมาณ ๒๐๐ คน อยู่รักษาค่ายที่บ้านทรงเบอ ลิวซีกอ ทรับกอ ฟาลองกอ มีไพร่ประมาณ ๑๐๐๐ เสศ ข้าพเจ้าเหนมีปืนยาว ๒ ศอก ใหญ่ ๒ กำ มีสองบอก มีปืนคาบชุดคาบสิลาบ้างประมาณ ๒๐๐ เสศ มีเหลกแหลมใส่ปลายไม้ยาว ๖ ศอก ประมาณ ๒๐๐ อัน ลิวซีกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ใช้ให้ข้าพเจ้าเปนคนตักน้ำตำเฃ้า แล้วลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ก็คุมไพร่ประมาณ ๘๐๐ เสศ ภากันยกเดินมาทางเดือนหนึ่งถึงบ้านเจา แขวงเมืองญวนทรงเพา หมดเสบียงอาหาร ก็ภากันเข้าแย่งชิงเอาเสบียงอาหารแลสิ่งของ จับคนได้มีเงินไถ่ตัวก็ปล่อยไป ถ้าไม่มีเงินไถ่ตัวก็จับเอาไว้ แต่ข้าพเจ้าอยู่ในกองลิวซอกอ แต่กองทรับกอ ฟาลองกอ จับได้กี่คน ข้าพเจ้าไม่ทราบ ครั้น ณ ปีจอฉศก ลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ภากันยกมาทางสองเดือนถึงเมืองพวนแลบ้านเลกเมืองน้อย ตามทางที่มานั้นไม่อาจสู้รบยอมให้เสบียงอาหาร แลยอมตัวเข้าประมาณ ๕๐ คน ครั้นถึงเมืองพวนแล้ว ลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ก็ยกไพร่พลเข้าตีเมืองพวนรบกันอยู่ วันหนึ่งลาวพวกเมืองพวนตายเปนอันมาก ครั้นเพลากลางคืนพวกเมืองพวนก็ภากันหนีไปได้บ้าง ครั้นเพลาเช้า ลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ กับพวกไพร่ก็ภากันเข้าในเมืองพวน พวกลาวที่หนีไปไม่ได้ก็ยอมเข้าแก่ลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ พวกลาวที่มีเงินไถ่ตัวก็ปล่อยไป ที่ไม่มีเงินก็ต้องหาเสบียงอาหารมาส่ง แล้วลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ก็ให้พวกไพร่ตัดไม่ไผ่ ไม้หมาก ไม้จริงบ้าง มาปักเปนค่ายสูง ๓ วา ยาว ๒๐ วาเสศ สี่เหลี่ยม มีหอคอยสี่มุม มีปะตูสี่ปะตู ฃุดคูล้อมรอบ ถมดินเปนเชิงเทิน มียุ้งเข้าสองหลัง ๆ หนึ่งยาวประมาณ ๕ วา กว้างประมาณ ๓ วา สูงประมาณ ๓ วา เหมือนกันทั้งสองหลัง แต่ข้าพเจ้าเหนพวกลาวแบกกะบุงเข้าเปลือกมาส่งประมาณวันละ ๑๐๐ กะบุงบ้าง วันละ ๘๐ กะบุงบ้าง วันละ ๕๐ กะบุงบ้างเสมอไม่ได้ฃาด แต่ข้าพเจ้าเปนคนตักน้ำตำเข้า แต่คนในค่ายแลนอกค่ายประมาณ ๖๐๐ คนเสศ มีปืนใหญ่ยาว ๓ ศอก โต ๓ กำ ๒ กะบอก มีปืนเลกคาบชุดบ้าง คาบสิลาบ้างประมาณ ๒๐๐ กะบอก มีดาบประมาณ ๕๐ เล่ม มีเหลกแหลมใส่ปลายไม่ไผ่ยาว ๖ ศอก ประมาณ ๒๐๐ อัน ข้าพเจ้าทราบแต่กองลิวซิกอ แต่กองทรับกอ ฟาลองกอ จะมีเครื่องอาวุธสิ่งใดบ้างข้าพเจ้าหาทราบไม่ ลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ตั้งให้พวกห้อชื่อปัดคุมไพร่ ๘๐ เสศ รักษาอยู่ที่ค่ายเมืองพวน แล้วลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ก็คุมพวกไพร่ ๕๐ เสศ มาทาง ๑๕ วัน ถึงเมืองเวียงจัน เดือนเจดปีกุนสัปตศกพวกลาวก็ไม่อาจสู้รบลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ เข้าในเมืองเวียงจันเอาไม้ไผ่ ไม้หมากบ้าง ปักทำค่ายสูง ๓ วา ยาว ๒๐ วา สี่เหลี่ยม มีหอคอย ๔ มุม มีประตู ๔ ประตู ขุดคูล้อมรอบ ถมดินเปนเชิงเทินแล้วเอาไม้หมากปักเปนค่าย หน้าเมืองเวียงจันริมแม่น้ำใหญ่อีก ๒ ค่ายสูงประมาณ ๓ วา กว้างยาวประมาณ ๒๐ วาเสศ มีหอคอย ๔ มุม มีสี่ประตู ขุดคูล้อมรอบ ถมดินเปนเชิงเทิน ปลูกเรือนด้วยไม้ไผ่ในค่าย ๔ หลัง ๆ หนึ่ง ยาวประมาณ ๑๐ วา กว้าง ๕ วา เหมือนกันทั้ง ๔ หลัง แต่เสบียงอาหารฃ้าพเจ้าเหนพวกลาวเอามาส่งทุกวันเสมอมิได้ขาด แต่กะสุนดินดำนั้น ข้าพเจ้าเหนมีใช้อยู่มิได้ขาด แต่จะเอามาแต่ข้างไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ เมื่อเดือนสิบเอด ปีกุนสัปตศก เพลา ๓ โมงเช้า กองทัพไทยเอาปืนยิงเข้าไปในค่ายถูกพวกห้อตายเปนอันมาก ข้าพเจ้ากลัวก็วิ่งหนีออกจากค่าย เหนกองทัพไทยล้อมเข้าไว้ข้าพเจ้าก็ยกมือไหว้ กองทัพไทยก็จับเอาตัวข้าพเจ้ามา แต่ข้าพเจ้าเปนคนตักน้ำ ตำเฃ้า ความนอกจากนี้ไปข้าพเจ้าไม่ทราบ เปนความสัจความจริง สิ้นคำให้การข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายอะเกาญวน ถามที่จวนสมเดจเจ้าพระยา
๏ ข้าพเจ้าอ้ายอะเกาญวนให้การว่า อายุข้าพเจ้าได้ ๒๑ ปี มารดาข้าพเจ้าชื่อ อะซือ บิดาข้าพเจ้าตายแต่ข้าพเจ้ายังเดกอยู่จะชื่อไรข้าพเจ้ายังหาทราบไม่ ข้าพเจ้าอยู่บ้านกกจ๋ายขึ้นกับเมืองกงก๋า บิดามารดาทำไร่นาภอรับพระราชทานไม่ได้เปนที่ซื้อขาย นายบ้านกกจ๋ายที่ข้าพเจ้าอยู่ชื่อ กีหยำ มีเรือนราษฎรพลเมืองประมาณ ๕๐ หลังเรือนเสศ มีไพร่ชาย หญิง ราษฎรประมาณ ๒๐๐ คนเสศ ทำนาบ้าง ทำไหมบ้าง ทำป่านบ้าง แต่บ้านกกจ๋ายที่ข้าพเจ้าอยู่จะไปเมืองกงก๋าทางวันหนึ่ง ที่บ้านกกจ๋ายข้าพเจ้าอยู่นั้นซื้อขายใช้สอยกันกับอีแปะ แต่อีแปะใช้กัน ๖๐ อีแปะ เปนเตี๋ยนหนึ่ง ๑๐ เตี๋ยน คิดเปนเงินสลึงหนึ่ง ๑๐ เตี๋ยน เรียกว่า พวงหนึ่ง เข้าเปลือกจะซื้อขายกันถังหนึ่งเปนเท่าไรอีแปะข้าพเจ้าหาทราบไม่ ทราบว่าแต่เข้าสารซื้อขายกัน ถังหนึ่งตวงด้วยชามตะเภา ๓๐ ชามเปนถังหนึ่ง ๆ ราคา ๕ พวงอีแปะ เข้ากล้อง ๓๐ ชามถังหนึ่งเปนสามพวงอีแปะ ครั้น ณ วันเดือนใดจำมิได้ปีรกาเบญจศก ฃ้าพเจ้าอยู่ที่บ้านทราบว่า ยีโกคุมไพร่พลประมาณ ๓๐๐ คนเสศมีเครื่องสาตราวุทพร้อมยกมาตีปล้นบ้านตันกวาง ๆ ขึ้นกับเมืองกวางนาม แต่นายบ้านตันกวางเรียกชื่อยังไรข้าพเจ้าหาทราบไม่ นายบ้านตันกวางกับใพร่ราษฎรไม่สู้รบภากันแตกตื่นเข้าป่าดงไปบ้าง ยีโกจับได้คนฉกรรจ์ในบ้านตันกวางประมาณ ๒๐ คน ยีโกรวบรวมเสบียงอาหารไพร่พลอยู่ที่บ้านตันกวาง วันหนึ่ง ณ วันเดือนสิบ ปีรกาเบญจศก ยีโกก็คุมไพร่พลยกออกจากบ้านตันกวาง มาตีปล้นบ้านกกจ๋ายที่บ้านข้าพเจ้าอยู่ ยีโกกับพวกไพร่เข้าไปตีปล้นในบ้านกกจ๋ายเวลากลางคืน ชาวบ้านกกจ๋ายไม่ทันรู้ตัวหาได้สู้รบไม่ภากันแตกตื่นหนีไปได้บ้าง ที่คนแก่ชราพวกไพร่ยีโกก็ฆ่าเสียมากที่หนีไปไม่ทันเปนคนฉกรรจ์ยีโกกับพวกไพร่ก็จับเอาตัวไว้ ตัวข้าพเจ้าหนีไม่ทันยีโกจับเอาตัวได้ แล้วยีโกกับไพร่ก็เกบรวบรวมเข้าเกลือเสบียงอาหารได้แล้ว ก็ยกออกจากบ้านกกจ้ายมีไพร่พลประมาณ ๓๐๐ คนเสศ มีปืนคาบสิลา ๕๐ บอก มีหอก ๙๐ เล่ม ธงศรีน้ำเงินศรีขาวประมาณ ๒๐๐ ธง ระยะทางหกวันถึงเมืองสพแอก ยีโกกับพวกไพร่กองเดียวเข้ารบเมืองสพแอกอยู่วันหนึ่ง พวกเมืองสพแอกแตกภากันหลบหนีไป กองทัพยีโกก็เอาไฟจุดเผาบ้านเรือนเกบเอาทรัพย์สิ่งของแลเสบียงอาหารได้แล้ว ภักอยู่เมืองสพแอก ๒ วัน ก็ยกมาจากเมืองสพแอกทาง ๔ วันถึงเมืองเชียงฆ้อ ยีโกตั้งค่ายปักเสาค่ายด้วยไม้หมากบ้าง ไม้ไผ่บ้าง สูง ๘ ศอก ข้างในถมดินเปนเชิงเทินสูง ๔ ศอก ข้างนอกขุดคูรอบค่ายกว้างประมาณเส้น ๑ ยาวประมาณเส้นเสศ มีประตู ๔ ประตู มีหอคอย ๔ หอทุกประตู ทำกระท่อมอยู่ในค่ายประมาณ ๙ หลัง ๑๐ หลัง แต่กระสุนดินดำนั้นยีโกจะเอามาแต่ไหนข้าพเจ้าหาทราบไม่ ยีโกยกไพร่พลเข้ารบเมืองเชียงฆ้อวันหนึ่ง เจ้าเมืองเชียงฆ้อสู้รบต้านทานหาได้ไม่ภาครอบครัวไพร่บ้านหนีไป แต่เมื่อกำลังรบกันนั้นข้าพเจ้าเปนคนหุงเข้าอยู่แต่ในค่ายหาได้ไปรบด้วยไม่ ข้าพเจ้าเหนยีโกจับคนในเมืองเชียงฆ้อได้ชาย ๒ หญิง ๑ แต่ผู้คนบอกนั้นพวกยีโกฆ่าเสีย ยีโกภักไพร่พลอยู่ในเมืองเชียงฆ้อ ๕ วัน แล้วยีโกมีหนังสือไปให้นายทัพใหญ่คุมไพร่ ๓๐๐๐ คน ยกมาสมทบกับกองทัพยีโกที่เมืองเชียงฆ้อ แต่นายทัพใหญ่อยู่เมืองไหนชื่อไรข้าพเจ้าหาทราบไม่ ณ วันเดือนเจด ปีกุนสัปตศก แม่ทัพใหญ่ตั้งให้นายทัพ ๓ คน คุมคน ๆ ละ ๑๐๐๐ รวมคน ๓๐๐๐ มีปืนคาบชุดประมาณ ๓๐๐ บอก มีหอกมีทวนประมาณ ๑๐๐๐ เล่ม ปืนหามแล่น ๒ บอก ดินดำใส่กลัก ๆ โต กำกึ่งประมาณ ๒๐ กลัก แต่นายทัพ ๓ คนที่คุมไพร่ ๓๐๐๐ คน ข้าพเจ้าหาทราบว่าชื่อไรไม่ ยีโกกับนายทัพยกมาใหม่ ๓ คน คุมคน ๓๓๐๐ ยกออกจากเมืองเชียงฆ้อ ระยะทาง ๔ วันถึงบ้านกอปีว ๆ เปนแขวงเมืองพวน ยีโกนายทัพ ๓ คนคุมไพร่ ๓๓๐๐ คน ยกเข้ารบกับพวกบ้านกอปีวชั่วโมงหนึ่ง พวกบ้านกอปีวแตกหนีเข้าดงไป ยีโกจับคนได้ชาย ๓ หญิง ๒ รวม ๕ คน แล้วนายบ้านกอปีวเอาเงินมาถ่ายตัวชายหญิง ๕ คน ๆ ละแน่น ๕ คนเปนเงิน ๕ แน่น ยีโกก็ปล่อยตัวคน ๕ คนให้กับนายบ้านกอปีวไป ยีโกกับนายทัพ ๓ คน อยู่ที่บ้านกอปีว ๒ วัน แล้วยกจากบ้านกอปิว ระยะทางวัน ๑ ถึงเมืองพวน เจ้าเมืองพวนกับราษฎรไพร่บ้านพลเมืองก็ไม่อาจสู้รบ ภากันแตกตื่นหนีเข้าป่าดงไป นายทัพ ๓ คนกับยีโกก็ภักอยู่ในเมืองพวน ตั้งค่ายขึ้น ๒ ค่ายปักด้วยไม้หมากบ้าง ไม่ไผ่บ้าง ค่ายหนึ่งสูงประมาณ ๖ ศอก กว้าง ๒๐ วา ยาว ๔๐ วา มีหอคอยสามหอ ประตูสามประตู ค่ายหนึ่งสูงประมาณ ๘ ศอก กว้าง ๓๐ วา ยาว ๕๐ วา มีหอคอย ๔ หอ ประตู ๔ ประตู แต่ข้าพเจ้าได้ยินพวกไพร่ในกองทัพยีโกพูดว่าไปค่ายในเมืองพวนอีก ๕ ค่าย รวมทั้งที่ข้าพเจ้าอยู่เปนเจดค่ายด้วยกัน ค่าย ๕ ค่ายนั้นกว้าง ยาว สูง ตํ่า ใหญ่ ยาว เท่าใดข้าพเจ้าหาเหนไม่ พวกฮ่อใช้ให้ตัดหญ้าเลี้ยงม้าหุงเข้าหาได้ไปข้างใหนไม่ ข้าพเจ้าได้ยินพวกฮ่อเรียกนายทัพ ๓ คนว่า ลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ กับยีโกภักไพร่พลอยู่ในเมืองพวน ๒ เดือนรวบรวมเสบียงอาหาร เครื่องสาตราวุทธแล้ว ๆ ลิวซิกอแต่งตัวนุ่งกังเกงแพร เหลือง สวมเสื้อแพรแดง คาดเอวแพรเขียว แพรแดงหนังไกโพกศีศะ มือถือมีดดาบจีนเล่ม ๑ ถือปืนแขนเสื้อบอก ๑ ทรับกอแต่งตัวนุ่งกังเกงแพรเขียวมีดอก สวมเสื้อแพรเขียวมีดอก หาได้โพกศีศะไม่ คาดเอวแพรฝรั่งศรีแดง มือถือปืนแขนเสื้อบอก ๑ ถือมืดดาบจีนดํ้าเขากระบือเล่ม ๑ ฟาลองกอแต่งตัวนุ่งกังเกงแพรเขียว สวมเสื้อแพรหนังไก่ดำ หาได้โพกศีศะไม่ คาดเอวแพรเขียวมีดอก มือถือปืนแขนเสื้อบอก ๑ ถือมีดดาบจีนดํ้าเงินเล่ม ๑ ยีโกแต่งตัวนุ่งกังเกงแพรแดง สวมเสื้อแพรเขียว คาดเอวแพรดำ ถือปืนแขนเสื้อบอก ๑ ถือมีดดาบจีนเล่ม ๑ รูปร่างลิวสิกอผิวเนื้อขาวสูงต่ำสันทัดคนอายุ ๔๕ ปี ไว้ผมเปียถักอย่างจีน ขี่ลา รูปร่างทรับกอผิวเนื้อดำอ้วนเตี้ย อายุประมาณ ๖๐ ปีไว้ผมเปียถักเปนอย่างจีน ขี่ม้าบ้าง ขี่ลาบ้าง รูปร่างฟาลองกอ ผิวเนื้อสองศรีอ้วนสูงอายุประมาณ ๕๐ ปี ไว้ผมเปียถักอย่างจีน ขี่ม้าตอนสีแดง รูปร่างยีโกผิวเนื้อขาวอ้วนตํ่าสันทัดคน อายุประมาณ ๔๒ ปี ไว้ผมเปียถักอย่างจีน ขี่ม้าศรีขาว ลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ กับยีโกยกออกจากเมืองพวนจะเปนวันเดือนใดจำมิได้ ปีกุนสัปตศก ลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ กับยีโกยกไพร่พลเดินตามระยะทางวันหนึ่งภบบ้านเรือนคนบ้าง เปนป่าดงซอกห้วยทานเขาบ้าง เดิน ๑๔ วันถึงเมืองเวียงจัน แต่ที่ปากทางนั้นฮ่อพวกใหนกองใครชื่อเสียงจะเรียกอย่างโร จะได้รบกับพวกลาวหฤๅไม่ได้รบกันประการใดข้าพเจ้าไม่ทราบ ลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ กับยีโกตั้งค่ายที่เมืองเวียงจันขึ้นสองค่าย เอาไม้ไผ่บ้าง ไม้หมากบ้าง ปักเปนเสาค่ายทั้งสองค่าย ค่ายใหญ่ ๔ เหลี่ยมสูง ๘ ศอก กว้างยาวประมาณ ๔๐ วา มีหอคอย ๔ มุมค่าย มีประตูหอคอยละประตู มี ๔ ประตู แต่ค่ายเลกสูง ๘ ศอก ๔ เหลี่ยม กว้างยาวประมาณ ๓๐ วา มีหอคอย ๒ หอ มีประตูหอคอยละประตู มี ๒ ประตู ขุดคูล้อมรอบ ถมดินเปนเชิงเทินชั้นในสูง ๓ ศอก ปลูกเรือนในค่ายใหญ่มีอยู่ ๗๐ หลังเรือน ค่ายเลกปลูกเรือนมีอยู่ประมาณ ๕๐ หลังเรือน มียุ้งเฃ้า ค่ายใหญ่ ๒ หลัง มีเข้าครึ่งยุ้งทั้ง ๒ ยุ้ง ค่ายเลกยุ้งเข้าหลังหนึ่ง มีเข้าเตมยุ้ง เฃ้าทั้ง ๓ ยุ้ง จะเปนเฃ้าเท่าใดเกวียนข้าพเจ้าประมาณหาได้ไม่ มีปืนคาบชุดในค่ายใหญ่ประมาณ ๒๐๐ บอก ในค่ายเลกประมาณ ๑๐๐ บอกเสศ ปืนหามแล่น ๓ บอก ทวน หอก ประมาณ ๖๐๐ เล่มเสศ ดํ้ายาว ๖ ศอก มีดดาบจีนยาวคืบเสศ มีฝักมีสายตภายครบตัวคน ๆ ละเล่ม ๓๓๐๐ เล่มเสศ ดินดำใส่กลักโตกำกึ่งมีอยู่ ๒๐ กลัก มีธงศรีน้ำเงินธงศรีฃาวประมาณ ๒๐๐ ธงปักรอบค่าย ธงไชยปักไว้กลางค่ายศรีฃาว มีหนังสือจีนเขียนไว้ที่ธงสามตัว ตัวหนึ่งภาษาญวนว่า ตาม แปรเปนภาษาไทยว่า สาม ตัวหนึ่งว่า ทับ แปรว่า สิบ ตัวหนึ่งว่า ด่าย แปรว่า เปนใหญ่ เสบียงอาหารพวกฮ่อ พวกลาว พวกญวนที่อยู่ในค่าย ภาถันเที่ยวเกบรวบรวมตามบ้านเรือนพวกลาวที่แตกตื่นเข้าป่าดงหนีไปนั้นเอามาแจกจ่ายกันกินในกองทัพ ลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ กับยีโกตั้งอยู่ในเมืองเวียงจันประมาณเดือนเสศ ครั้น ณ วันเดือนใดจำไม่ได้ประมาณ ๒ เดือน ๓ เดือน มาแล้วเวลาเช้าประมาณศักโมงเสศกองทัพไทยคุมไพร่พลเข้าไปล้อมค่าย ๒ ค่ายเข้าไว้ พวกฮ่อในค่ายหารู้ตัวไม่ กองทัพไทยเอาปืนยิงเข้าไปในค่ายฮ่อ ลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ กับยีโก กับพวกฮ่อก็เอาปืนใหญ่เลกยิงโต้ตอบออกมาได้ประมาณ ๒๐ นัด ยีโกถูกปืนยิงตายในที่รบ แต่ลิวซิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ จะตายเปนหนีไปได้ฤๅประการใดข้าพเจ้าหาทราบไม่ กองทัพไทยกับฮ่อยิงปืนโต้ตอบสู้รบกันแต่เวลาชั่วโมงหนึ่ง กองทัพไทยเข้าแหกค่ายฮ่อทั้งสองค่ายได้ฆ่าฟันพวกฮ่อตายเสียมาก ที่เหลืออยู่ก็ภากันหนีไปได้บ้าง ที่หนีไม่ทันเข้าไปในโบถวัดเมืองเวียงจัน กองทัพไทยก็เข้าล้อมไว้ในเวลากลางคืน ข้าพเจ้าหาทราบว่าฮ่อพวกใหนเข้าอยู่ในโบถไม่ ข้าพเจ้า กับอ้ายงัด อ้ายติ้วเปนภาษาญวนพวกเดียวกันก็ภากันเลดลอดหนีไปตามบ้านลาว พวกลาวจับเอาตัวข้าพเจ้า กับอ้ายงัด อ้ายติ้วได้ที่บ้านลาว ๆ เรียกว่า บ้านโลจ๋า แล้วเอาตะโหงกใส่ฅอเอาฃื่อใส่มือข้าพเจ้า กับอ้ายติ้ว อ้ายงัดมาส่งให้กับท่านนายทัพไทยที่เมืองหนองคาย ท่านนายทัพไทยเอาตัวข้าพเจ้าพวกเดียวกัน ให้คนคุมลงมา ณ กรุงเทพฯ ความนอกจากนี้ข้าพเจ้าหาได้รู้เหนอีกไม่ เปนความสัจความจริง ฃ้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
เล่มที่ ๒ นำเบอร์ ๓๕๓ วันอาทิตย เดือน ๓ แรม ๔ ค่ำ
ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ แผ่นที่ ๔๔
คำให้การอ้ายหะเฮงจีนถามที่จวนสมเดจเจ้าพระยา
๏ ข้าพเจ้าอ้ายหะเฮงให้การว่า ข้าพเจ้าเปนจีนแซ่อ๋อง อายุข้าพเจ้าได้ ๒๙ ปี ข้าพเจ้าตั้งบ้านเรือนอยู่กวางไส บิดามารดาข้าพเจ้าตายเสียแต่ข้าพเจ้ายังเลกอยู่ แล้วข้าพเจ้าไปค้าขายอยู่ที่เมืองหอหนำได้ประมาณ ๕ ปี ๖ ปี เมืองหอหนำขึ้นกับเมืองกวางไส แล้วฃ้าพเจ้าไปทำมาหากินอยู่เมืองลาใหญ่ได้ปีหนึ่ง ครั้น ณ ปีจอฉศก จะเปนเดือนใดข้าพเจ้าจำไม่ได้ ลิวซิกอ ทรับกอ คุมไพร่พลประมาณ ๕๐๐ คน ๖๐๐ คน มาตีเมืองลาใหญ่ ๆ สู้รบอยู่สองเดือนก็แตกหนีออกจากเมือง ลิวซิกอจับข้าพเจ้ากับไพร่ในเมืองลาใหญ่ได้ ๒๐ คน แล้วลิวซิกอ ทรับกอ ก็ภาไพร่พลเข้าอยู่ในเมืองลาใหญ่ได้ประมาณปีเสศ ครั้น ณ วันเดือนสี่ ปีจอฉศก ลิวซิกอให้โมกมันชุกทหารคุมไพร่ ๒๐๐ คนอยู่รักษาเมืองลาใหญ่ แล้วลิวซิกอ ทรับกอ คุมไพร่ประมาณ ๘๐๐ คนยกจากเมืองลาใหญ่ เอาข้าพเจ้ามาด้วย เดินทางเดือนหนึ่งถึงเมืองลาน้อย ข้าพเจ้าทราบว่าเมืองลาน้อยยิบไตโกตีแตก ลิวสิกอก็คุมไพร่ยกเลยมาอีกเดือนหนึ่งถึงเมืองพวน ได้ยินพวกราษฎรเมืองพวนพูดกันว่า กองทัพยกมาก่อนตีเมืองพวนแตก แต่จะเปนกองทัพผู้ใดตีฃ้าพเจ้าไม่ทราบ ลิวสิกอ ทรับกอ ภักอยู่ที่เมืองพวน ๖ วัน ๗ วัน แต่ข้าพเจ้าทราบว่า ปักอึงโกตั้งค่ายอยู่ค่ายหนึ่งจะทำด้วยไม้อะไรแลกว้างยาวเท่าไรฃ้าพเจ้าหาได้ไปเหนไม่ แต่ที่ฃ้าพเจ้าอยู่กับค่ายปักอึงโกห่างกันประมาณ ๑๐๐ เส้นเสศ แล้วลิวสิกอ ทรับกอ ยกกองทัพมาจากเมืองพวนเดินทาง ๑๐ วันถึงบ้านโพนทานาเลา ลิวสิกอตั้งค่าย ๆ หนึ่งเสาค่ายปักด้วยไม้ไผ่ ไม้หมากบ้าง กว้างยาว ๒๐ วา ๔ เหลี่ยม สูง ๙ ศอก ๑๐ ศอก มีประตู ๔ ประตู มีหอคอย ๓ มุม ในกองทัพลิวสิกอจะมีเครื่องสาตราอาวุธมากน้อยเท่าใดฃ้าพเจ้าไม่ทราบ ด้วยฃ้าพเจ้าเปนคนหาฟืนหุงเฃ้าเลี้ยงคนในกองทัพอยู่ที่ค่ายบ้านโพนทานาเลา แล้วลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอไปเมืองเวียงจัน ครั้น ณ วันเดือนสิบเอจ ปีกุนสัปตศก พวกลิวสิกอกลับไปบ้านโพนทานาเลาบอกฃ้าพเจ้าว่า ลิวสิกอรบกับกองทัพไทยวันหนึ่งกับคืนหนึ่งกองทัพลิวสิกอแตกกระจัดกระจายไป แต่ลิวสิกอนั้นถูกปืนตายเสียแล้ว แล้วกองทัพไทยยกตามค่ามน้ำโขงไปตีค่ายบ้านโพนทานาเลาที่ข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้ากับไพร่พลซึ่งอยู่ในค่ายประมาณ ๑๐๐ เสศ ภากันหนีกองทัพไทยออกจากค่ายไม่ทัน กองทัพไทยเอาปืนยิงถูกพวกฮ่อตายบ้าง หนีไปได้บ้าง จับเปนได้บ้าง แต่ตัวข้าพเจ้าป่วยฃาเดินไม่ได้ กองทัพไทยจับฃ้าพเจ้ามาส่งท่านแม่ทัพ ๆ ก็ส่งพวกฃ้าพเจ้าลงมา ณ กรุงเทพฯ เปนความสัจความจริงข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายบาตุนจีนถามที่จวนสมเดจเจ้าพระยา
๏ ข้าพเจ้าอ้ายบาตุน แซ่สุ ให้การว่า ฃ้าพเจ้าเปนจีนเมืองกวางไส อายุฃ้าพเจ้าได้ ๓๒ ปี ฃ้าพเจ้าเกิดที่เมืองกวางไส บิดามารดาฃ้าพเจ้าตายเสียแต่อายุฃ้าพเจ้าได้ ๑๔ ปี ครั้นอายุฃ้าพเจ้าได้ ๒๖ ปี ฃ้าพเจ้าไปอยู่เมืองอั้นเปนเมืองญวนแกว เจ้าเมืองชื่ออย่างไรฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ บ้านเมืองใหญ่โตมีผู้คนตั้งอยู่ในเมืองประมาณ ๓๐๐๐ เสศ ราษฎรทำมาหากินค้าฃายสิ่งของเปนสินค้าต่าง ๆ ทำไร่ปลูกเข้าภอได้รับพระราชทาน ฃ้าพเจ้าอยู่ที่เมืองญวนแกว ๔ ปี ข้าพเจ้ากับอ้ายเปาก็ภากันไปอยู่เมืองสุย ข้าพเจ้าซื้อสิ่งของสินค้าได้เปนไหม เปนขีผึ้ง เปนเฃาอ่อน เปนนอ แล้วข้าพเจ้ากับอ้ายเปาก็หาบกลับไปฃายที่เมืองญวนแกว หมดสินค้าแล้ว ข้าพเจ้ากลับมาหาซื้อสินค้าที่เมืองสุยอีก ซื้อสินค้าได้แล้วข้าพเจ้ากลับไปถึงเมืองแสน ๆ ขึ้นกับเมืองญวนแกว เมืองแสนนั้นเปนญวนกับลาวปนกัน เจ้าเมืองเปนจีนชื่อ เกเสียง แซ่ลก มีราษฎรไพร่พลอยู่ในเมืองประมาณ ๖๐๐ เสศ ฃ้าพเจ้าฃายสินค้าหมดแล้ว ครั้น ณ วันเดือนเก้า ปีกุนสัปตศก ข้าพเจ้าออกจากเมืองแสนเดินทาง ๑๖ วันถึงแขวงเมืองหนองคาย จะเข้าไปซื้อเสื้อซื้อผ้าในเมืองหนองคาย พวกลาวแขวงเมืองหนองคายเหนฃ้าพเจ้ามาสองคนเปนแปลกปลาศ ก็จับเอาตัวฃ้าพเจ้ากับอ้ายเปามาส่งไว้ที่เมืองหนองคาย แล้วพวกเมืองหนองคายก็เอาตัวฃ้าพเจ้ามาส่งให้กองทัพไทย ๆ ก็ส่งฃ้าพเจ้าลงมา ณ กรุงเทพ ฯ แต่กองทัพพวกฮ่อจะยกมาทำเปนประการใด ข้าพเจ้าหาทราบไม่ เปนความสัจความจริงข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายบาลกจีนถามที่จวนสมเดจพระยา
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายบาลกให้การว่า อายุฃ้าพเจ้าได้ ๒๕ ปี ฃ้าพเจ้าแซ่ลอเปนจีนเกิดที่เมืองกวางไส บิดาฃ้าพเจ้าชื่อ จีนฃำ มารดาฃ้าพเจ้าชื่อ เตกกก เมื่อฃ้าพเจ้าอายุ ๑๘ ปี บิดามารดาฃ้าพเจ้าตาย ฃ้าพเจ้าอาไศรยพวกพ้องทำมาหากินอยู่ที่เมืองกึงไสได้ประมาณ ๒ ปี แล้วฃ้าพเจ้าไปอยู่กับจีนกิมยินที่นอกเมืองกึงไส มีพวก ๑๙ คน ทั้งฃ้าพเจ้าเที่ยวเปนโจรตีชิงพวกลูกค้าตามชายทเล อยู่ได้ประมาณ ๕ ปีเสศ จีนกิมยินภาข้าพเจ้ากับพักพวกไปเข้าอยู่กับสิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอผู้เปนนายพวกฮ่อ ซี่งคุมพักพวก ๗๐๐ เสศ อยู่ที่เมืองกึงแสน ๆ ขึ้นกับเมืองกึงไสแต่ข้าพเจ้ากับพวกเที่ยวตีชิงชาวบ้านอยู่ได้ ๒ ปี แล้วลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ คุมพวกยกมาถึงเมืองซันเอ๋ ๆ ขึ้นกับเมืองแกว คนในเมืองซันเอ๋มีอยู่ประมาณ ๕๐๐ คน ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ก็ยกพวกพลเข้าตีเมืองซันเอ๋แตกฆ่าคนตาย ๑๑ คน แต่คนที่ยังเหลืออยู่นั้นมากน้อยเท่าใด ฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ หนีไปบ้าง ยอมเข้าด้วยบ้าง ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ก็คุมพักพวกเข้าอยู่ในเมืองซันเอ๋ได้ ๒ ปีเสศ ครั้น ณ เดือนสิบเอจ ปีวอกจัตวาศก ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ก็ยกพวกออกจากเมืองซันเอ๋ เดินทางวันหนึ่งถึงเมืองซัด เจ้าเมืองซัดเปนญวนแกวขึ้นกับเมืองแกว ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ คุมไพร่พลเข้าอยู่ในเมืองซะด เจ้าเมืองซัดแลราษฎรก็หาเสบียงอาหารเลี้ยงดูพวกข้าพเจ้า เข้าเปนพวกเดียวกันกับพวกข้าพเจ้า ๆ อยู่ในเมืองซัดได้สามเดือนเสศ ครั้น ณ เดือนสาม ปีวอกจัตวาศก ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ก็คุมพวกไพร่พลยกออกจากเมืองชัตเดินทางมาวันหนึ่งถึงเมืองจัน เจ้าเมืองเปนญวนขึ้นกับเมือง ญวนแกว เจ้าเมืองแลราษฎรก็หาเสบียงอาหารมาเลี้ยงดูเข้ากับพวกข้าพเจ้า ๆ ก็ อาไศรยภักอยู่ที่เมืองจันได้ ๒ วัน แล้วพวกฃ้าพเจ้าก็ภากันยกมาจากเมืองจันทางวันหนึ่งถึงเมืองทัน เจ้าเมืองทันเปนญวนขึ้นกับเมืองแกว เจ้าเมืองแลราษฎรก็ส่งเสบียงอาหารเลี้ยงพวกฃ้าพเจ้าหาได้สู้รบกันไม่ อยู่ที่เมืองทันได้สองวัน พวกฃ้าพเจ้าก็ยกออกจากเมืองทันเดินทาง ๓ วันถึงเมืองลาน้อย เจ้าเมืองเปนลาวขึ้นกับเมืองแกว แต่เจ้าเมืองนั้นหนีไปคนในเมืองลาน้อยมีอยู่ประมาณ ๓๐๐ เสศ ยอมส่งเสบียงอาหารพวกฃ้าพเจ้า ๆ ภักอยู่ในเมืองลาน้อย ๒ เดือนเสศ ครั้น ณ เดือนห้า ปีจอฉศก ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ก็คุมพวกยกออกจากเมืองลาน้อยเดินทางมาประมาณ ๒๒ วันถึงพวน ฃ้าพเจ้าได้ทราบว่า ปักอึงโกเปนนายคุมไพร่ประมาณ ๔๐๐ คนเฃ้ารบเมืองพวนแตก ปักอึงโกภาพวกเข้าตั้งอยู่ในเมืองพวน ครั้นลิวสิกอ ทรับกอ ฟา ลองกอ คุมพวกมาถึงเมืองพวน พวกที่เปนตัวนายก็เฃ้าไปอยู่ในเมืองพวน แต่พวกไพร่พลนั้นออกตั้งกองเรี่ยรายอยู่นอกเมืองไปอาไศรยอยู่ตามบ้านเรือนราษฎร ที่หนีพวกฃ้าพเจ้าไป แต่ในเมืองพวนนั้นจะตั้งค่ายฤๅทำประการใดนั้น ฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ แล้วลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอคุมไพร่ประมาณ ๓๐๐ เสศ มีเครื่องสาตราวุธ ปืนหามแล่น ๒ บอก ยาว ๔ ศอก ใหญ่รอบ ๒ กำกระสุนนิ้วกึ่ง ปืนคาบชุด ๑๔ บอก ปืนคาบสิลาร้อยบอก มีดาบครบมือกัน มีเหลกแหลมใส่ปลายไม้ยาว ๖ ศอกประมาณ๒๐๐ อัน ยกออกจากเมืองพวนเดินทาง ๒๕ วันถึงเมืองเวียงจัน แต่ปักอึงโกนั้นคุมไพร่ประมาณ ๓๐๐ คนเสศ อยู่รักษาเมืองพวน แต่ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอยกลงมาไกล้จะถึงเมืองเวียงจัน มีลาวพวกหนึ่งประมาณ ๑๐๐ คนเสศ ยกมารบ พวกลาวสู้ไม่ได้ภากันหนีไป พวกฃ้าพเจ้าก็ยกเฃ้าไปในเมืองเวียงจัน พวกลาวในเมืองเวียงจันน้อยก็ภากันแตกหนีไป ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอให้พวกไพร่ตัดไม้ไผ่ ไม้หมากบ้าง มาปักเปนค่ายสูง ๓ วาเสศ กว้างยาวด้านละ ๒๐ วาเสศ มีประตู ๔ ประตู มีหอคอย ๔ มุมค่าย ขุดคูรอบถมดินเปนเชิงเทิน ในค่ายปลูกเปนโรงภัก ๒ หลัง กว้างห้าวา ยาว ๑๐ วา เหมือนกันทั้ง ๒ ค่าย แต่เสบียงอาหารนั้นฃ้าพเจ้าเหนพวกลาวในเมืองเวียงจัน เอามาส่งให้เนืองๆ แต่กระสุนดินดำนั้น ฃ้าพเจ้าเหนคนในกองทัพไปเอามาแต่เมืองหอเยียงจิวที่ปองนันซีนายใหญ่อยู่ ปองนันซีมีไพร่พลประมาณ ๓๐๐๐ เสศ แลเมื่อ ณ วันเดือนแปด ปีกุนสัปตศก ฃ้าพเจ้าทราบว่าปองนันซีมีหนังสือมาว่าให้ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอกลับไป ครั้น ณ วันเดือนสิบเอจ ปีกุนสัปตศก เวลาเช้า ๓ โมงกองทัพไทย ยกมารบยิงปืนเฃ้าไปในค่ายพวกฃ้าพเจ้าเหนว่าจะสู้ไม่ได้ ก็ภากันหนีเฃ้าป่าไป กองทัพไทยก็ตามจับได้ตัวฃ้าพเจ้า แต่ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ แลพวกไพร่พลจะไปได้ ฤๅจะตายนั้น ข้าพเจ้าหาทราบไม่ เปนความสัจความจริงชองฃ้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายอะซามจีนถามที่จวนสมเดจเจ้าพระยา
๏ ข้าพเจ้าอ้ายอะซามให้การว่า อายุข้าพเจ้าได้ ๒๐ ปี ข้าพเจ้าเปนบุตรจีนเงิน อำแดงเจง แต่บิดาข้าพเจ้าเปนจีนแซ่ลี ข้าพเจ้าเกิดที่เมืองกุยเสียนจีวขึ้นเมืองกวางไซร ๆ นั้นขึ้นเมืองปากกิ่ง ข้าพเจ้ามีพี่ชายคนหนึ่งชื่อ จีนอะลี ข้าพเจ้ากับพี่ชายข้าพเจ้าทำมาหากินอยู่กับบิดามารดา ที่เมืองกุยเสียนจีวจนอายุข้าพเจ้าได้ ๑๒ ปี บิดามารดาข้าพเจ้าตาย ข้าพเจ้าอยู่กับจีนอะลีพี่ข้าพเจ้าที่เมืองกุยเสียนจีว จนอายุได้ ๑๕ ปี เมืองกุยเสียนจิวมีกำแพงก่อด้วยสิลาหามีป้อมใบเสมาไม่ สูง ๑๐ ศอก กว้างยาวเท่ากันประมาณ ๒๐ วา บนกำแพงนั้นวางปืนกระสุน ๔ นิ้ว รายกันไปประมาณ ๒๐๐ บอก ราษฎรเปนจีนตั้งบ้านเรือนอยู่ในกำแพง นอกกำแพงนั้นรวมชายสกันประมาณ ๕๐๐๐ เสศ แต่พี่ฃ้าพเจ้าตั้งบ้านเรือนอยู่นอกกำแพง ถึงเทศการทำนาฃ้าพเจ้ากับพี่ชายฃ้าพเจ้าภากันทำนาได้เฃ้าปีละ ๓๐๐ ถัง ๔๐๐ ถัง ฃ้าพเจ้ากับพี่ฃ้าพเจ้าฃายให้แก่จีนลูกค้าเปนเฃ้าสานหนัก ๔๐ ชั่งจีน เปนเงินเหรียนหนึ่งหนักหกสลึงเพี่อง ที่เหลืออยู่เอาไว้ภอรับประทาน ครั้นอยู่มาจะเปนวันเดือนปีใดฃ้าพเจ้าจำไม่ได้ประมาณ ๕ ปีมาแล้ว พวกฮ่อคุมพวกยกมาประมาณ๓๐๐ เสศ มีปืนกระสุน ๓ นิ้ว ๔ นิ้ว ประมาณ ๔๐ บอก ปืนคาบสิลาประมาณ ๑๐๐ เสศ ง้าวประมาณ ๓๐๐ พวกฮ่อภากันเข้าปล้นตีเมืองกุยเสียนจีว เจ้าเมืองกุยเสียนจีวไม่ทันรู้ตัวภากันหนีออกจากเมืองไปพวกฮ่อฆ่าจีนอะลีพี่ฃ้าพเจ้าตายแล้วจับฃ้าพเจ้ากับพวกที่อยู่ในเมืองกุยเสียนจีวได้ ๕ คน พวกฮ่อฆ่าเสียคนหนึ่งยังเหลืออยู่ทั้งตัวฃ้าพเจ้ารวม ๔ คน ฃ้าพเจ้าจึ่งได้รู้จักชื่อพวกฮ่อว่าชื่อ จีนโง้ว แซ่ปัก เปนนายใหญ่ อยู่เมืองกวางตุ้ง คุมพวกมาตีเมืองกุยเสียนจีว แล้วจีนโง้วพวกฮ่อภากันเกบเอาสิ่งของเสบียงอาหารได้แล้ว รุ่งเช้าพวกฮ่อก็ภาฃ้าพเจ้ากับพวกฃ้าพเจ้า ๓ คนไปอยู่ที่เมืองมกหมาเสียง ทางไกลกับเมืองกุยเสียนจีวสามวัน แต่เมืองมกหมาเสียงนั้นขึ้นกับเมืองญวน จีนโง้วตัวนายนั้นเอาโซร่ใส่ฅอข้าพเจ้ากับพวกสามคนไว้แล้ว ๆ ให้ผู้คุม ๆ ข้าพเจ้าพวกข้าพเจ้าไปเที่ยวเกี่ยวหญ้าม้าอยู่ทุกวัน ข้าพเจ้าอยู่กับจีนโง้วที่เมืองมกหมาเสียง จีนโง้วนายใหญ่ให้ทหารซ้อมฝึกหัดยิงปืนแลเพลงอาวุธอยู่เนือง ๆ จีนโง้วอยู่ที่เมืองมกหมาเสียงได้ประมาณ ๒ ปีเสศ ฃ้าพเจ้าคิดจะหนีจีนโง้วหารู้จักทางที่จะหนีไปทางใหนไม่ ครั้นอยู่มาจีนโง้วถอดโซร่ฅอข้าพเจ้าก็คุมข้าพเจ้ากับพวกประมาณ ๖๐๐ คน ๗๐๐ คน ถือปืนกับเครื่องสาตราวุธต่างครบมือกัน มีม้าประมาณ ๓๐ ม้า ภากันยกไปทางประมาณ ๕ วัน ๖ วันถึงเมืองจัวโผ เจ้าเมืองจัวโผนั้นชื่อ มกจีว ที่เมืองจัวโผนั้นหามีกำแพงไม่ มีตึกอยู่ในเมืองประมาณ ๔๐ หลัง มีคนชายหญิงประมาณ ๔๐๐ คน ๕๐๐ คน เจ้าเมืองมกจีวรับจีนโง้วตัวนายเข้าไปไว้ในเมือง เจ้าเมืองมกจีวจัดหาเสบียงอาหารเลี้ยงดูจีนโง้วกับพวกไพร่แล้ว จีนโง้วกับเจ้าเมืองมกจีวให้หัดทะแกล้วทหารรบอยู่เนือง ๆ จีนโง้วภักอยู่เมืองจีวโผได้ประมาณ ๒ ปี เสบียงอาหารที่เมืองจีวโผขัดสนลง ราษฎรซื้อขายกันเฃ้าสารหนัก ๑๐ ชั่ง เปนเข้าสาร ๑๐ ทนาน เปนเงิน ๓ สลึง ครั้น ณ วันเดือนสี่ ขึ้นแรมกี่ค่ำจำไม่ได้ ปีจอฉศก จีนโง้วลาเจ้าเมืองมกจีวภาข้าพเจ้ากับพวกทหารประมาณ ๓๐๐ เสศ มีปืนใหญ่เครื่องสาตราวุธพร้อม ภากันเดินบกมาแต่เมืองมกจีวต้องค่ามเขาใหญ่เดินแต่เช้าจนค่ำตกเชิงเฃาหกเฃา แล้วค่ามเฃาเลก ๆ ประมาณ ๒๐ เฃา แล้วลงเดินตามลำธารค่ามห้วยหลายแห่ง ทางเดินยากมา ๑๕ วันถึงเมืองพวน เมื่อเดินมาตามทางนั้นภบบ้านใดเมืองใดมีเสบียงอาหารก็ภากันเข้าแย่งชิงอาหารภอรับประทานตลอดมา จีนโง้วเข้าไปในเมืองพวน ภบปักอินโกยกมาตั้งค่ายอยู่ที่เมืองพวน ปีกอินโกตั้งค่ายเสาค่ายไม้จริงสูง ๑๐ ศอก กว้าง ๓๐ วา ยาว ๓๐ วา มี ประตู ๔ ประตู ไม่มีหอคอยและไม่ได้ถมดินเชิงเทิน ปักอินโกปลูกเรือนอยู่ในค่ายสองหลัง มีฉางเข้าหลังหนึ่ง ปักอินโกให้พวกขนเอาเข้าราษฎรมาตวงใส่ฉางไว้ อยู่ มาได้ ๒ วัน จีนลิวซิกอแม่ทัพฮ่อยกมาจากเมืองลาภาพวกพลประมาณ ๓๐๐ เสศ มาอยู่ที่เมืองพวนได้ประมาณสองเดือนเสศ จินหลีทรัพกอ แซ่ลี มาจากเมืองลาคุม ไพร่มาอีกประมาณ ๒๐๐ เสศ มาบันจบกับทัพปักอินโก จีนลิวซิกอ จีนโง้ว และจีนหลีทรับกอ รวมเปนคนนายไพร่ ๑๐๐๐ เสศ ก็หาได้สู้รบกับกองทัพญวนไม่ แล้วจีนลิวซิกอบังคับให้ปักอินโกคุมไพร่อยู่รักษาค่าย แล้วปักอินโก ลิวซิกอ หลีทรับกอ ภากันคุมพวกฮ่อ มีปืนลูกกระสุนดินดำพร้อม แต่จะได้มาแต่ไหนนั้นข้าพเจ้าหาทราบไม่ มีม้า ๓๐ ม้า ภากันเดินบกค่ามเขาหลายแห่งหลายตำบล ประมาณ ๒๐ เขาเสศ ต้องค่ามห้วยหลายแห่ง ค่ามคลอง ๒ ตำบล มา ๑๕ วันถึงเมืองเวียงจัน จีนปีกอินโก จีนลิวซิกอ จีนหลีทรับกอ ภาข้าพเจ้ากับพวกพลภักอยู่ที่ทุ่งนาริมแม่น้ำของฟากค่างเมืองเวียงจัน ห่างเมืองหนองคายทางเดิน ๒ วัน จีนลิวซิกอให้ข้าพเจ้าเปนคนหุงเข้า เลี้ยงม้าอยู่ในค่าย พวกลาวที่อยู่นอกเมืองเวียงจันประมาณ ๒๐ คน ๓๐ คน ภากันไปที่ค่าย จีนปักอินโก จีนลิวซิกอ จีนหลีทรับกอ แล้วข้าพเจ้าเหนพวกลาวภากันเดินไปมาหาจีนลิวซิกอ จีนหลีทรับกอ จีนปักอินโกเนือง ๆ จีนปักอินโก จีนลิวซิกอ จีนหลีทรัพกอใช้ให้พวกพลภากันตัดไม้แก่นบ้าง ไม้ไผ่บ้าง ปักรอบตั้งเปนค่าย ภักอยู่ที่ทุ่งนาห่างเมืองเวียงจันประมาณ ๒ วัน จีนปักอินโก จีนลิวซิ กอ จีนหลึทรับกอตั้งค่ายอยู่ได้ประมาณ ๒ เดือน ๓ เดือน ข้าพเจ้าเปนคนหุงเข้า ครั้น ณ วันเดือนสิบเอจ ขึ้นสองค่ำ ปีกุนสัปตศก เวลาเช้าจีนปักอินโก จีนลิวซิกอ จีนหลีทรับกอ กับพวกพลแลข้าพเจ้าภากันกินอาหารอยู่ในค่าย ขณะนั้นพวกไทย พวกลาวเมืองหนองคายยกกองทัพมาประมาณ ๑๐๐๐ เสศ ปักอินโก จีนลิวซิกอ หลีทรับกอ เหนพวกกองทัพยกมา ปักอินโก จีนลิวซิกอ จีนหลีทรัพกอ กับพวกพลตกใจกลัวก็ภากันหนีออกจากค่าย ข้าพเจ้ากับพวก ๑๕ คนหนีโดดลงในแม่น้ำของตายเสีย ๘ คนที่เหลืออยู่ ๖ คนก็ต่างคนต่างพลัดกันไป ข้าพเจ้าผู้เดียวหนีว่ายน้ำไปขึ้นที่ท่าคำลี ข้าพเจ้าไปซ่อนตัวอยู่ที่เฃาห่างกับเมืองเวียงจันทาง ๒ วัน ภายหลัง ปักอินโก จีนลิวซิกอ จีนหลีทรับกอ กับพวกพลนั้นจะต่อสู้กองทัพไทยฤๅจะหนีไป ข้าพเจ้าหาทราบไม่ ข้าพเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่เขาได้สามวันข้าพเจ้าอดเสบียงอาหาร หามีจะรับประทานไม่ ข้าพเจ้าออกจากเฃาภบพวกข้าพเจ้าที่หนีมาด้วยกันนั้น ๕ คน ข้าพเจ้ากับพวก ๕ คนภากันเอาดาบที่สำรับตัวฟันไม้ไผ่ป่าได้สามสิบลำ มัดเปนลูกบวบแล้ว ภากันลงนั่งบนลูกบวบพร้อมกัน จะค่ามฟากไปเมืองพวน ขณะนั้นพวก ไทยพวกลาวบ้างประมาณ ๗๐ คน ๘๐ คนภากันมาจับเอาข้าพเจ้า แต่พวกข้าพเจ้า ๕ คนนั้นภากันโดดน้ำหนีไป พวกไทย พวกลาวภากันจับเอาตัวข้าพเจ้าใส่เรือค่ามฟากมาเมืองหนองคาย พวกข้าหลวงก็เอาตะโหงกใส่ฅอข้าพเจ้าไว้ได้ประมาณเดือนเสศ พวกข้าหลวงก็ส่งข้าพเจ้ากับพวกที่จับได้นั้นลงมา ณ กรุงเทพฯ เปนความสัจความจริงข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๆใะ
เล่มที่ ๒ นำเบอร์ ๓๖๑ วับอาทิตย เดือน ๓ แรม ๑๑ ค่ำ
ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ แผ่นที่ ๔๕
บอกพระยามหาอำมาตย
๏ หนังสือพระยามหาอำมาตยาธิบดี ฯ มายังพระยาศรีสิงหเทพปริวีเคานซิล ได้นำขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาได้ทรงทราบฝ่าลอองธุลีพระบาท ด้วยฃ้าพเจ้าบอกลงมาครั้งก่อนว่าอ้ายฮ่อ ยกกองทัพล่วงเขตรแดนเข้ามาตั้งค่ายที่วัดจันในเวียงจันเก่าตำบลหนึ่ง บ้านสีถานตำบลหนึ่ง บ้านโพนทานาเลาตำบลหนึ่ง ในเขตรแดนเมืองหนองคายสามตำบลนั้นฃ้าพเจ้ากับนายทัพนายกองได้ระดมตีอ้ายฮ่อแตก ฆ่าอ้ายฮ่อตายเสรจทั้งสามตำบลแจ้งอยู่ในบอกครั้งก่อนนั้นแล้ว ฃ้าพเจ้าแต่งนายทัพนายกองให้คุมไพร่ไปวกหลังสังกัดทาง ซึ่งอ้ายฮ่อจะหนีจากค่ายไปทางเมืองพวน สี่กองนั้นกลับมาแจ้งข้อราชการต่อฃ้าพเจ้าว่าอ้ายฮ่อที่แตกหนีออกจากค่ายบ้านโพนทานาเลาไปนั้น กองทัพกองสังกัดทางฆ่าอ้ายฮ่อตายบ้างจับเปนได้บ้าง ซึ่งอ้ายฮ่อจะหนีล่วงทางกลับไปเมืองพวนนั้นไม่มี เมื่ออ้ายฮ่อหนีไปนั้นหามีเสบียงไปไม่ด้วยทางกันดารเปนช่องเฃาเดินล่วงทางสิบห้าวันจึ่งถึงแขวงเมืองพวน อ้ายฮ่อจึ่งจะหาเสบียงได้ แล้วนายทัพนายกองจับได้คนสบแอด เชียงค้อ กับเดกพวกบ้านโฉมดี ที่ลิวสิโกกับนายทหารพวกอ้ายฮ่อจับเอามาไว้ใช้สอยเอามาถามปากคำสอบกันให้การถูกต้องกันว่า อ้ายลิวสิโกเปนนายใหญ่ที่หนึ่ง ซันซิแย สับโก โกเลง โกเปาเปนนายรองอยู่ ค่ายวัดจัน ภาหลงโกนายใหญ่ ยีโก สุโกยัน สับโก ปากซันโกอยู่ค่ายบ้านสิถาน มกสิโกเปนนายใหญ่ โกเฮง โกจอไปซิแยเปนนายรองอยู่ค่ายบ้านโพนทานาเลาว่าถูกปืนตายในที่รบสิ้นทั้งนั้น ครั้น ณ วันสุกร เดือนสิบเอจ แรมแปดค่ำ ปีกุนสัปตศก พระณรงค์วิชิตเจ้ากรม พระตำรวจในพระราชวังบวรสฐานมงคลเชิญตราพระราชสีหกับคุมปืนสในเดอโหลหนึ่ง ปืนอินฟิน ๒โหล ปัศตันสองพันสองร้อย แก๊บชนวนหกพัน ลูกกระสุนสี่พันสี่ร้อย ดินดำหนักหกสิบชั่ง ขึ้นไปพระราชทานให้ฃ้าพเจ้าไว้สำหรับราชการนั้น ฃ้าพเจ้าทราบตามท้องตราซึ่งโปรดเกล้าฯ ทุกประการ ฃ้าพเจ้าได้รับเอาปืนลูกกระสุนดินดำแก๊บไว้ตามซึ่งมีขึ้นไปในท้องตราครบตามจำนวนแล้ว ครั้น ณ วันพุฒ เดือนสิบเอจ แรมสิบสามค่ำ ปีกุนสัปตศก เพี้ยแก้ว เพี้ยซานนบ้านนาฃมที่ฃ้าพเจ้าแต่งให้ไปสืบข้อราชการทางเมืองพวนกลับมาแจ้งความว่า เพี้ยแก้ว เพี้ยซานนไปถึงเมืองพวน อ้ายฮ่อตั้งค่ายอยู่ที่สาดรองมีฮ่อประมาณ ๘๐ คน ค่ายเมืองเชียงฃวางมีฮ่ออยู่ประมาณ ๓๐ คน ค่ายบ้านแวนมีฮ่ออยู่ประมาณ ๖๐ คน ค่ายเมืองเคิงมีฮ่ออยู่ประมาณ ๕๐ คน ค่ายลาดบวกมีฮ่อประมาณ ๔๐ คน ค่ายทุ่งเชียงคำมีฮ่อประมาณ ๑๑๐ คน ค่ายเมืองแสนมีฮ่ออยู่ประมาณ ๓๐๐ คน รวม ๗ ค่ายเปนคน ๖๗๐ คน อ้ายฮ่อพูดกันว่าจะยกไปตีเมืองหลวงพบาง จะไปวันใดหามีกำหนดไม่ฃ้าพเจ้าได้มีหนังสือบอกไปถึงพระยาพิไชยที่เมืองหลวงพบาง แจ้งฃ้อราชการทางเมืองหนองคายทางเมืองพวนด้วยแล้ว แต่พระณรงค์วิชิตป่วยเปนใข้ ให้เมื่อยขัดในข้อจะอยู่รับราชการไม่ได้ ฃ้าพเจ้าจึ่งให้พระณรงค์วิชิตคุมอ้ายฮ่อกับปืนหอก ดาบ ธง แลม้า ซึ่งได้มาแต่ค่ายอ้ายฮ่อ ลงมาทูลเกล้า ฯ ถวายรายชื่อกับสิ่งของมีในหางว่าวเข้าผนึกมาด้วยแล้ว หนังสือมา ณ วันอังคาร เดือนสิบสอง ขึ้นสิบสองค่ำ ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ ๚ะ
คำให้การอ้ายยีโกจีน ถามที่จวนสมเดจเจ้าพระยา
๏ ข้าพเจ้าอ้ายยีโกจีน ให้การว่าอายุฃ้าพเจ้าได้ ๒๘ ปี ตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านบากสารสือ แขวงเมืองกวางไส บิดามารดาฃ้าพเจ้าตายยังจำความหาได้ไม่ ยังมีแต่พี่หญิงคนหนึ่ง พี่ชายคนหนึ่ง ครั้นอายุฃ้าพเจ้าได้ ๑๐ ปี ฃ้าพเจ้ารับจ้างจีนมีชื่อเลี้ยงกระบืออยู่ที่เมืองกวางไสได้สี่ปี แล้วฃ้าพเจ้าไป่รับจ้างจีนมีชื่อทำนาอยู่ที่เมืองกวางไสได้ ๕ ปี แล้วฃ้าพเจ้าไปรับจ้างจีนมืชื่อทำชมภู่อยู่ที่เมืองกวางไสได้ ๖ ปี แล้วฃ้าพเจ้าขึ้นไปอยู่เมืองกุยเชียงจิ๋ว ๆ ขึ้นกับเมืองกวางไส แล้วจีนฟูชำเปนนายคุมพวกฮ่อมาประมาณ ๓๐๐ เสศ มาตีเมืองกุยเชียงจิ๋วแตกฆ่าพวกพลในเมืองกุยเชียงจิ๋วตาย ๔ คน แล้วก็จับเอาตัวฃ้าพเจ้าไปใช้ให้ฃ้าพเจ้าเปนคนเกี่ยวหญ้าให้ม้ากินอยู่ที่เมืองมุกมาเลียง ขึ้นกับเมืองญวน ฃ้าพเจ้าอยู่ได้ปีหนึ่งแล้วก็ใช้ข้าพเจ้าเปนชมภู่หุงเข้าได้ปีหนึ่ง ครั้น ณ เดือนสาม ปีกุนสัปตศก ฟาลองกอก็คุมพวกฮ่อ ๓๐๐ เสศ ไปตีเมืองโจโป ๆ แต่งไพร่พลออกรบ พวกฟาลองกอกับฮ่อชาวเมืองโจโปหาได้ไม่ ครั้น ณ เดือนเจด ปีกุนสัปตศก พวกฟาลองกอกับฮ่อก็ภากันเข้าตีเมืองพวนแตก พวกฟาลองกอกับพวกฮ่อ ๓๐๐ เสศ ก็เข้าอยู่ในเมืองพวน แล้วปักอึงกอ ลิวซิกอก็มาภบพร้อมกันเข้าอยู่ที่เมืองพวน แล้วพวกฟาลองกอ ปักอึงกอ ลิวซิกอ หมดเสบียงอาหารกันดารลง ฟาลองกอ ปึกอึงกอ ลิวซิกอ ก็คุมพวกฮ่อ ๓๐๐ เสศ ออกเที่ยวตีชิงวิ่งราวเฃากินที่ตามตลาดเมืองโจเจาฮี เมืองโซรใด เมืองทันหอก ราษฎรชาวบ้านหาได้ออกสู้รบพวกกองทัพฮ่อไม่ ฟาลองกอ ปักอึงกอ ลิวซิกอ กับไพร่พลเที่ยวตีชิงได้เข้าปลาอาหารแล้ว ฃ้าพเจ้าเปนคนชมภู่สำหรับหาเข้าให้พวกกองทัพ ฟาลองกอ ปักอึงกอ ลิวซิกอกิน กองทัพฮ่อภักอยู่ที่เมืองพวนประมาณสองเดือนเสศ ครั้น ณ เดือนเจด ขึ้นแรมกี่ค่ำฃ้าพเจ้าจำมิได้ ปีกุนสัปตศก ฟาลองกอ ซินซิอเหยีย ลิวซิกอ คุมไพร่พลประมาณ ๕๐๐ คนเสศยกมาทาง ๑๒ วันถึงเมืองเวียงจันเก่า พวกราษฎรเมืองเวียงจันเก่าก็ภากันแตกกระจัตพรัดพรายไป กองทัพฟาลองกอ ซินซือเหยีย ลิวซิกอ ก็เข้าตั้งค่ายอยู่ในเมืองเวียงจันเก่าค่ายหนึ่ง เสาค่ายเอาไม้หมากปักสูงประมาณ ๕ วา ๖ วา กว้างยาว ประมาณ ๑๕ วา ๑๖ วา ๔ เหลี่ยม มีประตู ๒ ประตู หอคอยหามีไม่ แต่เครื่องสาตราอาวุธจะมีอยู่ในกองทัพฮ่อมากน้อยเท่าใดฃ้าพเจ้าเปนคนชมภู่หาทราบไม่ กองทัพฟาลองกอ ซินซือเหยีย ลิวซิกอ ภักอยู่ในเมืองเวียงจันเก่าได้ประมาณ ๕ เดือนเสศ แต่ชมภู่มีอยู่ในกองทัพฮ่อที่ตั้งค่ายอยู่ในเมืองเวียงจันเก่า ทั้งฃ้าพเจ้าด้วยประมาณ ๑๐ คน ๑๑ คน ครั้น ณ เดือนสิบเอจ ขึ้นค่ำหนึ่ง ปีกุนสัปตศก ฃ้าพเจ้าเหนกองทัพไทยยกมาตีกองทัพฮ่อในเมืองเวียงจันเก่า ฟาลองกอ ซินซือเหยีย ลิวซิกอ คุมไพร่ ๑๐๐ คนออกรบกองทัพไทยได้ประมาณโมงเสศ ภอกองทัพฮ่อแตกก็ต่างคนต่างพลัดกันไป แล้วฃ้าพเจ้าได้ยินคนในกองทัพฮ่อพูดกันว่า กองทัพไทยเอาปืนยิงไปถูกลิวซิกอตายแต่จะถูกที่ไหนฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ แล้วฃ้าพเจ้าแต่ผู้เดียวก็หนีกองทัพไทยจะไปเมืองพวน ภอฃ้าพเจ้าไปถึงกลางทางเปนเวลาค่ำดึกประมาณ ๒ ยามเสศ กองทัพไทยใล่เอาปืนยิงไปถูกฃ้าพเจ้าที่แขนซ้ายเหนือข้อศอกลูกปืนตลอดไป ฃ้าพเจ้าก็ล้มลง กองทัพไทยเอาปืนยิงพวกกองทัพฮ่อถูกตายประมาณ ๓๐ คนเสศ พวกกองทัพไทยใล่ไปทันฃ้าพเจ้า ก็จับเอาฃ้าพเจ้ามาได้แล้วโบยหลังฃ้าพเจ้า ๑๕ ที แล้วส่งฃ้าพเจ้าลงมา ณ กรุงเทพฯ เปนความสัจความจริง สิ้นคำให้การฃ้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚
คำให้การอ้ายอะตือจีนถามที่จวนสมเดจเจ้าพระยา
๏ ฃ้าพเจ้าจีนอะตือให้การว่า อายุฃ้าพเจ้าได้ ๒๗ ปี ฃ้าพเจ้าเปนบุตร จีนอาวอุยบิดา อำแดงยุนมารดา ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ เมืองกวางไส ฃ้าพเจ้าเกิดที่เมืองกวางไสฃ้าพเจ้ายังหามีภรรยาไม่ ฃ้าพเจ้าอยู่กับบิดามารดาฃ้าพเจ้าจนอายุฃ้าพเจ้าได้ ๘ ปี ฃ้าพเจ้ารู้ว่าเมืองกวางไสนั้นขึ้นกับเมืองปักกิ่ง แต่คนในเมืองกวางไสนั้นมีคนชายหญิงประมาณ ๗๐๐๐ คน ๘๐๐๐ คน ครั้นอยู่มาจะเปนวันเดือนปีใดจำไม่ได้ เมื่ออายุฃ้าพเจ้าได้ ๘ ปี บิดามารดาฃ้าพเจ้าภาฃ้าพเจ้าไปปลูกโรงทำมาหากินอยู่ ณ เมืองลองเงียนจู๋ ๆ กับเมืองกวางไสยทางจะไปมาประมาณ ๑๐ วัน เมืองลองเงียนจู๋นั้นขึ้นกับเมืองกวางไสย คนในเมืองลองเงียนจู๋นั้นมีประมาณ ๗๐๐ คน ๘๐๐ คน ฃ้าพเจ้ากับบิดามารดาฃ้าพเจ้าเที่ยวตัดฟืนฃาย ตามชาวเมืองลองเงียนจู๋ได้ประมาณ ๙ ปี จนอายุฃ้าพเจ้า ๑๗ ปี ครั้น ณ วันเดือนปีใดจำไม่ได้ ไซเยียวกอเปนนายทัพยกพวกจีนฮ่อประมาณ ๘๐๐ คน ๙๐๐ คน มาตีเมืองลองเงียนจู๋ เจ้าเมืองลองเงียนจู๋กับพวกขาวเมืองภากันหนีไปบ้างยังอยู่บ้าง ไซเยียวกอกับพวกจีนฮ่อภากันเข้าอยู่ในเมืองลองเงียนจู่ พวกจีนฮ่อภากันเที่ยวเกบเอาเงินชาวบ้านที่อยู่ในเมืองลองเงียนจู๋ทุกบ้าน ๆ ละ ๓๖ สลึง ไซเยียวกอกับพวกจีนฮ่ออยู่ ณ เมืองลองเงียนจู๋ได้ประมาณ ๖ ปี ครั้นอยู่มาวันหนึ่งข้าพเจ้าไปตัดฟืนมาขายภบจีนฮ่อคนหนื่งชื่อไต้ มาซื้อฟืนฃ้าพเจ้าหาบหนึ่งเปนราคา ๓๓ แปะทองแดง ฃ้าพเจ้าหาบฟืนไปส่งที่บ้านจีนไต้ฮ่อ ๆ พูดชวนฃ้าพเจ้าว่าให้ฃ้าพเจ้ามาช่วยตักน้ำหุงเข้าอยู่กับจีนไต้ห้อ ๆ จะให้เงินค่าจ้างฃ้าพเจ้าเดือนละสิบสลึง ฃ้าพเจ้าก็อยู่กับจีนไต้ห้อได้ประมาณ ๑๗ วัน ๑๘ วัน ครั้นอยู่มาจะเปนวันเดือนปีใดจำไม่ได้ ฃ้าพเจ้าได้ยินจีนมืชื่อที่อยู่ในเมืองลองเงียนจู๋พูดกันว่า ขุนนางในเมืองปักกิ่งจะยกกองทัพมาจับไซเยียวกอกับพวกจีนฮ่อที่อยู่ในเมืองลองเงียนจู้ ครั้นอยู่มา ๒ วัน ๓ วัน ไซเยียวกอรู้ความว่า ขุนนางเมืองปักกิ่งจะยกกองทัพมาตีเมืองลองเงียนจู๋ ไซเยียวกอจึ่งสั่งให้พวกจีนฮ่อจับคนในเมืองลองเงียนจู๋ได้ขายหญิงประมาณ ๓๐ คน ไซเยียวกอจัตเสบียงอาหารแล้ว วันหนึ่งเวลาค่ำไซเยียวกอกับพวกจีนฮ่อประมาณ ๘๐๐ คน ๙๐๐ คน ภากันคุมเอาพวกชายหญิง ๓๐ คน นั้นยกครัวออกจากเมืองลองเงียนจู๋ จีนไต้ห้อก็เอาตัวฃ้าพเจ้าไปด้วย ไซเยียวกอภาพวกฮ่อกับพวกฃ้าพเจ้าเดินทางไปบ้าง ค่ามเฃาไปบ้าง พ้นเฃา ๒ เฃาวันหนึ่งกับคืนหนึ่งเวลาบ่ายถึงเมืองปาห้อ เจ้าเมืองป่าห้อกับชาวเมืองภากันหนีออกจากเมือง ไซเยียวกอกับพวกจีนฮ่อพักอยู่ ณ เมืองปาห้อวันหนึ่งคนในเมืองป่าห้อนั้นประมาณ ๑๐๐ คนเสศ ขึ้นกับเมืองใดหาทราบไม่ ในวันนั้นฃ้าพเจ้าได้ยินพวกฮ่อพูดกันว่า ไซเยียวกอสั่งให้พวกฮ่อจัดเอาเข้าปลาเสบียงอาหารในเมืองป่าห้อไว้ให้พร้อมเวลาค่ำจะยกออกจากเมืองป่าห้อ ในเวลาค่ำวันนั้นภากันรับประทานอาหารแล้ว ไซเยียวกอภาพวกจีนฮ่อกับพวกฃ้าพเจ้ายกออกจากเมืองป่าห้อ ฃ้าพเจ้าเปนคนแบกเสบียงตามจีนไต้ห้อไปข้างหลังเดินทางบ้าง ค่ามเฃาไปบ้าง ถึงลำธารภักหุงเข้ารับประทานแล้ว พ้นเขาไปหลายเขาประมาณสักกี่เขานั้นหาทราบไม่ ๔ คืน ๔ วัน ถึงเมืองมึกมาเสียงหาได้ตั้งค่ายไม่ ไซเยียวกอกับพวกห้อเข้าตีเมืองมึกมาเสียง ข้าพเจ้าเปนคนหุงเข้าให้จีนไต้ห้อกิน ชาวเมืองมึกมาเสียงกับห้อพวกไซเยียวกอต่างคนต่างสู้กัน แต่ชายหญิงที่พวกห้อจับมาจากเมืองลองเงียนจู๋นั้นหนีไปบ้างอยู่บ้าง พวกห้อกับพวกเมืองมึกมาเสียงรบกันได้ ๔ วัน เจ้าเมืองมึกมาเสียงกับชาวเมืองก็พากันหนีไป ข้าพเจ้าได้ยินพวกจีนห้อพูดกันว่า พวกเมืองมึกมาเสียงฆ่าพวกห้อตายหลายคน ไซเยียวกอตัดไม้มาปลูกค่ายกลมกว้างประมาณ ๓๐ วาเสศ ห่างกับเมืองมึกมาเสียงประมาณครึ่งวัน คนในเมืองนั้นมากน้อยสักเท่าใดหาทราบไม่ แล้วไซเยียวกอสั่งให้พวกห้อเที่ยวเกบเงินตามชาวบ้าน ๆ ละ ๓๖ สลึง แล้วพวกห้อเที่ยวแย่งชิงเอาเข้าปลาเสบียงอาหารที่ชาวเมืองมาเลี้ยงกันอยู่ที่เมืองมึกมาเสียงได้ประมาณเดือนเสศ วันหนึ่งข้าพเจ้ารู้ว่านายห้ออีกคนหนึ่งชื่อปองนันสีมีหนังสือมาถึงไซเยียวกอ ในหนังสือนั้นจะว่าประการใดหาทราบไม่ สั่งให้พวกห้อจัดแจงเสบียงอาหารไว้ให้พร้อม ครั้นอยู่ได้ ๒ วัน จะเปนวันเดือนปีใดจำไม่ได้ เวลาเช้า ๓ โมงเสศ รับประทานอาหารแล้ว ไซเยียวกอสั่งให้พวกห้อออกจากค่ายที่ตั้งอยู่เมืองมึกมาเสียงนั้น เดินทางบ้าง เลียบเชิงเขามาบ้าง ภักอยู่บ้าง ค่ามเฃาค่ามลำธารมาสักกี่เฃากี่ลำธารจำไม่ได้ ๑๒ วัน ถึงเมืองห้อเยียงจิ๋ว ๆ ขึ้นกับเมืองตั้งเกี๋ย ไซเยียวกอสั่งให้พวกห้อหยุดภักอยู่ที่ลำธาร แล้วไซเยียวกอกับพวกห้อ ๑๔ คน ๑๕ คน ภากันไปที่บ้านแห่งหนึ่งมีเรือนหลายหลัง ที่บ้านกว้างใหญ่ประมาณเท่าใดหาทราบไม่ แต่จีนไต้ห้อที่ข้าพเจ้าอยู่ด้วยนั้น บอกข้าพเจ้าว่าบ้านนั้นเปนบ้านห้อปองนันสีที่มีหนังสือไปถึงไซเยียวกอ คนในบ้านนั้นประมาณ ๓๐๐๐ คนเสศมีเครื่องรบต่าง ๆ แต่ที่บ้านห้อปองนันสีห่างกับพวกข้าพเจ้าภักอยู่ประมาณ ๓ เส้นเสศ ไซเยียวกอภักอยู่ที่บ้านห้อปองนันสีได้ ๕ วัน แล้วจีนไต้ห้อบอกข้าพเจ้าว่า ปองนันสีจัดให้ลิวสิกอเปน ที่ ๑ ทรัพกอเปนที่ ๒ ฟาลองกอเปนที่ ๓ ซินซือเหยียงเปนที่ ๔ คุมพวกห้อยกไปเมืองห้อเหยียงจิ๋ว ให้ข้าพเจ้าจัดหาบเสบียงไว้ ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ซินซือเหยียง คุมพวกห้อ ๔๐๐ เสศเดินทาง ๑๕ วันถึงเมืองลาใหญ่ เหนบ้านหนึ่งมีเรือนประมาณ ๓๐ หลัง คนประมาณ ๓๐๐ คน ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ซินซือเหยียง เข้าไปในบ้านถามว่าบ้านของใคร ชาวบ้านบอกว่ายิบไตโก แล้วลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ซินซือเหยียงภักอยู่ที่บ้านยิบไตโก ๓ วัน แล้วคุมไพร่ ๔๐๐ คน ยกจากเมืองลาใหญ่เดือนหนึ่งถึงเมืองพวน ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ซินซือเหยียง ภาพวกไพร่พลภักอยู่ที่ลำน้ำแห่งหนึ่ง ฃ้าพเจ้าเหนค่ายไกลที่ภักประมาณ ๓ เส้นเสศ ค่ายนั้นกว้างยาวประมาณ ๑๐ วา เหนคนเดินเข้าออกบอกว่า เปนค่ายนายทัพปักอึงโก จะมีคนมากน้อยเท่าใดฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ ภักอยู่ที่เมืองพวน ๕ วัน ลิวสิกอ ทรัพกอ ฟาลองกอ ซินซือเหยียง จัดซื้อม้าที่เมืองพวนได้ม้าประมาณ ๑๐๐ เสศ แล้วพวกห้อก็เข้าเกลี้ยกล่อมคนในเมืองพวนได้คนพวน ๒๐๐ คน ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ซินซือเหยียง คุมพวกห้อกับคนที่เกลี้ยกล่อมได้รวม ๖๐๐ คน กับม้า ๑๐๐ เสศ ยกเดินทางประมาณ ๑๑ วัน ๑๒ วัน ถึงบ้านโพนทานาเลาแล้วตั้งค่ายกว้างยาวประมาณ ๓๐ วา มีปืนหามแล่น กระสุน ๔ นิ้วบ้าง ปืนคาบสิลาบ้าง แลเครื่องสาตราวุธต่าง ๆ อยู่ในค่าย ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ให้พวกห้อเที่ยวเกลี้ยกล่อมลาวบ้านโพนทานาเลาหามีผู้ใดเข้าด้วยไม่ อยู่ได้ประมาณสิบวันจะเปนวันเดือนใดจำไม่ได้ ปีกุนสัปตศก ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ขี่ม้าคนละม้า ตภายดาบคนละเล่ม ออกจากค่ายเดินทางสามวันถึงเมืองเวียงจันตั้งค่ายห่างเมืองเวียงจันประมาณ ๓ เส้นเสศ ค่ายที่ตั้งนั้นห่างกันประมาณ ๒ เส้น ค่ายหนึ่งกว้างยาวประมาณ ๓๐ วาเท่ากัน มีเรือนในค่าย ๆ ละสองหลัง มีเรือนเลก ๆ ล้อมค่ายทั้งสองค่าย ลิวสิกอ อยู่ค่ายหนึ่ง ทรับกออยู่ค่ายหนึ่ง ฟาลองกออยู่ค่ายหนึ่ง แต่ซินซือเหยียงอยู่เรือนนอกค่าย แบ่งคนอยู่ค่ายละ ๓๐๐ คน ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ซินซือเหยียง ให้พวกห้อเที่ยวเกลี้ยกล่อมลาวให้เข้าด้วย พวกลาวก็หาเข้าด้วยไม่ ต่างคนกลัวก็หนีทิ้งบ้านเรือนแลทรัพยสิ่งของ พวกห้อก็เกบเอาเสบียงอาหารทรัพยสิ่งของชาวเมืองเวียงจันมาสู่กันกิน ครั้น ณ วันเดือนสิบเบด ขึ้นค่ำหนึ่ง ปีกุนสัปตศก เวลาเช้าประมาณโมงเสศ ข้าพเจ้านั่งหุงเข้าอยู่ พวกห้อที่ในค่ายร้องบอกกันว่า พวกไทยยกทัพมาตี ทันใดนั้นพวกฃ้าพเจ้าออกมาดูเหน กองทัพไทยมาไกล้ประมาณ ๔ เส้นเสศ เอาปืนยิงเข้าไปในค่ายประมาณ ๑๔ นัด ๑๕ นัด ข้าพเจ้ากลัวก็ภากันออกจากค่ายวิ่งหนีเข้าป่าไป พวกไทยจับข้าพเจ้าได้จำตโหงกมาส่งท่านแม่ทัพ แต่ลิวสิกอ ทรัพกอ ฟาลองกอ ซินซือเหยียง กับพวกในกองทัพ ๒ ค่ายนั้นจะหนีไปข้างไหน ฤๅจะถูกปืนตาย ฤๅกองทัพไทยจับได้ประการใด ข้าพเจ้าหาทราบไม่ ครั้น ณ เดือนสิบเอจขึ้นแรมกี่ค่ำจำไม่ได้ ปีกุนสัปตศก นายกองทัพก็ส่งตัวข้าพเจ้าลงมา ณ กรุงเทพ ฯ เปนความสัจจริงข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
เล่มที่ ๒ นำเบอร์ ๓๗๗ วันอาทิตย เดือน ๔ แรม ๑๑ ค่ำ
ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ แผ่นที่ ๔๗
คำให้การอ้ายแก้วลาวถามที่จวนสมเดจเจ้าพระยา
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายแก้วลาวอายุ ๔๔ ปี ให้การว่า บิดาชื่อ มหาวงษ มารดาชื่อ สินลา ตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ เมืองเชียงค้อเมืองขึ้นเมืองหลวงพบาง ครั้นถึงเทศการทำนาบิดามารดาฃ้าพเจ้าก็ภากันทำนาได้เข้าเปลือกปีละ ๒๐๐ ถังบ้าง ๓๐๐ ถังบ้าง ถ้าเลิกจากทำนาบิดามารดาฃ้าพเจ้าเที่ยวไปซื้อครั่ง ซื้อกำยาน ราษฎรที่แขวงเมืองเชียงค้อมาขายเสมอทุกปี เมืองเชียงค้ออยู่ไกลเมืองหลวงพบางทางประมาณ ๑๕ คืน เมืองเชียงค้อไม่มีป้อม ไม่มีกำแพง เจ้าเมืองถึงแก่กรรม์ มีแต่อุปฮาตราชวงษอยู่รักษาเมือง เมืองเชียงค้อมีเลขสกรรประมาณ ๒๐๐ เสศ ถึงปีอุปฮาตราชวงษเรียกเอาเงินส่วยกับตัวเลขคนละสองสลึง ปีหนึ่งเปนเงินส่วย ๑๐๐ บาท ไปส่งเจ้าเมืองหลวงพบางทุกปี ราชการอื่น ๆ เมืองหลวงพบาง แลอุปฮาตราชวงษเมืองเชียงค้อหาได้กะเกณฑใช้สอยสิ่งใดไม่จะเปนปีใดจำไม่ได้ อายุข้าพเจ้าได้ ๒๙ ปี ข้าพเจ้ากับอ้ายแก้วเอาผ้า เอาง้าว เอาดาบ หาบเดินบกมาขายที่เมืองสกนนคร ฃ้าพเจ้าภักอยู่เรือนราชวงษเมืองสกนนครได้ ๔ ปี พระยาประเทศธาณีเจ้าเมืองสกนนครเอาตัวข้าพเจ้าบวชเปนพระภิกษุ อ้ายแก้วให้บวดเปนเณรอยู่วัดโพไซในเมืองสกนนคร ได้ ๔ พรรษาแล้วศึก แต่อ้ายแก้วที่บวชเป็นเณรป่วยตาย ข้าพเจ้าเข้าลาพระยาประเทศธาณีราชวงษแล้วฃ้าพเจ้าโดยสารลูกค้าเมืองพวนกลับไปเมืองเชียงค้อ ข้าพเจ้าไปอยู่กับบิดามารดาที่เมืองเชียงค้อได้ประมาณปีเสศ ครั้น ณ ปีรกาเบญจศก ลิโกห้อคุมกองทัพห้อลาวประมาณ ๑๒๐๐ คน ยกมาตีเมืองเชียงค้อ อุปฮาตราชวงษเกณฑไพร่แลเกณฑบิดาข้าพเจ้า แลตัวข้าพเจ้าได้คนประมาณ ๕๐๐ คนเสศ ออกสู้รบกับลิโกอยู่ ๔ วัน กองทัพลิโกห้อแตกหนีไป อุปฮาตราชวงษฆ่าพวกห้อตาย ประมาณ ๔ คน ๕ คน พวกห้อยิงพวกเมืองเชียงค้อตายประมาณ ๒๐ คน อยู่มาประมาณ ๕ วัน ๖ วัน กองทัพห้อลอบเอาไฟมาจุดเรือนอุปฮาตไหม้ แล้วพวกห้อเข้าระดมตี อุปฮาตราชวงษไม่ทันรู้ตัว ลิโกจับอุปฮาดราชวงษฆ่าเสียทั้ง ๒ คน ไพร่บ้านพลเมืองภากันแตกหนีเข้าป่า ห้อจับบิดามารดาฃ้าพเจ้าฆ่าเสีย ตัวฃ้าพเจ้าห้อจับเอาไปใช้ให้เลี้ยงม้าคนเดียว ๔ ม้า ฃ้าพเจ้าเหนม้าห้อมีอยู่ประมาณ ๒๐๐ เสศ มีคนเลี้ยงม้า ๒๕ คน กองทัพห้อภักอยู่ที่เมืองเชียงค้อ ๗ วัน รวบรวมอาหาร แลเรียกเอาเงินกับราษฎรได้คนละห้าตำลึงบ้าง เจดตำลึงบ้าง ถ้าเสียเงินแล้ว ห้อแจกป้ายคุ้มตัวปล่อยให้ไปทำมาหากิน พวกห้อก็หาทำอันตรายไม่ ราษฎรที่ไม่มีเงินห้อฆ่าเสียโดยมาก ที่ภากันหนีไปพึ่งเมืองหลวงพบางก็มี แลลิโกแม่ทัพห้อจะมาแต่เมืองไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ ลิโกรูปพรรณอ้วนขาวสูงตํ่าสันทัดคน ไว้ผมเปียถักเหมือนจีน อายุประมาณ ๔๐ ปีเสศ จะไปแห่งใดนุ่งกังเกงแพร สรวมเสื้ออย่างจีน เสื้อขาวบ้าง เสื้อดำบ้าง คาดแพรศรีต่าง ๆ ขึ้นม้าใส่หมวกอย่างจีน มีคนถือง้าวนำหน้าประมาณ ๒๐ คน ถือปืนตามหลังประมาณ ๓๐ เสศทุกครั้ง มีปืนคาบสิลาประมาณ ๑๐๐ บอก ปืนซั่นประมาณ ๔๐ บอก หอก ๓๐ เล่ม ง้าว ๔๐ เล่ม ดาบ ๔๐ เล่ม พวกห้อจับได้คนเมืองเชียงค้อกับข้าพเจ้าประมาณ ๑๔ คน ใช้สอยดื้อดึงแล้ววิ่งหนี ห้อจับตัวได้ก็ฆ่าเสีย เหลือแต่ฃ้าพเจ้ากับอ้ายหยาสองคน ครั้น ณ เดือนอ้าย ข้างขึ้น ปีจอฉศก สิโกแม่ทัพห้อยกจากเมืองเชียงค้อ เดินทางบกต้องข้ามเขาใหญ่ เดินตั้งแต่เช้าจนค่ำ ตกเชิงเขาถึง ๔ เขา ข้ามเฃาเลก ๆ อีก ๑๕ เขา ๑๖ เขา แล้วเดินตามลำห้วย ลำธารหลายแห่งหลายตำบลเปนช่องแคบเดินยาก เดินมา ๑๔ คืนถึงทุ่งเชียงคำ พวกลาวทิ้งบ้านเรือนภากันหนีไปสิ้นลิโกเกณทคนตัดไม้แก่นตั้งค่ายยาว ๓๐ เส้น กว้าง ๓๐ เส้น มีหอคอย ๔ มุม ค่ายมีประตู ๔ ประตู ค่ายสูง ๗ ศอก ถมดินเปนเชิงเทิน ขุดคูล้อมรอบ คูกว้าง ๔ ศอก ในค่ายปลูกเรือนสามหลัง ปลูกฉางเฃ้าหลังหนึ่ง แล้วลิโกใช้พวกห้อไปขนเข้าราษฎรมาตวงขึ้นฉาง ได้เฃ้าประมาณ๓๐๐ เกวียนเสศ กองทัพลิโกห้อตั้งอยู่ที่ทุ่งเชียงคำ มีคนประมาณ ๑๒๐๐ เสศ ตั้งอยู่เดือนเสศ ครั้นเดือนยี่ปีจอฉศก ท้าวอิงเจ้าเมืองเชียงขวางเกณฑกองทัพเมืองพวนมารบกองทัพห้อสองครั้ง ท้าวอิงเจ้าเมืองเชียงขวางอุปฮาดถูกปืนตายในที่รบ กองทัพเมืองพวนสู้ห้อไม่ได้แตกหนีไป แล้วมีญวนแกวยกเช้ามารบห้อที่ทุ่งเชียงคำ ๒๐๐๐ เสศ สู้รบกับกองทัพห้อวันหนึ่งญวนสู้ห้อไม่ได้แตกหนีไป ลิโกแต่งคนออกเกบเงิน ทอง สิ่งของราษฎร แบ่งปันกัน แล้วเกลี้ยกล่อมลาวพวนเข้าเปนพวกประมาณ ๕๐ เสศ แม่ทัพห้อใช้สอยให้เลี้ยงม้าอย่างเดียวไมให้เปนกองรบ คนที่รบนั้นใช้ห้อซึ่งอยูในคำษาบาลเปนกองรบทุกครั้ง กระสุนปืนนั้นลิโกใช้ห้อไปขุดแร่ดีบุกที่เมืองซอนเขื้นกับเมืองหลวงพบางมาถลุง ได้เนื้อดีบุกแล้วขนเอามาหลอมเปนกระสุนปืนที่ทุ่งเชียงคำ ดินดำไม่มีก็หาดินประสิวที่แขวงเมืองพวนมาหุงตำเปนดินดำบ้างใช้คนไปเอาดินดำกระสุนปืนมาจากเมืองห้อบ้าง ข้าพเจ้ามาอยู่ที่ทุ่งเชียงคำได้ความว่า ลิวสิโก สับตโก ฟาลงโก คุมกองทัพยกลงมาทางเมืองเวียงจันเก่า มีคนประมาณ ๗๐๐ เสศ จะมีม้า มีเครื่อง สาตราวุธมากน้อยเท่าใด ห้อจะแบ่งกองทัพลงไปรบเมืองญวนมากน้อยเท่าใด ฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ ลิโกภักทัพอยู่ที่ทุ่งเชียงคำ ๓ เดือนเสศ ครั้น ณ เดือนหก ปีกุน สัปตศก ลิโกแบ่งกองทัพอยู่รักษาค่ายทุ่งเชียงคำ ๔๐๐ คน แล้วลิโกบังคับให้ พวกลาวพวนทำนา ให้พวกห้อกำกับดูแลได้เช้ามากให้ขนขึ้นฉางรักษาไว้ ถ้าไพร่ กองทัพอดหยากขัดสนจะให้คนมาหาบเช้าไปจ่ายให้ไพร่กองทัพรับประทาน แล้ว สิโกคุมกองทัพห้อ ๘๐๐ คน ม้า ๘๐ ม้า เครื่องสาตราวุธกระสุนดินดำยกมาจาก ทุ่งเชียงคำ ให้อ้ายปรัดลาวพวนเปนผู้น่าทางลิโกแม่ทัพห้อ ฃ้าพเจ้าเหนลิโกขึ้นม้า มีห้อถือปืนถือหอกถือง้าวตามเปนกระบวน ฃ้าพเจ้าคุมม้าเดินมาข้างหลังเดิน มาจากทุ่งเชียงคำ ๒ วันถึงเมืองเชียงขวางเข้าภักอยู่ที่เรือนเจ้าเมืองเชียงขวางไม่มีผู้คน ทิ้งเรือนแลเข้าในยุ้งไว้ ลิโกภักอยู่ ๑๐ วัน แล้วยกมาจากเมืองเชียงขวาง เดินทาง ๓ วันถึงเมืองสุยก็ไม่เหนผู้คน ยกจากเมืองสุยต้องขึ้นเขา ๓ เขา เดินตั้งแต่เช้าจนเที่ยงจึ่งตกเชีงเขาแล้วเดินตามเขาเลก ๆ อีกหลายเขาฃ้ามห้วย ๓ ห้วยมา ๓ วัน จึ่งถึงเมืองฦกแขวงเมืองหนองคายเปนเมืองร้างไม่มีผู้คน ลิโกภักกองทัพอยู่ ๓ วัน แล้วลิโกยกมาจากเมืองฦกมาบ้านโฉมดีต้องข้ามเขา ๔ เปนเขาเลกฃ้ามห้วย ๔ ห้วย ห้วยกว้าง ๑๐ ศอกบ้าง ๓ วาบ้าง แล้วก็เดินในดง ๓ วันถึงบ้านโฉมดีมีเรือนลาวอยู่เรี่ยรายไม่มีผู้คน ลิโกภักอยู่ที่บ้านโฉมดี ๑๐ วัน ราชวงษราชบุตรเมืองหนองคายคุมไพร่ประมาณ ๘๐๐ คน ๙๐๐ คน ยกมารบกับลิโกห้อ ๒ วัน ราชวงษราชบุตรสู้กองทัพห้อไม่ได้แตกหนีไป แล้วลิโกคุมกองทัพยกมาจากบ้านโฉมดี ๓ วันถึงบ้านโพนทานาเลา แล้วตั้งค่ายที่บ้านโพนทานาเลา เสาค่ายปักด้วยไม้ไผ่สูง ๗ ศอก ยาว ๒๐ วา กว้าง ๒๐ วา มีประตู ๔ ประตู ไม่ได้ขุดคู ถมดินเชิงเทิน ลิโกปลูกเรือนในค่าย ๒ หลัง ลิโกให้คนไปขนเข้าเปลือกตามยุ้งชาวบ้านมาเลี้ยงไพร่ไม่ได้อดหยากขัดสน แล้วลิโกแบ่งคนรักษาค่ายบ้านโพนทานาเลาอยู่ ๔๐ คน คนเหลืออยู่ ๗๖๐ คน ลิโกคุมคนยกมาจากบ้านโพนทานาเลา ๒ วันถึงเมืองเวียงจันเก่าเข้าไปบันจบกับกองทัพลิวซิโก สับตโก ฟาลงโก ที่เมืองเวียงจันเก่า ลิโกเอาตัวข้าพเจ้ามาด้วย รวมคนนายไพร่ทั้ง ๔ ทัพเปนคน ๑๒๐๐ คน รวมทางตั้งแต่ทุ่งเชียงคำเดินมา ๑๖ วันถึงเมืองเวียงจันเก่า แล้วกองทัพห้อแยกกันไปทางเมืองหนองคายบ้าง ทางเมืองปากเหืองบ้าง เที่ยวเกบเอาเงินทองสิ่งของราษฎรชาวบ้านมาไว้ ที่ราษฎรไม่มีเงินให้ฆ่าเสียก็มี ที่แตกหนีเข้าป่าก็มาก แต่ตัวข้าพเจ้าต้องไปเกี่ยวหญ้าม้าใกลค่ายทางประมาณ ๓๐ เส้น ครั้น ณ เดือนสิบเบด แรม ๑๔ ค่ำ ปีกุนสัปตศก ข้าพเจ้าได้ยินเสียงปืนที่ค่าย ข้าพเจ้าถามผู้มีชื่อบอกว่า กองทัพพระยามหาอำมาตย เจ้าเมืองกรมการลาวยกฃ้ามไประดมตีกองทัพ ลิวซิโก สัปตโก ฟาลงโก ตั้งแต่เช้าจนค่ำ กองทัพลาวยิงถูกลิวซิโก สัปตโก ฟาลงโก ลิโก ตายในที่รบทั้ง ๔ คน ไพร่ห้อตายเปนอันมาก ข้าพเจ้าเกี่ยวหญ้าได้แล้วเดินมาถึงกลางทาง กองทัพไทยจับตัวฃ้าพเจ้ามาส่งพระยามหาอำมาตย์ ๆ ส่งตัวข้าพเจ้าลงมา ณ กรุงเทพ และ ลิวซิโก สัปตโก ฟาลงโก ลิโก แม่ทัพห้อ ๔ คนมาแต่เมืองไหนเปนบุตรหลานเชื้อสายเจ้านายเมืองใด ข้าพเจ้าไม่ทราบ ลิวซิโก สัปตโก ฟาลงโก ฃ้าพเจ้าไม่ได้เหนไม่รู้จัก แต่แม่ทัพห้อจะแบ่งทัพไปรบเมืองญวน เมืองหลวงพบาง จะเปนคนเท่าใด จะยกไปเดือนใด ข้าพเจ้าหาทราบไม่ เปนความสัจจริงของข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
เล่มที่ ๒ นำเบอร์ ๓๘๕ วันอาทิตย เดือน ๔ แรม ๓ ค่ำ
ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ แผ่นที่ ๔๘
บอกเจ้าพระยาภูธราภัย
๏ หนังสือเจ้าพระยาภูธราภัยที่สมุหนายกแม่ทัพใหญ่มาถึงพระยาจ่าแสนบดี พระยาศรีสิงหเทพ ได้นำขึ้นน้อมเกล้าถวายคำนับบังคมทูลพระกรุณา ให้ทราบฝ่าลอองธุลีพระบาทด้วยข้าพระพุทธเจ้า แลนายทัพนายกองยกขึ้นไปถึงบ้านปากลาย ณ วันพุฒ เดือนอ้าย แรมสิบค่ำ ปีกุนสัปตศก เจ้ามหินนิภาธรแต่งให้เจ้าพรหมมา ผู้ว่าที่เจ้าราชสำพันธวงษ ท้าวพระยาลงมาจัดเสบียงอาหารรับกองทัพอยู่ ณ บ้านปากลาย เจ้าพรมมาแจ้งว่า เสบียงอาหารในแขวงเมืองหลวงพบางก็ขัดสน ได้เข้าลงมาจ่ายไพร่พลกองทัพก็ไม่ภอ ข้าพระพุทธเจ้าให้กรมการเมืองน้ำปาดคุมโคต่างบันทุกเฃ้าสาร เมืองน้ำปาดขึ้นไปส่งเมืองว่า ๆ ส่งถึงบ้านปากลายระยะทางก็ไกลกันถึง ๕ คืน ๖ คืน ได้เข้าสารขึ้นไป ภอเจือจานจ่ายไพร่พลกองทัพ ครั้น ณ วันพฤหัศบดี เดือนอ้าย แรมสิบเอจค่ำ ปีกุนสัปตศก พระสุริยภักดีบอกลงมาว่าขึ้นไปถึงเมืองหลวงพบาง ณ วันสุกร เดือนอ้าย ขึ้นสิบสามค่ำ จะรีบขึ้นไปพร้อมด้วยพระยาพิไชย ข้างที่เมืองหลวงพบางก็เกณฑบันทุกเสบียงอาหารขึ้นไปส่งกองทัพยังไม่กลับมา จึ่งแต่งให้หลวงปลัดเมืองสิงคบูรี หลวงคลังเมืองสวรรคโลกย คุมไพร่ ๗๐ คนขึ้นไปสืบราชการถึงกองทัพ พระยาพิไชยแลเร่งช้างกลับลงมาเมืองหลวงพบางแล้ว พระสุริยภักดีจะยกขึ้นไปคิดราชการพร้อมด้วยพระยาพิไชย ครั้น ณ วันเสาร เดือนอ้าย แรมสิบสามค่ำ ปีกุนสัปตศก เพี้ยพรหมสุภาเมืองนำปาต ถือบอกพระยาพิไชย ส่งต้นหนังสือฮ่อเปนอักษรลาวฉบับ ๑ อักษรฮ่อฉบับ ๑ ลงมาถึงบ้านปากลาย มีความในบอกพระยาพิไชยว่า กองทัพพระยาพิไชยตั้งค่ายสู้รบกับกองทัพฮ่อที่บ้านสุดด้วยกองทัพเมืองหลวงพบางแลหัวเมืองทั้งปวงอยู่ ๑๘ วันก็หาพร้อมกันไม่ กวานหลวงแม่ทัพฮ่อมีหนังสือมาถึงพระยาพิไชยว่า เจ้าฟ้าอองแต่งให้กวานหลวงมารักษาเมืองพวน หาได้ยกกองทัพมารบกวนเมืองหลวงพบางไม่ให้พระยาพิไชยถอยทัพกลับมาแล้ว ขอเปนบ้านพี่เมืองน้องกัน พระยาพิไชยมีหนังสือตอบไปถึงกวานหลวงแม่ทัพฮ่อว่า จะบอกลงไปยังแม่ทัพใหญ่ ณ เมืองหลวงพบางก่อน ครั้น ณ วันจันทร เดือนอ้าย ขึ้นเก้าค่ำ พวกฮ่อถอยทัพกลับไปค่ายลาตหวง พระยาพิไชยนายทัพนายกองถอยทัพมาตั้งอยู่บ้านนาน้อยไกลกันสองวัน หาได้รบพุ่งกันไม่ แล้วผ่อนครอบครัวเมืองพวนที่สมัคเข้ามาอยู่แขวงเมืองหลวงพบางแจ้งอยู่ในบอกพระยาพิไชย แลต้นหนังสือฮ่อทั้ง ๒ ฉบับนั้นแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าได้มีหนังสือตอบไปถึงพระยาพิไชยนายทัพนายกองว่า ซึ่งพระยาพิไชยนายทัพนายกองได้สู้รบกองทัพฮ่อ รอกองทัพอยู่ ๑๘ วันก็ไม่พร้อมกัน แลพระยาพิไชยมีหนังสือตอบไปถึงกวานหลวงแม่ทัพฮ่อ ผ่อนกำลังถอยกลับมาตั้งอยู่บ้านนาน้อย ส่งครอบครัวเมืองพวนเข้ามาไว้ในแขวงเมืองหลวงพบาง ไม่ให้เสียห่วงทีฆ่าศึกนั้นชอบแล้ว ให้พระยาพิไชยมีหนังสือไปถึงกวานหลวงแม่ทัพฮ่อว่าเจ้าฟ้าอองอยู่เมืองไหน จึ่งให้กวานหลวงยกกองทัพลงมารักษาเมืองพวน ๆ ก็เปนเมืองขึ้นแก่เมืองญวน เมืองหลวงพบางทั้ง ๒ ฝ่าย ฤๅว่าฮ่อยกมาเกียดกันเอาเมืองพวนซึ่งเปนเขตรแดนเมืองญวนได้จะขอเปนทางไมตรีบ้านพี่เมืองน้องกับเมืองหลวงพบาง ก็ชอบแต่จะมีหนังสือมาว่ากล่าวแก่เจ้านายเมืองหลวงพบางก่อน พวกฮ่อก็ไม่ได้มีหนังสือมาว่ากล่าวเปนทางไมตรีมีใจกำเริบยกมาฆ่าเจ้าเมืองเชียงขวางตาย แล้วซ้ำคุมไพร่พลลงมาตีเขตรแขวงเมืองหนองคายซึ่งเปนขอบขันธสิมา กรุงเทพฯ ได้จัดกองทัพออกสู้รบจับพวกฮ่อได้ถึงสี่สิบเสศ ฆ่าตายเสียเปนอันมาก กวานหลวงผู้เปนแม่ทัพรู้ศึกตัวกลัวฝีมือบ้างฤๅไม่ ฮ่อจะว่าประการใดจะได้รู้ความไว้ แต่เหนว่ากวานหลวงแม่ทัพฮ่อมีกำลังหย่อนลงครั่นคร้ามมากแล้ว จึ่งมีหนังสือมาว่ากล่าวเปนอุบายฬ่อลวงชวนให้ดี ผ่อนสติปัญญาต่อไปการจะไม่แล้วเปนเดจขาดได้ ฝ่ายเรายกกองทัพกลับมาฮ่อก็จะยกมากวนปลายเขตรแดนเมืองหลวงพบาง ๆ ก็จะขอกองทัพให้ยกขึ้นไปไม่เปนอันแล้ว ให้พระยาพิไชยตริตรองการให้ดีอย่าให้เสียท่วงทีแก่การศึกสงครามได้ ๆ มีหนังสือขึ้นไปให้พระสุริยภักดีเร่งกองทัพรีบขึ้นไปบันจบทัพพระยาพิไชยความแจ้งอยู่แต่ก่อนแล้ว ถ้ากองทัพขึ้นมาถึงพร้อมกันเมื่อใดก็ให้พระยาพิไชยพระสุริยภักดีนายทัพนายกองพร้อมกัน ยกเข้าระดมตีกองทัพฮ่อให้เลิกถอนไป ในเดือนยี่ ปีกุนสัปตศกนี้ให้จงได้ ได้ให้จีนล่ามแปลหนังสืออักษรฮ่อ คัดสำเนาส่งขึ้นไปให้พระยาพิไชยทราบความด้วยแล้ว ถ้าครัวเมืองพวนสมัคเข้ามาเปนคนเท่าใด ให้เร่งบอกจำนวรครัวลงไปโดยเรว ข้าพระพุทธเจ้าได้ให้พระยาสุรินทรราชเสนี คุมนายไพรในพระราชวังบวรสฐานมงคล ๕๐๐ คน กับกองทัพเมืองกำแพงเพชร พระยากำแพงเพชรกรมการนายไพร่ ๕๑๔ คน เมืองสุกโขไทย พระศรีคมารงกรมการนายไพร่ ๙๐๐ คน เมืองพิศณุโลกหลวงราชวรารักษหนึ่ง ทหาร ๑๒ คน รวม ๑๓ คน กรมการไพร่เมืองพิศณุโลก ๕๐๐ คน รวม ๕๑๓ คน รวม ๒๔๒๗ คน ยกขึ้นไปทางเมืองกาศรีให้พระยาพกฤษหลวง ยกรบัตรเมืองเพชรบูรณ คุมนายไพร่ในพระราชวังบวรสฐานมงคล ๑๐๐ คน เมืองเพชรบูรณ เมืองเลย เมืองแก่นท้าว ๔๐๐ คน รวม ๕๐๐ คน ยกขึ้นไปทางสามหมื่นเมืองเฟือง บันจบทัพพระยาพิไชยให้พร้อมกันที่เมือง ได้ยกจากบ้านปากลายเมืองปากเหืองขึ้นไปพร้อมกันแล้ว จึ่งส่งบอกพระยาพิไชยต้นหนังสือฮ่อ เปนอักษรลาวฉบับหนึ่ง อักษรฮ่อฉบับหนึ่ง กับคำแปลหนังสือฮ่อคำให้การเพี้ยพรหมสุภา ผู้ถือบอกพระยาพิไชยลงมาแจ้ง ข้อราชการ ณ กรุงเทพ ฯ ด้วยแล้ว ถ้าราชการผันแปรประการใดจะบอกลงมาครั้งหลังจะควรประการใดแล้วแต่จะโปรด บอกมา ณ วัน อาทิตย เดือนอ้าย แรมสิบสี่ค่ำ ปีกุนสัปตศก ๚ะ
ต้นหนังสือพระยาพิไชย
๏ ข้าพเจ้าพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตรพิพัฒพิไชยอภัยพิริยปรากรมภาหุผู้สำเรจราชการเมืองพิไชย ขอบอกปรนิบัตรมายังท่านหลวงพจนวิลาศเสมียนตรากรมมหาดไทย ขอได้นำขึ้นกราบเรียนแต่ ฯพณฯ ที่สมุหนายก แม่ทัพใหญ่ได้ทราบ ด้วยฃ้าพเจ้านายทัพนายกองบอกลงมาว่าแต่ก่อนฃ้าพเจ้ากับทัพฮ่อได้สู้รบกันที่บ้านสุด แต่ ณ วันจันทร เดือนสิบสอง แรมสามค่ำ ปีกุนสัปตศก มาจนถึง ณ วันอาทิตย เดือนสิบสอง แรมเก้าค่ำ ปีกุนสัปตศก แจ้งอยู่ในบอกฃ้าพเจ้าแลนายทัพนายกองแต่ก่อนนั้นแล้ว ครั้น ณ วันจันทร เดือนสิบสอง แรมสิบค่ำ ปีกุนสัปตศก กองทัพฮ่อกับกองทัพฃ้าพเจ้าสู้รบกันต่อไปอีก กองทัพฮ่อถูกปืนตาย และเจบป่วยประมาณ ๔๐ คนเสศ กองทัพไทยถูกปืนตายเจ้าน้อยลุยเมืองน่าน ขุนสัศดีเมืองทุ่งยั้ง รวม ๒ คนไพร่ถูกปืนตาย ๒ รวม ๔ คนเจบป่วย ๗ คน ฃ้าพเจ้ากับนายทัพนายกอง ก็ตั้งค่ายมั่นสู้รบกองทัพฮ่อ รอคอยเจ้าอุปราชเมืองหลวงพบางแลกองทัพหัวเมืองทั้งปวง อยู่ที่สุดถึง ณ วันอาทิตย เดือนอ้าย ขึ้นแปดค่ำ ปีกุนสัปตศก ได้ ๑๘ วัน กวานหลวงแม่ทัพฮ่อมีหนังสือมายังข้าพเจ้านายทัพนายกอง ๒ ฉบับ ๆ หนึ่ง เปนอักษรฮ่อฉบับหนึ่ง เปนอักษรลาวอักษรฮ่อหามีล่ามแปลไม่ แต่อักษรลาวแปลออกเปนคำไทยได้ความว่าฟาอองแต่งให้กวานหลวงมานั่งเมืองพวนมิได้ยกกองทัพเข้ามารบกวนเมืองหลวงพบาง กวานหลวงจะรักษาแต่เขตรแดนเมืองพวนทั้งแปตเวียน แล้วขอเปนบ้านพี่เมืองน้องค้าขายถึงกันกับเมืองหลวงพบาง หัวพันทั้ง ๖ สบแอก เชียงค้อ เมืองพวนก็ทู้หัวมด แล้วให้ฃ้าพเจ้าถอยทัพลงมาเสีย ฃ้าพเจ้านายทัพนายกองมีหนังสือตอบไปว่า เมืองหัวพันทั้ง ๖ เมืองพวนเปนเขตรแดนเมืองหลวงพบาง เคยเอาเครื่องบรรณาการส่งลงมาให้เมืองหลวงพบาง นำลงมาทูลเกล้าฯ ถวาย ณ กรุงเทพ ฯ เสมอทุกปี บัดนี้ทรงทราบใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทว่า กองทัพฮ่อยกเข้าตี เมืองสบแอก เชียงค้อ หัวพันทั้ง ๖ เมืองพวน แตกระสํ่าระสายไม่ได้ส่งเครื่องบรรณาการให้เมืองหลวงพบางนำลงมาทูลเกล้าฯ ถวายสองปีแล้ว จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้กองทัพฝ่ายไทยยกขึ้นมาตรวจตราดูแลเขตรแดนเมืองพวน แลหัวเมืองทั้งปวง กองทัพฝ่ายไทยจึ่งยกขึ้นไปภักอยู่สุดแขวงเมืองพวน ก็ทัพฮ่อยกเข้ามาตีกองทัพฝ่ายไทยได้สู้รบถึงสิบแปดวัน กองทัพฝ่ายไทยฝ่ายฮ่อก็ยังไม่แพ้ชะนะกัน กวานหลวงแม่ทัพฮ่อว่าเจ้าฟาอองให้มานั่งเมืองพวน เปนทางไมตรีบ้านพี่เมืองน้องกันกับเมืองหลวงพบางนั้น กองทัพฝ่ายไทยจะบอกลงมายัง ฯพณฯ แม่ทัพใหญ่ที่ตั้งอยู่ ณ เมืองหลวงพบางให้ทราบก่อน ถ้า ฯพณฯ แม่ทัพใหญ่จะมีตราโปรดขึ้นไปประการใดจึ่งจะมีหนังสือมาให้กวานหลวง แม่ทัพฮ่อได้แจ้งแล้ว กองทัพฮ่อกับกองทัพฃ้าพเจ้าก็งดไม่รบกัน ครั้น ณ วันจันทร เดือนอ้าย ขึ้นเก้าค่ำ ปีกุนสัปตศก กองทัพฮ่อถอยกลับไปยังค่ายบ้านลาดหวง ฃ้าพเจ้ากับนายทัพนายกองถอยทัพกลับมาตั้งค่ายมั่นอยู่ที่บ้านนาน้อย แขวงเมืองพวนทางไกลค่ายฮ่อที่บ้านลาตหวงสองวัน คอยป้องกันกองทัพฮ่อ ให้ภวกลาวพวนที่ไม่สมัคอยู่กับฮ่อผ่อนครอบครัว เข้ามาอยู่ในเขตรแดน เมืองหลวงพบาง พวกพวนก็ได้ยกครอบครัวเข้ามาอยู่เนือง ๆ แต่ยังหาได้จำนวรครัวไม่ ครั้น ณ วันอังคาร เดือนอ้าย ขึ้นสิบค่ำ ปีกุนสัปตศก เพี้ยพรหมสุภากรมการเมืองน้ำปาดเชิญตราพระราชสีหขึ้นไปถึงฃ้าพเจ้านายทัพนายกอง ด้วยข้อราชการทางเมืองพวนนั้น ฃ้าพเจ้ากับนายทัพนายกองทราบเกล้า ฯ ตามท้องตรา พระราชสีหโปรดขึ้นไปทุกประการ แล้วฃ้าพเจ้านายทัพนายกองยังภักคอยกองทัพหัวเมืองทั้งปวงอยู่บ้านนาน้อยแขวงเมืองพวน แลกองทัพฮ่อซึ่งยกเข้ามารบกองทัพฃ้าพเจ้านั้นมีฮ่อประมาณ ๓๐๐ มีภวกภูไทยลาวประมาณ ๔๐๐ เสศก็หามีฮ่อแลภูไทยลาวพวน ยกเพิ่มเติมเข้ามาอีกไม่ และกองทัพ เจ้าคำเครืองพระยาลานครเมืองน่านนั้นภาไพร่พลหนีลงมาจากกองทัพ ข้าพเจ้าแต่ ณ วันอังคาร เดือนอ้าย ขึ้นสิบค่ำ ปีกุนสัปตศก ฃ้าพเจ้าได้แต่งให้กรมการลงมาตามก็หากลับขึ้นไปไม่ ฃ้าพเจ้าได้เอาต้นหนังสือฮ่ออักษรลาวฉบับหนึ่ง เปนอักษรฮ่อฉบับหนึ่ง หนังสือบอกข้อราชการมอบให้เพี้ยพรหมสุภากรมการเมืองน้ำปาด เชิญท้องตราพระราชสีหลงมา แจ้งราชการด้วยแล้ว ราชการทัพฮ่อทางเมืองพวนจะผันแปรประการใด ฃ้าพเจ้าจะบอกลงมาให้ทราบต่อครั้งหลัง สิ่งใดจะชอบด้วยราชการขอบุญปัญญาเปนที่พึ่งประนิบัตรมา ณ วันสุกร เดือนอ้าย ขึ้นสิบสามค่ำ ปีกุนสัปตศก ๚ะ
คำให้การเพี้ยพรหมสุภา
๏ วันอาทิตย เดือนอ้าย แรมสิบสี่ค่ำ ปีกุนสัปตศก พณหัวเจ้าท่านที่สมุหนายกแม่ทัพว่าราชการอยู่ ณ ค่ายบ้านปากลายมีบัญชาสั่งให้ถามเพี้ยพรหมสุภา ผู้ถือหนังสือบอกพระยาพิไชย ฃ้าพเจ้าเพี้ยพรหมสุภา เมืองนำปาดให้การว่า ณ วันเดือนสิบสอง ขึ้นสิบค่ำ ปีกุนสัปตศก พระมหาตไทยเมืองพิไชยมีหนังสือมาถึงเมืองน้ำปาดให้ผู้รักษาเมืองกรมการถือหนังสือพระศรืเสนาข้าหลวงขึ้นไปถึงพระยาพิไชยเจ้าเมืองหลวงพบาง ให้จัดเสบียงอาหารไว้จ่ายกองทัพใหญ่ หลวงษารภากร จึ่งแต่งให้ฃ้าพเจ้านายไพร่ ๔ คน ถือหนังสือไปจากเมืองน้ำปาด ณ วันเดือนสิบสอง ขึ้นสิบเอจค่ำ ปีกุนสัปตศก เดินทาง ๖ คืนถึงบ้านปากลาย ณ วันเดือนสิบสอง แรมค่ำหนึ่ง ตาแสงท้าวเพี้ยจัดคนแลเรือส่งฃ้าพเจ้า ๆ ไปจากบ้านปากลาย ณ วันเดือนสิบสอง แรมสองค่ำ นอนทาง ๘ คืนถึงเมืองหลวงพบาง วันเดือนสิบสอง แรมสิบค่ำ รุ่งขึ้นวันเดือนสิบสอง แรมสิบเอดค่ำ เสนาบดีเมืองหลวงพบางแต่งให้ท้าวพันถือตราฉบับหนึ่งขึ้นไปพร้อมกับฃ้าพเจ้า ๆ กับท้าวพันก็ไปจากเมืองหลวงพบาง ท้าวพันภักเกณฑคนส่งท้าวพันภักอยู่บ้านละคืน ๑ บ้าง ๒ คืนบ้าง จึงได้ช้า ฃ้าพเจ้ากับท้าวพันขึ้นไปถึงบ้านนาน้อยแขวงเมืองสุย ที่พระยาพิไชยตั้งค่ายอยู่ ณ วันเดือนอ้าย ขึ้นเก้าค่ำ เวลาเที่ยงฃ้าพเจ้ากับท้าวพันวางท้องตราต่อพระยาพิไชยพร้อมกัน ใจความในท้องตราว่า พณหัวเจ้าท่านที่สมุหนายกจะยกฃึ้นมาคิดราชการทางเมืองหลวงพบาง ให้พระยาพิไชยตริตรองรักษาเขตรแดนไว้ให้ดี ถ้าเหนว่ากองทัพฮ่อมีกำลังน้อยภอจะทำได้จึ่งให้ทำ ถ้าเหนจะทำไม่ได้ก็ให้งดรอกองทัพใหญ่ แจ้งอยู่ในท้องตรานั้นแล้ว แต่ค่ายที่พระยาพิไชยตั้งอยู่ไกลค่ายบ้านสุดทาง ๒ วันมีค่าย ๒ ค่าย คนในค่ายพระยาพิไชยประมาณ ๘๐๐ คน ๙๐๐ คน ฃ้าพเจ้ากับท้าวพันภักอยู่ในค่ายพระยาพิไชย ๔ วัน หาเหนสู้รบกับฮ่อแลพวกพวนมาหาพระยาพิไชยไม่ ครั้น ณ วันเดือนอ้าย ขึ้นสิบสามค่ำ ปีกุนสัปตศก พระยาพิไชยให้ฃ้าพเจ้าถือหนังสือบอกลงมาแจ้งข้อราชการ ณ เมืองพิไชย ฃ้าพเจ้ากับท้าวพันก็มาจากพระยาพิไชยพร้อมกัน มาถึงเมืองอยู่ ณ วันเดือนอ้าย แรมค่ำหนึ่ง ภบกองทัพเจ้าอุปราชเมืองหลวงพบาง เจ้าสุรียะเมืองน่านภักอยู่ที่เมืองยู มีคนประมาณ ๒๐๐๐ เสศ ทาง ๓ คืนจะถึงบ้านนาน้อยที่พระยาพิไชยตั้งค่ายอยู่ ฃ้าพเจ้ากับท้าวพันเข้าไปหาเจ้าอุปราช ๆ ถามฃ้าพเจ้าว่าพระยาพิไชยตั้งอยู่ที่ไหน ฃ้าพเจ้าบอกว่า พระยาพิไชยตั้งอยู่ที่บ้านนาน้อย แขวงเมืองสุย แล้วฃ้าพเจ้าถามเจ้าอุปราชว่าจะยกไปเมื่อใด เจ้าอุปราชว่าฟังดูก่อน ฃ้าพเจ้าภักอยู่ที่เมืองยูคืน ๑ รุ่งขึ้นเดือนอ้าย แรมสองค่ำ เวลาเช้าฃ้าพเจ้าออกจากเมืองยูมาถึงกลางป่าบ่าย ๔โมง ภบราชวงษเมืองน้ำปาด ถือตราขึ้นไปถึงพระยาพิไชยฉบับหนึ่ง จะเปนข้อราชการสิ่งไรฃ้าพเจ้าไม่ทราบ รุ่งขึ้น ณ วันเดือนอ้าย แรมสามค่ำ ฃ้าพเจ้ามาถึงภูยาวแขวงเมือง เวลาเที่ยงภบกองทัพพระปลัดเมืองสวรรคโลกคนประมาณ ๕๐๐ คน พระปลัดถามฃ้าพเจ้าว่า พระยาพิไชยตั้งค่ายอยู่ที่ไหน ฃ้าพเจ้าบอกว่า พระยาพิไชยตั้งค่ายอยู่ที่บ้านนาน้อย พระปลัดว่าจะรีบยกขึ้นไปให้ถึงพระยาพิไชยโดยเรว ระยะทางแต่ภูยาวไปถึงบ้านนาน้อยสี่คืน พระปลัดได้มีหนังสือให้ข้าพเจ้าถือมาถึงหลวงคลัง หลวงกลางเมืองสวรรคโลก ให้คนที่ป่วยล้าอยู่ที่เมืองหลวงพบาง แลตามระยะทางให้รีบขึ้นไปให้ทันพระปลัดโดยเรว ฃ้าพเจ้ารับหนังสือที่พระปลัดแล้วมาจากภูยาวนอนทาง ๒ คืน ถึงบ้านเสียวแขวนเมืองหลวงพบาง แต่บ้านเสียวมาเมืองหลวงพบางเดินทาง ๒ คืน ข้าพเจ้าลงเรือที่บ้านเสียวล่องน้ำของมาครึ่งวันถึงเมืองหลวงพบาง ณ วันเดือนอ้าย แรมสี่ค่ำ ภบหลวงกลางที่เมืองหลวง ฃ้าพเจ้าก็ส่งหนังสือพระปลัดให้หลวงกลาง แล้วฃ้าพเจ้าเข้าไปหาพระสุริยภักดีแจ้งความว่า พระยาพิไชยให้ข้าพเจ้าถือบอกลงมากราบเรียนพณหัวเจ้าท่านที่สมุหนายกแม่ทัพใหญ่จะเปนข้อราชการประการใดฃ้าพเจ้าไม่ทราบ พระสุริยภักดีถามฃ้าพเจ้าว่าภบหลวงปลัดเมืองสิงค์ หลวงเมืองสวรรคโลกซึ่งให้ขึ้นไปสืบราชการ ฤๅไม่ฃ้าพเจ้าแจ้งว่าฃ้าพเจ้ามาทางเรือหาภบกันไม่ ฃ้าพเจ้าภักอยู่ที่เมืองหลวงพบางรอคอยเรืออยู่ ๒ คืน ครั้น ณ วันเดือนอ้าย แรมเจดค่ำ ก็ลงเรือมานอนตามระยะทาง ๖ คืนถึงบ้านปากลาย ณ วันเสาร เดือนอ้าย แรมสิบสามค่ำ ปีกุนสัปตศก เปนความสัจความจริง สิ้นคำให้การฃ้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
แปลหนังสือห้อ ๒ ฉบับ
๏ วันเสาร เดือนอ้าย แรมสิบสามค่ำ ปีกุนสัปตศก พระยาพิไชยบอกส่งต้นหนังสือนายทัพฮ่อ ให้เพี้ยพรหมสุภาเมืองน้ำปาดถือมาถึงค่ายบ้านปากลาย เปนอักษรลาวฉบับหนึ่ง อักษรฮ่อฉบับหนึ่ง รวม ๒ ฉบับ ให้หลวงเมืองซ้ายเมืองพิไชยแปลอักษรลาว จีนนีล จีนหนูล่ามแปลอักษรฮ่อเปนคำไทย ความในอักษรลาวว่า วันอังคาร เดือนอ้าย ขึ้นเจดค่ำ หนังสือกวานหลวงมาถึงเจ้าแม่ทัพด้วย ๑๖ ภูไทยแลเมืองหัวพันทั้ง ๖ คือ เมืองสบแอก เมืองเชียงค้อ เมืองพวน ก็เข้าอยู่เปนบ่าวฮ่อลิ้นแล้ว เจ้าฟาอองแต่งให้มานั่งเมืองพวนดูแลรักษาบ่าวไพร่ในเมืองพวนแปดเมือง หาได้ยกกองทัพมารบเมืองหลวงพบางไม่ เหตุไรจึ่งได้ยกกองทัพขื้นมารบถ้าตีกัน ก็ให้ถอยกองทัพกลับไปเสีย ถ้าจะถอยก็ให้มีหนังสือมาหากวานหลวงในวันนี้ มิใช่กวานหลวงจะยกกองทัพไปรบเมืองหลวงพบาง เมืองหลวงพบางก็ให้รักษาแต่เขตรแดนเมืองพบาง ฮ่อหลวงก็จะรักษาแต่เขตรแดนเมืองพวน ขอให้เปนบ้านพี่เมืองน้องไปมาค้าขายอย่ารบพุ่งฆ่าฟันกันให้มีหนังสือมาถึงฮ่อหลวงผู้ใหญ่ผู้น้อยให้แต่งคนใช้เข้ามาพูดจากันในค่ายในวันนี้ อย่ากลัวเลยไม่ทำอันใดกับคนใช้ดอก ความในอักษรฮ่อว่า หนังสือกองทัพยี่ฮ่อตงเจีย่ให้รู้ ฃ้าพเจ้ากับเมืองหลวงก็เปนไมตรีต่อกันทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่ได้รบพุ่งกันให้ท่านหยุดทัพกลับไปเมืองหลวง ฃ้าพเจ้าก็จะกลับไป ค่ายใหญ่ ถ้ารู้หนังสือนี้แล้วให้เร่งยกทัพกลับไปโดยเรว ถ้าท่านไม่ยกทัพกลับไป ฃ้าพเจ้าก็จะสู้รบจนกายราบจะฆ่าฟ้นกันให้เลือดไหลเปนล๐าน้ำไม่ยอมกันเปนแน่ ถ้าไม่ขัดขวางจะยกทัพกลับไปแล้วให้มีหนังสือ มาให้ฃ้าพเจ้าทราบ ปีกุน เดือน อ้าย ขึ้นเจดค่ำ ๚ะ
เล่มที่ ๓ นำเบอร์ ๑๗ วันอาทิตย เดือน ๕ แรมค่ำ ๑ ปีชวดยังเปนสัปตศก
๑๒๓๗ แผ่นที่ ๓
บอกเจ้าพระยาภูธราภัย
๏ เจ้าพระยาภูธราภัยที่สมุหนายกแม่ทัพใหญ่บอกลงมาว่า ได้ยกกองทัพจากเมืองพิไชยขึ้นไปถึงเมืองน้ำปาด ณ วันอาทิตย เดือนอ้าย ขึ้นสิบห้าค่ำ ปีกุนสัปตศก ฃุนสุภมาตราเมืองตรวนถือหนังสือบอกพระยาพิไชยลงมาฉบับหนึ่งใจความว่า ณ เดือน ๑๒ ขึ้น ๘ ค่ำ ปีกุนสัปตศก พระยาพิไชยแลนายทัพนายกองขึ้นไปถึงเมืองสุยกองทัพเจ้าอุปราชเมืองหลวงพบาง หัวเมืองทั้งปวงขึ้นไปไม่ทันตามกำหนด พระยาพิไชยนายทัพนายกองไปตั้งค่ายอยู่บ้านสดแขวงเวียนกัต กองทัพฮ่อยกเข้าปล้นตีค่ายในเวลากลางคืนได้สู้รบกัน พวกฮ่อล่าถอยไป ครั้น ณ วันเดือน ๑๒ แรม ๕ ค่ำ ฮ่อยกออกมารบที่พุ่งนาบ้านสุด ๒ วันยังไม่ถอยกลับไป พระยาพิไชยรักษาค่ายตั้งมั่นอยู่ พวกพวนเวียนสุย เวียนคลัง เวียนทาย เวียนกรึ่ง เวียนเพียง ที่หนีอยู่ในป่า ออกมาหาพระยาพิไชยแต่เวียนแสง เวียนกวานทางเมืองเชียงขวาง ทุ่งเชียงคำนั้นหาเข้ามาไม่ ขอให้กองทัพเมืองสวรรคโลก เมืองศุโขไทย เมืองหลวงพบาง เมืองน่านรีบขึ้นไปโดยเรว แจ้งอยู่ในบอกพระยาพิไชย แล้วเจ้าพระยาภูธราภัยสมุหนายกแม่ทัพใหญ่ได้มีหนังสือตอบให้ขุนสุภมาตราถือกลับขึ้นไปให้พระยาพิไชยนายทัพนายกองให้ช่วยกันรักษาค่ายตั้งมั่นระวังการหน้าหลังให้ดี อย่าให้เสียท่วงทีแก่ฆ่าศึกได้ ๆ มีหนังสือขึ้นไปให้พระสุริยภักดีกับเจ้าเมืองหลวงพบางเร่งกองทัพเจ้าอุปราชเมืองหลวงพบาง เจ้าอุปราชเมืองน่าน พระปลัดเมืองสวรรคโลกย ซึ่งขึ้นไปพร้อมกันที่เมืองหลวงพบางให้รีบยกขึ้นไปบันจบทัพพระยาพิไชยที่เมืองสุยให้ทันท่วงที ทางเมืองปากเหืองนั้นพระยาพระกฤษให้พระบริรักภักดีคุมไพร่ ๑๑๓ คน ข้ามน้ำของไปตั้งอยู่บ้านสามหมืนแล้วแต่งคนออกไปสืบราชการถึงเมืองสุย ทางหนึ่งได้ให้พระยาสุรินทรราชเสนีคุมไพร่ ๒๐๐๐ เสศ ค่ามน้ำของไปทางเมืองแมต เมืองกาสี อีกกองหนึ่งพระยาพระกฤษคุมไพร่ ๖๐๐ คน ยกไปทางหนึ่ง ถ้ากองทัพพร้อมแล้วเหนการจะทำได้ก็ให้พระยาพิไชยกำหนดนัดให้พร้อมกันยกเข้าระดมตีกองทัพฮ่อให้เลิกถอนไปจงได้ เจ้าพระยาภูธราภัยที่สมุหนายกแม่ทัพใหญ่ให้ถามเอาคำให้การขุนสุพมาตราผู้ถือบอกพระยาพิไชย ขึ้นกระดาษกับต้นหนังสือบอกพระยาพิไชยเข้าผนึกลงมาด้วยแล้ว แต่เสบียงอาหาร ที่เมืองหลวงพบางก็กันดาร ได้ให้พระยาแพร่เปนกองลำเลียงเกณฑโคต่างมารับ บันทุกเข้าที่เมืองพิไชยไปขนขึ้นฉางไว้เมืองน้ำปาด แล้วจะให้อุปฮาตกรมการหลวงแก้วเมืองนำปาดรับบันทุกขึ้นไปไส่ฉางไว้ที่เมืองวาให้ภอจ่ายไพร่พลกองทัพ เจ้าพระยาภูธราภัยที่สมุหนายกแม่ทัพใหญ่ แลนายทัพนายกองจะได้น้อมเกล้าถวายคำนับบังคมลงฝ่าลอองยกจากเมืองน้ำปาด ณ วันพุฒ เดือน ๑ แรม ๓ ค่ำ ขึ้นไปตั้งฟังราชการอยู่ ณ ปากลาย มีข้อราชการมาประการใดจะบอกมาให้ทราบครั้งหลัง บอกมา ณ วันพุฒ เดือน ๑ แรม ๓ ค่ำ ปีกุนสัปตศก หลวงวิชิตภักดีถือมา ๚ะ
ต้นหนังสือบอกพระยาพิไชย
๏ พระยาพิไชยบอกลงมาว่า ณ วันเดือน ๑๒ ขึ้น ๘ ค่ำ ปีกุนสัปตศก ได้พร้อมกับพระพลกรมการ พระอุตรดิฐาธิบาล พระตรอนตริสิน พระสว่างบูรานุรักษ นายทัพนายกอง ยกขึ้นไปถึงเมืองสุยแล้ว กองทัพเจ้าอุปราชเจ้าราชบุตรเมืองหลวงพบาง แลทัพหัวเมืองทั้งปวงก็หายกขึ้นไปให้ถึงเมืองสุย ตามหนังสือกำหนดนัดกองทัพแต่ก่อนไม่ พระยาพิไชยได้แต่งให้หลวงขุนหมื่นถือหนังสือมาเร่งกองทัพหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นไปพร้อมกันที่เมืองสุยโดยเรว ครั้น ณ วันเดือน ๑๒ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีกุนสัปตศก พระยาพิไชยกับนายทัพนายกองยกขึ้นไปตั้งค่ายอยู่บ้านทุม เมืองสุยไกลค่ายฮ่อบ้านแวนครึ่งวัน ค่ายฮ่อบ้านนาชมทางวันหนึ่ง กองทัพฮ่อซึ่งตั้งค่ายอยู่บ้านแวน บ้านนาชมก็หนีทั้งค่ายไป ได้ความว่า กองทัพฮ่อบ้านแวน บ้านนาชม ไปรวมกันอยู่กับกองทัพห้อที่บ้านลาดหวง ครั้น ณ วันเดือน ๑๒ แรม ๒ ค่ำ ปีกุนสัปตศก พระยาพิไชยนายทัพนายกองยกขึ้นไปถึงบ้านสุต แฃวงเมืองกัด ครั้นอยู่มา ณ วันเดือน ๑๒ แรม ๓ ค่ำ เวลากลางคืนดึกสองยามเสศ กองทัพฮ่อยกเข้าไปปล้นค่ายพระยาพิไชยได้รบพุ่งกัน ฮ่อถูกปืนตาย ๓ คน ป่วยไปหลายคนกองทัพฮ่อล่าถอยไปในเวลากลางคืน ครั้นพระยาพิไชยนายทัพนายกองจะยกกองทัพต่อไป กองทัพเจ้าอุปราชเจ้าราชบุตรเมืองหลวงพบาง แลกองทัพหัวเมืองทั้งปวงก็หายังยกขึ้นไปถึงเมืองพวนตามกำหนดนัดไม่ ครั้น ณ วันเดือน ๑๒ แรม ๕ แรม ๖ ค่ำ กองทัพฮ่อยกเข้าตีกองทัพพระยาพิไชยได้รบกันที่ทุ่งนาบ้านสุดได้สองวันกองทัพฮ่อก็ยังหาถอยไปไม่ พระยาพิไชยนายทัพนายกองได้ตั้งมั่นภักคอยกองทัพหัวเมืองที่บ้านสุด พวกลาวพวนในเวียนสุย เวียนคลัง เวียนพ่าย เวียนกรึ่ง เวียนเพียง ทั้งหัวเวียนที่ยกครัวหนีไปซุ่มซ่อนอยู่ในป่าก็ออกมาหาพระยาพิไชยโดยสุจริต แต่เวียนกัด เวียนแสง เวียนกวาน ทางเมืองเชียงขวาง ทุ่งเชียงคำนั้นหาเข้ามาหาพระยาพิไชยไม่ ถ้ากองทัพหัวเมืองทั้งปวงไม่ขึ้นไปถึงในเดือน ๑๒ ค่างแรม ก็เหนจะเสียราชการ บอกมา ณ วัน ๕ เดือน ๑๒ แรม ๖ ค่ำ ปีกุนสัปตศก หลวงวิชิตภักดิถือมา ๚ะ
คำให้การขุนสุภมาตรา
๏ข้าพเจ้าฃุนสุภมาตราเมืองตรอน ผู้ถือบอกพระยาพิไชยให้การว่า ฃ้าพเจ้าเปนกรมการ เมืองตรอนฃึ้นเมืองพิไชยเดิม ณ วันเดือน ๖ แรม ๑๔ ค่ำ ปีกุนสัปตศก พระยาพิไชยเกณฑฃ้าพเจ้าเฃ้ากองทัพกับพระยาพิไชย ยกฃี้นไปถึงเมืองหลวงพบาง ณ เดือน ๘ ขึ้นแรมกี่ค่ำจำมิได้ ปีกุนสัปตศก พระยาพิไชยตั้งค่ายอยู่ที่บ้านพันหลวง น่าเมื้องหลวงพบางราชธานี เจ้าเมืองหลวงพบาง เจ้านายบุตรหลานแสนท้าวพระยาลาวเมืองหลวงพบาง มาปฤกษากับพระยาพิไชยแต่งให้กรมการท้าวขุนเมืองพิไชย เมืองหลวงพบาง ขึ้นไปสืบข้อราชการทางเมืองหนองคาย เมืองยูได้ข้อราชการบ้างไม่ได้บ้าง ครั้นอยู่มา ณ เดือน ๑๐ ข้างแรม ปีกุนสัปตศก พระยาจิตรราชเมืองสุย มีหนังสือมายังเมืองหลวงพบางว่า ฮ่อตั้งค่ายอยู่ในลาดหวง ทุ่งเชียงคำ มีฮ่อประมาณ ๕๐๐ คน ๖๐๐ คน ฃอให้พระยาพิไชยยกกองทัพออกไปรบกับฮ่อที่ลาดหวง ทุ่งเชียงคำ ครั้น ณ เดือน ๑๑ แรม ๔ ค่ำ ปีกุนสัปตศก พระยาพิไชยยกกองทัพออกจากเมืองหลวงพบางคนประมาณ ๑๐๐๐ เสศ ไปเมืองสุยไปถึงบ้านภูเมือตทางประมาณ ๒ โมง ภักรอกองทัพเมืองหลวงพบางอยู่สามคืน แล้วเจ้าอุปราชเมืองหลวงพบางใช้เสนาบดีคุมคนเมืองหลวงพบางไปส่งให้พระยาพิไชย ๓๐๐ คน ยกจากบ้านภูเมือตไปถึงบ้านเสี้ยว แขวงเมืองหลวงพบางภักคืนหนึ่ง ยกจากบ้านเสี้ยวไปถึงบ้านท่าอุ้ย ภักคืนหนึ่งยกจากบ้านท่าอุ้ยไปถึงบ้านท่าโพ ภักสองคืนยกจากบ้านท่าโพไปถึงบ้านสพอิภักอีกคืนหนึ่งยกจากบ้านสพอิไปภักที่เชิงเขาคืนหนึ่ง ยกจากเชิงเขาตกไปภักอยู่เมืองยู ๓ คืน ยกจากเมืองยูนอนตามทาง ๓ คืน ถึงบ้านสอต แขวงเมืองสุย พระยาจิตรราชเมืองแพน เพี้ยพรมโคต กับไพร่ประมาณสองร้อยคน เข้าหาพระยาพิไชย ๆ สั่งให้ตามกองทัพไปกับพระยาพิไชยได้ภักอยู่ ๓ คืน ยกจากบ้านสอดไปภักอยู่บ้านเยนคืนหนึ่ง ยกจากบ้านเยนถึงบ้านแวนเปนค่ายเก่าของพวกฮ่อ พระยาพิไชยจึ่งให้ตั้งฉางเข้าอยู่ที่บ้านแวนเกบรวบรวมเข้าในแขวงบ้านแวน ไปขึ้นไว้ที่ฉางสามเกวียนให้พระยาจิตรราช พระยาเมืองแพน นายไพร่ ๒๐๐ คน อยู่รักษาฉางเข้าภักอยู่ ๓ คืน ครั้น ณ วันเดือน ๑๒ แรม ๓ ค่ำ ปีกุนสัปตศก พระยาพิไชยยกจากบ้านแวนไปถึงบ้านสุตแขวงเมืองกัด เวลาบ่ายโมงหนึ่ง พระยาพิไชยสั่งให้นายทัพนายกอง เมืองพิไชย เมืองน่าน ตั้งค่ายได้เก้าค่าย อยู่ฟากเขาดินทางตวันตกห่างเขาประมาณ ๕ เส้น ๖ เส้น ยังหาทันได้ทำป้อมไม่ ในเวลากลางคืนวันนั้นดึกประมาณ ๒ ยามเสศ พวกฮ่อประมาณ ๓๐ คน ยกเข้ามาปล้นค่าย แล้วจุดประทัดไฟโยนเข้ามาในค่ายถูกคนในกองทัพ ๒ คน แล้วเอาปืนยิงถูกไพร่ตายคนหนึ่ง ป่วยคนหนึ่ง แล้วพระยาพิไชยเอาปืนยิงโต้ตอบพวกฮ่อ ๆ ก็ล่าถอยไป ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันเดือน ๑๒ แรม ๔ ค่ำ เวลาเช้าพวกพวนเข้ามาในค่าย แจ้งความว่าในเวลากลางคืนฮ่อเข้าปล้นค่ายนั้น ฮ่อตาย ๓ คน ป่วย ๗ คน แต่พวกฮ่อตั้งค่ายใหญ่ที่ลาดหวง ฟากเนินเขาตวันออกหว่างทุ่งเชียงคำกับเมืองเชียงขวาง พวกฮ่อทำค่ายด้วยไม่ไผ่ เอาสินลาถมเปนเชิงเทินสูง ๓ ศอก พวกฮ่อมีอยู่ประมาณ ๗๐๐ คน ๘๐๐ คน แต่พวกที่เข้าอยู่กับฮ่อมีมากประมาณหาได้ไม่ ค่ายฮ่อกับค่ายพระยาพิไชยใกล้กันประมาณ ๒๐๐ เส้น ครั้น ณ วันเดือน ๑๒ แรม ๕ ค่ำ เวลาเช้าโมงเสศ พวกฮ่อประมาณ ๒๐๐ คน ยกมารบ ได้สู้รบกันตั้งแต่เวลาเช้าจนพลบแล้วก็เลิกถอยไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ครั้น ณ วันเดือน ๑๒ แรม ๖ ค่ำ เวลาเช้าพวกฮ่อยกมาประมาณ ๓๐๐ เสศ ได้สู้รบกัน พวกฮ่อตายคนหนึ่ง แต่กองทัพไทยไม่มีผู้ใดเปนอันตรายทั้ง ๒ วัน ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันเดือน ๑๒ แรม ๗ ค่ำ เวลาเช้าพวกฮ่อยกมาประมาณ ๑๕๐ คนหาได้รบกันไม่แล้วฮ่อก็กลับไป รุ่งขึ้น ณ วันเดือน ๑๒ แรม ๘ ค่ำ เวลาเช้าพวกฮ่อยกมาประมาณ ๖๐๐ คน ๗๐๐ คน ยิงปืนรดมเข้ามาในค่าย ได้สู้รบกันจนเวลา ๒ ยามเสศ เจ้าน้อยสุยนายทัพเมืองน่าน ถูกปืนฮ่อที่น่าผากตายยังรบกันอยู่ แล้วพระยาพิไชยจึ่งให้ข้าพเจ้ากับนายนวม แลฃ่าแจะ ๕ คน ถือหนังสือบอกพระยาพิไชย ออกมาจากค่ายมานอนบ้านแวนที่ฉางเข้า ยังได้ยินเสียงปืนอยู่ ครั้น ณ วันเดือนสิบสอง แรมเก้าค่ำ ออกจากบ้านแวนมาได้ ๔ คืน ภบกองทัพเจ้าอุปราชเจ้าราชบุตร พระยาเมืองซ้าย พระยาเมืองขวา เมืองหลวงพบาง เจ้าสุริยะเมืองน่าน รวม ๒ เมืองมีคนประมาณ ๒๐๐๐ เสศ ที่หว่างบ้านท่าโพท่าอุย แล้วฃ้าพเจ้าก็เลยไปได้คืนหนึ่งถึงเมืองหลวงพบาง ข้าพเจ้าได้เอาหนังสือบอกพระยาพิไชยซึ่งมีมายังเจ้าเมืองหลวงพบางให้จัดสิ่งของ ปืน กระสุนดินดำ แลเงิน ๒๐ ชั่ง ส่งขึ้นไปให้พระยาพิไชย เจ้าเมืองหลวงพบางก็ได้ส่งไปเสรจแล้ว ครั้น ณ เดือน ๑ ขึ้น ๔ ค่ำ เสนาบดีเมืองหลวงพบางได้จัดคนส่งฃ้าพเจ้ามาตามระยะทาง จนถึงบ้านปากลาย ฃ้าพเจ้ารีบถือบอกพระยาพิไชยลงมาถึงเมืองน้ำปาด แต่ ณ วันอาทิตย เดือน ๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เปนความสัจจริงสิ้นคำให้การฃ้าพเจ้าแต่เท่านี้ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ๚ะ
๏ คำให้การฃุนสุภมาตราเมืองตรอนตรีสิน หลวงวิชิตภักดี กรมการเมืองพิไชย ถือมาถึงกรุงเทพ ณ วันพฤหัศบดี เดือน ๒ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีกุนสัปตศก ๚ะ
คำให้การอ้ายมังคังถามที่จวนสมเดจเจ้าพระยา
๏ ข้าพเจ้าอ้ายมังคัง แซ่ลี ให้การว่า ข้าพเจ้าเปนทหาร อายุฃ้าพเจ้าได้ ๔๐ ปี ฃ้าพเจ้าสูบฝิ่นติด บิดาฃ้าพเจ้าเปนจีนหกเกี้ยน มารดาฃ้าพเจ้าเปนบุตรจีน ข้าพเจ้าเกีดที่เมืองหกเกี้ยน เมื่ออายุข้าพเจ้าได้ ๘ ปี บิดามารดาฃ้าพเจ้า ภาฃ้าพเจ้าไปทำมาหากินอยู่ที่เมืองกวางตุ้งจนอายุฃ้าพเจ้าได้ ๑๒ ปี บิดาฃ้าพเจ้าตาย ครั้นอายุฃ้าพเจ้าได้ ๑๓ ปี มารดาฃ้าพเจ้าตาย อายุข้าพเจ้าได้ ๑๕ ปี ฃ้าพเจ้ามีภรรยาชื่อฟ้า มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ อ้ายพุก ครั้นอายุฃ้าพเจ้าได้ ๒๒ ปี ฃ้าพเจ้าให้บุตรภรรยาฃ้าพเจ้าอยู่ที่เมืองกวางตุ้ง แต่ตัวฃ้าพเจ้าไปจากเมืองกวางตุ้งไปทำมาหากินอยู่ที่เมืองกวางไสได้ประมาณ ๗ ปี แล้วฃ้าพเจ้ากับพวกเพื่อน ๑๐ คน ออกจากเมืองกวางไสไประยะทางเดือนหนึ่งถึงเมืองซีวซาย เจ้าเมืองชื่อ จุงฟูเทย เปนจีนแคะ มีทหารประมาณ ๒๐๐ คนเสศ คนในเมืองประมาณ ๒๐๐๐ เสศ แต่เมืองซิวซายขึ้นกับเมืองกวางไส ฃ้าพเจ้ากับพวกเพื่อน ๑๐ คน จึ่งหาบสิ่งของไประยะทางเดือนหนึ่งถึงเมืองปักสิดเจ้าเมืองปักสิดชื่อไรฃ้าพเจ้าไม่ทราบ เปนจีนเมืองกวางไสเมืองปักสิดขึ้นกับเมืองหุนน้ำไทยเรียกว่าหนองแส เมืองกวางน้ำขึ้นกับเมืองหุนน้ำ ฃ้าพเจ้าอยู่ที่เมืองปักสิดได้ ๑๘ วัน แล้วฃ้าพเจ้ากับพวกเพื่อน ๑๐ คน มาระยะทาง ๑๐ วันถึงเมืองกุยซุนจิว เจ้าเมืองกุยซุนจิวชื่อไรฃ้าพเจ้าไม่ทราบเปนเมืองขึ้นกับเมืองปักกิ่ง แล้วฃ้าพเจ้าทราบว่าปวงนันซี ชื่อตัวตองสาว แซ่อ๋อง บิดาปวงนันซี ชื่อแปดบาน แซ่อ๋อง เปนคนเมืองกวางไส มีภักพวกประมาณ ๓๐๐๐ คนเสศ เมื่อแปดบาน บิดาปวงนันชีตาย อายุปวงนันชีได้ ๓๐ ปีเสศ พักพวกของบิดาปวงนันชีจึ่งพร้อมกันยกปวงนันชีขึ้นเปนนายใหญ่ให้ว่ากล่าวผู้คนต่อไป แล้วปวงนันชีคุมไพร่พล ๓๐๐๐ คนเสศ ยกมาตีเมืองกุยซุนจิว พวกเมืองกุยซุนจิวไม่สู้รบ อพยบภาครอบครัวหนีออกจากเมืองไป ปวงนันชีเฃ้าอยู่ในเมืองกุยซุนจิว เกบเอาทรัพยสิ่งของในเมืองกุยซุนจิวได้แล้ว ก็จับเอาตัวฃ้าพเจ้ากับพวกเพื่อน ๑๐ คนมา แล้วปวงนันซีให้ฃ้าพเจ้าเปนนายทหารคุมคน ๒๐ คน ปวงนันซีกับปักอึงโกซึ่งเปนพี่น้องค่างมารดา ปวงนันชี แลลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ซินซือเหยีย เปนจีนแลที่ปฤกษา ยกไพร่พล ๓๐๐๐ คนเดินทางสามเดือนถึงเมืองอูหนำ เจ้าเมืองอูหนำชื่อจีนออง ไม่อาจสู้รบยอมเข้ากับปวงนันชีเปนคน ๑๐๐๐ เสศ ปวงนันชีคุมไพร่พลออกจากเมืองอูหนำระยะทางเดือนหนึ่งถึงเมืองตังเกี๋ยจะตีเมืองตังเกี๋ยเจ้าเมืองตังเกี๋ยไม่อาจสู้รบ ยอมเสียเงินให้กับปวงนันชีเป็นเงิน ๓๐๐๐ แน่น ปวงนันชีจึ่งหาได้ยกไพร่พลเข้ารบเมืองตังเกี๋ยไม่ แล้วปวงนันชีก็ยกไพร่พล ๓๐๐๐ เสศ ไประยะทางเดือนหนึ่ง ถึงเมืองหอเยียงจิว ณะ ปีเถาะนพศก เจ้าเมืองหอเยียงจิวเปนญวนชื่อไรข้าพเจ้าไม่ทราบในเมืองหอเยียงจิวมีเรือนขุนนางราษฎรประมาณ ๔๐ หลังเรือน มีไพร่พลประมาณ ๒๐๐ คนเสศ เจ้าเมืองหอเยียงจิวไม่ต่อสู้ปวงนันชีหนีออกจากเมืองไป ปวงนันชีภาไพร่พลเข้าอยู่ในเมืองหอเยียงจิว ปวงนันชี กับลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ซินซือเหยียที่ปฤกษาตั้งค่ายทำเปนเชิงเทิน กว้างยาวประมาณ ๓ เส้น กลมอยู่ค่างเขาใหญ่เมืองหอเยียงจิว แต่ในค่ายนั้นทำที่ปวงนันชีอยู่ในกลาง ลิวสิกอ ทรับกอ ซินซือเหยีย ตั้งค่ายอยู่ ๓ มุม ค่ายปวงนันชีห่างกันประมาณ ๗๐ เส้น ปวงนันชีตั้งค่ายอยู่เมืองหอเยียงจิว รวบรวมผู้คนได้ไพร่พลเข้าด้วยอีก ๒๐๐๐ เสศ รวมกับคนเดิม ๓๐๐๐ เปนคน ๕๐๐๐ คนเสศ แล้วปวงนันชีจึ่งตั้งให้ซินซือเหยียเปนจีนแลที่ปฤกษา ลิวสิกอเปนนายที่ ๑ ทรับกอเปนนายทัพที่ ๒ ฟาลองกอเปนนายทัพที่ ๓ อยู่ที่เมืองหอเยียงจิว จนถึง ณ ปีมโรงสำฤทธีศก ปวงนันชีให้ลิลับโกคุมพล ๑๕๐๐ ไปตีเมืองมอกหมาเสียง ซึ่งขึ้นกับเมืองญวน ตังเกี๋ยฃ้าพเจ้าก็ไปด้วย เหนเจ้าเมืองมอกหมาเสียงคุมไพร่พลยกมาประมาณ ๑๐๐๐ เสศ สู้รบกับลิลับโก รบกันเดือนหนึ่ง เจ้าเมืองมอกหมาเสียงเหนว่าสู้ลิลับโกไม่ได้ จื่งยอมเสียเงินให้ลิลับโกเปนเงินพันแน่น ลิลับโกก็คุมไพร่พลกลับไปเมืองหอเยียงจิว ครั้น ณ ปีมเสงเอกศก ปวงนันชีใช้คนไปว่ากับเจ้าเมืองไทยยินเสียง เมืองปักยินเสียงว่า จะแต่งคนยกไปรบเมืองไทยยินเสียง เมืองปักยินเสียง เจ้าเมืองไทยยินเสียง เจ้าเมืองปักยินเสียง กลัวสู้ไม่ได้ก็ยอมเสียเงินให้ปวงนันชีเมืองละร้อยแน่น ปวงนันชีเหนว่าจะมาพูดจากันโดยฉันไมตรีถึงเงินน้อยก็ต้องรับเอา ตั้งแต่นั้นมาเมืองญวนที่อยู่ไกล้เคียงกับปวงนันชี ๆ ก็ไม่ยกไพร่พลไปรบพุ่งต่อไปผู้คนของปวงนันชีแลพวกญวนก็ไปมาหากันโดยปรกติ แลเมืองหอเยียงจิวนั้นมีเฃาใหญ่เกิดบ่อดินปลิวกำมถัน ทางเดินแต่เมืองหอเยียงจิวไปหาเฃาใหญ่นั้น ๓ วัน เฃาใหญ่เฃาหนึ่งนั้น เกิดบ่อแร่ทองคำ แร่เงิน แร่เหลก ไกลเมืองหอเยียงจิวไปทางวันหนึ่ง ข้าพเจ้าเหนปวงนันชีใช้ผู้คนไปเอาแร่เหลกมาทำปืนคาบชุดสำรับใช้สอย กับไปเอาดินประสิวมาหุงกำมกันมาประสมทำเปนดินดำขึ้นใช้อยู่ ผู้คนของปวงนันชีก็ตั้งอยู่ที่เมืองหอเยียงจิวห่างกับเมืองหอเยียงจิวทาง ๕ วัน มีบ้านหลักซุนแห่งหนึ่งใหญ่ มีตลาดราษฎร ตั้งบ้านเรือนอยู่ประมาณ ๔๐๐ หลังเรือนเสศ ปวงนันชีกับไพร่พลต้องการสิ่งใดก็ไปซื้อที่ตลาดบ้านหลักซุนนั้น ถ้าต้องการซื้อเข้าเปนเสบียง ราษฎรในแขวงเมืองหอเยียงจิวเอามาขายให้กับพวกปวงนันชี เข้าหนัก ๒๑ ชั่งจีนเปนถังหนึ่ง ฃองไทยเปนราคาเงินสลึงหนึ่ง เมืองหอเยียงจิวไปถึงเมืองเงี้ยวทาง ๑๘ วัน ข้าพเจ้าเหนปวงนันชีต้องการสิ่งของ ผู้คน กระสุนดินดำที่จะใช้ ปวงนันชีมีหนังสือใช้คนไปหาเจ้าเมืองเงี้ยว ๆ ก็ส่งมาให้ปวงนันชีทุกสิ่ง ครั้น ณ ปีวอกจัตวาศก ข้าพเจ้าทราบว่าฝรั่งเสศเมืองใซ่งอน ยกทัพมาตีเมืองญวนตังเกี๋ย ปวงนันชีให้ลิวสิกอ ทรับกอ คุมคน ๑๕๐๐ ไปช่วยเจ้าเมืองญวนตังเกี๋ยรบกับฝรั่งเสศ ๆ สู้ญวนเมืองตังเกี๋ย กับ ลิวสิกอ ทรับกอไม่ได้ ฝรั่งเสศยกทัพกลับไปไซ่งอน แต่ฃ้าพเจ้าหาได้ไปรบด้วยไม่ ครั้น ณ ปีรกาเบญจศก ปวงนันชีปฤกษากับนายทัพนายกอง แลที่ปฤกษาว่า เมือง พวน เมืองลาว ไม่มีกำแพง แล้วผู้คนก็ไม่ชำนาญการสงคราม ถ้าเราจะยกไปรบเหนจะไม่มีผู้ใดต่อสู้ ครั้น ณ วันเดือนสาม ปีรกาเบญจศก ปวงนันชีใด้ปักอึงโกเปนนายทัพคุมคน ๕๐๐ คน พันลังโก ฟาลองกอ ซินซือเหยีย คุมคน ๒๐๐ คน องโดยญวนที่เข้าอยู่กับปวงนันชีคุมคน ๑๕๐ คน รวมเปน คน ๘๕๐ คน คนยกลงมาตีเมืองลาวทางเมืองหลวงพบางกองหนึ่ง ครั้น ณ เดือนสาม ปีจอฉศก ปวงนันชีแต่งให้ลิวสิกอคุมคน ๓๐๐ คน ทรับกอคุมคน ๓๐๐ คน รวม ๖๐๐ คน ยกออกจากเมืองหอเยียงจิวให้ลงมาตีเมืองลาวทางเมืองเวียงจัน ตัวฃ้าพเจ้าก็มาด้วย ลิวสิกอ ทรับกอคุมคน ๖๐๐ คนเดินทางมา ๒ เดือนถึงเมืองลาใหญ่ ลิวสิกอ ทรับกอ คุมไพร่พลเข้ารบเมืองลาใหญ่ได้รบกัน ๒ เดือน เจ้าเมืองลาใหญ่สู้ไม่ได้ภาครอบครัวไพร่พลเมืองแตกหนีออกจากเมือง ลิวสิกอ ทรับกอจับไพร่เมืองลาใหญ่ได้ ๑๐ คน กับเกบได้ทรัพยสิ่งของได้บ้างเลกน้อยมาแบ่งปันกัน แล้วก็ภาไพร่พลเข้าอาไศรยอยู่ในเมืองลาใหญ่ประมาณเดือนเสศ แล้วลิวสิกอ ทรับกอ แต่งให้โมกมันซุกทหารคุมไพร่ ๒๐๐ คนอยู่รักษาเมืองลาใหญ่ ลิวสิกอ ทรับกอ คุมไพร่พลทหาร ๔๐๐ คน ยกออกจากเมืองลาใหญ่ เดินทางเดือนหนึ่งถึงเมืองลาน้อย ฃ้าพเจ้าทราบว่ายิบไตโกคุมไพร่ยกเข้าตีเมืองลาน้อยแตก แต่กองทัพพวกฃ้าพเจ้ายกเลยมาจากเมืองลาน้อย เดินทางเดือนหนึ่งถึงเมืองพวน ฃ้าพเจ้าเหนค่ายปักอึงโก พันลิงโก ฟาลองกอ ซินซือเหยีย ตั้งอยู่ที่ทุ่งเชียงคำค่ายหนึ่ง ฃ้าพเจ้าเหนเอาไม้ใผ่ทำเสาค่ายสูงประมาณ ๑๐ ศอก กว้างยาว ๒ เส้นเสศ มีหอคอย ๔ มุม ค่ายประตู ๔ ประตู ขุดคูรอบค่าย ถมดินเปนเชิงเทิญสูง ๓ ศอก ลิวสิกอ ทรับกอก็เข้าภักอยู่ในค่ายปักอึงโก ฃ้าพเจ้าเหนมียุ้งเข้าสองหลังกว้าง ๓ วา ยาว ๔ วา เท่ากันทั้ง ๒ หลัง เหนราษฎรเมืองพวนฃนเอาเข้ามาขึ้นใส่ไว้เตมทั้ง ๒ ยุ้ง ครั้น ณ เดือนเจด ปีกุนสัปตศก ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอ ซินซือเหยียคุมไพร่พล ๗๐๐ คน ให้ซินซือเหยียคุมคน ๓๐๐ คนลงมาก่อน แล้วลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอยกตามลงมาเดินทางเดือนหนึ่งถึงเมืองเวียงจัน เอาไม้หมากปักเปนค่ายสูงประมาณ ๘ ศอก กว้างยาวประมาณเส้นเสศ ๔ เหลี่ยม มีประตูค่าย ๔ ประตู มีหอคอย ๔ มุมค่าย ในค่ายถมดินเปนเชิงเทิญ ขุดคูรอบค่าย ลิวสิกอตั้งค่ายอยู่นอกเมืองเวียงจันริมแม่น้ำค่ายหนึ่ง เท่ากับค่ายในเมืองเวียนจัน แต่ในค่ายทรับกอ ฟาลองกอมีปืนคาบชุด ๒๐๐ บอก ปืนหามแล่น ๕ บอก กระสุนนิ้วกึง มีเหลกแหลมยาวคืบเสศไส่ดํ้าไม้ใผ่ยาวประมาณ ๘ ศอก ๔๐๐ เล่ม ดาบจีนยาวศอกคืบ มีฝักมีสายตภายประมาณ ๓๐๐ เล่ม แต่กระสุนดินดำ ยิบไตโกให้คนคุมลงมาส่งแต่เมืองปักเซกนำนึง ๆ ขึ้นกับเมืองกวางไส ทางเดินเดือนหนึ่งถึงเมืองเวียงจัน มาส่งให้ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอที่ค่ายเมืองเวียงจันเนือง ๆ แต่เสบียงอาหารนั้นพวกค่ายบ้านโพนทานาเลาฃนมาส่งให้แจกจ่ายกันภอรับพระราชทาน ครั้น ณ วันเดือนสิบเอจ ขึ้นค่ำหนึ่ง ปีกุนสัปตศก เวลาโมงเช้า กองทัพไทยยกเข้ารบกับ ลิวสิกอ ทรับกอ ฟาลองกอที่ค่ายเมืองเวียงจัน กองทัพไทยเอาปืนยิงถูกพวกไพร่ฮ่อตายสามคนตัวฃ้าพเจ้าอยู่ค่ายน่า กองทัพไทยแหกค่ายนอกเมืองเวียงจันที่ฃ้าพเจ้าอยู่นั้นเข้าไปได้ ฃ้าพเจ้าหนีไปไม่ทันกองทัพไทยก็จับเอาตัวฃ้าพเจ้าได้ แล้วกองทับไทยล้อมค่ายฮ่อเข้าไว้ในเวลากลางคืน กองทัพไทยก็เอาตัวฃ้าพเจ้ามาส่งให้คนคมไว้ที่กองทัพไทย แต่ที่บ้านปากทาง บ้านโพนทานาเลานั้น ข้าพเจ้าทราบว่าซินซือเหยียตั้งค่ายอยู่ที่นั้นค่าย ๑ แต่จะได้รบกับไครฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ ที่เมืองปากเหืองนั้นฃ้าพเจ้าทราบว่า ฟาลองกอคุมคนประมาณ ๒๐๐ คน ยกไปตีเมืองปากเหืองแตก จับเอาผู้คนชายหญิงมาได้ประมาณ ๕๐ คน แต่ตัวฃ้าพเจ้าหาได้ไปด้วยไม่ แต่ที่ค่ายทุ่งเชียงคำนั้นปักอึงโก พันลึงโก องโดยญวนคุมไพร่พลรักษาค่ายอยู่ แล้วจะยกไปทางใดนั้นฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ แต่ลิวสิกอนายทัพที่ ๑ ประมาณอายุ ๓๕ ปี ทรับกอนายทัพที่ ๒ นั้นประมาณอายุ ๔๕ ปี ฟาลองกอนายทัพที่ ๓ นั้นประมาณอายุ ๓๔ ปี ฃ้าพเจ้าเหนลิวสิกอแต่งตัวนุ่งกังเกงแพรดำยาวเพียงฃา สรวมเสื้อแพรดำยาวปกเข่า โพกศีศะแพรดำ แพรเขียวคาดเอว ตภายดาบจีน แต่ฟาลองกอนุ่งกังเกงแพรเขียวยาวเพียงขา สรวมเสื้อแพรเขียวยาวปกเข่า โพกศีศะแพรเขียว แพรฃาวคาดเอว มือถือปืนซั่น ๒ บอก ทรับกอนั้นนุ่งกังเกงศีตากุ้งยาวเพียงฃา สรวมเสื้อแพรศีตากุ้งยาวปกเข่า โพกศีศะแพรศีตากู้ง แพรฃาวคาดเอว มือถือปืนซั้นบอกหนึ่ง ตภายดาบสองเล่ม แต่ซินซือเหยียนั้นนุ่งกังเกงแพรสีฟ้ายาวปกส้น สรวมเสื้อแพรสีฟ้ายาวปกเข่า แพรเขียวโพกศีศะเปนเสมียนรองแลเปนที่ปฤกษานายทัพนายกอง ขี่ลาไว้ผมเปียถักไหมตำทั้ง ๔ คน มีทหาร ๑๐๐๐ คนนุ่งกังเกงสรวมเสื้อสีต่าง ๆ เปนความสัจจริงฃ้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
เล่มที่ ๓ นำเบอร์ ๒๕ วันอาทิตย เดือน ๕ แรม ๘ ค่ำ
ปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘ แผ่นที่ ๔
คำให้การอ้ายบาอ้าย พระยาราชวรานุกูลเปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายบาอ้ายให้การว่า อายุฃ้าพเจ้าได้ ๒๐ ปี ฃ้าพเจ้าเปนลาวทรงดำ ข้าพเจ้ายังไม่มีภรรยา ฃ้าพเจ้าเปนบุตรอ้ายลองเอยอี่จุง ฃ้าพเจ้ากินอยู่หลับนอนอยู่กับบิดามารดาฃ้าพเจ้าที่ในเมืองลาทู ๆ ขึ้นกับเมืองแกว เมืองลาทูมีเรือนอยู่ประมาณ ๕๐ หลังเสศ มีคนชายหญิงประมาณ ๑๐๐ คนเสศ และเจ้าเมืองลาทูจะชื่อใรฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ ครั้น ณ เดือน ๙ ปีจอฉศก เวลากลางคืนประมาณสองยามเลศ พวกห้อยกกองทัพคนประมาณ ๒๐๐๐ คน ไปตีเมืองลาทูแล้วเอาไฟเผาเมืองลาทูจับเจ้าเมืองลาทูได้ พวกห้อฆ่าเจ้าเมืองลาทูตาย พวกห้อจับเอาตัวฃ้าพเจ้ากับมารดาฃ้าพเจ้า กับคนมีชื่อในเมืองลาทูประมาณ ๑๐ คนได้ พวกห้อฆ่ามารดาฃ้าพเจ้าตาย พวกห้อเอาตัวฃ้าพเจ้ากับพวกเมืองลาทู ๑๐ คน ไปไว้ในกองทัพห้อ ๆ พักอยู่ที่เมืองลาทูได้ประมาณ ๕ เดือน ๖ เดือน ตัวห้อนายทัพใหญ่ชื่อ ลิวสิกอ อายุประมาณ ๔๐ ปีเสศ นายทัพรองชื่อ แย อายุประมาณ ๕๐ ปีเสศ นายทัพเล็กชื่อ ฟาลุงกอ อายุประมาณ ๓๐ ปีเสศ ตัวนายทัพทั้งสามคนนุ่งกังเกงแพรดำ สรวมเสื้อแพรดำ ไว้ผมเปีย ขี่ม้า ถือปืนคาบสีลาคนละบอก ถือดาบคนละเล่มทงสามคน ตัวไพร่ถือปืนบ้าง ถือดาบบ้าง ถือหอกบ้าง ถือมีดบ้าง แล้วพวกห้อเอาเชือกผูกฅอฃ้าพเจ้า ให้ฃ้าพเจ้าหาบเสบียงอาหารตามพวกกองลำเลียง พวกกองทัพห้อแบ่งคนไว้ที่เมืองลาทูประมาณ ๑๐๐๐ คน แล้วพวกห้อประมาณอีก ๑๐๐๐ คน ยกกองทัพไปจากเมืองลาทู ฃ้าพเจ้ากับพวกห้อกองลำเลียงประมาณ ๓๐๐ คน ยกตามไปข้างหลังได้ ๘ คืน ถึงเมืองเชียงฆ้อ ๆ เปนเมืองลาวขึ้นเมืองหลวงพบาง พวกกองทัพห้อตีเมืองเชียงฆ้ออยู่ ๗ วัน เมืองเชียงฆ้อแตก แต่พวกกองทัพห้อจะจับคนในเมืองเชียงฆ้อได้อีกมากน้อยเท่าใดฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ แล้วพวกกองทัพห้อยกทัพไปจากเมืองเชียงฆ้อ ๓ วัน ถึงเมืองชำใต้ ๆ ขึ้นกับเมืองหลวงพบาง แล้วกองทัพห้อยกทัพเข้าตีเมืองชำใต้วันหนึ่งเมืองชำใต้แตก พวกกองทัพห้อจะจับคนในเมืองชำใต้ได้มากน้อยเท่าใดฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ พวกห้อพักกองทัพอยู่ที่เมืองชำใต้ ๒ วัน แล้วยกไปได้ ๔ วัน ถึงเมืองชำเหนือ พวกกองทัพห้อยกเข้าตีเมืองชำเหนือวันหนึ่งเมืองชำเหนือแตก เมืองชำเหนือขึ้นกับเมืองหลวงพบาง กองทัพห้อจะจับคนที่เมืองชำเหนือได้มากน้อยเท่าใดข้าพเจ้าไม่ทราบ พวกกองทัพห้อพักอยู่ที่เมืองชำเหนือ ๒ คืน แล้วยกกองทับไป ๔ คืนถึงเมืองเชียงคำ ตีเมืองเชียงคำแตก พักอยู่คืนหนึ่งกองทัพห้อแบ่งคนไว้ที่เมืองเชียงคำ ๒๐๐ คน แล้วยกทัพไป ๓ คืน ถึงเมืองพวน พวกห้อยกทัพเข้าตีเมืองพวนวันหนึ่งเมืองพวนแตก พวกกองทัพห้อจะจับคนที่เมืองพวนได้มากน้อยเท่าใดฃ้าพเจ้าไม่ทราบ พวกกองทัพห้อพักอยู่ที่เมืองพวนได้ ๒ เดือน แล้วแบ่งกองทัพไว้ที่เมืองพวนประมาณ ๕๐๐ คน พวกกองทัพห้อประมาณ ๓๐๐ คน ยกไปจากเมืองพวนได้ ๑๖ วัน ถึงเมืองเวียงจัน พวกกองทัพห้อเอาตัวฃ้าพเจ้ากับพวกครัวที่ตีมาได้ ไปพักไว้ที่บ้านมลทานาเลาเมืองเวียงจัน พวกกองทัพห้ออยู่ที่เมืองเวียงจันได้ ๒ เดือนเสศ ครั้น ณ เดือนเก้าปีกุนสัปตศก พวกกองทัพไทยยกกองทัพไปตีพวกกองทัพห้อที่เมืองเวียงจันวันหนึ่ง พวกห้อใช้ให้ฃ้าพเจ้าไปเกี่ยวหญ้าที่ทุ่งนา กองทัพห้อแตก พวกกองทัพไทยไล่จับเอาตัวฃ้าพเจ้ามาใส่ตรางไว้ที่เมืองหนองคายได้เดือนเสศ แล้วก็ส่งตัวฃ้าพเจ้าลงมา ณ กรุงเทพฯ เปนความ สัจจริงฃองข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายบานุงกู้ญวนแกว พระยาราชวรานุกูลเปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายนุงญวนกู้ให้การว่า ฃ้าพเจ้าเปนญวนแกวอายุฃ้าพเจ้าได้ ๑๔ ปี ฃ้าพเจ้ายังไม่มีภรรยา ฃ้าพเจ้าเปนบุตรอ้ายอาโป อีบาลาว บิดามารดาฃ้าพเจ้าเปนญวนแกว ฃ้าพเจ้ากินอยู่หลับนอนอยู่บ้านเรือนบิดามารดาฃ้าพเจ้า ณ เมืองแกว เจ้าเมืองแกวชื่อ ลีโต ขึ้นเมืองกลี อยู่มาจะเปนปีใดจำไม่ได้ เวลากลางวันพวกฮ่อประมาณ ๖๐ คนเสศ ถือปืนคาบสิลาบ้างถือ ถือดาบบ้าง ภากันมาตีเมืองแกว เจ้าเมืองแกวก็ได้สู้รบกับพวกฮ่อได้ประมาณ ๔ วัน ในเวลากลางคืนเมืองแกวแตกกับพวกฮ่อ ฃ้าพเจ้ากับอ้ายอาโป อีบาลาว บิดามารดาฃ้าพเจ้าหนีพวกฮ่อเข้าไปอยู่ในป่าวันแฃวงเมืองกลี ป่าวันกับเมืองแกวห่างกันทางประมาณ ๒ วัน ๒ คืน อยู่ได้ประมาณ ๔ วัน ๔ คืน พวกฮ่อจับฃ้าพเจ้ากับบิดามารดาฃ้าพเจ้าได้แต่ตัวเจ้าเมืองแกวนั้นจะหนีได้ฤๅไม่ได้ฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ แต่นายฮ่อใหญ่นั้นชื่อลีวซิโกรูปพรรณขาว นุ่งกังเกงแพรดำ ใส่เสื้อแพรดำ สีสะโพกผ้าแดง คาดพุงผ้าแดง มือถือมีดยาว ไว้ผมเปีย ฃี่ม้า อายุประมาณ ๓๐ เสศ นายรองฮ่ออีกคนหนึ่งชื่อโฮกัง รูปพรรณขาว นุ่งกังเกงแพรดำ ใส่เสื้อแพรดำ คาดพุงผ้าแดง มือถือปืนคาบสิลา ตัวโฮกังนายรองนั้นฃี่ลา ฮ่อที่จับฃ้าพเจ้ากับบิดามารดาฃ้าพเจ้านั้นจะอยู่บ้านเมืองใดฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ ลิวซิโกนายฮ่อเอาต่างประมาณสามต่างสี่ต่างบันทุกเฃ้าสารจะไปเมืองกลี ฮ่อเอาเชือกผูกฅอบิดามารดาฃ้าพเจ้าติดกันไว้ทั้งสองคนภอเดินได้ แต่ตัวฃ้าพเจ้านั้น ฮ่อใส่ตะโหงกฅอไว้อยู่ได้ ๕ วัน ลิวซิโกกับพวกฮ่อจะยกไปเมืองกลี ฮ่อให้ฃ้าพเจ้ากับบิดามารดาฃ้าพเจ้าหาบกระบุงเฃ้าสารตามต่างพวกฮ่อไป ณ เมืองกลี ภอมาถึงเมืองกลีได้ ๒ วัน ฮ่อเอามืดฟันฅอบิดามารดาฃ้าพเจ้าตายเสียทั้งสองคน แต่หนทางเมืองแกวมาเมืองกลีนั้นหนทางสี่วันสี่คืน ฮ่อก็ถอดตะโหงกที่ฅอฃ้าพเจ้าออก ฃ้าพเจ้าได้เหนพวกฮ่อปลูกโรงสามห้องเสาไม้จริงประมาณหกหลัง โรงพวกฮ่อประมาณ ๗ หลัง อยู่ล้อมโรงหกหลังเอาเสาไม่จริงปักเปนรั้วติดกันอยู่ล้อมรอบโรง มีประตูเข้าออกสองแห่ง ฃ้าพเจ้าได้เหนปืนคาบสิลาประมาณ ๓๐ เสศ มีดเหลกมีคมประมาณ ๑๐ เล่ม ไม้พลองมีเหลกสามง่ามประมาณสามอัน อยู่ในโรงพวกฮ่อ ฮ่อใช้ให้ฃ้าพเจ้ากับพวกฮ่อสามคนเลี้ยงม้าแลเกยี่วหญ้าให้ม้ากินอยู่ที่โรงพวกฮ่อ ณ เมืองกลีได้ประมาณ สามเดือนเสศ ลิวซิโกจะยกมา ณ เมืองเชียงคำ ตัวลิวซีโกนายใหญ่ถือมีดเหลกยาว ขี่ม้า โฮกังนายรองถือปืนขี่ลา พวกฮ่อประมาณ ๓๐๐ เสศ ถือปืนบ้าง ถือมีดเหลกยาวบ้าง ถือเหลกสามง่ามดํ้าไม้จริงบ้างครบมือกัน แต่ตัวฃ้าพเจ้ากับพวกฮ่อสามคนนั้น เลี้ยงม้า ๓ ม้าแลเกยี่วหญ้าให้ม้ากินยกตามลิวซิโก โฮกังมาจากเมืองกลี มาถึงเมืองเชียงคำทางห้าวันห้าคืน เมืองเชียงคำนั้นขึ้นแก่เมืองพวนอยู่ได้ประมาณ ๑๐ วัน ลิวซิโก โฮกัง กับพวกฮ่อรบเมืองเชียงคำได้ประมาณ ๕ วัน เวลากลางวันเมืองเชียงคำแตกกับฮ่อ ๆ ตายในที่รบหลายคน แต่ข้าพเจ้าหาได้ไปรบด้วยไม่ ข้าพเจ้าเลี้ยงม้าอยู่ในค่ายลิวซิโก ฮ่อจับพวกเมืองเชียงคำมาได้หลายคน แต่จะเปนสักกี่คนนั้นฃ้าพเจ้าจำไม่ได้ ลิวซิโก โฮกัง กับฃ้าพเจ้าภักอยู่ที่เมืองเชียงคำประมาณ ๔ วัน ลิวซิโก โฮกัง กับพวกฮ่อก็ภาฃ้าพเจ้ายกมาจากเมืองเชียงคำ มาถึงเมืองตอกทางประมาณ ๑๐ วัน ลิวซิโก โฮกังภักอยู่ได้ ๕ วัน ลิวซิโก โฮกังรบกับเมืองตอกได้สี่วัน เวลากลางคืนเมืองตอกแตกกับฮ่อ ๆ จะได้คนแลสิ่งฃองมามากน้อยเท่าใดฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ ลิวซิโก โฮกังภักอยู่เมืองตอก ๖ วัน ลิวซิโก โฮกัง กับพวกฮ่อก็ภาฃ้าพเจ้ามาจากเมืองตอก มาถึงเมืองพวนทางประมาณ ๑๐ วัน อยู่ได้ประมาณวันหนึ่ง ลิวซิโก โฮกังรบกับพวกพวน ในวันเดยีวนั้นพวนแตกกับพวกฮ่อ ฃ้าพเจ้าหาได้ไปรบด้วยไม่ ฃ้าพเจ้าเลี้ยงม้าอยู่ในค่ายลิวซิโก ๆ ภักอยู่ที่เมืองพวนประมาณสิบวัน ลิวซิโกจับพวกพวนได้เปนอันมาก แต่จะเปนสักกี่คนนั้นฃ้าพเจ้าจำไม่ได้ ลิวซิโก โฮกังก็ภาฃ้าพเจ้ากับพวกฮ่อ ลาวพวนยกมาจากเมืองพวน มาถึงบ้านนาเลา แขวงเมืองเวียงจันทางประมาณ ๑๖ วัน ลิวซิโก โฮกัง กับฃ้าพเจ้า แลพวกฮ่อ ลาวพวน ภักอยู่ที่บ้านนาเลาได้สามวันหาได้รบกับพวกนาเลาไม่ ข้าพเจ้าหามีเข้าที่จะกินไม่ ฃ้าพเจ้าผู้เดียวก็หนีลิวซิโกมาจากบ้านนาเลามาภักอยู่ในป่า แฃวงเมืองเวียงจันได้ประมาณ ๑๐ วัน ฃ้าพเจ้าเดินอยู่ในปาแฃวงเมืองเวียงจัน มีลาว ๒ คน เดินไปภบฃ้าพเจ้าที่ในป่า ลาวสองคนก็จับเอาตัวฃ้าพเจ้ามาส่งไว้ที่เมืองหนองคาย หนทางแต่ที่จับฃ้าพเจ้าได้นั้นห่างกับเมืองหนองคายทางประมาณสามวันพวกเมือง หนองคายก็เอาตะโหงกใส่ฅอ ขื่อมือใส่มือข้าพเจ้าฃังไว้ แล้วก็ส่งฃ้าพเจ้าต่อ ๆ มา จนถึงกรุงเทพฯ เปนความสัจจริงสิ้นคำให้การฃ้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายบาเลมอย พระยาราชวรานุกูลเปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายบาเลมอยให้การว่า อายุฃ้าพเจ้าได้สิบห้าปี บิดาฃ้าพเจ้าชื่อ ออม มารดาชื่อ อูม บิดามารดาฃ้าพเจ้าเปนลาวแกว บิดามารดาฃ้าพเจ้าตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านมอยแขวงกุกทุ พี่ชายฃ้าพเจ้ามีอยู่สองคนชื่อออกคนหนึ่ง มากคนหนึ่ง ในตำบลบ้านมอยนั้นมีเรือนราษฎรอยู่ประมาณ ๑๐ หลังเสศ บิดามารดาฃ้าพเจ้ากับฃ้าพเจ้า พี่ชายฃ้าพเจ้าภากันทำไร่นากินแต่ภอเลี้ยงชีวิตร ครั้นอยู่มาจะเปนปีใดฃ้าพเจ้าจำไม่ได้ ๆ ประมาณ ๒ ปีมาแล้ว มีพวกห้อประมาณ ๑๐๐๐ เสศ ถือปืนคาบสิลาบ้าง ถือหอกบ้าง ถือดาบบ้าง ภากันยกทัพมาที่บ้านมอย พวกห้อจับเอาตัวบิดามารดาฃ้าพเจ้า กับฃ้าพเจ้า พี่ชายข้าพเจ้า แลราษฎรในบ้านมอยไปรบกับเมืองแกวได้ประมาณสองวัน เมืองแกวแตก แล้วพวกฮ่อฆ่าบิดามารดาแลพี่ชายฃ้าพเจ้าตายหมด แต่ตัวข้าพเจ้า ฮ่อชื่อชำกอ ใช้ให้ข้าพเจ้าเปนคนเกี่ยวหญ้าเลี้ยงม้า ๆ ชำกอมีอยู่ ๓ ม้า กองทัพฮ่อภักอยู่ที่เมืองแกวได้ประมาณ ๓ เดือน พวกฮ่อรบเมืองแกวแตก แล้วพวกฮ่อก็รวบรวมคนในเมืองแกวยกทัพไปเมืองเติก แต่เมืองแกวถึงเมืองเติกทาง ๓ คืน ชำกอใช้ให้ข้าพเจ้าเปนคนสำรับเกี่ยวหญ้าม้า แลตำเข้าตักน้ำเลี้ยงพวกฮ่อ แต่ฮ่อแม่ทัพใหญ่ชื่อลิวซิกอ ฮ่อนายรองนั้นชื่อชำกอ ลิวซิกอ ชำกอแต่งตัวใส่เสื้อกังเกงดำ ใส่หมวกผ้าลาย กองทัพฮ่อรบเมืองเติกอยู่ได้ประมาณ ๒ เดือน ๓ เดือน เมืองเติกแตก แล้วลิวซิกอ ชำกอก็ยกทัพพวกฮ่อกับพวกลาวเมืองเติกประมาณ ๔๐๐๐ เสศ ถือปืนคาบสิลาบ้าง ถือหอกบ้าง ถือดาบบ้าง ไปรบเมืองจูม แต่เมืองเติกถึงเมืองจูมทาง ๒ วัน แต่ตัวข้าพเจ้าชำกอนายรองใช้ให้ฃ้าพเจ้าเกี่ยวหญ้าเลี้ยงม้า หาฟืน ตำเข้า ตักน้ำ ต้มน้ำให้ชำกออาบ กองทัพห้อตั้งรบเมืองจูมอยู่ได้ประมาณ ๒ วัน เมืองจูมแตก แต่คนในเมืองจูมนั้นเปนผู้ชาย ผู้หญิงที่แก่ ชรา เด็กเล็ก แล้วพวกกองทัพห้อจับฆ่าเสีย คนผู้ชายที่หนุ่มฉกรร นายทัพฮ่อจับเอาไปเปนพวกกองทัพ จะเปนคนมากน้อยเท่าใดฃ้าพเจ้าไม่ทราบ แล้วแม่ทัพห้อก็ยกไปรบเมืองพวน แต่เมืองจูมถึงเมืองพวนทาง ๑๕ วัน กองทัพฮ่อรบเมืองพวนวันหนึ่งเมืองพวนแตก คนในเมืองพวนนั้นจะมีมากน้อยเท่าใดฃ้าพเจ้าไม่ทราบ แต่นายฮ่อตั้งค่ายภักกองทัพอยู่ในเมืองพวนได้ประมาณ ๑๐ วัน แล้วกองทัพฮ่อยกไปเมืองเวียงจัน ชำกอใช้ให้ฃ้าพเจ้าหาบเข้าเสบียงไปทางแต่เมืองพวนจะไปถึงเมืองเวียงจันนั้น ฃ้าพเจ้าไม่ทราบว่ากี่วัน กี่คืน แม่ทัพฮ่อตั้งค่ายภักกองทัพอยู่ริมแม่น้ำของ ห่างกำแพงเมืองเวียงจันทางประมาณวันหนึ่ง แล้วแม่ทัพฮ่อยกกองทัพไปรบเมืองเวียงจันอยู่วันหนึ่งเมืองเวียงจันแตก อยู่ได้ประมาณเดือนหนึ่ง ชำกอให้ฃ้าพเจ้าไปเกี่ยวหญ้าเลี้ยงม้า ฃ้าพเจ้าเหนกองทัพกรุงเทพฯ ยกมา ฃ้าพเจ้าหนีกองทัพไปซ่อนอยู่ที่ป่าริมทุ่งนา ข้าพเจ้านอนแอบกองทัพไทยอยูในโรงนา อดอาหารอยู่ได้ประมาณ ๒ วัน ๓ วัน แล้วข้าพเจ้าไปเที่ยวฃออาหารตามเชาบ้านรับประทาน จะเปนชื่อบ้านอันใดฃ้าพเจ้าไม่ทราบ ราษฎรเชาบ้านให้ทานเข้า น้ำ ฃ้าพเจ้ารับประทานแล้ว ราษฎรเชาบ้านก็จับตัวฃ้าพเจ้าส่งให้แก่นายกองทัพไทย ๆ เอาตัวฃ้าพเจ้าไปจำไว้ที่เมืองหนองคายได้ประมาณเดือนเสศ แล้วก็ส่งตัวข้าพเจ้าลงมา ณ กรุงเทพฯ เปนความสัจจริง สิ้นคำให้การฃ้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
เล่มที่ ๓ นำเบอร์ ๓๓ วันอาทิตย เดือน ๖ ขึ้น ค่ำ ๑
ปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘ แผ่นที่ ๕
คำให้การอ้ายพุญวนแกว พระยากระสาปน์กิจโกสล เปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายพูญวนแกวพูดลาวได้ให้การว่า อายุข้าพเจ้าได้ ๒๑ ปี ข้าพเจ้าตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่บ้านแกวแขวงเมืองน่าน บิดามารดาฃ้าพเจ้าตายไม่รู้จักชื่อ ฃ้าพเจ้าหามีบุตรภรรยาไม่ ณ เดือนเก้า ปีจอฉศก กองทัพห้อยกมาประมาณ ๕๐๐ คน ๖๐๐ คน ตีบ้านแกวแตก นายห้อจับเอาฃ้าพเจ้าพวกฃ้าพเจ้าไปได้ ๕ คน พวกห้อฆ่าตายเสียบ้าง แล้วพวกห้อใช้ให้ฃ้าพเจ้าหาบเสบียงไปส่ง พวกห้อยกไปตีเมืองตึกประมาณเดือนหนึ่งเมืองตึกแตก แล้วพวกห้อยกไปตีเมืองลา เมืองชำ เมืองพวน เมืองโชยแตก แต่จะได้คนมากน้อยเท่าใดข้าพเจ้าไม่รู้ แล้วลิวซิกอแม่ทัพไว้ผมเปีย กอเปานายกองไว้ผมเปีย แต่งตัวเปนจีนคุมพวกห้อ ๔ กอง ประมาณคน ๑๖๐๐ คน ยกไปตีเมืองเวียงจันวันหนึ่ง เมืองเวียงจันแตก พวกห้อตั้งอยู่ในเมืองเวียนจันประมาณ ๒ เดือน ครั้นถึง ณ เดือนเก้า พวกกองทัพไทยยกไปตีพวกห้อสองวัน เวลากลางคืนพวกห้อแตก ลิวซิกอแม่ทัพถูกปืนตกน้ำตาย แล้วพวกลาวฆ่าพวกห้อตายหมด พวกลาวจับพวกห้อได้มากน้อยเท่าใดฃ้าพเจ้าไม่รู้ พวกลาวจับฃ้าพเจ้าส่งลงมา ณ กรุงเทพฯ เปนความสัจความจริง สิ้นคำให้การของข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายบาบิงญวนแกว พระยากระสาปน์กิจโกสล เปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้า อ้ายบาบิงญวนแกวให้การว่า อายุ ๒๖ ปี เดิมตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านแกวแขวงเมืองน่าน ๆ จะขึ้นกับเมืองใหนข้าพเจ้าไม่รู้ บิดาชื่อ ตาตึก มารดาชื่อ แหยว เปนลาวมีบุตรคือฃ้าพเจ้ากับพี่ข้าพเจ้าอีก ๓ คน ข้าพเจ้ากับบิดามารดาแลพี่ข้าพเจ้า ทำนา ทำไร่ อยู่ในบ้านแกวเลี้ยงชีวิตรมาจะเปนเดือนใดข้าพเจ้าจำไม่ได้ ปีกุนสัปตศก พวกห้อประมาณ ๘๐๐ คน มาตีบ้านแกวแตก พวกห้อจับเอาบิดามารดาฃ้าพเจ้ากับพี่ฃ้าพเจ้าไปฆ่าตาย แล้วพวกห้อเกบเอาทรัพยสิ่งของทองเงินของข้าพเจ้ากับตัวข้าพเจ้าไป แต่ข้าพเจ้าพวกห้อให้ข้าพเจ้าเลี้ยงม้า ตักน้ำ ตำเข้า ใช้จุงม้าตามหลังให้กับนายห้อ ๆ ชื่อเชียงชาง ๆ ไว้ผมเปียแซ่อะไรข้าพเจ้าไม่รู้ นายห้อพาพวกที่ตีจับได้เอาเปนพวกไปตีเมืองตึก เมืองโหมย เมืองลา เมืองพวน เมืองโชย ต่อไป แต่พวกที่นายห้อตีจับไปเปนพวกไปตี ๕ เมืองนี้ จะเปนคนมากน้อยเท่าไร ข้าพเจ้าไม่รู้ แล้วพวกห้อพากันเข้ามาตีเมืองเวียงจัน ๆ แตก พวกห้ออาไศรยอยู่ในเมืองเวียงจันได้สองเดือน พวกลาวเมืองนครราชสีมายกขึ้นไปตีพวกห้อในเมืองเวียงจันแตก พวกห้อกับข้าพเจ้าหนีลาวเข้าป่าจ้างต่าง พวกลาวจึ่งตามไปจับข้าพเจ้ากับนายห้อชื่อมังคัง นายห้อตินช้าง นายห้ออะลิ นายห้อชื่อเจงหมานโก ชื่อฟาลงโก ชื่อซันซือเยกินยาตาย ๒ คน นายห้อตกน้ำตาย ห้าคนนี้เปนนายรอง ลิวซิโก ๆ เปนแม่ทัพใหญ่ แล้วพวกลาวจับส่งฃ้าพเจ้ากับนายห้อพวกที่เอามานี้มา ณ กรุงเทพฯ ลิวซิโกแม่ทัพนุ่งกังเกงใส่เสื้อ ไว้ผมเปีย สิ้นคำให้การข้าพเจ้าเท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายบาหลุย พระยากระสาปน์กิจโกสลเปนผู้บังคับถาม
๏ ข้าพเจ้าอ้ายบาหลุยเปนลาวทรงดำให้การว่า อายุสิบแปดปี ตั้งบ้านอยู่แฃวงเมืองจุม ๆ ขึ้นอยู่กับเมืองแกว บิดาชื่อ ปัง มารดาชื่อ ไหม่ มีบุตรสามคนชื่อ บาหลุย ๑ ไฟ ๑ ผู้หญิงชื่อใจ ๑ ทำนากินอยู่ในเมืองจุม พวกห้อยกมาตีเมืองจุม ประมาณ ๓๐๐ เสศ เข้าตีในเพลากลางคืนประมาณสามยามเสศ ครั้นเมืองจุมแตกแล้วพวกห้อก็จับเอาบิดามารดากับน้องสองคน ข้าพเจ้าได้แล้วจะเอาเงิน ครั้นไม่มีเงินจึ่งฆ่าบิดามารดา น้องข้าพเจ้าเสีย แลวจับเอาตัวข้าพเจ้ามาจำใส่โซ่ไว้ ๒ เดือน แล้วถอดออกใช้ให้ตักน้ำ ตำเข้า เกี่ยวหญ้าม้า แล้วตั้งอยู่ในเมืองจุมปีหนึ่ง แล้วยกมาตีเมืองพวนประมาณคน ๒๐๐ ร้อย ๓๐๐ ร้อยเสศ เข้าตีในเพลาเช้าเมืองพวนนั้นแตก พวกห้อก็เข้าตั้งอยู่ในเมืองพวน ๒ เดือน แล้วยกไปตีบ้านกุนทานาเลา แขวงเมืองหนองคาย พวกบ้านกุนทานาเลาก็แตกหนีเฃ้าป่าไป แล้วพวกห้อก็ตั้งค่ายอยู่ในบ้านกุนทานาเลาเดือนหนึ่ง แล้วพวกห้อก็เข้าตั้งค่ายอยู่ในเมืองเวียงจันได้ ๒ เดือนเสศ แม่ทัพห้อชื่อลิวซิกอมีคนประมาณ ๘๐๐ เสศ แล้วกองทัพเมืองนครราชสีหมาก็ยกไปตีพวกห้อ ๆ ก็สู้อยู่ได้วันหนึ่งห้อก็แตกหนีไปแต่ตัวฃ้าพเจ้านั้นเขาใช้ให้ไปเกี่ยวหญ้าม้าอยู่ในตามชายนา ครั้นฃ้าพเจ้าได้ยินเสียงปืนก็หนีเข้าป่าไปได้ ๓ วัน ครั้นฃ้าพเจ้าอดเข้าก็กลับเข้ามาหาเข้ากินในบ้านสะกานาโพ ห่างเมืองเวียงจันไปหนทาง ๒ วัน ครั้นฃ้าพเจ้ารู้ว่าพวกทัพอยู่ในบ้านสะกานาโพ ข้าพเจ้าก็เข้าไปหาพวกกองทัพ ๆ ก็จับเอาตัวฃ้าพเจ้าไปไว้ในตรางเมืองหนองคายได้ ๑๓ วัน แล้วก็เอาตัวฃ้าพเจ้าส่งมายังกรุงเทพฯ สิ้นคำให้การแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายอะยอไพรญวนแกว พระยากระสาปน์กิจโกสล เปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายอะยอไพรญวนแกวให้การว่า อายุได้ ๒๗ ปี เดิมตั้งบ้านเรือนอยู่ในป่า แขวงเมืองแกว ๆ ขึ้นกับเมืองไหนข้าพเจ้าไม่รู้ บิดาชื่อกอวา มารดาชื่อเอง พี่หญิงชื่อมีฮอ ฃ้าพเจ้ากับบิดามารดา พี่ฃ้าพเจ้า ตั้งทำนา ทำไร่ เลี้ยงกันมา ครั้น ณ เดือนสิบสอง ปีจอฉศก พวกห้อยกตีเมืองแกว ๆ แตกแล้ว พวกห้อยกเข้าป่าตีบ้านเรือนเล็กน้อยในป่าแกวแตก จับมารดา พี่ข้าพเจ้า กับตัวฃ้าพเจ้าได้ แต่บิดาข้าพเจ้าพวกห้อจับหาได้ไม่ พวกห้อฆ่ามารดา ฆ่าพี่ข้าพเจ้าตาย พวกห้อใช้ให้ข้าพเจ้าตักน้ำ ตำเข้า ต้มแกง ให้พวกห้อกิน แต่นายห้อชื่อ ลิวซิโกเปนแม่ทัพใหญ่ คุมพวกห้อไปตีเมืองพวน เมืองพาน เมืองลงปินดำ เมืองหนองคาย ๔ เมืองแตกแล้ว ฃ้าพเจ้าหลบหนีพวกห้อเข้าป่าเมืองเวียงจันไป ๗ วัน ๗ คืน ข้าพเจ้าอดเข้าไม่มีอไรกิน ข้าพเจ้าออกจากป่าเมืองเวียงจันมาพวกลาวจับข้าพเจ้าได้ ส่งข้าพเจ้ามา ณ กรุงเทพฯ สิ้นคำให้การข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายปันนางมวยห้อ พระยาธรรมจรันยานุกูล เปนผู้บังคับถาม
๏ ข้าพเจ้าอ้ายปันนางมวยให้การว่า ข้าพเจ้าเปนญวนแกว อายุข้าพเจ้าได้ ๓๘ ปี ข้าพเจ้าเปนบุตรอ้ายวาง อีหา ตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองกุกทูขึ้นอยู่กับเมืองแกว เมื่อ ณ เดือน ๑๑ ปีจอฉศก ซุยเย องปัน องไหม นายทับกับพวกไพร่ประมาณ ๓๕๐ คน ซุยเย องปัน องไหม นายทับ ๓ คน ฃี่ม้า ไพร่ ๓๕๐ คนนั้นถือปืนคาบสิลา ถือง้าว ถือดาบบ้าง กับปืนหามแล่น ๒ บอก นายทับห้อกับไพร่ ๓๕๐ คน เข้ารบเมืองกุกทู ๆ แตกฆ่านายไพร่กับบิดามารดาข้าพเจ้าตายประมาณ ๓๐ สิบ ๔๐ คน กองทับห้อจับเอาตัวข้าพเจ้ามากับพวกข้าพเจ้า ๒ คน แต่ข้าพเจ้าหารู้จักชื่อไม่ แล้วกองทับห้อก็ยกมาตั้งอยู่ที่เมืองตึก ครั้น ณ เดือน ๓ ปีจอฉศก กองทับห้อยกมาเปนกระบวนทับ ๒ กอง ข้าพเจ้ามาในกองทับซุยเยมีไพร่ประมาณ ๑๕๐ คน กองทับองปัน องไหมยกมากองหนึ่งมีไพร่ประมาณ ๒๐๐ คนเสศ แต่ตัวข้าพเจ้าซุยเยให้ข้าพเจ้าเปนคนเกี่ยวหญ้าเลี้ยงม้า หาได้ออกรบไม่กองทับซุยเยยกมาตั้งอยู่ที่เมืองพวน แต่กองทับองปัน องไหมจะยกไปตั้งอยู่ที่ไหนนั้นข้าพเจ้าหาทราบไม่ แต่เมืองพวนนั้นกองทับห้อตีแตกแล้วก่อนกองทับซุยเยมา แต่ทับห้อกองใหนจะตีแตกข้าพเจ้าหาทราบไม่ กองทับซุยเยกับตัวไพร่มาตั้งอยู่ที่เมืองพวนได้ประมาณ ๒ เดือนเสศ ก็หาได้ออกรบกับผู้ใดไม่ เมื่อ ณ เดือน ๖ ปีกุนสัปตศก กองทับซุยเยยกไปตั้งอยู่ที่เมืองเวียงจัน ครั้น ณ เดือน ๙ ปีกุนสัปตศก กองทับไทยยกไปตีเมืองเวียงจัน ซุยเยกับไพร่ภากันหนีกองทับไปจากเมืองเวียงจัน ข้าพเจ้าก็หนีออกจากเมืองเวียงจันไปได้วันหนื่ง กองทัพไทยตามจับตัวฃ้าพเจ้ากับพวกข้าพเจ้าได้มา เปนความสัจความจริงสิ้นคำให้การข้าพเจ้าแต่เท่านี้ อาการอ้ายปันนางมวยป่วยมาก เปนไข้ ให้บวมมือบวมเท้ามาก ๚ะ
เล่มที่ ๓ นำเบอร์ ๔๑ วันอาทิตย เดือน ๖ ขึ้น ๘ ค่ำ
ปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘ แผ่นที่ ๖
คำให้การอ้ายบามิดลาว พระยาเจริญราชไมตรีเปนผู้บังคับถาม
๏ ข้าพเจ้าอ้ายบามิตลาวให้การว่า อายุข้าพเจ้าใด้ ๓๐ ปี ข้าพเจ้าอยู่เมืองลาทู บิดาฃ้าพเจ้าชื่อ หวัง มารดาชื่อ ด้วน เมืองลาทูขึ้นกับเมืองแกว เดิม ณ เดือน ๘ ปีจอฉศก พวกฮ่อสี่ร้อยมาตีเมืองลาทูที่ข้าพเจ้าอยู่แตกหนีไปบ้าง ตายบ้าง แล้วพวกฮ่อจับเอาข้าพเจ้ากับพวกข้าพเจ้ามากับพวกฮ่อถึงแดนเมืองเวียงจัน เวลากลางคืนพวกฮ่อเอาปืนคาบสิลายิงเข้าไปในเมืองเวียงจัน พวกเมืองเวียงจันแตกหนีบ้าง ตายบ้าง เหลือคนอยู่ในเมืองเวียงจัน ๒๐๐ คน แล้วพวกฮ่อภักอยู่ที่เมืองเวียงจันได้ ๕ เดือน ครั้น ณ ปีกุนสัปตศก กองทัพไทยกไปถึงเมืองเวียงจันเวลากลางคืน กองทัพไทยกเข้าตีฟันพวกฮ่อ ๆ หนีไปบ้าง ตายบ้าง จับได้ข้าพเจ้ากับพวกฮ่อส่งเข้ามา ณ กรุงเทพ เปนความสัจจริง ข้าพเจ้าสิ้นคำให้การแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายอย่าลาว พระยาเจริญราชไมตรีเปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายอย่าไว้ผมยาวไม่มีเปียให้การว่า อายุได้ ๑๙ ปี ฃ้าพเจ้าเปนบุตรนายแสนบุนลาว อำแดงบุนลาว อยู่เมืองเชียงฆ้อ มีเรือนประมาณ ๓๐ เรือน มีคนประมาณ ๓๐๐ คน ขึ้นกับเมืองหลวงพบาง เมืองเชียงฆ้อห่างกับเมืองหลวงพบางทาง ๑๖ วัน ข้าพเจ้ายังหามีภรรยาไม่ ณ วันเดือน ๖ ขึ้น ๑๐ ค่ำ ปีกุนสัปตศก เวลากลางคืนฃ้าพเจ้ากับบิดามารดาข้าพเจ้าอยู่ที่เรือนข้าพเจ้าพวกห้อประมาณ ๑๐๐๐ คนเสศ มีปืนคาบสิลากับอาวุธต่างคนเข้ามาตีเมืองเชียงฆ้อแตก พวกห้อฆ่าบิดามารดาฃ้าพเจ้าตายเสียที่เรือนข้าพเจ้า แล้วพวกห้อจับเอาตัวข้าพเจ้าไปอยู่ที่เมืองเวียงจัน พวกห้อที่พูดลาวไต้บอกข้าพเจ้าว่า นายกองห้อที่คุมพวกฮ่อมาตีเมืองเชียงฆ้อนั้นชื่อ ลิวสิกอเปนนายใหญ่ สับกอซิแย เปนนายรอง ฃ้าพเจ้าเหนพวกฮ่อมีปืนคาบสิลาประมาณ ๓๐ บอก แต่ปืนหามแล่นและปืนใหญ่หามีไม่ พวกห้อเอาตัวข้าพเจ้าไปไว้ที่เมืองเวียงจันข้าพเจ้าถามพวกห้อว่าที่เปนนายกองทัพใหญ่นั้นอยู่เมืองชื่อเมืองใดและจะมียกเพิ่มเติ่มมาอิกฤๅไม่ พวกห้อหาบอกข้าพเจ้าไม่ พวกห้อใช้ข้าพเจ้าตักน้ำ ตำเข้าอยู่ที่เมืองเวียงจัน แต่นายกองห้อปลูกเรือนอยู่สามหลัง พวกฮ่อเกนเอาเข้าที่บ้านลาวเมืองเชียงฆ้อมาไว้กินห้อตั้งอยู่ไนเมืองเวียงจันได้ ๓ เดือนเสศ ครั้น ณ เดือน ๗ ค่างขึ้น ๆ กี่คำ จำไม่ได้ ปีกุนสับตศก พวกเมืองหนองคายคุมคน ๘๐๐ คนมาตีห้อที่ปากทางเมืองเวียงจันพวกห้อออกรบกองทัพเมืองหนองคายแตกมีได้กลับลงมาเมืองหนองคาย ครั้น ณ เดือน ๑๐ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีกุนสับตศก เวลากลางวัน ฃ้าพเจ้าไปเกี่ยวหญ้าม้าอยู่ที่บึงห่างห้อที่ตั้งอยู่ในเมืองเวียงจันประมาณ ๔ เส้นเสศ ฃ้าพเจ้าเหนทัพไทยประมาณ ๔๐๐๐ เสศไปตีห้อที่เมืองเวียงจัน ห้อต่อสู้ พวกห้อตายประมาณ ๔๐๐ เสศ พวกห้อแตกหนีไปค่างไหนข้าพเจ้าหารู้ไม่ ข้าพเจ้าก็หนีจะมาเมืองหนองคาย ถึงกลางทางภบอ้ายจันแก้วบ้านอยู่เมืองเชียงฆ้อ อ้ายพรมบ้านอยู่เมืองเชียงขวาง อ้ายอย่าบ้านอยู่บ้านสุด ขึ้นกับเมืองหลวงพบาง พวกลาวเมืองร้อยเอดจับเอาตัวฃ้าพเจ้า อ้ายจันแก้ว อ้ายพรม อ้ายอย่า มาส่งให้เจ้าราชวงษเมืองหนองคายถามข้าพเจ้า ๆ ก็ให้การดั่งข้าพเจ้าให้การไว้นี้ เจ้าราชวงษก็ส่งให้ข้าหลวงคุมลงมา ณ กรุงเทพ แต่อ้ายจันแก้วอยู่กับพระยามหาอำมาตย อ้ายพรมอยู่กับพระนรากรมการเมืองนครราชสีมา อ้ายอย่าอยู่กับหลวงสัศดี กรมการเมืองนครราชสีมา เปนความสัตยจริงแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายบาลินลาว พระยาเจริญราชไมตรีเปนผู้บังคับถาม
๏ ข้าพเจ้าอ้ายบาลินลาวมีผมเปีย ให้การว่า อายุข้าพเจ้าได้ ๑๑ ปี ข้าพเจ้าเปนบุตรบาไลบิดา อิงมารดา เปนลาว ฃ้าพเจ้าเกิดอยู่เมืองสัต ๆ ฃึ้นกับเมืองแกว ๆ ห่างกันกับเมืองหลวงพบางประมาณสองเดือน เดิมจะเปนเดือนใดข้าพเจ้าจำไม่ได้ ๆ ประมาณสองปีมาแล้ว ข้าพเจ้าอยู่บ้านเรือนฃ้าพเจ้าเวลากลางคืนดึกประมาณ ๒ ยามเสศ พวกห้อประมาณ ๔๐๐ เสศถือปืนคาบสิลาบ้าง ถือหอกบ้าง ถือดาบบ้าง ครบมือกันภากันเข้ามาจับเอาฃ้าพเจ้ากับบิดามารดาฃ้าพเจ้าได้ แต่บิดามารดาฃ้าพเจ้านั้น พวกห้อฆ่าตายเสียที่ในเมืองสัต แต่พวกห้อจับเอาฃ้าพเจ้ากับพวกที่อยู่ในเมืองสัตนั้นไปได้ประมาณ ๕๐ คน ภาเอาไปไว้ในกองทัพซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเวียงจัน แล้วพวกห้อขวั้นผมเปียพวกฃ้าพเจ้าทุกคน นายทัพซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเวียงจันนั้นชื่อ ลิวซิกอ มีคนประมาณ ๑๐๐๐ เสศ เปนลาวบ้าง ไว้ผมเปียบ้าง แต่เมืองเวียงจันกับเมืองสัตไกลกันวันกับคืนหนึ่ง แล้วพวกห้อใช้ให้ข้าพเจ้าเปนคนตักน้ำ ตำเข้าให้พวกห้อกินอยู่ได้ประมาณสามเดือน ครั้น ณ วันเดือนสิบ ปีกุนสัปตศก มกซิเปนนายกองคุมพวกห้อประมาณ ๑๐๐ คน กับฃ้าพเจ้าคนหนึ่ง มีเครื่องสาตราอาวุธครบมือกันยกไปตีบ้านดงคันทาจับคนที่บ้านดงคันทามาได้ลาว ๓๕ คนมาไว้ที่ค่ายบ้านดงคันทาแล้วฃ้าพเจ้ารู้อยู่ว่าบิดามารดาคน ๓๕ คนเอาเงินมาไถ่คน ๓๕ คนแก่มกซินายกองไปแต่จะเอาเงินไถ่คนละเท่าไรนั้นข้าพเจ้าหาเหนไม่ แต่บ้านดงคันทาไกลกันกับเมืองเวียงจันทาง ๒ คืน ครั้นอยู่มาจะเปนเดือนใดฃ้าพเจ้าจำไม่ได้ ปีกุนสัปตศก เมืองนครราชสีมาคุมกองทัพมารบมกซิซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านดงคันทา ทัพเมืองนครราชศริมาเอาปืนคาบสิลายิงถูกมกซิกอนายกองตาย พวกห้อก็ภากันแตกหนีไปทางเมืองโพนบ้าง ทัพเมืองนครราชสีมาจับเอาตัวฃ้าพเจ้ามาไว้ ณ เมืองหนองคายได้ประมาณเดือนเสศแล้วก็ส่งฃ้าพเจ้ามา ณ กรุงเทพฯ แต่มกซินายทัพนั้นไว้ผมเปียอย่างจีน ใส่เสื้อกางเกงดำ ตะภายดาบเล่มหนึ่ง ปืนคาบสิลาบอกหนึ่ง แต่ตัวลิวซิกอนายทัพอีกคนหนึ่งนั้นฃ้าพเจ้าหาเหนไม่ เปนความสัตยความจริงสิ้นคำให้การฃ้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายปึงลาว พระยาเจริญราชไมตรีเปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายปึงลาวมีผมเปียให้การว่า อายุได้ ๓๒ ปี ฃ้าพเจ้าเกิดอยูในเมืองเชียงเกาะบิดาชื่อ ที่หอม ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเมืองเชียงเกาะ แต่มารดาฃ้าพเจ้าตายเสียแล้วแต่ฃ้าพเจ้ายังจำความไม่ได้ เมืองเชียงเกาะนั้นฃึ้นอยู่กับเมืองหลวงพบาง มีคนประมาณ ๒๐๐๐ เสศ ครั้นอยู่มา ณ ปีวอก จัตวาศก จีนฮ่อยกกองทัพคนประมาณ ๓๐๐๐ เสศ มีปืนคาบชุดประมาณ ๓๐๐ เสศ มีอาวุธต่างกัน มาตีเมืองเชียงเกาะ ๆ แตกพวกกองทัพเมืองโง จึ่งจับเอาตัวฃ้าพเจ้าพวกในหมู่บ้านฃ้าพเจ้าไปได้ ๗ คน พวกห้อฆ่าพวกฃ้าพเจ้าเสีย ๓ คน หนีไปได้ ๒ คน เอาแต่ฃ้าพเจ้ากับอ้ายโดยพวกฃ้าพเจ้าคนหนึ่ง เข้าไว้ในกองทัพพวกห้อฃวั้นผมเปียฃ้าพเจ้า พวกห้อตั้งค่าย อยู่ในเมืองเชียงเกาะได้ ๒ ปีเสศ พวกฮ่อจึ่งใช้ฃ้าพเจ้าพวกฃ้าพเจ้าเลี้ยงม้าบ้าง ตำเข้าให้ฮ่อกินบ้าง อยูในเมืองเชียงเกาะ ครั้น ณ ปีจอฉศก เจ้าเมืองโงกับฮ่อ ๓๐๐๐ คน ยกทัพมาจากเมืองเชียงเกาะมาตีเมืองชำข้าพเจ้ากับอ้ายโดยเปนคนหาบเสบียงมาในกองทัพ ครั้นมาถึงเมืองชำเจ้าเมืองโงกับไพร่ ๓๐๐๐ คน ตีเมืองชำซึ่งขึ้นอยู่กับเมืองหลวงพบางแตก คนจะตายและจะหนีไปศักเท่าไรข้าพเจ้าหารู้ไม่ แต่พวกฮ่อจับคนเมืองชำได้ ๘ คนจะเปนเดือนใดจำมิได้ ปีจอฉศกแล้วเจ้าเมืองโงคุมกองทัพกับฃ้าพเจ้าไปทาง ๑๕ วัน ถึงเมืองพวนฃ้าพเจ้าหาเหนมืคนที่เมืองพวนไม่ เหนแต่พวกฮ่ออยู่ที่เมืองพวนประมาณ ๓๐๐ คน ฃ้าพเจ้าได้ยินพวกฮ่อพูดกันว่า พวกฮ่อ ๓๐๐ คน ตีเมืองพวนแตก ลาวในเมืองพวนหนีไป ฮ่อนายกองที่ตีเมืองพวนแตกชื่อใดและจะจับลาวเมืองพวนได้ศักเท่าไรฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ เจ้าเมืองโงฮ่ออยู่ที่เมืองพวน ๒ วัน ก็คุมทัพมาภักอยู่ริมแม่น้ำหงิมห่างเมืองหนองคายทางวัน ๑ ครั้น ณ เดือน ๗ ปีกุนสับตศก เวลาค่ำ ฃ้าพเจ้าผู้เดียวฮ่อเดินมาถึงบ้านเทือนงาม แขวงเมืองหนองคาย ลาวบ้านเทือนงามจับตัวฃ้าพเจ้ามาส่งให้เจ้าเมืองหนองคาย ๆ ถามฃ้าพเจ้าให้การไว้ดังกล่าวมานี้ แล้วเจ้าเมืองหนองคายก็ส่งฃ้าพเจ้าให้ข้าหลวงคุมลงมา ณ กรุงเทพ สิ้นคำแต่เท่านี้ ๚ะ
เล่มที่ ๓ นำเบอร์ ๔๙ วันอาทิตย เดือน ๖ ขึ้น ๑๔ ค่ำ
ปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘ แผ่นที่ ๗
คำให้การอ้ายบ้าโหะ พระยาอภัยรณฤทธิเปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายบ้าโหะให้การว่า อายุฃ้าพเจ้า ๒๓ ปี บิดาชื่อ อ้ายลุ่น มารดาชื่อ อีอิน มีน้องหญิง ๒ คน เปนลาวทรงดำอยู่เมืองฮุง เจ้าเมืองฮุงชื่อจือเจียงกะขึ้นกับเมืองแกว ในเมืองยุงมีชายฉกรรประมาณ ๓๐๐ เสศ ทางเมืองฮุงจะไปเมืองเชียงขวางใกลกัน ๑๐ คืน เมื่อ ณ วันเดือนสิบเอด ปีจอฉศก พวกห้อยกมาประมาณ ๓๐๐๐ เสศ เข้าตีเมืองฮุงแตก จือเจียงกะเจ้าเมืองหาทันเกณฑคนออกรบไม่ พวกอ้ายห้อล้อมจับเจ้าเมืองได้ฆ่าเสีย แต่พวกชาวเมืองชายหญิงพวกอ้ายห้อฆ่าเสียก็มาก หนีไปได้บ้าง ที่ห้อจับไว้ฃ้าพเจ้าได้ภบกัน อ้ายสิก่อ อ้ายยิกอ กับหญิงอีก ๘ คน อ้ายห้อเอาผู้หญิงไปใช้ ผู้ชายให้เลี้ยงม้า อ้ายห้อภักทัพอยู่ที่เมืองฮุง ๒ คืน เที่ยวเกบเอาเสบียงอาหารตามขาวบ้านที่แตกหนีไป พวกอ้ายห้อก็ยกจากเมืองฮุงไปตีเมืองซบซ้าน เมืองฮุงกับ เมืองซบซ้านทางคืนหนื่ง อ้ายห้อกวาดเอาฃ้าพเจ้าพวกเชลยไปด้วย ถึงเมืองซบซ้านพวกห้อยกเฃ้าตีแตก จับเพี้ยขุน เจ้าเมืองซบซ้านกับไพร่ได้ ๑๐ คน อ้ายห้อฆ่าเสียหมด พวกชายหญิงชาวเมืองหนีไปได้บ้าง พวกห้อฆ่าเสียในที่รบก็มาก อ้ายห้อตั้งค่ายภักอยู่ที่เมืองซบซ้าน ยาว ๑๕ เส้น กว้าง ๕ เส้น รอบเมืองฃบซ้านมีหอรบ พวกห้อเที่ยวเกบเอาเสบียงอาหารที่เมืองซบซ้านในแขวงเมืองซบซ้านเข้าไว้ในได้เปนอันมาก อ้ายห้อภักอยู่ที่ค่ายเมืองซบซ้านปีหนึ่ง ห้อที่คุมพวกฃ้าพเจ้าเชลยบอกว่า อ้ายห้อแม่ทัพนั้นชื่อ ยิบไตโก๋ อายุประมาณ ๕๐ ปีเสศ อ้ายเลียวซิกออายุประมาณ ... ปี อ้ายพาลองกอ อายุประมาณ ๔๐ ปี เปนแม่ทัพรอง โลตี้อายุ ๓๐ ปี โลไต้อายุ ๔๐ ปี มันสุกอายุ ๕๐ ปี เปนทหาร ชื่อจีนทร้างเปนนายบาญชี กับพวกห้อไพร่ประมาณ ๓๐๐๐ คน แต่จะมีสาตราอาวุธ ปืน หอก ดาบ กระสุนดินดำมากน้อยเท่าใดนั้นฃ้าพเจ้าหาได้เหนไม่ ม้าที่อ้ายห้อให้พวกฃ้าพเจ้าเลี้ยงมีอยู่ ๓๐ ม้า ได้ที่เมืองซบซ้านประมาณ ๒๐ ม้า เปน ๕๐ ม้า ครั้นวันเดือนหาข้างลาว ปีกุนสัปตศก พวกห้อพูดกันว่า อ้ายยิบไตโกแม่ทัพ เกณฑพวกห้อประมาณ ๒๐๐๐ เสศ ว่าจะกลับไปเมืองลา วันยิบไตโก๋จับห้อ ๒๐๐๐ ยกไปนั้น ฃ้าพเจ้าไปเลี้ยงม้าหาอยู่ไม่ ครั้นฃ้าพเจ้ากลับมาห้อพูดว่า ยิบไตโก๋ยกไปเมืองลาแล้ว คนจึ่งน้อยไป แล้วพวกห้อพูดว่าอีก ๓ วัน เลียวสิกอ พาลองกอ โลตี้ โลไต้ มันสุก ทหารกับห้อ ๕๐๐ คนเสศ จะยกไปตีเมืองเชียงขวาง พวกฃ้าพเจ้าเชลยทั้งชายหญิง ๑๑ คนนั้น อ้ายห้อให้หาบเสบียงบ้าง คุมม้ามาบ้าง ยกออกจากเมืองซบซ้าน ฃ้าพเจ้าเหนมีปืนใหญ่กระสุน ๒ นิ้ว ๒ บอก ปืนเลาประมาณ ๓๐๐ บอก ดาบประมาณ ๓๐๐ เล่ม หอกประมาณ ๕๐ เล่ม ๖๐ เล่ม แต่กระสุนดินดำจะมีมากน้อยเท่าใดนั้นฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ ออกจากเมืองซบซ้านเดินทางมาเดือนหนึ่งถึงบ้านตามระยะทางชาวบ้านหนีไปหมด อ้ายห้อเข้าเกบเอาเสบียงอาหารกินปน กำลังมาจนถึงแดนเมืองเชียงขวาง ตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งเชียงคำได้ ๓ วัน พวกแกวยกมาประมาณ ๓๐๐ เสศมาตั้งค่ายห่างกับค่ายห้อประมาณ ๑๕ เส้น พวกแกวกับห้อรบกันอยู่ที่ทุ่งเชียงคำสามวัน พวกห้อก็ตายบ้าง พวกแกวก็ตายบ้าง พวกแกวล่าหนีไป ห้อภักอยู่ที่ค่ายทุ่งเชียงคำอีก ๔ วัน พวกห้อก็ยกจากทุ่งเชียงคำเดินทางวันหนึ่งถึงเมืองเชียงขวางภอเวลาบ่ายในวันเดียวนั้น พวกอ้ายห้อยกเข้าตีเมีองเชียงขวาง พวกเมืองเชียงขวางได้ต่อรบสู้กันอยู่จนเวลาพลบค่ำ พวกเมืองเชียงขวางแตก เจ้าเมืองเชียงขวางถูกปืนตายในทรบ พวกห้อฆ่าชาวเมืองเชียงขวางเสียก็มาก พวกห้อจับชาวเมืองเชียงขวางได้เอาไว้ทั้งชายหญิงประมาณ ๔๐ คนเสศ ที่หนีไปได้ก็มาก พวกห้อก็ยกเข้าอยู่ในเมืองเชียงขวาง เลียวสิกอ พาลองกอแม่ทัพขึ้นอยู่บนเรือนเจ้าเมืองเชียงขวาง พวกอ้ายห้อเที่ยวเกบเอาเสบียงอาหารในเมือง นอกเมืองเชียงขวางมารวมไว้กินเปนกำลัง แล้วพวกห้อตั้งค่ายในเมืองเชียงขวางภักอยูในเมืองเชียงขวาง ๓ เดือนเสศ จะเปนวันเดือนใดฃ้าพเจ้าจำไม่ได้ ฃ้าพเจ้าเหนพวกห้อยกมา ไม่เข้าในเมืองเชียงขวาง คนประมาณ ๒๐๐ เสศ มีปืน มีดาบ มีหอกครบมือกัน แต่ตัวนายห้อนั้นขี่ม้าใส่เสื้อ ใส่หมวก สภายปืน ถือหอก ฃ้าพเจ้าถามห้อที่คุมฃ้าพเจ้านั้น บอกว่าชื่ออ้ายทรับกอห้อเปนแม่ทัพคุมห้อ ๒๐๐ คน มาแต่เมืองลามาสมทบกับเลียวสิกอ พาลองกอ แต่จะมีกระสุนดินดำมาสักเท่าใดนั้นห้อหาได้บอกฃ้าพเจ้าไม่ รวมกันทั้งห้อเก่า ห้อใหม่ เปนห้อ ๖๐๐ คน ๗๐๐ คนเสศ เข้าอยู่ในเมืองเชียงขวาง อยู่มาพวกหอพูดกันว่า ทรับกอ เลียวสิกอ พาลองกอ กับพวกห้อจะภากันไปตีเมืองหนองคาย ครั้น ณ วันเดือนเก้าข้างลาว ปีกุนสัปตศก อ้ายทรับกอ อ้ายเลียวสิกอ อ้ายพาลองกอ ให้อ้ายปาอึงก่อห้อกับพวกห้อประมาณ ๑๐๐ เสศ กับอาวุธปืน หอก ดาบ สักเท่าใดฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ ให้อยู่รักษาค่ายที่เมืองเชียงขวางแต่อ้ายทรับกอ อ้ายเลียวสิกอ อ้ายพาลองกอ กับพวกห้อประมาณ ๖๐๐ คนเสศ กับพวกข้าพเจ้าเชลยทั้งชายหญิงประมาณ ๖๐ คน ยกจากเมืองเชียงขวางจะไปตีเมืองหนองคาย เดินทางมา ๔ คืน ถึงเมืองตึก ๆ ขึ้นกับหนองคาย คนชาวเมืองตึกหนีไปหมด พวกอ้ายห้อเข้าเกบเอาเสบียงอาหารได้เปนกำลัง เดินทางมาอีก ๔ คืนถึงบ้านซอน ชาวบ้านซอนหนีหมด พวกห้อเกบเอาเสบียงอาหารได้เปนกำลัง ต่อมาออกจากบ้านซอนคืนหนึ่งถึงบ้านคนทา ชาวบ้านคนทาหนีหมดหามีคนไม่ อ้ายทรับกอ อ้ายเลียวสิกอ อ้ายพาลองกอให้ตั้งค่ายที่บ้านคนทาภักอยู่ ๑๐ คืน พวกห้อพูดกันว่า จะยกไปตีเมืองเวียงจัน อ้ายทรับกอ อ้ายเลียวสิกอแม่ทัพจึ่งแบ่งพวกลาวเชลย ชาย บ้าง หญิงบ้าง ประมาณ ๓๐ คน ให้ห้อ ๑๗ คน คุมอยู่ที่ค่ายบ้านคนทา อ้ายทรับกอ อ้ายเลียวสิกอ อ้ายพาลองกอแม่ทัพ โลตี้ โลไต้ มันสุกทหาร กับพวกห้อประมาณ ๕๐๐ คนเสศ มีปืนใหญ่กระสุน ๒ นิ้ว ๓ นิ้ว ๒ บอก มีปืนเลกประมาณ ๓๐๐ บอก หอกประมาณ ๓๐๐ เล่ม ดาบประมาณ ๕๐ เล่ม ๖๐ เล่ม แต่ลูกกระสุนดินดำจะมีมากน้อยเท่าใดฃ้าพเจ้าหาทราบไม่ เมื่อวันอ้ายห้อยกจากค่ายบ้านคนทาจะไปตีเมืองเวียงจัน อ้ายทรับกอแม่ทัพ ฃี่ม้าใส่กางเกง สรวมเสื้อแพร ใส่หมวกใหญ่ มือถือปืนสั้นบอก ๑ ถือหอกเล่ม ๑ อ้ายเลียวสิกอ ฃี่ม้า ใส่กางเกง สรวมเสื้อ ใส่หมวกใหญ่ ปืนยาวสภายข้างหลัง ปืนสั้นถือบอก ๑ อ้ายพาลองกอใส่กางเกง สรวมเสื้อ ใส่หมวกใหญ่ ถือปืนยาวบอก ๑ ออกเดินน่าทัพ อ้ายโลตี้โลไต้ มันสุกทหาร ฃี่ม้า ใส่กางเกง สรวมเสื้อ ใส่หมวกห้อ ปืนยาวสภายคนละบอก มือถือหอกทั้งสามคนเดินหลัง พวกห้อประมาณ ๕๐๐ คนเสศนั้นถือปืนบ้าง ถือดาบบ้าง ถือหอกบ้าง เดินตามหลังม้า แต่พวกฃ้าพเจ้าเชลยประมาณ ๔๐ คนนั้น อ้ายห้อให้หาบเสบียงตามหลังเดินทางมาคืนหนึ่งถึงบ้านนาปู ชาวบ้านหนีหมด อ้ายห้อเข้าเกบเอาเสบียง อาหาร ฆ่าวัว ฆ่าควาย กินเปนกำลังทัพภักนอนบ้านนาปูคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นเดินทางมาวันหนึ่งถึงบ้านโพนสูง ชาวบ้านภากันหนีไปหมดอ้ายห้อเข้าเกบเอาเสบียงอาหารได้บ้าง ภักนอนอยู่บ้านโพนสูงคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งขึ้นยกจากบ้านโพนสูงเดินทางวันหนึ่ง ถึงบ้านน้าเกลี่ยง ชาวบ้านหนีไปหมด อ้ายทรับกอ อ้ายลิวสิกอให้พวกห้อตั้งค่าย กว้างประมาณ ๑๐ วา ยาวประมาณเส้น ๑ แล้วให้พวกห้อเที่ยวเกบเสบียงอาหารเข้าไว้ในค่าย ภักอยู่ที่บ้านน้ำเกลี่ยง ๕ คืน อ้ายทรับกอ อ้ายเลียวสิกอให้อ้ายตี้ทรับห้อกับพวกห้ออีก ๑๐ คุมพวกข้าพเจ้าลาวเชลยประมาณ ๓๐ คน อยู่รักษาค่ายที่บ้านน้ำเกลี่ยงแต่อ้ายตี้ทรับ อ้ายเลียวสิกอ อ้ายพาลองกอ กับโลตี้โลไต้ มันสุก กับพวกห้อประมาณ ๔๐๐ คนเสศ มีปืน มีหอก มีดาบ กระสุนดินดำพร้อมแต่จะมีมากน้อยเท่าใดข้าพเจ้าหาทราบไม่ ยกจากค่ายบ้านน้ำเกลี่ยง เข้าตีเมืองเวียงจัน พวกอ้ายห้อยกมาได้สองวันจะได้รบพุ่งสู้กันยังไรนั้นฃ้าพเจ้าไม่ทราบ ด้วยฃ้าพเจ้านั้นห้อให้คุมไว้ที่ค่ายบ้านน้ำเกลี่ยง ครั้นรุ่งขึ้นอ้ายห้อขี่ม้ากลับไปสามม้า บอกอ้ายตี้ทรับกับห้อที่คุมฃ้าพเจ้าอยู่ ว่าที่เมืองเวียงจันแตกแล้วให้อ้ายตี้ทรับกับพวกห้อ ฅุมพวกข้าพเจ้าไปเมืองเวียงจันเทิด ครั้นรุ่งขึ้นอ้ายตี้ทรับกับพวกห้อก็คุมพวกฃ้าพเจ้าเชลยสามสิบคนเสศออกจากค่ายบ้านน้ำเกลียงเดินทางวันหนึ่งถึงเมืองเวียงจัน พวกห้อตั้งค่ายในเมืองเวียงจันสองค่ายห่างกันประมาณ ๑๐๐ วา ค่ายยาวประมาณ ๒๐ วา กว้างประมาณ ๒๐ วาเท่ากันทั้ง ๒ ค่าย อ้ายทรับกอ อ้ายเลียวสิกอ กับห้อ ๔๐ คน อยู่ในค่ายด้านเหนือ อ้ายพาลองกอ โลตี้โลไต้ มันสุก กับห้อ ๕๐ คน เข้าอยู่ในค่ายด้านใต้ แต่ห้อนอกจากนั้นกับพวกฃ้าพเจ้าเชลยตั้งทัพตูบอยู่นอกค่าย ภักอยู่ที่เมืองเวียงจันได้ประมาณ ๑๐ วัน อ้ายโดวางห้อเปนทหาร คุมห้อไพร่ลงเรือลำละ ๑๐ คน แปดลำ เปนห้อ ๘๐ คน ขึ้นไปตามลำแม่น้ำโขง พวกฃ้าพเจ้าเชลยนั้น พวกอ้ายห้อหาเอาไปไม่พวกห้อพูดกันว่า อ้ายโดวางจะไปตีเมืองเชียงฆานไปได้ ๙ วัน ๑๐ วัน อ้ายโดวางกลับมา ฃ้าพเจ้าเหนได้ลาวมาทั้งผู้ชาย ผู้หญิงประมาณ ๓๐ คน ได้เสบียงอาหารบันทุกเรือมาเตมทั้ง ๘ ลำ พวกอ้ายห้อเที่ยวกวาดเอาเสบียงอาหารในเมืองเวียงจัน แขวงเมืองเวียงจันมาไว้ในค่ายภอเปนกำลังทัพภักอยู่ที่เมืองเวียงจัน ๓ เดือน เมื่ออ้ายห้อจับฃ้าพเจ้าได้อ้ายห้อให้ฃ้าพเจ้าเลี้ยงม้า ๆ มีอยู่ประมาณ ๓๐ ม้าเสศ ตีเมืองซบซ้านได้ม้าประมาณ ๘ ม้า แล้วตีเมืองเชียงขวางแตกได้ม้าประมาณ ๕๐ ม้า ๖๐ ม้า แล้วมาตีเมืองเวียงจันแตก ได้ม้ารวมประมาณ ๑๕๐ ม้าเสศ เลี้ยงอยู่ที่เมืองเวียงจัน ครั้น ณ วันเดือนสิบเอดข้างไทย ปีกุนศัปตศก กองทัพไทยยกเข้าตีอ้ายพวกห้อที่เมืองเวียงจัน รบสู้กันอยู่วันหนึ่งพวกอ้ายห้อทนกำลังปืนไม่ได้ พวกอ้ายห้อตายในที่รบก็มาก พวกอ้ายห้อแตก พวกข้าพเจ้าลาวเชลยกับพวกอ้ายห้อแตกออกจากเมืองเวียงจัน ฃ้าพเจ้ากับอ้ายห้อเปาะเอียน อ้ายบ้ามิน อ้ายบ้ามิด อ้ายบ้าลิ กับอ้ายห้ออีกหลายคนภากันหนีกลับไปถึงบ้านนาปู กองทัพไทยสกัดยิงถูกอ้ายเปาะเอียน อ้ายบ้ามีน อ้ายบ้าลิตาย แต่ข้าพเจ้าคน ๑ ลาวเมืองลา ๓ คน ลาวเมืองม้วยคน ๑ ลาวเมืองพวนคน ๑ รวม ๖ คน กับห้อ ๑๘ คน กองทัพไทยจับได้ ส่งมาเมืองหนองคายเดือนหนึ่งแล้วก็ส่งตัวฃ้าพเจ้าพวกลาว ๕ คน กับพวกห้อ ๑๘ คน เดินทางมาตายเสียกลางทาง พวกอ้ายห้อ ๓ คน พวกลาวเมืองพวนเชลย ๑ รวม ๔ คน เปนความสัจจริงข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายน้อยพรหม พระยาอภัยรณฤทธิเปนผู้บังคับถาม
๏ ข้าพเจ้าอ้ายน้อยพรหมให้การว่า อายุได้ ๒๖ ปี บิดาอ้ายน้อยพรหมชื่อนายพรหมมา มารดาชื่อ อำแดงมา ตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ บ้านแซร่ แขวงเมืองเชียงขวาง แต่บิดามารดาอ้ายน้อยพรหมตายแต่อายุอ้ายน้อยพรหมได้เก้าปี อ้ายน้อยพรหมอยู่กับอีหมาพี่หญิงอ้ายน้อยพรหม เดิม ณ เดือนเก้า ปีจอฉศก อ้ายน้อยพรหมอยู่บ้านอ้ายน้อยพรหม ๆ ทราบความว่า อ้ายลิวซิกอแม่ทัพกับพวกห้อประมาณ ๗๐๐ เสศ ยกมาตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งเชียงคำริมบ้านคอน แขวงเมืองเชียงขวาง ห่างกับบ้านแซร่ทางสองคืน เจ้าท้ายติยะเจ้าเมืองเชียงคำกับพวกลาวเชาบ้านภากันเอาเงินเรือนละเจดตำลึงกึ่งเอาไปเสียให้กับอ้ายพวกห้อ ๆ ก็รับเอาเงินไว้ แล้วทำหนังสือสำหรับตัวให้ไว้ว่าได้เสียเงินให้แล้ว เรือนไหนไม่มีเงินจะให้อ้ายพวกห้อ ๆ ก็จับฆ่าเสีย แล้วเจ้าเมืองเชียงขวางทราบความว่าเจ้าเมืองเชียงคำเข้ากับอ้ายพวกห้อ เจ้าเมืองเชียงขวางจึ่งเกณฑคนบ้านแซร่กับคนเมืองเชียงขวาง ๑๔๐๐ คนให้เจ้าข่วงหอน่าเปนแม่ทัพ ยกไปรบกับอ้ายพวกห้อที่ทุ่งเชียงคำ อ้ายพวกห้อฆ่าเจ้าข่องหอหน้าตายกลางทัพ พวกไพร่แตกหนีกลับเข้ามาเมืองเชียงขวาง เจ้าเมืองเชียงขวางจึ่งเกณฑคนในเมืองเชียงขวางกับคนบ้านแซร่ไปกับเจ้าเมืองเชียงขวางรบกับอ้ายพวกห้อ เจ้าเมืองเชียงขวางฆ่าไพร่อ้ายพวกห้อตายบ้าง ประมาณหลายร้อยคน อ้ายพวกห้อฆ่าเจ้าเมืองเชียงขวางตายในกลางทัพ แล้วฆ่าพวกไพร่ตายบ้าง จับไปบ้าง แล้วอ้ายพวกห้อก็ยกทัพกลับจากทุ่งเชียงคำเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองเชียงขวาง จับพวกไพร่ได้แล้วเขียนเร่งเอาเงินถ้าไม่มีเงินให้แล้วอ้ายพวกห้อฆ่าเสีย แต่อ้ายน้อยพรหมกับพวกอ้ายน้อยพรหมหนีไปอยู่ที่บ้านตูห่างกับเมืองเชียงขวางทางวันหนึ่ง อ้ายพวกห้อตามทันอ้ายน้อยพรหมจับอ้ายน้อยพรหมกับอ้ายฃันพี่เขยอีหมาพี่หญิง อ้ายน้อยพรหมกับอ้ายเชียงขันอ้ายพิลาเชาบ้านที่หนีไปอยู่กับอ้ายน้อยพรหม อ้ายพวกห้อจับเอามาไว้ในเมืองเชียงขวาง ตัวอ้ายน้อยพรหมใช้ให้เลี้ยงม้า ๖๐ ม้า กับเกี่ยวหญ้าให้ม้ากิน แต่อ้ายขันพี่เฃยอีหมาพี่หญิง อ้ายน้อยพรหมกับอ้ายเชียงขัน อ้ายพิลา อ้ายพวกห้อฆ่าเสียที่เมืองเชียงขวางเหลือคนทั้งชายหญิงสัก ๕๐ คนเสศ อ้ายพวกห้อหาได้ฆ่าไม่ แต่ที่มีเงินถ่ายอ้ายพวกห้อปล่อยไปนั้น จะมากน้อยเท่าใดอ้ายน้อยพรหมไม่ทราบ ครั้น ณ เดือนหก ปีกุนสัปตศก อ้ายลิวซิกอแม่ทัพฃี่ม้าเดินนำน่า อ้ายทรับกอฃี่ลาเปนที่สอง กับอ้ายพวกห้อไพร่ประมาณ ๓๐๐ คนเสศถือปืนดาบศิลาครบมือกัน ฃี่ม้าบ้าง ไม่ได้ฃี่ม้าบ้างประมาณ ๒๐๐ ม้า ตามหลังอ้ายลิวซิกอไป แต่พวกลาวทรงดำ ลาวแกว ลาวเชียงขวางประมาณ ๔๐๐ คน กับอ้ายน้อยพรหม อ้ายลิวซิกอให้หาบเสบียงอาหาร ตามส่งบ้างเลี้ยงม้าบ้าง รวมคน ๗๐๐ คน ยกออกจากเมืองเชียงขวาง ทาง ๑๐ วัน ถึงบ้านซ่อน แขวงเมืองหนองคาย อ้ายพวกห้อตีพวกบ้านซ่อนแตกจับได้อ้ายหอมกับอ้ายผู้มีชื่อหลายคน แล้วเกบเสบียงอาหารให้พวกลาวทรงดำ ลาวแกว ลาวเชียงขวางหาบตามมา แล้วอ้ายพวกห้ออกจากบ้านซ่อนมาทาง ๕ วัน ถึงบ้านโพนทา แขวงเมืองหนองคาย ห่างกับเมืองหนองคายทาง ๕ วัน อ้ายพวกห้อตีพวกบ้านโพนทาแตกเกบเสบียงอาหารได้แล้ว อ้ายลิวซิกอแม่ทัพให้อ้ายพวกห้อตัดไม้เลาโต ๒ กำ ปักทำเสาค่ายอ้อมบ้านโพนทาไว้ กว้าง ๒ เส้นเสศ ยาว ๒ เส้นเสศ เปน ๔ เหลี่ยมสูง ๗ ศอก ๘ ศอกตั้งอยู่ที่บ้านโพนทา ๑๐ วัน อ้ายน้อยพรหมมาทราบความว่า เจ้าราชบุตรเมืองหนองคายกับไพร่เมืองหนองคายจะมากน้อยเท่าใดอ้ายน้อยพรหมหาทราบไม่ ยกไปตั้งค่ายอยู่บ้านปากทางเหนือเมืองเวียงจันห่างบ้านโพนทาทาง ๒ วัน ครั้น ณ เดือนแปด ขึ้นห้าค่ำ ปีกุนสัปตศก อ้ายลิวซีกอแม่ทัพ กับอ้ายพวกห้อยกไปรบกับเจ้าราชบุตรเมืองหนองคายที่ค่ายปากทางรบ กันอยู่ครึ่งวันเจ้าราชบุตรแตกถอยไปตั้งค่ายอยู่เมืองหนองคาย พวกลาวเมืองเวียงจันพากันเอาเงินมาเสียให้กับอ้ายลิวซิกอถ่ายโทษตัว อ้ายลิวซิกอแม่ทัพให้พวกลาวเวียงจัน ลาวเชียงขวาง ลาวทรงดำ ลาวแกว ตัดตันหมากทำเสาค่ายอยู่ที่วัดจันในเมืองเวียงจัน ยาวเส้นหนึ่ง กว้างเส้นหนึ่ง เปน ๔ เหลี่ยมสูง ๔ ศอก อ้ายลิวซิกอแม่ทัพให้อ้ายพวกห้ออาไศรยอยู่ตามกุฎีพระสงฆบ้าง ตามบ้านร้างบ้าง อ้ายลิวซิกอแม่ทัพให้อ้ายพวกห้อเกบเอาพระเงิน พระทอง พระนาคตามวัดมาลอกเอาเงิน เอาทอง เอานาค หลอมขายเอาเงินซื้อยาฝิ่นบ้าง ซื้อสุราบ้าง สู่กันกินตามอ้ายพวกห้อ ครั้น ณ เดือนเก้า ข้างแรม ๆ กี่ค่ำจำไม่ได้ ปีกุนสัปตศก อ้ายลิวซิกอแม่ทัพ กับอ้ายพวกห้อไพร่ประมาณ ๔๐ คนเสศ ยกไปตีเมืองคานแขวงเมืองหลวงพบาง ทางสักกี่วันอ้ายน้อยพรหมไม่ทราบ อ้ายน้อยพรหมอยู่รักษาค่ายหาได้ไปด้วยไม่ ได้ประมาณ ๑๔ วัน อ้ายลิกอแม่ทัพกับอ้ายพวกห้อไพร่กลับมาที่ค่ายเวียงจัน อ้ายน้อยพรหมเหนจับได้ชายหญิงพวกเมืองคานมาประมาณ ๔๐ คน อ้ายลิวซิกอแม่ทัพใช้ให้อ้ายน้อยพรหมเกี่ยวหญ้าเลี้ยงม้าอยู่ที่ค่ายในเมืองเวียงจัน อ้ายน้อยพรหมหาได้ไปอยู่ที่ค่ายโพนทาไม่ ครั้น ณ เดือนสิบเอดขึ้นค่ำหนึ่ง ปีกุนสัปตศก อ้ายน้อยพรหมเหนกองทัพไทยยกขึ้นไปตีอ้ายพวกห้อที่ตั้งค่ายอยู่ในเมืองเวียงจัน กองทัพไทยกับอ้าย พวกห้อกำลังรบกันอยู่ อ้ายน้อยพรหมก็หนีอ้ายพวกห้อออกจากค่าย เที่ยวไปอาไศรยอยู่บ้านโชกห่างกับเมืองเวียงจันทางครึ่งวัน ครั้น ณ เดือนสิบเอดฃึ้นสองค่ำ ปีกุนสัปตศก เวลาเช้าอ้ายน้อยพรหมทราบว่า อ้ายพวกห้อแตกหนีไป กองทัพไทยตามไปจับอ้ายน้อยพรหมได้ที่บ้านโขกเอาอ้ายน้อยพรหมใส่ตะโหงกไปไว้ในเมืองเวียงจันได้วันหนึ่ง ครั้น ณ เดือนสิบเบด ขึ้นสามค่ำ ปีกุนสัปตศก พวกลาวเมืองเขมราชเอาอ้ายน้อยพรหมกับอ้ายจันแก้ว อ้ายยาลงมาส่งกับพระยามหาอำมาตยที่เมืองหนองคาย พระยามหาอำมาตยเอาอ้ายน้อยพรหมจำตะโหงกไว้ที่เมืองหนองคายได้เดือนหนึ่งก็เอาตัวอ้ายน้อยพรหมส่งมา ณ กรุงเทพฯ เปนความสัจจริงสิ้นคำให้การอ้ายน้อยพรหมแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายอาหลี พระยาอภัยรณฤทธิเปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายอาหลีให้การว่า ฃ้าพเจ้าเปนลาวทรงดำอายุได้ ๒๖ ปี บิดาชื่อ บาลด มารดาชื่อ อียิง ตายได้สามปีแล้ว ฃ้าพเจ้าตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านไฮแขวงเมืองลาใหญ่ ๆ ขึ้นอยู่กับเมืองแกวเดิม ณ เดือน ๘ ปีจอฉศก ห้อชื่อ ลิวซิ ที่ ๑ ลีซับ ที่ ๒ เจงมาน ที่ ๓ เปนแม่ทัพคุมพวกห้อประมาณ ๓๐๐ คนถือปืน หอก ดาบ บ้าง ครบมือกันมาทางเมืองอิดอองค่ามแม่น้ำแต่มาถึงเมืองลาใหญ่เวลาดึกประมาณ ๒ ยามเสศ ลิวซี ลีซับ เจงมาน คุมพวกห้อประมาณ ๓๐๐ คนเสศเฃ้าตีเมืองลาใหญ่ จนถึงเวลาใกล้รุ่งพวกเมืองลาแตก ฃ้าพเจ้ากับชาวเมืองลา ๕ คนภากันหนีไปซ่อนอยู่ที่ซอกเขาผาห่างเมืองลาใหญ่ครึ่งวัน อยู่ได้ ๑๐ วัน พวกห้อไปจับ ฃ้าพเจ้าได้มาแต่ผู้เดียวไส่ตโหงกผูกมือคุมไว้ที่บ้านตง ๆ นั้นมีเรือน ๑๐ หลังห่างเมืองลาทางครึ่งวัน พวกห้อ ๓๐๐ คน เฃ้าพักอยู่ที่บ้านเรือนบ้านดงเจ้าฃองเรือนหนีไปหมด ฃ้าพเจ้าอยู่ที่บ้านดงได้ ๕ วัน พวกห้อตัดผมฃ้าพเจ้าให้เปนผมห้อแล้วส่งเฃ้ามาในเมืองลาใหญ่ ฃ้าพเจ้าเหนพวกห้อจับลาวเมืองลาใหญ่ไว้ได้ ๔๐ คน ๕๐ คน แต่เครื่องสาตราวุธปืน ลูกกระสุนดินดำ ในเมืองลาใหญ่นั้นพวกห้อจะเกบเอาไว้ได้มากน้อยเท่าใดฃ้าพเจ้าไม่ทราบ ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองลาใหญ่ได้ ๕ วัน ยิบใต้ ซินใต้ เปนแม่ทัพใหญ่คุมพวกห้อไพร่ ๓๐๐๐ คนยกมาทางเมืองอิดออง ค่ามแม่น้ำแตมาเมืองลาใหญ่ สมทบกันกับลิวซี ลีซับ เจงมาน เข้าอยู่ในเมืองลาใหญ่แล้ว ยิบใต้ ซินใต้ เรียกเอาเงินกับพวกลาวเมืองลาที่จับไว้ได้ ๔๐ คน ๕๐ คนนั้นเรือนละสามเหรียน ๆ ละสิบสลึงเปนเรือน ๔๐ หลัง แล้วพวกฮ่อมอบม้า ๕ ม้ากับคนชาวเมืองลาใหญ่ ๕ คนไว้สำหรับให้ฃ้าพเจ้าใช้เกี่ยวหญ้าให้ม้ากินบ้างใช้ให้ตักน้ำ ตำเข้า หุงเข้าให้พวกฮ่อ ๖ คนที่จับฃ้าพเจ้ามาได้นั้นกินบ้าง แล้วยิบใต้ซินใต้ เกณฑพวกฮ่อแลพวกชาวเมืองลาใหญ่ตัดไม้แก่นบ้าง ไม้ไผ่บ้าง ปักล้อมเรือน ๓๐ เรือนสามชั้นทำเปนค่ายกว้าง ๔๐ วา ยาว ๔๐ วา สูง ๔ วา แล้วฃุดเปนสนามเพลาะรอบค่าย เปนคูลึกสองศอกเสศ ชั้นในถมดินเปนเชิงเหิน สามเดือนจึ่งทำค่ายแล้ว แต่เสบียงอาหารนั้นพวกฮ่อได้เอาฃองชาวบ้านในเมืองลาใหญ่เปนเสบียงกินมา ตั้งแต่ ณ เดือน ๘ ปีจอฉศกจนถึง ณ เดือน ๓ ได้เจ็ดเดือนยิบใต้ ซินใต้ ใช้ให้ลิวซิ ลีซับ ๒ คนเปนแม่ทัพคุมพวกฮ่อไพร่ ๕๐๐ คนยกไปเมืองเวียงจัน ลิวซี ไส่กังเกงศรีน้ำเงิน สวมเสื้อดำ หมวกสานใหญ่ ถือปืนแฃนเสื้อแฝด ฃี่ม้าเดิรน่าทัพ มีทหาร ๑๐ คนไม่รู้จักชื่อกับพวกไพร่ ๖๐ คน ไส่เสื้อกังเกงศรีต่าง ๆ ตภายปืนครบชุด ขัดดาบฃี่ม้าตามหลังลิวซี พวกฮ่อพรอีก ๔๑๐ คนขัดดาบ ถือปืนครบมือกันตามหลังม้า แต่ลีซับกับเจ็งมานไส่เสื้อเขียว กังเกงดา ไส่หมวกสานใหญ่ ถือปืนแฝดแฃนเสื้อ ฃี่ลาตามหลังทัพ แต่ฃ้าพเจ้ากับพวกลาวชาวเมืองลาประมาณ ๖๐ คนนั้นพวกฮ่อจัดเอาเสบียงในเมืองลาให้พวกฃ้าพเจ้า ๖๐ คน หาบเสบียง แล้วให้ฃ้าพเจ้าหาบเสบียงตามหลังพวกฃ้าพเจ้า ๖๐ คน ฮ่อชื่ออาซัดคุมฃ้าพเจ้า พวกฃ้าพเจ้าไปค่างหลัง อีกคนหนึ่งเดินทางไปภบบ้านใด พวกชาวบ้านออกรับหาบหาเสบียงให้ทุกระยะบ้านไป ๆ ได้ ๑๐ วัน ถึงเมืองเชียงฃวางกองทัพพักอยู่ได้ ๕ วัน กองทัพยกจากเมืองเชียงขวางเกบเสบียงอาหารชาวบ้านตามระยะทางไปได้ ๑๕ วัน ถึงบ้านนาเลาประมาณยี่สิบหลังเรือน แต่เจ้าฃองเรือนนั้นหนีไปพวกกองทัพก็อาไศรยอยู่ในบ้านเรือนเหล่านั้น เกบเสบียงอาหารชาวบ้านนาเลามาเปนเสบียงพวกกองทัพแต่สาตราวุธแลทรัพยสิ่งของทองเงินนั้นหามีไม่ กองทัพพักอยู่ที่บ้านนาเลาได้สองคืนแล้วยกไปอยู่บ้านพวนตาชาวบ้านก็หนีไป ลิวซีลีซับไว้พวกกองทัพตัดไม้ไผ่ปักล้อมเรือนสามหลังเข้าไว้เปนค่ายอยู่ได้๑๕ วัน ลิวซิ ลีซับ กับพวกฮ่อ ๔๖๐ คนถือปืนคาบศิลา ๕๕ บอกกับปืนหามแล่น ๒ บอก ถือหอกดาบบ้าง ยกไปจากค่ายบ้านพวนตาไปเมืองเวียงจัน แต่ข้าพเจ้ากับพวกฃ้าพเจ้าห้าคนแลพวกฮ่อ ๖ คน แกว ๑๘ คน กับเครื่องสาตราวุธปืนหามแล่นบอก ๑ ปืนคาบสิลา ๕ บอก หอกดาบบ้างครบมือกันอยู่รักษาค่ายที่บ้านพวนตาได้ ๔ เดือน กองทัพพวกไทยยกไปตีค่ายบ้านพวนตาที่ฃ้าพเจ้ารักษาอยู่นั้นแตก กองทัพพวกไทยจึ่งจับข้าพเจ้ามา เปนความสัตยจริงสิ้นคำให้การฃ้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายอิน พระยาอภัยรณฤทธิเปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายอินให้การว่าอายุ ๒๕ ปี ฃ้าพเจ้าเปนลาวพวนเมืองขวาง บิดามารดาฃ้าพเจ้าตายแต่อายุได้ ๒๑ ปี ฃ้าพเจ้ามีพี่ชายสองคนน้องสาวคนหนึ่ง อ้ายห้อฆ่าตายเสียแล้ว ครั้น ณ เดือนเก้า ปีจอฉศก อ้ายเลยีวจิกอ ที่ ๑ อายุ ๓๐ ปีเสศ อ้ายสับกอที่สองอายุ ๕๐ ปีเสศ อ้ายโฮงกอที่สามอายุ ๔๐ ปีเสศเปนนายคุมพวกฮ่อประมาณ ๒๕๐๐ ถือปืนคาบสิลาประมาณ ๑๐๐๐ บอก กับหอกดาบประมาณ ๑๕๐๐ เล่ม กับม้า ๒๐๐ ม้าเสศ กับลาตัวหนึ่ง มาตั้งค่ายอยู่ ณ ทุ่งเชียงคำได้ประมาณเดือนเสศ ครั้น ณ เดือนสิบสอง ปีจอฉศก เจ้าหัวหน้าเกณฑลาวพวนได้ ๑๕๐๐ คน ออกรบกับอ้ายฮ่อที่ทุ่งเชียงคำอ้ายเสยีวจิกอ สวมหมวกยิปุ่นดำ เสื้อแพรดำ กังเกงดำ ถือหอกเล่มหนึ่งสะภายปืนแฝตเหนบมีต ๒ เล่ม ฃี่ม้า อ้ายสับกอสวมหมวกยิปุ่นดำ เสื้อแพรดำ กังเกงดำ ถือหอกเล่มหนึ่งสะภายปืนแฝตเหน็บมีต ๒ เล่ม ฃี่ลา อ้ายโฮงกอสวมหมวกยิปุ่นดำ สวมเสื้อแพรดำ กังเกงดำ ถือหอกสะภายปืนแฝตเหนบมีต ๒ เล่ม ฃี่ม้า มีทหารฃี่ม้านำหน้าถือหอกสะภายปืนคาบสิลาเหนบมีด ๔๐ ม้า ออกรบเจ้าหัวหน้า แต่พวกอ้ายฮ่อหนูนยกตามไปประมาณ ๑๐๐๐ เสศ รบกันอยู่เวลาหนึ่งเจ้าหัวหน้าตายในที่รบ พวกพรวนเตากลับมาในเมืองเชียงขวาง แล้วเจ้าหลวงเมืองเชียงขวางให้ท้าวเพี้ย ไปฃอคนเมืองแกวให้มาช่วยเจ้าเมืองแกวแต่งให้กวานหลวงบาง ให้กวานติลก ให้กวานเทิงว่าเปนนายคุมพวกแกว ๑๕๐๐ มาตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งผู้บาลห่างกับค่ายอ้ายฮ่อ ๕๐ เส้นเสศ เจ้าหลวงยกลาวพรวน ๑๕๐๐ ไปบันจบพวกแกว รวมคน ๓๐๐๐ เสศภักตั้งมั่นอยู่กับพวกแกวได้ ๒ เวลา เจ้าหลวงกับกวานหลวงบาง กวานติลก กวานเทิงวา จึ่งยกออกตีอ้ายฮ่อที่ค่ายทุ่งเชียงคำได้ ๒ เวลาเจ้าหลวงถูกปืนตายในที่รบ ไพร่พวนไพร่แกวตายในที่รบ ๖๐ เสศ แล้วกวานหลวงบาง กวานติลก กวานเทิงวาก็ภากันกลับไปเมืองแกว แต่พวกลาวพรวนที่ยกไปกับเจ้าหลวงเหลืออยู่ ๑๔๘๐ เสศ ภากันหนีแยกทางไปทางเมืองหลวงพบางบ้าง เมืองแกวบ้าง อ้ายฮ่อก็เข้าอยู่ในเมืองเชียงขวาง เกบเสบียงอาหาร จับได้ฃ้าพเจ้ากับชายหญิงในเมืองเชียงขวางได้ประมาณ ๑๐๐ เสศอ้ายฮ่อแบ่งไว้ที่ทุ่งเชียงคำ ๓๐ คน อ้ายฮ่อคุมครัวพรวนกับข้าพเจ้าอยู่ในเมืองเชียงขวางได้เดือนเสศ อ้ายฮ่อรื้อทลายพระเจดียตามวัดได้ขันดีบุกไส่พระพุทธรูปเงินดีบุกเปนอันมาก แล้วอ้ายฮ่อเอาดีบุกหลอมไส่ปล้องไม้ตัดเปนกระสุนปืน แล้วอ้ายฮ่อจับเอาตัวกวานจางวางผู้รักษาดินดำเมืองเชียงขวาง กวานจางวางก็เอาดินดำให้อ้ายฮ่อแต่จะเปนดินดำมากน้อยเท่าไรข้าพเจ้าไม่ทราบ ครั้น ณ เดือนยี่ ปีจอฉศก อ้ายเลียวสิกอ สับกอ อ้ายโฮงกอ ตัวนายฃี่ม้าฃี่ลาคุมอ้ายฮ่อกับคนเมืองเชียงฮุงเมืองเชียงขวางที่อ้ายฮ่อตีได้รวมกันประมาณ ๘๐๐ คน แต่พวกอ้ายฮ่อเข้าอยู่ในเมืองเชียงขวางประมาณ ๑๕๐ เสศ อ้ายฮ่อให้ข้าพเจ้าหาบเสบียงตามไปถึงเมืองเชียงแสนอ้ายฮ่อยกจะเข้าตีเมืองเชียงแสน ๆ หาสู้รบไม่ แต่งให้ท้าวเพี้ยเอาเงินแน่น ๑๐๐ แน่นออกไปให้อ้ายฮ่อ ๆ รับเอาเงินไว้แล้ว ๆ ภักตั้งอยู่ลาดห่วงรวมเสบียงอาหารอยู่ได้เดือนเสศ แล้วอ้ายฮ่อยกไปตีเมืองซุ่ย ๆ ภาครัวอพยบไป อ้ายฮ่อเข้าเกบเสบียงอาหารจับได้ชายหญิง ๓๐ คน อ้ายฮ่อภักอยู่ในเมืองซุ่ยได้เดือนเสศ แล้วยกเดินมาทาง ๑๐ วันถึงบ้านซ่อนจับได้ชาย ๕ คนกับเสบียงอาหารภักอยู่ ๑๐ วัน แล้วยกเดินมาทาง ๔ วัน ถึงบ้านโพนทาภักคนรวมเสบียงอาหารอยู่ ๑๐ วัน แล้วยกจากบ้านโพนทาเดินทาง ๒ วันถึงน้ำเกลียงภักตั้งค่ายอยู่บ้านน้ำเกลียงแล้วอ้ายฮ่อให้อ้ายตี้ทัรพเปนนายฮ่อ รักษาค่ายคุมคัรวอยู่ แต่อ้ายเลยีวจิก่อ แต่อ้ายสับก่อ แต่อ้ายโฮงก่อ ขี่ม้าขี่ลาคุมทหาร ๔๐ เสศ ยกไปตีเจ้าราชบุตรเมืองหนองคายซึ่งตั้งอยู่ปากทางรบกันได้เวลาหนึ่ง เจ้าราชบุตรแตกทิ้งค่ายหนีไปตั้งค่ายอยู่หนองคาย แล้วอ้ายเลยีวจีก่อใช้ให้แกวที่จับได้ขี่ม้า ๓ ม้ากลับไปค่ายบ้านน้ำเกลียงบอกอ้ายตี้ทรัพให้กวาดครัวเกบเสบียงอาหารในค่ายยกตามไปเมืองเวียงจัน ครั้นยกไปพร้อมกันที่เมืองเวียงจัน แล้ว ๆ อ้ายฮ่อเกณฑฃ้าพเจ้ากับพวกที่ตีได้นั้นตัดไม้หมากตั้งค่ายภักอยู่ได้ ๕ วัน แล้วอ้ายเลียวจีก่อแต่งให้อ้ายโดวางเปนนายคุมพวกฮ่อประมาณ ๘๐ คน ม้าฮ่อประมาณ ๓๐ ม้า เสศยกไปทาง ๗ วันถึงเมืองเชียงค้าน พวกเมืองเชียงค้านภาครัวอพยบไป พวกอ้ายฮ่อเกบครัวกับเสบียงอาหารได้แล้ว ๆ กลับมาเมืองเวียงจันภักคน ภักม้า ภักลา รวมเสบียงอาหารอยู่ได้ ๓ เดือนเสศ อ้ายฮ่อใช้ข้าพเจ้ากับพวกข้าพเจ้าเลี้ยงม้า ๖๐ เสศในค่าย ครั้น ณ เดือน ๑๑ ขึ้น สองค่ำ ปีกุนสับตศก กองทัพหลวงยกขึ้นไปตีค่ายอ้ายฮ่อที่เวียงจัน ในเวลาเช้า ๓ โมงเสศไปจนเวลาทุ่มเสศ อ้ายฮ่อแตกกระจัตกระจายตายในที่รบเปนอันมาก กองทัพหลวงจับได้ พวกอ้ายฮ่อ ๑๘ คนกับฃ้าพเจ้ากับครัวแกว ครัวพรวน ไทยทรงดำ ทรงขาว เชียงฆ้อ รวม ๔๓ คน ส่งลงมา ณ กรุงเทพฯ เปนความสัตยจริงแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายอุ่น พระยาพิพิธโภไคยเปนผู้บังคับถาม
๏ อ้ายอุ่นให้การว่า อายุได้สิบแปดปี บิดาชื่อนายอุด มารดาชื่ออำแดงปาด บิดามารดาอ้ายอุ่นเปนลาว ตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองลาน้อย ครั้นปีรกาเบญจศก บิดามารดาอ้ายอุ่นภากันยกมาอยู่เมืองม้วย เมืองขึ้นเมืองแกว ณ เดือนแปด ปีจอฉศก เวลาค่ำประมาณยามเสศ พวกห้อประมาณ ๑๕๐๐ คน ยกมาตีเมืองม้วยแตก แล้วพวกกองทัพห้อจับเอาตัวอ้ายอุ่นส่งมาเมืองลา เมื่อทัพห้อมาตั้งอยู่เมืองเวียงจันแล้วกองทัพไทยยกไปรบนั้นอ้ายอุ่นหาได้ทราบไม่ พวกห้อที่อยู่รักษาเมืองลาคุมอ้ายอุ่นให้ไปเกี่ยวหญ้าม้าที่ในป่าแขวงเมืองลาทุกวัน ภอพวกกองทัพไทยภบอ้ายอุ่นก็จับตัวอ้ายอุ่นกับพวกห้อคนหนึ่ง ที่คุมอ้ายอุ่นมาเกี่ยวหญ้าจับหาได้ไม่หนีไปได้ จับได้แต่อ้ายอุ่นมาส่งแก่กองทัพไทยในเมืองเวียงจันเก่า แต่พวกกองทัพห้อที่แตกกองทัพไทยไปจะไปตั้งอยู่ที่ใดอ้ายอุ่นไม่ได้ทราบ ๚ะ
เล่มที่ ๓ นำเบอร์ ๕๗ วันอาทิตย เดือน ๖ แรม ๗ ค่ำ
ปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘ แผ่นที่ ๘
คำให้การอ้ายเบา พระยาพิพิธโภไคยเปนผู้บังคับถาม
๏ อ้ายเบาให้การว่า อายุได้ ๒๐ ปี ชื่อจีนซาม มารดาชื่ออำแดงยก บิดาอ้ายเบาเปนจีนแซ่อึง มารดาอ้ายเบาเปนลาว ตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองน่าน เดิมเดือน ๘ ปีกุนสัปตศก อ้ายจีนเบาเอายาแดงบันทุกต่างจากเมืองน่านจะมาจำหน่ายที่เมืองพวนหนทาง ๘ เดือน อ้ายจีนเบาหารู้ว่าพวกฮ่อยกทัพเข้าตีเมืองพวนแตกไม่ อ้ายจีนเบาฃับโคต่างถึงเมืองพวนพวกห้อที่อยู่รักษาเมืองพวนประมาณ ๒๐ คน ก็เฃ้าจับเอาตัวอ้ายจีนเบาแล้วรีบเอาโคต่างกับยาแดงของอ้ายจีนเบาไป คิดเปนเงินราคายาแดงเปนเงินชั่งหนึ่ง อ้ายจีนเบาจึ่งได้รู้ว่าพวกห้อภากันยกมาตีเมืองพวนแตกแล้ว ขนเอาผู้คนเสบียงอาหารได้แล้ว ภากันยกไปตั้งอยู่เมืองเวียงจัน แต่แม่ทัพนายกองพวกห้อนั้นอ้ายจีนเบาหารู้จักไม่ อ้ายจีนเบาอยู่ที่เมืองพวนได้หกวันภวกห้อจึ่งเอาตัวอ้ายจีนเบาส่งมาเมืองโพนทานาเลาเปนเมืองขึ้นหนองคาย พวกห้อที่อยู่รักษาเมืองโพนทานาเลา ๕๐ เสศ ก็ใช้ให้อ้ายจีนเบาเกี่ยวหญ้า เลี้ยงม้าอยู่ที่ทุ่งนาบ้านโพนทานาเลา กองทัพไทยภากันจับอ้ายจีนเบามาส่งยังกองทัพไทยในเมืองเวียงจันแต่พวกกองทัพห้อนั้นจะยกไปตั้งภักอยู่เมืองใหนอ้ายจีนเบาหาทราบไม่ อ้ายจีนเบาเปนคนเกี่ยวหญ้าม้าหาได้เข้ารบไม่ ๚ะ
คำให้การอ้ายยด พระยาพิพิธโภไคยเปนผู้บังคับถาม
๏ อ้ายยดให้การว่า อายุได้เท่าใดจำไม่ได้ประมาณ ๒๓ ปี บิดาชื่อนายติน มารดาชื่ออำแดงดัน อ้ายยดตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองมวยเปนเมืองขึ้นเมืองแกว อ้ายยดเปนพวกพูไทย เดีมปีรกาเบญจศก ลิวซิกอเปนแม่ทัพภากันยกมาประมาณคน ๒๐๐๐ เสศ ๓๐๐๐ เสศ มีปืนบ้าง มีดาบบ้าง มาตั้งล้อมเมืองมวยไว้ได้ถึง ๗ เดือน เจ้ายาติเจ้าเมืองมวยได้รบสู้กันหลายครั้ง แต่คนในเมืองมวยทั้งชายหญิงประมาณ ๑๐๐๐ เสศ เจ้ายาติทนมิได้แตกล่าหนีเฃ้าป่าไป แต่บิดามารดาอ้ายยดลิวซิกอจับฆ่าเสีย อ้ายยดหนีเข้าป่าไปพวกห้อตามจับตัวอ้ายยดกับอ้ายมีชื่ออีกหลายคน แล้วกองทัพห้อขนเอาเสบียงอาหารผู้คนครอบครัวในเมืองมวยได้แล้วก็ภากันยกมาเมืองเวียงจันแล้ว พวกห้อที่เหลืออยู่ในเมืองมวยจึ่งให้อ้ายยดกับอ้ายมีชื่ออีกหลายคนหาบเสบียงมาส่งกองทัพห้อที่เมืองเวียงจัน ณ เดือนแปด ปีกุนสัปตศก พวกห้อใช้ให้อ้ายยดลงมาตักน้ำที่แม่น้ำเมืองเวียงจัน กองทัพไทยประมาณ ๓๐ คน ภากันล้อมจับเอาตัวอ้ายยดมาส่งกับกองทัพไทยที่เมืองเวียงจัน แต่เมื่อลิวซีกอยกมาตีเมืองหนองคายแต่เมื่อไรนั้นอ้ายยดหารู้ไม่ อ้ายยดเปนแต่พวกห้อใช้ให้หาบเสบียงส่งหาได้เกณฑเข้าไปกองรบไม่ บัดนี้ลิวซีกอจะยกหนีไปภักอยู่ที่เมืองใด อ้ายยดไม่ได้ทราบ ๚ะ
คำให้การอ้ายบาอาว พระยาพิพิธโภไคยเปนผู้บังคับถาม
๏ อ้ายบาอาวให้การว่า อายุใด้ ๓๐ ปี บิดาชื่อ คำ มารดาชื่อ เตก บิดามารดาอ้ายบาอาวเปนลาว ตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองแอดเปนเมืองขึ้นกับเมืองพวน เมื่อ ณ เดือนหก ปีจอฉศก อ้ายบาอาวกับบิดาน้องชาย อ้ายบาอาว ๒ คนภากันไปเฝ้าเฃ้าที่ไร่ พวกห้อประมาณ ๓๐ คน ภบจับตัวอ้ายบาอาวกับบิดาแต่น้องชายอ้ายบาอาว ๒ คนพวกห้อฆ่าเสีย จับตัวอ้ายบาอาวส่งมาเมืองตึก ๆ เปนเมืองขึ้นเมืองแกว แต่บิดาอ้ายบาอาวพวกห้อจะส่งไปค่างไหนอ้ายบาอาวหารู้ไม่ พวกห้อคุมอ้ายบาอาวให้มาตักน้ำในหนองเนือง ๆ มิได้ขาด กองทัพไทยประมาณ ๓๐ คนภบอ้ายบาอาวไล่จับตัวอ้ายบาอาวกับห้อที่คุมมา ๒ คนจับห้อหาได้ไม่วิ่งหนีไปได้ จับได้แต่ตัวอ้ายบาอาวมาส่งให้กองทัพไทยที่อยู่รักษาเมืองเวียงจัน แลทัพไทยกับพวกห้อจะรบกันแต่เมื่อไรนั้นอ้ายบาอาวหาได้รู้ไม่ อ้ายบาอาวเปนคนสำหรับใช้ของพวกห้อ ๆ หาได้เกณฑอ้ายบาอาวเข้ากองรบไม่ อ้ายบาอาวจึ่งมิได้รู้จักนายทัพ นายกอง พวกห้อ แล้วหาได้รู้ว่าทัพพวกห้อแตกทัพไทยหนีไปจะไปอยู่เมืองใดอ้ายบาอาวไม่ทราบ ๚ะ
คำให้การอ้ายเหียนลาว พระยากระลาโหมราชเสนา เปนผู้บังคับถาม
๏ อ้ายเหียนลาวให้การว่า อายุได้ ๓๓ ปี บิดาชื่อ เตาแง มารดาชื่อ แมชึง ภรรยาชื่อ แมหัด บุตรอ้ายเหียนชายคนหนึ่งอายุได้ ๑๓ ปีชื่อบาหัด อ้ายเหียนลาวตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านม่วงแง แขวงเมืองพึงตึกขึ้นเมืองแกว บิดามารดาภรรยาบุตรอ้ายเหียน ตัวอ้ายเหียนเปนลาวไว้ผมยาว เดิมเมื่ออายุอ้ายเหียนได้ ๓๐ ปี ลิวซิกอ หลีสับห้อนายทัพ ซัมซิวเยห้อเสมียนทัพรวมนายไพร่ ๑๐๐๐ หนึ่ง มีปืนลัก ปืนคาบสิลา หอก ดาบ อาวุธครบมือกัน เมื่อ ณ วันเดือนสี่ ปีรกาเบญจศก พวกห้อยกกองทัพมาจากป่ากองเมือง แขวงเมืองแกว มาตั้งค่ายอยู่บ้านจ่อ แขวงเมืองตึก ครั้นเวลาประมาณยามเสศ พวกห้อนายไพร่ยกกองทัพเข้าล้อมตีปล้นราษฎรชาวบ้านในแขวงเมืองตึก เจ้าเมืองกรมการเกณฑนายไพร่ออกสู้รบกับห้อตั้งแต่เวลาเช้าจนถึงเวลาค่ำวันหนึ่ง เจ้าเมืองกรมการนายไพร่เมืองตึกทนกำลังไม่ได้เจ้าเมืองกรมการทิ้งเมืองตึกเสีย เจ้าเมืองกรมการภาครอบครัวราษฎรชาวบ้านล่าหนีห้อไปอยู่เมืองแกว แต่บันดาราษฎรชาวบ้านที่หลบลี้หนีไปไม่ทันพวกห้อก็ตีฟันฆ่าตายเสียบ้าง จับเอาหญิงชายชาวบ้านไปได้ประมาณ ๒๐ คนเสศ แต่บิดามารดาอ้ายเหียนพวกห้อฆ่าเสียแล้วซันซือเยเสมียนทัพจับเอาตัวอ้ายเหียนกับภรรยาบุตรอ้ายเหียนมาแต่บันดาราษฎรชาวบ้านที่พวกห้อตีจับเอาตัวไปได้นั้นคนผู้หญิงลิวสิกอนายทัพส่งไปไว้เมืองลาฃึ้นเมืองแกว แต่เครื่องสาตราอาวุธปืนดาบหอก แลเสบียงอาหารทรัพย์สิ่งของที่เมืองตึกพวกห้อเกบเอาไปเปนกำลัง พวกห้อตั้งค่ายอยู่ที่บ้านจ่อตั้งแต่ ณ วันเดือนสี่ ปีรกาเบญจศกมาจนถึง ณ วันเดือนสิบ ปีจอฉศก พวกห้อยังตั้งค่ายพักกองทัพอยู่บ้านจ่อแขวงเมืองตึก ครั้น ณ วันเดือนสิบเอด ปีจอฉศก เหียบต่ายห้อนายทัพกับไพร่ห้อประมาณ ๓๐๐ เสศ ซึ่งตีปล้นได้เมืองเชียงคงเมืองอาต แล้วเหียบตายมีหนังสือให้คนใช้มานัดให้ลิวซิกอยกกองทัพไปบันจบกับกองทัพเหียบตายที่เมืองเชียงคงขึ้นเมืองอาต ลิวซิกอรู้หนังสือเหียบตายนัดแล้ว ลิวซิกอกับพวกห้อนายไพร่จะยกกองทัพไปเมืองเชียงคงลิวซิกอนายทัพพวกห้อใช้ให้อ้ายเหียนกับลาวชาวบ้านเมืองตึกที่พวกห้อตีจับได้นั้น รวมกันชายแปดคนพวกห้อใช้ให้หาบเสบียงอาหารไปเปนกำลังกองทัพ พวกห้อยกกองทัพไปจากบ้านจ่อ แขวงเมืองตึก นอนทางภักเอาเสบียงอาหารกับชายหญิงราษฎรชาวบ้านแขวงเมืองตึกสี่คืนถึงเมืองเชียงคง ลิวซิกอกับเหียบตายนายทัพจะพูดจากันประการใดอ้ายเหียนหารู้ไม่ ครั้น ณ วันเดือนสิบสอง ปีจอฉศก ลิวซิกอจะไปตีเมืองพวนจึ่งจัดให้ไพร่ห้อกันนายร้อย รวมกันนายไพร่ ๑๗๐ คน ยกไปจากเมืองเชียงคงเปนกองน่าล่วงไปได้วันกับคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งฃึ้นเวลาเช้าลิวซิกอกับเสมียนทัพแลนายไพร่จึ่งยกกองทัพไปจากเมืองเชียงคงแต่เหียบตายนายไพร่ยังภักอยู่เมืองเชียงคงอ้ายเหียนกับชายลาวแปดคนก็หาบเสบียงอาหารไปเปนกำลังกองทัพถึงบ้านสพสารคืน ๑ ถึงบ้านสพแอดคืน ๑ ถึงกลางป่า ๒ คืน ถึงบ้านไทยคืน ๑ ถึงกลางป่า ๕ คืน แขวงเมืองแกวนอนทางสิบคืน ค่ามลำน้ำฃึ้นไปฝั่งตวันตก นอนกลางป่าสามคืนไปถึงปากน้ำสพฃึ้นนอนกลางดงสองคืน มาถึงบ้านไร่นอนทางสองคืน ครั้นรุ่งฃึ้นถึงเมืองเชียงคำ ลิวสิกอพบองคบัตห้อซึ่งมาตีได้เมืองเชียงคำ องคบัตกับลิวซิกอเปนพวกเดียวกัน ลิวซิกอภักอยู่เมืองเชียงคำได้สามคืน ลิวซิกอให้นายร้อยกับไพร่ห้อ ๑๗๐ คน ล่วงน่าไปทางเมืองพวน ครั้นรุ่งขึ้นลิวซิกอกับองคบัตแลไพร่ห้อประมาณ ๓๐ คน พวกองคบัตก็ภากันยกกองทัพไปจากเมืองเชียงคำ นอนทางสามคืนถึงเมืองเชียงขวางลิวซิกอยกกองทัพเข้าล้อมเมืองเชียงขวาง ในเวลากลางวันแต่เจ้าเมืองเชียงขวางจะทิ้งเมืองไปเสียเมื่อใดอ้ายเหียบหาทราบไม แต่ราษฎรชาวบ้านในเมืองภากันหนีกองทัพออกไปอยู่ป่า ลิวซิกอจึ่งให้คนใช้ถือหนังสือไปเที่ยวประกาศชาวบ้านให้จัดหาเสบียงอาหารมาส่งกองทัพลิวซิกอ ราษฎรชาวบ้านก็ภากันกลับมาอยู่บ้านเรือนตามเดิมจัดเสบียงอาหารส่งลิวซิกอ กองทัพลิวซิกอภักกองทัพอยู่ที่เมืองเชียงขวางได้ประมาณ ๑๕ วัน ลิวซิกอจะตีเมืองคนทานาเลา แต่องคบัตกับไพร่พวกองคบัตหาไปด้วยลิวซิกอไม่ องคบัตภักอยู่ที่เมืองเชียงขวาง ลิวซิกอได้เสบียงอาหารที่เมืองเชียงขวาง แล้วลิวซิกอจับเอาลาวชายประมาณ ๑๔ คน ๑๕ คนหาบเสบียงอาหารไปเปนกำลังกองทัพกับลิวซิกอ ๆ ไปจากเมืองเชียงขวางนอนทางภักบ้านบ้าง นอนกลางป่าบ้าง คั้รน ณ วันเดือนแปด ปีกุนสัปตศก ลิวซิกอยกกองทัพไปถึงบ้านเมืองคนทานาเลา ลิวซิกอตั้งค่ายภักกองทัพอยู่กลางบ้านเมืองคนทานาเลา ชาวบ้านเหนกองทัพยกมาตั้งภักอยู่ ชาวบ้านก็ภากันหลบหนีไปซุ่มซ่อนอยู่ที่ในป่า ลิวซิกอจึ่งใช้คนถือหนังสือไปเป่าร้องให้ราษฎรชาวบ้านกลับเข้ามาอยู่บ้านเรือนตามเดิม ลิวซิกอตั้งค่ายภักกองทัพอยู่บ้านคนทานาเลาได้ประมาณเดือนหนึ่ง ลิวซิกอจะไปตีเมืองเวียงจันจึ่งจับเอาลาวชายประมาณ ๑๔ คน ๑๕ คนหาบเสบียงอาหาร ครั้น ณ วันเดือนเก้า ปีกุนสัปตศก ลิวซิกอก็ยกไปถึงเมืองเวียงจัน ลิวซิกอตั้งค่ายภักกองทัพอยู่กลางทุ่งนา ครั้นเวลาบ่ายได้สู้รบกันกับกองทัพลาวเมืองเวียงจัน ๆ แตก ลิวซิกอได้เมืองเวียงจันอยู่เมืองเวียงจันได้ประมาณสองเดือน ครั้น ณ วันเดือนสิบเอด ปีกุนสัปตศก ลิวซิกอกับกองทัพไทยได้สู้รบกันสามวัน ลิวซิกอแตกทัพหนีมาบ้านคนนาทาเลา กองทัพไทยตามทันกองทัพไทยเอาปืนยิงลิวซิกอตาย แล้วพวกกองทัพไทยจับเอาตัวอ้ายเหียนกับพวกห้อส่งมาเมืองหนองคาย แล้วกองทัพไทยส่งตัวอ้ายเหียนลงมา ณ กรุงเทพฯ เปนความสัจจริง ฃองอ้ายเหียนแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายอะยิ พระยากลาโหมราชเสนาเปนผู้บังคับถาม
๏ ข้าพเจ้าอ้ายอะยิให้การว่า อายุได้ ๔๐ ปี บิดาอ้ายอะยิเปนจีนชื่อ อ้ายจีนไต่ มารดาเปนลาวชื่อ ไต เหมือนกัน ตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองเตก ๆ ขึ้นกับเมืองลาใหญ่ แต่บิดามารดาอ้ายอะยิตายแต่อายุอ้ายอะยิใด้ ๒๐ ปี อ้ายอะยิมีน้องชายคนหนึ่ง ชื่อ อ้ายสาม อ้ายอะยิกับน้องชายทำมาหากินอยู่ที่บ้านเรือน ครั้น ณ วันเดือน ๖ ปีจอฉศก อ้ายอะยิ อ้ายสาม ไปเกบฟืนอยู่ชายป่าหลังเมืองเตก พวกห้อ ๙ คน ๑๐ คนไปภบเข้าจับเอาตัวอ้ายอะยิ อ้ายสามมาไว้ที่เมืองลาใหญ่ได้ ๕ เดือน ๖ เดือน ลิวสิโกห้อแม่ทัพที่ ๑ ลิวสิก่อแม่ทัพที่ ๒ คุมไพร่พวกห้อ ๒๐๐๐ เสศ มีปืนใหญ่ปืนเลกประมาณ ๒๐๐ บอกเสศ มีดาบ ๒๐๐ เล่ม ๓๐๐ เล่ม มีหอกใหญ่เลกประมาณ ๒๐๐ เล่ม มีง้าวบ้างทวนบ้าง ลิวสิโก ลิวสิก่อกับพวกห้อประมาณ ๒๐๐๐ เสศ ยกไปเมืองพวน พวกห้อเอาตัวอ้ายอะยิ อ้ายสามไปเมืองพวนด้วย ทางแต่เมืองลาใหญ่ไปเมืองพวนทาง ๒๐ วัน แล้วลิวสิโก ลิวสิก่อแม่ทัพกับพวกห้อตั้งค่ายลงที่เมืองพวนลูกหนึ่ง แล้วลิวสิโก ลิวสิก่อแม่ทัพกับพวกห้อภากันถือเครื่องอาวุธต่าง ๆ ครบมือกันเข้าตีเมืองพวนฆ่าเจ้าเมืองพวนตาย แล้วลิวสิโกลิวสิก่อแม่ทัพให้พวกห้ออยู่รักษาค่ายอยู่ที่เมืองพวนประมาณ ๓๐๐ คนเสศได้ ๒ วัน ๓ วัน ลิวสิโก ลิวสิก่อแม่ทัพกับพวกห้อประมาณ ๑๗๐๐ เสศยกไปเมืองเวียงจัน ลิวสิโก ลิวสิก่อภาเอาตัวอ้ายอะยิไปด้วย แต่อ้ายสามน้องอ้ายอะยิพวกห้อให้เฝ้าค่ายอยู่ที่เมืองพวน ทางเมืองพวนมาเมืองเวียงจันทาง ๑๒ คืน แล้วลิวสิโก ลิวสิก่อแม่ทัพกับพวกห้อตั้งค่ายลงที่ในเมืองเวียงจันลูกหนึ่งริมวัดจันได้ ๒ เดือน ๓ เดือน ทัพไทยเข้าตีพวกห้อในค่ายแต่อ้ายอะยิพวกห้อใช้ให้เฝ้าเสบียงอาหารอยู่นอกค่ายหาได้เข้ารบทัพไทยกับพวกห้อไม่ ลิวสิโก ลิวสิก่อแม่ทัพกับพวกห้อถือปืนบ้าง ถือดาบบ้าง ถือหอกบ้าง ถือง้าวบ้าง เข้ารบกับทัพไทย อ้ายอะยิเหนพวกทัพไทยต่างคนต่างยิงปืนกันอยู่ตั้งแต่เพลาเช้าจนเพลาค่ำ พวกห้อถูกปืนตายหลายสิบคน พวกลิวสิโก พวกลิวสิก่อแม่ทัพกับพวกห้อแตกภากันทิ้งค่ายวิ่งหนีไป อ้ายอะยิเหนพวกห้อวิ่งหนีทัพไทยไปอ้ายอะยิก็วิ่งหนีไปด้วย กองทัพไทยจับตัวอ้ายอะยิได้จำตะโหงกฅอขื่อมืออ้ายอะยิไว้ แต่ลิวสิโก ลิวสิก่อแม่ทัพกับพวกห้อ ๑๒๐๐ เสศนั้นจะหลบหนีไปแห่งใดอ้ายอะยิหารู้ไม่ แต่อ้ายสามน้องอ้ายอะยิที่เฝ้าค่ายอยู่ที่เมืองพวนนั้นพวกห้อจะเอาตัวไปข้างไหน ฤๅจะหนี จะตายประการได้อ้ายอะยิหารู้ไม่ แล้วพวกไทยนายทัพส่งตัวอ้ายอะยิมาให้แม่ทัพไทยที่เมืองหนองคายได้ ๑๑ วัน ๑๒ วัน แม่ทัพไทยจึ่งส่งตัวอ้ายอะยิ ลงมา ณ กรุงเทพ เปนความสัจจริงสิ้นคำให้การอ้ายอะยิแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายโหลยลาว พระยากลาโหมราชเสนา เปนผู้บังคับถาม
๏ ข้าพเจ้าอ้ายโหลยลาวให้การว่า อายุอ้ายโหลยลาวได้ยี่สิบห้าปี บิดาชื่อ อ้ายเหน มารดาชื่อ อีเหด เปนลาวพุงขาว ตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองชุบเอศขึ้นอยู่กับเมืองหลวงพบาง เดิม ณ ปีกุนสัปตศก จะเปนวันเดือนใดจำไม่ได้ เวลากลางคืนประมาณสองยามเสศ พวกห้อตัวนายชื่อลิวสิก่อ ทรับก่อ เปนนายทัพคุมไพร่ห้อประมาณ ๒๐๐ คน ๓๐๐ คน มีปืนคาบสิลา ๔๐ บอก ปืนหลังม้า ๖๐ บอก รวม ๑๐๐ บอก มีอาวุธดาบบ้าง ง้าวบ้าง หอกบ้าง ครบมือกันเข้าตีเมืองชุบเอศ เจ้าชิบิศเจ้าเมืองชุบเอศหาสู้พวกห้อไม่ภาบุตรภรรยาครอบครัวกับไพร่ประมาณ ๑๐๐ คนยกหนีพวกห้อไปอยู่เมืองพวน แล้วพวกไพร่ในเมืองชุบเอศนั้นหนีไปอยู่เมืองหลวงพบางบ้าง เมืองแกวบ้าง แต่บิดามารดาอ้ายโหลยลาวนั้นพวกห้อฆ่าตาย แล้วจับตัวอ้ายโหลยลาวกับอ้ายจานแกวได้ แล้วพวกห้อก็ยกเข้าตั้งค่ายอยู่ในเมืองชุบเอศ พวกห้อใช้ให้อ้ายโหลยลาวกับอ้ายจานแกวเปนคนเกี่ยวหญ้า เลี้ยงม้า แล้วลิวสิก่อ ทรับก่อ นายทัพให้พวกห้ออยู่รักษาค่ายในเมืองชุบเอศประมาณ ๓๐ คนมีเครื่องสาตราอาวุธครบมือกัน ตัวลิวสิก่อ ตัวทรับก่อ นายทัพห้อกับไพร่ประมาณ ๒๐๐ คน ๓๐๐ คน มีปืนคาบสิลา ปืนหลังม้า กับดาบ กับง้าว กับหอกครบมือกันแล้วก็ยกไปตีเมืองแกว เจ้าเมืองแกวกับพวกห้อได้สู้รบกัน พวกห้อสู้เจ้าเมืองแกวไม่ได้พวกห้อภากันหนีเจ้าเมืองแกวกลับมาค่ายที่ตั้งอยู่ในเมืองชุบเอศประมาณสองเดือน แล้วตัวลิวสิก่อ ตัวทรับก่อ นายทัพกับไพร่ก็ยกไปตีเมืองพวน เจ้าเมืองพวนกับพวกห้อได้สู้รบกัน เจ้าเมืองพวนสู้พวกห้อไม่ได้แตกภากันหนีไป พวกห้อเข้าตั้งค่ายอยู่ในเมืองพวน แล้วลิวสิก่อ ทรับก่อ นายทัพก็ให้พวกห้อมาบอกพวกห้อ ๓๐ คนที่ตั้งอยูในเมืองชุบเอศ ให้เอาตัวอ้ายโหลยลาวกับอ้ายจานแกวมาเมืองพวนแต่เจ้าเมืองชุบเอศนั้นพวกห้อบอกแก่อ้ายโหลยลาวว่าถูกปืนตายในเมืองพวน พวกห้อเข้าตั้งค่ายอยู่ในเมืองพวนประมาณ ๔ เดือน ตัวลิวสิก่อ ตัวทรับก่อ นายทัพกับไพร่ยกมาตีเมืองเวียงจัน ลาวในเมืองเวียงจันสู้พวกห้อไม่ได้ภากันแตกหนีไป พวกห้อเข้าตั้งค่ายอยู่ในเมืองเวียงจันแล้วพวกห้อก็คุมตัวอ้ายโหลยลาวกับอ้ายจานแกวไปเกี่ยวหญ้าม้าที่ทุ่งหลังเมืองเวียงจันประมาณ ๕ วัน เวลากลางวันอ้ายโหลยลาวกับอ้ายจานแกวเกี่ยวหญ้าม้าอยู่ที่ทุ่งได้ยินเสียงปืนใหญ่บ้าง ปืนเลกบ้าง ยิงขึ้นที่ค่ายในเมืองเวียงจัน อ้ายโหลยลาวกับอ้ายจานแกวก็ภากันหนีใปทางเมืองพวน กองทัพลาวเมืองหนองคายประมาณ ๓๐๐ คนตามพวกห้อไปภบอ้ายโหลยลาวกับอ้ายจานแกวที่กลางทาง กองทัพลาวเมืองหนองคายจับตัวอ้ายโหลยลาวกับอ้ายจานแกวจำส่งมาเมืองหนองคาย เจ้าเมืองหนองคายเอาตัวอ้ายโหลยลาวจำไล่ตะโหงกฅอส่งตัวมา ณ กรุงเทพ เปนความสัจจริงของอ้ายโหลยลาวแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายอะแซก พระยากลาโหมราชเสนาเปนผู้บังคับถาม
๏ อ้ายอะแซกให้การว่า อายุได้ ๒๗ ปี บิดาอ้ายอะแซกเปนภูไทยชื่อ อ้ายอิ มารดาชื่อ อีศรี เปนภูไทย ตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านผ้า แขวงเมืองแกว ๆ ขึ้นกับเมืองญวน บิดามารดาอ้ายอะแซกตายแต่อายุอ้ายอะแซกได้ ๑๙ ปี มีแต่อ้ายอะแซกผู้เดียวหามีพี่น้องท้องเดียวกันไม่ ครั้น ณ วันเดือนเก้า ปีกุนสัปตศก พวกห้อ ๕ คน ๖ คน อ้ายอะแซกหารู้จักชื่อไม่ไปจับเอาตัวอ้ายอะแซกกับอ้ายไซร่ อ้ายเหง อ้ายอิ มาไว้ที่เมืองลาน้อยได้เดือนเสศ พวกห้อใช้ให้อ้ายอะแซกกับอ้ายไซร่ อ้ายเหง อ้ายอิ เกี่ยวหญ้าเลี้ยงม้าอยู่ที่เมืองลาน้อยได้ ๑๔ วัน ๑๕ วันแล้วพวกห้อกับลาวประมาณ ๓๐๐ คนเสศมีปืนคาบสิลาประมาณ ๔๐ บอก ๕๐ บอก ยกมาทางเมืองพวนไปตั้งอยู่วัดจันในเมืองเวียงจัน พวกห้อเอาตัวอ้ายอะแซก อ้ายไซร่ อ้ายเหง อ้ายอิมาด้วยกับพวกห้อ ๆ ใซ้ให้อ้ายอะแซก กับอ้ายไซร่ อ้ายเหง อ้ายอิ เปนคนเลี้ยงม้าเกี่ยวหญ้าม้าอยู่ที่ทุ่งหลังวัดจัน ๔ ม้าได้ประมาณเดือนเสศ แล้วอ้ายอะแซก กับอ้ายไซร่ อ้ายเหง อ้ายอิใด้ยินเสียงปืนยิงขึ้นที่วัดจันประมาณครู่หนึ่งอ้ายอะแซก กับอ้ายไซร่ อ้ายเหง อ้ายอิพูดกันว่าเสียงปืนยิงมากอยู่จะรบกันดอกกะมัง แล้วพวกลาวประมาณ ๑๓ คน ๑๔ คนไปภบอ้ายอะแซก กับอ้ายไซร่ กับอ้ายเหง กับอ้ายอิเกี่ยวหญ้าอยู่ทุ่งหลังวัดจันพวกลาว ๑๓ คน ๑๔ คนถือปืนคาบสิลาครบมือกันตรงเข้าจับอ้ายไซร่อ้ายเหง อ้ายอิ ๆ วิ่งหนีพวกลาวไป พวกลาวเอาปืนยิงถูกอ้ายไซร่ อ้ายเหง อ้ายอิตายทั้ง ๓ คน แต่อ้ายอะแซกหาใด้วิ่งหนีไม่ พวกลาวจับตัวอ้ายอะแซกได้แล้วพวกลาวเอาตัวอ้ายอะแซกมาส่งให้ลาวซี่งเปนนายที่หนองคายแล้วลาวซึ่งเปนนายอยู่ที่หนองคาย เอาตัวอ้ายอะแซกจำตะโหงกฅอจำขื่อมือไว้ได้ ๔ วัน ๕ วัน แล้วส่งตัวอ้ายอะแซกลงมา ณ กรุงเทพฯ เปนความสัจจริงสิ้นคำไห้การอ้ายอะแซกแต่เท่านี้ ๚ะ
เล่มที่ ๓ นำเบอร์ ๖๕ วันอาทิตย เดือน ๖ แรม ๑๔ ค่ำ
ปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘ แผ่นที่ ๙
คำให้การอ้ายบาชืน พระยากระลาโหมราชเสนา เปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายบาชืนลาวให้การว่า อายุอ้ายบาชืน ๑๘ ปี บิดาอ้ายบาชืนกวาง มารดาอ้ายบาชืนชื่อกวาง เปนลาวพุงขาว อ้ายบาชืนกับบิดามารดาอ้ายบาชืนตั้งบ้านเรือนอยู่ในเมืองตึกขึ้นเมืองแกว เดิม ณ ปีรกาเบญจศก ภวกห้อประมาณพันหนึ่ง แกวห้าสิบเสศ มีปืนหามแล่น ๒ บอก มีปืนคาบศิลา หอกดาบ อาวุธครบมือกันยกมาตีลาวเมืองตึก พวกห้อจับบิดามารดาอ้ายบาชืนฆ่าเสีย แล้วลิวสิกอนายทัพพวกห้อจับเอาตัวอ้ายบาชืนไปไว้เมืองลาขึ้นเมืองแกวอยู่ได้ประมาณปีเสศแล้วลิวสิก่อใช้ให้อ้ายบาชืนเกี่ยวหญ้าม้าเลี้ยงม้า ครั้น ณ เดือนแปด ปีกุนสัปตศก ลิวสิก่อเอาตัวอ้ายบาชืนมาเมืองโพนทานาเลา ลิวสิก่อใช้ให้อ้ายบาชืนสำหรับเลี้ยงม้าของลิวสิก่อ แล้วพวกห้อประมาณพันหนึ่ง เครื่องสาตราอาวุธครบมือกันตีเมืองพวนทานาเลาขึ้นเมืองเวียงจัน พวกห้อได้เมืองพวนทานาเลา แล้วลิวสิก่อกับพวกห้อและตัวอ้ายบาชืนก็พักอยู่เมืองพวนทานเลาได้เสบียงอาหารเลี้ยงกันเปนกำลัง แล้วลิวสิก่อสั่งไห้ควั่นผมเปียแปลงเปนพวกห้อ ครั้น ณ เดือนสิบเอด ปีกุนสัปตศก ลิวสิก่อพวกห้อยกไปตีเมืองเวียงจัน แต่อ้ายบาชืนเลี้ยงม้าอยู่เมืองโพนทานาเลา กองทัพไทยจับใด้ลิวสิก่อพวกห้อกองทัพไทยฆ่าลิวสิก่อตาย แล้วกองทัพไทยจึ่งเอาตัวอ้ายบาชืนกับม้าผู้ฝักสีเหลืองฃองลิวสิก่อส่งลงมา ณ กรุงเทพ เปนความสัจความจริงอ้ายบาชืน แต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายอาหะลก พระยาราชโยธาเปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายอาหะลกให้การว่า ฃ้าพเจ้าเปนลาวญวน อายุฃ้าพเจ้าได้ ๒๒ ปี บิดาฃ้าพเจ้าชื่อ โปตาญวน มารดาข้าพเจ้าชื่อ เมียบลาว ฃ้าพเจ้าเปนลาวญวนไว้ผมอย่างญวน ฃ้าพเจ้าตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่ที่เมืองแกว ๆ ระยะทางไกลเมืองหลวงพบาง ๖ คืน ฃ้าพเจ้ายังหามีภรรยาไม่ แต่เมืองแกวขึ้นเมืองแยว ๆ เปนเมืองลาวพวน ครั้น ณ วันเดือน ๔ ปีจอฉศก ลิวซิกอแม่ทัพห้อที่หนึ่ง สับกอแม่ทัพที่ ๒ ฟาลังกอแม่ทัพที่ ๓ คุมไพร่ห้อประมาณ ๓๕๐ คนเสศ มีม้า ๑๐๐ ม้า มีปืนหามแล่น ๒ บอก มีปืนคาบสิลา ๑๐๐ เล่มเสศ มีง้าว ๘๐ เสศ มีดซุยคนละเล่มบ้าง ๒ เล่มบ้าง กับอาวุธต่าง ๆ ครบมือภากันยกทัพมาถึงเมืองแกว เวลากลางคืนพวกห้อภากันล้อมเมืองแกวแล้วพวกกองทัพห้อภากันเอาปืนใหญ่เลกยิงระดมโห่ร้องเฃ้าไปในเมืองแกว ฃ้าพเจ้ากับราษฎรชายหญิงชาวเมืองแกวตกใจภากันออกจากเมืองหนีไปได้บ้าง ถูกปืนตายบ้าง ประมาณ ๕๐ คน พวกกองทัพห้อจับข้าพเจ้า พวกฃ้าพเจ้าได้ ๑๕ คน พวกกองทัพห้อเอาตัวฃ้าพเจ้ากับพวกข้าพเจ้าไปใช้ให้เกี่ยวหญ้าม้าบ้าง ใช้ให้ฃ้าพเจ้าหาบเฃ้าเสบียงบ้าง พวกห้อให้ข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าไว้ผมยาวอย่างพวกห้อ แล้วลิวซิกอแม่ทัพห้อกับนายทัพนายกอง คุมไพร่พวกห้อกับพวกข้าพเจ้า ไปตีเมืองทุพวร ๆ เปนเมืองลาวพวร พวกห้อยกกองทัพเข้าล้อมเมืองทุพวร พวกชาวเมืองทุพวรสู้รบกับพวกห้อได้ ๒ วัน ๓ วัน พวกห้อเอาไฟเผาเรือนราษฎรชาวเมืองทุพวรไหม้ไฟประมาณ ๑๐ หลังเรือน แล้วพวกห้อเอาปืนยิงระดมเข้าไปในเมืองชาวเมืองทุพวรถูกปืนตายบ้าง หนีไปได้บ้าง พวกห้อจับพวกชาวเมืองทุพวรได้ชาย ๒ หญิง ๔ รวม ๖ คน แล้วพวกกองทัพห้อ เอาตัวข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้า กับพวกเมืองทุพวร ๖ คน เฃ้ากองทัพยกไปตีเมืองพูมซึ่งเปนเมืองขึ้นกับเมืองหนองคาย เวลากลางคืนพวกกองทัพห้อพากันยกเข้าล้อมเมืองพูม แล้วเอาปืนยิงระดมพวกเมืองพูมสู้รบกับพวกห้อได้ ๒ วัน พวกชาวเมืองพูมแตก พวกห้อจับชาวเมืองพูมได้ชายฉกรร ๘ คน พวกห้อก็ภักอยู่ในเมืองพูมได้ ๑๐ วัน ครั้น ณ วันเดือนเจด ปีกุนสัปตศก พวกกองทัพห้อนายไพร่ประมาณ ๓๗๙ คนเสศ กับข้าพเจ้าพากันยกไปตีเมืองเวียงจันเก่า พวกราษฎรชาวเมืองเวียงจันเก่าไม่สู้รบพากันหลบหนีไป พวกกองทัพห้อทั้งนายไพร่พากันเข้าภักอยู่ในเมืองเวียงจันเก่าได้ประมาณเดือนเสศ พวกกองทัพไทยยกไปรบห้อที่ภักอยู่ในเมืองเวียงจันเก่า พวกห้อใช้ให้ข้าพเจ้าเกี่ยวหญ้าม้าทุกวัน แล้วพวกกองทัพห้อกับกองทัพไทยได้สู้รบกันวันหนึ่ง พวกไพร่ในกองทัพห้อถูกปืนตายประมาณ ๕๐ คนเสศ แต่ลิวสิกอแม่ทัพถูกปืนริมฅอแห่งหนึ่ง ในวันเดียวนั้นเวลาค่ำฝนตกมาก ลิวสิกอ สับกอ ฟาลังกอ กับนายไพร่พวกห้อพากันหนีกองทัพไทยไปจะไปค่างใหนฃ้าพเจ้าไม่รู้ แต่ฃ้าพเจ้าหนีกองทัพไทยไปกับพวกห้อถึงลำแม่น้ำโขง ข้าพเจ้าค่ามน้ำไม่ได้กองทัพไทยจับฃ้าพเจ้ามาไล่ไม้ตะโหงกฃังไว้ในค่าย กองทัพไทยซี่งตั้งค่ายอยู่ริมลำแม่น้ำโขง ฃ้าพเจ้าเหนสพพวกห้อลอยน้ำมา ฃ้าพเจ้านับตรวจดูเหนพวกห้อตายประมาณ ๕๐ คนเสศ เปนความสัจจริงสิ้นคำให้การข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
เล่มที่ ๓ นำเบอร์ ๗๓ วันอาทิตย เดือน ๗ ขึ้น ๖ ค่ำ
ปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘ แผ่นที่ ๑๐
บอกเจ้าพระยาภูธราภัย
๏ เจ้าพระยาภูธราภัย ที่สมุหนายกแม่ทัพใหญ่บอกลงมาว่า ด้วยขุนเทพอาญาเมืองพิไชยเชิญพระราชหัถเลขา แลกระแสพระราชดำริหขึ้นไปถึงข้าพระพุทธเจ้า ณ เมืองพิไชย ณ วันอาทิตย เดือนสี่ แรมสิบค่ำ ปีกุนสัปตศก ว่าด้วยข้อราชการทัพห้อทางเมืองพวน แลพระยาอริยวงษา พระยาอิศระเพชรวิวาทรบกันนั้น พวกข่ากำเริบขึ้นในเมืองหลวงพบางเปนการสามทางโปรดเกล้าฯ ชี้แจงข้อราชการขึ้นไปนั้นได้ทราบเกล้าฯ ทุกประการแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าได้มีหนังสือคัดสำเนาท้องตรากระแสพระราชดำริหส่งขึ้นไปให้พระยาสุรินทรราชเสนี พระสุริยภักดีทราบแล้ว ครั้น ณ วันศุกร เดือนสี่ แรมสิบห้าค่ำ ปีกุนสัปตศก พระยาสุรินทรราชเสนี เสนาบดีเมืองหลวงพบาง ส่งต้นหนังสือบอกพระสุริยภักดีกับอ้ายสามมวยแปลงเปนห้อ คำให้การอ้ายสามมวยปืนใหญ่น้อย ๕ บอก ลงมาถึงข้าพระพุทธเจ้ามีความใบบอกพระยาสุรินทรราชเสนี เสนาบดีเมืองหลวงพบางต้องกันว่า พวกฃ่าภากันกำเริบยกมารบ พระยาตีนแทนหลวงมหาตไทยเมืองอุตรดิฐซึ่งรักษาฉางเข้าอยู่ที่บ้านสบอีได้สู้รบกัน หลวงมหาตไทย นายยังบุตรตายในที่รบ พระยาตีนแทนกับไพร่ ไทยลาวภากันหนีมา พระยาสุรินทรราชเสนี เจ้ามหินทรเทพนีภาธร พระยากำแพงเพชรได้จัดนายทัพนายกอง คุมไพร่ ๒๐๐๐ เสศ ยกแยกไปทางบ้านสบอี น้ำอู่เมืองงอย นำเซือง น้ำคาน เมืองไซ เมืองฮุน ๕ กองขึ้นไปช่วยกันปราบปรามพวกข่าแล้วมีความในบอกพระสุริยภักดีว่า ณ วันอังคาร เดือนสาม แรมสิบสามค่ำ ได้พร้อมกับนายทัพนายกองยกเข้าตีกองทัพห้อค่ายลาดฮวงลาดงอน แตกหนีไป ทางเมืองเชียงขวาง ทุ่งเชียงคำ ฆ่าห้อตายบ้าง จับได้อ้ายสามมวยแปลงเปนห้อคนหนึ่งกับปืนใหญ่น้อย ๕ บอก ม้า ๒๖ ม้า เฃ้าเปลือกในฉางพวกห้อประมาณ ๒๐๐ เกวียน แล้วจัดกองทัพแยกกันติดตามไปตีห้อที่ทุ่งเชียงคำ แจ้งอยู่ในบอกพระยาสุรินทรราชเสนี พระสุริยภักดี เสนาบดีเมืองหลวงพบาง คำให้การอ้ายสามมวยนั้นแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าเหนด้วยเกล้า ฯ ว่าพระสุริยภักดี นายทัพนายกองพร้อมกันทำการได้ท่วงทีตีห้อค่ายลาดฮวงลาดงอนแตกหนีไป ได้เสบียงอาหารไว้เปนกำลังก็มาก นายทัพนายกองไพร่พลก็จะมีใจฮึกเหิมคงจะทำการสำเรจตลอดไปได้ พวกข่าที่กำเริบลุกลามขึ้นรู้ข่าวว่าห้อเลิกถอนไปแล้ว ก็จะระงับกันด้วยการเยนได้โดยง่าย แต่จะไว้ใจแก่ราชการยังไม่ได้ ข้าพระพุทธเจ้าได้มีหนังสือตอบขึ้นไปถึงพระยาสุรินทรราชเสนี เจ้ามหินทรเทพนิภาธร ว่าราชการทางเมืองพวนนั้น พระสุริยภักดี นายทัพนายกองยกไปตีกองทัพห้อแตกหนีไปก็เหนจะสำเรจได้ แต่พวกข่าภากันกำเริบขึ้นในแฃวงเมืองหลวงพบางกับพวกพระยาอริยวงษา พระยาอิศรเพชรวิวาทกันนั้นก็ได้มีหนังสือบังคับขึ้นมาแต่ก่อนความแจ้งอยู่แล้วให้พระยาสุรินทรราชเสนี เจ้ามหินทรเทพนิภาธรตริตรองระงับพวกข่า แลพระยาอริยวงษา พระยาอิศรเพชร จับเอาตัวนายข่าซึ่งเป็นหัวน่าต้นคิดส่งลงไปให้สิ้น ฃ่าไพร่จึ่งจะสงบเรียบร้อยลงได้ ฤๅจะคิดรงับดับการแต่โดยเยนได้ก็ยิ่งดี อย่าให้พระยาอริยวงษา พระยาอิศรเพชรมีความวิวาทให้พวกฃ่าภากันกำเริบเที่ยวตีตัดเสบียงอาหารทางเมืองพวน แลลุกลามขึ้นในเขตรแขวงเมืองหลวงพบางต่อไปได้ แล้วให้แต่งนายทัพนายกองคุมไพร่ขึ้นไปรักษายุ้งฉางเข้า ตามระยะทางไว้ให้มั่นคงเร่งกองทัพให้รีบยกเพิ่มเติมขึ้นไปบันจบทัพพระสุริยภักดีให้ทันท่วงทีโดยเรว ได้มีหนังสือตอบไปถึงพระสุริยภักดี พระยาพิไชยให้เร่งยกกองทัพขึ้นไปตีห้อที่ทุ่งเชียงคำให้แตกยับเยินไป จับเอานายทัพกับพวกห้อมาให้ได้ในกำลังห้อพากันแตกตื่นตกใจอย่าให้ทันตั้งมั่นได้ ถ้ากองทัพห้อแตกหนีไปจากเขตรแขวงเมืองพวนแล้ว ที่แห่งใดช่องแคบควรจะตั้งค่ายก็ให้นายทัพนายกองตั้งค่ายมั่นป้องกันให้แน่นหนารักษาเสบียงอาหารเขตรแขวงเมืองพวนไว้ เกลือกห้อจะมืใจเจบแค้นไปรวบรวมไพร่พลยกกลับมาสู้รบตอบแทนที่เมืองพวนอีก ก็จะได้เปนที่อาไศรยทำการได้ถนัด แล้วให้พูจจาเกลี้ยกล่อมพวกพวนซึ่งแตกระส่ำระสาย หลบหนีอยู่ในป่าดง ให้ชักภากันเข้ามาอยู่บ้านเรือนตามเดิม แล้วให้บอกจำนวนครัวเมืองพวนกับม้าเครื่องสาตราอาวุธ พวกห้อที่ตีได้มากน้อยเท่าใดลงไปให้แจ้ง อนึ่งพระสุริยภักดี พระยาพิไชย นายทัพนายกองยกมาตีห้อเลิกถอนไปแล้ว ฝ่ายญวนจะมาว่ากล่าวประการใดก็ให้สืบสวนฟังเหตุการแลคิดอ่านพูดจากับญวนเอาเขตรแขวงเมืองพวนไว้ อย่าให้มีเหตุการแลเสียท่วงทีกับญวนได้ ถ้าถึงเทศการเปนปีชวดอัฐศกควรจะผ่อนกองทัพกลับลงไปตั้งฟังราชการอยู่ ณ เมืองหลวงพบาง ก็ให้ตรวจดูที่ทางเมืองสุย เมืองยูด่านขวาแห่งใดฬ่อแหลมก็ให้ตั้งค่ายป้องกันไว้ให้แขงแรงแล้วให้จัดเจ้านาย ท้าวพระยาคุมไพร่เมืองหลวงพบางพร้อมด้วยเครื่องสาตราวุธกระสุนดินดำ อยู่ประจำรักษาสืบสวนฟังราชการที่เมืองพวน เมืองสุข เมืองยู ด่านขวาให้สมควรจะได้เกลี้ยกล่อมครอบครัวเมืองซึ่งอยู่ในป่าดงต่อไป ถ้าครอบครัวเฃ้าหาจะสมัคมาเมืองหลวงพบางก็ให้พูดจาชักภาครอบครัวลงไปให้สิ้น ครัวซึ่งตกลงมาในแขวงเมืองหลวงพบางบ้านเมืองราบคาบแล้วควรจะกวาดต้อนลงมาเท่าใด จะให้เจ้าเมืองหลวงพบาง เจ้านายคนใด ควบคุมไว้เท่าใด ก็ ให้ปฤกษาพระยาสุรินทรราชเสนี เจ้ามหินทรเทพให้พร้อมกันแต่งนายทัพนายกองคุมครอบครัวลงไปส่งทางบ้านป่ากลายได้จัดนายทัพ นายกองขึ้นไปตั้งฟังราชการ แลคอยรับครอบครัวอยู่แล้ว ถ้าเสรจราชการทางเมืองพวน เมืองหลวงพบางเมื่อใด จะโปรดให้เลิกกองทัพกลับลงมา จึ่งจะมีหนังสือขึ้นมาครั้งหลัง ข้าพระพุทธเจ้าได้ส่งตัวอ้ายสามมวยกับต้นหนังสือบอกพระยาสุรินทรราชเสนี ๑ พระยาสุริยภักดี ๑ เสนาบดีเมืองหลวงพบาง ๑ รวม ๓ ฉบับ คำให้การอ้ายสามมวย ๑ รวม ๔ ฉบับ ปืนทองใหญ่ ๒ บอก ปืนคาบชุด ๓ บอก รวม ๕ บอก ให้ขุนเพชรอินทรากรมมหาตไทย ฃุนนครไขยหัวหมื่นพระตำรวจ ลงมาแจ้งข้อราชการด้วยแล้ว ควรประการใดแล้วแต่จะโปรด บอกมา ณ วันอาทิตย เดือนห้า ฃึ้นสองค่ำ ปีชวด ยังเปนสัปตศก ๚ะ
บอกพระยาสุรินทรราชเสนี
๏ พระยาสุรินทรราชเสนีบอกลงมาฉบับหนึ่งว่า ได้แต่งให้พระฤทธิสงคราม หลวงนรานิกรฤทธิ นายไพร่ ๒๘๒ คน ยกไปจากเมืองหลวงพบางแต่ ณ วันพุฒ เดือนสาม แรมเจดค่ำ ปีกุนสัปตศก ขึ้นไปช่วยราชการทางเมืองพวน แลมีข้อความเปนหลายประการแจ้งมาในใบบอกครั้งก่อนนั้นแล้ว ครั้น ณ วันพุฒ เดือนสี่ ขึ้นเจดค่ำ ปีกุนสัปตศก พระยากำแพงเพชรมีใบบอกลงมายังฃ้าพเจ้าว่า พระยาตีนแทนหนีพวกข่าลงมาที่บ้านปากเซืองแจ้งความมา ณ วันอังคาร เดือนสี่ ขึ้นหกค่ำ เวลา ๓ โมงเช้า อ้ายพวกข่าเกิดกำเริบลุกลามขึ้นที่บ้านสบอีประมาณ ๕๐๐ คน ๖๐๐ คน เข้าล้อมพระยาตีนแทน เมืองหลวงพบาง หลวงมหาดไทยเมืองอุตรดิฐ กับไพร่ไทย ลาว ๕๐ เสศ ซึ่งรักษาฉางเข้าอยู่ที่บ้านสบอี ได้สู้รบกับอ้ายพวกข่าจนถึงอาวุธสั้น อ้ายพวกข่าเอาปืนแลน่าไม้ยิงถูกหลวงมหาดไทยเมืองอุตรดิฐ นายบุนยังบุตรหลวงมหาดไทยกับไพร่ ๒ คนตายในที่รบ ถูกน่าไม้ป่วยเจบหลายคน อ้ายพวกข่าถูกปืนแลอาวุธตายประมาณ ๓๐ เสศ พระยาตีนแทนกับไพร่ไทย ลาว เหลือกำลังแตกหนีอ้ายพวกข่า ๆ เอาไฟจุดเผาบ้านเรือนฉางเข้าที่บ้านสบอี พระยากำแพงเพชร เหนว่า พวกไทยลาวเสียท่วงทีมิไว้ใจแก่ราชการ แต่งหลวงธรรมปรีชา หลวงรักษาบูรี ปลัดขุนกรมการ คุมไพร่เมืองกำแพงเพชร ๒๐๐ คน เจ้ามหินทรเทพนิภาธรแต่งให้พระยานามเสนาคุมไพร่ลาว ๑๒๐ พร้อมไปด้วยเครื่องสาตราวุธ ปืน กระสุนดินดำ กองทัพเมืองกำแพงเพชร เมืองหลวงพบาง ได้ยกขึ้นไปบ้านสบอี แต่ ณ วันพุฒ เดือนสี่ ขึ้นเจดค่ำ ฃ้าพเจ้าได้จัดให้หลวงพล พระนครไทย คุมไพร่เมืองพิศณุโลกย ๒๐๐ คน ยกขึ้นไปแต่ ณ วันศุกร เดือนสี่ ขึ้นเก้าค่ำ ให้ไปบันจบทัพคิดราชการกัน ณ บ้านสบอี ถ้าอ้ายพวกข่าที่กำเริบเหล่านี้ยังตั้งอยู่ที่แห่งใดตำบลใดให้ช่วยกันรบอ้ายพวกข่าให้แตกกระจัดกระจาย ถ้าอ้ายพวกข่าแตกหนีแยกทวงกันไปก็ให้แบ่งกองทัพออกให้หลายทาง ยกไปสืบสวนเก้าสกัดตามรบอ้ายพวกข่ากระบถจับเอาตัวให้จงได้ ครั้นเดือนสี่ ขึ้นสิบค่ำ พระยาสุรียสมารงผู้ว่าราชการเมืองศรีสำโรงซึ่งไปตั้งฟังราชการ อยู่ ณ บ้านหาดตอ มีใบบอกมายังข้าพเจ้าว่า อ้ายพวกข่าที่อยู่ใกล้เดิมไปเข้ากับอ้ายพวกข่ากระบถ หนีภาครอบครัวมาเข้าหาพระศรีสำโรงบ้าง เข้าหาพระยาสุพันทอำมาตยหัวพันเมืองชืนบ้าง เข้ามาเสมออยู่ทุกวัน ได้ชายหญิงใหญ่น้อย ๓๐๐ คนเสศ อ้ายพวกข่าที่อยู่ไกลกระด้างกระเดื่องอยู่ยังหาสงบเรียบร้อยไม่ ข้าพเจ้ากับเจ้ามหินทรเทพนิภาธรปฤกษากันเกณฑให้เจ้าราชสำพันธวงษ ผู้ว่าที่ราชวงษ ขุนทัพนายกองคุมไพร่ ๕๒๐ คน กองพระศรีสำโรงนายทัพนายกองคุมไพร่ ๕๐๐ คน รวมกัน ๑๐๒๐ คน ยกไปทางน้ำอู่เมืองงอย พระยานรพาหัวพันปาดแซงคุมไพร่ ๒๕๐ คน ยกไปทางน้ำเซือง น้ำแซง พระยาเมืองแพนคุมไพร่ ๑๕๒ คน ยกไปทางน้ำคาน ท้าวสุก ท้าวขุน ท้าวเม้าคุมไพร่ ๒๐๐ คนยกไปเมืองไซย เมืองฮุน คิดราชการรบอ้ายพวกฃ่าที่กำเริบให้สำเรจแล้วโดยเรว อนึ่งโปรดเกล้าฯ มีตราพระราชสีหกับส่งสำเนาท้องตรากระแสพระราชดำริห ๔ ฉบับกับคำให้การอ้ายฮ่อญวนลาว ๔ ฉบับ ขึ้นไปถึงข้าพเจ้ากับพระสุริยภักดี พระยาพิไชย มีข้อความเปนหลายประการนั้น ได้ทราบแล้ว ครั้น ณ วันอังคาร เดือนสี่ ขึ้นสิบสามค่ำ ปีกุนสัปตศก พระสุริยภักดีมีใบบอกข้อราชการทางเมืองพวนมากราบเรียนยัง ฯพณฯ ที่สมุหนายกฉบับหนึ่ง มายังข้าพเจ้าฉบับหนึ่ง แลส่งตัวอ้ายสามมวยแปลงเปนห้อคนหนึ่ง คำให้การอ้ายสามมวยกับปืนใหญ่น้อย ๕ บอก มอบให้ขุนนครไชยตำรวจ ขุนพินิจกรมการเมืองพิจิตร คุมลงมาใจความในหนังสือพระสุริยภักดีว่า ได้แต่งให้นายทัพนายกองคุมไพร่พลไทยลาว ยกกองทัพแยกย้ายออกรบกับอ้ายพวกห้อซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ บ้านลาดฮวง อ้ายพวกห้อแตกกระจัดกระจายใป แต่ ณ วันอังคาร เดือนสาม แรมสิบสามค่ำ ข้อความแจ้งมาในใบบอกพระสุริยภักดีนั้นแล้ว ข้าพเจ้าได้ส่งตราพระราชสีหกับท้องตรากระแส พระราชดำริหรวมกัน ๕ ฉบับกับคำให้การห้อ ๔ ฉบับ รวมกัน ๙ ฉบับ มอบให้เจ้าหน่อคำเมืองน่านคุมไพร่ ๑๐๐ คนเสศยกขึ้นไปจากเมืองหลวงพบาง แต่ ณ วันอังคาร เดือนสี่ ขึ้นสิบสามค่ำแล้ว ฃ้าพเจ้าได้ส่งใบบอกพระสุริยภักดีกับคำให้การอ้ายสามมวยกับปืนใหญ่น้อย ๕ บอก กับอ้ายสามมวยแปลงเปนห้อคน ๑ มอบให้ขุนนครไชยตำรวจ ขุนพินิจอักษรกรมการเมืองพิจิตรถือไปบอกคุมตัวอ้ายสามมวยแปลงเปนห้อลงมาด้วยแล้ว บอกมา ณ วันศุกร เดือนสี่ แรมค่ำหนึ่ง ปีกุนสับตศก ๚ะ
คำให้การอ้าป่าแชม พระยาราชโยธาเปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายป่าแชมให้การว่า ฃ้าพเจ้าเปนลาวพวน อายุฃ้าพเจ้าได้ ๒๓ ปี ตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่บ้านชำ แขวงเมืองเชียงขวาง พ่อข้าพเจ้าชื่อ ยือ แม่ข้าพเจ้าชื่อ บี พ่อฃ้าพเจ้าเปนลาว แม่ฃ้าพเจ้าเปนญวน ฃ้าพเจ้ามีเมียชื่อ เสม มีบุตรชายคนหนึ่งอายุ ๓ ปี ครั้น ณ เดือนสี่ ปีจอฉศก ฃ้าพเจ้ารู้ความว่าพวกทุ่งเชียงคำมีหนังสือมาถึงเจ้าเมืองเชียงขวางว่า ลิวซิกอเปนนายทัพใหญ่ องเบกจีนห้อเปนแม่ทัพที่ ๒ เชียนชันเปนเสมียนยกมาตีทุ่งเชียงคำ เจ้าเมืองทุ่งเชียงคำพาครอบครัวหนีเข้าป่าไป เจ้าเมืองเชียงขวางเกณฑพวกไพร่เมืองเชียงขวางตั้งค่ายไว้ค่ายหนึ่ง ครั้น ณ วันเดือนหก ปีกุนสัปตศก เวลาสามยาม พวกกองทัพห้อยกมาตีเมืองเชียงขวาง พวกห้อคุมไพร่มาประมาณ ๔๐๐ คนเสศ มีปืนคาบสิลาประมาณ ๑๐๐ บอก มีม้าประมาณ ๒๐ ม้า มีเครื่องมือหอกดาบเหล็กครบมือกันอ้ายพวกห้อไม่ได้ตั้งค่ายเข้าตีเมืองเชียงขวาง เจ้าเมืองเชียงขวางแลกรมการกับไพร่ซึ่งอยู่ในเมืองนอกเมืองเชียงขวางได้ต่อสู้กันตั้งแต่เวลาสามยามจนเวลาตวันเที่ยง เจ้าเมืองเชียงขวางถูกปืนตาย พวกไพร่เมืองเชียงฃวางก็ตายเปนอันมาก ไพร่ที่ยังเหลืออยู่นั้นก็ภากันหนีเข้าป่า ข้าพเจ้า พ่อ แม่ พี่ข้าพเจ้า กับลูกเมียข้าพเจ้าก็หนีเข้าป่า พวกห้อภากันติดตามจับฃ้าพเจ้า พ่อ แม่ ลูกเมียฃ้าพเจ้า กับพวกไพร่เมืองเชียงขวางได้พร้อมกับฃ้าพเจ้าสิบคน แต่พ่อแม่ฃ้าพเจ้ากับบุตรฃ้าพเจ้าไพร่เจดคน พวกห้อฆ่าเสียหมด เหลือแต่ฃ้าพเจ้ากับไพร่ ๓ คน ห้อเอาไว้ใช้แยกกันไปเกี่ยวหญ้า ครั้นเวลาเยนค่ำห้อใช้ให้ฃ้าพเจ้ากับไพร่ ๓ คน หุงเข้าเลี้ยงพวกห้อ ๆ ภักอยู่ที่เมืองเชียงขวางได้ประมาณเดือนหนึ่ง ลิวสิกอกับองค์เบกกองทัพห้อยกมาเมืองเวียงจันประมาณ ๔๐๐ คน กับพวกลาวพวนที่ห้อตีได้ประมาณ ๑๐๐ คนเสศ ระยะทางไปจากเมืองเชียงขวางไปถึงเมืองงืม ๗ คืน ลาวพวนที่ห้อตีได้ ๑๐๐ คน กับพวกห้อ ๑๐๐ คน คุมพวกฃ้าพเจ้าอยู่ที่งืม แต่พวกห้อประมาณ ๓๐๐ คนยกมาตีเมืองเวียงจันทาง ๒ คืน ห้อตีเมืองเวียงจันแตกได้ ๔ วัน พวกห้อก็คุมพวกฃ้าพเจ้ามาที่เมืองเวียงจัน ฃ้าพเจ้าเหนพวกห้อจับลาวเวียงจันได้ ๖ คน พวกห้อเฃ้าไปตั้งค่ายอยู่ในเมืองเวียงจันริมวัดร้างได้ ๒ เดือน ครั้น ณ วันเดือนสิบ ขึ้นสองค่ำ ปีกุนสับตศก พวกห้อใช้ให้ฃ้าพเจ้าสองคนไปเกี่ยวหญ้าอยู่กลางทุ่งนอกเมืองเวียงจัน ทัพลาวยกมาจับฃ้าพเจ้า ๒ คนได้แล้วกองทัพลาวยกเลยเข้าไปล้อมค่ายห้อในเมืองเวียงจัน พวกลาว ๕ คนภาฃ้าพเจ้า ๒ คนมาถึงฝั่งแม่น้ำโขงฝั่งเวียงจันยังหาได้ข้ามฟากแม่น้ำไปไม่ ฃ้าพเจ้าได้ยินเสียงปืนยิงกันที่ค่ายในเมืองเวียงจันประมาณชั่วโมงหนึ่ง พวกลาวก็ส่งฃ้าพเจ้ามาฟากหนองคาย เปนความสัจความจริงฃ้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายบาสิน พระยาราชโยธาเปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายบาลินให้การว่า ฃ้าพเจ้าเปนลาว อายุฃ้าพเจ้าได้สักกี่ปีฃ้าพเจ้าจำไม่ได้ บิดาฃ้าพเจ้าชื่อ ขิ่น ฝ่ายมารดาฃ้าพเจ้าชื่อ ขิ่นสิน บิดามารดาฃ้าพเจ้าเปนลาวพวนตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ เมืองแอด ๆ ขึ้นกับเมืองหลวงพบาง แต่ราษฎรชายหญิงในเมืองแอดมีอยู่ประมาณ ๑๐๐ คนเสศ ครั้น ณ ปีรกาเบญจศก เวลากลางคืนดึกประมาณยามเสศพวกอ้ายห้อนาย ๓ คน แต่จะชื่อไรนั้นฃ้าพเจ้าหารู้จักไม่กับไพร่ประมาณ ๓๐๐ คนเสศ มีคนประมาณ ๓๐๐ เสศกับปืนคาบสิลา ๑๐๐ บอก หอกประมาณ ๑๐๐ เล่ม ดาบประมาณ ๑๐๐ เล่ม ม้า ๑๐๐ ม้า พากันยกเข้าตีเมืองแอด อ้ายห้อเอาปืนคาบสิลา หอก ดาบ ยิงฟันแทงพวกลาวเมืองแอด นายไพร่ชายหญิงตายประมาณ ๘๐ คน แต่อ้ายห้อจับข้าพเจ้ากับพวกข้าพเจ้าได้ชาย ๗ คน หญิง ๓ คน รวม ๑๐ คน แต่บิดามารดาข้าพเจ้าอ้ายห้อฆ่าเสีย แล้วอ้ายห้อก็เอาตัวข้าพเจ้ากับพวกข้าพเจ้าไว้ อ้ายห้อให้ข้าพเจ้ากับพวกข้าพเจ้าไว้ผมเปีย อ้ายห้อก็ตั้งค่ายอยู่ในเมืองแอดได้ประมาณเดือนเสศ อ้ายห้อยกกองทัพไป อ้ายห้อก็เอาตัวข้าพเจ้ากับพวกข้าพเจ้าให้หาบเสบียงอาหารตามไป ๆ ทางสองคืนถึงเมืองฦกเวลาตวันเที่ยง พวกลาวชายหญิงในเมืองฦกก็พากันหนีเข้าป่าไป อ้ายห้อจับพวกลาวในเมืองฦกหาได้ไม่ อ้ายห้อก็พากันภักอยู่ที่เมืองฦกคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นเวลาเช้าอ้ายห้อก็พากันยกกองทัพไปทาง ๔ คืน ถึงเมืองทุ่งเชียงคำ เวลาบ่ายอ้ายห้อก็ตั้งค่ายอยู่ได้ประมาณ ๓ วัน ๔ วัน อ้ายห้อยกกองทัพเข้ารบกับพวกลาวเมืองทุ่งเชียงคำได้ ๓ วัน อ้ายห้อฆ่าเจ้าเมืองทุ่งเชียงคำกับนายไพร่ชายหญิงตายประมาณ ๕๐ คนเสศ เหลืออยู่บ้างพาคันหนีอ้ายห้อ ๆ จับหาได้ไม่ แล้วอ้ายห้อพากันเข้าอยู่ในเมืองทุ่งเชียงคำได้ ๒ คืน พวกอ้ายห้อก็ยกกองทัพไปทางบก ๒ คืน ถึงเมืองพวนจะชื่อเมือง อไรนั้นข้าพเจ้าหารู้ไม่ ภอเวลาบ่ายพวกชายหญิงในเมืองพวนก็ออกจากเมืองพวนหนีอ้ายห้อไป อ้ายห้อก็เข้าตั้งค่ายอยู่ในเมืองพวนได้ประมาณเดือนเสศ อ้ายห้อก็ยกกองทัพไปทางบก ๑๐ คืนถึงเมืองเวียงจัน อ้ายห้อก็ตั้งค่ายอยู่เมืองเวียงจันได้ประมาณ ๒ เดือน แล้วกองทัพไทยยกขึ้นไปถึงเมืองเวียงจัน กองทัพไทยเข้ารบกับอ้ายห้ออยู่วันหนึ่ง พวกอ้ายห้อตายประมาณ ๑๐๐ คนเสศ แต่ตัวนายอ้ายห้อจะตายฤๅไม่ตายฃ้าพเจ้าหารู้ไม่ ครั้นเวลากลางคืนอ้ายห้อก็พากันหนีออกจากเมืองเวียงจันไป อ้ายห้อหนีไปข้างไหนฃ้าพเจ้าหารู้ไม่ ฃ้าพเจ้ากับ พวกฃ้าพเจ้า ๗ คน ๘ คน พากันหนีอ้ายห้ออยู่ในป่าแขวงเมืองเวียงจัน กองทัพไทยไปพบข้าพเจ้าจับเอาตัวฃ้าพเจ้ามา แต่พวก ข้าพเจ้าที่หนีอ้ายห้อไปกองทัพไทยหาจับมาได้ไม่ ได้ฃ้าพเจ้ามาคนเดียว เปนความสัจความจริงสิ้นคำให้การข้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายอะยัดห้อ พระยาราชโยธาเปนผู้บังคับถาม
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายอะยัดห้อให้การว่า อายุฃ้าพเจ้าได้ ๒๒ ปี บิดาฃ้าพเจ้าเปนจีน มารดาข้าพเจ้าเปนลาว ตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ บ้านคาว แขวงเมืองตัด ๆ ขึ้นกับเมืองเชียงก่อ ๆ ขึ้นกับเมืองญวน เมื่อ ณ ปีมเมียโทศก อ้ายสามลาวนายข้าพเจ้าใช้ให้ข้าพเจ้ากับอ้ายชับไปเกี่ยวหญ้าม้าที่บ้านขอม ภบลิวสิกอแม่ทัพที่ ๑ ลิวสับกอแม่ทัพที่ ๒ ลิวฟาลังกอแม่ทัพที่ ๓ สันสุเยแม่ทัพที่ ๔ รวม ๔ คน นุ่งกังเกงแพร สวมเสื้อแพร ถักผมเปียด้วยไหมแดง โพกศีศะแพรหนังไก่ศรีดำขี่ม้าถือปืนสั้นทั้ง ๔ คน แต่งตัวเหมือนจีน คุมไพร่พวกห้อประมาณ ๔๐๐ พวกแกวประมาณ ๑๐๐ รวม ๔๐๐ คนถือปืนคาบสิลาประมาณ ๒๐๐ ถือดาบถือหอกถือแหลนอาวุธต่าง ๆ ครบมือ ยกมาทางบ้านฃอมจับเอาตัวข้าพเจ้าได้แต่อ้ายชับหนีไปได้ อ้ายห้อให้ฃ้าพเจ้าไว้ผมเปียเปนจีนแล้วอ้ายห้อยกไปอยู่ที่เมืองลาน้อย ๆ ขึ้นกับเมืองแกว เมื่อ ณ เดือนยี่ ปีระกาเบญจศก ลิวสิกอแม่ทัพที่ ๑ ใช้ให้ลิวสับกอแม่ทัพที่ ๒ คุมไพร่ห้อประมาณ ๒๐๐ คนถือปืนคาบสิลาประมาณ ๕๐ บอก ดาบหอกอาวุธต่าง ๆ ครบมือยกมาตีพวกลาวแขวงเมืองพวน แต่ตัวฃ้าพเจ้าอ้ายห้อใช้ให้ทำนาฃ้าพเจ้าหาได้มาด้วยไม่ ครั้น ณ เดือนสี่ปีจอฉศก ลิวสิกอแม่ทัพที่ ๑ ลิวฟาลังกอแม่ทัพที่ ๓ สันสุเยแม่ทัพที่ ๔ รวม ๓ คน คุมไพร่ห้อประมาณ ๔๐๐ ไพร่แกวประมาณ ๑๐๐ รวม ๕๐๐ คน มีม้า ๑๐๐ ม้า มีปืนคาบสิลาประมาณ ๒๐๐ บอก มีดาบกับอาวุธต่าง ๆ ครบมือกัน แต่ตัวข้าพเจ้านั้นอ้ายห้อใช้ให้หาบเสบียง ยกมาแต่เมืองลาน้อย ๑๐ วันถึงเมืองเชียงขวางภักอยู่ ๒ วัน ภบลิวสิกอแม่ทัพที่ ๒ ที่ยกมาก่อน แล้วพากันยกจากเมืองเชียงขวางมาถึงเมืองเวียงจันทางสิบวันตั้งค่ายอยู่ที่เมืองเวียงจันได้สองเดือน ลิวสิกอให้ลิวสับกอแม่ทัพที่ ๒ คุมไพร่ห้อ ๓๐ คน ปืนคาบสิลา ๑๒ บอก ดาบ ๑๘ เล่ม ลงเรือสิบลำไปตีเมืองปากเหือง เมืองเชียงคานแตก ได้คน ชาย ๖ หญิง ๑๔ รวม ๒๐ คน ฃ้าพเจ้าหาได้ไปด้วยไม่ แล้วอ้ายห้อกลับมาอยู่เมืองเวียงจัน แล้วกองทัพไทยยกไปล้อมกองทัพห้อ ๆ ได้สู้รบกับกองทัพไทยได้วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง กองทัพห้อแตกหนีไปได้ประมาณ ๒๐๐ เสศ ถูกปืนตายบ้าง ตกน้ำตายบ้าง จับตัวฃ้าพเจ้าได้ส่งลงมา ณ กรุงเทพฯ เปนความสัจความจริงสิ้นคำให้การฃ้าพเจ้าแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายบาหนอน พระราชโยธาเปนผู้บังคับถาม
๏ อ้ายบาหนอนให้การว่า ฃ้าพเจ้าเปนไทเมืองลาใหญ่ อายุข้าพเจ้าได้ ๓๐ ปี พ่อแม่ฃ้าพเจ้าตาย ฃ้าพเจ้าตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่เมืองลาใหญ่ ครั้น ณ เดือน ๑๐ ปีรกาเบญจศก เวลาเช้าลิวสิก่อเปนแม่ทัพที่หนึ่ง เชียนชันเปนแม่ทับที่สองคุมไพร่พวกห้อประมาณ ๓๐๐ คน ยกมาตีเมืองลาใหญ่พวกห้อมีปืนประมาณ ๑๐๐ บอก มี ทวน เง้า ดาบ ครบมือกันตีแต่เวลาเช้าจนเวลาเยน เจ้าเมืองลาใหญ่พาครอบครัวหนีไปข้าพเจ้ากับไพร่ ชาย หญิง ในเมืองนอกเมืองภากันแตกหนีเข้าป่า ภวกห้อตามจับได้สามคนทั้งฃ้าพเจ้าภวกห้อตั้งค่ายภักอยู่เมืองลาใหญ่เดือนหนึ่ง ลิวสิกอกับเชียนชันคุมไพร่พวกห้อมาตีเมืองมกทางวันหนึ่ง ฃ้าพเจ้าพวกห้อคุมตัวไว้เมืองลาใหญ่พวกห้อตีเมืองมกแตกแล้ว พวกห้อจึ่งเอาตัวฃ้าพเจ้ามาเมืองมกแล้วพวกห้อยกมาตีเมืองเชียงก่อ พวกห้อเอาตัวข้าพเจ้ามาด้วย ข้าพเจ้าได้ช่วยพวกห้อรบกับพวกเมืองเชียงก่อ เจ้าเมืองเชียงก่อภาครอบครัวหนีไป พวกห้อภักอยู่เมืองเชียงก่อสามคืนแล้วพวกห้อยกมาตีเมืองเชียงกุน ฃ้าพเจ้าก็เข้ารบด้วยเจ้าเมืองเชียงกุนแตกหนีไป พวกห้อตั้งค่ายพักอยู่เมืองเชียงกุนสองเดือน แล้วลิวสิกอกับเชียนชันคุมภวกห้อยกมาทาง ๕ คืนมาถึงทุ่งเชียงคำมาตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งเชียงคำยังไม่ได้เข้าตีเมืองเชียงคำเจ้าเมืองทุ่งเชียงคำกับไพร่ภากันหนีไป พวกห้อตั้งอยู่ทุ่งเชียงคำ ๓ เดือน ครั้น ณ เดือน ๖ ปีกุนสัปตศก ลิวสิกอกับเชียนชันคุมพวกห้อยกมาตีเมืองเชียงฃวาง พวกห้อหาเอาตัวฃ้าพเจ้ามาไม่ให้ฃ้าพเจ้าอยู่ที่ทุ่งเชียงคำ พวกห้อตีเมืองเชียงขวางแตกแล้วพวกห้อไล่ฃ้าพเจ้ามาเมืองเชียงขวางทางสองคืนพวกห้อภักอยู่เมืองเชียงขวางเดือนหนึ่ง ณ เดือน ๘ ปีกุนสัปตศก ภวกห้อยกไปเมืองเวียงจันเอาตัวฃ้าพเจ้ามาด้วยราษฎรเขาบ้านเมืองเวียงจันภากันหนีไป พวกห้อเข้าตั้งค่ายอยู่ในเมืองเวียงจัน ๒ เดือน กองทัพไทยกไปล้อมค่ายห้อที่เมืองเวียงจัน ฃ้าพเจ้าหนีพวกห้อออกไปอยู่ป่าหลังเมืองเวียงจันสองคน ฃ้าพเจ้าออกมาหาเข้ากินกองทัพไทจับตัวได้ ๒ คน ฆ่าเสียคนหนึ่งแต่ข้าพเจ้ากองทัพไทส่งลงมา ณ กรุงเทพ เปนความสัจความจริงฃ้าพเจ้าเท่านี้ ๚ะ
เล่มที่ ๓ นำเบอร์ ๘๑ วันอาทิตย เดือน ๗ ขึ้น ๑๓ ค่ำ
ปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘ แผ่นที่ ๑๑
บอกพระสุริยภักดี
๏ พระสุริยภักดี เจ้ากรมพระตำรวจสนมทหารซ้าย พระยาพิไชย บอกลงมาฉบับหนึ่งว่า ณ วันเดือนสาม แรมสิบเอดค่ำ ฃ้าพเจ้า นายทัพนายกองยกไปถึงน้ำโคแขวงเวียนเพรืองได้ข่าวว่า ห้อยกกองทัพมาตั้งอยู่บ้านลาดงอนค่ายหนึ่ง แล้วห้อมีหนังสือให้พวกลาวพวนที่ยอมเข้ากับห้อ ถือมาใจความว่า ขอให้กองทัพไทยตั้งพักทัพอยู่ที่น้ำโคก่อน ห้อจะยอมทำสัญญาขอเสียส่วยให้เมืองหลวงพบางตามเดิม แต่จะขอรักษาเขตรแดนเมืองพวนให้เปนของห้อ แล้วให้ท้าวพระยาเมืองหลวงพบางออกไปทำสัจกันที่ค่ายลาดงอน กำหนด ณ วันเดือนสาม แรมสิบสองค่ำ ฃ้าพเจ้ากับพระยาพิไชยปฤกษาพร้อมกันว่าแต่ก่อนห้อก็ได้มีหนังสือมาขอทำสัญญาไมตรี ฝ่ายไทยก็มีหนังสือไปนัดห้อให้มาพูดจากัน ความแจ้งอยู่ในใบบอกพระยาพิไชยแต่ก่อนหลายฉบับแล้ว ครั้นจะไม่ทำสัญญาห้อก็จะมีความสงใส จึ่งให้พระยาเมืองซ้าย พระยานาเหนือ กรมการหลายนาย เมืองหลวงพบาง กำกับลาวไปทำสัจกับ ห้อที่โรงน่าค่ายลาดงอน ข้าพเจ้าแต่งตัวปลอมไปพิเคราะดูค่ายห้อตั้งอยู่เนินยอดเฃากลมใหญ่รอบประมาณเส้นเสศมีสนามเพลาะคูค่ายรายฃวากสองชั้นมั่นคง เปนทางเฉภาะจะเดินกองทัพไปบ้านลาดฮ่วง ทางนั้นเหนว่าห้อจะมาทำสัจยอมตัวโดยสุจริต แล้วเหตุใดจึ่งคิดระวังตัวเหนจะเปน กลอุบายหน่วงกองทัพไว้ให้เนิ่นช้า ครั้น ณ วันอังคาร เดือนสาม แรมสิบสามค่ำ ปีกุนสัปตศก ข้าพเจ้ากับพระยาพิไชยจัดกองทัพออกตีห้อ ให้พระปลัด ผู้ช่วย หลวงเมือง คุมกรมการ ขุนหมื่นไพร่เมือง สวรรคโลกย ๒๐๐ คน ให้พระอุตรดิฐธิบาล พระสว่างคบูรานุรักษ คุมกรมการ ฃุนหมื่นไพร่ ๒๐๐ คน ให้เมืองน่าน พระยาลา นายน้อยอินตะ นายน้อยฃัติย คุมไพร่ ๔๐๐ รวม ๘๐๐ คน ออกตัดตีกองทัพห้อข้างเชิงเขาด้านตวันตกทางหนึ่ง ให้พระยาตรวนตริสิน คุมกรมการขุนหมื่นไพร่ ๑๐๐ คน ให้พระพลเมืองสวรรคโลกยคุมกรมการขุนหมื่นไพร่ เมืองภูม เมืองสวรรคโลกย ๑๐๐ คน รวม ๒๐๐ คน คอยตีทัพห้ออยู่เซิงเขาด้านใต้ทางหนึ่ง ฃ้าพเจ้ากับนายพิไนย หัวหมื่นตำรวจทหาร กรมการ ไพร่ ๑๐๐ คน พระยาพิไชย กรมการ ขุนหมื่นไพร่ ๑๐๐ คน เจ้าราชบุตร นายฅำเล็ก นายกล่ำ พระยาเมืองฃวา พระยานาเหนือ คุมไพร่เมืองหลวงพบาง ๒๐๐ คน รวม ๔๐๐ คน คอยอยู่เชิงเขาด้านใต้ริมน้ำลาดงอนทางหนึ่ง ภอเวลาบ่ายโมงเสศ กองทัพพระอุตรดิฐาธิบาล พระฝางเมืองน่าน ออกถึงทุ่งนา พวกห้อขี่ม้าบ้าง เดินบ้าง ยกกองทัพออกจากค่ายระดมยิงปืนใหญ่น้อยมา กองทัพไทยได้สู้รบกัน กองพระปลัดยิงปืนถูกม้าพวกห้อล้มม้าหนึ่ง ห้อตายคนหนึ่ง ผู้ช่วยยิงถูกห้อตายคนหนึ่ง รวม ๒ คน ม้าแลคนถูกปืนเจบป่วยไปก็มีบ้าง สู้รบกันได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ห้อแตกหนีกลับเข้าค่ายบ้าง เลยไปค่ายลาดฮวงบ้าง เมื่อกองทัพพระอุตรดิฐ พระฝาง พระปลัดเมืองน่าน รบติดพันกันฃ้าพเจ้าจึ่งให้กองทัพข้าพเจ้า พระยาพิไชย พระตรวนตรีสิน พระพล เมืองน่าน เมืองหลวงพบาง ช่วยกันระดมยิงค่ายห้อ ๆ ก็ยิงปืนสู้รบกัน แล้วฃ้าพเจ้ากับนายพิไนย พระยาพิไชย เร่งไล่กรมการ ขุนหมื่นไพร่ เข้าหักทำลายค่ายห้อได้ในเวลานั้นพวกห้อแตกหนีไปทางหลังค่ายด้านตวันออก ขุนจ่าเมือง ๆ อุไทยฟันห้อตายคนหนึ่ง เจบคนหนึ่ง หลวงโยธาภักดี นายกองส่วยเงินเมืองอุตรดิฐฟันห้อตายคนหนึ่ง หลวงคลังเมืองสวรรคโลกย หลวงเทพอาญาเมืองอุไทย จับมวยแปลงห้อเปนได้คนหนึ่ง พวกห้อที่ตายอยู่นอกค่ายบ้าง ในค่ายบ้าง รวม ๘ คน ฝ่ายกองทัพไทยลาวถูกปืน ๔ คน แต่หาเปนไรไม่ กองหลวงเทพอาญาจับม้าได้ ๓ ม้า กองหลวงโยธาได้ม้า ๑ กับปืนคาบชุดบอก ๑ กองหลวงรามเมืองอุตรดิฐได้ ม้า ๑ พวกเมืองหลวงพบางได้ม้า ๑ ปืนเหลกกระสุนนิ้ว ๑ บอก ๑ กรมการเมือง พิไชยได้ม้า ๓ ม้า ปืนคาบชุด ๑ ข้าพเจ้าได้ปืนทองเหลืองหล่อกระสุน ๒ นิ้วกึ่งบอก ๑ แล้วพระสุริยภักดี พระยาพิไชย นายทัพนายกอง ยกติดตามพวกห้อไปหาทันไม่ ภอเวลาเยนหยุดพักกองทัพอยู่บ้านสูดห่างค่ายห้อบ้านลาดฮวงทาง ๓ ชั่วโมงเสศ ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันพุฒ เดือนสาม แรมสิบสี่ค่ำ เวลาเช้าแต่งนายทัพนายกองล่วงน่าไปดูกองทัพห้อ แล้วพระสุริยภักดี นายทัพนายกองยกติดตามไปได้ความว่า ห้อกับพวกพุดไทยลาวพวนซึ่งยอมเข้ากับห้อประมาณ ๔๐๐ เสศ หนีทิ้งค่ายลาดฮวง ครั้นพระสุริยภักดีไปถึงค่ายบ้านลาดฮวงให้คนไปดูได้ปืนทองเหลืองในค่ายห้อบ้านลาดฮวงอีกบอกหนึ่ง ได้ม้ากองเมืองพิไชย ๖ กองเมืองอุตรดิฐ ๓ กองเมืองพูม ๑ กอง เมืองอุไทย ๑ กองเมืองหลวงพบาง ๖ รวม ๑๗ กอง กับได้เข้าเปลือกมีอยู่ในฉางประมาณ ๒๐๐ เกวียน รวมปืนใหญ่น้อยสองค่ายม้าผู้ ๕ ม้า ม้าเมีย ๒๖ ม้า แล้วผู้ช่วยหลวงเมือง หลวงวังเมืองสวรรคโลกยคุมกรมการ ขุนหมื่นไพร่ ๑๔๐ คน เมืองหลวงพบาง พระยาเชียงเหน่อ ท้าวเพี้ย นายไพร่ ๒๐๐ คน รวม ๓๔๐ คน ยกติดตามพวกห้อซึ่งหนีไปทางเมืองเชียงขวางกองหนึ่ง พระปลัด หลวงคลัง เมืองสวรรคโลกย รองจ่าเมือง ๆ อุไทย คุมกรมการ ขุนหมื่นไพร่ ๑๕๐ คน พระตรวนตริสิน พระฝาง อุปหาตเมืองน้ำปาด คุมกรมการ ขุนหมื่นไพร่ ๒๒๐ คน เมืองน่าน คุมกรมการ ขุนหมื่นไพร่ ๔๐๐ คน รวม ๗๗๐ คน ยกไปสกัดตีกองทัพห้อทางเวียนคลังเมืองเชียงขวางทุ่งเชียงคำรวมกันกองหนึ่ง แล้วฃ้าพเจ้า พระยาพิไชย นายทัพนายกอง ก็ยกหนุนไปตามตีห้อค่ายทุ่งเชียงคำ อนึ่งพวกเวียนแลครอบครัวทั้งแปดเวียนในเขตรแดนเมืองพวนยังแตกหนีระสํ่าระสาย ครั้นจะรวบรวมทำบาญชีครอบครัวก็จะตื่นสดุ้งสเทือนไปต้องสงบไว้ก่อน ถ้ารบห้อทุ่งเชียงคำได้แล้ว จึ่งจะรวบรวมจัดการต่อไปตามควรได้ส่งตัวอ้ายสามมวยแปลงเปนห้อ แลคำให้การกับปืนใหญ่น้อย ๕ บอก ให้ฃุนนครไชยตำรวจ ขุนพินิจกรมการเมืองพิจิตรคุมมาส่งด้วยแล้ว ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด บอกมา ณ วันศุกร เดือนสี่ ขึ้นสองค่ำ ปีกุนสัปตศก ๚ะ
คำให้การอ้ายสาม
๏ ณ วันพฤหัศบดี เดือนสี่ ขึ้นค่ำหนึ่ง ปีกุนสัปตศก นายทัพนายกองพร้อมกันถามเอาคำให้การอ้ายสาม ๆ ให้การว่า อ้ายสามเปนมวยอยู่บ้านเมืองตายาเปนเมืองขึ้นกับเมืองญวน บิดามารดาอ้ายสามชื่อนายโฉม อำแดงโฉม อ้ายสามมีพี่สาวร่วมท้องคนหนึ่งชื่ออำแดงพรม จะเปนปีใดจำไม่ได้ ห้อยกกองทัพมาตีเมืองตายาแตก ห้อฆ่าบิดามารดาอ้ายสามตาย ห้อเอาพี่สาวอ้ายสามเปนเมีย แล้วห้อเอาอ้ายสามมาเลี้ยงม้า แล้วห้อ ยกกองทัพมาตั้งอยู่เมืองลา ห้อมีไพร่พลประมาณ ๓๐๐ เสศ แล้วห้อมาตีเมืองเชียงฆ้อแตก แล้วไปตีเมืองฮังแตก พวกเจ้าเมืองกรมการไพร่พลก็ยอมทู้ห้อ แล้วห้อก็กลับไปตั้งค่ายอยู่เมืองลา กวานหลวงเมืองลาชื่อองค์ตายิบ อ้ายสามก็อยู่กับกวานหลวงเมืองลา ครั้น ณ เดือนใดจำมิได้ ปีกุนสัปตศก กวานหลวงองค์ตายิบเมืองลา บอกให้อ้ายสามกับพวกห้อรวมกัน ๒๐ คนให้ลงมาช่วยกวานหลวงค่ายลาศฮวงรบศึกไทย อ้ายสามกับพวกห้อภากันลงมาถึงค่ายลาศฮวง ณ เดือนยี่ ปีกุนสัปตศก ครั้น ณ วันเดือนสาม แรมสิบเบจค่ำ ปีกุนสัปตศก กวานหลวงค่ายลาดฮวงก็ภาพวกห้อแลไททู้ไปตั้งค่ายอยู่ลาศงอน คอยรักษากองทัพไทยจะมาทำสัญญาต่อไป กวานหลวงห้อว่ากำลังก็น้อยจะไปทำดีต่อไทย ครั้นเดือนสาม แรมสิบสามค่ำ ปีกุนสัปตศก กองทัพไทยยกมาถึงค่ายลาดงอน กวานหลวงเหนกองทัพไทยมีกำลังมาก ผิดกับที่จะมาทำดีต่อกัน กวานหลวงก็ให้พวกอ้ายสามเอาปืนใหญ่น้อยยิงต่างคนต่างรบกัน กองทัพไทยรุกเข้าไปแหกค่ายกวานหลวง ๆ ทนไม่ได้ขึ้นม้าออกจากค่ายหนี แต่พวกห้อผู้ไทยหนีไม่ทันพวกกองทัพจับเอาตัวมาส่งเจ้าคุณแม่ทัพ แต่กวานหลวงองคยิบ แลกวานหลวงตาแยจะมาแต่บ้านใดเมืองใดหารู้ไม่ เปนความสัจความจริง สิ้นคำให้การอ้ายสามแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายเชียงพ่อ อ้ายเตาลูก
๏ อ้ายเชียงพ่อ อ้ายเต่าลูกให้การว่า อายุอ้ายเชียงได้ ๓๐ ปี อายุอ้ายเต่าได้ ๑๒ ปี บิดามารดาอ้ายเชียงชื่อเพี้ยหอม อำแดงพรม อ้ายเชียงเกิดที่บ้านซ่อนไทย อ้ายสามมีภรรยาชื่ออีชู มีบุตรชาย ๔ คน ครั้น ณ ปีกุนสัปตศก ห้อยกกองทัพมาตีเมืองซ่อนไทยแตก บิดาอ้ายเชียงกับอ้ายเชียงพากันหนีห้อมามีครัวประมาณ ๘๐ ครัว พวกอ้ายเชียงไปหาเจ้าเมืองเชียงขวาง ๓๐ ครัว ไปหาอายาดีทุ่งเชียงคำ ๕๐ ครัว แล้วเจ้าเมืองเชียงขวางจึ่งบอกให้อ้ายเชียงไปอยูบ้านภาษีได้ประมาณปีหนึ่ง ห้อยกกองทัพมาตีเมืองพวนแตก พวกลาวพวนก็ยอมทู้ห้อ อ้ายเชียงกับบิดาอ้ายเชียงก็ทู้ห้อ แล้วก็พาครัวไปอยู่บ้านตะไตรแขวงเวียนกวาง ถ้ามีการสิ่งใดก็จะเอามาใช้ที่ค่ายลาดฮวง กวานหลวงค่ายลอดฮวงชื่อกวานตาแย กวานหลวงทุ่งเชียงคำชื่อกวานก่อมาร ที่ค่ายลาดฮวงมีห้อลํ่าฉกรรจประมาณ ๓๐๐ เสศ ชายหญิงใหญ่น้อยประมาณ ๕๐๐ เสศ ครั้น ณ เดือนสิบสอง ปีกุนสัปตศก กวานหลวงใช้ให้อ้ายห้อมาบอกกับอ้ายเชียงว่า กองทัพลาวหลวงยกขึ้นมาให้อ้ายเชียงไปส่งเสบียงอาหาร อ้ายเชียงกับจองจึ่งแลพวกไทยทู้รวมกัน ๗ คน มาหากวานหลวงค่ายลาดฮวง แล้วกวานหลวงให้อ้ายเชียงเอาเสบียงอาหารไปส่งกองทัพที่บ้านสูด แล้วกวานหลวงก็ใช้ให้อ้ายเชียงตั้งค่ายแลใช้สอยในกองทัพอยู่ประมาณ ๑๗ วัน ๑๘ วัน กองทัพลาวหลวงกับกองทัพห้อ ก็ต่างคนต่างกลับมาค่ายฮวง แล้วห้อก็ให้อ้ายเชียงกลับไปบ้าน ครั้นเดือนอ้าย กวานหลวงเอาไทยทู้มาใช้คนละ ๕ วัน แต่พวกพูไทยที่ทู้ห้อมี ๑๕๐ คน ครั้น ณ วันเดือนสาม ปีกุนสัปตศก อ้ายเชียงกับอ้ายเต่าบุตรไปเที่ยวหาเข้ากินที่บ้านลาวพวนแฃวงเวียดกันหาได้อยู่บ้านไม่ ครั้น ณ วันเดือนสี่ ขึ้นค่ำหนึ่ง ปีกุนสัปตศก อ้ายเชียงมาถึงบ้านตพานญวน พวกกองทัพจับเอาอ้ายเชียงมาส่งกองทัพที่บ้านเวียนกัด แต่พวกครัวอ้ายเชียงมาจากเมืองซ่อนนั้น กวานหลวงแต่งให้จองจึงเปนนาย แต่พวกห้อจะมาทางไหนอ้ายเชียงหารู้ไม่ สิ้นคำให้การอ้ายเชียงแต่เท่านี้ ๚ะ
คำให้การอ้ายแยลังชังชิง
๏ ฃ้าพเจ้าอ้ายแยลังชังชิงเสมียนรองให้การว่า ชื่อตัวฃ้าพเจ้าชื่อ อ้ายกงโห บ้านเดิมข้าพเจ้าอยู่เมืองเลียนจิ๋ว ขึ้นกับเมืองกวางตุ้ง อายุข้าพเจ้าได้ ๕๐ ปี ข้าพเจ้ามีภรรยาแซ่จู ข้าพเจ้ามีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ กวน มีบุตรหญิงคนหนึ่งแต่งให้มีผัวออกเรือนไปแล้ว ฃ้าพเจ้าเปนคนนักสวด เมื่ออายุข้าพเจ้าได้ ๔๐ ปี มีจีนกุยกี่ แซ่ถัน หาข้าพเจ้าไปสวดที่ร่อนทองเมืองญวนตั้งเกี่ย ข้าพเจ้าเหนว่าภรรยาตายแล้ว ยังแต่บุตรชายคนหนึ่งอายุ ๑๕ ปี ฃ้าพเจ้าจึ่งภาบุตรชายข้าพเจ้ามายั้งอยู่เมืองชันฬ่อจิ๋ว เปนเมืองขึ้นอยู่กับเมืองเฮงหัวญวนตั้งเกี๋ย ฃ้าพเจ้าไปซื้อผ้าในเมืองตั้งเกี๋ยมาเร่ขาย ในเมืองชันฬ่อจิ๋วประมาณได้ปีหนึ่ง ฃ้าพเจ้าได้ภรรยาแซ่หลอคนหนึ่งมีบุตรชายคน ๑ บุตรหญิงคน ๑ ฃ้าพเจ้าค้าขายอยูที่เมืองชันฬ่อจิ๋วต่อไปได้ประมาณสามปี ฃ้าพเจ้าป่วยรักษาตัวหายแล้วหูฃ้าพเจ้าตึงไป ฃ้าพเจ้าจึ่งหาได้ค้าขายไม่ฃ้าพเจ้าทำไร่นาอยู่ที่เมืองขันฬ่อจิ๋วได้ประมาณ ๔ ปี ๕ ปี ครั้น ณ เดือนหก ปีจอฉศก เอียบไต้โกเปนนายไหญ่ห้อผมยาวคุมกองทัพห้อประมาณ ๘๐๐ คนเสศ ยกมาจากเมืองฮอเอียงจิ๋วมาตีเมืองชันฬ่อจิ๋ว เมืองขันฬ่อจิ๋วมีเชิงเทินดินกว้าง ๓ เส้นยาว ๓ เส้น เปนวงกลม มีคูกว้าง ๔ ศอกเสศ เจ้าเมืองชันฬ่อจิ๋วคุมคนในเมืองนอกเมืองประมาณ ๑๐๐๐ เสศกับจีนแฃะพวกร่อนทองที่เมืองขันฬ่อจิ๋วประมาณ ๑๐๐ เสศ มาช่วยเจ้าเมืองขันฬ่อจิ๋วรบกับทัพห้อได้ ๒ วัน กองทัพห้อเอาปืนยิงถูกม้าเจ้าเมืองชันฬ่อจิ๋วม้าล้มลง เจ้าเมืองชันฬ่อจิ๋วหนีไป ทัพเมืองชันฬ่อจิ๋วก็แตกกระจัดพรัดพรายกันไป ไพร่พลเมืองที่เหลืออยู่ในเมืองชันฬ่อจิ๋วยอมเข้าเปนพวกเอียบไต้โกประมาณ ๓๐๐ คน ๔๐๐ คน เอียบไต้โกได้เปนเจ้าเมืองชันฬ่อจิ๋ว เกลี้ยกล่อมไพร่พลเมืองเก่าใหม่รวมคน ๕๐๐ ครัวแต่ที่หนีไปประมาณ ๕๐๐ ครัวแล้ว เอียบไต้โกให้คนไปจับตัวฃ้าพเจ้ามาเรียกค่าถ่ายชีวิตรฃ้าพเจ้าไปเปนเงินห้าตำลึงจีน แล้วเอียบไต้โกให้ป้ายสำหรับคุ้มตัวฃ้าพเจ้าป้ายหนึ่งให้หนังสือจีนป้ายมีว่า เอียบไต้โกตีเมืองชันฬ่อจิ๋วแตกแล้ว ถ้าราษฎรขัดขืนก็จะฆ่าให้หมด ถ้าราษฎรยอมขึ้นก็ไม่ให้ทำอันตะรายด้วยชื่อ กงโห แซ่หู ยอมมาขึ้นได้เสียเงินข้าธรรมเนียมแล้ว จึ่งได้ให้ป้ายนี้ไว้เปนสำคัญ กลับไปอยู่บ้านทำมาหากินตามเดิม ถ้าทหารของห้อได้เหนป้ายนี้แล้ว ไม่ให้ทำอันตะรายกับพวกนี้เปนอันขาด ฃ้าพเจ้าได้ป้ายแล้วกลับมาบ้าน ฃ้าพเจ้าหาพบบุตรภรรยาฃ้าพเจ้าไม่ หายไปจะเปนตายประการใดฃ้าพเจ้าไม่รู้ ครั้น ณ เดือนสี่ ปีจอฉศก ฃ้าพเจ้าเหนลิวซิโก ลีจับโกยกกองทัพมาคนประมาณ ๕๐๐ คน เข้ามาภักอยู่เมืองชันฬ่อจิ๋วมาจนถึง ณ เดือนห้า แรมห้าค่ำ ปีกุนสัปตศก ลิวสิโก ลีจับโก ยกกองทัพห้อมาประมาณ ๕๐๐ คน ยกออกจากเมืองชันฬ่อจิ๋วจะมาตีเมืองพวน เอียบไต้โกรู้ว่าฃ้าพเจ้าเปนคนช่างเย็บ เอียบไต้โกเอาตัวฃ้าพเจ้าส่งให้ลิวสิโก ลีจับโก ใช้การเย็บในกองทัพ แล้วลิวสิโก ลีจับโก ยกกองทัพห้อออกจากเมืองชันฬ่อจิ๋ว เอียบไต้โกตามไปส่งกองทัพทาง ๖ วัน มาถึงเมืองม่วง ว่าสิ้นเขตรเมืองชันฬ่อจิ๋ว เอียบไต้โกก็กลับไปเมืองชันฬ่อจิ๋ว ฃ้าพเจ้าเหนลิวสิโก ลีจับโกยกกองทัพห้อมาตามทางป่าแดงหัวเมืองลาวกลางทางไม่มีผู้ใดออกสู้รบ ฃ้าพเจ้าเหนพวกลาวเอาเข้าปลาอาหารมาส่งให้เปนเสบียงกองทัพตามทาง ลิวสิโก ลีจับโก ยกกองทัพเดินทางถ้าฝนตกก็หยุดกองทัพอยู่วันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง ถ้าเปนหายเดินกองทัพต่อมา จนถึง ณ เดือนเจด ขึ้นห้าค่ำ ปีกุนสัปตศก ลิวสิโก ลีจับโกยกกองทัพห้อมาถึงเมืองพวน ฃ้าพเจ้าเหนกองทัพห้อตั้งค่ายภักอยู่ที่เมืองพวนกองหนึ่ง ปักอึงโกคุมคนอยู่ในค่ายประมาณ ๔๐๐ คน ๕๐๐ คน ค่ายกับบ้านเจ้าเมืองพวนทางประมาณ ๑๐ วัน แล้วลิวสิโก ลีจับโก มาภักอยู่ที่ค่ายได้สามวันฃ้าพเจ้าเหนซินซือหยาคุมคนมา ๒๐๐ คนมาภบกับลิวสิโก ลิจับโก ให้รวมกันอยู่ที่ค่ายห้อตั้งอยู่เมืองพวน ลิวสิโก ลิจับโก ซินซือหยา เข้าไปพูดกันในค่ายจะพูดจากันประการใดฃ้าพเจ้าไม่ทราบ ครั้น ณ วันเดือนเจด ขึ้นแปดค่ำ ปีกุนสัปตศก ลีวสิโก ลีจับโก ซินซือหยาคุมคนประมาณ ๗๐๐ คน ๘๐๐ คน ทั้งฃ้าพเจ้ายกลงมาเมืองเวียงจันเก่า แต่ปักอึงโกคุมคนรักษาค่ายอยู่ที่เมืองพวน ฃ้าพเจ้าเหนพวกลาวเมืองพวนเอาเข้าปลาอาหารส่งให้เปนเสบียงกองทัพ ลิวสิโก ลิจับโก ซินซือหยา เมื่อยกมาจากเมืองพวน ลิวสิโก ลิจับโก ซินซือหยา ยกถึงเวียงจันเก่า ณ เดือนแปด ขึ้นสองค่ำ ปีกุนสัปตศก ลิวสิโก ลีจับโก ซินซือหยาให้กองทัพห้อเอาไม้ไผ่บ้างไม้หมากบ้าง ทำค่ายภักอยูในเวียงจันเก่ากว้างยาวประมาณ ๒ เส้นเสศ มีหอคอย ๔ มุมค่าย ลิวสิโก ลิจับโก ซินซือหยา จะมีการใช้หนังสือไปมาประการใด ซินซือหยาเปนคนเขียนหนังสือใช้ไปมาทุกครั้งทุกคราว แต่ปักอึงโกคุมคนตั้งค่ายอยู่เมืองพวนนั้น จะได้รบฤๅไม่ได้รบฃ้าพเจ้าไม่ทราบ ซินซือหยารู้ว่า ฃ้าพเจ้าเขียนหนังสือจีนได้ ซินซือหยาใช้ให้ฃ้าพเจ้าเปนเสมิยนรองสำรับเขียนป้ายให้กับคนที่เข้าเกลี้ยกล่อมยอมอยู่กับห้อซึ่งลิวสิโก ลีจับโก ซินซือหยาใช้เครื่องสาตราอาวุธลูกกระสุลดินดำในกองทับห้อที่เวียงจันเก่านั้น ปืนหามแล่นหนักประมาณห้าสิบชั่งหกกระบอก ปืนคาบชุด ๒๐๐ กระบอก เหลกแหลมดํ้าไม้ไผ่ยาว ๘ ศอก ประมาณ ๔๐๐ ถ้ากระสุนดินดำฃาดน้อยลง เอียบใต้โกผู้รักษาเมืองชันฬ่อจิ๋วให้คนเอาลูกกระสุลดินดำมาส่งลิวซิโก ลีจับโก ซินซือหยาใช้สอยในการทัพอยู่เนือง ๆ เมื่อฃ้าพเจ้าอยู่ที่เมืองชันฬ่อจิ๋ว ฃ้าพเจ้ารู้อยู่ว่าเอียบใต้โกประสมทำดินปืนเอาเอง ครั้น ณ เดือนสิบเอด ขึ้นค่ำหนึ่ง ปีกุนสัปตศก กองทัพไทยยกมาตีกองทัพห้อในเวียงจันเก่า กองทัพห้อแตกฃ้าพเจ้าเหนลิวซิโกถูกปืนที่อกลูกปืนตลอดทะลุไปค่างหลังลิวซิโกตาย แล้วกองทัพไทยจับได้ตัวฃ้าพเจ้าแต่นายทัพนายกอง แลไพร่กองทัพห้อจะตายเปนหลบหนีไปข้างไหนฃ้าพเจ้าหาเหนไม่ กองทัพไทส่งตัวฃ้าพเจ้าเข้ามา ณ กรุงเทพฯ ซึ่งนายทัพใหญ่ชื่อ ป้องลันซี อยู่เมืองห้อยังจิ๋วกับนายทัพนายกองจะยกต่อมาฤๅจะไม่ได้ยกต่อมาอีกประการใดข้าพเจ้าหาทราบไม่ เปนความสัจความจริงสิ้นคำให้การฃ้าพเจ้า เท่านี้ ๚ะ
เล่มที่ ๕ นำเบอร์ ๑๕๓ วันอาทิตย เดือน ๙ แรม ๕ ค่ำ
ปีขานสัมฤทธิศก ๑๒๔๐ แผ่นที่ ๒๐
ข่าวส่งอ้ายทิมไว้ ณ คุก
๏ ณ วันศุกร เดือนเก้า ขึ้นสิบเบดค่ำ ปีฃานลัมฤทธิศก ศักราช ๑๒๔๐ พระบาทสมเดจพระเจ้าอยู่หัวเสดจประทับพระที่นั่งบรมราชสฐิตยมโหฬาร มีพระบรมราชโองการมารพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ดำรัสสั่งพระยามหามนตรีศรีองครักษ เจ้ากรมพระตำรวจในขวาให้เอาตัวอ้ายทิม ขุนพิพิธภักดีในกรมพระสุรัศวดีเปนคนคิดนิราศหนองคายถ้อยคำฟุ้งซ่านรานระเหลือเกินมากนักให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยน ๕๐ จำขังคุกไว้ แลหนังสือนิราศหนองคายที่ตีพิมพ์เยบเปนเล่มไว้นั้นใครได้ซื้อมาอ่านมาฟังให้พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมืองเกบเอามาเผาไฟเสียให้สิ้นอย่าให้มีเปนแบบฉบับเหลืออยู่ได้ พระยามหามนตรีศรีองครักษรับพระบรมราชโองการนำเอาตัวอ้ายทิม ขุนพิพิธภักดีลงพระราชอาญาเฆี่ยน ๕๐ ที ส่งหลวงพัศดีกลางจำขัง คุกไว้ ๚ะ
เล่มที่ ๕ นำเบอร์ ๑๖๑ วันอาทิตย เดือน ๙ แรม ๑๒ ค่ำ ปีขานสัมฤทธิศก
๑๒๔๐ แผ่นที่ ๒๑
ประกาศเรื่องอ้ายทิมแต่งนิราศ
๏ ด้วย พระศรีสุนทรโวหารเจ้ากรมพระอาลักษณรับพระบรมราชโองการใส่เกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งว่าอ้ายทิม ขุนพิพิธภักดีในกรมพระสุรัศวดี คิดหนังสือนิราศว่าด้วยกองทัพซี่งจะยกขึ้นไป ณ เมืองหนองคายเพื่อจะป้องกัน รักษาพระราชอาณาเขตรตามราชประเพณีมาแต่ก่อน อ้ายทิมบังอาจแต่งหนังสือ ออกพระนามพระบาทสมเดจพระเจ้าแผ่นดินตัดทอนแทรกเปลี่ยนถ้อยคำเจือลงในกลอน แลกล่าวความกระทบกระเทียบถึงท่านผู้บัญชาราชการแผ่นดิน แลผู้อื่น ๆ โดยถ้อยคำอยาบคายยกย่องเหตุซึ่งได้ขัดฃวางราชการแผ่นดินขึ้นเชิดชูไปต่าง ๆ จึ่งทรงพระราชดำริหพร้อมด้วยท่านเสนาบดีว่า ราชประเพณีแต่ก่อนมีการทัพศึกมาเวลาไร พระบาทสมเดจพระเจ้าแผ่นดินแลท่านเสนาบดีก็ปฤกษาพร้อมกันจัดกองทับไปรับรองป้องกันพระราชอาณาเขตรหามีผู้ใดขัดขวางแลติเตียนเหลือเกินดังนี้ได้ไม่ ถ้ามีผู้ใดพูดจาดังนี้ในเวลามีการทัพก็จะต้องมีโทษถึงประหารชีวิตรตามพระราชกำหนดกฎหมาย บัดนี้อ้ายทิมมาทำหนังสือว่ากล่าวเหลือเกินเทจบ้างจริงบ้างเปนการหมิ่นประหมาทต่อราชการแลท่านผู้บัญชาการจะเปนอย่างต่อไปภายน่าเมื่อมีราชการ ทัพศึกก็จะบังคับบัญชาได้โดยยากจึ่งให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนอ้ายทิม ๕๐ ที ส่งตัวไปจำไว้ ณ คุก อย่าให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่าง แลหนังสือฉบับนี้เปนหนังสือขัดฃวางต่อราชการแผ่นดินเปนที่หมิ่นประหมาทในพระบาทสมเดจพระเจ้าแผ่นดิน แลท่านเสนาบดีผู้ซี่งมีกตัญญูต่อแผ่นดินแลยำเกรงนับถือในพระบาทสมเดจพระเจ้าแผ่นดิน แลท่านเสนาบดีซึ่งช่วยรักษาแผ่นดินอยู่ก็หาควรจะอ่านจะเกบหนังสือไว้ไม่ ด้วยเปนที่ขัดฃวางต่อราชการแผ่นดิน แลเปนที่หมนหมองต่อพระบาทสมเดจพระเจ้าแผ่นดินแลท่านเสนาบดี ต้นร่างหนังสือฉบับนี้ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้เรียกมาทำลายเสีย ฉบับที่ตีพิมพแล้วยังไม่ได้ฃายไปนั้นให้ผู้ซึ่งส่งไปพิมพซื้อมาทำลายเสียทั้งสิ้น แต่หนังสือที่ได้ซื้อแต่ก่อนแล้วนั้นถ้าผู้ใดยังมีหนังสือนั้นก็ให้ฉีกทำลายเสีย อย่าให้ติดเปนแบบอย่างอยู่ในแผ่นดินสืบไป ประกาศมา ณ วันอังคาร เดือนเก้า แรมเจดค่ำ ปีขานสัมฤทธิศก ศักราช ๑๒๔๐ เปนวันที่ ๓๕๗๐ ในรัชกาลปัตยุบันนี้ ๚ะ
หนังสือราชกิจจานุเบกษา ฉบับที่ ๒๐ น่า ๑๕๓ ว่าด้วยเรื่องนิราศหนองคายนี้ผู้ซึ่งลงพิมพ์ว่าหาถูกต้องตามกระแสพระบรมราชโองการไม่ ให้ผู้อ่านเชื่อประกาศฉบับนี้แทนเถิด ๚ะ