นิราศหนองคาย หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์)
๏ ท่านเจ้าพระยามหินทรเคาซิลลอ[๑] | ออกหน้าหอขนพองสยองหัว |
ในจิตคิดหนาวสั่นพรั่นพรึงกลัว | ด้วยว่าตัวจะต้องแน่เป็นแม่ทัพ |
ให้คิดห่วงหวงนางสาวชาวละคร | นั่งสะท้อนถอนใจจนลมจับ |
เหื่อแตกเต็มประดาเอาผ้าซับ | เคี้ยวหมากหยับหยับแสนเสียดาย |
โอ้ว่าไข่ขวัญของพี่เอ๋ย | กระไรเลย (ห่วงอยู่ไม่) รู้หาย[๒] |
ตัวพี่จะต้องไปหนองคาย | ด้วยเรื่องรายฮ่อหาญมาราญรอน |
เลยบัญชาให้ข้าพเจ้านี้ | ผู้เป็นที่เสมียนเขียนอักษร |
จดหมายเหตุจำทำเป็นคำกลอน | จะถาวรอยู่ในคุกสนุกนิ์นาน |
ประชาชนจะได้ยลระยะทาง | เป็นตัวอย่างทำเนียมคุกทุกสถาน |
เหล่าฝูงคนที่อยู่ได้รู้การ | ผู้ใดอ่านเห็นความขลาดได้บาดใจ |
ฉันคำนับรับบัญชาจดจาฤก | คิดตรองตรึกตามบัณฑิตลิขิตไข |
ปัญญาน้อยหนุ่มคะนองไม่ว่องไว | พอทนได้ห้าสิบทีมีลายงาม ฯ[๓] |
๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุ | ในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม |
บังเกิดพวกอ้ายฮ่อมาก่อความ | ทำสงครามกับลาวพวกชาวเวียง |
ซึ่งเจ้าเมืองเขตขัณฑ์ตะวันออก | ก็แต่งบอกเขียนหนังสือลงชื่อเสียง |
ในเขตแดนหนองคายเมืองรายเรียง | เมืองใกล้เคียงบอกบั่นกระชั้นมา |
ว่าล้วนพวกอ้ายฮ่อทรลักษณ์ | ประมาณสักสามพันล้วนกลั่นกล้า |
เที่ยวรบปล้นขนทรัพย์จับประชา | ลาวระอาหมีได้อาจขยาดกลัว |
พวกชาวเวียงแสนขลาดอนาถนึก | รู้ข่าวศึกขนพองสยองหัว |
ยังหมีทันจะได้พะปะพบตัว | เสียงร้องกลัวออกระอาทั่วหน้าไป |
แต่เจ้าคุณของฉันท่านดีจริง | ท่านขลาดยิ่งกว่าพวกเขาเป็นไหนไหน |
เขาขลาดคิดมาดหมายพึ่งไทย | คงช่วยให้ทุกข์นิราศจึงขลาดดี |
นี่เจ้าคุณท่านไม่เห็นเป็นเช่นนั้น | ท่านตัวสั่นเสียยิ่งกว่ากลัวผี |
แม้นอ้ายฮ่อยกมาจะราวี | ถึงกรุงศรีคงวิ่งออกไปนอกกรุง |
ถ้าจะอยู่ก็เพราะห่วงนางสาวสาว | กับทั้งคราวผลประโยชน์ที่เคยนุ่ง[๔] |
ทั้งฟูกเบาะเมาะหมอนที่นอนมุ้ง | กับทั้งถุงเงินทองจะต้องไกล |
จึงจำเป็นคุยป๋ออวดก้อเก่ง | อวดนักเลงเคอะเคอะเซอะเล่นได้ |
ถึงอ้ายฮ่อจะมากสักเท่าใด | คร้ามในใจแต่ว่าปากไม่อยากกลัว ฯ |
๏ สมเด็จพระปรมินทร์บดินทร์เดช | ซึ่งปกเกศร่มเกล้าเจ้าอยู่หัว |
สดับเรื่องเมืองบนกระมลมัว | ศึกพันพัวราษฎร์ประเทศในเขตคัน |
ด้วยไพร่บ้านพลเมืองจะเคืองขุ่น | ทรงการุญราษฎรคิดผ่อนผัน |
เชิญสมเด็จเจ้าพระยาปรึกษาพลัน | พร้อมด้วยพันธุพงศ์พระวงศ์วาน |
เห็นแต่เจ้าพระยามหินทรเคาซิลลอ | ปากคุยป๋อยิ่งยวดอวดฮึกหาญ |
พอจะเป็นแม่ทัพรับราชการ | ที่รำคาญขุ่นข้องเมืองหนองคาย |
แม้นเสร็จทัพกลับบุรีมีความชอบ | จะทรงตอบยศศักดิ์ให้เหลือหลาย |
แม้นคิดขลาดหวาดกลัวตัวจะตาย | ให้นึกว่าเป็นชายต้องจำเป็น |
เสียแรงได้เกิดมาเป็นชาวสยาม | มีสงครามต้องมารับดับยุคเข็ญ |
ระงับทุกข์ราษฎรให้ผ่อนเย็น | จะเป็นเกียรติยศอยู่ไม่รู้วาย ฯ |
๏ แล้วจัดพระยาพระหลวงทั้งปวงอีก | ให้เป็นปีกซ้ายขวาทัพหน้าหลาย |
สั่งเกณฑ์เลขสมฉกรรจ์พันทนาย | ทั้งเลขจ่ายตามกรมระดมกัน |
เกณฑ์เลขทาสทั้งที่มีค่าตัว | สัสดีนับหัวจนตัวสั่น |
คราวนี้คงเป็นการเงินงานครัน | ผ้าที่พันแก้ทิ้งวิ่งเปลือยกาย |
เห็นจะได้ท่าใดไม่ละลด | เล่นจนหมดคล้ายคล้ายริบเกือบฉิบหาย |
ที่นอกเกณฑ์ถูกขู่รู่แทบตาย | ไม่รู้เท่าตัวนายหลอกเป็นควัน |
เล่นกันจนผ้าผ่อนออกล่อนตัว | ดูนุงนัวนายหมวดเร่งกวดขัน |
ผู้ที่เป็นมูลนายวุ่นวายครัน | บ้างใช้ปัญญาหลอกบอกอุบาย |
ว่าตัวทาสหลบลี้หนีไม่อยู่ | ข้างเจ้าหมู่เกาะตัวจำทำใจหาย |
ที่ตัวทาสหนีจริงวิ่งตะกาย | ทำวุ่นวายยับเยินเสียเงินทอง |
เกณฑ์ขุนหมื่นขึ้นใหม่ในเบี้ยหวัด | ขุนหมื่นตัดเกณฑ์ตามสามเอาสอง |
ท่านนายเวรเกณฑ์กวดเต็มหมวดกอง | เอาข้าวของเงินตราปัญญาดี |
เหล่าพวกขุนหมื่นไพร่ต้องไปทัพ | ที่มีทรัพย์พอจะจ่ายไม่หน่ายหนี |
สู้จ้างคนแทนตัวกลัวไพรี | ที่เงินมีเขาไม่อยากจะจากจร |
ที่ไม่มีสินทรัพย์จะนับใช้ | ต้องจำใจพลัดพรากจากสมร |
บางคนเป็นผู้ดีมีเงินนอน | สุดผันผ่อนจ้างใครไม่ให้แทน |
บ้างสามิภักดิ์รักเจ้าเข้าอาสา | เห็นนายขลาดสิ้นท่าตาขาวแสน |
เป็นเที่ยงแท้แน่จิตไม่คิดแคลน | ถือนายแม้นเหมือนบิดาครูอาจารย์ ฯ |
๏ ฉันผู้แต่งหนังสือชื่อนายทิม | ถูกเฆี่ยนริมหลังขาดด้วยอาจหาญ |
เพราะในจิตคิดฟุ้งมุ่งเอาการ | หมายจะนุ่งรับประทานให้พอแรง |
ประจบนายหมายจะให้ท่านเมตตา | ด้วยมีท่าขู่มนุษย์ได้สุดแขง |
ถึงเรานุ่งสักเท่าไรใครฟ้องแย้ง | ท่านเถียงแข่งรับเอาเป็นเจ้าการ[๕] |
คงสมคิดแล้วหนาข้านายทิม | บ้านอยู่ริมราชบูรณะพระวิหาร |
อยู่เรือนแถวแนวแพกระแสธาร | เหนือถัดบ้านพระภาษีมีสำคัญ |
รู้ว่านายเป็นแม่ทัพรับอาสา | ปรารถนานุ่งตามนายจึงผายผัน |
ด้วยพระเดชพระคุณการุญครัน | ถึงคบลูกสาวท่านก็ชอบใจ ฯ |
๏ เจ้าคุณท่านอาสามหากระษัตริย์ | มีมนัสเสียวสั่นยิ่งหวั่นไหว |
เราเป็นข้าต้องอาสาเจ้านายไป | ถึงจะขลาดสักเท่าไรต้องจำจร |
จำใจร้างห่างมิตรขนิษฐ์นาฏ | หวนสวาดิด้วยจะร้างห่างสมร |
แสนถวิลจินดาด้วยอาวรณ์ | สะท้อนถอนฤๅทัยอาลัยครวญ |
กางกรประคองกอดแม่ยอดรัก | พิศพักตร์สาวน้อยละห้อยหวน |
นึกก็น่าใจหายเสียดายนวล | เออไม่ควรหลังจะลายเมื่อปลายมือ |
เพราะความโลภเจตนาหาความชอบ | คิดประกอบเลี้ยงชีพไม่สัตย์ซื่อ |
คงจะไปสู่อบายเมื่อปลายมือ | ทั้งจะรื้อเริดร้างไปห่างเรือน |
แสนสงสารแต่พธูจะอยู่เดียว | นึกเฉลียวอาลัยใครจะเหมือน |
พึ่งอยู่กินด้วยพี่สักสี่เดือน | จะจากเพื่อนพิศวาสแทบขาดใจ |
ถ้ากลับเมืองพอแต่งนิราศจบ | เห็นถูกตบถูกเฆี่ยนเจียนตักษัย |
เป็นวงเวรเกณฑ์กรรมต้องจำไกล | จะเข้าไปติดคุกต้องทุกข์ทน |
แสนอาลัยใจฝ่อกลัวฮ่อหนัก | อกทึกทักหัวพองสยองขน |
เจียนหัวใจจะครากไปจากตน | พิไรร่ำพร่ำบ่นด้วยอาลัย ฯ |
๏ ครั้นเห็นน้องนองเนตรสังเวชจิต | นึกหวนคิดว่าจะเบือนเชือนไถล |
จะบอกป่วยเสียให้มากไม่อยากไป | กลัวจะไม่เป็นธรรม์กตัญญู |
นายมีกิจควรฤๅคิดเอาตัวรอด | คนจะย้อนข้อนขอดได้อดสู |
ต้องจำใจจำร้างห่างพธู | จงเชิญอยู่ให้เป็นสุขสนุกนิ์ดี |
อย่าร้องไห้จะเป็นลางจงสร่างโศก | อย่าวิโยคนักน้องจะหมองศรี |
แม้นตั้งใจไว้ท่าไม่ราคี | นั่นแลมีความชอบฉันขอบใจ ฯ |
๏ ถึงวันพุธเดือนสิบแรมแปดค่ำ | เป็นวันอำมฤตโชคโฉลกใหญ่ |
ณ ปีกุนสัปตศกจะยกไป | จำครรไลโลมลาสุดาดวง |
น้ำตาไหลพรากพรากออกจากห้อง | เหลียวดูน้องใจหายไม่วายห่วง |
ค่อยแขงขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมทรวง | แล้วเลยล่วงอำลาแม่อาพลัน |
ท่านก็ร่ำอวยไชยให้เป็นสุข | อย่ามีทุกข์อันตรายทางผายผัน |
สวัสดีมีไชยพ้นไภยัน | เมื่อกลับนั้นจงเป็นสุขเข้าคุกนอน ฯ |
๏ ลงจากเรือนเบือนดูแม่คู่ชื่น | ถอนสะอื้นโหยไห้ฤๅทัยถอน |
สละรักหักใจอาลัยวรณ์ | ฝืนใจจรรีบเดินเมินไม่มอง |
มาครู่หนึ่งถึงสถานบ้านเจ้าคุณ | กำลังวุ่นผู้คนเขาขนของ |
ฉันผินพักตร์เข้าฝาน้ำตานอง | ใจสยองยิ่งสลดระทดระทม |
แสนคะนึงถึงมิตรจิตระทวย | กลัวฮ่อด้วยความรักมาหมักหมม |
ค่อยแข็งขืนฝืนกลัวรักหักอารมณ์ | ครั้นวายตรมแล้วมานั่งคอยฟังการ ฯ |
๏ คนพร้อมพรั่งนั่งรอหน้าหอใหญ่ | ทั้งพวกไพร่เหล่าพหลพลทหาร |
บ้างขนเสบียงลงเรือเกลือน้ำตาล | ทั้งข้าวสารข้าวตากแลหมากพลู |
ของเจ้าคุณขนเนื่องทั้งเครื่องใช้ | คนขนไม่หยุดหย่อนร้องอ่อนหู |
เกินจะพรรณนาเหลือตาดู | ทั้งเนื้อหมูแฮมส้มขนมปัง |
สารพัดของหวานน้ำตาลกวน | ทั้งโซ่ตรวนผนึกใส่ลงในถัง |
ทั้งขื่อคับหวายตะค้าดาประดัง | จะไปตั้งเร่งเงินค่าราชการ |
พวกชาวลาวตาขาวพอเห็นโซ่ | คงเอาเงินใส่โอมาให้ท่าน |
พอเป็นของกันกระหายได้รับประทาน | พอเจือจานเป็นเสบียงได้เลี้ยงกัน ฯ |
๏ เครื่องอาวุธสารพัดท่านจัดซื้อ | ล้วนเครื่องมือรบทัพดูขับขัน |
ซื้อเสื้อหมวกแจกจ่ายเป็นหลายพัน | ล้วนแพรพรรณสักหลาดสะอาดตา |
ลงทุนซื้อของมีบาญชีเสร็จ | สักร้อยเจ็ดสิบชั่งก็ยังกว่า |
ที่นุ่งได้ไว้สักพันเท่านั้นมา | ออกครั้งนี้น้อยกว่าสิบส่วนปลาย |
ทั้งใบชาผ้าขาวแลผ้าไตร | ท่านจัดไว้บังสุกุลออกเหลือหลาย |
ให้นึกนึกกพรั่นชีวันวาย | เพราะมุ่งหมายไม่ประมาททั้งขลาดปน |
แล้วนึกห่วงสาวน้อยละห้อยหา | แม้นท่านดับชีวาแล้วคงป่น |
หนุ่มจะแย่งยิ่งกว่าแร้งแย่งเนื้อคน | ดูขัดสนแสนทุเรศเวทนา |
ทั้งลงทุนเครื่องมือไปไม่ใช่น้อย | ทั้งผ้าลายดอกลอยสักร้อยกว่า |
เครื่องทำไม้เครื่องมือซื้อเอามา | ทั้งมีดพร้าจอบเสียมก็เตรียมการ |
แลท่านทำแหวนเพชรสิบเอ็ดวง | หวังใจจงแจกจ่ายนายทหาร |
ที่ไม่คิดย่อหย่อนเข้ารอนราญ | ใครทำการศึกสำเร็จบำเหน็จมือ |
แต่อย่างไรก็ไม่ได้รบเป็นแน่ | เพราะท้อแท้ไม่อยากไปหมีใช่หฤๅ |
แต่ทำแหวนเพชรไปให้เขาฦๅ | พอเสร็จทัพกลับใส่มือนางละคร |
ไม่ต้องเสียแหวนเพชรสักเม็ดเดียว | ทำกราวเกรียวพอให้ชื่อฦๅกระฉ่อน |
แต่ขี้ขลาดท่านยังอาจมาทำกลอน | หวังจะอวดราษฎรให้เลื่องฦๅ |
ทั้งเสื้อผ้าสารพัดท่านจัดครบ | ถ้าใครรบจริงจริงไม่วิ่งตื๋อ |
เข้าตีข้าศึกแยกให้แตกฮือ | จดเอาชื่อแล้วจะได้ให้รางวัล ฯ |
๏ อันคนเราเหล่าทหารพาลจะโง่ | เห็นอวดโอ่คงว่าจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
เป็นแต่สักสักว่าทำบ่นรำพัน | ก็ดีกันอยู่ที่หลอกบอกอุบาย |
ถึงหากไปคงไม่ได้เข้ารบรับ | ต้องขนกลับคืนมาท่าฉิบหาย |
สู้ไว้นุ่งเล่นที่บ้านสำราญกาย | แจกทนายหน้าหอล่อใจมัน ฯ |
๏ ครั้นบ่ายสามโมงถ้วนจะจวนฤกษ์ | เอิกเกริกไพร่นายเตรียมผายผัน |
พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาพลัน[๖] | เจ้าคุณนั้นออกมารับคำนับกาย |
พร้อมสมณพราหมณาโหราศาสตร์ | นั่งเกลื่อนกลาดเคียงขนานประมาณหลาย |
พนักงานตั้งเตียงไว้เรียงราย | ที่อาบสายชลธาเบญจางาม |
เจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมสมเด็จ | แล้วก็เสร็จสู่เบญจาหน้าสนาม |
สรงพุทธมนต์ชลอาบปราบสงคราม | ขึ้นเหยียบไม้ข่มนามของท่านเอง |
แขงใจย่ำตำตีนอยู่แปลบแปลบ | ให้เสียวแสบลุกขึ้นโลดกระโดดเหยง |
เอ๊ะเป็นลางวิปริตจิตกริ่งเกรง | เห็นผิดเพรงพรั่นหมู่ศัตรูพาล |
พระสงฆ์องค์สมมุติวงศ์พุทโธ | ชยันโตสำเนียงเสียงประสาน |
ฟังเป็นสวดมหาชัยอาลัยลาญ | นึกกันดารเดนเย่อร์เออเต็มที |
ฤๅเราไปจะไม่ได้มาสู่เหย้า | ได้คลึงเคล้าคลอแคลแฟมลี่[๗] |
ความรักนิดไหนจะติดอย่างกอปี | สิ้นชีวีแล้วคงป่นไม่ทนนาน |
สู้หักใจเหลือบซ้ายแล้วแลขวา | พอสบหน้าเนตรอนงค์ยิ่งสงสาร |
เสียงฆ้องไชยลั่นต้องก้องกังวาน | โหราจารย์พราหมณ์เคาะบัณเฑาะว์ดัง |
พระครูโหรอวยไชยให้เดชะ[๘] | พราหมณะผู้เฒ่าก็เป่าสังข์ |
พร้อมด้วยเหล่าเจ้าพระยาดาประดัง | ขุนนางนั่งสลอนอวยพรไชย |
พวกคณะสัสดีโยคีนุ่ง | ก็เปลื้องผ้าพันพุงฟาดเคราะห์ให้ |
บ้างอวยพรพร่ำว่าถ้าขึ้นไป | ให้ได้กลับมาไวไวจึงจะดี |
บ้างว่าถ้าเจ้าคุณขึ้นไปตาย | จะหานายนุ่งใหม่ไม่เหมือนนี่ |
นุ่งไม่ว่าหน้าไหนไพร่ผู้ดี | นุ่งจนมีชื่อเสียงทั้งเวียงไชย ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าคุณแม่ทัพครั้นสรรพเสร็จ | น้อมสมเด็จเจ้าพระยาอัชฌาสัย |
นึกทำทีออกยูดีให้ในใจ | แล้วเลี่ยงเข้าห้องในเปลื้องผ้าพลัน |
แล้วนุ่งผ้าออกทัพสำหรับยุทธ | บริสุทธิ์งามดีสอดสีสรรพ์ |
สีเขียวแก่ตามดังกำลังวัน | สิบเอ็ดชั้นล้วนสีเขียวดูเชี่ยวชาญ |
ท่านเจ้าพระยากลาโหมกรมท่า | ช่วยนุ่งผ้าเหลืองเข็มขัดรัดประสาน |
แล้วสวมเสื้อปักทองของประทาน | อย่างทหารใจขี้ขลาดพาดแถบทอง |
แล้วสวมไหล่ใส่สะพายสายอำนาจ | เหมือนนักการชาญฉลาดขลาดขนหยอง |
แล้วห้อยอรแชนแขวนประคอง | งามเรืองรองล้วนสุวรรณพรรณราย |
แล้วสวมหมวกยศสำอางอย่างทหาร | กุมกระบี่ที่ประทานแล้วผันผาย |
ออกมานั่งคอยฤกษ์เบิกสบาย | ผินพักตร์ฝ่ายบูรพาหางนาคิน |
ท่านสมเด็จเจ้าพระยาคอยหาฤกษ์ | พอเมฆเบิกดีอุดมสมถวิล |
สูริงทรงรถหมดมลทิน | ทางกระสินธุ์บริบูรณ์เพิ่มพูนดี ฯ |
๏ สมเด็จท่านชาญฉลาดขลาดมาเก่า | ชื่อท่านเน่าครั้งทัพญวนกระบวนหนี |
พร้อมทั้งคณะสัสดี | ทั้งสังฆ์การีนิมนต์พระสงฆ์มา |
เอาผ้าพาดตัวเจ้าคุณผู้บุญเลิศ | พระสงฆ์เปิดปากซ้ำร่ำคาถา |
ว่าอจิรังวัตตะยังกายา | สิ้นคาถาบังสุกุลแล้วสัพพี |
สมเด็จท่านขานไขบอกได้ฤกษ์ | แล้วให้เบิกฆ้องไชยได้ดิถี |
ก็โห่ร้องเอาไชยปราบไพรี | พระสงฆ์มี่เสียงลั่นชยันโต |
เจ้าคุณย่างสามขุมกุมสาตรา | งามเหมือนกาขลาดกระสุนบินหมุนโผ |
บินวนปนกับแร้งแผลงเดโช | ดูภิญโญพร้อมพรักด้วยศักดา |
เจ้าพระยาแม่ทัพจับกระบี่ | ทำท่วงทีเหมือนเขนเต้นหลายท่า |
อย่างที่ได้เคยหัดถนัดมา | ลงนาวาแล้วบอกให้ออกพลัน ฯ |
๏ ฝีพายพลโห่ร้องก้องสะเทือน | เสร็จคลาเคลื่อนกองทัพดูคับขัน |
เรือกระบวนสวนแซงพายแข่งกัน | เสียงสนั่นเป็นระลอกกระฉอกชล |
ทั้งสองฟากเรือตลอดจอดเป็นหมู่ | ล้วนคนดูกองทัพเรือสับสน |
หลามตลอดจอดเป็นแพออกแจจน | แน่นเต็มบนตลิ่งทั้งหญิงชาย |
เจ้าคุณยืนมาในเรือเหลือสง่า | ใส่แว่นตาเหมือนยูดีทีเฉิดฉาย |
แมวรูปปันช์สุนัขเคียงอยู่เรียงราย | ทั้งขวาซ้ายคนซุกซนด้นทะยาน |
ดูเรือแพแออัดสงัดหาย | ไม่อาจพายออกมาตัดหน้าฉาน |
กลัวจะจับเร่งเงินค่าราชการ | หนีซมซานเข้าจอดตลอดมา ฯ |
๏ ครั้นถึงตำหนักแพแลไสว | พวกข้างในนั่งอยู่ดูนักหนา |
ปางพระจอมจักรพรรดิกระษัตรา | เสด็จมาคอยรับกองทัพเอง |
เหล่าขุนนางแวดล้อมอยู่พร้อมพรั่ง | ลงที่นั่งปิกนิกกั้นบดเก๋ง |
ทอดพระเนตรเรือแพทรงแลเล็ง | เสียงแซ่เซ็งแตรฝรั่งก้องกังวาน |
เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ | ถวายคำนับน้อมจอมสถาน |
แล้วถวายบังคมราบลงกราบกราน | ตามบูราณประเพณีที่มีมา |
กรุงกระษัตริย์จิ้มเจิมเฉลิมพักตร์ | ทรงสังข์ทักษิณาวัฏต่อหัตถา |
เป็นสังข์เวียนซ้ายเรียกทักษิณา | เป็นภาษาไพร่คิดโดยจิตเดา |
ด้วยฉันมาหน้าแคร่ท่านแม่ทัพ | ครั้นได้รับน้ำสังข์ไม่นั่งเหงา |
จึงเป็นเหตุปัจจัยมาไม่เบา | จนถึงเจ้าคุณขังนั่งอาวรณ์ ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | ฝ่ายพระจอมบพิตรอดิสร |
เสด็จทรงสังข์สรรเสริญเจริญพร | แล้วกรายกรหยิบนาฬิกามาประทาน |
ทองคำทำตลับระยับย้อย | ทั้งสายสร้อยสามกระษัตริย์จัดประสาน |
พระจอมนาถมีพระราชโองการ | ว่าของนานทำไว้จะให้เธอ |
ฉันลงชื่อเขียนไว้ในตลับ | เจ้าคุณรับได้ของประคองเสนอ |
ถวายคำนับซ้ำทำบำเรอ | เสร็จเผยอเรือออกบอกฝีพาย |
ครั้นเรือออกประตูป่านาวาคล้อย | พระสงฆ์คอยประน้ำมนต์พลทั้งหลาย |
คนในเรือรับพลางต่างวางพาย | น้อมถวายบังคมประนมกร ฯ |
๏ ครั้นล่วงพ้นโขลนทวารก็ขานโห่ | เสียงก้องโกลาหลพลสลอน |
เอิกเกริกเร่งมาในสาคร | เรือกระฉ่อนน้ำกระฉอกระลอกโครม |
เหล่าคนดูเรือจอดตลอดทั่ว | ล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดโฉม |
ที่สาวแท้แลแต่ไกลน่าใคร่โลม | ฉันหน่วงโน้มหักใจอาลัยวรณ์ |
พวกคนดูถึงว่าที่มีสกุล | เห็นเจ้าคุณไหว้คำนับสลับสลอน |
บางคนไหว้แล้วช่วยอำนวยพร | ประนมกรหยุดจอดตลอดมา |
แต่ในใจจะให้พรฤๅนึกแช่ง | ตัวฉันแคลงในจิตคิดกังขา |
ด้วยเจ้าคุณท่านนุ่งเต็มประดา | ผงเข้าตาแล้วก็ชุลมุนไป |
แต่ตัวฉันเป็นเสมียนเขียนเซ็นปลอม | ฉันหายอมรับแช่งด้วยท่านไม่ |
ที่ฉันเซ็นพอให้เส้นแลวิไล | ท่านเขียนเองเส้นไม่ใคร่จะถูกตา ฯ |
๏ ถึงตำหนักแพวังหน้านาวาตรง | มีพระสงฆ์ประน้ำมนต์บ่นคาถา |
ชยันโตอวยไชยในนาวา | จอดอยู่หน้าตำหนักแพแซ่สำเนียง |
พระวังหน้านั้นก็เสร็จเสด็จรับ | ส่งกองทัพยืนร่าหน้าเฉลียง |
พร้อมเสนาขวาซ้ายยืนรายเรียง | บ้างอยู่เคียงพระองค์ผู้ทรงนาม ฯ |
๏ ฉันได้ฟังรับสั่งแต่ไกลไกล | คุณกลาโหมไปไหนรับสั่งถาม |
มาฤๅไม่มาให้ไปตาม | อ้ายนี่งามฤๅไม่งามดูโคมลอย |
นั่นเรือไฟวรารัตวิไชย | หลังคาเปิดออกไปเสียนิดหน่อย |
เข้าอู่จะเสียเงินไม่ใช่น้อย | ทาสีเสียนิดหน่อยจะพองาม ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | ปางพระปลอมมาเป็นไทยในสยาม |
พระกายไทยใจฝรั่งช่างแสนงาม | พระพักตร์สามสี่หน่วยดูรวยครัน |
แยกพระพักตร์ทรงพยักยิ้มเหี่ยเหี่ย | พระพักตร์เรี่ยเต็มประดาดูน่าขัน |
เก้อเปล่าเปล่าไม่เข้าเรื่องเปลืองไม่บัน | ยิงพระฟันเขียวเขียวปรางเบี้ยวงาม |
เห็นเจ้าคุณท่านแย่ก้นคำนับ | พระทรงรับห่มพระองค์ลงสองสาม |
เยื้องพระองค์ขึ้นแล้วกลับคำนับตาม | ดูแสนงามสวยสมเป็นพรหมพงศ์ ฯ |
๏ พอกระบวนด่วนล่วงมาเลยลับ | เรือกองทัพเซ็งแซ่แลระหง |
สังเกตลมพระพายพัดชายธง | นิมิตมงคลดีไม่มีปาน |
เห็นธงม้วนชวนจะกลับมาข้างหลัง | ฉันนึกนั่งปรีดิ์เปรมกระเษมสานต์ |
เห็นเจ้าคุณแลมาทำหน้าบาน | คงกลับบ้านไม่ช้ากว่าครึ่งปี |
ครั้นพระพายกลับพัดชายธงไชย | กลับไปข้างหัวเรือเรื่อยรี่ |
เจ้าคุณจับคางผันเข้าทันที | เห็นยากที่จะได้กลับต้องรับรบ |
ให้นึกพรั่นหวั่นหวาดขลาดใจหาย | ทั้งตัวนายกับนายทิมริมสลบ |
ราวกับต้องทัณฑกรรมจับจำครบ | เอาหน้าซบลงโศกาแล้วจาบัลย์ ฯ |
๏ เรือเขยื้อนเตือนฝีพายทั้งซ้ายขวา | พระสูริยาเบี่ยงบ่ายลงผายผัน |
พอเรือไฟพระสุนทราแล่นมาทัน | เห็นตัวท่านยืนโยกแล้วโบกมือ |
นึกสงสัยจะเป็นใครที่ไหนหนอ | แต่งตัวป๋อโบกมือผับบอกนับถือ |
สังเกตได้แต่ที่มีสี่นิ้วมือ | นี่คงคือเจ้าคุณพระสุนทรา |
เพราะนิ้วมือท่านมีสี่นิ้วถ้วน | นิ้วชี้ด้วนเด็ดชัดข้างหัตถ์ขวา |
คุมเรือไฟไล่แล่นตามเข้ามา | ฝีพายคว้าเชือกผูกเรือแล่นเหลือใจ |
โยงเรือแม่ทัพเข้ากับเรือบุตร | เรือไฟฉุดแล่นลิ่วดูหวิวไหว |
เรือนายทัพนายกองเนืองนองไป | เรือกลไฟจูงมาในสาคร ฯ |
๏ ครั้นถึงวัดเขมาภิรตาราม | ประทับตามฤกษ์กำหนดให้งดก่อน |
ด้วยกลางคืนโหรหมีให้ครรไลจร | ก็พอผ่อนแรมกระบวนอยู่ถ้วนกัน |
พอสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์[๙] | ลงเรือกลไฟเล็กเล็กทั้งนั้น |
ขึ้นมาส่งกองทัพด้วยฉับพลัน | มาถึงทันรอจักรหยุดพักคอย |
เสด็จลงสู่ยังที่นั่งเก๋ง | ฝีพายเร่งตึงข้อไม่ท้อถอย |
พอจวนถึงรอรานาวาคอย | เรือเบี่ยงคล้อยหันเอียงให้เคียงลำ ฯ |
๏ เจ้าคุณน้อมบังคมก้มคำนับ | สมเด็จรับยิ้มนิยมดูคมขำ |
คงไม่เหี่ยเหมือนวันหน้าไม่น่าจำ | หยิบเปลป่านซองทองคำมาประทาน |
เจ้าคุณน้อมคำนับรับซึ่งของ | สมเด็จพร้องอวยไชยทรงไขขาน |
แล้วเอื้อนอรรถตรัสเสร็จสำเร็จการ | ไม่ช้านานกลับหลังคืนวังพลัน ฯ |
๏ ฝ่ายข้างพวกกองทัพนั้นสับสน | บ้างขึ้นบนบกกรายเที่ยวผายผัน |
บ้างหุงข้าวเผาปลาทูกินอยู่กัน | บางคนหันเข้าใต้ร่มไม้นอน |
เจ้าคุณท่านอาศัยในศาลา | ฉันรักษาอยู่ในเรืออิงเหนือหมอน |
คะนึงถึงขนิษฐาให้อาวรณ์ | อุระร้อนรัญจวนหวนคะนึง |
ปานฉะนี้แก้วพี่จะโหยหวน | จะรัญจวนฤๅว่าไม่อาลัยถึง |
แต่อกพี่อาวรณ์ดั่งศรตรึง | นอนรำพึงถึงแม่ดวงพวงพะยอม |
แสนเสียดายสายสวาดิอนาถจิต | โอ้ยามเอ๋ยเคยชิดแนบถนอม |
ครั้นยิ่งคิดจิตตรมอารมณ์ตรอม | ดังเขาจอมปลวกทับลงกับกาย |
ซึ่งพี่มาจากนางแต่ร่างเปล่า | หัวใจเฝ้าเคียงประโลมแม่โฉมฉาย |
คิดหนักหน่วงห่วงสวาดิไม่คลาดคลาย | โศกไม่วายเสื่อมเศร้าอกเราอา |
แสนอาวรณ์นอนเผลอละเมอม่อย | พอเดือนคล้อยดาวเคลื่อนเลื่อนเวหา |
จวนจะแจ้งแสงศรีสูริยา | ตื่นนิทราโหยไห้ฤๅทัยตรม |
เสร็จเสพโภชนากระยาหาร | ทั้งคาวหวานกล้ำกลืนรสขื่นขม |
กินน้ำใสก็เหมือนกินน้ำดินตม | ด้วยอารมณ์หวังรักหนักอุรัง |
หนักอุเรเททอดลงกอดหมอน | กอดมิ่งมิตรสนิทนอนที่ในถัง |
ที่ในถ้วยล้วนเต๋าก๊วยกับข้าวตัว | กับข้าวตูปลาทูกังกำลังรวย |
กำลังรื่นชื่นชมดมข้าวตอก | ทั้งหมากพูลข้าวตูกรอกใส่ไถ้สวย |
ในไถ้ถุงรุงรังกำลังรวย | กำลังรุ่งพุ่งพวยพระสูริยัง ฯ |
๏ ครั้นสองโมงเช้าครึ่งกึ่งมินิต[๑๐] | สำเร็จกิจเสร็จสมอารมณ์หวัง |
ฝีพายเตรียมนาวาประดาประดัง | จอดคอยฟังลั่นฆ้องตามองเมียง |
ครั้นเจ้าคุณลงเรือนั่งเหนือเบาะ | ฝีพายเกาะโห่ขานประสานเสียง |
ตีฆ้องหุ่ยหึ่งพลันลั่นสำเนียง | เรือพร้อมเพรียงออกตามหลั่นหลามมา |
คระโครมครึกกึกก้องท้องสมุทร | พายรีบรุดเร็วนักดังปักษา |
คว้างคว้างมาในกลางชลธา | ดูนาวาเร็วรัดเทียมทัดลม |
ครั้นจะร่ำระยะทางชมบางบ้าน | ก็ขี้คร้านหลีกลัดตัดประสม |
ด้วยนิราศอื่นมีดีอุดม | ล้วนคารมวิเวกหวานเคยอ่านฟัง |
ครั้นเรือมาฉิวฉิวแลลิ่วลับ | ฝีพายขับขบเขี้ยวไม่เหลียวหลัง |
ชลกระฉอกระลอกเสียงเพียงจะพัง | กระทบฝั่งกระจายทำลายลง ฯ |
๏ ถึงเมืองปทุมธานีบูรีรัตน์ | วายุพัดน้ำกระเด็นขึ้นเป็นผง |
พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดง | เรือตัดตรงข้ามฟากพายบากมา |
รีบรัดมาจอดวัดประทุมทอง | พินิจมองเห็นพระสงฆ์ทรงสิกขา |
ล้วนรามัญชยันโตโพธิยา | ตามภาษาพระมอญอวยพรไชย |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | มีจิตพร้อมศรัทธาอัชฌาสัย |
ก็ขึ้นจากเรือเดินดำเนินไป | ตรงเข้าในศาลาหาสมภาร |
ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาท | ทั้งอาวาสด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ |
น้อมจิตคิดตั้งปณิธาน | แม้นถึงกาลจะอุบัติภพใดใด |
ให้ได้เป็นสัสดีทั้งขี้นุ่ง | ให้เฟื่องฟุ้งวิปริตผิดวิสัย |
เล่นละครเพรื่อพร่ำกระหน่ำไป | กดขี่ไพร่กว่าจะถึงซึ่งนิพพาน |
ให้พบกับสุดใจพิชัยเสนา | รับสินบนคนมาแบ่งให้ท่าน |
บังเงินหลวงถ่วงไว้ได้นานนาน | เจ้าอธิการคำรบจบสัพพี ฯ |
๏ ก็แรมทัพอยู่ที่นั่นพร้อมกันหมด | พระสูริยงเยื้องรถลงอับศรี |
ทั้งนายไพร่สุขกระเษมจิตเปรมปรีดิ์ | เหล่าโยธีกองทัพบ้างหลับนอน |
ด้วยวัดนี้ยังไม่มีที่อาศัย | เดินไปไหนน้ำท่าเปียกผ้าผ่อน |
วัดประทุมลุ่มเต็มทีไร้ที่ดอน | คนต้องซ้อนแทรกเสียดยัดเยียดกัน |
เหมือนตะรางสัสดีที่แคบคับ | นอนไม่หลับเจียนชีวาแทบอาสัญ |
ตาขุนปราบแกขนาบเอาโซ่พัน | เร่งรางวัลค่าทุเลาเอาเงินมา |
โอ้พุ่มพวงดวงจิตชีวิตพี่ | ป่านฉะนี้สาวน้อยจะคอยหา |
จะโศกเศร้าเว้าเหว่อยู่เอกา | อนิจจาแสนสังเวชน้ำเนตรพราว ฯ |
๏ โอ้อาลัยใจหายไม่วายโศก | บังเกิดโรคร้างงามเมื่อยามหนาว |
โอ้ยามรักหนักจิตเหมือนติดกาว | ไม่มีคราวลืมมิตรยลติดตา |
ยิ่งหวนหวนห่วงให้ฤๅทัยโหย | อุระโรยร่วงหรุบดั่งบุปผา |
เมื่อต้องแสงสูริยงส่องลงมา | เกสรสาโรชร่วงเหมือนทรวงเรา |
หวนคะนึงถึงมิตรพิศวาส | ใจจะขาดเสียเพราะทรวงงงง่วงเหงา |
กำเริบโรคโศกร้างไม่บางเบา | ยุพเยาว์จะหมีได้เห็นใจเรียม |
ค่อยแขงขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมตรึก | ครั้นนึกนึกแล้วค่อยวายจิตอายเหนียม |
คงได้กลับยลโฉมประโลมเลียม | ไม่ทันเกรียมอย่าเพ่อกรอมจะผอมตาย |
พอหลับผ็อยม่อยฟื้นตื่นสว่าง | ลุกลูบล้างหน้าพลันไม่ทันสาย |
พออิ่มหนำสำเร็จเสร็จสบาย | เหล่าฝีพายเตรียมตัวพร้อมทั่วกัน |
พอได้ฤกษ์แล้วบอกออกนาวา | เสียงเฮฮาปรีดิ์เปรมกระเษมสันต์ |
ไม่เห็นใครมีทุกข์สนุกนิ์ครัน | จ้วงกระชั้นตึงข้อไม่รอรา |
เรือละลิ่วปลิวเฉื่อยมาเรื่อยรี่ | ชมวิถีชลมารคข้างฟากขวา |
แล้วผันชมฟากซ้ายวายน้ำตา | จนนาวาแล่นล่วงครรไลเลย ฯ |
๏ มาถึงเกาะบางปะอินทินกร | กำลังร้อนแสงแดดนั้นแผดเผย |
เห็นรั้ววังข้างขวาสง่าเงย | น่าชมเชยตึกตั้งเป็นวังเวียง |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่ง | จอดหน้าวังขึ้นบูชาหน้าเฉลียง |
ท่านจุดธูปเทียนถวายอยู่รายเรียง | นั่งประเนียงน้อมประนมบังคมคัล |
แล้วก็ออกนาวาจากหน้าวัง | ดูคับคั่งด้วยพหลพลขันธ์ |
ไม่เลี้ยวลัดถึงวัดชุมพลพลัน | ก็เหหันเรือประทับกับตะพาน |
เจ้าคุณก็จำเนียนธูปเทียนจุด | บูชาพุทธรูปใหญ่ในวิหาร |
ด้วยวัดชุมพลนี้มีมานาน | แต่ก่อนกาลกรุงเก่ามีเค้าความ |
ด้วยเจ้าพระยากลาโหมเล้าโลมไพร่ | ชุมนุมไว้วัดนี้ที่สนาม |
แล้วยกพลเกรียวกรูเข้าวู่วาม | ทำสงครามกับกระษัตริย์ขัตติยา |
จับเจ้าแผ่นดินได้ให้ประหาร | ครั้นสมการมุ่งมาดปรารถนา |
ก็ได้ซึ่งสมบัติกระษัตรา | จึงราชาภิเษกเป็นเอกองค์ |
ทรงนามท้าวพระเจ้าปราสาททอง | ได้ครอบครองรั้ววังดังประสงค์ |
มีพระราชศรัทธาปัญญายง | เสด็จทรงสร้างวิหารริมชานชล |
เสร็จพระราชศรัทธาเป็นอาราม | ประทานนามโดยวิเศษตามเหตุผล |
เดิมทีที่ได้ประชุมชุมนุมคน | ชื่อชุมพลนิกายาราม |
ครั้งกรุงเก่าย่อยยับอัปรา | ซึ่งวัดวาพังลงเป็นดงหนาม |
โบสถ์พังโครมโทรมทรุดชำรุดตาม | ได้แจ้งความเรื่องรู้แต่บูราณ |
ครั้นแผ่นดินพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | มาสร้างรั้ววังนิวาสราชฐาน |
แล้วเลยทรงสถาปนาการ | พระวิหารให้คงดำรงดี |
แล้วปั้นรูปจอมราชปราสาททอง | ดูเรืองรองงามงดสุกสดศรี |
ยืนอยู่หน้าอุโบสถปรากฏมี | ทุกวันนี้คนผู้ยังบูชา ฯ |
๏ ครั้นสำเร็จเสร็จนบเคารพพระ | ก็เลยละผายผันจิตหรรษา |
เจ้าคุณให้ร้องบอกออกนาวา | โห่สามลาบอกยาวเสียงกราวเกรียว |
เหล่าฝูงชนชาวบ้านละลานหนี | บ้างหลบลี้วิ่งแต้ไม่แลเหลียว |
เรือไม่พายคลายกล้ำสักลำเดียว | ปะก็เลี้ยวจอดซบหลบแต่ไกล |
ฝีพายไม่รอรามาตะบึง | บรรลุถึงหน้าวัดโปรดสัตว์ใหญ่ |
แวะเรือเรียงเคียงจอดตลอดไป | เจ้าคุณให้จอดประทับกับตะพาน |
ท่านจุดธูปเทียนชูขึ้นบูชา | น้อมศีราหน่วงนมัสหัตถ์ประสาน |
พวกไพร่พลเริงรื่นชื่นสำราญ | ใจเบิกบานยินดีทีสบาย |
วักน้ำมนต์ใส่บนศีรษะทั่ว | บ้างลูบตัวอาบกินสิ้นทั้งหลาย |
ที่โกงเขาย่ำแย่แต่ปีกลาย | ให้ความหายลับลี้อย่าฎีกา |
รีบรัดมาถึงวัดพแนงเชิง | พอร่าเริงคึกคักเป็นหนักหนา |
เจ้าคุณขึ้นบกพลันไปวันทา | พระปฏิมาองค์ใหญ่ด้วยใจจง |
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพระ | คารวะขอความตามประสงค์ |
ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตทรง | สิงในองค์พระปาฏิมากร |
เอาอิฐปานคนเล่นก็เป็นได้ | เป็นพระใหญ่ขว้างบ้านชาญสมร |
จะขอซื้อบ้านใครในนคร | อิฐปาก่อนทนไม่ได้ต้องขายเรา |
ทั้งวังเจ้าบ้านขุนนางต่างถูกอิฐ | รู้ว่าฤทธิ์ของพระฤๅไม่เล่า |
ตามแต่ใครจะตรองตรึกคิดนึกเอา | จนชื่อเน่าโด่งดังทั้งนคร |
จงพิทักษ์รักษาโยธาทัพ | ที่คั่งคับพร้อมหน้ามาสลอน |
ซึ่งโพยภัยขออย่าเพียรมาเบียนบอน | จงถาวรสวัสดิ์ทั่วทุกตัวคน |
เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ | ผู้คนคับสองข้างหว่างถนน |
ท่านเจ้าคุณเมตตาประชาชน | ที่ยากจนผู้ใหญ่เด็กเจ๊กคนโซ |
แจกเงินให้คนละเฟื้องนั่งเนื่องนับ | คนที่รับไทยทานประมาณโข |
บางคนออกวาจาวราโร | รัตพิโชชนะหมู่ศัตรูพาล ฯ |
๏ เจ้าคุณลงนาวาเสร็จคลาเคลื่อน | เรือเขยื้อนเป็นระลอกกระฉอกฉาน |
ละลิ่วมาในวนชลธาร | บ่ายประมาณห้าโมงเศษสังเกตจำ |
ถึงวันจันทรเกษมจิตเปรมปรา | แวะนาวาพักผ่อนจอดซ้อนส่ำ |
เรือเจ้าคุณจอดเรียบประเทียบลำ | เวลาค่ำแรมทัพต่างหลับนอน ฯ |
๏ ครั้นรุ่งแสงสูริยาเวลาสาย | เหล่าตัวนายคั่งคับสลับสลอน |
ล้วนแต่งตัวเต็มยศบทจร | หมู่นิกรเกลื่อนกล่นต่างคนมา |
ชุมนุมที่ศาลาใหญ่หน้าวัง | มาพร้อมพรั่งนั่งรายทั้งซ้ายขวา |
คอยเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชา | ที่บรรดาตัวนายนั่งรายเรียง |
เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย | เสร็จผันผายขึ้นมานั่งยังเฉลียง |
ลูกทัพคำนับน้อมอยู่พร้อมเพรียง | มอบเมียงมาขอนมรับประทาน |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับโอษฐ์ | ภิปรายโปรดทักทายนายทหาร |
แล้วชักชวนไปวัดนมัสการ | พระวิหารเสนาสน์เยื้องยาตรา |
เข้าในวังขึ้นยังพระมณเฑียร | แล้วน้อมเศียรอภิวันท์ด้วยหรรษา |
จุดธูปเทียนทั้งคู่ขึ้นบูชา | พระมหาที่นั่งในวังจันทร์ |
นึกเสียดายใจหายไม่วายตะกละ | ถ้าแม้นพระโปรดให้เจ้าคุณฉัน |
เป็นนายด้านก่อสร้างทั้งวังจันทร์ | คงได้ฉันกำไรไว้พอแรง |
เหมือนเมื่อครั้งสร้างแปลงกำแพงป้อม | เอาค่าซ่อมตามเจ้าหมู่อยู่ทุกแห่ง |
ต้องการเฟื้องเกณฑ์สลึงถึงโต้แย้ง | ได้เงินแบ่งปันทั่วทุกตัวกัน ฯ |
๏ ออกจากวังไปยังพระอาวาส | นามเสนาสน์งามเลิศดูเฉิดฉัน |
ท่านเจ้าคุณคำนับอภิวันท์ | ธูปเทียนนั้นจุดถวายธิบายความ |
ว่าวัดนี้ของพระบาทปราสาททอง | เป็นเจ้าของสร้างไว้ในสยาม |
ครั้งแผ่นดินกรุงเก่าเป็นเค้าความ | แจ้งเหตุตามโดยเรื่องครั้งเมืองกรุง |
เมื่อเมืองเสียกับพม่าพากันขุด | เอาไฟจุดลอกทองแล้วถลุง |
วัดปรักหักพังออกนังนุง | แต่ครั้งกรุงร้างรามาช้านาน |
ครั้นแผ่นดินพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | ศรัทธาทั่วบพิตรประดิษฐาน |
เสด็จมาบำรุงผดุงการ | พระวิหารเสนาสน์สะอาดงาม |
เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ | ขึ้นประทับบนศาลาหน้าสนาม |
ลูกทัพนายกองนั่งคอยฟังความ | อยู่ออกหลามศาลาที่หน้าวัง |
บ้างร้องทุกข์ขอข้าวต่อเจ้าคุณ | ว่าสิ้นทุนจวนจะอดข้าวหมดถัง |
ขอเบิกข้าวสารพอต่อกำลัง | เจ้าคุณฟังข้อคำคิดรำคาญ |
จึงผินผันหันหน้าปฤกษาเรื่อง | ด้วยว่าเมืองนี้ต้องเลิกเบิกข้าวสาร |
เพราะได้แจ้งกิจจาเวลาวาน | กรมการเขาว่าตราไม่มี |
ทำเนียมจ่ายข้าวกันในการทัพ | โดยตำรับท่านวางไว้ตามที่ |
วันหนึ่งทะนานหนึ่งจึงพอดี | ทำเนียมมีจ่ายให้พอต่อกำลัง |
นี่ช่างกันกันอย่างไรไฉนหนอ | พอสามวันก็บ้อหลอไปหมดถัง |
จะคิดด่าเมืองไทยให้ใครฟัง | รู้เท่าช่างเถอะจะขออวดป๋อที |
ท่านเจ้าคุณชักทุนซื้อข้าวสาร | แจกทหารกล้วยไข่ให้อีกหวี |
ทั้งของคาวเนื้อเค็มก็เต็มดี | แจกโยธีกองทัพรับทุกคน ฯ |
๏ ครั้นว่าบ่ายชายแสงพระสูริเยศ | สักโมงเศษเอะอะเตรียมพหล |
ต่างลงเรือทุกลำประจำพล | บ้างเตรียมตนคอยฟังระวังตัว |
เจ้าคุณลงนาวาที่หน้าวัง | พร้อมสะพรั่งฝีพายทั้งท้ายหัว |
นายน้อยโหนกโขกกระบาลลั่นฆ้องรัว | ให้รู้ทั่วนัดบอกกันออกเรือ |
กระโหลกลั่นแซ่ซ้องก้องกังวาน | โห่ประสานสามลาสง่าเหลือ |
ลูกทัพนายกองนั้นไม่ฟั่นเฟือ | ล้วนสวมเสื้อเต็มยศหมดทุกนาย |
แต่งจนเหนื่อยเมื่อยตัวทั้งหัวหู | เสื้อเต็มยศเอาลงถูจนฉิบหาย |
คนตื่นพบคบไม่ได้ไม่เสียดาย | ฤๅฉิบหายซื้อใหม่เป็นไรมี |
โอ๊ยพุทโธ่สัประดนทนเต็มยศ | ฤๅแต่งปดกันเล่นจ๋าพ่อหน้าผี |
สวมเสื้อครุยฤๅไม่เล่าเจ้าตัวดี | เห็นเต็มทีดูแทบจะแสบกาย ฯ |
๏ มาประเดี๋ยวเลี้ยวประทะศีรษะรอ | ดูปราดปร๋อน้ำไหลเชี่ยวใจหาย |
ฝีพายขึงตึงข้อไม่รอพาย | บ้างเสียท้ายเรือปะประทะแพ |
บ้างฉลาดเลี้ยวพันกระชั้นแหลม | เรือไม่แพลมแพร่งพรายสายกระแส |
ที่ตรงศีรษะรอเรือจอแจ | ช่วยกันแก้หัวเรือน้ำเหลือทน |
เรือก็แล่นเฉื่อยฉิวมาลิ่วลับ | แดดพยับมืดกลุ้มชอุ่มฝน |
ไม่แรงร้อนอ่อนศรีสูริยน | เหล่าไพร่พลค่อยสบายรีบพายพลัน ฯ |
๏ พอถึงวัดทองใหญ่อยู่ในย่าน | มีนามบ้านพระนอนพักผ่อนผัน |
เรือกองทัพคับคั่งประดังกัน | แรมอยู่นั่นอีกคืนต่างรื่นเริง |
ในวัดทองซ่องส้วมน้ำท่วมหมด | น้ำไม่ลดกำลังล้นขึ้นจนเหลิง |
ไม่มีที่หุงข้าวก่อเตาเพลิง | อาศัยเพิงโบสถ์ใหญ่พอได้การ |
พลนิกรต้องนอนอยู่ในเรือ | คนที่เหลืออาศัยในวิหาร |
อีกศาลาใหญ่กว้างข้างตะพาน | เหล่าทหารซ้อนซับขึ้นหลับนอน |
แต่ตัวฉันอยู่ในเรือเหลือเทวษ | นองน้ำเนตรโหยไห้ฤๅทัยถอน |
เป็นทุกข์ถึงขนิษฐายิ่งอาวรณ์ | เพราะพี่จรจากเจ้าจะเนานาน |
ไม่รู้ปีเดือนใดจะได้กลับ | ด้วยไปทัพจับศึกที่ฮึกหาญ |
กว่าจะสิ้นสรรพเสร็จสำเร็จการ | สุดประมาณเหลือเล่ห์คะเนวัน |
ครวญครวญหวนละห้อยพอผ็อยหลับ | ชักหงับหงับกลับตื่นสุดฝืนกลั้น |
กำสรดแสนแหนหวงแม่ดวงจันทร์ | มาลั่นป้อยอปั่นรำพันครวญ ฯ |
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงทองส่องสว่าง | ค่อยลูบล้างพักตราวิญญาหวน |
เจ้าคุณสั่งให้บอกออกกระบวน | เวลาจวนจะรุ่งฟุ้งอัมพร |
พอนาวาคลาเคลื่อนเขยื้อนโยก | ธงก็โบกริ้วริ้วปลิวสลอน |
นาวาเรื่อยเฉื่อยมาในสาคร | ก็รีบร้อนเร็วมาไม่ราแรม |
ถึงน้ำวนวนปะประทะคุ้ง | เรือหันพุ่งข้ามบากไปฟากแหลม |
ฝีพายจ้ำน้ำเป็นฟองทั้งสองแคม | ไม่พลอมแพลมพร้อมพรั่งพายตั้งใจ ฯ |
๏ ถึงเมืองสระบุรีเรือรี่เรียบ | เห็นทำเนียบรายเรียงเคียงไสว |
เขาปลูกตั้งหลังเด่นเห็นแต่ไกล | พลไพร่ยินดีด้วยปรีดา |
ต่างมุ่งมาดพอถึงหาดพระยาทด | บ่ายกำหนดสี่โมงโปร่งเวหา |
พระสูริยงจวนจะลับบรรพตา | แลนาวาจอดเรียบประเทียบเคียง |
ที่ศาลาท่าน้ำลำกระแส | เรือนเป็นแพจอดชุมนุมบ้างถุ้มเถียง |
ชวนกันชิงเรือนที่มีระเบียง | ขนของเรียงเข้าไปวางต่างประจำ |
ต่างคนต่างก็จองปองที่อยู่ | ถึงก่อนดูเลือกได้เมื่อใกล้ค่ำ |
พอพักพิงอิงกายวายระกำ | ไม่ต้องทำเรือนร้านป่วยการคน |
ที่ลางนายผายผันไม่ทันเพื่อน | ไม่มีเรือนที่พำนักนิ์พักพหล |
หาไม้ไล่ทำหลังคาประสาจน | พอบังฝนบังฟ้าเป็นท่าลม |
ท่านเจ้าคุณใจดีอารีเหลือ | คิดแผ่เผื่อไพร่แท้แต่ประถม |
ทำเนียบปลูกไว้มีไม่นิยม | ด้วยอารมณ์เอ็นดูหมู่นิกร |
แต่ที่จริงในใจท่านนั้นหวั่นหวาด | เพราะความขลาดแน่นหนามาแต่ก่อน |
เห็นตลิ่งร้อนอุราให้อาวรณ์ | ไม่อยากจรเบื่อบกจะยกไป |
อีกอย่างหนึ่งมีตราขึ้นมาเตือน | ให้ยกทัพจะได้เชือนเถลไถล |
แม้นกริ้วโกรธโปรดให้กลับไปเมื่อใด | จะได้ไม่ต้องขนของล่องทีเดียว |
เหลืออาลัยที่จะไปจากนาวา | ถึงให้พระอินทร์ลงมาอยู่เขียวเขียว |
ก็ไม่ขอขึ้นตลิ่งจริงจริงเจียว | จะนอนเสียวให้นาวาไม่อาวรณ์ |
ทำเนียบปลูกไว้ท่าสี่ห้าหลัง | พร้อมหอนั่งหอเคียงเรียงสลอน |
สู้อยู่เรือบดเลยตามเคยนอน | ด้วยอาวรณ์เมตตาประชาชน |
ถ้าแม้นขึ้นสู่อยู่ทำเนียบ | ตรองการเรียบเรียงเห็นไม่เป็นผล |
จะไม่มีที่อาศัยแก่ไพร่พล | ท่านสู้ทนอยู่ในเรือใจเหลือดี ฯ |
๏ ครั้นพลบค่ำย่ำฆ้องพวกกองทัพ | บ้างนอนหลับกรนอยู่เสียงฝูฝี |
แต่ตัวฉันตรึกตรมระทมทวี | โศกโศกีแสนสวาดิไม่ขาดวาย |
แสนคะนึงถึงนวลหวนเทวษ | จนดวงเนตรบวมแดงเป็นแสงสาย |
อยู่ในเรือกัญญาใหญ่ไม่สบาย | คิดใจหายใจห่วงในทรวงครวญ |
โอ้เจ้าดวงพวงพุ่มอุทุมพร | เมื่อยามนอนแนบถนอมกลิ่นหอมหวน |
เวลาตรมชมชูเรณูนวล | ยามรัญจวนก็วายหายกังวล |
ยิ่งนึกนึกตรึกตรมระทมทุกข์ | จะต้องบุกเดินป่าไปหน้าฝน |
จะข้ามดงพงชัฏระมัดตน | เหล่าฝูงคนคิดกลัวหนังหัวพอง |
นับประสาอะไรแต่ไพร่พล | เพราะความจนต้องระทดสยดสยอง |
แต่เจ้าคุณเป็นเศรษฐีมีเงินทอง | สักสิบสองสิบสามพ้อม[๑๑]ยังตรอมใจ |
นอนหงายก่ายหน้าผากทุกเวลา | ไหนจะกลัวไข้ป่าก็อย่างใหญ่ |
ทั้งกลัวฮ่อมันจะหั่นให้บรรลัย | ให้หนักใจหนักอุราน้ำตานอง |
ฤดูฝนความไข้หมีได้หยอก | ผู้ใหญ่บอกเศร้าจิตคิดสยอง |
ที่ในดงลึกล้ำล้วนน้ำนอง | จะยกกองทัพไปกลัวไข้ดง |
ซึ่งปู่ย่าตาลุงครั้งกรุงเก่า | ฟังเขาเล่าจำไว้ไม่ใหลหลง |
ฤดูฝนเป็นไม่ไปณรงค์ | ทำการสงครามแต่ก่อนบ่ห่อนเป็น |
แต่เมื่อใดฝนแล้งแห้งสนิท | จึงจะคิดยกทัพไปขับเข็ญ |
คิดขึ้นมาน้ำตาตกกระเด็น | ไม่วางเว้นกลัวตายเสียดายตน |
โอ้กรรมเราเกิดมาเวลานี้ | พอไพรีมาสู่ฤดูฝน |
นึกแค้นอ้ายพวกฮ่อทรชน | จะฆ่าคนเสียด้วยไข้ใช้ปัญญา ฯ |
๏ ท่านแต่ก่อนที่ท่านจรไปปราบศึก | หมีได้นึกแก่ชีวังจะสังขาร์ |
สู้ตัดห่วงบ่วงใยในกายา | การพาราย่อมเป็นใหญ่กว่าในตน |
ที่ศึกมาหมีได้ว่าฤดูใด | ต้องยกไปทนระกำกรำแดดฝน |
ไม่หวั่นหวาดเหมือนหนึ่งชาติทรชน | หวังเอาผลเพิ่มไว้ในนคร |
นี่เจ้าคุณท่านไม่เห็นเป็นเช่นว่า | เอาเรื่องกายขึ้นมาไว้หน้าก่อน |
ถัดมาที่สองเนื่องเรื่องละคร | หาทุนรอนที่สามตามปัญญา |
ใคร่มาตัดขัดขวางในทางนี้ | ท่านยอมเสียชีวีเสียดีกว่า |
ทางที่สี่ไม่มีศีลกินสุรา | เอาอิฐปาบ้านเล่นจิตเป็นพาล |
นึ่งตรองตรึกนึกขึ้นมาน่าสมเพช | น้ำเสลดข้นเป็นผงน่าสงสาร |
แสนกลัวตายวายชีวิตเป็นนิจกาล | ตรองนานนานก็คงเห็นเช่นกล่าวมา ฯ |
๏ ฉันตรองตรึกนึกพลางพอจ่างแจ้ง | สว่างแสงสูริเยเยี่ยมเวหา |
สูริโยโผล่พุ่งพวยนภา | นภาด่างกระจ่างจ้าพาเมฆจร |
พาเมฆเจื่อนดังเกลื้อนขึ้นกายา | กาโยด่างอย่างนภาเมฆสลอน |
สลับเมฆแลวิไลในอัมพร | ยอดอัมพาโผล่สลอนริมธาริน |
ธารารกดกประดับด้วยสวะ | สว่างไสวในนภะทางกระสินธุ์ |
กระแสใสไหลสะอาดปราศมลทิน | มณฑากลิ่นหอมฟุ้งจรุงมา |
สูริยาศดังเหรียญบาทโผล่ยอดไม้ | งามวิไลแลล้ำในเวหา |
เป็นวันถือน้ำพิพัฒน์ตั้งสัจจา | เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย |
ก็พร้อมด้วยนายทัพแลนายกอง | ลงเรือล่องน้ำมาเวลาสาย |
ล้วนแต่งตัวเต็มยศหมดทุกนาย | ต่างผันผายล้นหลามตามเจ้าคุณ ฯ |
๏ รีบรัดมาถึงวัดสมุหะ[๑๒] | พร้อมด้วยพระหลวงยืนแลหมื่นขุน |
ทั้งหัวเมืองเป็นการวิ่งซานซุน | คอนคำนับรับเจ้าคุณอยู่เรียงราย |
เรือเจ้าคุณแม่ทัพจอดกับท่า | เยื้องยาตราพร้อมพรั่งคนทั้งหลาย |
ล้วนสวมเสื้อกำซาบดาบสะพาย | ที่ตัวนายคอยสดับรับบัญชา |
ต่างคนเข้าไปในวิหาร | ฟังโองการพร้อมกันด้วยหรรษา |
เหมือนจับลิงหัวค่ำทำศักดา | ต่างทำท่าทำทางอย่างละคร |
พอให้ท่านเจ้าพระยาพาจิตชื่น | หายสะอื้นด้วยคำนึงถึงสมร |
เห็นพวกเราทำท่าทางอย่างละคร | บรรเทาถอนใจใหญ่เป็นหลายครา |
แลดูพวกเราแล้วยิ้มยิ้ม | ทำกรุ่มกริ่มน่ารักเป็นหนักหนา |
แล้วรับน้ำพระพิพัฒน์สัตยา | ตามตำราบูราณสาบานตัว ฯ |
๏ ท่านเจ้าพระยาแม่ทัพกลับทำเนียบ | เรือประเทียบแแก้ท้ายแล้วบ่ายหัว |
จอดประทับกับท่าเวลามัว | แดดสลัวจวนค่ำอยู่รำไร |
เวลาค่ำย่ำฆ้องครั้นสองทุ่ม | แตรก็รุ่มเป่าเสียงสำเนียงใส |
พวกทหารนั่งยามต้องตามไฟ | เอาฟืนใส่เรียงรายเป็นหลายกอง |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพกำชับสั่ง | ให้ประจุปืนประนังนั่งจดจ้อง |
เหล่าทหารหอกหลาวแลง้าวพลอง | พวกกองตรวจถือฆ้องกระแตตี |
ด้วยเรายกโยธามาจากถิ่น | ประมาทหมิ่นแล้วก็เห็นจะเป็นผี |
เผื่อพวกฮ่อต่อเข้ามาสระบุรี | จะเสียทีย่อยยับทั้งทัพไชย |
ฉันนึกปลงอนิจจังแสนสังเวช | ช่างวิเศษสุดกล้าจะหาไหน |
คิดแต่จะวิ่งหนีอยู่ร่ำไป | ดังเอาไก่แจ้จำนนมาชนอู |
ให้ตายโหงไปเถิดหนาฮ่อมาจริง | เป็นออกวิ่งหมีได้คิดจะต่อสู้ |
ได้แต่กลิ่นขี้อ้ายฮ่อก็พอดู | ลงบ่นอู้ออกกลัวหนังหัวพอง ฯ |
๏ ครั้นจวนแจ้งแสงศรีตีสิบเบ็ด | ออกอึงเอ็ดเป่าแตรเสียงแซ่ส้อง |
ทหารเป่าขลุ่ยนัวแล้วรัวกลอง | ฟังเสียงพร้องวังเวงด้วยเพลงแตร |
ครั้นรุ่งแสงสูริยาท้องฟ้าฟื้น | เจ้าคุณขึ้นทำเนียบหน้าท่ากระแส |
สำหรับรับขุนนางใช้ต่างแพ | อยู่ริมแม่น้ำวนชลธาร |
พวกนายกองนายทัพคำนับน้อม | มาพรั่งพร้อมนั่งเรียงเคียงขนาน |
คอยสดับตรับฟังจะสั่งงาน | จะมีการเหตุผลด้วยกลใด |
แต่ตัวฉันหมายว่าท่านจะยกพล | จากตำบลสระบุรีไปที่ไหน |
ไม่เห็นท่านบัญชาสั่งแต่อย่างใด | นึกในใจดูประหลาดคาดคะเน |
สักเมื่อใดจึงจะได้ยกพลจร | ฤๅจะกลับคืนนครคิดหวนเห |
การที่จะยกไปนั้นรวนเร | คิดคะเนจะกลับมามากกว่าไป ฯ |
๏ เจ้าพระยาแม่ทัพขยับโอษฐ์ | ภิปรายโปรดไต่ถามตามสงสัย |
พวกเรามาพร้อมพรั่งฤๅอย่างไร | ใครป่วยไข้ที่บรรดามาด้วยกัน |
พวกนายทัพนายกองสนองเรียน | น้อมจำเนียนแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
คนกองทัพวิบัติอัศจรรย์ | เกิดปัจจุบันโรคร้ายเป็นหลายคน |
ท่านเจ้าคุณแจ้งความตามระบอบ | จึงประกอบยาละลายกระสายฝน |
ตามตำราหมอด้วงแก่แก้อับจน | ท่านสู้ทนนั่งปรุงบำรุงยา |
แล้วก็ให้อนุญาตประกาศสั่ง | ว่าทีหลังใครป่วยไข้ให้มาหา |
เพราะใจท่านอารีมีเมตตา | ตั้งรักษาเป็นธุระไม่ละเลย |
ถึงเที่ยงนางกลางคืนคนตื่นหลับ | คนกองทัพป่วยไข้หมีได้เฉย |
สั่งให้ปลุกทุกครั้งเหมือนดังเคย | ไม่เสบยบอกเราเอาอาการ |
ด้วยลงทุนยาสำรองกว่าสองชั่ง | ยาฝรั่งมากมายหลายขนาน |
ด้วยจงหวังตั้งใจจะให้ทาน | คิดเตรียมการถ้าใครป่วยได้อวยเออ |
แล้วสั่งการขุนชำนาญภักดีพุก | เที่ยวตรวจทุกเวลาอย่าได้เผลอ |
ใครเป็นโรคร้อนหนาวฤๅหาวเรอ | ให้ดอกเตอร์พุกปรุงบำรุงยา |
เป็นโรคหาวร้ายราวกับฝีดาษ | เจ้าขุนขลาดกลัวหาวหนาวนักหนา |
โรคเรอเออร้ายมากยากหายา | อหิวาตกโรคพอถึงกัน |
ถ้าแม้นใครเรอออกมาครบห้าที | ตามคัมภีร์หมอด้วงท่านจัดสรร |
อาการตัดในตำราว่าห้าวัน | ลมคงดันแดกตายวายชีวา |
ตั้งแต่นั้นท่านก็นั่งคอยฟังทั่ว | ใครยังชั่วใครจะหนักที่รักษา |
นายพุกเที่ยวทุกหมวดคอยตรวจตรา | ตามบัญชาหมีได้เว้นเช้าเย็นดู |
คนมากหายตายน้อยนับตัวถ้วน | นายพุกสวนสอบตรวจทุกหมวดหมู่ |
พวกกองทัพหายฟื้นต่างชื่นชู | ล้วนแต่รู้จักบุญคุณทุกคน |
ให้ผู้ฟังทั้งหลายจงจำจด | คนหายหมดจากไข้ไม่ขัดสน |
เพราะท่านช่วยค้ำชูอยู่ทุกคน | ใครขัดสนท่านให้ทานช่วยจานเจือ |
ไปข้างหน้าคงจะว่าไม่ยกไป | เพราะพลไพร่ไข้จับไม่หลงเหลือ |
คงหายกันกับที่ท่านได้เอื้อเฟื้อ | ประกอบเกื้อรักษาไข้หายทุกคน ฯ |
๏ เมื่อหยุดพักอยู่ที่ท่าพระยาทด | ต้องรองดช้าอยู่ฤดูฝน |
ครั้นจะยกทัพไปกลัวไพร่พล | จะปี้ป่นเสียเพราะไข้ที่ในดง |
ดูเถิดหนาพลาดท่าแล้วเจ้าคุณ | เห็นขาดทุนแล้วพาโลเอาไข้ส่ง |
ที่ขี้ขลาดนั้นไม่บอกออกตรงตรง | ดูน่าสงสารแท้แน่ชาวเรา |
เออเมื่อกี้อวดดีรักษาไข้ | เดี๋ยวนี้ไพล่เป็นไข้ทำซ้ำอย่างเก่า |
เห็นชายดงแสนจะเสียวเปรี้ยวไม่เบา | แสนสร้อยเศร้าที่จะไปที่ในดง ฯ |
๏ เจ้าคุณสืบสวนกะระยะทาง | พระยากลางพระยาไฟไพรระหง |
ให้รู้ที่สำคัญโดยมั่นคง | ด้วยจิตจงอยากยกขึ้นบกไป |
ให้หาพระรัตนกาศประภาษถาม | ก็แจ้งความมั่งคงไม่สงสัย |
เขาว่ามรคาพระยาไฟ | จะคลาไคลเหลือล้ำล้วนน้ำนอง |
ทั้งเป็นโคลนเป็นหล่มตมตลอด[๑๓] | จะมุดลอดหลีกลัดก็ขัดข้อง |
ต้องเดินข้ามแม่น้ำลำธารคลอง | ข้ามเป็นสองสามหนล้วนชลลึก |
ครั้นจะเรียนตามจริงว่าน้ำแห้ง | พอจะเดินคล่องแคล่งไปทำศึก |
เห็นเจ้าคุณจะโกรธาคว้าเอาฦก | อาญาศึกหมีใช่หยอกบอกอย่างไร |
ดูกระแสแง่เงื่อนท่านเสียก่อน | จะไปจริงแล้วจะย้อนขึ้นเรียนใหม่ |
น้ำขึ้นได้ลงได้ไม่เป็นไร | ถึงหลอกให้จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย |
ที่จริงนั้นพวกพ่อค้าบรรดาอยู่ | ที่ในหมู่เมืองโคราชก็มากหลาย |
ถ้าน้ำท่วมทางนั้นดังบรรยาย | คงฉิบหายขาดค้ามาทุกปี |
เพราโคต่างช้างบรรทุกมาไม่ได้ | พูดไถลหลอกมนุษย์สุดบัดศรี |
หลอกมนุษย์ฤๅหลอกควายอ้ายรายนี้ | ใครหลงเชื่อแล้วก็ทีจะเคอะฦก ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณแจ้งเหตุสังเวชไพร่ | ด้วยจะไปรบรากับข้าศึก |
จะมาตายเสียในดงที่พงพฤกษ์ | อนาถนึกเศร้าใจด้วยไพร่พล |
จึงแต่งบอกกราบทูลตามมูลเหตุ | เป็นไปรเวท[๑๔]เรียงความตามนุสนธิ์ |
ขอรอรั้งตั้งพักสำนักนิ์พล | แต่พอฝนฟ้าแล้งทางแห้งดี |
คิดอุบายกลบเกลื่อนเงื่อนขี้ขลาด | อวดฉลาดลวงเหล่าชาวกรุงศรี |
นึกประมาทเสียว่าข้าปัญญาดี | คงไม่มีใครรู้ถึงซึ่งคิดทำ |
ถ้าใครรู้เท่าถึงซึ่งท่านคิด | ก็หงุดหงิดคลั่งฉุนคิดหุนหัน |
ออกเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไม่เป็นอัน | ที่สุดนั้นเลยเข้าอู่อยู่กกเมีย |
ถ้าทำเซอะเคอะตามความประสงค์ | เลยขึ้นส่งบอกชี้ที่ได้เสีย |
ใครยอมหย่อนผ่อนให้ไพ่ปัวเปีย | ถึงแสนเสียแล้วก็กลับรับว่าดี ฯ |
๏ หนังสือเสร็จแล้วก็ส่งลงบางกอก | ผู้ถือบอกหมายมุ่งไปกรุงศรี |
ข้างกองทัพยับยั้งฟังคดี | พร้อมอยู่ที่พระยาทดหมดด้วยกัน |
เจ้าพระยาแม่ทัพบังคับการ | ซ้อมทหารกระบวนรบให้ขบขัน |
ได้ฝึกสอนเช้าเย็นไม่เว้นวัน | ตั้งแต่นั้นคนเป็นสุขสนุกนิ์จริง |
เวลาค่ำนั่งทำบทละคร | เวลาดึกฝึกสอนละครหญิง |
เหลืออาลัยที่จะอดลดละทิ้ง | ดูติดยิ่งเสียกว่าฝิ่นกินทุกวัน |
แม้นให้อดเล่นละครเวลาไร | คงจะได้คับแค้นเป็นแม่นมั่น |
เหมือนหนึ่งไส้ตะเกียงหดหมดน้ำมัน | วายชีวันแม่นแท้แน่จริงจริง ฯ |
๏ พวกหนุ่มหนุ่มกลุ้มเกรียวไปเที่ยวเล่น | ล้วนแต่เป็นเจ้าชู้เกี้ยวผู้หญิง |
บ้างโกรธขึ้นหึงหวงเที่ยวช่วงชิง | แล้วข้อนติงพูดกระแทกที่แดกดัน |
ด้วยลูกสาวลาวชุมหนุ่มหนุ่มเกี้ยว | บ้างก็เที่ยวหาอวดประกวดประขัน |
บ้างสู่ขอได้เสียเป็นเมียกัน | แต่ตัวฉันไม่อยากเที่ยวไปเกี้ยวใคร |
เป็นแต่เที่ยวชักพามาถวาย | เจ้าคุณนายร้อนรนทนไม่ไหว |
จึงไปหามาสนองให้ต้องใจ | ได้ลูกสาวลาวมาให้ท่านสองนาง |
แต่ตัวพี่นี้หมีได้ไปเที่ยววุ่น | ถุนแต่บ่าวเมียเจ้าคุณเข้าได้บ้าง |
พอแก้ร้อนผ่อนถุนไปพลางพลาง | พอเบาบางรุ่มร้อนอาวรณ์ใจ |
ด้วยคิดถึงเนื้อคู่อยู่ที่บ้าน | จึงขี้คร้านยาตรย่างไปข้างไหน |
ถึงเห็นสาวสวยสดสู้อดใจ | เพื่อนเขาไปตัวเราอยู่เฝ้าเรือ |
วันหนึ่งนางแม่ค้าเรือมาขาย | เฝ้ามาดหมายรักฉันจิตฟั่นเฝือ |
อุส่าห์หาเปรี้ยวหวานมาจานเจือ | ประหลาดเหลือแล้วเราเขาเอาจริง |
ฉันขี้คร้านผูกรักคิดจักเบือน | เหล่าพวกเพื่อนเย้ยยั่วว่ากลัวหญิง |
ควรจะหาที่พักสำนักนิ์พิง | คิดแอบอิงแต่พออุ่นถุนขี้ยา ฯ |
๏ ครั้นเดือนสิบเอ็ดเสร็จความขึ้นสามค่ำ | ได้จดจำจงหวังไม่กังขา |
บ่ายสามโมงสังเกตเศษเวลา | เรือไฟมาเปิดหลอดเสียงหวอดดัง |
เห็นเจ้าพระยาสุรวงษไวยวัฒน์ | จำถนัดเรือห่างอยู่ข้างฝั่ง |
ลงเรือแหวดแจวร่าเข้ามายัง | ถึงกระทั่งท่าทำเนียบจอดเทียบพลัน |
เอาเมียน้อยนั่งเคียงมาที่หน้าเก๋ง | ดูเหมาะเหมงสวยสมสุดคมสัน |
ฉันกระซิบถามทนายท่านไปพลัน | ออกเรือนั้นแต่เมื่อไรใคร่จะรู้ |
ได้แวะจอดที่ไหนบ้างฤๅไม่ | เขาบอกให้จริงหมดไม่อดสู |
พึ่งอาบน้ำมาใหม่ได้แบบครู | ฉันแลดูแล้วหัวร่อจนงองัน ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณแม่ทัพออกรับรอง | ต่างยิ้มย่องปรีดิ์เปรมกระเษมสันต์ |
ขึ้นบนทำเนียบท่าพูดจากัน | แต่โดยฉันราชการในสารตรา |
ท่านเจ้าพระยาสุรวงษไวยวัฒน์ | ก็หยิบลายราชหัตถเลขา |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็รับมา | จิตปรีดาเบิกบานสำราญใจ |
ท่านเจ้าคุณรับรองของประทาน | ที่เจ้าคุณทหารนำมาให้ |
ดาบฝรั่งสองร้อยเล่มที่เต็มใน | หีบใหญ่ใหญ่รับขนขึ้นบนเรือ |
อีกกับน้ำมันหอมพระจอมเกล้า | ทรงเสกเป่าไว้เลิศประเสริฐเหลือ |
ดอกไม้ร้อยแปดอย่างไม่จางเจือ | กลั่นเอาเหื่อน้ำมันด้วยบรรจง |
ไว้บำเรอลูกเธอเสด็จทัพ | เป็นที่นับถือความตามประสงค์ |
ได้ป้องสรรพจัญไรที่ในดง | ออกณรงค์ไม่ต้องคิดมีจิตกลัว |
ด้วยเจ้าคุณมีชื่อฦๅทุกเวียง | เป็นบุตรเลี้ยงพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
จึงประทานน้ำมันมากันตัว | ครั้นอ่านทั่วราชหัตถ์จัดทำเนียม ฯ |
๏ ฉันนึกนึกตรึกการในสารรับสั่ง | ดูน่าสังเวชจิตคิดอายเหนียม |
แต่เจ้าคุณนายเราไม่เท่าเทียม | ยังไม่เจียมตนประกวดทำอวดฮึก |
อันลูกเธอจอมพารานั้นกล้าหาญ | หมีได้คร้านย่อท้อจะต่อศึก |
นี่ลูกครอกบอกว่าลูกผิดกันฦก | ได้ข่าวศึกจึงได้ขลาดปราศความเพียร |
ขวดน้ำมันนั้นท่านเจ้าพระยา | คิดคิดขึ้นมาแล้วพาเหียร |
เรื่องน้ำมันตัวท่านได้ร่ำเรียน | รู้ชัดระหัดระเหียนไม่แคลงใจ |
อันน้ำมันนี้ใครทาแล้วกล้าสุด | ในมนุษย์ไม่มีที่เปรียบได้ |
ครั้นจะทาแล้วก็พาใจกล้าไป | แล้วจะไพล่เข้าณรงค์สู้สงคราม |
แม้นเสียทีคราวนี้มหินทร์ป่น | ฝูงพวกชนก็จะเลยเยาเย้ยหยาม |
ฤๅจะตายจากหน้าพะงางาม | ยิ่งคิดคร้ามแสนขลาดชาติบาโย |
ยิ่งคิดไปใจหายไม่วายกลัว | คิดถึงตัวแลอับเฉาทั้งเจ๊าโหล่ |
ยิ่งคิดยิ่งเสียใจร้องไห้โฮ | หยิบขวดโหลเทน้ำไม่ร่ำเรียน ฯ |
๏ ครั้นถึงวันเดือนสิบเอ็ดขึ้นแปดค่ำ | ได้จดจำแน่จิตประดิษฐ์เขียน |
เรียบเรียงเรื่องเบื้องต้นไม่วนเวียน | พระยาเกียรติ์นั้นจึงมาถึงพลัน |
เชิญท้องตราขึ้นมาหนึ่งฉบับ | เจ้าคุณรับตามควรไม่ผวนผัน |
พระยาเกียรติ์ก็กลับไปฉับพลัน | ยังหาทันที่จะถามเนื้อความใด |
จึงประชุมลูกทัพกับหลานกอง | ฟังอ่านท้องตราแจ้งแถลงไข |
มีบังคับรีบให้ยกขึ้นบกไป | แจ้งอยู่ในสารตราที่มาวาง |
กับให้ไปตรวจเสบียงให้เพียงพอ | กับอีกข้อหนึ่งให้ปรุงปลูกยุ้งฉาง |
ให้ถ้วนทุกจังหวะระยะทาง | กับเร่งส่วยด้วยที่ค้างอยู่นมนาน |
แม้นเงินไม่มีสำรองให้กองทัพ | ที่จะจับจ่ายเสบียงเลี้ยงทหาร |
เร่งส่วยเสียที่ท้าวเพี้ยกรมการ | มาเจือจานสำหรับกองทัพไชย |
ข้อที่เร่งให้ยกไปไม่ถูกหู | ขอคิดสู้จนชีวิตจะตักษัย |
ที่ให้ปลูกยุ่งข้อสองไม่ต้องใจ | ข้อที่ให้เร่งเงินส่วยเห็นรวยดี |
แต่จะตอบว่าไม่ชอบแต่สองข้อ | ใครรู้ตอเข้าแล้วเถิดเกิดบัดศรี |
ว่าไม่ชอบเสียทั้งสามดูงามดี | ดันดูทีคุ้มชีวันไม่บรรลัย ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณแม่ทัพสดับตรา | บังคับมามั่นคงไม่สงสัย |
จึงโต้ตอบท้องตราปัญญาไว | ซึ่งจะไปเร่งส่วยเห็นป่วยการ |
แล้วจะให้ปลูกปรุงซึ่งยุ้งไว้ | กับจัดให้ซื้อเสบียงเลี้ยงทหาร |
ด้วยจะยกนิกรไปรอนราญ | จักละลานหน้าหลังเป็นกังวล |
ซึ่งจะให้ยกทัพไปสรรพเสร็จ | แต่ในเดือนสิบเอ็ดฤดูฝน |
เป็นที่ลำบากใจแก่ไพร่พล | น้ำยังล้นลงไม่ลดของดที |
ครั้นเสร็จสรรพพับผนึกจาฤกหลัง | ส่งไปยังบางกอกบอกวิถี |
แรมทัพคอยท้องตราหลายราตรี | บ่ห่อนมีเภทภัยสิ่งใดพาน ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณแม่ทัพพูดปรับทุกข์ | ซึ่งจะบุกไปในป่าน่าสงสาร |
กลัวผู้คนทั้งหลายจะวายปราณ | จึงคิดอ่านหาช่องสู่ท้องตรา |
รบกับเจ้าเราสนุกนิ์ไม่ทุกข์ร้อน | ดีกว่าจรไปรบศึกเป็นหนักหนา |
คงจะไม่ฆ่าตีมีเมตตา | พวกฮ่อข้าศึกที่ไหนจะละลด |
ถ้ามันจับไปได้แล้วตายจริง | นึกก็ยิ่งระย่อกลัวจนหัวหด |
พวกคณะจะแก้แค้นคิดแทนทด | คงตายหมดทุกทุกองค์ไม่สงกา |
ถึงจะมีโทษภัยกฎหมายทัพ | จะสู้รับเอาผู้เดียวจริงเจียวหนา |
ที่ข้อขัดบังคับรับอาญา | ถึงจะฆ่าถือมั่นกตัญญู |
ถึงในใจวิปริตผิดไปบ้าง | แต่ปากอ้างอวดบุญคุณกู๋กู๋ |
กูจะเป็นอลัชชีทำไมกู | ใครไม่รู้เท่าก็ช่างใครเป็นไร |
ครั้นจะพูดไปอย่างอื่นไม่พ้นผิด | จะยึดเอาชีวิตของพวกไพร่ |
เข้าพูดเล่นให้เขาเห็นว่าน้ำใจ | จะพูดไปอย่างนี้อวดดีดู ฯ |
๏ ขออย่าให้ไพร่พลไปป่นปี้ | เวลานี้ขืนจรต้องอ่อนหู |
จะรับบาปคนทั้งเพเหมือนเยซู | หมีให้หมู่ไข้ป่ามันฆ่าคน |
ที่อวดอ้างอย่างเยซูนั้นเหมือนแท้ | ตัวตะแกเยซูนั้นขัดสน |
เพราะสิ้นคิดที่จะสู้กับหมู่ชน | จึงร้อนรนว่าเรารับบาปมนุษย์ |
เหมือนเจ้าคุณของฉันท่านคิดนี้ | ใครไม่รู้ก็ว่าดีเป็นที่สุด |
จะหาเปรียบท่านไม่ได้ในมนุษย์ | ปาปมุติแล้วจึงกล้าท้าจะทน |
หมีใช่จะคร้านคลาดราชการ | เพราะสงสารโยธาด้วยหน้าฝน |
แต่ที่จริงท่านหวดขลาดเหลือทน | จะบอกจริงอั้นอ้นจนปัญญา |
ทำเก๋กึ๊กนึกกึ๊บึ๊เข้าโต้ | พูดพาโลอวดบุญคุณนักหนา |
ไม่รู้เท่าเขาคงเชื่อตามวาจา | ที่รู้เท่าเข้ามาก็จำจน |
ทั้งกลัวไข้กลัวฮ่อไว้พอแรง | สู้ยืนแขงคำอยู่ฤดูฝน |
จะพากันไปตายทำลายชนม์ | แล้วเมืองบนก็ไม่มีไพรีรอน |
แม้นข้าศึกนับแสนตีแดนร่วม | ถึงน้ำท่วมให้ตลอดยอดสิงขร |
จะสู้ยกพหลพลนิกร | ถึงไฟร้อนต้านหน้าจะกล้าไป |
นี่อะไรได้ที่ไหนมากล่าวอ้าง | เจ้าเมืองข้างตะวันออกบอกฤๅไม่ |
ว่าฮ่อตีเวียงได้สบายใจ | บอกเมื่อไรว่าไม่มีไพรีรอน |
ข้อที่ว่าข้าศึกตีแดนร่วม | ถึงน้ำท่วมให้ตลอดยอดสิงขร |
เพียงท่วมกลางทางลบไม่กลบดอน | ยังไม่จรกองทัพไปรับรบ |
พูดว่าไฟต้านหน้าก็กล้าไป | เอาที่ไหนมาว่าดูน่าตบ |
แต่ขี้ฮ่อไม่ถึงไพยังไม่รบ | แต่ไฟคบก็คงพรั่นจะบรรลัย ฯ |
๏ เดือนสิบเอ็ดขึ้นสามค่ำตามเหตุ | บ่ายสักสามโมงเศษไม่สงสัย |
พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาใน | เรือกลไฟถึงท่าพระยาทด |
บังเอิญเทวดาวลาหก | ก็เร่งตกลงมาใต้ปรากฏ |
ฝนก็ไม่หายเหือดไม่เงือดงด | ไม่หยาดหยดซู่ซ่าลงมาพอ |
ท่านเจ้าคุณดีใจเห็นได้ท่า | ฝนตกมาถูกใจกระไรหนอ |
สมกับที่ปดไว้ได้โก่งคอ | ได้หลอกล่อในสนุกนิ์ไม่ทุกข์ใจ |
ถ้าแม้นว่าได้พูดจาปรับทุกข์ร้อน | จะยอกย้อนขู่เล่นให้อย่างใหญ่ |
ที่ไก่เห็นตีนงูครูว่าไว้ | งูก็เห็นนมไก่อยู่ใต้คอ ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณไปคำนับรับสมเด็จ | ฝนสาดไม่ขาดเม็ดลงสอสอ |
ต้องกางกั้นร่มไปหมีได้รอ | ลงนั่งย่อเรือพายม้ารีบคลาไคล |
ครั้นถึงสมเด็จจอดเสร็จสรรพ | น้อมคำนับกราบก้มประนมไหว้ |
แล้วเรียนเรื่องทางบกจะยกไป | ในดงใหญ่น้ำมากลำบากคน |
ขอรั้งรอพอให้แห้งแล้งสักหน่อย | จึงจะค่อยยกไปในไพรสณฑ์ |
ถ้าขืนยกเวลานี้เห็นรี้พล | จะปี้ป่นตายลงในดงดาน ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณจำเนียนกราบเรียนเสร็จ | ฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยาฟังว่าขาน |
จึงมีพระประศาสน์ประกาศการ | ให้คิดอ่านรีบยกขึ้นบกไป |
เจ้าคุณรับโอวาทประศาสน์สั่ง | โดยข้อบังคับแจ้งแถลงไข |
จะให้ยกโยธารีบคลาไคล | รอพอได้ทำบุญเสร็จสักเจ็ดวัน |
ท่านสมเด็จเจ้าพระยานึกปรานี | นึกรู้ทีเลยสำรวลกันสรวลสันต์ |
คิดถึงครั้งทัพญวนพอควรกัน | หัวอกฉันหัวอกเธอกคล้ายคลึง |
การรบทัพจักศึกหมีใช่ง่าย | จะขยายต่อไปให้อ้ำอึ้ง |
จะขู่รู่ทีกูก็ทีมึง | จะพูดถึงไปทำไมขัดใจกัน ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณแม่ทัพกลับทำเนียบ | ฝนไม่เรียบตกรวดเป็นกวดขัน |
พอพลบค่ำย่ำแสงพระสูริยัน | มีกำปั่นไฟถึงอีกหนึ่งลำ |
ด้วยท่านหลวงวุทธยานาธิกร | สวมฤๅศรก็เห็นสมดูคมขำ |
เชิญท้องตรามากำลังฝนตกพรำ | ขึ้นบนทำเนียบท่าชลาธาร |
ส่งท้องตราให้แก่ท่านแม่ทัพ | อีกทั้งกับเงินจำแนกแจกทหาร |
ทั้งเงินห้าสิบชั่งสั่งประทาน | เป็นเงินงานเตรียมทัพสำหรับไป |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็รับรอง | แล้วอ่านท้องตราแจ้งแถลงไข |
มีบังคับจะยกขึ้นบกไป | แต่โดยในเดือนสิบเอ็ดจงเสร็จพลัน |
เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ้ง | ตอบแถลงตามกระบวนไม่ผวนผัน |
ด้วยโคต่างช้างม้ามาไม่ทัน | การติดตันเหลือเขยื้อนเคลื่อนนิกาย |
แม้โคต่างช้างม้าพร้อมมาถึง | เป็นแน่หนึ่งวันนั้นได้ผันผาย |
พอได้พาหนะทั่วเหล่าตัวนาย | จะถวายบังคมลาฝ่าละออง |
อนึ่งเล่าเราวิตกเป็นหนักหนา | ดวงพระสูริยายังแผดส่อง |
จะยกพลนิกายไปเนืองนอง | แดดจะต้องร้อนรนไพร่พลทัพ |
ถึงเดินไปในหนทางเมื่อเดือนหงาย | พลนิกายพักผ่อนจะนอนหลับ |
แสงเดือนส่องต้องตาโยธาทัพ | นอนไม่หลับแล้วฉิบหายตายทั้งกอง |
๏ ครั้นเสร็จสรรพพับผนึกจาฤกบอก | ส่งบางกอกแจ้งความตามสนอง |
หลวงวุทธยาคำนับแล้วรับรอง | หนังสือสองสามฉบับแล้วกลับลา |
เจ้าคุณท่านตรองเหตุหาเภทผล | มีตราเร่งมาจนเกือบหมดท่า |
เรียกตัวฉันลงไปในนาวา | คิดปฤกษาว่าจะทำอย่างไรดี |
แม้นว่าตัวกุมภกรรณนั้นยังเป็น | จะคิดเล่นกับพระยายักษี |
ให้ท้าวช่วยสกัดกันกั้นวารี | น้ำแห้งดีจะได้หลอกบอกลงไป |
จะนิราศออกจากหาดพระยาทด | พลจะอดวารินสิ้นตักษัย |
เห็นจะคล่องที่ไม่ต้องจะยกไป | พออยู่ไกลกลิ่นฮ่อต่อชีวา ฯ |
๏ ครั้นขึ้นสิบสี่ค่ำเดือนสิบเอ็ด | ได้จำเสร็จโดยหวังไม่กังขา |
น้ำท่วมถึงกระทั่งเลยหลังคา | นึกก็น่าอัศจรรย์ขันกระไร |
น้ำท่วมนั้นหมีใช่มันท่วมตลิ่ง | ท่วมจริงจริงคนผู้จะอยู่ไหน |
ท่วมหลังคาฝากระท่อมที่ปลูกไว้ | อยู่เฝ้าไร่ตามหาดทรายมากมายครัน |
ที่ทำเนียบเจ้าคุณนั้นมันไม่ท่วม | เลยรวมรวมเข้าไปเล่นให้เห็นขัน |
ใครได้ฟังคิดเห็นเป็นอัศจรรย์ | ที่จริงท่านขู่เล่นดอกบอกจริงใจ ฯ |
๏ เรือต้องขึ้นจอดบกเจียวอกเอ๋ย | หมีได้เคยพบเห็นเป็นไฉน |
น้ำขึ้นถึงขนาดประหลาดใจ | แม้นผู้ใดบอกคงจะสงกา |
นี่ได้เห็นต่อพักตร์แก่จักขุ | เจอแลจุปากทักน้ำหนักหนา |
ขึ้นคืนเดียวเจียวร่วมท่วมหลังคา | เป็นน้ำป่าเช่นผู้เฒ่าเขาเล่ากัน |
แต่ไม่คงยืนยงอยู่ช้านาน | ตามที่ท่านผู้ใหญ่เล่าให้ฉัน |
เต็มอย่างช้าก็ไม่กว่าสองสามวัน | เขาพูดกันเป็นแน่ออกแซ่เซ็ง |
น้ำขึ้นใหญ่ไม่บอกลดเมื่อใด | คิดปดให้ไพเราะดูเหมาะเหมง |
ใครไม่คิดก็คงตื่นออกครื้นเครง | เออนักเลงเช่นนี้ก็มีกัน ฯ |
๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จวัสสาสิบห้าค่ำ | เจ้าคุณทำบุญใหญ่ใจกระสันต์ |
สนองคุณบพิตรนิจนิรันดร์ | ด้วยเป็นวันพระจอมเกล้าเข้านิพพาน |
นิมนต์สงฆ์พร้อมเพรียงประเดียงฉัน | ในวันนั้นล้วนเป็นสุขสนุกนิ์สนาน |
มีมหาชาติใหญ่แล้วให้ทาน | มโหฬารสรวลเสเสียงเฮฮา |
ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสูริย์ใส | จุดดอกไม้ส่องสว่างกลางเวหา |
แสงดอกไม้กระจ่างสำอางตา | จับนวลหน้านางลาวขาวเป็นใย |
ครั้นเทศน์ครบจบตามสิบสามกัณฑ์ | แอ่วลาวลั่นเพราะเสียงสำเนียงใส |
นางสาวลาวขับลำล้ำวิไล | สนุกนิ์ในกลางคืนชื่นสบาย |
ซึ่งน้ำท่วมถึงหลังคาสี่ห้าวัน | ตั้งแต่นั้นน้ำลดค่อยงดหาย |
ซึ่งกองทัพเป็นสุขสนุกนิ์สบาย | พอหาดทรายผุดพ้นชลธาร ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณแม่ทัพหยุดยับยั้ง | ท่านก็ตั้งซ้อมศึกฝึกทหาร |
ล้วนเข้าใจไวว่องคล่องชำนาญ | ท่านเห็นการน้ำลดเงือดงดลง |
เจ้าคุณแสนวิตกอกแทบหัก | ดังถูกจักรขว้างชีวิตปลิดเป็นผง |
ไม่มีเรื่องอะไรเห็นเป็นสบง | ที่จะทรงนุ่งให้เห็นว่าเป็นพระ |
อนิจจาน่าเสียดายกระแสสินธุ์ | ช่างไหลรินเร็วจริงยิ่งสวะ |
จอกแหนหนอพอกระทั่งฝั่งประทะ | ยังพิงพะรอราให้ช้าที |
อ๊ะพุทโธ่โอ้ว่าน้ำเจ้ากรรมเอ๋ย | กระไรเลยช่างไหลลงเร็วรี่ |
ขอผัดวันประกันพรุ่งพอรุ่งปี | ช่างไม่มีเมตตารีบลาลง |
จึงแต่งจัดขุนอสัจจวาที | โกหกาธิบดีตามประสงค์ |
สืบระยะแถวทางในกลางดง | จัตุรงค์พอจะเดินเหินสบาย |
ครั้นทายทักขุนอสัจจวาที | สืบวิถีแน่กำหนดลงจดหมาย |
เสร็จสรรพกลับสนองทั้งสองนาย | กราบเรียนรายระยะทางในกลางดง |
ก็พอจะไปได้ไม่สู้ยาก | ที่ลำบากน้ำเฝือยังเหลือหลง |
เป็นหล่มฦกตลอดไปในไพรพง | ก็น้อยลงกว่าแต่ก่อนเป็นดอนไป |
เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ้ง | ว่าทางแห้งไม่สู้ยากลำบากไพร่ |
คิดจะยกซึ่งพหลพลไกร | แต่ยังไม่มีช้างโคต่างจร |
เจ้าพระยาแม่ทัพเฝ้าปรับทุกข์ | ไม่มีสุขเศร้าในฤๅทัยถอน |
เที่ยวหาจ้างช้างอำมาตย์ราษฎร | ก็บ่ห่อนสมคิดจิตรำพึง ฯ |
๏ พอวันหนึ่งมีผู้ถือหนังสือกระดาษ | ของพระยาราชเสนาลงมาถึง |
ยังเจ้าคุณแม่ทัพคำนับคำนึง | เจ้าคุณจึงอ่านได้มีใจความ |
ในบอกว่าพระยามหาอำมาตย์ | กับเจ้าเมืองโคราชเรืองสนาม |
เข้ารบอ้ายฮ่อนั้นวัดจันงาม | พอสงครามฮ่อแหกแตกกระจาย |
กองทัพไทยได้ทีตีกระทบ | พวกฮ่อรบแหกหักหนีผันผาย |
พวกกองทัพจับได้ทั้งไพร่นาย | ที่เหลือตายหลบหลีกตั้งปีกกา |
ฮ่อยกพลขึ้นบนหลังคาโบสถ์ | ปืนลูกโดดยิงไทยด้วยใจกล้า |
อ้ายพวกฮ่อดีนักแผลงศักดา | บนหลังคาโบสถ์ยืนยิงปืนกัน |
พระสูริยนสนธยาวลาหก | เพอิญตกยิ่งยวดเป็นกวดขัน |
พวกอ้ายฮ่อก็กระโดดจากโบสถ์พลัน | เข้าฝ่าฟันหนีไปได้ทั้งมวล |
ได้ฟังสารอ่านพลันไม่ทันจบ | จวนสลบอ้าปากน้ำหมากบ้วน |
ลงหนุนหมอนนอนเกรเรดูเซซวน | หมออ้นอ้วนเข้าประคองรับรองนาย |
พวกลูกทัพลมจับแทบถ้วนทั่ว | ทั้งพวกตัวหลานกองนอนนองหลาย |
ฉันวอนหมอว่าพ่อคุณอย่าวุ่นวาย | ช่วยแก้คนที่จะตายเสียก่อนซี |
หมออ้นว่าอ้ายพวกนั้นมันตายแล้ว | ไม่คืนแคล้วคงเห็นต้องเป็นผี |
แก้อ้ายนายที่จะตายอยู่เดี๋ยวนี้ | ให้มันมีชีวิตอยู่ดูละคร |
ครั้นค่อยฟื้นคืนได้สมประดี | เห็นเสนีคุดคู้อยู่สลอน |
คิดถึงหมอด้วงบ่นปนละคร | คนที่นอนก็เลยหายคลายทั้งทัพ |
เจ้าคุณมีปัญญาให้ว่าใหม่ | เผื่อมีช่องเข้าอย่างไรจะได้กลับ |
ต้องย้อนต้นวนเวียนไปเจียนยับ | หาทางกลับให้ได้แน่ไม่แปรปรวน |
แต่พระยามหาอำมาตย์นั้น | ได้จัดสรรคนลอบไปสอบสวน |
สกัดจับทัพฮ่อที่ก่อกวน | หลายกระบวนตามกระชั้นไปพันพัว ฯ |
๏ เสมียนอ่านบอกเสร็จสำเร็จจบ | เจ้าคุณตบมือสรวลสำรวลหัว |
พวกอ้ายฮ่อเสียกระบวนมันจวนตัว | ด้วยความกลัวหนีโดดจากโบสถ์ไป |
คนล้อมถึงสามพันกระชั้นชิด | อ้ายฮ่อมันมีฤทธิ์จึงหนีได้ |
คิดขยาดหวาดกลัวในหัวใจ | ถ้าเราไปถูกมันเล่นเข้าเช่นนี้ |
ไม่ตัวเราก็คณะคงจะป่น | ถึงอับจนแล้วก็เห็นจะเป็นผี |
ดูฤทธิ์มันหมีใช่เล่นเห็นเต็มดี | นึกอีกทีชอบกลเป็นพ้นไป |
ด้วยอ้ายพวกไพรีมันหนีหมด | ไม่ต้องจากพระยาทดก็เจียนได้ |
พวกเราไม่ต้องยกขึ้นบกไป | ด้วยสิ้นไส้ศึกเสร็จสำเร็จการ |
ซึ่งตัวฉันได้ฟังแล้วนั่งยิ้ม | ใจเอิบอิ่มปรีดิ์เปรมกระเษมสานต์ |
เออเจ้าคุณแสนขี้ขลาดชาติสันดาน | ช่างคิดการเอาสั้นสั้นขันสิ้นที |
ที่ฮ่อแตกแยกไปหนีได้หมด | ไม่ออกรสเลยหนาน่าบัดศรี |
แม้นมันคุมกันมาย่ำยี | จะไม่ตีตอบมันฤๅฉันใด |
ถ้าแม้นมันยกเข้ามาเวลานี้ | จะมานั่งอยู่ที่นี่ได้ที่ไหน |
ช่างอยากกลับเสียจริงจริงยิ่งกว่าไป | คนอะไรขี้เค้าไม่เอาการ |
เล่นลายเดานึกเอาว่าสำเร็จ | ไม่ยอมเผ็ดฤๅจะปลิ้นไปกินหวาน |
นึกเดาเอาว่าสำเร็จศึกเสร็จการ | ได้กลับบ้านแล้วพวกเราอย่าเศร้าใจ |
คอยฟังข่าวซึ่งต้องตราให้หากลับ | ก็ฦกลับเหลือล้นพ้นวิสัย |
ยิ่งนับวันก็ยิ่งหายกลับกลายไป | ประหลาดใจเหลือล้ำนั่งคำนึง |
เหมือนเปรตคอยพระมาไลยได้มาโปรด | คอยเงี่ยโสตปากบ่นรนร่ำถึง |
เห็นยมพบาลหมายว่าพระมาจึง | เข้าไปถึงก้มกราบลงราบดิน |
ยมพบาลถามว่าฮ้าไปไหน | เปรตตอบในข้อความตามถวิล |
ฉันกลัวฮ่อเต็มประดายิ่งฟ้าดิน | กลัวมันสิ้นเสียด้วยลาวบอกข่าวอึง ฯ |
๏ อนึ่งชั่วตัวฉันลืมวันคืน | เมื่อจมื่นทิพเสนาลงมาถึง |
คุมฮ่อมาที่ทำเนียบไม่เงียบอึง | คนทะลึ่งอยากเห็นฮ่อวิ่งสอมา |
ฮ่อสองคนใหญ่เล็กเจ๊กแท้แท้ | ช่างเรียกแห้ฮ่อฟังน่ากังขา |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับบัญชา | เสมียนมาถามฮ่อเขียนข้อคำ |
จีนคนเล็กคนใหญ่มันให้การ | ดูเพ่นพ่านฟั่นเฟือนเลื่อนถลำ |
เห็นผันแปรแชเชือนเป็นเงื่อนงำ | หมีได้จำจดไว้ไม่เป็นการ |
ครั้นมันบอกออกความว่ากองทัพ | ฮ่อนั้นนับร้อยคนพลทหาร |
ครั้นจะจำจดไว้ตามให้การ | เจ้าคุณท่านกลัวจะต้องยกกองทัพ |
จึงย่นย้อข้อความตามที่คิด | บอกปกปิดความไว้พอได้กลับ |
ถ้าขืนไปก็ตกลงคงจะยับ | ไม่ได้กลับแล้วก็เห็นไม่เป็นการ ฯ |
๏ ทิพเสนาก็พาจีนฮ่อกลับ | เจ้าคุณแม่ทัพกระเษมสานต์ |
แรมทัพอยู่ที่ท่าเป็นช้านาน | ทำบุญทานด้วยมนัสมีศรัทธา |
ได้ซ่อมแซมกุฏิพระวิหาร | ทำไม้กรานค้ำโพธิ์โตสาขา |
เอาเงินแจกคนชแรแก่ชรา | ทอดผ้าป่าโดยนิยมพอสมควร |
พอโคต่างช้างม้าลงมาถึง | เจ้าคุณจึงให้คนลอบไปสอบสวน |
ให้ได้เห็นจริงดูรู้จำนวน | จงถี่ถ้วนช้างตั้งเป็นพังพลาย |
ช้างเบ็ดเสร็จร้อยเจ็ดสิบช้างกว่า | โคต่างห้าร้อยถ้วนจำนวนหมาย |
ท่านเจ้าคุณยินดีเป็นที่สบาย | พร้อมทั้งนายทัพนายกองปรองดองกัน |
ต่างตรองตรึกปรึกษาหาทางเลี่ยง | คิดบ่ายเบี่ยงโยเยจะเหหัน |
ด้วยแสนกลัวตัวฉิบหายวายชีวัน | แล้วซวนกันตริตรองนองน้ำตา |
เจ้าคุณเลิกหน้าสะท้อนถอนใจใหญ่ | คิดถึงเมียกลัวจะไม่ได้เห็นหน้า |
คะนึงโฉมไข่ขวัญกัลยา | เคยเห็นหน้าเช้าเย็นไม่เว้นวาย |
ด้วยจำร้างห่างสุดามาอยู่เดียว | จะเหลือบเหลียวแลหาไม่เห็นหาย |
พระยาประภาคงจะมาทำอุบาย | มาวุ่นวายลักนางให้ห่างกัน |
ถ้ากระไรลักไปได้แล้วอกหัก | คงดักดักดับชีวิตเป็นแม่นมั่น |
จะต้องละสละบ้านไปนานครัน | ต้องพึ่งปัญญาหลุยแคะคุ้ยเตือน |
ทั้งไม่ไว้ใจพระไพผู้บุตรเขย | ถ้ามันเลยเอาเมียเข้าเห็นเน่าเปื้อน |
ด้วยเพราะว่าธรรมดาคนจากเรือน | คิดลงเขื่อนคั่นไว้พอได้กัน ฯ |
๏ กำหนดที่จะยกขึ้นบกเดิน | บอกแต่เนิ่นเตรียมพหลพลขันธ์ |
เดือนสิบสองขึ้นสองค่ำเป็นสำคัญ | จะผายผันไปตำแหน่งท่าแก่งคอย |
พลกองทัพรู้ทั่วเตรียมตัวท่า | บ้างทำม้าสานตะกร้อไม่ท้อถอย |
ตระเตรียมเป็นธุระไม่ตะบอย | ไม่อ้อยสร้อยสานกระทอพอตะพาย |
ครั้นว่าจะเกะกะอย่างแต่ก่อน | ขืนผัดผ่อนนายนายทิมริมฉิบหาย |
จะซัดน้ำน้ำก็ไหลไปละลาย | จะซัดควายโคช้างม้าก็มาครบ |
สุดตอแหลแปรผันประกันหน้า | ไม่มีท่าทางปลิ้นดิ้นหลีกหลบ |
เหมือนกับแกงปลาไหลใส่เครื่องครบ | กลิ่นตระหลบคาวได้ไม่ระคาย ฯ |
๏ พวกลาวชาวบ้านพระยาทด | รู้กำหนดว่าจะไปแล้วใจหาย |
ท่านผู้เฒ่าเฝ้าละเหี่ยแสนเสียดาย | กองทัพอยู่ค่อยคลายพวกคนพาล |
ไม่อยากให้กองทัพไปลับลี้ | ตั้งอยู่ที่แสนเป็นสุขสนุกนิ์สนาน |
ทั้งข้าวของไม่หายวายรำคาญ | พวกชาวบ้านหม่นหมองนองน้ำตา |
กองทัพมาครั้งนี้เป็นที่ยิ่ง | ดีจริงจริงปกปักคุ้มรักษา |
ค่อยว่างเข็ญเย็นเกล้าเหล่าประชา | บ้างโศกาไห้ร่ำโศกรำพึง |
ครั้นจะพูดนินทาว่าอัปรีย์ | เห็นคณะสัสดีจะโกรธขึ้ง |
ถึงไม่อวดก็จะเฉยเลยมึนตึง | ถมึงทึงสั่งบ่าวเล่นเรายับ |
ทั้งเห็นผีขี้ขลาดอยู่ในใจ | คิดขอให้แล่นตลอดเข้าปอดตับ |
พวกคณะหน้างมก็ซมรับ | จับใจวับพูดอวดดีออกมี่อึง ฯ |
๏ ณ วันคืนปีเดือนจำเคลื่อนคลาด | เจ้าคุณราชวราขึ้นมาถึง[๑๕] |
ขึ้นทำเนียบท่าน้ำดั่งคำนึง | แล้วเชิญซึ่งท้องตราขึ้นมาพลัน |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับหนังสือ | มาจากมือเจ้าคุณราชแล้วผาดผัน |
มายังที่ชุมนุมประชุมพลัน | พร้อมพรักกันทั้งลูกทัพคอยรับนม |
ร้องงอแงเสียงแซ่อยู่โยเย | ทำปากเบ้หงับหงับขอรับผม |
ผมมาหมายว่าจะกินนม | ขอขนมกับน้ำตาลแจกหลานกอง |
แล้วจึงอ่านสารตรามาบังคับ | ให้กองทัพยกเคลื่อนเดือนสิบสอง |
จะตอบโต้เบือนบิดผิดทำนอง | จึงเคลื่อนกองทัพยกขึ้นบกไป ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณแจ้งตามความบังคับ | จึงพูดกับเจ้าคุณราชไม่หวาดไหว |
โคต่างช้างหมีมาจะว่าไร | อยากจะใคร่กรีพลพหลจร |
บัดนี้ช้างโคต่างมาถึงหมด | ได้กำหนดไว้แน่แล้วแต่ก่อน |
จะยกซึ่งพหลพลนิกร | ใช่จะนอนเนิ่นใจเมื่อไรมี |
ที่ว่านี้ความจริงทุกสิ่งสรรพ์ | พอน้ำหกฉวยขันขึ้นวิ่งจี๋ |
ซํ้าเทปราดสาดทิ้งในนที | แล้วเร็วรี่เดินส่งลงตะพาน |
พลาดบันไดพลอยโผนโจนลงน้ำ | โกหกซํ้าเกลียวกลมประสมประสาน |
ครั้นลีลามาจากที่นทีธาร | พอล้มลงเลยพาลว่าอยากนอน |
อุปมานุปรไมยในสามข้อ | เป็นความของผมหนอไม่ย่อหย่อน |
หนึ่งนายเพ็งสองสรรเพธไม่เด็ดรอน | สามซ้อนบุรุษรัตนพัลลภ |
สี่มาตย์ที่ราชสุภาวดี | ห้ามหินทรสิ้นทีขี้ขลาดจบ |
สาบานเติมเพิ่มให้แรงแซงสมทบ | หกปรารภยิ่งนักที่จักรี ฯ |
๏ แล้วแต่งตอบข้อความตามที่กล่าว | เป็นเรื่องราวน้อมประณตบทศรี |
ขอถวายบังคมลาฝ่าธุลี | สิ้นวาทีห่อพับประทับตรา |
แล้วส่งลงบางกอกบอกนุสนธิ์ | ตามเหตุผลข้อศึกที่ปฤกษา |
ครั้นรุ่งแจ้งแสงศรีสูริยา | เห็นกำปั่นไฟมาถึงท่าพลัน |
เห็นฝรั่งนั่งร่ามาหน้าเรือ | ประหลาดเหลือมาไยผิดใจฉัน |
พอเห็นหมวกกะเรนเซนเป็นสำคัญ[๑๖] | ชาวอเมริกันเขาขึ้นมา |
ถึงเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | กับของพร้อมสารพัดเขาจัดหา |
เล่าแถลงแจ้งจิตตามกิจจา | ตามบรรดาคนนอกเขาออกทุน |
ฝรั่งพร้อมกันเสียเงินเรี่ยไร | ทั้งคนใหญ่คนน้อยพลอยอุดหนุน |
ทั้งนายห้างกัปตันท่านกงซุล[๑๗] | เขาทำบุญสู้เสียเงินเรี่ยไร |
ได้จัดซื้อผ้าห่มขนมปัง | กับอีกทั้งหยูกยารักษาไข้ |
ยาโกรกกรากใบตองสำรองไป | ทั้งขีดไฟชาหีบรีบเอามา |
จะมอบของสิ่งนี้ให้ใครบำเรอ | มอบดอกเตอร์ดูพิทักษ์ได้รักษา |
คนกองทัพจับไข้ได้พยา | บาลบรรดาคนไข้ของให้ทาน |
๏ ความข้อนี้ดูทีเห็นประหลาด | พวกชาวชาติฝรั่งติดคิดวิถาร |
ที่ยกทัพมาแต่ก่อนไปรอนราญ | ไยไม่จานเจือบ้างเหมือนอย่างนี้ |
คิดไม่เห็นจะเป็นด้วยอย่างไร | จะเป็นได้เพราะเสียงฦๅอื้อจากนี่ |
ว่าไพร่พลโยธายาไม่มี | ทั้งโยธีอดอยากลำบากใจ |
ด้วยต้นเหตุเพราะขลาดขยาดศึก | ฉันตรองตรึกตามปัญญาอัชฌาสัย |
ทำข่าวร้ายให้ขจายขจรไป | ขายชื่อไทยให้คุ้มขลาดไม่ขาดทุน |
แต่ที่จริงนั้นเสบียงก็เพียงพอ | เงินหลวงก็จานเจือได้เกื้อหนุน |
ไปเป็นสี่ห้าสิบชั่งประทังทุน | ยังลืมคุณลบหลู่พระภูบาล ฯ |
๏ พวกดอกเตอร์เขาก็พากันมารับ | ของสำหรับที่จำแนกแจกทหาร |
ช่วนกันขนล้นหลามถ้วยชามจาน | ทั้งน้ำตาลทรายกระสอบรับมอบมา |
ครั้นจวนวันจวนเดือนจะเคลื่อนคลาด | ไปจากหาดพระยาทดกำสรดหา |
ซึ่งตัวฉันนี้ไม่วายฟายน้ำตา | จะจากท่าหาดเหินเดินอรัญ ฯ |
๏ ครั้นนาฬิกาได้ที่ตีสิบเอ็ด | คนพร้อมเสร็จเตรียมการจะผายผัน |
ขอของลงนาวาไม่ช้าพลัน | บ้างชวนกันกินข้าวเช้าจะไป |
เหล่าลูกทัพหลานกองพร้อมนองเนือง | ล้วนแต่งเครื่องเต็มยศแสนสดใส |
แต่งเล่นเสียให้ระยำหนำพระทัย | ต่างคนไปจอดลอยคอยเจ้าคุณ |
ฉันนั่งที่หน้าแคร่เหมือนแต่ก่อน | อุระร้อนราวจะโลดกระโดดหมุน |
พอรุ่งแจ้งแจ่มฟ้าเรื่ออรุณ | ได้สกุณฤกษ์เบิกกระบวน |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับย่าง | งามสำอางเฉิดฉินดังอินศวร |
เหมือนเมื่อตรีปุรำทำลามลวน | มาก่อกวนโลกาให้อาวรณ์ |
พระอินศวรเป็นเจ้าเข้าต่อยุทธ | สัประยุทธ์กับขุนมารชาญสมร |
จับนารายณ์แผลงทั้งกำลังนอน | พระแสงศรลูกนารายณ์ป่ายปักดิน |
พระอินศวรตกพระทัยแสนไหวหวาด | ผิดประหลาดสิ้นแรงพระแสงศิลป์ |
เสียพระทัยพักตร์คลํ้าดำเป็นนิล | เหมือนมหินทร์ครั้งนี้ทีกระบวน |
ครั้นเจ้าคุณลงมาถึงท่าน้ำ | ดูพักตร์คลํ้าโศกสร้อยละห้อยหวน |
เสร็จลงนาวาเวลาควร | เรือก็หวนเหห่างออกกลางชล ฯ |
๏ ฆ้องชัยลั่นสำเนียงเสียงประสาน | ฝีพายขานยาวรับอยู่สับสน |
พระสงฆ์เป็นธุระประน้ำมนต์ | แล้วร่ำบ่นชยันโตโมทนา |
เหล่าพวกลาวชาวบ้านละลานจิต | บ้างที่คิดถึงบุญคุณนักหนา |
เดินตามส่งกองทัพจนลับตา | บ้างโศกาโหยไห้อาลัยแล |
ฝีพายขึงตึงไหล่ใส่สวบสวบ | เรือยวบยวบมาในวนชลกระแส |
ตัวฉันเฝ้าเพิ่มพูนอาดูรแล | ทรวงตั้งแต่โศกร้อนอาวรณ์มา |
เรือรี่เรื่อยเฉื่อยฉิวละลิ่วฉุย | ฝีพายพุ้ยจ้ำหน่วงจ้วงถลา |
ถึงที่แก่งน้ำนูนไหลพูนมา | ดังฉ่าฉ่าฉานฉานเสียงชานชล |
น้ำพุ่งไหลโพนช่างโชนเชี่ยว | ฝีพายเหนี่ยวหันรับอยู่สับสน |
ต้องขึ้นแก่งแรงร้ายหลายตำบล | ประจวบจนแก่งคอยบ่ายคล้อยโมง |
ชะเสียดายไม่ได้กะระยะทาง | พอคิดอ้างพาโลได้ไปช่องโล่ง |
ยึดเอาแก่งบอกลงไปได้ช่องโกง | คงปลอดโปร่งตลอดได้ไม่ต้องมา |
ว่าแก่งติดหนทางอยู่กลางน้ำ | เหลือจะคํ้าถ่อลำบากยากนักหนา |
ใครข้ามไปแล้วไม่พ้นมรณา | เพราะเทพาอารักษ์ท่านหักคอ |
ก็จะสมอารมณ์ที่นึกไว้ | แสนเสียใจจิตรันทดสลดฝ่อ |
ดังเจ้าพ่อหอกลองท่านหักคอ | ใครเชื่อพอดึงดันประกันโกง |
น้ำเฉื่อยฉิวลิ่วเหลือพอเรือลอย | ไพร่พลพลอยถ่อค้ำหักต้ำโผง |
ฝีพายผ่อนอ่อนใจต้องใช้โยง | ค่อยชะโลงหน่วงเหนี่ยวเต็มเรี่ยวแรง |
ช่วยกันรั้งช่วยกันลากกระชากฉุด | พอเรือหลุดล่วงพ้นตำบลแก่ง |
ถึงทำเนียบที่สร้างไว้กลางแปลง | เขาตบแต่งคอยรับกองทัพไชย ฯ |
๏ เรือเจ้าคุณจอดประทับกับตะพาน | พอทหารยืนเรียงเคียงไสว |
พอเจ้าคุณย่างยกขึ้นบกไป | กัปตันใหญ่บอกเป็นปรีเซนต์นำ[๑๘] |
ทหารแถวยกปืนขึ้นคำนับ | ไม่สับปลับดังว่าเลขาขำ |
แล้วบอกให้ยกปืนยืนประจำ | เขาช่างทำเจนจัดหัดชำนาญ |
ก็แรมทัพยับยั้งอยู่ที่นั้น | ครั้น ณ วันแรมสามค่ำได้ทำศาล |
บวงสรวงเทวดาเจ้าท่าธาร | ให้ภิบาลกองทัพจงรับรอง |
แล้วเจ้าพระยาแม่ทัพบังคับสั่ง | จัดแต่งตั้งลูกทัพบังคับต้อง |
ใครอยากนมให้มาอมเอาข้าวพอง | ปันหมวดกองด้วยจะยกขึ้นบกเดิน |
พระยาอภัยสงครามใจห่ามฮึก | ฉันนึกนึกในจิตคิดเผินเผิน |
ใครจะตั้งชื่อคิดเห็นผิดเกิน | มาแต่เถินเถื่อนท่าฤๅป่าดง |
อาสาซ้ายตัวเจ้ากรมนิยมนาม | เรียกพิไชยสงครามตามประสงค์ |
ในกฎหมายแบบอย่างท่านวางตรง | เออนี่หลงฤๅว่าใครที่ไหนมา |
จึงได้เรียกลงไว้อภัยสงคราม | ฤๅว่าคิดเปลี่ยนนามเอาตามข่า |
นายบอกให้จึงได้ลงในสารา | ฉันพลอยทำเป็นข่าตามนายไป |
จีนโน้วเกี๊ยนามบอกออกตรงตรง | ไพล่เรียกอนงค์เกี๊ยเล่นก็เป็นได้ |
เติมหน้าตัดท้ายสบายใจ | พูดเหลวไหลเด็กฟังพอนั่งเพลิน |
ท่านพระยาคนนี้ดีลํ้าฦก | เคยทำศึกรบรุกถึงฉุกเฉิน |
ให้เป็นนายทัพหน้าปัญญาเดิน | คงไม่เยินย่อยยับอัปรา |
ซึ่งพระไตรภพรณฤทธิ์ความคิดหลาย | เป็นปีกซ้ายสำหรับกองทัพหน้า |
พระอภัยพลรบจบศักดา | เป็นปีกขวาเมื่อจะยกขึ้นบกไป |
พระมนตรีบวรซ้อนประดัง | เป็นกองหลังทัพหน้าอัชฌาสัย |
รวมจำนวนบาญชีที่มีไป | ล้วนคนในเกณฑ์ตั้งวังบวร |
พระวิชิตณรงค์เคยสงคราม | ไม่ครั่นคร้ามห้าวหาญชาญสมร |
เป็นทัพขันธ์เยื้องซ้ายนายนิกร | ไม่ย่อหย่อนไพรีมีศักดา |
พระยาพิชัยชาญฤทธิ์ไม่คิดพรั่น | เป็นทัพขันธ์หนุนเนื่องข้างเบื้องขวา |
พลรบถือครบเครื่องศาสตรา | อ้ายหลักคามีฤๅไม่จะใคร่รู้ |
ล้วนองอาจชาติทหารชำนาญศึก | ล้วนหาญฮึกจะใคร่รอคิดต่อสู้ |
ไม่ขี้ขลาดเหมือนนายข้าอีตาครู | แต่พอรู้ว่าฮ่อมาอุราร้อน ฯ |
๏ เจ้าคุณกำกับพลคนทั้งปวง | เป็นทัพหลวงรี้พลคนสลอน |
ตั้งนายกองนายทัพเป็นตับตอน | แม้นราญรอนท่วงทีไม่มีชัย |
ซึ่งท่านหลวงทวยหาญเชี่ยวชาญชัด | กับขุนจัดกระบวนพลเป็นคนไหว |
เขาพูดว่าวักตรำทำตกใจ | ชั่งหนักใหญ่นับด้วยตันพันพอครบ |
สัทธาสูรอุ้มวิรุญจำบัง | ก็ไปนั่งดิ้นไหวอยู่หรบหรบ |
ไหวว่าเขาเสียดสีทีกระทบ | ไหวบัดซบไปจนเฝือน่าเบื่อใจ |
สมเป็นชายนายทหารชำนาญศึก | ช่างแสนฦกเลิศดีคัมภีร์ไหว |
คุมทหารสำหรับแม่ทัพไป | ระวังภัยหมีได้หมิ่นอรินพาล ฯ |
๏ พระพิบูลไอยสวรรย์ตัวกลั่นกล้า | เป็นปีกขวาทัพใหญ่ใจทหาร |
ท่วงทีกลศึกฝึกชำนาญ | แสนเชี่ยวชาญเต็มดีคัมภีร์เจ๊ก |
สามก๊กเลียดก๊กอ่านตกสิ้น | ทั้งฮ่องสินเรื่องตลกโกหกเด็ก |
โง่วโฮ้วเพ็งไซทั้งไคเภ็ก | หนังสือเจ๊กจำแม่นแสนชำนาญ |
ท่านแสนรู้จนท่วงทีกิริยา | ท่านทำท่าคล้ายกวนอูดูอาจหาญ |
ทั้งความคิดบิดขงเบ้งเก่งชำนาญ | ย่อมรู้การแม่นยำทำอุบาย ฯ |
๏ ซึ่งพระชาติสุเรนทร์นั้นเจนทัพ | ตาขวาหลับบอดแตกแหลกฉิบหาย |
อันแชแหมคงไม่เปล่าเจ้าอุบาย | ลงแก้กายโทงเทงเก่งพอดู |
มีวิชาชำนาญข้างการนุ่ง | เล่นออกนุงเดินทางอย่างกู๋กู๋ |
พอเข้าเกลียวกันไปได้กับนายกู | ได้มาอยูในคณะจะแยบคาย |
คะเนดูอาการคงหาญทัพ | การรบรับแล้วไม่หย่อนถอนขยาย |
คุมขุนหมื่นไพร่ฉกรรจ์พันทนาย | เป็นปีกซ้ายท่วงทีดีกว่าคน ฯ |
๏ ซึ่งพระยามหานุภาพนั้น | ก็แข็งขันการศึกได้ฝึกฝน |
ให้ว่าที่ปลัดทัพกำกับพล | เพื่อประจญประจัญบานรับด้านกัน |
หลวงภักดีจุมพลล้นดิลก | เป็นคณานุนายกดังแกล้งสรร |
นุ่งไว้จนเป็นเศรษฐีมั่งมีครัน | เจ้าคุณนั้นไว้วางได้ต่างใจ |
ท่านคณะองค์นี้ดีที่สุด | ในมนุษยํไม่มีที่เปรียบได้ |
คุมคณะนักการอันชาญชัย | ที่จ่ายให้เฝ้าหอไว้พอครัน |
ที่ว่านี้จริงใจใช่โกหก | เป็นที่ยกกระบัตรทัพเห็นขับขัน |
ท่วงทีมีอำนาจฉลาดครัน | รู้ได้สันทัดแท้ไม่แปรปรวน |
ซึ่งขุนสกลสารบาญใจหาญฮึก | ในการศึกแล้วไม่พรั่นใจผันผวน |
เป็นที่เร่งเงินรับจับใส่ตรวน | เป็นเจ้าจำนวนเร่งเงินค่าราชการ |
ซึ่งท่านขุนอินทรวิเชียรชาติ | ขุนพรหมราชปัญญาล้วนกล้าหาญ |
เกณฑ์ข้าฉัตรคันหนึ่งเป็นห้าคว้าพอการ | ที่ขี้คร้านวุ่นวายให้เงินทอง |
อยู่ในพวกคณะสัสดี | เรียนคัมภีร์นุ่งเล่นเป็นอย่างคล่อง |
กระบวนเกณฑ์ยกให้เป็นนายกอง | พอได้ช่องหาทรัพย์รับประทาน ฯ |
๏ เกณฑ์ขุนอีกสองนายให้เข้ากอง | จัดขุนทั้งสองตัวกล้าหาญ |
ขุนนราชุมพลคนชำนาญ | ขุนสัจจวาทีการทั้งสี่นาย |
เป็นกองแซงด้านในล้วนใจกาจ | ด้วยองอาจหมีได้พรั่นจิตมั่นหมาย |
ไม่อยากรบศึกเสือเหลือกลัวตาย | คุมนิกายพลรบครบทุกคน |
หลวงกิจจานุกิจประกาศนั้น | ก็เข้มขันชุมนุมคุมพหล |
หลวงอาสาสำแดงรู้แต่งพล | ให้เที่ยวปล้นพวกเลขเฉกทมิฬ ฯ |
๏ หลวงจัตุรงค์โยธาปัญญาฦก | การรบศึกแล้วไม่หันพักตร์ผันผิน |
เห็นศึกมาถ้าแม้นว่ามีปีกบิน | ก็จะปลิ้นขึ้นอากาศขี้ขลาดรบ |
นี่จนใจที่ไม่มีปีกจะบิน | สุดจะปลิ้นปลอกปลีกออกหลีกหลบ |
จำเป็นจำใจไปสมทบ | แม้นไม่รบคงได้ท่าเที่ยวหากิน |
นึกอย่างนี้ได้ค่อยมีใจมานะ | ค่อยสละขลาดได้ไม่ผันผิน |
ขุนนราฤทธิไกรใจทมิฬ | ขุนพิไชยชาญยุทธสิ้นรวมห้านาย |
ล้วนคณะพระมหาฤษี | สัสดีคณะนุ่งสิ้นทั้งหลาย |
เป็นกองหลังถือดาบดั้งโล่ตะพาย | ปืนใหญ่น้อยกระสุนปรายลากรายเรียง ฯ |
๏ ท่านหลวงทรงศักดาปัญญาหาญ | ดังเจียวก้านอาสาทัพเมืองลกเอี๋ยง |
ถูกเจียวยี่ทำกลนอนบนเตียง | สักหนังสือแล้วก็เลี่ยงหนีกลับมา |
ทำสารสนธิ์กลอุบายให้โจโฉ | เกิดโมโหคึกคักเป็นหนักหนา |
ว่าชัวมอเตียวอุ๋นมรณา | เพราะปัญญาเจียวยี่แสนดีครัน |
ฝ่ายเจียวก้านเห็นเจ้ายังเคืองข้อง | กลับอาสาพาบังทองคนขยัน |
เอาเรือรบผูกผนิดเข้าติดกัน | อุยกายมันปลอมทำเรือลำเลียง |
เอาเชื้อชุดจุดไฟไหม้เรือรบ | โจโฉหลบขึ้นบกไปลกเอี๋ยง |
ท่านขุนอินทรภักดีฤทธีเพียง | เสมอกับเกียงอุยเชือดคอมรณา ฯ |
๏ ท่านขุนรักษ์พลพยุห์ใจดุเหลือ | ยิ่งกว่าเสือฟันหักเป็นหนักหนา |
ท่านนักปราชญ์ขุนราชเมธา | เป็นบิดาจมื่นเมเยอร์พัน |
ท่านคุมเหล่าลาวป้อมเป็นทัพหนุน | พุ่งเป็นจุณป้อมอย่างไรหมีได้พรั่น |
ใครแย่งเอาไปได้ก็ให้มัน | เป็นกองกันแซงนอกล้วนหอกแดง ฯ |
๏ เจ้าคุณคัดจัดกระบวนครั้นถ้วนพร้อม | ต่างฝึกซ้อมเหล่าทหารชาญกำแหง |
ครั้นรุ่งขึ้นอีกเวลาพอฟ้าแดง | ต่างจัดแจงเบิกช้างโคต่างกัน |
ท่านยกกระบัตรทัพก็จับจ่าย | ทั้งช้างพลายพังทั่วล้วนตัวกลั่น |
เจ้าของช้างเอาเงินตรามารางวัล | ก็ผ่อนผันคัดไปให้กลับคืน |
บุญก็ได้ไส้ก็เต็มเค็มแท้แท้ | หาทางแก้ข้อขัดตราคิดฝ่าฝืน |
ว่าช้างน้อยทีขยับได้กลับคืน | ถึงจะยืนจะยันดันให้ไป |
พอตะโกนโพนทะนาว่าเต็มปาก | ว่าของมากช้างก็จนขนไม่ไหว |
ได้เงินร้อยสองร้อยก็ปล่อยไป | แล้วจ่ายให้ถ้วนทั่วทุกกัน |
ที่ไม่มีเงินทองของคำนับ | จ่ายเข้ากระบวนทัพที่คับชัน |
พวกนายทัพนายกองเที่ยวมองพลัน | แล้วเลือกสรรช้างขี่ดีทุกคน ฯ |
๏ ครั้นรุ่งขึ้นเดือนสิบสองแรมห้าค่ำ | เป็นวันกำหนดเคลื่อนเลื่อนพหล |
ย่ำรุ่งแจ้งแสงศรีสูริยน | พวกไพร่พลเตรียมพร้อมไม่พลอมแพลม |
ด้วยว่ายกกระบัตรจัดกระบวน | งามธงทวนพู่หอกดังดอกแขม |
ที่ในท้องทุ่งนาไม่ราแรม | สีขาวแซมแดงเขียวงามเทียวทวน ฯ |
๏ เจ้าคุณนั่งคอยฤกษ์ค่อยเบิกเนตร | นั่งสังเกตฤกษ์นั้นไม่ผันผวน |
พอได้สกุณฤกษ์เบิกกระบวน | ลั่นฆ้องถ้วนสามครั้งขึ้นยังเกย |
ขึ้นสู่ช้างกระโจมแดงแสงระยับ | รูดม่านเยียรบับนั้นเปิดเผย |
ดูงามงดรจนาสง่าเงย | เจ้าเงาะเลยแหงนค้างดูช้างดี |
เดินไม่กระเพื่อมเพื้อมกระเทือน | คลาเคลื่อนมาในทางหว่างวิถี |
เสียงเท้าคนเดินดงเป็นผงคลี | ดังธรณีเพียงจะแยกแตกเป็นคลอง ฯ |
๏ ครั้นถึงประตูป่าที่อารักษ์ | คนหยุดพักบูชังสิ้นทั้งผอง |
แล้วบูเชเทพาน้ำตานอง | นั่งยองยองบูชมประนมมือ |
จุดธูปเทียนบูโชเทโพรักษ์[๑๙] | อันมีฤทธิ์สิทธิ์ศักดิ์ที่นับถือ |
ให้ไปดีมาดีอย่ามีภยื | ขอเทวืช่วยพิทักษ์ปกปักครอง |
ต่างบูชังประนังกราบอยู่ไสว | ทั้งบ่าวไพร่มาบูชินสิ้นทั้งผอง |
เจ้าคุณก็จำเนียนจุดเทียนทอง | แล้วจึงร้องเรียกไพร่ให้ไปบูชา ฯ |
๏ เสร็จคลาเคลื่อนกองทัพไม่ยับยั้ง | ถึงกระทั่งห้วยกระบอกเป็นซอกผา |
ก็ลุยช้างข้ามลำแม่น้ำมา | ดงพระยาเย็นเชียบเหงาเงียบใจ |
ล้วนป่าทึบดงชัฏสงัดแท้ | มองเห็นแต่ยางยูงสูงไสว |
โศกสักกรักกร่างมะซางไทร | แสลงใจจิ่งจ้อคล้อตะคลอง |
มะตูมตาดเต็งแต้วแก้วมะกา | คางมะค่าประคำร้อยแลข่อยหยอง |
สะท้อนกระทุ่มทุมพรแลค้อนกลอง | มะพลับพลองพลวงกระเพราสะเดาดง |
ต้นตะโกสะแกแสมสาร | ต้นกำยานพระยายาแลกาหลง |
อัมพามะพูดชะลูดโลกโลดทะนง | ทั้งเปรงปรงโปร่งฟ้าแลขานาง |
ต้นก้านเหลืองมะเฟืองมะฝ่อไฟ | สลัดไดนางรองแลทองหลาง |
มะกอกดอกประดู่ต้นหูกวาง | มะสังทรางส้มเสี้ยวเล็บเหยี่ยวยล |
เกดกุ่มพุมเรียงแลเหียงหาด | มะตูมตาดติดดอกบ้างออกผล |
ตะเคียนเคียงเรียงระดะดูปะปน | มีทั้งคนทาไทยลำไยดง |
กระแบกกระเบากันเกราไกร | ทั้งเนื้อไม้กฤษณามหาหงส์ |
ต้นกระทิงกระท่อมพะยอมประยงค์ | ทั้งคันทรงแส้ม้าพระยารัง |
ต้นดีหมีตาเสือมะเกลือมะกล่ำ | เหลือจะรำพันไม้เหมือนใจหวัง |
ด้วยอกฉันแทบพองเป็นหนองพัง | เหลือประทังที่จะทนหมองหม่นมัว ฯ |
๏ นึกนึกไว้จะใคร่ชมพฤกษาชาติ | ตามนักปราชญ์แต่งไว้เสียให้ทั่ว |
เป็นอักษรล้วนทั้งนั้นไม่พันพัว | เล่นเนื้อตัวตุ้งติ้งผู้หญิงรัก |
ไม่ตลอดเลยตันอั้นอุรา | ไม่ได้ว่าแสนวิตกแทบอกหัก |
ขอไปทีเถิดอย่าด่าว่าฉันนัก | จะสำลักตกแท่นฉันแสนกลัว |
คิดเกรงด้วยความไข้อกใจฝ่อ | ฤๅทัยท้อแดดแฝงแสงสลัว |
เข้าในพงดงรังระวังตัว | เพราะใจกลัวไข้ป่าจะฆ่าตาย |
ไหนจะคิดถึงคู่ที่ชูจิต | ครั้นหวนคิดถึงไข้แล้วใจหาย |
ไหนจะคิดถึงฮ่อมันล่อตาย | เห็นต้องวายชีวิตคิดระอา ฯ |
๏ ครั้นมาถึงลำโศกวิโยคเศร้า | โอ้โศกเราเหลือฦกพ้องพฤกษา |
มีลำธารน้ำเฉื่อยไหลเรื่อยมา | เหมือนน้ำตาฉันไหลใจรัญจวน |
ต้นโศกเคียงเรียงรายอยู่ชายทาง | แลสล้างเหมือนหนึ่งว่าพฤกษาสวน |
เหมือนโศกฉันรายทางไม่ห่างครวญ | ไห้โหยหวนมาในทางกลางอรัญ |
ซึ่งหนทางเดินยากลำบากเหลือ | แม้นมาเมื่อหน้าน้ำจะทำขัน |
เหล่าไพร่พลคงตายวายชีวัน | ตั้งนับพันนับร้อยไม่น้อยตน |
ด้วยหนทางพอช้างจุตัวย่อง | เหมือนลำคลองแม่หมูฤดูฝน |
น้ำคงท่วมเลยประศีรษะคน | จะยกพลขึ้นบกก็รกเกิน |
ด้วยไม้ใหญ่เรียงชิดติดเป็นพื้น | ตลอดยืนถึงลำเนาภูเขาเขิน |
ถึงจะให้คนถางหนทางเดิน | ตลอดเนินแล้วคงตายลงหลายพัน |
จะทำแพต่อเรือก็เหลือคิด | ไปสักเส้นเห็นจะติดศิลากั้น |
จะหามเรือไปก็ยากลำบากครัน | ด้วยเป็นหลั่นเป็นตอนลุ่มดอนไป |
จะหาที่ต่อเรือเหลือลำบาก | จะโค่นถากถางดงที่ตรงไหน |
นอนค้างดงหลายวันคงบรรลัย | ด้วยความไข้หมีใช่ชั่วกลัวระวัง |
ฤดูนี้เรามาเหมือนหน้าแล้ง | ยังไม่แห้งน้ำเฉอะล้วนเลอะขัง |
ถ้าแม้นมาหน้าฝนพ้นกำลัง | เป็นต้องฝังกันในดงลงสักพัน |
หมีใช่เขาตัวเราเป็นหนึ่งแน่ | ไม่เที่ยงแท้โดยคำธรรมขันธ์ |
ธรรมขลาดชาตินี้ก็มีกัน | ดูช่างขันนี่กระไรไม่เคยพบ |
พอย่างเข้าดงไปก็ใจหาย | แม้นเห็นลายตีนอ้ายฮ่อพอสลบ |
แสนขี้ขลาดเต็มประดาไม่น่าคบ | ดีแต่รบเงินเล่นไม่เป็นอัน |
ยิ่งนึกไปให้แสนเวทนา | เห็นเจ้าคุณร้อนอุราทำน่าขัน |
อันฉันว่าไม่เบี่ยงเป็นเที่ยงธรรม์ | ไม่รู้วันที่จะตายทำลายตน |
ไม่รู้ตัวว่าจะตายทำลายแท้ | เว้นเสียแต่ผู้วิเศษแจ้งเหตุผล |
ถึงจะมีอินชุรันประกันตน[๒๐] | ก็ไม่พ้นความขลาดที่หวาดกลัว ฯ |
๏ เข้ามาถึงกลางดงที่พงพฤกษ์ | อนาถนึกขนพองสยองหัว |
จะไปข้างหน้าไปให้แสนกลัว | จะกลับหลังใจระรัวกลัวปากคน |
สักเมื่อไรจะได้พบโยคี | บอกสำแดงแจ้งคดีชี้เหตุผล |
ให้รู้ตัวว่าจะตายวายกังวล | ปุถุชนหาได้น้อยไม่ค่อยมี ฯ |
๏ ฉันคิดถึงความตายใจหายวาบ | เหมือนเกิดลาภตามทางกลางวิถี |
หากว่าบุญเราหลายได้นายดี | เป็นฤษีอย่างนุ่งเฟื่องฟุ้งนาม |
สารพัดจะเกะกะพระของฉัน | พออวดกันเล่นได้ในสนาม |
บรรดาเหล่าอลัชชีที่มีนาม | ไม่ได้คร้ามย่นย่อต่อผู้ใด |
กระบวนบิดกระบวนเมาเอาทุกด้าน | เรื่องปาบ้านแลเป็นเฟิสท์เลิศอย่างใหญ่[๒๑] |
การเล่นหวยโปถั่วไม่กลัวใคร | เสียไม่ให้ได้จะเอาดูเข้าที |
เรียกเจ๊กมาเล่นโปโจ้ในบ้าน | ถ้าเสียพาลพูดไปไม่ให้หนี |
เป็นบุญเราที่ได้เจ้านายดี | ไม่อินทรีย์ของเราเน่าอยู่ไพร |
หากว่าเดชะบุญเจ้าคุณโข | สู้ตอบโต้ท้องตราหามาไม่ |
ถ้าเหมือนเขาเมายศไม่อดใจ | คงพาไพร่มาล้างเรี่ยทางเดิน |
ถึงมาจริงก็คงไม่ตายเป็นแน่ | แกล้งพูดแก้พอให้คนสรรเสริญ |
ที่ไม่อยากได้ยศขี้ปดเกิน | พูดออกเพลินนึกว่าใครจะไม่ค้าน ฯ |
๏ เมื่อครั้งกรมสมเด็จท่านสิ้นพระชนม์ | เจ้าคุณท่านเสือกสนอลหม่าน |
พอหลุดที่จักรีมีอาการ | เกิดบันดาลโรคถนัดตัดเข้าวัง |
ลงทำเครื่องละครนอนอยู่บ้าน | พูดวิถารไปได้ไม่เหลียวหลัง |
เหมือนจับตัวขังไว้ในตรุตรัง | เล่นประดังสามดาราเป็นยาเพลิน |
คนอื่นก็พูดกันเช่นนั้นว่า | เหล่าโยธาชวนกันสรรเสริญ |
บ้างนบนอบขอบบุญเจ้าคุณเกิน | บ้างอวยไชยให้เจริญยิ่งภิญโญ |
ให้เมาใหญ่ไม่รู้สร่างอย่างประสงค์ | ให้พระองค์หมดทุกข์เป็นสุโข |
ริดสีดวงออกโอกจนโศกโซ | ขาบวมโตเดินไม่ได้เหล้าให้คุณ |
ยิ่งคิดไปก็ยิ่งให้สังเวชจิต | ให้หงุดหงิดอัดอั้นนึกหันหุน |
พุทโธ่พุทถังช่างกระไรใจเจ้าคุณ | ช่างหมกมุ่นแต่ละครกับฟอลโล ฯ |
๏ ตัวฉันนั่งแล้วลองคิดตรองตรึก | ถ้าปะศึกท่วงทีจะดีโข |
ด้วยฝูงไพร่พร้อมพรั่งตั้งมโน | แผลงเดโชเอาชนะกะศตรู |
ขอสนองพระเดชพระคุณอุดหนุนแท้ | เจ้าคุณแม่ทัพนี้อารีอยู่ |
ค่อยเคลื่อนคลายหายเข็ญท่านเอ็นดู | ช่วยชื่นชูชีวังเรายั่งยืน ฯ |
๏ เหล่าพวกไพร่พูดจาว่ากันวุ่น | ขอแทนคุณท่านเมตตาจะฝ่าฝืน |
จะเอากายเป็นค่ายตับรับลูกปืน | พูดกันดื่นเจียวอย่างนี้เห็นมีชุม |
เขาพูดให้ใจสบายหายทุกข์ร้อน | ใจเจ้าคุณเหมือนขอนติดไฟสุม |
เอาน้ำสาดราดไปที่ไฟรุม | พอหายกลุ้มอกสบายของนายเรา |
ถ้าแม้นจริงได้ประทะปะศัตรู | ที่ใครคิดว่าจะสู้นั้นคงเปล่า |
พวกเหล่านี้ยอไม่หยอกหลอกไม่เบา | แต่พอเจ้าคุณเคอะเซอะสบาย |
ด้วยหวังเอาบ่าวเป็นรั้วตัวต้องเจ๊ง | ที่จะเก่งออกหน้านั้นอย่าหมาย |
ฉันเป็นบ่าวจึงได้รู้ใจนาย | ต้องขยายตามเขายอล่อกันชุม ฯ |
๏ ค่อยเดินช้างมาในกลางพนมวัน | หัวอกฉันร้อนใจดั่งไฟสุม |
แสนกระศัลย์เศร้าโศกเหมือนโรครุม | ให้กลัดกลุ้มกรมใจไม่เสบย |
มาถึงห้วยหินลับดูลับลี้ | เหมือนกับพี่ลับมานิจจาเอ๋ย |
ทั้งลับตามลับหูลับคู่เชย | เมื่อไรเลยจะหายลับกลับได้ยล |
ตั้งแต่มาหาได้ลืมแม่ปลื้มจิต | เฝ้าแต่คิดถึงวันหลายพันหน |
ถึงยามกินยามนอนให้ร้อนรน | เป็นกังวลคะนึงคิดถึงนาง |
ทั้งคิดถึงมารดาแลอาพี่ | ป่านฉะนี้จรดลจิตหม่นหมาง |
คงคิดถึงลูกหลานข้ามด่านทาง | มาในกลางดงป่าพระยาไฟ |
ชาวบางกอกออกชื่อพระยาเย็น | แล้วก็เป็นสั่นหัวกลัวความไข้ |
ซึ่งเรามานี้จะรอดตลอดไป | ฤๅจะไม่พ้นดงจะปลงชนม์ ฯ |
๏ ครั้นมาถึงคันยาวขึ้นเขาโขด | สูงเด่นโดดแลเยี่ยมเทียมเวหน |
ช้างปีนขึ้นตัวตั้งระวังตน | ขึ้นสุดบนยอดเขาลำเนาเนิน |
ข้างทางแลเป็นเปลวล้วนเหวผา | หนทางมาสูงโดดบนโขดเขิน |
โกหกให้ใครฟังกำลังเพลิน | ไม่เคยเดินหลอกเล่นจะเป็นไร |
พูดให้ดีที่เขาไปเขาได้เห็น | หลอกเขาเล่นเช่นอย่างนี้เห็นไม่ได้ |
เขาเขื่อนคั่นมันไม่สูงสักเพียงไร | ถึงช้างใหญ่ผนึกคอก็พอเดิน |
จะพูดว่าทางสบายขยายจริง | จะหลอกลิงเล่นไม่ได้ให้คิดเขิน |
เป็นคันน้อยริมทางพอช้างเดิน | สะทกสะเทิ้นกลัวจะตกหกคะมำ |
ภูเขาเล่าก็ชันเป็นหลั่นลด | ช้างค่อยจดเดินเรียงกลัวเพลี่ยงผลำ |
ค่อยค่อยคุกขาหน้าอุส่าห์คลำ | ช้างไม่ทำเป็นแน่ตอแหลฦก |
ซึ่งคนอยู่บนสัปคับนั้น | มือถือมั่นตัวโยกอยู่โงกหงึก |
ดูเหวเห็นใจเต้นอยู่ทึกทึก | เหวไม่ลึกคนหลอกบอกปดกัน ฯ |
๏ คนเดินเท้าเล่าก็ล้าทำหน้าจืด | คันยาวยืดใช่ง่ายเดินผายผัน |
ซึ่งหนทางนั้นเล่าภูเขาชัน | ช้างยังดันเต็มแย่อ้อแอ้ไป |
ฉันขี่ท้ายช้างเจ้าคุณเป็นบุญเกิน | แม้นต้องเดินเคี่ยวเข็ญเป็นไม่ไหว |
นี่ไม่ต้องล้าเลื่อยเหน็ดเหนื่อยใจ | เพราะว่าได้ขี่ช้างทางกันดาร ฯ |
๏ ครั้นถึงทับมะค่าเห็นน่าหยุด | ที่แสนสุดเป็นสุขสนุกนิ์สนาน |
แลตลอดโล่งเตียนเลี่ยนเป็นลาน | แลเชิงชานภูผาเห็นน่าชม |
ที่นั่นมีอารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ | สิงสถิตมาแท้แต่ประถม |
คนกองทัพพรั่งพร้อมน้อมประนม | ที่ใต้ร่มไม้รั้งตั้งบูชา |
แล้วคลาเคลื่อนกองทัพไม่ยับยั้ง | ดูคับคั่งพลนิกายทั้งซ้ายขวา |
บ้างเป็นหลุมเป็นบ่อมรคา | บ้างตั้งท่าชันตรงลดลงดิน |
ทางขึ้นขึ้นลงลงในดงชัฏ | บ้างเดินลัดหลีกออกข้างซอกหิน |
บ้างสูงเยี่ยมเทียมฟ้าเมฆาฆิน | เมฆาโชกโกรกปินเมฆินปรัน |
ทั้งเมโฆโมเฆแลเฆข่า | เมขี้ข้าศัพท์ว่าเมฆเอกขยัน |
เมฆาฆินดอดินฟ้าน่าอัศจรรย์ | สอส่อฉันบอกเคอะลอเลอะลิ้น |
ฉอฉันขอปอไปทีที่ศัพท์เมฆ | พอโผลกเผลกลอเหลวไหล่ไปพอสิ้น |
พอจบหมดบทว่าเมฆาฆิน | บางแห่งเห็นเหม็นกลิ่นมาไม่ดี |
ในดงชัฏฝูงสัตว์ไปไหนหมด | ไม่ปรากฏเจอพักตร์ฝูงปักษี |
ไม่ยินเสียงลิงค่างบ่างชะนี | ไม่เห็นมีนึกประหลาดอนาถใจ |
ถ้ามีเสือแสนจะดีเป็นที่สุด | เหมือนจับชุดจี้ดินหูลุกวูใหญ่ |
พอเก็บแต่งเรื่องหลอกบอกลงไป | เสือกินไพร่เสียเกือบหมดของดที |
แม้นเชื่อเราคงจะเข้ากระบวนหลอก | คงต้องบอกให้ทัพกลับกรุงศรี |
ชะเจ้ากรรมเสืออย่างไรจึงไม่มี | โอ้ครั้งนี้แสนละเหี่ยเสียน้ำใจ ฯ |
๏ ครั้นมาถึงมวกเหล็กเป็นที่เลี่ยน | สะอาดเตียนที่ทางช่างกว้างใหญ่ |
ก็หยุดซึ่งพหลพลไกร | เอาผ้าใบดาดหลังคามีผ้าบัง |
ทำเป็นที่สำหรับประทับผ่อน | คนล่วงหน้ามาก่อนปลูกสองหลัง |
ดีกว่าคาแฝกมุงไม่รุงรัง | ยกกูบตั้งในสำหรับแม่ทัพนอน ฯ |
๏ ครั้นเวลาคำรบเมื่อพลบค่ำ | คนประจำหน้าที่มีสลอน |
คอยนั่งยามตามไฟที่ในดอน | บางคนผ่อนพักหลับระงับกาย |
ฟังเสียงฆ้องกระแตแซ่เสนาะ | ทั้งเสียงเกราะหวั่นไหวน่าใจหาย |
นึกวิตกอกคะนึงถึงร่างกาย | เห็นเจียนตายตัวเราจะเข้าคุก |
พอได้ยินเสียงเกราะเคาะใจหาย | ฉันนายทิมริมตายคลายความสุข |
เสียงเกราะนี้ช่างกระไรเหมือนในคุก | ไม่สนุกนิ์ร้อนรนกระวนกระวาย |
คิดขึ้นมาแสนวิตกเพียงอกหัก | วิตกนักถึงตัวกลัวโดนหวาย |
ซึ่งละอองน้ำค้างลงพร่างพราย | ร่วงโปรยปรายต้องทั่วทุกตัวคน |
ตัวนายนอนในแต้นท์แสนสบาย | พอค่อยวายตากน้ำค้างอย่างเม็ดฝน |
น้ำค้างใหญ่หมีใช่หยอกพอหลอกคน | เท่าเม็ดฝนโตเท่าบาตรอนาถใจ |
แสนสงสารไพร่พลที่ทนหนาว | มาทุกข์คราวน้ำค้างปดหยดเม็ดใหญ่ |
จะก่อไฟก็ไม่ติดคิดอย่างไร | เอาใบไม้มุงก็รั่วถูกหัวคน |
ถูกช้างสองสามตัวหัวหลุดขาด | น้ำค้างชาตินี้ระยำทำเอาป่น |
ฉันพอค่อยเป็นสุขไม่ทุกข์ทน | นอนเหนือบนพรมลาดสะอาดกาย |
แสนคะนึงถึงคู่ที่ชูชื่น | ในกลางคืนนอนไม่หลับกระสับกระส่าย |
โศกถึงมิตรคิดถึงเมียยิ่งเสียดาย | เฝ้านอนฟายชลนาไห้จาบัลย์ |
โอ้ดวงพะยอมหอมไม่หายวายระเหย | เมื่อไรเลยจะได้กลับไปรับขวัญ |
พี่จากเจ้าลี้ลับมานับวัน | จะไกลกันไปทุกทีตั้งปีเดือน |
แสนเป็นห่วงดวงจิตขนิษฐ์นาฏ | เป็นห่วงญาติน้อยใหญ่ใครจะเหมือน |
ห่วงสมบัติพัสถานห่วงบ้านเรือน | เป็นห่วงเพื่อนพิสมัยอาลัยลาญ ฯ |
๏ อย่าเลยจะอุบายหลอกนายเล่น | ให้ท่านเห็นความคิดติดวิถาร |
เอาไข้ปนกับฮ่อเข้าเป็นเจ้าการ | เรื่องรำคาญคือละครเข้าผ่อนปรน |
คงจะยกทัพไปไม่ถึงไหน | ถ้าขืนไปแล้วก็เห็นไม่เป็นผล |
ไปเพียงทางห่างสิบวันนั้นพอทน | จะคิดกลหลอกอย่างนี้ทีได้การ ฯ |
๏ เวลาตีสิบทุ่มยิ่งกลุ้มจิต | ขุนพินิจรัวฆ้องเพรียกเรียกทหาร |
ให้ผูกช้างผูกม้าไม่ช้านาน | มาเตรียมการพร้อมพรั่งช้างพังพลาย |
แล้วบอกให้ช้างคุกบรรทุกของ | ฉันนึกตรองเห็นขันกลั้นไม่หาย |
ข้างไปปล้นฤๅว่าฆ่าคนตาย | เป็นผู้ร้ายฤๅจึงเอามาเข้าคุก |
ฤๅจะหมายความอย่างไรไม่กระจ่าง | ฤๅจะว่างกลอนมันพาเข้าป่าบุก |
ที่ช้างเทาเรียกเอาว่าช้างคุก | ฤๅบรรทุกนักโทษไปตามนาย |
แล้วแจกจ่ายลูกทัพบรรทุกของ | ทุกหมวดกองเตรียมกันจะผันผาย |
เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย | กะเปาะรายฝังเพขรเม็ดโตโต |
ดูพราวพรายคล้ายนกประดับเพชร | หลายร้อยเม็ดเล็กใหญ่วิไลโข |
ครึแท้แท้แก้ไม่ไหวเล่นใหญ่โต | เสียงโขโขโขอยู่ไม่รู้วาย |
เอาทองคำทำกะเปาะประดับทั่ว | ทั้งเนื้อตัวคล้ายออกฝีดีใจหาย |
เสร็จขึ้นเกยคอยฤกษ์เบิกสบาย | ขึ้นช้างพลายสีดอลออตา |
เหมือนนายเราที่ขี่ร่ามาบนหลัง | รูปเป็นพลายใจเป็นพังดังแกล้งว่า |
มียศศักดิ์หนักไม่เบาเจ้าพระยา | แต่ขี้ขลาดเต็มประดาเหมือนนารี |
แต่ทำคึกฮึกอวดขึ้นขวดป๋อ | พึ่งจะจ่อเข้าในดงพงไพรศรี |
กลับแสนขลาดหวาดหวั่นพันทวี | สีดอฃี่สีดอลออตา ฯ |
๏ ตีสิบเอ็ดเสร็จเขยื้อนคลาเคลื่อนทัพ | พร้อมเสร็จสรรพไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
กระบวนทัพคับขันอรัญวา | ล้วนแต่ป่าดงชัฏสงัดใจ |
แสงพระจันทร์สว่างกระจ่างแสง | แต่บังแสงยางยูงสูงไสว |
ส่องสว่างอยู่บนกลางนภาลัย | แต่ว่าในดงคลุ้มเป็นพุ่มพฤกษ์ |
คนเดินเท้าแสนขยาดอนาถเหลือ | คิดกลัวเสือสัตว์ป่าเวลาดึก |
ที่ลางคนคร้ามขลาดอนาถนึก | ต่างโห่ฮึกเสียงกันอันตราย |
หนทางก็เหลือเลอะน้ำเฉอะชุ่ม | ล้วนแต่หลุมหล่มเลอะเปรอะใจหาย |
ครั้นจวนแจ้งเมฆาเวลางาย | ฉันไม่วายคิดถึงน้องจิตหมองมล |
เมฆานี้แปลว่ากระไรหนอ | หาเหตุส่อพอให้กลมสมเหตุผล |
บ้างว่าฟ้าบ้างว่าแสงสูริยน | บ้างว่าฝนบ้างก็บอกว่าหมอกควัน |
บ้างว่าดำขำเขียวฉันเที่ยวค้น | ดูสับสนยิ่งยวดเป็นกวดขัน |
ในหนังสือฉบับนี้มีหลายอัน | จะหมายมั่นว่ากระไรก็ใช่กล ฯ |
๏ ครั้นถึงทุ่งชวานฉันวานหน่อย | ไปบอกสร้อยเสาวเรศแจ้งเหตุผล |
เสาวรศฤๅอย่างไรพึ่งได้ยล | ช่างซุกซนนี่กระไรเจียวอ้ายทิม |
ช่างแค่นจะเดาสวดอวดฉลาด | พอหลอกคนขี้ขลาดเล่นได้อิ่ม |
แม้นผู้ชายเหมือนอย่างนายของนายทิม | คงนั่งยิ้มหมายว่าเหมาะเพราะเต็มทน |
แสนทุเรศเวทนานิจจาเอ๋ย | ขอหลอกเลยหนาผู้ฟังอย่านั่งบ่น |
ว่าฉันไม่มีสุขเฝ้าทุกข์ทน | แลไม่ยลผู้ใดจะใช้วาน |
ยิ่งโหยหวนครวญหานิจจาเอ๋ย | ผู้ใดเลยจะช่วยกล่าวนำข่าวสาร |
ไปถึงมิตรขนิษฐายุพาพาล | แจ้งเหตุการณ์ว่าพี่ดีสบาย |
ไม่เจ็บปวดป่วยช้ำมีความสุข | เป็นแต่ทุกข์เศร้าโทรมถึงโฉมฉาย |
เป็นสุดมาดที่จะคลาดสวาดิคลาย | คิดถึงสายสุดที่รักที่จากทรวง ฯ |
๏ ถึงสระคุดเห็นสระมีประจักษ์ | ประหลาดนักสระอะไรช่างใหญ่หลวง |
ฝูงคนมาวิดวักอาบตักตวง | น้ำในห้วงถึงว่าแล้งไม่แห้งใน |
เวลาเช้าฟ้าโล่งสี่โมงครึ่ง | เจ้าคุณจึงหยุดพหลพลไพร่ |
เสพโภชนาหารสำราญใจ | แล้วยกไปเข้าพงดงวนา |
โพมีฤๅไม่จะใคร่รู้ | เคยเป็นครูก่อนเก่าเจ้าคุณข้า |
ได้สั่งสอนอุปเท่ห์เล่ห์มารยา | ทำโมหาธิบายให้นายเรา |
ขออวยไชยให้พรถาวรสวัสดิ์ | มือนมัสการนบจบใส่เกล้า |
ให้ท่านติดคุกจนตายอย่าคลายเบา | ผู้คุมเอาตรวนกระหนํ่าแล้วจำคา |
ที่พื้นแผ่นดินบางแห่งบ้างแดงล้ำ | บ้างก็ดำเหมือนแสร้งแกล้งมุสา |
บางแห่งเหลืองสีล้ำดอกจำปา | พื้นสุธาบางแห่งขาวไม่ร้าวราน ฯ |
๏ ที่ในดงพงพฤกษ์นึกประหลาด | ด้วยอากาศดงร้ายหลายสถาน |
บางแห่งร้อนบางแห่งเย็นเป็นวิการ | บ้างสะท้านจับเท้าหนาวขึ้นมา |
บ้างครั่นเนื้อตัวร้าวชักหาวนอน | บ้างก็ร้อนวิบัติขัดนาสา |
บางแห่งวิงเวียนหัวมืดมัวตา | บ้างจับนาสิกให้ชักไอจาม |
บ้างก็เหม็นขื่นเขียวเหม็นเปรี้ยวบูด | ไม่อาจสูดด้วยว่าจิตนั้นคิดขาม |
ด้วยอายแร่แต่ดินมักกินลาม | ตลอดตามสองข้างหนทางจร |
อีกอายว่านอายยาในป่าชิด | ล้วนมีพิษขึ้นอยู่ดูสลอน |
ครั้นต้องแสงสูริยาทิพากร | กำเริบร้อนด้วยพิษฤทธิ์วิกล |
อายพื้นดินนำพาให้อาพาธ | วิปลาสแขงกล้าเมื่อหน้าฝน |
ตกแล้งหมาดขาดเหื่อยังเหลือทน | จึงพาคนให้เป็นไข้ได้รำคาญ ฯ |
๏ คนเดินเท้าก้าวหล่มบ้างล้มลุก | ช้างเดินบุกหล่มล้าน่าสงสาร |
เหล่าโคต่างล้าล้มอยู่ซมซาน | บ้างวายปราณกลิ้งตามเป็นหลายโค |
ช้างบุกหล่มบ้างล้มด้วยเต็มล้า | ดูก็น่าสมเพชสังเวชโข |
เจ้าของช้างเสียใจร้องไห้โฮ | ว่าพุทโธ่ซื้อมาราคาแพง |
ที่ช้างใหญ่ไม่สู้ล้ามาติดติด | พระอาทิตย์คล้อยบ่ายลงชายแสง |
คนเดินเท้าอ่อนล้าระอาแรง | บ้างย่องแย่งเท้าพุประทุพอง ฯ |
๏ ครั้นออกจากปากดงพ้นพงชัฏ | โสมนัสยินดีไม่มีสอง |
ก็หยุดยั้งฝั่งน้ำลำตะคลอง | ต่างขนของปลงช้างกูบวางราย |
คนปลูกแต้นท์สำเร็จโดยเสร็จสรรพ | เจ้าพระยาแม่ทัพเสร็จผันผาย |
เข้าพักในร่มแต้นท์แสนสบาย | พลนิกายล้อมรอบขอบมณฑล ฯ |
๏ ครั้นรุ่งแสงสูริยาภาณุมาศ | จึงประกาศแก่เหล่าชาวพหล |
จะต้องพักอยู่นี่คอยรี้พล | ที่เหลือล้นล้าหลังยังไม่มา |
ซึ่งชาวบ้านอยู่ยังแขวงจังหวัด | ในดงชัฏล้วนลาวคนชาวป่า |
เขาก็ชักชวนกันมาวันทา | เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง |
บ้างเอาส้มหน่วยและกล้วยหวี | ใจอารีมาคำนับรับสนอง |
บ้างก็หาพริกผักแลฟักทอง | ทำเป็นของกำนัลจัดกันมา |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็รับรอง | กล่าวคำพร้องถามดั่งจิตกังขา |
อยู่ในพนมวันอรัญวา | เจ้าคิดหากินนั้นด้วยอันใด |
ซึ่งคนเป็นผู้ดีอย่างมีทรัพย์ | คะเนนับของเจ้าสักเท่าไหร่ |
พวกลาวเรียนแอ้อ้อพูดจ้อไป | บ้างว่าได้ปีหนึ่งตำลึงเดียว |
บ้างว่ามีพอหยิบสิบสลึง | บ้างว่ามีบาทหนึ่งขอดจนเขียว |
ที่เศรษฐีอย่างยิ่งมีจริงเจียว | ตระหนี่เหนียวห้าตำลึงนั้นพึงมี |
ท่านเจ้าคุณนั่งสนองคิดตรองตริ | เออซิชิผิดถนัดน่าบัดศรี |
เดิมสิคิดไว้ว่ามาทางนี้ | แม้นว่ามีเลขระบาดไม่ขาดทุน |
จะเกลี้ยกล่อมเป็นไพร่เรือเสพสหาย | แม้นสมหมายกะไว้คงได้ถุน |
พวกไพร่เรียนร้องขอต่อเจ้าคุณ | ขอเงินทุนทำเสบียงเลี้ยงขีวี |
ท่านเจ้าคุณได้ฟังคิดสังเวช | ครั้นแจ้งเหตุพวกลาวชาววิถี |
คิดสมเพชเวทนานึกปรานี | ใจอารีแก่คนที่จนจริง |
ท่านแจกเงินคนละบาทไม่ขาดหน้า | ลาวที่มานั่งรายทั้งชายหญิง |
บางคนกลัวจะไม่ได้ใจประวิง | ไม่นั่งนิ่งลุกขยับมาฉับพลัน |
ล้วนได้เงินคนละบาทสมมาดหมาย | ทั้งหญิงชายปรีดิ์เปรมกระเษมสันต์ |
บ้างไหว้แล้วไหว้เล่าเฝ้ารำพัน | อวยพรท่านเจ้าคุณให้บุญมี ฯ |
๏ พอรุ่งขึ้นเจ้าคุณท่านทำศาลเจ้า | ปลูกไว้เคียงศาลเก่าริมวิถี |
พร้อมหลังคาปกปิดมิดชิดดี | ดูท่วงทีเรือนฝรั่งด้วยช่างทำ |
วิไลเลิศเฉิดฉายถวายเจ้า | อีกรูปเสาวลึงค์ดูขึงขำ |
ใหญ่โตคะเนตาสักห้ากำ | สง่าง้ำอยู่ในศาลสะอ้านตา |
ท่านวัดเอาเท่ากับตัวเจ้าคุณ | ท่านพูดวุ่นอธิบายไว้หลายท่า |
ฝูงมนุษย์เหล่านี้มีศรัทธา | สร้างพระปฏิมาไว้เท่าตัว |
นี้เจ้าคุณมีจิตคิดแผลงแผลง | สร้างขุนเพ็ดไว้แสดงซึ่งความชั่ว |
เป็นกุศลผลกรรมให้นำตัว | ลุความชั่วปัจจุบันเห็นทันตา |
เครื่องบวงสรวงเป็ดปูหัวหมูเหล้า | ถวายเจ้าให้พิทักษ์ช่วยรักษา |
พวกนายทัพนายกองเนืองนองมา | ซึ่งบรรดาพลไพร่ได้เอ็นดู |
ซึ่งโรคันอันตรายอย่ากรายกล้ำ | เจ้าจงบำบัดภัยอย่าให้สู่ |
ขอจงช่วยบำรุงผดุงชู | ทุกหมวดหมู่กองทัพจนกลับมา |
อนึ่งเล่าที่เราทำขุนเพ็ดถวาย | ขอเจ้านายปกปักช่วยรักษา |
แล้วจงมีไมตรีจิตคิดเมตตา | พวกเมียข้าอยู่บ้านสำราญกาย |
ขอกุศลผลบูชาขุนเพ็ดใหญ่ | ให้แม่ไข่มีฉันกันกระหาย |
บรรดาเหล่าเจ้าชู้พวกผู้ชาย | ให้มากมายช่วยฉันภรรยา ฯ |
๏ ค้างอยู่นั่นสองวันกับสามคืน | พอคนชื่นหายเหนื่อยที่เมื่อยขา |
ก็ยกซึ่งพยุหบาตรเยื้องยาตรา | ข้ามช้างมาที่แม่น้ำลำตะคลอง |
แล้วเดินตามวนาป่าละเมาะ | ชมว่านเปราะพอพ้นหายหม่นหมอง |
ทั้งว่านแรดว่านช้างว่านยางทอง | ทั้งว่านปล้องว่านปลามหากาฬ |
ทั้งว่านเสน่ห์จันทน์ว่านฟันม้า | ว่านพระยาสามรากว่านสากสาร |
ว่านนิลเพชรเจ็ดศีรษะหนุมาน | มีทั้งว่านตะงาวว่านสาวพึง |
อีกว่านตูมว่านเต่าว่านเฒ่าหง่อม | แลว่านหอมว่านเห็ดเพ็ชหึง |
ว่านกำแพงเพชรเจ็ดชั้นสามพันตึง | อีกว่านอึ่งว่านคางคกว่านนกยาง |
ว่านเพชรน้อยเพชรม้าว่านสาโรช | ว่านกำโหมดว่านนัวว่านหัวสาง |
ว่านแพทย์ว่านภิมอยู่ริมทาง | ว่านกระด้างนางกวักว่านจักรบัว |
ว่านเพชรสังฆาว่านอาสพ | ว่านบุตรลพมีเป็นจุกสิ้นทุกหัว |
อีกว่านอุกว่านอาบว่านคราบวัว | อีกว่านพลั่วว่านพลวกว่านหมวกคน |
ว่านอีดำอีแดงแสงอาทิตย์ | แลว่านพิษขึ้นหมู่ฤดูฝน |
อีกว่านเจ็ดช้างสารว่านกำพล | ทั้งว่านต้นหลายหลากมีมากนัก ฯ |
๏ ว่านเงินบาทแลประหลาดดูวิไล | ว่านไพร่ไพร่เสียวิตกแทบอกหัก |
อ้ายพวกว่านเคยนายฉิบหายนัก | ว่านผัวรักตายจากวิบากกรรม |
อ้ายพวกว่านอย่างดื้อข้อมือขาว | ว่านหางว่าวยื่นแล้วเอาตรวนจํ้า |
อ้ายเหล่าว่านสาววอนละครรำ | เหลือจะจำจดหมายมากมายนัก ฯ |
๏ ว่านดีดีมีถมน่าชมชิด | อยู่ติดติดแลดูล้วนรู้จัก |
จะวานเพื่อนก็ไม่พบประสบพักตร์ | นึกแสนรักแลดูหมู่อรัญ |
คิดคิดจะลงช้างวิ่งวางหา | เกรงอาญาเจ้าคุณจะหุนหัน |
ถ้ามาตรแม้นท่านโกรธทำโทษทัณฑ์ | นึกหาอันจะรำคาญด้วยว่านยา ฯ |
๏ ครั้นถึงพุนกยูงมุ่งเขม้น | หมีได้เห็นนกยูงฝูงปักษา |
นกยูงไปไหนนะไม่ปะตา | ขอเชิญมาตรงนี้ขอพี่ชม |
ฟ้อนหางให้พี่วายหายกำสรวล | ช่วยชักชวนพอให้ปลื้มลืมประถม |
คิดถึงน้องหมองในฤทัยตรม | อกระทมอยู่เจียวฉันแต่วันมา |
ฉันนึกในใจเจ้าคุณจะงุ่นง่าน | ถ้าแม้นท่านเห็นนกยูงจะหรรษา |
มันฟ้อนรำทำให้เห็นพอเย็นตา | พอหายบ้าที่รำพึงถึงละคร |
โอ้นกยูงทั้งหลายหายไปสิ้น | ไปมุดรกหมกดินบินไปซ่อน |
แสนร้อนแต่ในอุราให้อาวรณ์ | เสียวสะท้อนใจฝ่อคลอน้ำตา |
ครั้นกองทัพลับพุนกยูงแล้ว | ไม่ผ่องแผ้วเหือดสิ้นถวิลหา |
ช้างก็เดินโดยทางกลางวนา | พระสุริยาบ่ายน้อยคล้อยอำพล ฯ |
๏ ถึงนครจันทึกนึกสงสัย | เมืองอะไรกลางป่าน่าฉงน |
ไม่เห็นมีที่อยู่เหล่าผู้คน | หรือว่าต้นไม้บังเมืองตั้งไกล |
ครั้นพ้นท้องทุ่งกว้างมีทางตรง | แลเห็นธงปักแพ้วอยู่แหววไหว |
เขาบอกว่าเสือกินคนฉงนใจ | เสืออะไรมีอยู่มากฉันอยากยล |
ถามนายแขวงนายกำนันนั้นเขาว่า | กองทัพมาเมื่อหมู่ฤดูฝน |
มาเจ็บนอนอยู่ในป่ารักษาตน | เพื่อนสองคนอยู่รักษาพยาบาล |
ครั้นว่าฝนตกหนักเพื่อนผลักหนี | เจ้าคนเจ็บเต็มทีน่าสงสาร |
ก็นอนอยู่เอกีราตรีกาล | เสือก็คลานเข้าฟัดขบกัดกิน |
แล้วคนเขาเดินพบอาสภเหลือ | เป็นรอยเสือกัดไว้ยังไม่สิ้น |
ทำธงปักให้คนเขายลยิน | ว่าตรงถิ่นที่นี้มีรังควาน |
ซึ่งตัวฉันได้ฟังคิดสังเวช | นึกสมเพชหมีได้วายหายสงสาร |
ถ้าแม้นเราเจ็บลงอยู่ดงดาน | เป็นอาหารเสือเหมือนเขาอกเราอา |
ถึงเราเจ็บเจ้าคุณเห็นเป็นไม่ทิ้ง | เป็นความจริงใช่จะแสร้งแกล้งมุสา |
คงไม่ต้องว้าเหว่อยู่เอกา | ด้วยเรามาริมเท้าแห่งเจ้านาย |
แต่คนอื่นเป็นไข้อยู่ในทาง | ยังให้ช่างดีมารักษาหาย |
ไขขมองเปิดขมับพลิกกลับกาย | เปิดเกลียวซ้ายขวาดูทั้งหูตา |
ควักมาล้างอย่างนาฬิกาพก | หยิบขวดยกน้ำมันหยอดตลอดขา |
ที่เส้นเอ็นเล็กใหญ่ในกายา | ตะไบถาถูเรียบเพียบกับกาย |
แล้วเป่าลมเข้าไปในจมูก | พอลมถูกปอดพ่นคนก็หาย |
แล้วเจ้าคุณสั่งทั่วทุกตัวนาย | พลนิกายเจ็บจริงอย่าทิ้งกัน ฯ |
๏ ครั้นถึงกุดผักหนามเหมือนหนามยอก | ไม่หลุดออกจากอกวิตกฉัน |
เฝ้าแปลบปลาบอยู่เช่นนี้ทุกวี่วัน | โศกกระศัลย์นี้เหมือนหนามยอกตามทรวง |
ซึ่งหนามผักหนามพงพอบ่งได้ | หนามในใจสุดจักคิดหนักหน่วง |
แม้นได้ยลพักตราสุดาดวง | หนามคงร่วงหลุดตกจากอกพลัน ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่ง | ให้ยับยั้งซึ่งพหลพลขันธ์ |
พลไพร่ตั้งล้อมอยู่พร้อมกัน | พักอยู่นั้นนอนคืนเช้าตื่นไป |
ก็คลาเคลื่อนเขยื้อนยาตรคลาดกระบวน | ดูธงทวนแลเป็นทิวปลิวไสว |
ก็รีบเร่งพหลพลไกร | ถึงเขาใหญ่เขื่อนลั่นกั้นหนทาง |
เดินตามตรอกซอกผาศิลาลื่น | ไสช้างขึ้นลำเนาภูเขาขวาง |
ดูสูงเยี่ยมเทียมเวหานภาภางค์ | เจ้าแม่นางงามสถิตศักดิ์สิทธิ์ครัน |
พวกกองทัพคำนับบูชาเจ้า | ที่เชิงเขาน้อมถวายแล้วผายผัน |
ขึ้นหนทางดูช้างขึ้นตัวชัน | อุส่าห์ดันขึ้นเขาค่อยก้าวเดิน |
ชมภูผาแลเลื่อมเป็นเหลื่อมย่อ | ตะแง่ตะง่อเงื้อมชะงักตะพักเผิน |
บ้างเวิ้งวุ้งรุ้งตะเพิงดังเชิงเทิน | บ้างเป็นเนินลาดเตียนเลี่ยนเป็นลาน |
เดินช้างข้ามตลอดบนยอดเขา | ช้างก็เหย่าเดินใหญ่ในไพรสาณฑ์ |
ข้ามดงออกป่ามาไม่นาน | ข้ามท้องธารออกทุ่งฝุ่นฟุ้งทาง ฯ |
๏ ครั้นถึงลาดบัวขาวเช้าสังเกต | สี่โมงเศษหยุดสำนักนิ์พักตามอย่าง |
เสพโภชนาอาหารสำราญพลาง | อยู่ที่หว่างร่มรุกขเรียงราย |
เห็นหนองน้ำใหญ่โตมีโกมุท | บ้างพ้นผุดจากวนชลสาย |
น้ำใสสะอาดเย็นมองเห็นกาย | มัจฉาว่ายอยู่ในวนชลธาร |
ซึ่งพักอยู่ที่นั่นไม่ทันช้า | เสร็จคลาเคลื่อนพหลพลทหาร |
เดินดงออกแดนแสนสำราญ | แล้วลงธารเลยท่าเดินผ่าพง ฯ |
๏ ถึงสีคิ้วเหมือนน้องรักของพี่ | หล่อนเคยสีผึ้งวาดพาดขนง |
ประจงจัดดัดง้อมน้อมเป็นวง | ดั่งศรองค์หริรักษ์พระจักรี |
เห็นเรือนลาวชาวย่านบ้านสีคิ้ว | เป็นแถวทิวตลอดทางหว่างวิถี |
เห็นคอกโคเขื่อนรอบเป็นขอบดี | กว้างสักสี่ห้าเส้นเห็นวิไล |
มีทั้งอาวาสสะอาดเอี่ยม | ปักไม้เหลี่ยมเขื่อนเคียงเรียงไสว |
นี่ใครหนอสามารถประหลาดใจ | มาสร้างไว้กลางดอนแต่ก่อนกาล ฯ |
๏ แลเห็นที่ทำเนียบประเทียบพัก | ดูคึกคักใหญ่โตรโหฐาน |
เมืองโคราชเกณฑ์ระดมกรมการ | ในแขวงบ้านทำสำหรับกองทัพไชย |
พวกกรมการพร้อมพรั่งคอยนั่งรับ | เชิญเจ้าคุณแม่ทัพพักอาศัย |
ท่านเจ้าคุณฟังแถลงครั้นแจ้งใจ | ก็สั่งให้หยุดพักสำนักนิ์พลัน |
พวกทหารอยู่รอบริมขอบค่าย | พลทั้งหลายปรีดิ์เปรมกระเษมสันต์ |
ครั้นพลบค่ำย่ำแสงพระสูริยัน | ต่างชวนกันหลับนอนผ่อนสบาย |
ยกกระบัตรท่านจัดให้คนอยู่ | ทุกหมวดหมู่พร้อมพรั่งสิ้นทั้งหลาย |
ตามด้านนอกด้านในทั้งไพร่นาย | อยู่เรียงรายตามรอบโดดยขอบควร ฯ |
๏ เวลาค่ำย่ำยามตามตำรับ | ผู้ตรวจทัพเดินรอบเที่ยวสอบสวน |
โดยพิชัยสงครามตามกระบวน | ดูถี่ถ้วนฟืนไฟระไวระวัง |
คิดระยะกะทางกลางวิถี | อีกเดือนหนึ่งจะถีงที่รบโดยหวัง |
จึงเกณฑ์ทหารไพร่ระไวระวัง | หนทางยังเดือนถ้วนเห็นจวนตัว |
เกณฑ์ระดมสมทบทั้งนายไพร่ | ประกาศไปบอกกันให้ถ้วนทั่ว |
แม้นกองไหนหมีได้ระวังตัว | จะตัดหัวเสียให้ตายวายชีวัง ฯ |
๏ ฝ่ายขุนโลกนัยนาโหราเฒ่า | แกนั่งเฝ้าดูฟ้าเหมือนบ้าหลัง |
ฉันร้องถามด้วยเสียงสำเนียงดัง | ว่าท่านนั่งดูอะไรไม่ได้การ |
แกร้องบอกว่าเปล่าดูดาวเล่น | ด้วยเห็นเป็นนิมิตผิดสัณฐาน |
ดาวพระเสาร์กับดาวพระอังคาร | เห็นพบพานเข้าเคียงอยู่เรียงกัน |
เหล่าคนอื่นตื่นกรูดูกันหมด | เห็นปรากฏตาคนบนสวรรค์ |
คนตื่นดูมิใช่น้อยสักร้อยพัน | เจ้าคุณท่านก็ออกข้างนอกดู |
ท่านโหรเฒ่าเขาฉลาดลองใจท่าน | ทำอาการลวงหลอกตะคอกขู่ |
จะขี้ขลาดฤๅไม่จะใคร่รู้ | ถ้าใครกรูมาคนนั้นมันขลาดแท้ |
โหรจึงทำกิริยาดังบ้าใบ้ | คนตกใจวิ่งร่าบ้างด่าแม่ |
ตื่นกันสับสนพิกลแท้ | ตาโหรแกเห็นเค้าเข้ากลครู |
แล้วถามว่าตาโหรเป็นอย่างไร | ขุนโลกนัยนาก้มหน้าอยู่ |
แล้วเรียนตามศึกษาตำราครู | ที่ได้รู้เรียนมาก็ว่าดี |
ต่างคนก็กลับไปหลับนอน | ครั้นทินกรสว่างกระจ่างศรี |
หมีได้ยกพหลพลโยธี | เจ้าคุณมีใจสังเวชสมเพชพล |
เพราะด้วยว่าล้าเลื่อยยังเมื่อยนัก | จะต้องพักผ่อนแรงแห่งพหล |
แรมอยู่นี่เสียอีกคืนพอชื่นตน | ด้วยผู้คนใช้เขาต้องเอาแรง ฯ |
๏ ยังมีผู้มาร้องฟ้องเจ้าคุณ | ว่ากรมการทำวุ่นขึ้นในแขวง |
ด้วยข้าวสารซื้อหาราคาแพง | ใจโกงแกล้งเก็บข้าวสารทุกบ้านเรือน |
ว่าจะไปจำแนกแจกกองทัพ | ทำสับปลับโกงใหญ่ใครจะเหมือน |
คิดเบียดเบียนผันแปรให้แชเชือน | อ้างป้ายเปื้อนกองทัพอัปรมาณ ฯ |
๏ เจ้าพระยาแม่ทัพสดับเรื่อง | บัญชาเยื้องถามไต่ปราศรัยสาร |
สั่งขุนศรีกะดาลพลคนชำนาญ | เป็นตระลาการชำระความถามซัก |
ท่านขุนศรีคำนับรับบัญชา | แล้วออกมาถามไถ่ให้ประจักษ์ |
กรมการรู้ตัวคิดกลัวนัก | ไม่เยื้องยักสารภาพลงกราบลน |
ท่านขุนศรีเรียกเอาซึ่งข้าวสาร | คืนชาวบ้านก็มารับอยู่สับสน |
ล้วนยกมือไหว้ทั่วทุกตัวคน | ต่างก็ขนข้าวสารไปบ้านเรือน ฯ |
ครั้นจะทำโทษผู้ผิดที่คิดฉ้อ | ในใจฝ่อที่มันรํ่าเรียนทำเหมือน |
พวกคณะทุกชนิดไม่บิดเบือน | ดูกลบเกลื่อนภิปรายโปรดยกโทษทัณฑ์ |
จะทำเขาเราก็นุ่งไว้เต็มที่ | อ้ายส่วนที่ดีดีจะเลือกฉัน |
จะทำเขาผิดอย่างทางยุติธรรม์ | ถูกที่โกงเข้าด้วยกันต้องเลือนเลือน ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าอีกวันพร้อมกันหมด | รู้กำหนดจะคลาลีลาเคลื่อน |
เหล่าผู้คนพร้อมพรักบ้างตักเตือน | ชักชวนเพื่อนหุงข้าวแต่เช้ากิน |
ครั้นรุ่งแสงสูริยาทิพามาศ | เสร็จเยื้องยาตรรถาแปลงราศิน |
ราโสแสงแทงพุ่งในอัมพิน | คัคนินนิราศปราศเมโฆ |
สองโมงเศษสังเกตซึ่งเวลา | พวกโยธาทวยหาญประมาณโข |
ต่างเตรียมกายคอยฤกษ์เบิกไชโย | ยกโยโธไต่เต้าเข้าโคริน |
พวกหมอช้างผูกเช้ยเข้าเกยเทียบ | เรียงระเบียบตัวกันไม่ผันผิน |
เจ้าพระยาแม่ทัพประดับอิน | ทรีย์เสร็จผินขึ้นช้างสำอางพราว ฯ |
๏ เหล่าพหลพลไพร่น้ำใจคึก | บ้างโห่ฮึกอึงลั่นสนั่นฉาว |
พลรบขบเขี้ยวมาเกรียวกราว | เสียงฝีท้าวคนเดินแทบเนินพัง |
แล้วเดินทัพออกทุ่งมุ่งเขม้น | เหลียวหลังเห็นกองทัพตอนตับหลัง |
ยาวเป็นพืดยืดมาประดาดัง | ดูคับคั่งพวกพหลพลนิกร |
เห็นน่าเพลิดเพลินใจมาในทุ่ง | กว้างเวิ้งวุ้งแลเด่นเห็นสิงขร |
ก็ขับช้างเดินผ่าทุ่งนาดอน | เร่งรีบร้อนเดินมาไม่ช้านาน ฯ |
๏ พอข้ามลำคลองถึงสองเนิน | ดูน่าเพลินวัดมีพร้อมวิหาร |
ในใจฉันบันเทิงเริงสำราญ | เห็นมีบ้านไม่น้อยหลายร้อยเรือน |
มองเห็นลาวหญิงชายนั่งรายเรียง | ถือข้าวห่อนั่งเคียงอยู่กลาดเกลื่อน |
แถวยาวนั่งตั้งจิตไม่คิดเชือน | พอช้างเคลื่อนถึงที่ลงอยู่ตรงกัน |
พอเจ้าคุณคลาไคลออกไปดู | ลาวก็ชูเหนือหัวบ้างตัวสั่น |
บ้างก็เรียงของถวายเจ้านายพลัน | เจ้าคุณท่านเมตตาประชาชน |
แจกเงินคนละเฟื้องดูเปลืองโข | มีมโนศรัทธาหากุศล |
ชอบทำบุญวณิพกยาจกจน | แจกจบพ้นทั่วแล้วทั้งแถวยาว ฯ |
๏ พวกกองทัพรับเอาห่อข้าวเหนียว | วิ่งกรูเกรียวยินดีเสียงมี่ฉาว |
แก้ดูกันออกสอข้าวห่อลาว | เกลือสินธาวมีอยู่ริมให้จิ้มกิน |
ก็แรมอยู่ที่นั่นไม่ผันผาย | เวลาสายสูริยาเปล่งราศิน |
สูริเยงเปล่งฟ้าไม่ราคิน | คัคนินแสนโสว่กระโจ่ตา |
พวกพลนิกายทั้งนายทัพ | เอามือจับขันกระบอกออกล้างหน้า |
บ้างอาบน้ำชำระตัวทั่วกายา | ลูบหน้าตาหมดจดหมดราคิน |
บ้างผลัดผ้าแต่งกายทั้งนายไพร่ | เก็บของใส่ย่ามหาบไปหมดสิ้น |
เช้าสักสามโมงเศษสังเกตชิน | ต่างก็กินข้างปลาพาสบาย ฯ |
๏ กรมการอักโขเมืองโคราช | มาเกลื่อนกลาดคอยรับกองทัพหลาย |
ล้วนแต่หลวงพระทั่วเหล่าตัวนาย | ต่างผันผายเข้าหาคุณขุนสกล |
ผู้ว่าที่มาเหจเรทัพ | มาคำฮับมาเหจเรหน |
แล้วแจ้งความตามเล่ห์มาเหทน | ฉันมาหนหาเจ้าคุณผู้บุญลบ |
ขอบุญท่านมาเหจเรทัพ | ช่วยมาหับฉันไปให้ประสบ |
เจ้าพระยามาเหทะเรภพ | ได้ประสบจะได้แจ้งแห่งยุบล |
ขอท่านผู้มาเหจเรทัพ | ให้พานำคำนับจอมพหล |
ข้างฝ่ายท่านจเรทัพรับยุบล | มากราบเรียนโดยนุสนธิ์ตามมีมา ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณยินดีมีประภาษ | อนุญาตนำเขาเข้ามาหา |
ข้างท่านจเรทัพรับบัญชา | แล้วออกมานำท่านเหล่านั้นไป |
กรมการถึงพร้อมน้อมคำนับ | ต่อจอมทัพเรียนแจ้งแถลงไข |
ด้วยพระยากำแหงนั้นแจ้งใจ | จึงใช้ให้มาคำนับรับเจ้าคุณ |
เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ่ม | จึงเยื้อนแย้มตอบพลันไม่หันหุน |
ภิปรายโปรยบัญชาด้วยการุญ | ขอบใจคุณโคราชประภาษดัง |
แล้วถามถึงเรื่องไปพบรบด้วยฮ่อ | ยังเหลือหลออยู่บ้างฤๅข้างหลัง |
กรมการเรียนตามความสัจจัง | ว่าเหลือยังมีน้อยสักร้อยคน ฯ |
๏ แล้วเจ้าคุณแม่ทัพก็กลับถาม | โดยข้อความที่วิเศษตามเหตุผล |
การบ้านเมืองเป็นสุขฤๅทุกข์ทน | ซึ่งฟ้าฝนบริบูรณ์ฤๅสูญทราม |
กรมการกราบเรียนจำเนียนนึก | ว่าเกิดศึกราชประเทศเขตสยาม |
ต้องยกทัพจับฮ่อต่อสงคราม | ไพร่ได้ความยากเย็นเพราะเกณฑ์ไป |
เสร็จคำขานกรมการก็ลากลับ | ค่อยขยับออกมาหาช้าไม่ |
ครั้นเวลาพลบค่ำลงรำไร | พลไพร่พรักพร้อมนั่งล้อมวง ฯ |
๏ ครั้นเวลาประมาณยามสักสามทุ่ม | เสียงปืนตูมติดติดพิศวง |
ขุนสกลสารบาญชาญณรงค์ | มาปลุกแอดดิกง[๒๒]ทั้งสองคุณ |
แอดดิกงองค์หนึ่งลุกขึ้นได้ | พูดถามไต่เอ้อี้ทีเกิดวุ่น |
อีกองค์หนึ่งพูดไทยไม่มีทุน | ลุกขึ้นวุ่นพูดอังกฤษติดคลิกคลัก |
ครั้นได้ทราบนุสนธิ์ยุบลบอก | แทบหนังปอกด้วยวิตกเพียงอกหัก |
ตั้งวิ่งวางไปออกปร๋อไม่รอพัก | ไปฉุดชักเจ้าพระยาขึ้นมาพลัน |
เจ้าคุณฟังวาจาเขามาบอก | เปลื้องผ้าออกมาตะกายรีบผายผัน |
เที่ยวแกว่งมาดเรียกทหารชาญฉกรรจ์ | นึกสำคัญว่าฮ่อเล่นออกเป็นจุณ |
ได้ยินอีกเสียงปืนใหญ่ครืนลั่น | อัศจรรย์จริงจริงคนวิ่งวุ่น |
เตรียมปืนใหญ่เอะอะชุลมุน | ดินกระสุนพร้อมพรักเสียงคักคึก |
ท่านยกกระบัตรทัพกำชับพล | ให้เตรียมตนด้วยว่าเวลาดึก |
ฤๅมีปัจจามิตรต่างคิดฦก | ทัพหน้าพบข้าศึกเสียงลั่นปืน |
จึงใช้ม้าเร็วไปให้รู้เหตุ | ผิดสังเกตปลุกไพร่ไว้ให้ตื่น |
เป็นเวลาเที่ยงนางคากลางคืน | ใช่การอื่นแม้นเลินเล่อจะเผลอตัว |
กรมช้างผูกช้างให้มั่นคง | จัตุรงค์เตรียมรบอยู่ครบทั่ว |
ล้วนทะนงองอาจไม่หวาดกลัว | บ้างก็หัวเราะชอบจริงอยากชิงชัย ฯ |
๏ สักครู่หนึ่งพอม้ากลับมาบอก | เขาจุดดอกไม้พลุประจุใหญ่ |
บ้านกุดจิกหนทางยังห่างไกล | จุดดอกไม้ฉลองวัดเขาศรัทธา |
ครั้นต่างคนตระหนักประจักษ์แจ่ม | ก็ยิ้มแย้มเกาหัวอวดตัวกล้า |
คิดว่าอ้ายฮ่อยกทัพวกมา | ตีกองหน้าเราไม่เว้นจักเล่นมัน |
บางคนนึกไปว่าทัพพาลี | ยกกระบี่พวกพหลพลขันธ์ |
มาต่อตีทัพเราก็เอามัน | คงจะหั่นเสียให้ยับดับชีวิต |
บางคนคุยอวดว่าถ้าพวกยักษ์ | มาจะหักเสียให้ยับจนดับจิต |
บางคนคุยอวดว่าถ้าอินทรชิต | ถึงมีฤทธิ์นักมาจะฆ่ามัน |
ท่านเจ้าคุณนั้นกำลังนั่งแอบฝา | ความกลัวเต็มประดาจนตัวสั่น |
รู้ว่าพลุแล้วก็คว้าหาผ้าพัน | ด้วยกายนั้นแก้โล่งอยู่โทงเทง |
ท่านหลวงทรงศักดาตาวั่งตง | หยิบผ้าส่งเจ้าคุณโลดโดดรับเหยง |
ขอบใจที่เธอไว้เป็นกันเอง | ถ้าแม้นเร่งเงินมาได้จะให้ปัน ฯ |
๏ ต่างคนก็คืนกลับไปหลับนอน | ครั้นทินกรพวยพุ่งรุ่งแสงสัน |
สันอะไรใครไม่รู้ก็ช่างมัน | แต่ขอดันพอให้จองคล้องเป็นกลอน |
สันว่าแดดฤๅกระไรไฉนหนอ | เอะอึ้อ้อเคยจำคำครูสอน |
อังกฤษแปลว่าอาทิตย์แสงฤทธิ์ร้อน | แต่ซํ้ากับทินกรซ้อนสองอัน |
อ้ายเรื่องนี้ที่ผู้แต่งแสดงเซอะ | จึงช่างเถอะทินกรซ้อนกับสัน |
เสร็จเคลื่อนคลายไพร่พลพหลพลัน | เลยตะบันล่วงตำบลพ้นนิคม ฯ |
๏ มาถึงบ้านกุดจิกเห็นจิกต้น | นี่บุคคลใดฤๅตั้งชื่อสม |
ไม่สนุกนิ์สนานขี้คร้านชม | ด้วยอารมณ์ฉันร้อนอาวรณ์ครวญ ฯ |
๏ มาถึงบ้านสลัดไดเหมือนใจพี่ | สลัดหนีสลัดนางห่างสงวน |
เพราะจำเป็นจำใจอาลัยนวล | ใช่จะหวนใจตัดสลัดจริง ฯ |
๏ มาถึงบ้านดอนคำเหมือนคำพี่ | เมื่อพาทีคำพร้องกับน้องหญิง |
แลเหมือนคำสายสมรแม่วอนวิง | กลัวจะทิ้งน้องไว้หาใหม่เชย |
หล่อนสั่งแล้วสั่งเล่าเฝ้ากำชับ | ไปแล้วกลับมาดีดีนะพี่เอ๋ย |
ซึ่งเมียใหม่แล้วอย่าหาลงมาเลย | แล้วภิเปรยพูดชะอ้อนวอนรำพัน ฯ |
๏ มาถึงบ้านโคกกรวดกรวดระดะ | ในพื้นพระธรณีงามสีสรรพ์ |
น้ำฝนเซาะบ้างเกาะเป็นหลืบลัน | เป็นชั้นชั้นน่าชมอารมณ์เฟือน ฯ |
๏ ถึงสระกระแบกเหมือนแบกซึ่งความรัก | เหลือจะหนักอกใจใครจะเหมือน |
แบกข้าวของเหลือแรงพอแบ่งเบือน | ฤๅว่าเพื่อนช่วยแบกแยกออกไป |
ที่แบกรักหนักใจวางไม่ลง | เหลือจะทรงกายตั้งนั่งไม่ไหว |
เป็นสุดแบกความรักหนักฤๅทัย | ประจำในทรวงพี่ทุกวี่วัน ฯ |
๏ ครั้นถึงหนองเป็ดน้ำมีน้ำจิต | วิปริตแปรปรวนดูผวนผัน |
นกเป็ดน้ำดีเหลือหนอเนื้อมัน | ในใจฉันอยากกินด้วยยินดี |
ครั้นรู้สึกพุทโธ่มโนกรรม | คิดจะทำลายสัตว์น่าบัดศรี |
ชีวิตเขาสิเราจะย่ำยี | ของตัวมีใจรักเขาจักปอง |
ซึ่งคนเหล่าชาวบ้านแถวย่านนั้น | บ้างชวนกันจัดเอาซึ่งข้าวของ |
บ้างมันต้มจิ้มน้ำตาลใส่พานรอง | คอยนั่งมองตั้งใจให้เจ้าคุณ |
เจ้าพระยาแม่ทัพก็รับของ | ชาวบ้านช่องนี่ก็สุดตามอุดหนุน |
ท่านก็แจกเงินเฟื้องต้องเปลืองทุน | ท่านทำบุญหมีได้ว่างเรี่ยทางมา ฯ |
๏ ครั้นถึงบ้านมะขามเฒ่าโตเท่าไหน | กับทุกข์ฉันนั้นใครจะโตกว่า |
ฤๅมะขามเฒ่าชแรแก่ชรา | ฉันจ้องตาหมีได้ยลต้นบูราณ ฯ |
๏ ครั้นมาถึงเขาลาดประหลาดจิต | ชำเลืองพิศดูประเทศเขตสถาน |
มีสวนหมากยืดยาวมะพร้าวตาล | จะเปรียบปานราษฎร์บูรณะดาวคะนอง |
ครั้นถึงที่หยุดพักสำนักนิ์กว้าง | ก็ปลงช้างผู้คนขนข้าวของ |
เข้าในแต้นท์ที่เขาทำไว้สำรอง | ยกจำลองเข้าไปวางอยู่ข้างใน |
พระอาทิตย์เลี้ยวลัดหัศฎงค์ | พระพรหมทรงเอา ห เป็น อ ได้ |
ถึงจะเอา อ เป็น ห ต่อกันไป | ก็กลับได้เหมือนหนึ่งคำคนรํ่าคิด |
เดิมบูราณท่านใช้อัสดง | นี่เขียนส่งว่าหัศแสนอัศจิต |
ถ้าไม่ว่าเกือบจะตายวายชีวิต | ยิ่งคิดคิดเจ็บช้ำในน้ำใจ |
สูริยาเย็นยํ่าพอค่ำลง | คนล้อมวงพร้อมเพรียงเรียงไสว |
นั่งยามตามทำนองก่อกองไฟ | พลไพร่พร้อมพรั่งอยู่คั่งคับ ฯ |
๏ ครั้นเช้าตรู่สูริยาส่องอากาศ | กรมการโคราชมาเป็นตับ |
ต่างคนก็นอบน้อมเจ้าจอมทัพ | แล้วคอยรับบัญชาพร้อมหน้ากัน |
เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง | ไม่ขัดข้องรังเกียจคิดเดียดฉันท์ |
แล้วให้เสื้อให้ผ้า[๒๓]พร้อมหน้าพลัน | บางคนนั้นได้แหวนแสนวิไล |
กรมการดีใจด้วยได้ลาภ | ต่างคนกราบนบนิ้วอยู่ไสว |
ครั้นสิ้นแสงสูริโยอโณทัย | ต่างคนไปที่พักสำนักตัว |
แรมอยู่นั่นสองวันกับสามคืน | พอคนชื่นล้าเลื่อยหายเหนื่อยทั่ว |
ก็เตรียมคนเตรียมช้างเตรียมต่างวัว | มาเตรียมมั่วสุมไว้ในกลางคืน ฯ |
๏ ครั้นวันอาทิตย์ขึ้นค่ำหนึ่งเดือนอ้าย | พระสูริยฉายส่องฟ้าขึ้นฝ่าฝืน |
ยกกระบัตรจัดทวนกระบวนปืน | ต่างก็ยืนคอยอยู่ทุกหมู่กอง |
ทัพหน้าแล้วก็มาถึงทัพขันธ์ | เข้ารวมกันประดังอยู่ทั้งสอง |
ปีกขวาปีกซ้ายก็จัดไว้ถัดรอง | ตามทำนองพยุหบาตรเยื้องยาตรา |
ล้วนทหารถือปืนยืนสะพรั่ง | ถือโล่ห์ดั้งหลาวแหลนดูแน่นหนา |
ปืนอื่นพื้นนกสับอันดับมา | รวมทั้งห้ากองทัพพร้อมสรรพกัน |
ล้วนสวมเสื้อเขียวแดงแสงระยับ | พร้อมเสร็จสรรพพหลพลขันธ์ |
เหล่าตัวนายขี่ช้างพลายตัวสำคัญ | ล้วนแต่กั้นสัปทนทุกคนไป |
ธงสำหรับนายทัพทั้งหลายนั้น | ต่างสีสรรพ์แลเป็นทิวปลิวไสว |
บ้างสีเขียวแดงเหลืองเรืองประไพ | บางคนใช้ต่างสีมีสำคัญ |
แล้วถึงกองทัพใหญ่วิไลเหลือ | ล้วนสวมเสื้อดีดีต่างสีสรรพ์ |
ยกกระบัตรจัดทัพอันดับกัน | ถึงธงไทยใหญ่สนั่นแดงประทาน ฯ |
๏ แล้วถึงหม่อมราชวงศ์กระจ่าง | ขี่ม้าสะบัดย่างนำทหาร |
ดูท่วงทีเจนจัดหัดชำนาญ | ล้วนถือขวานฝรั่งทั้งกระบวน |
แล้วถึงปืนบะเหรี่ยมล้อเทียมลาก | คนกระชากล้อหันไป่ผันผวน |
อยู่เรียงรายข้างทางห่างพอควร | แต่แล้วล้วนปืนใหญ่ไสวตา |
แล้วถึงกองขุนสิทธิ์ติดกระชั้น | มีซายัน[๒๔]ควงกระบองคล่องหนักหนา |
ทหารแถวสองข้างหนทางมา | ล้วนถืออาวุธสิ้นดูภิญโญ |
แล้วถึงกอโปราล[๒๕]ถมดูคมขำ | ขี่ม้านำทหารประมาณโหล |
คุมปืนแคทะริงกัน[๒๖]สนั่นโต้ | มีเดโชยิ่งกว่าปืนอื่นทั้งปวง |
แล้วก็ถึงธงทหารสะอ้านแท้ | ถัดก็แตรขลุ่ยกลองล้วนของหลวง |
ยกกระบัตรจัดงามตามกระทรวง | เดินทักท้วงเตรียมตรวจทุกหมวดกอง |
แล้วถึงทหารอย่างยุโรปครบทหาร | งามตระการเสื้อสีไม่มีสอง |
ทั้งข้างแขนพู่บ่าระย้าทอง | ล้วนแต่ของใหม่ใหม่ได้ประทาน |
ทั้งตัวนายขี่ม้าอาชาชาติ | ดูองอาจสมกายนายทหาร |
ประดุจดังอย่างพยัคฆ์จักทะยาน | ศัตรูพานพ้องพบรบระอา |
ช้างน้ำมันกอโปราลเกศขี่คอ | พลายสีดอท่วงทีดีหนักหนา |
สวมเสื้อยศอย่างทหารประทานมา | ดูสง่าท่วงทีเห็นดีควร |
เหล่าทหารเดินข้างช้างเป็นแถว | แต่ล้วนแล้วถือปืนยืนอยู่ถ้วน |
แลขุนหมื่นดาบตะพายรายกระบวน | ตามจำนวนริ้วทัพอันดับมา ฯ |
๏ กระบวนช้างตั้งเชือกเป็นเทือกแถว | ถัดมาแล้วช้างเขนคเชนทร์กล้า |
อีกช้างทรงองค์พระปฏิมา | แล้วถึงช้างเจ้าพระยากระโจมแดง |
เหล่าผู้คนคั่งคับอันดับมา | ขุนบำรุงโยธาตัวเข้มแขง |
คุมขุนหมื่นเหล่าพวกเสื้อหมวกแดง | คอยเดินแซงสองข้างหนทางมา |
สี่เท้าช้างเจ้าคุณคือขุนรักษ์ | ขุนอินทรภักดีเนื่องอยู่เบื้องขวา |
ขุนนราจุมพลคนปัญญา | กับขุนราชเมธาอยู่ซ้ายมือ |
พวกขุนหมื่นทนายเรียงรายเดิน | ล้วนแต่เชิญสำรดเครื่องยศถือ |
ใส่เสื้อดำริ้วเข้มดูเต็มฦๅ | ล้วนขุนหมื่นมีชื่อทุกตัวนาย |
หลวงพิชัยเสนาสง่าเหลือ | สอดสวมเสื้อแดงสีมณีฉาย |
เข็มกลัดคาดสายกระบี่มีตะพาย | ขี่คอพลายประจญมารชาญศักดา |
กรกุมขอข้อขึงดูผึ่งผาย | แล้วยักย้ายท่วงทีดีหนักหนา |
ว่าที่แอดดิกงยงศักดา | ผู้รักษาแม่ทัพรับไพรี ฯ |
๏ แล้วถึงช้างคุณบุตรแอดดิกง | สวมเสื้อส่งสดแสงดูแดงสี |
ขี่ช้างพลายโพยมกระโจมมี | ดูท่วงทีผุดผาดสะอาดตา |
แล้วถึงทหารหัดใหม่สไนเด้อร์ | ไม่เซอะเซ่อท่วงทีดีหนักหนา |
เดินในทางสองข้างมรคา | จ้างมาเป็นนายไม่ร้ายรอง |
แล้วถึงคุณพลอยกับคุณนิล | ดูเฉิดฉินท่วงทีดีทั้งสอง |
ใส่เสื้อดำสักหลาดปักตาดทอง | ดูเรืองรองรจนาโอฬาฬาร |
แล้วถึงช้างคุณขาวกับคุณพิน | ล้วนขี่คอทั้งสิ้นดูอาจหาญ |
มือจับขอยอเยื้องเปรื่องชำนาญ | ล้วนเป็นหลานแม่ทัพกำกับพล |
แล้วถึงกองปลัดทัพดูขับขัน | พร้อมด้วยพันพวกเหล่าชาวพหล |
ล้วนแต่ถือเครื่องรบครบทุกคน | เสื้อสวมตนต่างต่างสำอางตา |
แล้วถึงกองยกกระบัตรช่างจัดสรร | ทหารอย่างวาลันเตีย[๒๗]ซ้ายขวา |
ล้วนถือเครื่องอาวุธยุทธนา | ทั้งปืนผาครบเครื่องกระบวนพล ฯ |
๏ หลวงภักดีขี่คอพลายจักรกรด | ถือขอจดตั้งใจไม่ฉงน |
ตั้งขอขึงผึ่งผายหมายประจญ | เหล่าพหลเดินทางข้างสัตว์โต |
ถึงกองจเรทัพอันดับมา | ทหารหน้าท่วงทีเห็นดีโข |
สวมเสื้อดำเฉิดฉินดูภิญโญ | ล้วนใส่หมวกกะโล่ผ้าขาวคลุม |
ตัวขุนสกลสารบาญจเรทัพ | ขี่คอพลายประดับแก้วโกสุม |
ดูผายผึ่งขึงข้อถือขอกุม | ก็ควบคุมพหลพลฉกรรจ์ |
ถึงกองซีเกร็ตตอรีที่เสมียน[๒๘] | สำหรับเขียนหนังสือมือขยัน |
ใส่เสื้อริ้วทองสวยหมดด้วยกัน | ดูเฉิดฉันแลพิศสนิทเนียน ฯ |
๏ ขุนวิสูตรเสนีขุนศรีกะดานพล | ทั้งสองคนขวาซ้ายนายเสมียน |
ตามยกกระบัตรจัดพลไม่วนเวียน | ด้วยว่าเขียนฉลากไว้ปักไม้ราย |
แล้วถึงท่านขุนอินทรวิเชียรชาติ | ขุนพรหมราชปัญญาโยธาหลาย |
ยังขุนศรีภักดีมีอีกนาย | ขุนสัจจวาทีรายอยู่รวมกัน |
ล้วนแต่คุมทหารกองด้านใน | ขุนหมื่นไพร่ยกกระบัตรช่างจัดสรร |
เหล่าพหลล้นหลามมาครามครัน | ล้วนถือมั่นอาวุธยุทธนา ฯ |
๏ กองหลังถัดหลวงจัตุรงค์นั้น | ขี่คอพลายกุมภัณฑ์คเชนทร์กล้า |
ดูท่วงทีองอาจประหลาดตา | คุมโยธากองหลังตั้งกระบวน |
ขุนนราฤทธิไกรผู้ใจอาจ | ขี่คอพลายสีประหลาดงามผาดผวน |
รูปขำคมสมทหารชำนาญทวน | เห็นสมควรท่วงทีมีศักดา |
ขุนพิชัยชาญยุทธก็สุดใจ | ขี่คอพลายประลัยดูแกล้วกล้า |
สมควรเป็นกองหลังตั้งปีกกา | อยู่เบื้องขวาเบื้องซ้ายรายเรียงกัน |
ท่านหลวงทรงศักดาก็กล้าหลาย | ขี่ช้างพลายทองแดงเข้มแขงขัน |
คุมทหารด้านนอกหอกทั้งนั้น | ถือปืนสั้นใหญ่น้อยหลายร้อยคน |
ซึ่งขุนสัตยากรผ่อนลำเลียง | กองเสบียงคุมกระบวนล้วนพหล |
ทั้งโคต่างช้างมีพร้อมรี้พล | สำหรับขนจัดจบครบกระบวน |
ดูนายกองนายทัพอันดับมา | พรรณนาจัดสรรไม่ผันผวน |
บ้างถือหอกพู่ขาวถือง้าวทวน | ถือง้าวญวนถือตรีกระบี่ยาว ฯ |
๏ ครั้นว่าได้พิชัยฤกษ์แล้ว | ก็คลาดแคล้วโยธีเสียงมี่ฉาว |
ยิงปืนฤกษ์สัญญานัยน์ตาพราว | สองหูร้าวด้วยเสียงสำเนียงปืน |
เสียงคนเดินราวกับเนินจะโทรมทรุด | ดั่งมหาสมุทรเกิดลมคลื่น |
เหล่าทหารเริงร่าเฮฮาครืน | เพียงพ่างพื้นธรณินแผ่นดินพัง |
ตัวฉันอยู่ท้ายช้างเหมือนอย่างเคย | เฝ้าแหงนเชยแลชมอารมณ์หวัง |
ดูเรือนบ้านรายเรียงเคียงประดัง | เห็นคับคั่งคนดูอยู่ริมทาง |
คนแก่สาวนั่งเป็นหมู่ฉันดูทั่ว | ล้วนรูปชั่วดำปี๋เหมือนผีสาง |
ถึงที่ขาวดูเหมือนลาวไม่สำอาง | เห็นรูปร่างป๋อหลอฉันงองัน ฯ |
๏ ถึงวัดแจ้งเห็นเขาแต่งประตูป่า | ไว้คอยท่ากองทัพดูขับขัน |
ยายมดท้าวนั่งเคียงอยู่เรียงรัน | คอยทำขวัญขับผีป่าหน้าประตู |
ยายคนหนึ่งตีโทนโยนจังหวะ | เสียงจ๊ะจ๊ะตุ้มตุ้มฟังกลุ้มหู |
เครื่องสังเวยเรียงรายตัวยายครู | ออกนั่งอยู่หน้าคนบ่นพึมพำ |
พอเจ้าคุณเดินมาถึงหน้าฉาน | กรมการเรียนตามเนื้อความขำ |
เชิญเจ้าคุณลงช้างอย่างบูรำ | โดยมีทำเนียมการเพศบ้านเมือง |
พอช้างเหยียบประทับเข้ากับเกย | เจ้าคุณหมีได้เฉยค่อยย่างเยื้อง |
ลงนั่งที่พรมปูดูชำเลือง | เขาจะเปลื้องผีป่านั้นท่าไร |
ซึ่งยายมดบอกขยดให้เหยียดเท้า | เอาด้วยขาวลากฟาดตวาดไล่ |
แล้วผูกกรทำขวัญคุ้มกันภัย | ก็เลยให้ศีลพรบทกลอนดี |
เสร็จสรรพเจ้าคุณกลับขึ้นสู่ช้าง | แล้วลีลามาในทางหว่างวิถี |
เข้าในประตูป่าไม่ราคี | สองข้างมีสงฆะประน้ำมนต์ ฯ |
๏ ถึงโพธิ์กลางสองข้างมีโรงร้าน | ขายโตกพานเชี่ยนขันและพรรณผล |
ทั้งของกินเครื่องใช้ฉันได้ยล | เหล่าฝูงคนนั่งดูเป็นหมู่กัน |
เห็นตึกทาฝาแดงทุกแห่งหน | หลังข้างบนมุงแฝกแปลกแปลกขัน |
ล้วนตึกดินดิบต่อมาก่อกัน | ข้างฝ่ายชั้นล่างหลังคาเขาทาดิน |
ชมลูกสาวชาวโคราชไม่ผาดผิว | ช่างขี้ริ้วไม่ตำหนิแกล้งติฉิน |
จะหาสวยสักคนไม่ยลยิน | จนหมดสิ้นย่านทางโพธิ์กลางมา ฯ |
๏ ถึงสามสักยักแยกมาเบื้องซ้าย | คนเรียงรายนั่งดูอยู่หนักหนา |
เห็นโรงผู้หญิงคนชั่วดูทั่วมา | เหมือนหญิงข่าไม่น่ารักเลยสักคน |
มาประเดี๋ยววกเลี้ยวซ้ายมือแว้ง | เห็นกำแพงโคราชสูงผาดโผน |
แม้นข้าศึกหมายจะมาประจญ | ซึ่งจะปล้นเมืองได้เห็นไม่มี |
ด้วยกำแพงสูงมีสักสี่วา | ดูแน่นหนาคึกคักเป็นศักดิ์ศรี |
ซึ่งข้างนอกกำแพงวุ้งแวงดี | ล้วนแต่มีคูรอบขอบสีมา |
มีเชิงดินชั้นนอกห้าศอกสูง | แม้นมีฝูงปรปักษ์เรารักษา |
เพียงเชิงเทินชั้นนอกออกประดา | ศัตรูอย่าเข้าไปถึงในคู |
เมืองโคราชกว้างใหญ่มิใช่น้อย | ข้าศึกเพียงสิบร้อยเห็นพอสู้ |
เมืองใหญ่โตทำไมมีสี่ประตู | หอรบอยู่ข้างบนชอบกลดี ฯ |
๏ ถึงทำเนียบค่ายพักสำนักนิ์อยู่ | ด่านประตูท่าน้ำทำถ้วนถี่ |
อยู่ริมกับอารามสามัคคี | ทำเนียบมีเขื่อนค่ายปลูกรายเรียง |
สำหรับเจ้าคุณมีสี่ห้าหลัง | พร้อมหอนั่งเรือกรั้วครัวเฉลียง |
ทิมทหารรอบล้อมดูพร้อมเพรียง | แถวระเบียงหอนั่งตั้งนอกชาน |
ที่ลูกทัพนายกองเสร็จเจ็ดแปดหลัง | มีพร้อมพรั่งโรงยาวเหล่าทหาร |
ช้างเจ้าคุณเทียบเกยไม่เลยนาน | กรมการคอยรับคำนับพลัน |
ทหารปืนยืนรายทั้งซ้ายขวา | ทหารหน้าทหารหลังช่างขยัน |
นายใหญ่บอกปรีเซนต์เป็นสำคัญ | ก็พร้อมกันยกปืนยืนคำนับ |
เจ้าคุณค่อยประจงลงจากเกย | แล้วก็เลยขึ้นหอนั่งยั้งสดับ |
กรมการพร้อมพรั่งมาคั่งคับ | นั่งคอยรับบัญชาพร้อมหน้ากัน ฯ |
๏ พอหยุดพักอยู่นั่นสองวันครบ | เจ้าพระยาปรารภจะผายผัน |
นายทัพนายกองมาพร้อมหน้ากัน | ไปอภิวันท์เทพารักษ์เจ้าหลักเมือง |
พร้อมนายทัพนายกองมาซร้องแซ่ | ท่านเจ้าคุณขี่แคร่ไม้ลายเหลือง |
พร้อมนายทัพนายกองตามนองเนือง | เสร็จย่างเยื้องเข้าไปในประตู |
ครั้นถึงศาลอารักษ์พระหลักเมือง | พร้อมด้วยเครื่องบูชาไก่ปลาหมู |
ทั้งบายศรีซ้ายขวาน่าเอ็นดู | เสร็จแล้วบูชาเจ้าทั้งเหล้ายา |
แล้วเรียกคนขลุ่ยกลองกระบองควง | แกว่งบวงสรวงอารักษ์เป็นหนักหนา |
ทั้งต่อยมวยรำละครฟ้อนบูชา | พิณพาทย์สาธุการประสานตี |
ครั้นเสร็จสรรพก็กลับมาทำเนียบ | ไม่เงียบเชียบต่างเปรมกระเษมศรี |
ฝูงพหลพลนิกายสบายดี | บห่อนมีเจ็บป่วยพร้อมด้วยกัน ฯ |
๏ เมื่อวันหนึ่งเจ้าคุณจึ่งออกหอนั่ง | พร้อมสะพรั่งนายพหลพลขันธ์ |
จึ่งปรึกษาไต่ถามเนื้อความพลัน | ว่าวันนั้นเข้าไปที่ในเมือง |
เห็นเจดีย์องค์ใหญ่ในวัดกลาง[๒๙] | ทำลายร้างอยากบำรุงให้ฟุ้งเฟื่อง |
จึงหันหน้าปรึกษาท่านเจ้าเมือง | ก็พูดเยื้องชักเชือนบิดเบือนไป |
เพราะว่าในเมืองนี้สุดที่คิด | ด้วยปูนอิฐไม่มีอยู่ที่ไหน |
เจ้าคุณฟังยุบลเป็นจนใจ | ก็หมีได้ตอบความตามยุบล |
เจ้าพระยาจอมนิกรอาวรณ์ตรึก | การทัพศึกสารพัดจะขัดสน |
ไม่ทราบเรื่องหนองคายร้ายกังวล | ต้องแต่งคนไปสืบตามความระแวง ฯ |
๏ จึงให้ท่านขุนวิสูตรเสนี | นายซีเกร็ตตอรี่คนเข้มแขง |
ไปสืบการหนองคายที่ร้ายแรง | มาให้แจ้งข้อความตามกระบวน |
ให้ขุนพินิจนิกรนั้นไปด้วย | จะได้ช่วยกันลอบไปสอบสวน |
กับนายทัดคนลาวชาวเมืองพวน | รู้ถี่ถ้วนนำร่องไปหนองคาย |
ให้ขุนสัตยากรไปขอนแก่น | สืบให้แม่นอย่าให้เฟือนในเงื่อนสาย |
กับอุปฮาดไปช่วยด้วยอีกนาย | ซึ่งแยบคายขอนแก่นคงแม่นยำ |
เป็นอุปฮาดอยู่ก่อนเมืองขอนแก่น | ในแว่นแคว้นไล่เลียงไม่เพลี่ยงผลำ |
ควรให้ไปสืบส่อเอาข้อคำ | เพราะว่าชำนาญใจในหนทาง |
แล้วสั่งเบิกช้างให้ใส่เสบียง | ให้พอเพียงสารพัดไม่ขัดขวาง |
ทั้งเงินทองจัดให้ไปใช้พลาง | กระโจมช้างเลือกคัดดูจัดเอา |
ขึ้นหกค่ำเดือนอ้ายห้านายนั้น | กำหนดวันที่จะไปหมีได้เศร้า |
ออกจากที่ตนพักสำนักนิ์เนา | ไปตามเจ้าคุณบัญชาไม่ช้าวัน ฯ |
๏ ถึง ณ วันเดือนอ้ายขึ้นแปดค่ำ | ได้จดจำแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
เห็นผู้คนช้างม้าลงมาพลัน | พระวิชิตณรงค์นั้นคุมฮ่อมา |
พวกกองทัพรู้จริงบ้างวิ่งสอ | มาดูฮ่อพร้อมพรักคนหนักหนา |
อ้ายพวกฮ่อใส่คอตะโหงกคา | คนรักษาเดินกลุ้มคอยคุมตัว |
เจ้าพวกฮ่อเหล่านี้ล้วนขี่แคร่ | เจ้าพวกลาวหามแย่ยิ่งเจ้าสัว |
กองทัพฝ่ายเราว่าไม่น่ากลัว | ตัวต่อตัวแล้วไม่หนีฟันตีกัน |
บ้างว่าฮ่อรูปนี้กระจิริด | สักสามคนก็ไม่คิดจะพรึงพรั่น |
ไม่มีจิตคร้ามกลัวเห็นตัวมัน | ต่างคนสันต์สรวลเสเสียงเฮฮา ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณให้ไปขอฮ่อมาถาม | ให้คนล่ามมั่นคงส่งภาษา |
นายเสมียนเขียนความตามบัญชา | ฮ่อหนึ่งมาให้ความตามกระบวน |
ว่าเป็นจีนเกิดยังเมืองกวางตุ้ง | ใจมาดมุ่งเลี้ยงชีวิตไม่ผิดผวน |
มาค้าขายในเขตประเทศญวน | ไปเมืองพวนแล้วเยื้องไปเมืองลา |
ก็หากินโดยยุติสุจริต | เลี้ยงชีวิตมุ่งหมายขายของป่า |
อ้ายพวกฮ่อยกทัพจับเอามา | จนเวลาทัพไทยไปเอาตัว |
จีนล่ามถามต่อฮ่อคนไหน | มันชี้ใส่เจ้าญวนนั่งผมทั้งหัว |
ให้ล่ามถามญวนก็บอกพูดออกตัว | มันแสนชั่วบอกว่าข้าเป็นญวน |
เสมียนล่ามถามต่อฮ่อคนไหน | มันชี้ใส่ว่าคนนั้นไม่ผันผวน |
คนนั้นว่าข้าเป็นลาวชาวเมืองพวน | ให้การล้วนข้อรับจับเอามา |
นี่ก็เจ๊กนั่นก็ลาวชาวเมืองพวน | โน่นก็ญวนนุงนังน่ากังขา |
ให้ล่ามถามทั้งหมดจดวาจา | เที่ยวถามหาฮ่อคนไหนหมีได้มี |
ก็หมีได้จดจำคำทั้งหลาย | ครั้นบ่ายชายแสงพระสูริยศรี |
สักห้าโมงสังเกตเศษนาที | ตราพระราชสีห์มีขึ้นมา ฯ |
๏ จึ่งประชุมลูกทัพนายกองพร้อม | มานั่งล้อมเรียงรายทั้งซ้ายขวา |
ฉันผนึกออกอ่านซึ่งสารตรา | แจ้งกิจจาโดยความตามคดี |
ในบังคับกองทัพให้ยับยั้ง | รอคอยฟังเหตุการณ์ตามสารศรี |
อยู่นครราชเสมาอย่าช้าที | แล้วห้ามหมีให้เยื้องไปเมืองบน |
อ้ายพวกฮ่อนั้นยังก่อรังแก | หรือพ่ายแพ้สืบให้แจ้งทุกแห่งหน |
จักนายทัพนายกองสักสองคน | ที่ชอบกลเป็นผู้ใหญ่เข้าใจการ |
ไปสืบเรื่องเมืองหนองคายจะร้ายดี | ยังเหลือมีข้าศึกที่ฮึกหาญ |
แม้นกองทัพหลวงพระบางทางเชียงคาน | จะเข้าราญรอนประจญตำบลไร |
มีหนังสือรีบรัดมานัดหมาย | จงผันผายขึ้นไปช่วยด้วยจงได้ |
ตระเตรียมยกซึ่งพหลพลไกร | รีบขึ้นไปอย่าให้ขาดราชการ ฯ |
๏ เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ้ง | ประดิษฐ์แต่งความตอบระบอบสาร |
โดยถ้วนถี่สารพัดไม่ทัดทาน | แล้วส่งเจ้าพนักงานให้ถือมา |
ครั้นสำเร็จเสร็จพร้อมจอมพหล | จึ่งแต่งคนนึกมองตรึกตรองหา |
จะได้ผู้ใดดีมีปัญญา | สืบกิจจาหนองคายเอารายงาน |
จะต้องทำตามดั่งข้อบังคับ | จึ่งปรึกษานายทัพนายทหาร |
จะได้ใครไปดีที่ชำนาญ | ไปสืบการหนองคายคือนายใด |
เห็นแต่ว่าพระวิชิตณรงค์ | ค่อยมั่นคงจะเห็นเป็นไฉน |
นายทัพคำนับน้อมต่างพร้อมใจ | คนอื่นไปไม่เสร็จสำเร็จมา |
ท่านเจ้าคุณอารีท่านมีจิต | พระวิชิตณรงค์นั้นหนักหนา |
จึ่งจัดเสบียงให้ใจเมตตา | อีกทั้งผ้าขนยาวห่มหนาวนอน |
พระวิชิตณรงค์บรรจงรับ | น้อมคำนับด้วยศิโรสโมสร |
แล้วหมอบราบกราบก้มประนมกร | กล่าวสุนทรโดยความตามอัชฌา |
ขอขุนนราฤทธิไกรนั้นไปด้วย | แม้นเจ็บป่วยได้พิทักษ์ช่วยรักษา |
เป็นวงศ์วานหลานชิดสนิทมา | พอเห็นหน้าเพื่อนไปในหนทาง |
เจ้าพระยาอนุญาตตามมาดหมาย | กล่าวอภิปรายตามสัตย์ไม่ขัดขวาง |
หมีได้มีแหนงจิตคิดระคาง | ด้วยไว้วางใจแท้เห็นแน่นอน |
พระยาวิชิตณรงค์ประสงค์สม | ตามนิยมภิญโญสโมสร |
เสร็จจะลาคลาไคลครรไลจร | มาที่ผ่อนเคยพักสำนักตน ฯ |
๏ ครั้น ณ เดือนอ้ายขึ้นสามค่ำ | เป็นวันกำหนดฤกษ์เลิกพหล |
พระยาวิชิตณรงค์ไม่วงวน | ก็กรีพลมาดหมายหนองคายพลัน |
เดินเป็นกระบวนมาหน้าทำเนียบ | ดูเรียงเรียบเหล่าพหลพลขันธ์ |
ขุนนราฤทธิไกรใจฉกรรจ์ | ก็ผายผันตามไปในกระบวน |
เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง | เสร็จส่งกองทัพขันธ์ไม่ผันผวน |
ทหารยิงปืนใหญ่ใส่ชนวน | เก้านัดถ้วนเสร็จครบตระหลบควัน ฯ |
๏ เมื่อวันหนึ่งฟั่นเฟือนจำเคลื่อนคลาด | เจ้าเมืองอุปฮาดเข้าผายผัน |
เอาม้าแดงช้างดำมากำนัล | อุปฮาดเมืองสุวรรณภูมิมา |
หลวงสารสิทธิ์ผู้นำเข้าคำนับ | ท่านเจ้าคุณออกรับด้วยหรรษา |
ซึ่งช้างม้าที่มาให้ไม่นำพา | เป็นแต่ว่าขอบใจที่ให้เรา |
ท่านคืนช้างม้าไปให้เจ้าของ | ไม่หมายปองอยากได้ของใครเปล่า |
ถึงว่าของสิ่งไรท่านไม่เอา | แม้นที่เหล่าคนชอบรับตอบแทน |
ซึ่งกองทัพตั้งแต่มาหลายราตรี | เหล่าโยธีบ้างเป็นสุขบ้างทุกข์แสน |
ด้วยไข้ดงติดมาในป่าแดน | ดูหนาแน่นชุกชุมตายสุมไป |
บางคนไม่ตายหายมีแรง | กินของผิดสำแลงก็ตักษัย |
บ้างกินกล้วยน้ำว้าพุทราไป | แต่พอใส่ถึงคอชักงองัน |
บ้างก็กินลูกสมองอก่อม้วย | บ้างกินกล้วยอ้อยแล้วอาสัญ |
กินของสิ้นชีวิตผิดผิดกัน | ฝูงคนบรรลัยรุมชุมสุดใจ |
ได้มีบาญชีนามจดตามเหตุ | คนร้อยยี่สิบเศษม้วยตักษัย |
ตั้งแต่ยกหมายมุ่งจากกรุงไกร | คนตายได้ร้อยเศษสังเกตจำ |
ซึ่งตัวฉันฤๅทัยใจสะท้อน | เห็นคนนอนครางอยู่ดูออกส่ำ |
คิดถึงตัวกลัวตายกายระกำ | เฝ้าแต่ร่ำโหยไห้อาลัยวอน |
ยามหนึ่งคิดถึงตัวกลัวความไข้ | ยามสองให้คะนึงถึงสมร |
ยามสามคิดรำคาญถึงมารดร | ยามสี่นอนคิดถึงญาติแทบขาดใจ ฯ |
๏ เป็นอย่างนี้เจียวฉันทุกวันคืน | บ่มีชื่นเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
โศกถึงมิตรคิดถึงญาติแทบขาดใจ | เหลือหทัยที่ทุกข์คงจุกตาย |
แสนระกำช้ำกายเสียดายโฉม | เสียดายเชยเคยประโลมไม่ห่างหาย |
ไม่ห่างเหเสน่ห์นุชจะหยุดวาย | จะหยุดเว้นเป็นอย่าหมายว่าจักมี |
ว่าจะม้วยเสียด้วยเพราะความเศร้า | เพราะความโศกโรคเร้าหม่นหมองศรี |
หม่นหมองทรวงโอแม่ดวงสุมาลี | สุมาลัยของพี่อย่าไกลตา |
อยู่ใกล้ตัวเพราะผัวมาห่างห้อง | มาห่างเห็นเว้นน้องไห้โหยหา |
ไห้โหยหวนครวญคร่ำไม่นำพา | ไม่น่าพึงหนึ่งว่าจำใจจร |
โอ้อกเอ๋ยเคยแอบประคองอุ่น | หอมกลิ่นกรุ่นสาเรแก้วเกสร |
เสียดายดวงพวงพุ่มอุทุมพร | มาไกลกรหมีได้กอดประคองเชย |
สงสารสร้อยเสาวคนธ์จะมลหมอง | จะเฝ้าร้องไห้หานิจจาเอ๋ย |
ใครจะช่วยปลอบปลื้มให้ลืมเลย | เหมือนพี่เคยประคองน้องนิทรา |
เวลาดึกตรึกตรองถึงน้องสาว | อนาถหนาวเนื้อหนังเย็นมังสา |
เมืองโคราชเหลือล้นพ้นปัญญา | หนาวยิ่งกว่าบางกอกยอกทั้งตัว |
ห่มผ้าปิดเหมือนหนึ่งว่าห่มผ้าเปียก | มันเย็นเยียกหนาวยวดจนปวดหัว |
หนาวอัปรีย์หนาวระยำพอค่ำมัว | มันเย็นทั่วสารพางค์นอนครางฮือ |
ต้องสวมเสื้อสามชั้นไว้กันหนาว | ทั้งถุงเท้าเกือกซ้อนลงนอนซื่อ |
กางเกงสามชั้นนุ่งสวมถุงมือ | ตัวหนักตื้อหมวกผ้าปิดหน้าตึง |
แต่อย่างนั้นไม่กันความหนาวได้ | มันหนาวในตับปอดตลอดถึง |
ผ้าห่มสุมคลุมซ้อนนอนตะบึง | คิดรำพึงใจอนาถไม่ขาดคราว |
ถ้ารู้ที่ว่าไม่มีข้าศึกรบ | คงหาครบซื้อสรรพ์เครื่องกันหนาว |
หมายจะได้ชิงชัยกันใหญ่ยาว | จนถึงคราวฉุกเฉินคิดเกินไป |
ด้วยกลัวว่าผ้าเสื้อจะเหลือมือ | จึ่งหาซื้อจัดหาเอามาไม่ |
ถ้าแม้นว่ารู้แท้เป็นแน่ใจ | ว่าพวกไอ้สลัดบกมันยกมา |
เที่ยวปอกลอกทองพระไปถลุง | การรบพุ่งหาสู้จักจะหนักหน้า |
ซึ่งเครื่องหนาวสารพัดได้จัดมา | ไม่ซื้อหาก็เพราะการประมาณเกิน |
บุญคุณติดขุนสนิทอักษรนุ่ม | ให้เครื่องคุ้มกันหนาวคราวฉุกเฉิน |
ขอให้เขาสวัสดีมีจำเริญ | สรรเสริญคุณเขาทุกเช้าเย็น |
ป้องกันหนาวนอกเนื้อเขาเกื้อหนุน | เพราะบุญคุณพ่อนุ่มพอคุ้มเข็ญ |
แต่น้ำจิตมิได้วายคลายลำเค็ญ | บ่วางเว้นมีสุขเฝ้าทุกข์ทน ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าพระยาแม่ทัพเมื่อยับยั้ง | ท่านก็ตั้งปรารถนาหากุศล |
ด้วยศึกเสือนั้นไม่มีพักรี้พล | ชักชวนคนก่อสร้างทางนิพพาน |
เจดีย์ใหญ่วัดกลางร้างชำรุด | ยังโทรมทรุดล้มทอดตลอดฐาน |
ไม่มีใครศรัทธาล้มมานาน | จะประมาณนับยิบหลายสิบปี |
ท่านเจ้าคุณมีใจอยากใคร่สร้าง | พระเจดีย์วัดกลางเป็นศักดิ์ศรี |
จะซื้ออิฐปูนใครที่ไหนมี | ไม่รู้ที่แห่งหนตำบลเลย |
ท่านก็เที่ยวสืบถามตามชาวบ้าน | ด้วยหวังการจริงจริงไม่นิ่งเฉย |
เฝ้าสืบเสาะหาแห่งตำแหน่งเคย | ท่านภิเปรยถามไถ่หมีได้วาย |
จิตศรัทธาอาจิณไม่สิ้นสูญ | ครั้นอิฐปูนได้สมอารมณ์หมาย |
มีผู้มาบอกแจ้งไม่แพร่งพราย | ว่ามากหลายบริบูรณ์อิฐปูนมี |
อยู่ถึงทางหนองกะบกวัดโคกพรม | อิฐเผารมแก่ไฟงามได้สี |
เจ้าคุณทราบระบิลแสนยินดี | จึงป่าวร้องโยธีทุกหมวดกอง |
บอกบุญเหล่าพหลไปขนอิฐ | ต่างคนคิดยินดีไม่มีหมอง |
คานสาแหรกจัดไว้ใส่สำรอง | ต่างคนปองเอาบุญไม่ขุ่นเคือง ฯ |
๏ ครั้นแรมสิบสามค่ำ ณ เดือนอ้าย | เวลางายสูริยาส่องฟ้าเหลือง |
พวกกองทัพโห่ร้องไปนองเนือง | ทั้งชาวเมืองพลอยไปอยากได้บุญ |
บ้างก็หาบก็หามตามถนัด | ล้วนแต่ศรัทธาชื่นทั้งหมื่นขุน |
ไม่ว่าไพร่ผู้ดีมีสกุล | ชุลมุนแบกอิฐไม่คิดอาย |
พวกกองทัพชาวเมืองขนเนืองแน่น | ยกอิฐแผ่นใส่บ่าแบกหน้าหงาย |
ล้วนแต่งตัวกรุ้งกริ้งทั้งหญิงชาย | ทั้งสาวแส้แม่หม้ายก็มีมา |
ล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดขัน | ห่มสีสรรพ์สุกแสงออกแดงจ้า |
ทั้งพระเถรเณรชีมีศรัทธา | สู้อุส่าห์ขนอิฐน้ำจิตทน |
ทั้งเกวียนล้อโคลากไปมากหลาย | ดูเรียงรายเต็มหลามตามถนน |
ทั้งแรงโคแรงควายนิกายพล | ไปหาบขนอิฐแผ่นแน่นหนทาง |
ล้วนสรวลสันต์บันเทิงระเริงรื่น | เฮฮาครืนหมีได้อายระคายหมาง |
ทั้งเจ๊กไทยมอญลาวสาวสำอาง | ขนอิฐมาวัดกลางดูเกรียวกราว ฯ |
๏ คนชาวเมืองพร้อมใจทั้งไทยจีน | ออกทรัพย์สินซื้ออาหารข้าวสารขาว |
ต้มเลี้ยงคนขนอิฐด้วยคิดยาว | ทั้งของคาวหวานเค็มเต็มศรัทธา |
สองวันเสร็จลงมือจับรื้อขุด | ด้วยของเก่าชำรุดอยู่หนักหนา |
พบกรุซึ่งบรรจุของนานา | ทั้งรูปพระปฏิมาเงินทองคำ |
จึงเอาพระเงินทองของบูราณ | มอบให้พระอธิการอุปถัมภ์ |
จงเก็บให้มิดชิดปกปิดงำ | แล้วให้ทำที่กรุบรรจุลง ฯ |
๏ เจ้าพระยาจอมทัพจะจับงาน | แล้วตรึกการโดยจิตคิดประสงค์ |
ในบาลีมีตามเนื้อความตรง | พระพุทธองค์บัญญัติอธิบาย |
ว่าผู้ใดจะสร้างทางกุศล | ไม่ป่าวร้องฝูงคนสิ้นทั้งหลาย |
แม้นว่าใครศรัทธาเอกากาย | ไม่ป่าวร้องหญิงชายประชาชน |
ได้แต่โภคสมบัติพัสถาน | บริวารสมบัตินั้นขัดสน |
แม้นป่าวร้องนำจูงเหล่าฝูงคน | บันดาลดลพบพ้องสองศฤงคาร |
ท่านคิดเห็นโดยงามตามทำนอง | จึ่งป่าวร้องทั่วประเทศเขตสถาน |
ราษฎรชาวนิคมกรมการ | จังหวัดบ้านเมืองโคราชประกาศไป |
ให้ปราศจากอามิสมาติดเทียน | ตามจำเนียนโดยศรัทธาอัชฌาสัย |
กำหนดนัดความแจ้งไม่แคลงใจ | ให้มาในวัดกลางสร้างศรัทธา ฯ |
๏ ครั้นวันขึ้นสิบสองค่ำจำคดี | ในเดือนยี่สัจจังไม่กังขา |
ตะวันบ่ายชายแสงพระสูริยา | เป็นเวลากำหนดที่จะมีการ |
ฝ่ายท่านเจ้าพระยาจอมพหล | เชิญพระทนต์พระจอมเกล้าเจ้าสถาน |
พร้อมด้วยเหล่ากระบวนแห่แลละลาน | ไปมีงานสมโภชใหญ่ในวัดกลาง |
นิมนต์สงฆ์ทั่วประเทศเขตนคร | มาสดับปกรณ์ตามแบบอย่าง |
เหล่าพระสงฆ์ดีใจไม่ระคาง | ถึงหนทางไกลนั้นไม่พรั่นพรึง |
พระชราฐานาสมภารวัด | ก็แต่งจัดเหล่าพระครูไว้หมู่หนึ่ง |
ถวายปัจจัยถ้วนล้วนตำลึง | พระสงฆ์ซึ่งลูกวัดไว้ถัดรอง |
ถวายปัจจัยงามตามทำเนียม | พระสงฆ์เปี่ยมยินดีไม่มีสอง |
นิมนต์หมดบ้านเมืองมาเนืองนอง | ได้รับของไทยทานสำราญใจ ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าจอมโยธามีปราโมทย์ | ท่านสมโภชพระทนต์พ้นวิสัย |
จัดเหล่าพวกกองทัพโดยฉับไว | มาเล่นโขนโรงใหญ่ได้อย่างดี |
พร้อมทั้งเครื่องเรืองรองทองระยับ | สร้างเสร็จสรรพงามงดแสงสดสี |
ทั้งโรงโขนใหญ่ปลูกผูกคิรี | โตยาวมีกว้างขวางสำอางตา |
โขนเล่นเรื่องก่อนวันนอนโรง | เล่นพิธีอุโมงค์ดีหนักหนา |
ครั้นว่าดึกสองยามตามสัญญา | ก็เลิกลาโรงกลับมาหลับนอน ฯ |
๏ ครั้นว่ารุ่งสูริยาท้องฟ้าแดง | ก็เตรียมแต่งกระบวนแห่แลสลอน |
เชิญพระบรมทนต์เสร็จเสด็จจร | ไปสดับปกรณ์อีกเวลา |
โขนก็เล่นตามเรื่องแต่เบื้องหลัง | เมื่อวิรุญจำบังออกอาสา |
พวกคนดูพรูพรั่งประดังมา | คนชราแก่สาวมากราวกรู |
ชาวบ้านนอกขอกนามาออกฮือ | แจ้งข่าวลือแน่ใจไม่ไขหู |
หนทางเดินสองคืนตื่นมาดู | เพราะไม่รู้จักโขนโยนอย่างไร |
คนชราอายุเจ็ดสิบเลย | ยังไม่เคยดูเห็นเป็นไฉน |
บ้างหาเสบียงอาหารด้วยบ้านไกล | ล้วนตั้งใจมาดูออกกรูเกรียว |
ล้วนสาวสาวชาวป่าก็มาสิ้น | ทาขมิ้นล้นเหลือจนเนื้อเขียว |
อยากดูโขนอย่างยิ่งจริงจริงเจียว | บ้างจูงเหนี่ยวลูกหลานมาลานลน ฯ |
๏ สัปรุษคั่งคับออกทรัพย์สิน | ติดข้าวบิณฑ์เบี้ยศรัทธาหากุศล |
เข้าส่วนสร้างพระเจดีย์ตามมีจน | ออกสับสนตั้งจิตมาติดเทียน |
ครั้นเล่นโขนถ้วนตามครบสามวัน | รวมเงินพันบาทมีบัญชีเขียน |
สัปรุษมาพร้อมน้อมจำเนียน | เงินติดเทียนที่วัดล้วนศรัทธา |
จึ่งได้เงินพันบาทยังขาดโข | พระเจดีย์องค์ใตเป็นหนักหนา |
แต่โดยสูงถึงเส้นนับเป็นวา | เจ้าพระยาจอมทัพรับออกทุน |
แม้เงินใช้ไม่พอก่อเจดีย์ | ท่านรับเป็นกงสีออกเกื้อหนุน |
สร้างเจดียฐานเป็นการบุญ | ท่านเจ้าคุณรับสำเร็จโดยเสร็จการ ฯ |
๏ แรมสิบเอ็ดค่ำหมีได้เคลื่อนในเดือนยี่ | ขุนวิสูตรเสนีสืบข่าวสาร |
ที่ไปเมืองหนองคายเอารายงาน | แจ้งราชการข่าวทัพแล้วกลับมา |
เขากราบเรียน พณฯ หัวจอมพหล | โดยเหตุผลที่สัจจังไม่กังขา |
แล้วนำคนชาวเวียงชื่อเชียงทา | เป็นหลวงราชรักษาสุเรนทร |
ท่านเจ้าคุณออกยังหอนั่งรับ | เหล่านายทัพพร้อมพรั่งนั่งสลอน |
ทั้งกรมการนายทัพคำนับกร | หลวงราชสุเรนทรก็ให้การ |
ว่าเดิมพวกอ้ายฮ่อมาก่อเหตุ | ในประเทศราชทำอาจหาญ |
ทั้งจีนลาวญวนสมทบเข้ารบราญ | คนประมาณหลายร้อยไม่น้อยตัว |
เหล่าพวกลาวยั่นฮ่อไม่ต่อสู้ | ต้องเข้าทู[๓๐]เงินเสียทั้งเมียผัว |
ที่ไม่มีเงินให้มีใจกลัว | เหมือนควายวัวยอมให้ฮ่อใช้การ |
อ้ายฮ่อเก็บเงินทั่วทุกครัวลาว | เรือนละเก้าหกเจ็ดตำลึงหวาน |
ฮ่อเขียนหนังสือให้ใส่กระดาน | เรียงว่าไม้บางบ้านสำหรับตัว |
พวกฮ่อเห็นหนังสือลงชื่อเขียน | ไม่เบียดเบียนคิดยั่นมันสั่นหัว |
ไม่คุมเหงคะเนงร้ายเกรงนายกลัว | ตลอดทั่วบ้านลาวพวกเข้าทู |
อ้ายพวกฮ่อเรียงรายตั้งค่ายมั่น | ย่อมแข็งขันยิ่งยวดเป็นหมวดหมู่ |
ไม้ระเนียดเรียงรายทำค่ายคู | มันตั้งอยู่มากมายหลายตำบล ฯ |
๏ ราชบุตรหนองคายนั้นใช้ข้า | ไปสืบซึ่งกิจจาเอาเหตุผล |
ข้าก็จะสืบตามไปสามคน | ลอบไปจนแจ้งความตามกระบวน |
กลับมาบอกอุปฮาดราชบุตร | จนสิ้นสุดที่ได้ลอบไปสอบสวน |
บัดนี้ทัพอ้ายฮ่อที่ก่อกวน | มันเกือบจวนยกปองมาหนองคาย |
ในวันนั้นคืนนั้นมันจะมา | ซึ่งตัวข้ารู้หมดกำหนดหมาย |
ราชบุตรรู้แจ้งไม่แพร่งพราย | เกณฑ์พหลพลนิกายหัวเมืองมา |
เกณฑ์คนเก้าร้อยไว้ไม่ได้ครบ | ได้พลรบสามร้อยน้อยหนักหนา |
ราชวงศ์ราชบุตรสุดปัญญา | ก็ตรึกตราการสู้หมู่ไพรี |
ครั้นลาวมากอยู่ข้างฟากเวียงจันท์เก่า | ต้อนให้เข้าเมืองหนองคายกลัวนายหนี |
แล้วเก็บชายฉกรรจ์บรรดามี | แล้วซ้อมสีข้าวลำเลียงเสบียงพล |
บ้านละสิบหยิบเอาห้ารักษาครัว | ล้วนมีตัวส่งลำเลียงเลี้ยงพหล |
ราชบุตรจัดโยธีที่มีตน | แล้วยกพลข้ามฟากไปปากทาง |
ตั้งคอยรับทัพฮ่อไม่ย่อยั่น | หาที่มั่นตั้งท่าปีกกากว้าง |
จัดคนรักษาการในด่านทาง | แล้วไว้วางกองซ่อนคอยรอนราญ ฯ |
๏ ครั้นเดือนแปดแรมสี่ค่ำได้จำข้อ | พวกอ้ายฮ่อพร้อมพรักเข้าหักหาญ |
ได้รบราฆ่าฟันประจัญบาน | ลาวต้านทานทัพฮ่อไม่รอรา |
ราชวงศ์ยกหลีกตีปีกซ้าย | ราชบุตรยักย้ายตีปีกขวา |
พวกอ้ายฮ่อยิงปืนโครมครืนมา | ช้างพลายกล้าต้องปืนวิ่งตื่นไป |
คือว่าช้างผู้ช่วยเมืองหนองคาย | เป็นน้องชายราชบุตรฉุดไม่ไหว |
ช้างพลายกล้าต้องปืนตื่นตกใจ | ลงขอไม่ยั่งยืนตื่นกระจาย |
ซึ่งกองทัพราชบุตรไม่หยุดแยก | ก็วิ่งแตกหลบลี้บ้างหนีหาย |
เหล่าไพร่พลซานซมบ้างล้มตาย | ก็แตกพ่ายหนีฮ่อไม่ต่อกร |
ทัพฮ่อบากละจากราชบุตร | เข้ายงยุทธราชวงศ์ตรงไม่ถอน |
อาวุธสั้นเข้ารุมตะลุมบอน | ฮ่อตีต้อนล้อมรอบเป็นขอบคัน |
กองราชวงศ์เจ้าเมืองหงสาสถิต | สิ้นชีวิตสูญชีวาถึงอาสัญ |
ตายอยู่ในที่รบได้พบกัน | ไพร่พลนั้นล้มตายวายชีวี |
ราชวงศ์เหลือกำลังก็พังแยก | ลาวตื่นแตกข้ามลำแม่น้ำหนี |
พลลาวยั่นพรั่นฮ่อไม่ต่อตี | ต่างหลบหนีข้ามของมาหนองคาย |
ราชบุตรสุดท้ออ้ายฮ่อมาก | จะข้ามฟากมาได้ดั่งใจหมาย |
ไพร่พลเรายับย่อยเหลือน้อยกาย | จึ่งยักย้ายผ่อนครัวทั่วทุกกอง |
มาพักไว้หนองหารติดการต่อ | แต่งคนยอกำลังเมืองทั้งสอง |
ให้มาช่วยสงครามตามทำนอง | ได้รับรองทัพฮ่อพอประทัง |
ครั้นได้ทัพขอนแก่นเมืองภูเวียง | มาพร้อมเพรียงโดยสมอารมณ์หวัง |
ราชบุตรดีใจได้กำลัง | จึ่งคิดตั้งรักษาอยู่หน้าเมือง |
แล้วต้อนครัวลาวที่หนีเข้าป่า | ให้เข้ามาคืนถิ่นเสร็จสิ้นเรื่อง |
ราชบุตรจัดการในบ้านเมือง | หมีให้เคืองขุ่นใจแก่ไพร่พล ฯ |
๏ ครั้นเจ้าเมืองหนองคายผันผายกลับ | ถึงเสร็จสรรพโยธาเหล่าพหล |
กลับมาแต่ฝ่ายเบื้องเมืองอุบล | ก็จัดคนขึ้นรักษาหน้าเชิงเทิน |
พวกหนึ่งถูกให้ไปปลูกทำเนียบคอย | ที่ทุ่งโพนช้างน้อยการฉุกเฉิน |
รับพระยามหาอำมาตย์ไม่ขาดเกิน | การไม่เนิ่นจวนเวลาไม่ช้านาน |
แล้วขับต้อนลาวครัวทั่วทั้งสิ้น | ให้คืนถิ่นตามตำแหน่งแห่งสถาน |
มาสีข้าวไว้อย่าขาดราชการ | ทำข้าวสารมากมายไว้จ่ายคน |
เมื่อวันหนึ่งพระยามหาอำมาตย์ | หัวเมืองอื่นดื่นดาษมาสับสน |
เสร็จถึงเมืองหนองคายพร้อมนายพล | ออกเกลื่อนกล่นพร้อมพรั่งไพร่คั่งคับ |
ราชบุตรราชวงศ์เมืองหนองคาย | ต่างผันผายมาฟังสั่งสดับ |
ยังพระยามหาอำมาตย์ท่านแม่ทัพ | มาคำนับให้แจ้งที่แคลงใจ |
ข้างท่านพระยามหาอำมาตย์ | จึ่งถามราชบุตรตามความสงสัย |
ซึ่งรบฮ่อปากทางนั้นอย่างไร | มึงจึงได้แตกมาดูน่าอาย |
ไม่คุมพี่ป้าน้าสาวแลอาวอา | จงก้มหน้าสิ้นชีวิตอย่าคิดหมาย |
ต้องปรับโทษทัณฑ์มึงให้ถึงตาย | แล้วส่งนายเพชฌฆาตให้ฟาดฟัน |
ตัดหัวเสียบประจานร่าไว้หน้าเวียง | แม้นใครดูอย่างเยี่ยงต้องอาสัญ |
ครั้นรุ่งขึ้นหลายเวลาสี่ห้าวัน | ก็เตรียมกันพร้อมไว้เหล่าไพร่พล ฯ |
๏ จึ่งเข้าเมืองหนองคายใช้ให้ข้า | สืบกิจจาให้แจ้งแห่งนุสนธิ์ |
ข้าก็ไปสืบความพร้อมสามคน | เข้าไปจนค่ายวัดจันไม่พรั่นพรึง |
ให้ทิดลุนขึ้นบนต้นน้อยแหน่ | เห็นพวกฮ่อซ้อแซ้บ้างนอนขึง |
บ้างสูบฝิ่นเล่นไพ่ใส่กันอึง | ข้าเจ้าจึ่งแอบดูเหล่าผู้คน |
พวกอ้ายฮ่อไม่รักษาอยู่หน้าที่ | ล้วนแต่ขี้เซาหลับอยู่สับสน |
ไม่เป็นเยี่ยงอย่างทัพกำกับพล | ดูชอบกลผิดในพิชัยสงคราม ฯ |
๏ อ้ายพวกฮ่อปอกปองทองพระพุทธ | พระเจดีย์มันก็ขุดทำหยาบหยาม |
ข้าพเจ้าลอบดูครั้นรู้ความ | กลับมาตามฝั่งน้ำคืนค่ำมัว |
เห็นเรือฮ่อทิ้งทอดจอดอยู่ท่า | ไม่มีผู้รักษาทั้งท้ายหัว |
จอดอยู่ชิดชิดกันไม่พันพัว | แลดูทั่วเรียงรายหลายสิบลำ |
ข้าพเจ้าจึ่งแฝงเฝือตัดเรือปล่อย | เรือก็ลอยตามละลอกแลออกสำ |
ด้วยค่ายไทยคับคั่งตั้งประจำ | อยู่ใต้น้ำตัดเรือปล่อยลอยลงไป |
ครั้นสืบการเสร็จสรรพข้ากลับมา | พระยาประทุมเทวาก็ถามไถ่ |
ข้าให้การทุกสิ่งตามจริงใจ | ตามที่ได้ยินแก่หูรู้แก่ตา ฯ |
๏ ครั้นกองทัพหัวเมืองถึงพร้อมหมด | จึ่งกำหนดการศึกคิดปรึกษา |
จะใคร่ตีค่ายฮ่อต่อศักดา | ทั้งด้านหน้าด้านในจัดไพร่พล |
กองพระพรหมยกกระบัตรเมืองโคราช | นั้นองอาจกำลังหนุ่มคุมพหล |
ไปตีค่ายสีถานริมชานชล[๓๑] | จัดแจงคนฉุกเฉินไม่เนิ่นนอน |
สมทบกองทัพลาวแลท้าวเพี้ย | หมีได้เปลี้ยใจพรั่นคิดหยันหย่อน |
แต่ล้วนคนชำนาญเคยราญรอน | เหล่านิกรโยธีเคยมีชัย |
ตัวพระยามหาอำมาตย์เป็นแม่ทัพ | นั้นก็รับด้านหน้าท่าน้ำไหล |
จะตีทัพเรือกระทบรบเข้าไป | จัดแจงไว้เสร็จตามโดยความควร ฯ |
๏ ครั้นเดือนสิบเอ็ดขึ้นค่ำนัดกำหนด | พร้อมทั้งหมดเตรียมกันไม่ผันผวน |
ตัวพระพรหมยกกระบัตรจัดกระบวน | ยกทัพสวนเข้าไปล้อมรบพร้อมกัน |
เข้าตีค่ายสีถานทหารแยก | รบฮ่อแตกทิ้งค่ายหนีผายผัน |
อ้ายฮ่อหนีเข้าในค่ายวัดจัน | ทัพไทยไล่กระชั้นติดตามมา ฯ |
๏ ซึ่งพระยาโคราชไม่หวาดไหว | ตีค่ายใหญ่สีถานหาญหนักหนา |
อ้ายพ่อฮ่อย่อยยับจึ่งกลับมา | ต่างหนีพากันไปค่ายวัดจัน |
กองพระยาโคราชก็อาจหาญ | เข้าล้อมด่านใต้รบดูขบขัน |
กองพระพรหมยกกระบัตรก็จัดกัน | ล้อมตั้งมั่นด่านเหนือเห็นเหลือดี |
พระยกกระบัตรจัดคนเข้าปล้นค่าย | พังทลายฮ่อแหกแตกวิ่งหนี |
เข้าในโบสถ์วัดจันด้วยทันที | ประตูมีมันก็ปิดคิดอุบาย |
รื้อกระเบื้องขึ้นบนฝ้าหลังคาโบสถ์ | มันยิงปืนลูกโดดพิฆาตหมาย |
มาถูกกองทัพไทยขาดใจตาย | ต้องทำค่ายระเนียดตั้งบังลูกปืน |
กองทัพไทยพรั่งพร้อมล้อมอ้ายฮ่อ | ไม่ย่นย่อตั้งหน้าเข้าฝ่าฝืน |
เหล่าพวกพลโห่โหมเสียงโครมครืน | ล้วนแต่พื้นพลรอบขอบกำแพง |
ทั้งทัพไทยลาวเข้าล้อมอยู่พร้อมเพรียง | อยู่จนเที่ยงสูริยาส่องจ้าแสง |
เห็นเรือแหยบหลังกัญญาหุ้มผ้าแดง | ข้ามพายแซงจอดยังฝั่งชลา ฯ |
๏ สักครู่หนึ่งกลับเรือเมื้อสำนักนิ์ | ไม่ประจักษ์ว่าผู้ใดใจกังขา |
ข้าจึ่งถามพลไพร่เรือใครมา | เห็นหลังคาแดงฉาดประหลาดใจ |
เขาบอกว่าเรือพระยามหาอำมาตย์ | ข้าหลวงราชพิศวงไม่สงสัย |
ครั้นว่าค่ำสูริโยอโณทัย | ฝนตกใหญ่พรมพรำในค่ำคืน |
พวกอ้ายฮ่อเปิดโบสถ์กระโดดหนี | แผลงฤทธีแกล้วกล้าฟันฝ่าฝืน |
กองทัพไทยไล่วิ่งบ้างยิงปืน | อ้ายฮ่อตื่นหนีได้ทั้งไพร่นาย |
พระยกกระบัตรจัดไพร่ตามไปจับ | ได้รบรับฮ่อแหกวิ่งแตกหาย |
บ้างจับได้ตัวเป็นที่เดนตาย | ทั้งหญิงชายกองทัพจับมาตาม |
ทั้งทองลิ่มเงินตราเครื่องอาวุธ | ทั้งปืนชุดหอกดาบเก็บหาบหาม |
ทั้งม้าเมียม้าผู้ดูงามงาม | ทำสงครามมีชัยจับได้มา |
ต่างมอบให้พระยามหาอำมาตย์ | ของประหลาดมากจริงหลายสิ่งสา |
เสมียนทำบาญชีมีบรรดา | ทั้งเงินตราข้าวของทองตระการ |
พวกนายทัพต้องรับสาบานบอก | ว่าหมีได้ยักยอกพัสถาน |
ต่างคนกระทำสัตย์ปฏิญาณ | ก็สิ้นคำให้การความสัตย์จริง ฯ |
๏ เจ้าพระยาจอมทัพสดับชัด | ให้เสมียนเขียนคัดสั่งนายสิง |
ระดมเสมียนมาอย่าประวิง | เขียนอย่าทิ้งตกซ้ำคำให้การ |
ครั้นสำเร็จเสร็จส่งลงบางกอก | กับใบบอกเมืองลาวแจ้งข่าวสาร |
ซึ่งในเมืองหนองคายทราบรายงาน | ซึ่งภัยพาลหมีได้มีไพรีรอน |
ส่งไปกราบทูลพระกรรุณา | ตามเลขาลายจำหลักคำอักษร |
กรมการรับหมดบทจร | จากนครราชสีมาเร่งคลาไคล ฯ |
๏ ครั้นเดือนยี่แรมแปดค่ำมีกำหนด | ได้จำจดมั่นคงไม่สงสัย |
พอท้องตรามาถึงอีกหนึ่งใบ | พลไพร่บันเทิงเริงสำราญ |
หมายใจว่าท้องตราให้หากลับ | คนกองทัพปรีดิ์เปรมกระเษมสานต์ |
ด้วยหนองคายวายศึกนึกประมาณ | ไม่มีการคงหาทัพกลับนคร |
เหล่าไพร่พลกองทัพมาคับคั่ง | อยากจะฟังท้องตราหน้าสลอน |
เหมือนสัตว์นรกหมกไหม้ในไฟฟอน | ที่รนร้อนเหลือกำลังประทังทน |
เหมือนเห็นพระมาไลยเสร็จเสด็จมา | ปรารถนาจะให้โปรดประโยชน์ผล |
สัตว์นรกวิ่งแซ่มาแจจน | เหมือนไพร่พลกองทัพที่คับใจ ฯ |
๏ ครั้นฉีกผนึกออกอ่านซึ่งสารตรา | บังคับมาความแจ้งแถลงไข |
ว่าเมืองหนองคายนี้ไม่มีอะไร | สิ้นจากภัยอ้ายฮ่อมาก่อกวน |
แต่ว่าทางเมืองเหนือยังเหลือหลอ | ยังมีฮ่อแว่นแคว้นแดนเสฉวน |
มาตั้งค่ายรายเนื่องอยู่เมืองพวน | เขตแดนญวนมากมายหลายตำบล |
แล้วให้เจ้าพระยามหินทรเคาซิลลอ | ให้พักรอทัพตั้งฟังนุสนธิ์ |
ให้รวบรวมพร้อมไว้เหล่าไพร่พล | จงปรือปรนตั้งใจระไวระวัง |
แม้นทัพเจ้าพระยาภูจะจู่โจม | เข้าหักโหมชิงชัยเหมือนใจหวัง |
มีหนังสือมาขอต่อกำลัง | อย่ารอรั้งรีบยกทัพบกไป |
อย่าคอยฟังท้องตราจะช้าเนิ่น | การฉุกเฉินอย่าพะวงคิดสงสัย |
จงรีบยกขึ้นไปช่วยด้วยไวไว | เป็นอย่าให้เสียขาดราชการ ฯ |
๏ อ่านท้องตราสำเร็จจบเสร็จสรรพ | พวกกองทัพที่มาฟังนั่งขนาน |
ต่างคนต่างรู้จะอยู่นาน | ต้องทรมานทรมาคิดอาวรณ์ |
ต่างคนโศกเศร้าบ้างเหงาหงอย | ล้วนหน้าจ๋อยเสียใจฤๅทัยถอน |
ซึ่งตัวฉันแจ้งใจดังไฟฟอน | ตามลมร้อนอยู่ในใจรำคาญ ฯ |
๏ เดือนยี่แรมสิบเอ็ดค่ำจะร่ำเรื่อง | บ้านเจ้าเมืองเหลือสนุกนิ์โกนจุกหลาน |
พี่นี้จะดูเขาทำน่ารำคาญ | เสมือนการมหรสพครบสำเนา |
ปลูกเขาไกรลาสใหญ่ที่ในสระ | มีที่พระสวดมนต์บนภูเขา |
สี่สิบองค์สวดสำเนียงเสียงไม่เบา | ที่บนเหย้าบนเรือนสวดเหมือนกัน |
มีข่ารำสำเหนียกเรียกกะแจะ | ตบมือแปะทะลึ่งโลดกระโดดขัน |
เจ้าผู้ชายรำล่อดูงองัน | พิณพาทย์นั้นโทนกับปี่ตีกันอึง |
ท่านเจ้าเมืองคิดเห็นให้เป็นสุข | เชิญเจ้าคุณตัดจุกคำนับถึง |
เป็นมงคลนับถือไม่ดื้อดึง | เจ้าคุณจึ่งไปเหย้าตามเขาเชิญ |
เอาละครกองทัพไปเล่นช่วย | พวกละครหมีได้ขวยสะเทิ้นเขิน |
เล่นในการโกนจุกสนุกนิ์เกิน | คนดูเพลินกระไรเลยไม่เคยดู |
การละเล่นอื่นอื่นมีดื่นบ้าน | ทั้งเพลงการแอ่วลาวลั่นสนั่นหู |
เวลาค่ำสนธยาหน้าประตู | ดอกไม้รุ่งมีอยู่เขาจุดไฟ |
ดอกไม้กระถางรายตั้งจุดปังโปง | จุดพลุโพลงดังลั่นเสียงหวั่นไหว |
ดอกไม้เทียนพุ่มจุดสะดุดใจ | แสงสุกใสสว่างกลางนภา |
ไฟพะเนียงเสียงลั่นสนั่นคึ่ก | คะโครมครึกอึงหูดังซู่ซ่า |
ทั้งดอกไม้ช้างร้องช่องระทา | ดอกไม้ม้าวิ่งถนนคนกระจาย |
ทั้งอ้ายตื้อแลตะไลโคมลอยลิ่ว | ลมพัดปลิวเทียมฟ้าดูหน้าหงาย |
ครั้นดอกไม้ไฟจุดพอหยุดวาย | ครั้นรุ่งสายสูริยาทิวาการ |
คนโกนจุกเดินไปเขาไกรลาส | ตีพิณพาทย์บรรเลงวังเวงหวาน |
ยิงปืนตับสับสนอลมาน | เสียงสะท้านสะเทื้อนกระเทือนกาย |
ครั้นเมื่อจักตัดจุกเขาคุกคาม | คนร้องห้ามปากเสียงสำเนียงหาย |
ห้ามพิณพาทย์หมีให้ตีมี่ระคาย | ครั้นโกนแล้วผันผายเบญจาพลัน |
เหล่าพระสงฆ์ทุกองค์ตักน้ำสาด | คนเกลื่อนกลาดล้วนมือจับถือขัน |
ต่างคนตักน้ำสาดพัลวัน | เข้าช่วยกันรดน้ำทำชอบกล |
คนโกนจุกเสร็จมาผลัดผ้าสี | กลับนุ่งผ้าขาวนี้น่าฉงน |
ต้องนุ่งขาวสามวันมันเต็มทน | แจ้งยุบลน่าหัวร่อให้งองัน |
หรือทำตามเพศลาวชาวบ้านนอก | ผิดบางกอกจริงจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
ซึ่งประดิษฐ์คิดคำกล่าวรำพัน | จริงทั้งนั้นหมีได้แกล้งมาแต่งการ ฯ |
๏ ฝ่ายว่า พณฯ หัวจอมพหล | เห็นไพร่พลไม่มีสุขสนุกนิ์สนาน |
ล้วนง่วงเหงาหมีได้มีที่สำราญ | จึ่งคิดอ่านแก้ไขในปัญญา |
จัดละครเล่นสนุกนิ์แก้ทุกข์ทน | เห็นไพร่พลพร้อมกันด้วยหรรษา |
ต่างคนต่างแก้ทุกข์สนุกนิ์ตา | บ้างเฮฮาเอิกเกริกเบิกสบาย |
พวกชาวเมืองต่างดูมากรูกราว | ทั้งแก่สาวพรั่งพรูมาดูหลาย |
ทั้งเด็กเดินเด็กวิ่งพร้อมหญิงชาย | ตะเกียกตะกายชักพากันมาอึง |
พวกละครตัวดีมีฝีมือ | ได้ฝึกปรือซ้อมประสมเล่นคมขึง |
พวกสาวชาวโคราชหวาดคะนึง | เสียงกลองตึงเป็นต้องมาตั้งตาดู |
ลางอนงค์จงภักดิ์รักละคร | มาหลับนอนตามยศไม่อดสู |
พวกละครไม่อดอยากซึ่งหมากพลู | ล้วนจับคู่ได้เมียเสียทุกคน |
พวกละครน้อยตัวไม่ทั่วสาว | ต่อยืดยาวทั้งกองทัพดูสับสน |
ล้วนมีชู้คู่ทั่วทุกตัวตน | ผู้หญิงยลรักงามติดตามมา |
ที่ผู้ดีหาที่รักตามศักดิ์สูง | ที่เหล่าฝูงหญิงโคราชทาสทาสา |
ก็รักพวกนิกายฝ่ายโยธา | ติดตามมาอยู่กันออกพันพัว |
หญิงโคราชแสนสวาดิพวกกองทัพ | อยากขยับจะใคร่ได้เป็นผัว |
ที่มีลูกสาวเซ้าแซ่ฝ่ายแม่กลัว | ต้องคุมตัวซ่อนเร้นเป็นโกลา |
ที่บางคนมีบ่าวเป็นสาวแส้ | ลั่นกุญแจโซ่ใหญ่ต้องใส่ขา |
กลัวกองทัพนั้นจักไปลักพา | ต้องรักษาบ่าวไพร่ไม่สบาย |
ข้างเจ้าเมืองโคราชให้หวาดไหว | กลัวบ่าวไพร่ลูกเมียจะเสียหาย |
จะตามพวกกองทัพไปลับกาย | เกณฑ์ผู้ชายนั่งยามตามประตู |
ตั้งระวังยิ่งยวดเป็นกวดขัน | ด้วยพวกกองทัพนั้นมาเที่ยวอยู่ |
จะลอบรักเมียน้อยคอยเล่นชู้ | หมีให้หมู่กองทัพลอบลับมา ฯ |
๏ วันหนึ่งค้นได้เสื้อหมวกพวกกองทัพ | ในห้องหับหม่อมตัวโปรดโกรธหนักหนา |
ท่านพระยากำแหงแผลงศักดา | ชำระหาแม่สื่อคือผู้ใด |
ซึ่งได้ผ้ากับหมวกพวกกองทัพ | สองสำรับนี้หวามาแต่ไหน |
ถามหม่อมปลั่งตัวรักซักว่าใคร | เอามาให้กับมึงจนถึงมือ |
หม่อมอึดอัดซัดป้ายนายทหาร | ได้ว่าวานอีพุ่มรู้เป็นผู้ถือ |
ท่านพระยาโคราชตวาดอือ | หมวกผ้าหือเอามาไว้ทำไมกัน |
หม่อมเรียนตามจริงจิตจะคิดหนี | แปลงอินทรีย์เป็นผู้ชายลอบผายผัน |
พระยาโคราชเตะตบเข่นขบฟัน | สั่งผูกพันอีพุ่มเฆี่ยนเจียนชีวัน |
อีพุ่มให้การชัดแล้วซัดใส่ | หลวงอะไรท่านมาหาดีฉัน |
ให้เอาเสื้อหมวกดำเป็นสำคัญ | นำผายผันมาให้หม่อมของพร้อมเพรียง |
ท่านพระยาโคราชตวาดอึง | ร้องเหม่น้อยฤๅมึงจนสุดเสียง |
เตะอีพุ่มกลุ้มกลมลุกล้มเอียง | อีพุ่มเพียงบรรลัยขาดใจตาย |
แล้วใส่ตรวนขานกยาง[๓๒]ลูกย่างโต | ซ้ำสวมโซ่กลัวจะลี้หลบหนีหาย |
สั่งคนคุมอีพุ่มอยู่เรียงราย | ทั้งหญิงชายพิทักษ์พร้อมพรักกัน |
เจ้าเมืองนำเสื้อหมวกพวกกองทัพ | มาร้องกับพระยาราชเสนานั่น |
พระยาราชเสนารับมาฉับพลัน | แล้วกล่าวกลั่นจดหมายตามรายความ |
มากราบเรียน พณฯ หัวจอมพหล | ตามเหตุผลชู้สาวที่กล่าวถาม |
ในเรื่องราวมีหมดปรากฏนาม | ให้เจ้าเมืองติดตามมากราบเรียน ฯ |
๏ เจ้าพระยาแม่ทัพรับหนังสือ | กรายกรถืออ่านความตามเกษียน |
สดับเรื่องเบื้องต้นดูวนเวียน | เห็นผิดเพี้ยนเหลือคิดในจิตแคลน |
ด้วยหญิงหนึ่งมาดหมายผู้ชายสอง | เหมือนวันทองครั้งเบื้องเรื่องขุนแผน |
ซึ่งเรานั้นต้องพันวษาแทน | ก็สุดแสนที่ถวิลตัดสินความ |
จึ่งบัญชาถามนายฝ่ายทหาร | จงให้การโดยจริงสิ่งที่ถาม |
ด้วยเรื่องราวกล่าวฉลุระบุนาม | จงแจ้งตามจริงใจหมวกใครมี |
นายทหารคำนับรับบัญชา | กราบเรียนว่าเสื้อหมวกพวกที่นี่ |
ของเก่ากระนั้นไซร้หมีได้มี | ไม่เหมือนอีพุ่มซัดความสัตย์จริง |
เจ้าพระยาแม่ทัพกลับประภาษ | ถามพระยาโคราชไปทุกสิ่ง |
ซึ่งจะให้ชำระความตามประวิง | ต้องขอตัวผู้หญิงมายืนยัน |
แม้นจะให้สำเร็จแล้วเด็ดขาด | ให้เจ้าเมืองโคราชคิดผ่อนผัน |
ส่งตัวคนกลางมาได้ว่ากัน | โดยเที่ยงธรรม์ยุติธรรมคำหาฤๅ |
นี่ซัดเขาเขาไม่รับจับไม่ได้ | เป็นจนใจชำระความตามหนังสือ |
ฤๅใครจับเสื้อผ้าได้คามือ | จะผูกถืออย่างไรการไม่ควร |
แม้นจะให้สำเร็จความเท็จจริง | ส่งตัวหญิงมาจึ่งชอบให้สอบสวน |
พระยาโคราชได้ฟังนั่งเรรวน | ทำหน้าม้วนเหมือนอย่างงูนางอาย |
หนังสือพระยาราชเสนากล่าวหาฟ้อง | ความข้อสองปรากฏในจดหมาย |
พวกกองทัพหมกมุ่นทำวุ่นวาย | เที่ยวลักนายพาบ่าวของเขาไป |
ล้วนหญิงทาสชาวนิคมกรมการ | บ่าวชาวบ้านเชยชิดพิสมัย |
พวกกองทัพลักพามาร่ำไป | อยู่ที่ในเขื่อนค่ายมากหลายคน ฯ |
๏ เจ้าพระยาแม่ทัพสดับเรื่อง | ว่าชาวเมืองตามกองทัพมาสับสน |
เป็นสุดจะห้ามใจของไพร่พล | ล้วนเต็มทนพลัดพรากมาจากเมีย |
หญิงสมัครรักชายเรื่องรายนี้ | เป็นสุดที่ปราบปรามห้ามเขาเสีย |
หญิงก็อยากชายก็ยั่วจึ่งปัวเปีย | ต่างคลอเคลียรักใคร่ใจของมัน |
ถึงว่าตัวเรานี้หากมีศักดิ์ | เป็นสุดจักยอกย้อนคิดผ่อนผัน |
หาไม่ก็เที่ยวไปพามาเหมือนกัน | เขาเต็มกลั้นจะห้ามปรามอย่างไร |
ด้วยหญิงมันสมัครรักผู้ชาย | จึงหนีหายพยายามตามวิสัย |
แม้นกองทัพลักพาบ่าวข้าใคร | ใจต่อใจมันพร้อมยินยอมกัน |
ให้เจ้าเงินมาร้องฟ้องเถิดนะ | จะชำระให้จริงทุกสิ่งสรรพ์ |
ทาสชาวบ้านที่มีสารกรมธรรม์ | ทั้งสองนั้นรักใคร่ไม่เรรวน |
จะคิดเงินค่าตัวให้ยอมใช้ทุน | หมีให้ขุ่นเคืองจิตทำผิดผวน |
ทั้งนอกกรมในกรมให้สมควร | เร่งชักชวนกันมาร้องฟ้องต่อเรา |
ล้วนนายทัพนายกองมานองเนือง | คอยชำระความเรื่องบ่าวทาสเขา |
ใครเร่งมาร้องความตามสำเนา | ล้วนว่างเปล่าค่อยจะชำระความ |
ตกพนักงานของฝ่ายกองทัพ | จะคอยรับชำระให้อย่าได้ขาม |
แม้นบุตรสาวของผู้ใดพอใจงาม | วิ่งแร่ตามกองทัพมาหลับนอน |
ก็สุดแต่แม่พ่อจะยอยก | การจะตกลงกันจัดผันผ่อน |
ต้องชำระเป่าปัดคิดตัดรอน | หมีให้ราษฎรเคืองรำคาญ |
ถ้าแม้นชายพวกมากไปลากฉุด | ซึ่งบ่าวบุตรข้าทาสทำอาจหาญ |
คงจะตัดสินความให้ตามการ | ซึ่งชายพาลอย่างนี้ไม่มีใคร ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณจงหวังสั่งเสมียน | ให้มาเขียนตามบัญชาที่ปราศรัย |
ตอบพระยาราชเสนาจะว่าไร | คนถือหนังสือไปให้แกดู |
พระยาโคราชบาดหมางระคางเขิน | ใจสะเทิ้นแสนระทดจิตอดสู |
ด้วยหาเขานั้นผิดติดประตู | หมอบนิ่งอยู่ฟังถามความทั้งปวง |
เพราะหาโทษเขานั้นไม่มั่นคง | ครั้นจะส่งเมียมาแก่ข้าหลวง |
พิจารณาว่าความตามกระทรวง | ก็หึงหวงสุดปัญญาเลยลาไป ฯ |
๏ ครั้นรุ่งขึ้นระบือฦๅกันกลุ้ม | ว่าอีพุ่มหนีไม่รู้ไปอยู่ไหน |
บ้างว่าเขาฆ่าตายมันหายไป | ต่างสงสัยหนักหนาพูดจากัน |
เรื่องหนีนั้นขัดขวางไปทางไหน | คนระวังระไวตรวจเป็นกวดขัน |
นายประตูนั่งยามก็ครามครัน | เป็นหลายชั้นตามช่องด้อมมองมี |
ตรวนก็โตโซ่ก็ใหญ่มิใช่หยอก | จะตัดออกเห็นไม่ไหวมันไม่หนี |
เจ้าเมืองฆ่ามันตายวายชีวี | ครั้นเป็นผีสิ้นชีวิตแล้วปิดบัง |
คนในจวนพูดชุมว่าอีพุ่มหนี | ข้างคนนอกว่าเอาผีไปซ่อนฝัง |
ต่างคนต่างฦๅระบือดัง | การก็ยังไม่แท้แน่ข้างใคร |
ความก็เรียบค่อยเงียบสงบหาย | ไม่แพร่งพรายต่างพินิจคิดสงสัย |
ไม่มีผู้รู้แท้หนึ่งแน่ใจ | ก็เงียบไปวายคนสนทนา ฯ |
๏ ครั้นวันหนึ่งทราบความตามกระแส | ซึ่งท้องตรามาแท้ไม่กังขา |
ข้อประกาศแก่พระยาราชเสนา | ให้มีตราประกาศหมายเมืองรายทาง |
ห้ามหมีให้ซื้อข้าวให้ท้าวเพี้ย | หยุดซื้อเสียเหลือจงเข้าคงฉาง |
พวกเรารู้แจ้งใจไม่ระคาง | ด้วยไว้วางจิตแท้เป็นแน่ใจ |
หมีให้ซื้อข้าวกล้องจ่ายกองทัพ | คงได้กลับมั่นคงไม่สงสัย |
คนทั้งหลายหมายแน่เซ็งแซ่ไป | ด้วยจะได้กลับบ้านถิ่นฐานตน |
ต่างก็เตรียมข้าวของทั้งกองทัพ | คิดว่ากลับแน่ใจไม่ฉงน |
คอยรอฟังท้องตราถ้วนหน้าคน | เป็นกังวลสืบสาวถามข่าวไป |
บางคนก็ไปเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง | ทำสุงสิงพากันมาหวั่นไหว |
ไม่ว่าเหล่าบ่าวทาสบังอาจใจ | แม้นรักใครลักพากันมาอึง |
ข้างชาวเมืองตามร้องฟ้องกันวุ่น | จนเจ้าคุณทราบต่อหูได้รู้ถึง |
เขามาร้องตรองตรึกนึกคะนึง | คิดรำพึงผ่อนผันเป็นฉันใด ฯ |
๏ ท่านเจ้าพระยาจอมพหลกังวลหนัก | ด้วยเรื่องลักพากันมาหวั่นไหว |
บัญชาสั่งตามกระทรวงหลวงพิชัย | ประกาศไปปิดประตูรอบบูรี |
แม้นหญิงทาสชายพามากองทัพ | ให้บอกกับพระชัยบูรณ์แลขุนศรี |
กะดานพลโดยตามความคดี | ว่าหญิงหนีตามมาสัจจาจริง |
กำหนดสามวันรู้ให้ผู้ชาย | จงห่อเงินไปไถ่ค่าตัวหญิง |
แม้นไม่มีเงินตราอย่าประวิง | ส่งตัวหญิงคืนไปให้กับนาย |
อย่าให้ป่วยการงานหน่วงนานวัน | ถ้าดื้อดันจะทำโทษตามกฎหมาย |
ทั้งกองทัพรู้แจ้งไม่แพร่งพราย | ต่างยักย้ายผ่อนผันด้วยปัญญา |
ขืนลักพาข้าเขาเข้ามาไว้ | ล้วนเงินไม่ติดตัวชั่วหนักหนา |
ส่งตัวหญิงคืนไปไม่นำพา | เจ้าเงินเล่าเขาด่าทำโทษทัณฑ์ |
ซึ่งอย่างนี้มีชุมเกลื่อนกลุ้มหนัก | หญิงเฝ้ารักผู้ชายตามผายผัน |
นายเขาเฆี่ยนก็ไม่ขามอยากตามกัน | ดูมันขันยิ่งชุมมารุมไป |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่ง | ประกาศทั้งกองทัพบังคับไข |
ว่าทีหลังใครอย่าพาซึ่งข้าไท | ห้ามหมีให้ลักพาซึ่งนารี |
ถ้าผูกรักใคร่กันจงผันผ่อน | วางเงินเขาเสียก่อนอย่าชวนหนี |
แม้นขืนจักลักพาฝืนวาที | จะต้องมีโทษทัณฑ์ตามบัญชา ฯ |
๏ ถึงเดือนสามแรมแปดค่ำได้จำคืน | พ่อจมื่นตำรวจใหญ่ชัยภูษา |
เสร็จจึงถึงนครราชสีมา | เชิญท้องตราราชสีห์มีสำคัญ |
กับดอกไม้ไฟสำหรับรบทัพเจ๊ก | แลกรวดเล็กเรี่ยวแรงฤทธิ์แข็งขัน |
อีกดินปืนที่ยัดปัศตัน[๓๓] | หลายร้อยพันสำหรับกองทัพมา |
ล้วนของหลวงทรงประทานท่านเจ้าคุณ | ดินกระสุนของอื่นเครื่องปืนผา |
ถึงที่ทำเนียบค่ายบ่ายเวลา | เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง |
พรักพร้อมด้วยเจ้าเมืองกรมการ | แน่นขนานคอยนั่งอยู่ทั้งผอง |
พร้อมสรรพนายทัพแลนายกอง | จึ่งฉีกท้องตราอ่านสารโองการ |
ว่าซึ่งกองทัพฮ่อที่ก่อกวน | อยู่เมืองพวนนักหนาล้วนกล้าหาญ |
แลเมืองสุยเชียงขวางทางกันดาร | ฮ่อประมาณหกร้อยคอยประจญ |
ให้เจ้าพระยารีบยกทัพบกไป | ได้ชิงชัยต่อตีให้ปี้ป่น |
ให้มีชื่อเสียงไว้ในสกล- | ลโลกล้นฦๅนามด้วยความดี |
ในข้อสองว่าด้วยกองเสบียงนั้น | เมืองเวียงจันท์ไปเชียงขวางทางวิถี |
ต้องเดินตามข้ามเขินเนินคิรี | เห็นสุดที่ส่งลำเลียงเสบียงคน |
ซึ่งจะให้พระยามหาอำมาตย์ | เหลือขนาดส่งเสบียงเลี้ยงพหล |
ด้วยว่าทางเดินยากลำบากพล | ที่จะขนโคต่างทางกันดาร |
บัดนี้เล่าได้สั่งเจ้าพระยาภู[๓๔] | จัดแจงดูส่งเสบียงเลี้ยงทหาร |
ได้มีตราไปกำชับบังคับการ | ให้คิดอ่านส่งเสบียงให้เพียงพอ ฯ |
๏ ครั้นสำเร็จเสร็จอ่านซึ่งสารศรี | ความอื่นมีมากมายอีกหลายข้อ |
ท่านเจ้าคุณได้ฟังไม่รั้งรอ | แต่งตอบต่อบังคมลาฝ่ายุคล |
บัญชาสั่งตามกระทรวงหลวงภักดี | ผู้ว่าที่ยกกระบัตรจัดพหล |
ให้ถ้วนตามริ้วทัพกำชับพล | ประจวบจนวันดีได้ลีลา |
สั่งขุนโลกนัยนาให้หาฤกษ์ | โหรก็เลิกสมุดต้นเที่ยวค้นหา |
แล้วลงเลขคูณหารอ่านตำรา | แล้วเขียนว่าแม่นมั่นซึ่งวันดี |
ในเดือนสามฤกษ์เลิศมงคล | รอไปจนคลาดเคลื่อนถึงเดือนสี่ |
ขึ้นเจ็ดค่ำเมฆเบิกนั้นฤกษ์ดี | รออีกทีสิบสองค่ำฤกษ์นำพล |
พวกกองทัพทุกหมู่ต่างรู้ตัว | เตรียมกันทั่วกองทัพดูสับสน |
ทำม้าหาบหามแต่งพอแรงตน | ทั่วทุกคนแต่งเสร็จสำเร็จการ ฯ |
๏ เจ้าพระยาจอมพหลกังวลนัก | ด้วยว่าจักยกพหลพลทหาร |
ทางโคกหลวงน้ำนั้นแสนกันดาร | จะรำคาญเคืองใจแก่ไพร่พล |
ด้วยพระมหาเทพนั้นคลาดคลาย | มาแต่เมืองหนองคายแจ้งเหตุผล |
กันดารน้ำลำหนองแลคลองชล | ทุกตำบลแห้งขอดตลอดทาง |
เจ้าพระยาพาทีมีบัญชา | ให้ขุนราชเมธาไปสืบสาง |
ที่ด้วยเรื่องน้ำแห้งแหนงระคาง | ตามระหว่างที่พักพำนักนิ์พล |
พร้อมกรมการทหารหน้า | ไปสืบซึ่งกิจจาเอาเหตุผล |
กับขุนหมื่นริ้วตั้งในวังบน | ทั้งสี่คนสืบการอย่านานวัน |
ทั้งสี่นายคำนับรับบัญชา | ต่างคลาดคลาเคลื่อนคล้ายรีบผายผัน |
ไปสืบรู้เสร็จสรรพแล้วกลับพลัน | ถึงพร้อมกันหมอบราบก้มกราบเรียน |
ทางโคกหลวงเหลือแล้วน้ำแห้งขอด | ทั่วตลอดจดกะระยะเขียน |
เป็นหนทางกลางทุ่งเวิ้งวุ้งเตียน | สุดแวะเวียนร่มพักสำนักนิ์คน ฯ |
๏ ครั้นเจ้าคุณได้ฟังไม่กังขา | จึงปฤกษาข้อความตามนุสนธิ์ |
ด้วยหนทางที่จะไปพร้อมไพร่พล | จะปี้ป่นทารกรรมน้ำไม่มี |
จะยกเยื้องทางเมืองพิมายหนอ | น้ำท่าพอทั่วระหว่างทางวิถี |
พร้อมนายทัพนายกองร้องว่าดี | จะเป็นที่อาศัยแก่ไพร่พล |
หลวงภักดียกกระบัตรคนจัดเจน | จึงกะเกณฑ์หมายไปไม่ฉงน |
แล้วเร่งเกณฑ์เกวียนช้างโคต่างคน | หัวเมืองบนสมทบทัพให้ฉับพลัน |
กรมการเร่งรัดจัดมาส่ง | ไม่ใหลหลงรีบรวดการกวดขัน |
ต้องรีบรัดจัดหามาให้ทัน | บ้างผ่อนผันหากินจิตยินดี |
ราษฎรที่มีช้างโคต่างเกวียน | บ้างถูกเฆี่ยนด้วยนำช้างโคต่างหนี |
ราษฎรยับเยินบ้างเงินมี | เสียให้ที่กรมการท่านผู้เกณฑ์ |
กรมการได้ทีดีใจหาย | ผู้จัดจ่ายหน้าแดงเป็นแสงเสน |
ได้เงินทองของตระการซ่านกระเซ็น | ด้วยจัดเจนเคยฉ้อพอสบาย |
ที่เกวียนดีมั่นคงไม่ส่งให้ | ยักยอกไว้ซ่อนเร้นไม่เห็นหาย |
ให้แต่เกวียนจวนจักหักทลาย | โคเกือบตายผอมเต็มที่มีแต่โครง |
จึงจัดจ่ายให้กับกองทัพมา | พวกเราว่าเหลือทนบ่นโขมง |
กรมการเต็มแค้นช่างแสนโกง | ที่ปากโป้งด่าว่านินทาดัง ฯ |
๏ กองทัพได้เกวียนต่างช้างสำเร็จ | ถึงขึ้นเจ็ดค่ำมีเดือนสี่หวัง |
กำหนดฤกษ์บริสุทธิ์วันพุทธัง | พรักพร้อมพรั่งจัดกระบวนถ้วนทุกกอง |
เวลาบ่ายได้ฤกษ์เลิกพหล | ดูสับสนประดาดังคนทั้งผอง |
เจ้าคุณเสร็จขึ้นนั่งยังจำลอง | ก็ลั่นฆ้องโห่เดินดำเนินพล |
ซึ่งช้างทรงองค์พระปฏิมา | กลับผันหน้าเป็นนิมิตคิดฉงน |
เฝ้าถอยหลังเดินกลับขยับตน | หมอไสจนระอาใจไม่ยักเดิน |
ผู้คนร้องวิปริตนิมิตดี | ไปครั้งนี้คงเป็นสุขไม่ฉุกเฉิน |
นิมิตมงคลดีมีจำเริญ | ไม่นานเนิ่นกองทัพคงกลับคืน |
คนเนืองนองกองทัพดูสับสน | ฝูงไพร่พลเฮฮาต่างหน้าชื่น |
ล้วนใจคอเหี้ยมฮึกเสียงครึกครื้น | บ้างช้างตื่นหันเหียนวิ่งเวียนวน |
ยกนิกรจากนครราชสีมา | มุ่งมรรคาเข้าในพฤกษ์ไพรสณฑ์ |
ระยะบ้านเรียงรายหลายตำบล | ไม่ชอบกลป่วยการคิดรานรวน |
ข้ามลำน้ำบริบูรณ์พูนสวัสดิ์ | เร่งรีบรัดจรจรัลไม่ผันผวน |
พอถึงสระธรรมขันธ์ตะวันจวน | หยุดกระบวนแรมพักสำนักนิ์พล ฯ |
๏ พอขุนนราฤทธิไกรไปหนองคาย | กลับผันผายคำนับน้อมจอมพหล |
ทำหนังสือถือตรามาแต่บน | ข้อนุสนธิ์เจ้าพระยาภูธราภัย[๓๕] |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับหนังสือ | ประจงถืออ่านแจ้งแถลงไข |
พร้อมนายทัพนายกองเนืองนองไป | อ่านแจ้งใจประจักษ์ความตามยุบล |
ว่าเมืองหลวงพระบางทางกันดาร | ซึ่งอาหารแลเสบียงเลี้ยงพหล |
เหลือลำบากยากใจแก่ไพร่พล | ย่อมขัดสนอดอยากลำบากใจ |
แต่ซึ่งพวกอ้ายฮ่อทรลักษณ์ | ไม่หาญหักรบราอัชฌาสัย |
มาชักชวนหย่าทัพยกกลับไป | ตั้งอยู่ในเมืองพวนเห็นรวนเร |
ได้จัดพระสุริยภักดีไป | ซ้ำเติมใส่เสียให้มันแตกหันเห |
ในกำหนดเดือนสามตามคะเน | ให้ซวนเซสำทับให้ยับเยิน |
ในข้อสองว่ากองครัวเมืองพวน | อ้ายฮ่อกวนเกิดยุคยามฉุกเฉิน |
หนีมาสู่โพธิสมภารประมาณเกิน | แยกทางเดินไปเบื้องเมืองหนองคาย |
ซึ่งตาแสงแขวงกำนันพันนายบ้าน[๓๖] | แลกองด่านกักขังครัวทั้งหลาย |
ได้มีตราไปบังคับกำชับนาย | ปล่อยโดยง่ายหมีได้ตั้งกักขังนาน |
แม้นเจ้าพระยามหินทรรู้สิ้นสรรพ | จะมีตราบังคับไปว่าขาน |
ถึงพระยามหาอำมาตย์ราชการ | ให้นายบ้านปลอบครัวไม่พัวพัน |
เห็นจะดีไม่เสียขาดราชการ | ครั้นว่าอ่านความจบเสร็จสบสรรพ์ |
เจ้าคุณแต่งเรื่องตามเนื้อความพลัน | หนังสือนั้นเสร็จส่งให้ลงไป |
ให้พระยาราชเสนารู้อาการ | ในข่าวสารแจ่มแจ้งแถลงไข |
ให้คนนำหนังสือถือครรไล | แต่โดยในวันนั้นไม่ผันแปร ฯ |
๏ ครั้นจวนแจ้งแสงเสร็จสิบเอ็ดทุ่ม | ผู้คนกลุ้มอยู่ระเบ็งเสียงเซ็งแซ่ |
พวกทหารนั้นเล่าก็เป่าแตร | คนอัดแอผูกช้างโคต่างพลัน |
คนพร้อมพรั่งทั้งหลายก็บ่ายบาก | ยกออกจากสระน้ำธรรมขันธ์ |
เดินกระบวนมาในทางกลางอรัญ | สูริยันเยี่ยมฟ้าเวลางาย |
ประจวบถึงพึ่งเกราเข้าสำนัก | หยุดผ่อนพักโยธาเวลาสาย |
ต่างคนเสพอาหารสำราญกาย | แต่พอบ่ายสูริยาท้องฟ้ามัว |
พอลมตกยกขยับกองทัพเดิน | ร่มจำเริญแดดแฝงแสงสลัว |
เห็นฝนใหญ่ตั้งร่ามาน่ากลัว | ตลอดทั่วโดยรอบขอบมณฑล ฯ |
๏ ครั้นถึงหนองสะแกแลสะอาด | ที่บนโคกจอมปราสาทกลางไพรสณฑ์ |
เสร็จปลงช้างหยุดพักสำนักนิ์พล | แรมตำบลนั้นคืนรื่นสำราญ |
วลาหกตกอยู่เสียงซู่ซ่า | พวกโยธาคับคั่งนั่งขนาน |
ไม่มีที่บังร่มเปียกซมซาน | เอาใบตาลปิดบังนั่งยองยอง |
บางคนหักได้กิ่งไม้คลุม | มาปกสุมมิดชิดบังปิดของ |
บรรดาเหล่าชาวพลเปียกฝนนอง | ฟ้าก็ร้องเปรี้ยงครืนดั่งปืนยิง |
พอฝนหายหนาวงันสั่นเหมือนไข้ | ต้องก่อไปขึ้นนั่งพออังผิง |
พวกไพร่พลหนาวงันสั่นเหมือนลิง | มันหนาวจริงจับใจผิงไฟลน ฯ |
๏ ครั้นเช้ามืดตีสิบเอ็ดพร้อมเสร็จสรรพ | คลาเคลื่อนทัพออกดำเนินเดินพหล |
รุ่งแสงทองส่องฟ้านภาดล | ประจวบจนแม่น้ำลำเชียงไกร |
น้ำก็เค็มเต็มเหลือเหมือนเกลือแช่ | ลำกระแสน้ำแสงสีแดงใส |
ก็เสร็จข้ามโยธารีบคลาไคล | ก็เข้าในเขตตำแหน่งแขวงพิมาย |
เดินในทุ่งสัมฤทธิ์พินิจแล | ดูทิวไม้ไกลแท้น่าใจหาย |
แลเวิ้งวุ้งทุ่งเลี่ยนเตียนสบาย | ดูสุดสายนัยนาพฤกษาทิว |
เห็นแนวไม้สุดคาดมาตรคะเน | ดังทะเลบกซัดลมพัดฉิว |
ละอองฝุ่นกลางทุ่งขึ้นฟุ้งปลิว | แลละลิ่วเหมือนอย่างกลางทะเล |
ผู้นำร่องเจนจัดนำตัดทุ่ง | เคยหมายมุ่งแม่นใจไม่ไขว้เขว |
ชำนาญทางหมายมาดคาดคะเน | ไม่โย้เย้เดินมุ่งตัดทุ่งเตียน ฯ |
๏ พอถึงหนองโรงเรือช่างเหลือร้อน[๓๗] | จะพักผ่อนยากจิตสถิตเสถียร |
พอพระพิมายหมอบราบมากราบเรียน | น้อมจำเนียนโดยความกล่าวตามการ |
เชิญเจ้าคุณประเทียบทำเนียบร้อน | หยุดพักผ่อนโดยระยะสระสนาน |
ทำเนียบปลูกไว้ท่าโอฬาฬาร | ที่ริมธารโดยระยะขอบสระโต |
เจ้าคุณดีที่สุดว่าหยุดอยู่ | ซึ่งเหล่าหมู่ทวยหาญประมาณโข |
พักกลางแจ้งร้อนแสงสูริโย | แดดออกโร่ทำเนียบหนอไม่พอกัน |
จะอาศัยได้แต่เราเข้าไปอยู่ | สงสารหมู่เหล่าพหลพลขันธ์ |
ด้วยคนหมีใช่น้อยหลายร้อยพัน | จะหยุดนั้นไม่มีที่กำบัง |
พระพิมายเลยนำทางตัดขวางทุ่ง | เขม้นมุ่งทิวไม้ด้วยใจหวัง |
เข้าหยุดร่มพฤกษาเป็นป่ารัง | อยู่ริมฝั่งขอบลำแม่น้ำมูล |
เห็นน้ำใสใหญ่โตดูโสภา | ฝูงมัจฉากุมภิลไม่สิ้นสูญ |
จระเข้ก็มีบริบูรณ์ | ดูเพิ่มพูนปรีดาผักปลาชุม |
บ้างมีอวนมีแหลงแซ่เสียง | ได้ปลาเงี่ยงปลางาหากันกลุ้ม |
บางคนตั้งกับช้อนต้อนเข้ามุม | บ้างก็สุ่มที่ตื้นล้วนพื้นทราย |
ดูสนุกนิ์น่าสนานในชานชล | เหล่าผู้คนเซ็งแซ่กระแสสาย |
มัจฉาชุมไพร่พลกระวนกระวาย | ครั้นว่าบ่ายลมตกเสร็จยกพล ฯ |
๏ เดินมาในกลางทุ่งมุ่งเขม้น | เหลือบแลเห็นฟ้าสลัวมืดมัวฝน |
พระสูริย์ศรีรังสรรค์อันธกล | ฟ้ามืดมนถึงเบื้องเมืองพิมาย |
ก็หยุดพักพวกพหลพลทหาร | ยั้งที่ท่าสงกรานต์กระแสสาย |
อยู่ที่ริมฝั่งน้ำมูลเนินพูนทราย | พลนิกายล้าหลังยังไม่มา |
บ้างเท้าบวมจะเดินเหินไม่ไหว | บ้างเป็นไข้ต้องรอหมอรักษา |
ฝ่ายว่าเจ้าคุณท่านมีบัญชา | หยุดรอท่าพลพองามกว่าสามวัน |
ครั้นรุ่งแสงสูริยาฟ้าระยับ | เจ้าพระยาแม่ทัพเสร็จผายผัน |
ปราสาทศิลาพร้อมหน้ากัน | ซึ่งตัวฉันพยายามติดตามไป ฯ |
๏ ครั้นถึงปราสาทหินเห็นภิญโญ | สูงเติบโตนี่ใครสร้างแต่ปางไหน |
มีหน้าบันมุขเด่นเห็นวิไล | น่าปลื้มใจมือช่างสร้างบรรจง |
ชั้นนอกรอบหินขอบกำแพงชิด | มีปรางค์มุขสี่ทิศแลระหง |
เสามุขใหญ่หินยันดูมั่นคง | บุษบงหินรับสลับลาย |
ลอกลวดลายมะหวดกลึงงามขึงขำ | สง่าง้ำแลเลิศดูเฉิดฉาย |
ปราสาทข้างปราสาทเคียงดูเรียงราย | เห็นแยบคายต่อติดสนิทแนว |
พร้อมรั้ววังคลังหินล้วนศิลา | ทำหลังคาหินเคียงเรียงเป็นแถว |
รอบนอกทิมดาบรายงามพรายแพรว | แลล้วนแล้วศิลาน่าจะดู |
ในพระราชวังหลายหลังเรือน | ทำเหมือนเหมือนรายเรียงเคียงกันอยู่ |
เอาศิลามาแต่ไหนก็ไม่รู้ | ไม่มีภูเขาใหญ่อยู่ใกล้เคียง |
ไปเก็บหินฉุดลากมาจากไหน | แท่งใหญ่ใหญ่ก่อสร้างวางเฉลียง |
อุตสาหะแต่งตั้งเป็นวังเวียง | พิศดูเพียงเทวฤทธิ์นิมิตทำ |
มีกำแพงปราการชั้นด้านนอก | มีข้างทิศตะวันออกดูขึงขำ |
เชิงเทินดินศิลาหน้าประจำ | สง่าง้ำแข็งขันเห็นมั่นคง |
มีถนนหินทางเดินดำเนินนอก | จากมุขด้านตะวันออกโดยประสงค์ |
ไปนครหลวงนครวัดทางตัดตรง | ข้ามฝ่าดงไปในป่าพนาลี |
ล้วนหินมูลก่อเห็นเป็นถนน | น่าฉงนชมทางหว่างวิถี |
เขาว่าไปแต่พิมายหลายราตรี | จึงถึงที่นครวัดโดยสัจจัง ฯ |
๏ เมืองนี้เดิมพารามหากระษัตริย์ | พรหมทัตทราบเรื่องในเบื้องหลัง |
สุดจะร่ำพรรณนาว่าให้ฟัง | ขอยับยั้งเรื่องนิยายพิมายเมือง |
แม้นอยากรู้จงดูเรื่องปาจิตร | ท่านบัณฑิตกล่าวแกล้งแสดงเรื่อง |
ครั้นจะร่ำกล่าวจะช้าเวลาเปลือง | จึงยักเยื้องหลีกลัดตัดนิยาย |
เจ้าพระยาแม่ทัพบังคับหวัง | บัญชาสั่งนิมนต์สงฆ์องค์ทั้งหลาย |
มาหมดสิ้นตลอดเบื้องเมืองพิมาย | แล้วถวายปัจจัยไทยทาน |
เชิญพระทนต์พระจอมเกล้าพระเจ้าราช | ขึ้นเหนืออาสน์ปรางค์หินในถิ่นฐาน |
สดับปกรณ์เสร็จสำเร็จการ | แสนสำราญรื่นเริงบันเทิงใจ |
แล้วเลยเที่ยวไปกระทั่งถึงยังถิ่น | เรียกวังหินมีลำแม่น้ำใหญ่ |
เห็นชาวบ้านทอดแหเซ็งแซ่ไป | อยู่ที่ในชลธาแน่นสาชล |
พวกชาวบ้านนำปลามาคำนับ | ให้เจ้าคุณแม่ทัพอยู่สับสน |
ท่านก็แจกเงินทั่วทุกตัวคน | ส่งให้ขนเอาปลานั้นมาพลัน |
มาแจกจ่ายนายทัพกับนายกอง | จิตปรองดองหมีให้เคียดขึ้งเดียดฉันท์ |
คนละหลายหลายตัวแจกทั่วกัน | แจกจนชั้นไพร่พลคนละตัว ฯ |
๏ ครั้นรุ่งแสงสูริยาเวลากาล | พวกชาวบ้านชักพามากันทั่ว |
แต่งสำรับคับขันมาพันพัว | คำนับ พณฯ หัวจอมโยธา |
เจ้าคุณเรียกเงินไปแจกให้กับ | พวกเจ้าของสำรับทั่วถ้วนหน้า |
สมควรกับของเขาที่เอามา | แล้วบัญชาสั่งให้พวกไพร่พล |
ยกสำรับแบ่งปันสู่กันกิน | คนได้ยินยกสำรับมาสับสน |
แบ่งปันกันตามประสาเวลาจน | เหล่าผู้คนได้สมอารมณ์ปอง |
กองทัพแรมเมืองพิมายหลายราตรี | เหล่าโยธีพร้อมพรั่งสิ้นทั้งผอง |
หายล้าเลื่อยเมื่อยปวดทุกหมวดกอง | จึงสำรองการเดินดำเนินพล ฯ |
๏ ครั้นรุ่งสูริย์ศรีตีสิบเอ็ด | เตรียมพร้อมเสร็จยกเขยื้อนเคลื่อนพหล |
ออกจากเมืองพิมายหมายตำบล | เข้าไพรสณฑ์ออกจากทุ่งมุ่งหนทาง |
ดูเวิ้งวุ้งทุ่งทิวแลลิ่วลับ | เดินกองทัพตัดไปทิวไม้กว้าง |
ถึงท่าโพธิ์หยุดร้อนพักผ่อนพลาง | แล้วปลงช้างหยุดพักสำนักพลัน |
อยู่ที่ริมฝั่งลำแม่น้ำมูล | ต่างเพิ่มพูนปรีดิ์เปรมกระเษมสันต์ |
ชวนกันลงสู่ท่าหาปลากัน | พอตะวันบ่านเดินดำเนินพล |
ถึงบ้านศาลาหักหยุดพักแรม | พระจันทร์แจ่มส่องสว่างกลางเวหน |
แรมสำนักนิ์พักอยู่พร้อมผู้คน | ริมฝั่งชลแม่น้ำมูลเพิ่มพูนใจ ฯ |
๏ ครั้นจวนรุ่งตีสิบเอ็ดพร้อมเสร็จสรรพ | ยกกองทัพจรจรัลเสียงหวั่นไหว |
เดินตัดท้องทุ่งกว้างหนทางไกล | ลึกเข้าในป่าละเมาะลัดเลาะจร |
รีบรัดไม่รั้งรอมาบ่หึง | บรรลุถึงที่พักสำนักนิ์ผ่อน |
ด้วยสายแสงสูริย์ศรีรวีวร | หยุดหนองบัวสุกรเวลากาล |
ครั้นร้อนอ่อนแสงสูริยน | เหล่าไพร่พลปรีดิ์เปรมกระเษมศานต์ |
เสร็จคลาเคลื่อนโยธาไม่ช้านาน | จากสถานที่พักสำนักนิ์พลัน ฯ |
๏ มาถึงบ้านนางออรอสำนักนิ์ | เข้าหยุดพักซึ่งพหลพลขันธ์ |
บ้านนางออมีผู้เฒ่าเขาเล่ากัน | แต่ก่อนนั้นเรื่องนิทานนานเต็มที |
คือว่านางอรภิมนิ่มอนงค์ | ได้เป็นองค์เอกเอ้มเหสี |
กระษัตริย์เมืองพิมายนิยายมี | ถิ่นที่นี้เป็นบ้านสถานนาง |
กี่หูกปรากฏตั้งยังไม่สิ้น | คล้ายเป็นหินชัดชัดไม่ขัดขวาง |
ปรากฏตั้งประจำเห็นสำอาง | ชำรุดร้างพังหักประจักษ์ตา |
ด้วยว่าของนี้นั้นหลายพันปี | เรื่องราวนี้ฉันไม่แสร้งแกล้งมุสา |
เป็นเรื่องราวโบราณนมนานมา | คือเรื่องปาจิตรนั้นจงอ่านดู |
ตรงนี้เดิมสร้างเมืองแต่เบื้องหลัง | แต่คราวครั้งพรหมทัตกระษัตริย์สู่ |
มีเชิงเทินเดินรอบเป็นขอบคู | ปรากฏอยู่ตาคนจนทุกวัน ฯ |
๏ ฝ่ายกองทัพรอรั้งตั้งสงบ | จวนจะพลบพร้อมพหลพลขันธ์ |
พวกไพร่พลตั้งล้อมอยู่พร้อมกัน | เป็นชั้นชั้นริมลำแม่น้ำมูล |
น้ำมูลเอ๋ยดักหน้าเฝ้ามาคอย | พบบ่อยบ่อยอาบกินไม่สิ้นสูญ |
ฉันคิดคิดขึ้นมายิ่งอาดูร | ไม่เพิ่มพูนโหยหาแสนอาลัย |
แต่มิ่งมิตรของพี่ต้องนิราศ | ช่างหายขาดหมีได้เห็นเป็นไฉน |
เฝ้าพบแต่แม่น้ำมูลร่ำไป | แม่ขวัญใจอนิจจาไม่มาเยือน |
ตั้งแต่พี่เริดร้างห่างสวาดิ | ช่างหายขาดดังคนขีดเอามีดเฉือน |
แต่พลัดพรากจากมาห้าหกเดือน | ไม่พบเพื่อนพิศมัยอาลัยลาน |
เวลาค่ำย่ำฆ้องมี่ตีสิบเอ็ด | พรักพร้อมเสร็จพหลพลทหาร |
ยกจากบ้านนางออไม่รอนาน | เสียงสะท้านสะเทื้อนพระธรณิน |
ด้วยฝีเท้าคนเดินดำเนินดัง | มาคับคั่งในป่าพฤกษาสินฑ์ |
ลมระบายชายชวยมารวยริน | รุ่งแสงทินกรอัมพรแดง ฯ |
๏ ครั้นถึงหนองห้วยหมูสู่สำนักนิ์ | เข้าหยุดพักพลนิกายพอสายแสง |
สู่ทำเนียบที่สร้างไว้กลางแปลง | มาจัดแจงเรียบร้อยคอยเจ้าคุณ |
ต่างจัดแจงปลงช้างโคต่างหยุด | บ้างก็มุดเข้าอาศัยอยู่ใต้ถุน |
บ้างขนของเอะอะชุลมุน | บางคนวุ่นเวียนหวิวหิวไม่บัน |
พอบ่ายแสงสูริยาฟ้าพยับ | ยกกองทัพพร้อมนิกายจะผายผัน |
ข้ามท้องทุ่งเข้าทางกลางอรัญ | มุ่งหมายมั่นเดินผ่าป่าสะแก |
ก็เสร็จข้ามแม่น้ำลำสะแทก | เป็นลำแยกจากมูลศูนย์กระแส |
สิ้นเขตแดนพิมายเมืองชำเลืองแล | เข้าแขวงแควเมืองลาวชาวอรัญ ฯ |
๏ ครั้นถึงหนองช้างน้ำมีทำเนียบ | หยุดประเทียบพักพหลพลขันธ์ |
ถึงขอบหนองดูตามนามสำคัญ | ช้างน้ำนั้นอยู่ไหนจึงไม่ยล |
หรือตั้งชื่อย้อนยอกแกล้งหลอกพลาง | เห็นแต่ช้างกองทัพอยู่สับสน |
ลงสู่ในวารินดื่มกินชล | ออกเกลื่อนกล่นหนองน้ำคลาคล่ำไป |
ก็รอรั้งตั้งทัพอยู่ยับยั้ง | คนก็ตั้งแวดล้อมพร้อมไสว |
ทั้งด่านนอกหอกทหารอยู่ด้านใน | พลไพร่พรักพร้อมตั้งล้อมวง |
กรมการพร้อมพรั่งมาคั่งคับ | ท่านเจ้าคุณออกรับดังประสงค์ |
เขานำม้าสีดำมุ่งจำนง | ตั้งใจจงน้อมเกล้าให้เจ้าคุณ |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพไม่รับไว้ | ท่านคืนให้เขาพลันไม่หันหุน |
ด้วยกริ่งเกรงหัวเมืองจะเปลืองทุน | กลัวบุญคุณเขาจะติดไม่คิดปอง ฯ |
๏ ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสูริยง | คนล้อมวงพร้อมพรั่งสิ้นทั้งผอง |
ทั้งด้านนอกด้านในสุมไฟกอง | บ้างตีเกราะเคาะฆ้องกระแตตี |
พอกรมการมาพร้อมน้อมจำนง | ว่าเมืองพุทไธสงน่าบัดศรี |
มีอ้ายผู้ร้ายมารบราวี | ชาวบุรีจวนจะแตกวิ่งแหวกทาง |
อ้ายผู้ร้ายพูดสำเนียงเสียงประหลาด | เหมือนโคราชได้ฟังชัดไม่ขัดขวาง |
ขอบารมีช่วยดับความอับปาง | เหมือนก่อสร้างพุทไธสงให้คงเวียง |
ท่านเจ้าคุณฟังแจ้งแถลงไข | เป็นการใหญ่ฟังศัพท์สดับเสียง |
จึงเอื้อนโอษฐ์ปราศรัยแล้วไล่เลียง | เห็นแท้เที่ยงข้อความตามคดี |
บัญชาเยื้องสั่งเจ้าเมืองบุรีรัมย์ | ซึ่งมานำหนทางกลางไพรศรี |
ไปจับผู้ร้ายมาในราตรี | กับขุนสัจจวาทีอีกหนึ่งนาย |
หลวงพิชัยเสนาอาสารับ | จะไปจับพวกปล้นคนทั้งหลาย |
ท่านเจ้าคุณอนุญาตต่างคลาดคลาย | พร้อมสามนายรีบไปในราตรี |
ซึ่งกองทัพอยู่ทางยังห่างเมือง | คอยฟังเรื่องผู้ร้ายจะหน่ายหนี |
หรือจะจับได้มันในทันที | จนฆ้องตีสิบทุ่มคนกลุ้มกัน ฯ |
๏ เสร็จเดินกระบวนทัพไม่ยับยั้ง | พร้อมสะพรั่งไพร่นายเตรียมผายผัน |
สว่างแจ้งแสงศรีรวีวรรณ | ก็พร้อมกันจรมาไม่ช้านาน |
เข้าในเขตเมืองใหญ่พุทไธสง | คนเรียกคงนามสิ้นทุกถิ่นฐาน |
มีชื่อมาแต่ปฐมกาลนมนาน | จะประมาณหมายมั่นหลายพันปี |
พิศดูเมืองใหญ่พุทไธสง | เห็นมั่นคงคึกคักเป็นศักดิ์ศรี |
เชิงเทินดินล้อมรอบขอบบุรี | หนองน้ำมีรอบเมืองติดเนื่องกัน |
ถึงทำเนียบช้างประเทียบประทับพัก | หยุดพร้อมพรักพหลพลขันธ์ |
ขนของส่งลงวางปลงช้างพลัน | บ้างหมายมั่นร่มไม้ด้วยใจจง ฯ |
๏ ฝ่ายหลวงพิชัยเสนาพาอ้ายคน | พวกที่ปล้นเขาในพุทไธสง |
เข้ากราบเรียนพรั่งพร้อมน้อมจำนง | โดยมั่นคงเรียนแยกแต่แรกมา |
เมื่อมาถึงเห็นเหล่าพวกชาวเมือง | จัดแจงเครื่องหาบวิ่งทิ้งเคหา |
จวนจะแยกแตกหนีหลีกลี้ลา | มาดแม้นช้าแล้วแตกแยกกันไป |
หากมาทันปราบปรามห้ามว่าช้า | เราจะฆ่าอ้ายคนร้ายหายไปไหน |
ซึ่งพวกลาวชาวบุรีต่างดีใจ | มากราบไหว้ร้องให้ช่วยด้วยขอรับ |
ทั้งเจ้าเมืองกรมการคลานเข้าหา | แล้วบอกว่ามีคนปล้นไล่ขับ |
เดี๋ยวนี้อยู่โรงเหล้าแย่งเอาทรัพย์ | ช้าขยับมันจะไปไม่ได้มัน |
แล้วเกล้าผมตรงไปพอได้พบ | มันลี้หลบแอบนิ่งวิ่งถลัน |
เอาม้าล้อมควบไล่เกือบไม่ทัน | จึ่งบอกมันขืนวิ่งกูยิงตาย |
ต้องยอมให้จับตัวมันกลัวปืน | นิ่งหยุดยืนอยู่กับที่ไม่หนีหาย |
คือพวกในกองทัพน่าอับอาย | มาทำร้ายปล้นสะดมกรมการ |
พวกโคราชคนหนึ่งก็ถึงจิต | มันคบคิดกันมาจึงกล้าหาญ |
กับด้วยพวกกองทัพมารับงาน | ซึ่งชาวบ้านตั้งบาญชีตีราคา |
รวมเงินตามอยู่ในสามตำลึงเศษ | เรียนตามเหตุที่ลาวเขากล่าวหา |
เจ้าคุณได้ทราบพลันมีบัญชา | เอาตัวมาชำระดูให้รู้ความ ฯ |
๏ อ้ายผู้ร้ายเป็นสัจแล้วซัดเพื่อน | ไม่แชเชือนเรียนรับบังคับถาม |
เจ้าคุณทราบระบิลตัดสินความ | ใช้เงินตามของที่ตีราคา |
ให้มุลนายออกเงินใช้ให้เจ้าของ | แล้วรับรองตัวพิทักษ์ดูรักษา |
แม้นวันได้ชำระจะเอามา | ตะโหงกคาใส่ประจำทำประจาน ฯ |
๏ เวลาค่ำย่ำฆ้องตีสองทุ่ม | ผู้คนกลุ้มมี่ฉาวแจ้งข่าวสาร |
เห็นพระพิมายหมอบราบมากราบกราน | เชิญซึ่งพานท้องตรามาแต่กรุง |
คนกองทัพรู้ข่าววิ่งกราวกรู | อยากจะรู้วิ่งโลดกระโดดผลุง |
ต่างคนมาคอยฟังนั่งกันมุง | ใจเฟื่องฟุ้งชักพากันมาฟัง |
ฝ่ายเจ้าพระยาแม่ทัพรับท้องตรา | พร้อมบรรดานายทัพมาคับคั่ง |
ฉีกผนึกอ่านเสียงสำเนียงดัง | ในข้อบังคับคำล้ำวิไล ฯ |
๏ ให้กองทัพยับยั้งตั้งนี่ก่อน | อยู่นครราชสีมาอย่าไปไหน |
พวกกองทัพโยธีต่างดีใจ | ได้กลับไปโคราชสมมาดปอง |
ต่างเปรมปรีดิ์ดีใจจะได้กลับ | นอนไม่หลับยินดีไม่มีสอง |
ต่างคนเหิมใจฮึกนึกคะนอง | บ้างโห่ร้องสักรวาเสภาอึง |
ที่เหล่าคนเจ็บไข้ไปไม่รอด | ครางออดออดคร้านเกียจนอนเหยียดขึง |
ยินข่าวกลับโคราชหวาดคะนึง | ลุกทะลึ่งหายไข้ได้ทันที |
เจ้าคุณแจ้งทำนองในท้องตรา | จึงปรึกษาปลื้มเปรมกระเษมศรี |
ว่าจะทำฉันใดไฉนดี | ท้องตรามีบังคับให้กลับไป |
ซึ่งนายทัพนายกองสนองตอบ | ต่างเห็นชอบพร้อมกันเสียงหวั่นไหว |
ด้วยต่างคนเปรมปรีดิ์คิดดีใจ | อยากจะใคร่กลับโคราชไม่ขาดคน ฯ |
๏ ครั้นตีสิบเอ็ดทุ่มคนกลุ้มเกลื่อน | ยกเขยื้อนกองทัพกลับพหล |
หยุดพักระยะน้ำหลายตำบล | ประจวบจนถึงโคราชมุ่งมาดมา |
สู่ทำเนียบเกยพักสำนักนิ์ก่อน | สโมสรกระเษมสันต์หรรษา |
ต่างคนเป็นสุโขทั้งโยธา | พร้อมถ้วนหน้าชุ่มชื่นต่างคืนคง |
เมื่อวันหนึ่งจึ่งเจ้าคุณชำระเรื่อง | อ้ายหกคนปล้นเมืองพุทไธสง |
ผูกเฆี่ยนห้าสิบทีตีมันลง | แล้วก็ส่งจำคุกให้ทุกข์ทน |
หมีให้เป็นเยี่ยงอย่างไปข้างหน้า | พวกพาลาเกะกะอกุศล |
เฆี่ยนเป็นตัวอย่างไว้แก่ไพร่พล | จะได้ยลเกรงระย่อไม่ก่อการ ฯ |
๏ ครั้นถึงวันสิ้นปีเดือนสี่สุด | เป็นวันตรุษปรีดิ์เปรมกระเษมศานต์ |
โอ้เราเอ๋ยจากมาก็ช้านาน | จะประมาณหกเดือนไม่เคลื่อนคลาย |
พวกชาวเมืองว้าวุ่นทำบุญทาน | กระเษมสานต์พร้อมพรั่งสิ้นทั้งหลาย |
ล้วนแต่งตัวสวยฟ้อก่อพระทราย | ทั้งหญิงชายพร้อมไปไพร่ผู้ดี |
กองทัพฝ่ายเราก็ก่อพระทราย | ทั้งไพร่นายปรีดิ์เปรมกระเษมศรี |
ต่างจัดคนมาทั่ววิ่งวัวดี | เล่นกันที่หน้าทำเนียบเปรียบกันดู |
เล่นกันถึงเงินทองต่อรองกัน | วิ่งกันวันมากมายหลายหลายคู่ |
เหล่าฝูงคนคับคั่งมาพรั่งพรู | ออกเกรียวกรูไม่เคยเห็นเล่นพนัน |
พวกเมืองโคราชมาวิ่งน่าชม | ชื่อว่าอ้ายเทียมลมตัวขยัน |
มาวิ่งกับกองทัพรับพนัน | วิ่งเดิมพันชั่งหนึ่งเสียงอึงอล |
ชาวโคราชทำป๋อร้องต่อมี่ | หกเอาสี่พวกเรารับร้องสับสน |
โคราชหมายมีชัยไม่จำนน | มันต่อล้นสองเอาหนึ่งเล่นถึงใจ |
พอตัดเชือกปล่อยหางต่างวางวิ่ง | มันเร็วจริงฉุยฉิวดูหวิวไหว |
วัวกองทัพวิ่งดีก็มีชัย | พอฉวยได้ธงแดงแกว่งให้ดู |
วัวโคราชวิ่งแต่แพ้กองทัพ | ต่างคนอัปยศแสนอดสู |
พวกเราเฮฮาดังวิ่งพรั่งพรู | บางคนรู้เต้นรำทำประจาน |
บ้างหัวเราะเยาะเย้าพวกชาวเมือง | นึกโกรธเคืองเมินหน้าไม่ว่าขาน |
ชาวเมืองเสียเงินยับอัปรมาณ | สนุกนิ์สนานที่สุดเมื่อตรุษไทย ฯ |
๏ ถึงเดือนสี่หกค่ำจำไว้สิ้น | พระราชริน[๓๘]ถึงพลันเสียงหวั่นไหว |
เชิญท้องตราเสร็จถึงอีกหนึ่งใบ | กองทัพได้แจ้งข้อวิ่งสอฟัง |
เจ้าพระยาแม่ทัพรับท้องตรา | พร้อมบรรดานายทัพอยู่คับคั่ง |
กรมการพร้อมหน้าประดาดัง | ไม่รอรั้งฉีกสารออกอ่านพลัน ฯ |
๏ ในสารตรามีมาถึงแม่ทัพ | ให้ยกกลับคืนไปไอศวรรย์ |
ให้เร่งรัดจัดแจงดูแบ่งปัน | ปัศตันกระสุนปืนคืนนคร |
แต่ส่วนหนึ่งให้พระยามหาอำมาตย์ | ตามพระราชดำริสั่งดังอักษร |
กรมเขนทองขวาซ้ายนายนิกร | พระราชวังบวรนั้นขึ้นไป |
สมทบทัพกับพระยามหาอำมาตย์ | อย่าให้ขาดริ้วทัพบังคับไข |
จัดทำนาหาเสบียงพร้อมเพรียงไว้ | อยู่ที่ในหนองคายจงหลายพัน |
แล้งปีชวดอัฐศกได้ยกทัพ | เข้าประจญรบรับให้คับขัน |
อย่าให้ตั้งมั่วสุมชุมนุมกัน | ในเขตขัณฑ์เมืองพวนให้ควรการ |
กรมทหารอีกกองไปหนองคาย | ทั้งไพร่นายสำหรับจัดหัดทหาร |
ให้พวกลาวไวว่องคล่องชำนาญ | ประจัญบานรบฮ่อต่อศักดา |
แต่กรมพระสัสดีหมีให้ขาด | พระพิบูลย์พระชาติปีกซ้ายขวา |
กรมเรือกันทั้งสองตามท้องตรา | บังคับมาเสร็จสรรพให้กลับไป |
แต่กรมพลพรรค์นั้นมีแจ้ง | กรมแสงเสร็จสรรพบังคับไข |
จงยกกลับพร้อมเพรียงคืนเวียงไชย | ต่างดีใจได้สมอารมณ์ปอง ฯ |
๏ น่าสงสารพวกที่ต้องไปหนองคาย | ทั้งไพร่นายง่วงเหงาจิตเศร้าหมอง |
อนิจจาน่าสังเวชน้ำเนตรนอง | ทุกหมวดกองเหงาหงอยโศกสร้อยครวญ |
ข้างพวกเรานั้นไซร้จะได้กลับ | ทั้งกองทัพฮาลั่นเสียงสันต์สรวล |
เอิกเกริกเริงร่าน่าสำรวล | แต่แล้วล้วนกลับคืนหน้าชื่นบาน |
แต่เจ้าคุณแม่ทัพจะกลับถิ่น | จิตถวิลใจพะวงคิดสงสาร |
จะพลัดพรากจากไปอาลัยลาน | เหล่าทหารที่จะต้องไปหนองคาย |
เคยร่วมสุขทุกข์ยากจะจากกัน | จะนับวันว่างเว้นไม่เห็นหาย |
สงสารด้วยพหลพลนิกาย | จะแพร่งพรายพลัดไปไกลกันดาร |
แล้วท่านจัดพร้อมเพรียงเสบียงกรัง | ขนมปังกินยืดทั้งจืดหวาน |
ปลาซาดินอินทผลัมทั้งน้ำตาล | ท่านเจือจานแจกจ่ายทุกนายพล |
ทั้งพริกเกลือเยื่อเคยนมเนยนอก | แล้วสั่งบอกไพร่มารับอยู่สับสน |
ซึ่งข้าวของกองคละอยู่ปะปน | ผู้คนขนคนละกองของดีดี ฯ |
๏ ครั้นเดือนห้าล่วงเข้าขึ้นเก้าค่ำ | เป็นวันกำหนดทัพกลับกรุงศรี |
ทั้งนายไพร่สุขกระเษมจิตเปรมปรีดิ์ | เสียงอึงมี่พร้อมพรักคึกคักคน |
พวกจะไปหนองคายผันผายมา | เข้าอำลาคำนับน้อมจอมพหล |
ต่างตรมตรองหมองมัวทุกตัวคน | เนตรนองชลธาราได้อาวรณ์ |
ท่านเจ้าคุณออกรับสดับคำ | ท่านก็ร่ำวาจังกล่าวสั่งสอน |
แล้วเลยร่ำคำประภาษประสาทพร | กล่าวสุนทรโดยตามความอาลัย |
เดิมท่านอยู่พร้อมหน้าข้าพเจ้า | บัดนี้เล่ามีกรรมทำไฉน |
ต่างคนเราต่างจะห่างไป | โดยแต่ในวันนี้ลับลี้กัน |
พวกท่านไปได้ลำบากความยากเย็น | จงให้เป็นสามัคคีดีขยัน |
อย่าถือเปรียบตั้งปึ่งทำขึ้งกัน | จงหมายมั่นราชการอย่าคร้านใจ |
ต่างคนทำอำลาหน้าสลด | ต่างกำสรดหม่นหมองไม่ผ่องใส |
แสนเศร้าโศกโศกาด้วยอาลัย | ต่างก็ไปเตรียมตัวทั่วทุกนาย ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับย่าง | มาขึ้นช้างพร้อมพหลพลทั้งหลาย |
เหลียวหลังดูผู้ที่ต้องไปหนองคาย | ท่านไม่วายอาวรณ์ถอนฤๅทัย |
ครั้นได้ฤกษ์แล้วให้เบิกกระบวนทัพ | ยกพลกลับพร้อมกันเสียงหวั่นไหว |
พวกกองทัพโยธีต่างดีใจ | ด้วยจะได้กลับบ้านสำราญมา |
พวกชาวเมืองเนืองหน้าพากันดู | ยืนเป็นหมู่เรียงรายทั้งซ้ายขวา |
บ้างตามส่งกองทัพจนลับตา | ด้วยคบหารักใคร่พอใจกัน |
เดินกองทัพมาทางโพธิ์กลางตรง | พระสูริยงแสงสายรีบผายผัน |
พ้นบ้านย่านยาวราวอรัญ | มุ่งหมายมั่นที่พักสำนักนิ์พล ฯ |
๏ ครั้นถึงที่เขาลาดอาวาสใหญ่ | หยุดอาศัยสำนักนิ์พักพหล |
บ้างปลดม้าปลงช้างแล้วต่างคน | อาศัยต้นร่มไม้ใบกำบัง |
ท่านเจ้าคุณอาศัยในศาลา | อยู่ยังอารามใหญ่ด้วยใจหวัง |
พร้อมพหลโยธาประดาดัง | เข้ายับยั้งอยู่หน้าพระอาราม |
ท่านเจ้าคุณมีศรัทธาปัญญายง | นิมนต์สงฆ์หวังผลกุศลสาม |
ทั้งสี่วัดให้มาทั้งอาราม | ด้วยมีความเจตนาศรัทธาทำ |
เชิญพระบรมทนต์สู่บนพาน | เครื่องสักการแลสลอนวางซ้อนส่ำ |
พระสงฆ์มาติกาครบพอจบคำ | สมภารนำพระขยับสดับปกรณ์ |
เจ้าคุณถวายปัจจัยให้พระสงฆ์ | ถ้วนทุกองค์นั่งรับสลับสลอน |
แล้วแจกเงินศิษย์วัดจัดเป็นตอน | ที่ฝึกสอนคิดเขียนร่ำเรียนมา |
ครั้นเสร็จสรรพสดับปกรณ์แล้ว | ก็คลาดแคล้วเข้าในไพรพฤกษา |
ออกทุ่งเข้าทางกลางวนา | พระสูริยาเย็นย่ำลงรำไร ฯ |
๏ ถึงหนองตะแบกหยุดพักสำนักนิ์แรม | พระจันทร์แจ่มกระจ่างสว่างไสว |
เอาเสื่อปูพรมลาดดาดผ้าใบ | ที่อาศัยแห่งเจ้าคุณแลมุลนาย |
พวกกองทัพยับยั้งอยู่ทั้งสิ้น | หุงต้มกินกันเป็นทิวหิวใจหาย |
ครั้นเสร็จสรรพหลับนอนผ่อนสบาย | พอจวนงายแสงสว่างกลางอัมพร |
ก็เดินกองทัพมาคับคั่ง | ไม่รอรั้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน |
ถึงสองเนินเดินทุ่งหมายมุ่งจร | หยุดพักร้อนริมฝั่งน้ำลำตะคลอง ฯ |
๏ พวกชาวบ้านพร้อมพรั่งมาคั่งคับ | หาสำรับจัดเอาซึ่งข้าวของ |
ข้าวเหนียวปั้นปลาร้าผักต้มฟักทอง | คนละสองสามชามตามกำลัง |
เป็นมากมายเหลือเล่ห์คะเนนับ | เคยได้รับเงินเฟื้องแต่เบื้องหลัง |
จึงชักชวนกันมาประดาดัง | มากกว่าครั้งคราก่อนเมื่อจรมา |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพนับเงินให้ | พวกลาวได้สมมาดปรารถนา |
คนกองทัพยกสำรับทั้งข้าวปลา | ด้วยเวลาแสบท้องหาของกิน |
เมื่อหยุดทัพโยธาพลากร | ตะวันรอนอ่อนแสงพระสูริย์สิน |
ฝนชอุ่มกลุ้มฟ้าเมฆาฆิน | ผูกพร้อมหมดคชรินกุญชรชาญ |
เคลื่อนโยธีจากที่สำนักนิ์พัก | ดูพร้อมพรักด้วยพหลพลทหาร |
ต่างคนเริงรื่นชื่นสำราญ | เดินไม่นานข้ามน้ำลำตะคลอง ฯ |
๏ ถึงทางแยกมรคาพระยาไฟ | แยกหนึ่งไปพระยากลางเป็นทางสอง |
ท่านเจ้าคุณการุณไพร่ด้วยใจปอง | ได้ตรึกตรองไว้แต่เดิมเมื่อเริ่มมา |
เพราะเห็นว่าวลาหกตกไม่ห่าง | จะไปทางพระยาไฟเกรงไข้ป่า |
ด้วยทางดงพระยาเย็นเป็นระอา | กลัวโยธาเดินทางจะวางวาย |
เมื่อขึ้นมาพหลมาป่นปี้ | ถูกไข้ผีป่ากินเสียสิ้นหลาย |
เมื่อขากลับจะต้องกันอันตราย | เดินแยกย้ายมรคาหามงคล |
จึงได้ยกพลไพร่ไปโดยทาง | พระยากลางถึงว่าจะต้องห่าฝน |
ก็ไม่เกิดความไข้แก่ไพร่พล | ทางไม่ย่นติดจะยาวถึงเก้าวัน ฯ |
๏ เดินทางมาในกลางพนาวาส | ถึงยังเมืองโคราชดูคับขัน |
เป็นเมืองแก่แต่บูราณมานานครัน | เดี๋ยวนี้นั้นกลายเป็นชาวนาคร |
เชิงเทินดินสูงเด่นเช่นผู้เฒ่า | เป็นเมืองเก่าแรกสร้างแต่ปางก่อน |
แข็งแรงกำแพงรอบขอบนคร | ดูถาวรแต่งตั้งแต่ครั้งใด |
เดินทัพเข้าทางผ่านกลางเมือง | แลชำเลืองพฤกษาป่าไสว |
ถามกรมการว่ากว้างทางเท่าไร | พวกวัดได้ห้าสิบเส้นนับเป็นวา |
เดินทางมาไม่นานประมาณครู่ | ออกประตูตะวันตกรกพฤกษา |
เจ้าคุณหยุดช้างอยู่ทำบูชา | ซึ่งเทวาอารักษ์โดยภักดี |
สิงสถิตฤทธิเรืองในเมืองเก่า | จงช่วยเป่าปัดร้ายในไพรศรี |
อย่าให้โทษพาธามายายี | ให้โยธีกองทัพได้อับจน ฯ |
๏ ครั้นเสร็จทำบูชาลินลาเลื่อน | รีบคลาเคลื่อนกองทัพมาสับสน |
แสวงที่หยุดพักสำนักนิ์พล | พระสูริยนเย็นย่ำลงรำไร |
ครั้นถึงหนองบัวบานบ้านแก่นท้าว | มีหนองยาวเวิ้งว้างทั้งกว้างใหญ่ |
ก็พักหยุดกองทัพโดยฉับไว | เป็นสมัยมืดค่ำฝนพรำพรม |
พวกชาวบ้านชักพากันมาวุ่น | หาเจ้าคุณพูดสำเนียงยิ่งเสียงขรม |
ว่าอยากเห็นเจ้าคุณบุญอุดม | ขอเชยชมบุญญาบารมี |
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพออกรับหน้า | เอาเงินตราแจกลาวชาววิถี |
แล้วพูดจาถามทักโดยภักดี | พวกลาวลีลากลับไปฉับพลัน |
ครั้นรุ่งแสงสูริยาฟ้าพยับ | ยกกองทัพเดินทางกลางไพรสัณฑ์ |
ไม่หยุดยั้งแรมราราวอารัญ | พระสูริยันสายแสงแจ้งอัมพร ฯ |
๏ ถึงบ้านหนองบัวมีที่ทำเนียบ | หยุดประเทียบช้างสำนักนิ์เข้าพักผ่อน |
หุงข้าวปลาหากินทินกร | จะเร่งร้อนรีบเดินดำเนินพล |
เพราะด้วยน้ำเบื้องหน้านั้นหายาก | จะลำบากแก่สัตว์เพราะขัดสน |
ซึ่งโคต่างช้างม้าบรรดาคน | จะอับจนด้วยน้ำจำครรไล |
ครั้นเสร็จเสพโภชนาเวลาสาย | ทั้งไพร่นายพร้อมกันเสียงหวั่นไหว |
ก็เร่งผูกช้างม้ารีบคลาไคล | ยกเข้าในป่ารังไม่รั้งรอ |
ก็รีบเดินกองทัพมาฉับเฉียว | ไม่ลดเลี้ยวมุ่งมาดมาปราดปร๋อ |
น้ำไม่มีติดกระบอกจะกรอกคอ | คนเดินท้อถอยหลังประทังตน |
ทินกรร้อนนักบ่ายสักโมง | ถึงวังโล่งหยุดสำนักนิ์พักพหล |
มีแอ่งน้ำพอได้อาศัยคน | แต่เต็มทนกล้ำกลืนเหม็นขื่นคาว |
มีอีกแห่งหนึ่งฦกถึงวา | กว้างสักห้าหกศอกน้ำออกขาว |
มีน้ำพออาศัยไม่ใหญ่ยาว | ปะเมื่อคราวมีการกันดารเดิน ฯ |
๏ เจ้าคุณบัญชาสั่งทั้งกองทัพ | ท่านกำชับด้วยทางยังห่างเหิน |
น้ำข้างหน้าหายากลำบากเกิน | ใครอย่าเลินเล่อจิตชีวิตวาย |
ตักน้ำใส่กระบอกไปจงให้ทั่ว | สำหรับตัวจะได้กินสิ้นทั้งหลาย |
ด้วยยามแล้งแห้งหมดจะอดตาย | เร่งขวนขวายน้ำกรอกกระบอกไป |
พวกกองทัพรับบัญชาหากระบอก | บ้างตัดไม่ไผ่ปอกอยู่ขวักไขว่ |
เสียงเปาะเปกโปกปากถากไวไว | คนละใบสองกระบอกเสียงออกอึง |
ต่างหาน้ำเตรียมตัวทั่วทุกหมู่ | หยุดพักอยู่วังโล่งสักโมงครึ่ง |
สำเร็จกิจทั้งหลายวายคะนึง | เสร็จแล้วจึงออกเดินดำเนินพล |
เจ้าคุณมาบนช้างทางคะนึง | ร่ำบ่นถึงเทวดาขอฟ้าฝน |
ด้วยมาที่แคบคับจวนอับจน | ด้วยขัดสนด้วยน้ำคิดรำพึง |
แล้วคิดถึงคุณทูลกระหม่อมพระจอมเกล้า | รฦกเอาเป็นต้นเฝ้าบ่นถึง |
ด้วยเป็นที่นับถือไม่ดื้อดึง | โปรดนำซึ่งวลาหกมาตกลง |
ได้อาศัยน้ำฝนคนแลสัตว์ | ไม่ข้องขัดสมตามความประสงค์ |
จะได้ดับคับแค้นในแดนดง | ขอฝนจงตกให้ทันในวันเดียว |
ก็เร่งเดินรีบรุดไม่หยุดหย่อน | ถึงบ้านใหม่แกงร้อนโดยฉับเฉียว |
พอเกิดลมบ้าหมูมากรูเกรียว | พอฝนเขียวลมปลิวละลิ่วลอย ฯ |
๏ ถึงทำเนียบช้างประเทียบประทับพัก | หยุดสำนักนิ์ที่ทำเนียบรอพอสักหน่อย |
พิรุณร่วงรุดโรยลงโปรยปรอย | ฝูงคนคอยมุ่งมองที่รองราย |
พอสักครู่ซู่ซ่าลงมาใหญ่ | ต่างรองได้น้ำฝนคนละหลาย |
คนแลสัตว์น้อยใหญ่ได้สบาย | ครั้นฝนหายเหือดพลันในทันใด |
ที่ท้องห้วยลำธารในย่านทาง | ท่วมท้องช้างลงพังพาบอาบอาศัย |
ทั้งช้างโคกล้ำกลืนได้ชื่นใจ | มีแรงไปภายหน้าได้วาริน ฯ |
๏ พอเช้ามืดตีสิบเอ็ดพร้อมเสร็จสรรพ | ยกกองทัพเดินไปในไพรสินฑ์ |
รีบเร่งเดินลัดหลีกดังปีกบิน | ตั้งพักกินข้าวปลาข้างหน้าทาง |
ครั้นอรุณรุ่งฟ้าเวลาเช้า | เกือบจะเข้าปากดงตรงสว่าง |
ก็เดินดงตรงผ่าพระยากลาง | ในหนทางรกหนาลดาวัลย์ |
ในดงทึบดูทั่วคลุ้มมัวมืด | เป็นพงพืดซ้อนซับทางคับขัน |
เร่งรีบเดินเพลินมาในอารัญ | รีบผายผันโดยยากออกปากดง |
สักสามโมงเศษสังเกตไว้ | ก็พ้นพงดงใหญ่ไพรระหง |
เดินเลียบเนินเขาใหญ่ไถลลง | หนทางตรงรีบเดินดำเนินพล |
ข้ามเขาเหวตาบัวน่ากลัวโข | ดูใหญ่โตสูงเยี่ยมเทียมเวหน |
มีเขาใหญ่สูงชันอยู่ชั้นบน | แลเหลือบยลแหงนฟ้าดูตาลาย |
จำเพาะมีมรคาสองวาศอก | แลเป็นหมอกมืดมิดใจจิตหาย |
ข้างขวามือเขาชันกีดกั้นราย | ข้างเบื้องซ้ายเหวลึกคิดนึกกลัว |
จะฦกสักเท่าไรเราไม่รู้ | ไม่อาจดูขนพองสยองหัว |
แม้นตกลงคงเหลวเหวตาบัว | ระวังตัวพลัดตกหกคะมำ |
หนทางเดินฦกไกลไถลตรง | กลัวช้างลงเดินเลียบเหยียบถลำ |
ช้างเดินลากขาหลังมันช่างทำ | กูบเอียงคว่ำข้างหน้าเมื่อขาลง ฯ |
๏ ถึงที่ต่ำข้ามลำพระยากลาง | เข้าเดินทางทิวไม้ไพรระหง |
เข้าแขวงเมืองบัวชุมเห็นพุ่มพง | ตัดทางตรงมาทำเนียบประเทียบพัก |
อยู่เชิงเขาบังเหยลมเชยฉ่ำ | ริมฝั่งน้ำพระยากลางต่างประจักษ์ |
คนหิวจริงวิงเวียนเจียนจะชัก | ถึงบ่ายสักสามโมงท้องโล่งมา |
ด้วยอดข้าวเช้าหิวใจหวิววุ่น | จิตฉิวฉุนโมโหเกิดโทสา |
บ้างทิ้งหาบผลุงหุงข้าวแล้วเผาปลา | พวกโยธาพักผ่อนอ่อนกำลัง |
เลยพักแรมอยู่นั่นไม่ผันผาย | ด้วยวัวควายช้างม้าเดินล้าหลัง |
ไม่รีบรุดหยุดหย่อนผ่อนประทัง | ก็ยับยั้งที่นั่นไม่ผันแปร ฯ |
๏ ครั้นพลบค่ำสนธยาย่ำราตรี | นั่งชมสีแสงสว่างกระจ่างแข |
ค่อยสร่างโศกโรครำคาญฤๅดานแด | อากาศที่นี่ดีแท้หอมรื่นรวน |
ลมพระพายชายเชยรำเพยผิว | เย็นฉิวฉิวน้ำค้างพรมเมื่อลมหวน |
หอมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำกลิ่นลำดวน | เมื่อจะจวนรุ่งแจ้งแสงหิรัญ ฯ |
๏ พอสว่างสูริยาส่องอากาศ | เสร็จคลาคลาดกองทัพโดยคับขัน |
เดินทางมรคาพนาวัน | พระสูริยันแรงร้อนอ่อนกำลัง |
ข้ามลำพระยากลางเรียกว่าท่ามะกอก | แล้วเดินออกทุ่งใหญ่ด้วยใจหวัง |
พินิจชมพฤกษาล้วนป่ารัง | แลสะพรั่งดูเพลินจำเริญใจ |
ข้ามลำพระยากลางชื่อว่าท่ามะกอ | ก็หยุดรอพักร้อนผ่อนอาศัย |
ครั้นอ่อนแสงสูริยาก็คลาไคล | ยกครรไลออกทางชมยางยูง |
ข้ามลำน้ำสันทิต้องปริปาก | ช้างเดินยากจริงจริงตลิ่งสูง |
ลางคนเดินจดจ้องบ้างต้องจูง | ที่เหล่าฝูงคนเดินเกินระอา ฯ |
๏ ถึงท่าปูนแรมสำนักนิ์พักอยู่ที่นั่น | ครั้นสูริยันสว่างกลางเวหา |
ก็ออกเดินกองทัพคับคั่งมา | กำนันพานำทางไม่คลางแคลง |
เข้าป่ารังบังร่มพระสูริยน | เสร็จเดินพลข้ามลำแม่น้ำแห้ง |
เรียกลำสันทิใหญ่ไม่ระแวง | บ้านประแดงจองกอพอกลางวัน ฯ |
๏ ถึงท่าฉางลำสักหยุดพักร้อน | สโมสรปรีดิ์เปรมกระเษมสันต์ |
เหล่ากรมการเมืองบัวชุมมากลุ้มกัน | ของกำนัลมาคำนับรับเจ้าคุณ |
เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง | ซึ่งข้าวของกำนัลไม่หันหุน |
ท่านนับเงินตราให้ช่วยใช้ทุน | หมีให้บุญคุณติดด้วยคิดอาย |
ซึ่งข้าวสารราคาตั้งให้ถังหนึ่ง | สองสลึงราคาชาวนาขาย |
ซ้ำแจกเงินให้เขาทั้งบ่าวนาย | ทั้งหญิงชายตามประดามาด้วยกัน |
อีกผ้าเสื้อแจกให้ขอบใจเขา | คิดจะเอาบุญคุณไม่หุนหัน |
กรมการดีใจได้รางวัล | แล้วผายผันเสร็จกลับคำนับลา ฯ |
๏ ครั้นว่าบ่ายลมตกยกขยับ | เดินกองทัพเข้าในไพรพฤกษา |
เห็นเขาใหญ่ขวางกั้นอรัญวา | ชื่อเขาตากลิ้งขวางหนทางจร |
เห็นคีรีดีแท้แลคล้ายคล้าย | นึกไม่วายหายกริ่งรูปสิงขร |
แลแต่ไกลชอบกลเหมือนคนนอน | มีกายกรไหล่หัวตัวแลมือ |
เขาว่าสังกรณีตรีชวา | บนยอดผาตากริ่งมีจริงหรือ |
เป็นแต่คำคนเขามาเล่าลือ | หาตัวคือใครได้ก็ไม่มี ฯ |
๏ ถึงท่าสำโรงลำสักจวนจักค่ำ | ต่างข้ามน้ำปลื้มเปรมกระเษมศรี |
ข้ามตรงตื้นพื้นทรายสบายดี | ดูวารีใสสะอาดมีหาดทราย |
เขาว่ามีจระเข้เดรัจฉาน | ตัวประมาณโตใหญ่ดุใจหาย |
ถ้ำมันเนาอยู่ในเขาตากับยาย | ด้วยเชิงชายเขาหยั่งกระทั่งธาร |
เสร็จข้ามน้ำลำสักหยุดพักเนา | ริมเชิงเขาตากับยายชายละหาน |
เข้าเขตแขวงเมืองไทยไชยบาดาล | กรมการมาคำนับคอยรับรอง |
พักแรมทัพอยู่ที่นั่นไม่ผันผาย | ครั้นจวนงายพร้อมพรั่งพลทั้งผอง |
จวนอรุณรุ่งแจ้งเรื่อแสงทอง | ออกเดินกองทัพใหญ่ครรไลจร |
ถึงที่ห้วยเดินข้ามถึงสามแห่ง | สูริย์แสงส่องฟ้าระอาอ่อน |
ถึงท่าลาวลำสักพักนิกร | สำนักนิ์ผ่อนพอประทังกำลังตน ฯ |
๏ เหล่าพวกชาวนิคมกรมการ | ในเมืองไชยบาดาลมาสับสน |
พร้อมทั้งบ่าวทั้งนายมาหลายคน | ด้วยกังวลคอยรับกองทัพมา |
เจ้าคุณแจกเงินให้ไม่เสียดาย | ทั้งบ่าวนายสมมาดปรารถนา |
บ่ายลมตกเดินได้ก็ไคลคลา | ยกโยธากองทัพเลยลับไป |
ถึงบ้านโคกถลุงเป็นทุ่งกว้าง | คนมาสร้างเคหาอยู่อาศัย |
มีเรือนหลายสิบหลังช่างกระไร | มาอยู่ในกลางป่าทำนากิน |
เจ้าคุณเลือกเงินขาวขาวแจกชาวบ้าน | กระทำทานสุดจะนับเสียทรัพย์สิน |
ชาวบ้านได้เงินตราไม่ราคิน | ต่างคนยินดีได้ดังใจจง ฯ |
๏ ครั้นกองทัพล่วงพ้นตำบลบ้าน | เข้าเชิงชานเขาใหญ่ไพรระหง |
เป็นเหลี่ยมคูลดหลั่นสูงชันตรง | ชื่อเขาพระยาเดินธงอยู่ริมทาง |
เข้าประเทศเขตเบื้องเมืองพระบาท | รีบคลาคลาดพ้นเขาลำเนาขวาง |
ล้วนป่าไม้ใหญ่สูงต้นยูงยาง | ต้นแคคางเคี่ยมมะค่าพญารัง ฯ |
๏ ครั้นถึงหนองกระดี่ที่สำนักนิ์ | ก็แรมพักหยุดทัพคนคับคั่ง |
ล้วนอ่อนพับหลับนอนอ่อนประทัง | ครั้นรุ่งรังสีสว่างกระจ่างพราว |
เสร็จคลาเคลื่อนเขยื้อนยกขยับ | เดินกองทัพโยธีเสียงมี่ฉาว |
เหล่าคนเดินพรั่งพรูมากรูกราว | เสียงฝีเท้าคนสะเทื้อนเมื่อเคลื่อนคลา |
เข้าปากดงวังส้มร่มชอุ่ม | ด้วยยางพุ่มไสวใบพฤกษา |
บังแฝงแสงศรีสูริยา | ที่ในป่าดงคลุ้มชอุ่มมัว |
ศิลาลายหลายอย่างต่างต่างสี | อยู่ในพื้นปฐพีตลอดทั่ว |
มาตั้งทำหินได้แล้วไม่กลัว | คงเอาตัวรอดได้เห็นไม่จน |
ไม่ต้องใช้หินฝรั่งแล้วครั้งนี้ | เมืองไทยมีมากถนัดไม่ขัดสน |
ถ้าทำวังทำวัดแล้วจัดคน | ขึ้นมาขนส่งไปเห็นได้การ |
ด้วยหินอ่อนลายสะอาดประหลาดเหลือ | งามทั้งเนื้อละเอียดดีสีสัณฐาน |
มีมากมายหลายล้นพ้นประมาณ | จะทำบ้านปูวัดไม่ขัดเลย |
เจ้าคุณให้คนสำรวจตรวจดูทั่ว | เก็บเอาตัวอย่างมาไม่ช้าเฉย |
ให้พวกช่างหินดูที่ผู้เคย | ก็ชมเชยเนื้อศิลาไม่ราคิน ฯ |
๏ มาถึงดงบ่อทองมองเขม้น | ไม่แลเห็นทองจิตคิดถวิล |
เขาว่ามีอยู่ในใต้แผ่นดิน | แต่ล้วนหินคนจะขุดก็สุดแรง |
แต่ก่อนมาคนปองขุดทองคำ | ครั้นทำทำขุดพบกระทบแข็ง |
ทั้งโตทั้งหนาศิลาแดง | เอาชะแลงเข้าขุดสุดกำลัง |
สิ้นมานะจึงได้ละไม่ลงขุด | เพราะสิ้นสุดความคิดที่จิตหวัง |
คนเราทุกวันนี้ไม่อินัง | ทองอยู่ทั้งดงใหญ่ไม่นำพา ฯ |
๏ ครั้นถึงที่โป่งตะแบกไม่แยกย้าย | เดินเลียบชายเขาไศลใหญ่หนักหนา |
อยู่กลางแจ้งบังแสงพระสูริยา | สูงเยี่ยมฟ้าแลเป็นควันยอดบรรพต |
ครั้นออกจากชายดงเดินตรงมา | ถึงที่โคกตากฟ้าร้อนปรากฏ |
เดินกองทัพฉับเฉียวไม่เลี้ยวลด | รีบขับคชาชาญเป็นการไว |
ครั้นถึงพุกำจานมีธารน้ำ | เข้าหยุดสำนักนิ์ร้อนผ่อนอาศัย |
พออ่อนแสงสูริยาก็คลาไคล | เร่งครรไลรีบร้นมาลนลาน ฯ |
๏ มาถึงที่พุทธบาทสมมาดหมาย | ทั้งไพร่นายปรีดิ์เปรมกระเษมสานต์ |
ต่างคนเอิกเกริกใจเบิกบาน | แวะเข้านมัสการพระบาทา |
พวกชาวบ้านพร้อมพรั่งมานั่งราย | หวังจะขายเทียนธูปแลบุปผา |
ฝ่ายเจ้าเมืองกรมการลนลานมา | คลานเข้าหาเจ้าคุณอยู่วุ่นวาย |
จับปลาแห้งแตงกวามาคำนับ | เจ้าคุณรับขอบใจเขาไม่หาย |
หยิบผ้าเสื้อแจกให้ไม่เสียดาย | ทั้งบ่าวนายแจกเงินให้ดังใจจง ฯ |
๏ พักแรมหยุดอยู่ที่พุทธบาทนั้น | หวังจะวันทาตามความประสงค์ |
ด้วยท่านเจ้าคุณคิดมีจิตจง | หวังจำนงในมนัสนมัสการ |
ครั้นพร้อมด้วยพระหลวงทั้งปวงแล้ว | ก็คลาดแคล้วขึ้นไปในสถาน |
เข้าในโบสถ์บวรรัตน์ชัชวาลย์ | หัตถ์ประสานโดยสุภาพกราบวันทา |
แล้วอาราธนาพระสงฆ์มาองค์หนึ่ง | สำแดงซึ่งธรรมวิเศษเทศนา |
ครั้นเคารพจบคำพระธรรมา | ถวายผ้ากับปัจจัยไทยทาน |
แล้วนิมนต์สงฆ์มาทั้งอาวาส | วัดพระบาทด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ |
เชิญพระทนต์ขึ้นเสร็จเสด็จพาน | แล้วกราบกรานบังคมบรมทนต์ |
นิมนต์สงฆ์ทรงสดับปกรณ์ | แลสลอนพระอันดับนั่งสับสน |
ถวายปัจจัยพระไม่ปะปน | แล้วแจกคนผู้รักษาพระบาโท |
เสร็จสรรพกลับมาสู่สำนักนิ์ | ที่แรมพักผ่อนทุกข์เป็นสุโข |
ครั้นจวนแจ้งแสงศรีสูริโย | จวนอโณทัยแล้วคลาดแคล้วจร |
ออกทางหลวงล่วงพ้นไม่วนวก | ถึงศาลเจ้าเขาตกเชิงสิงขร |
เจ้าคุณเสร็จผันผายถวายพร | แล้วรีบร้อนเร่งเดินดำเนินพล ฯ |
๏ มาถึงบางโขมดเห็นโบสถ์วัด | เจ้าคุณศรัทธาใคร่ได้กุศล |
ดำริพลางบัญชาใช้สั่งให้คน | ไปนิมนต์สงฆ์มาข้างอาราม |
ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาท | ไม่หวั่นหวาดตระหนี่จิตจะคิดขาม |
เด็กศิษย์วัดแจกให้เปลืองเงินเฟื้องงาม | ด้วยมีความศรัทธาปัญญาชาญ ฯ |
๏ ครั้นมาถึงท่าเรือเหลือวิเศษ | สว่างเนตรเหมือนถึงซึ่งสถาน |
ประดุจดังได้สบพ้องพบพาน | ซึ่งบุตรหลานภรรยาที่ราแรม |
ต่างคนต่างดีใจด้วยใกล้บ้าน | กระเษมสานต์สุกใสหัวใจแจ่ม |
บ้างพบปะพวกพ้องร้องอ๊ะแฮม | บ้างยิ้มแย้มทายทักรู้จักกัน |
ชาวท่าเรือที่พวกพ้องต้องไปทัพ | ยืนคอยรับลูกผัวตัวกระสันต์ |
ได้ปะพบกันใหม่ใหม่ชื่นใจครัน | บางคนนั้นคอยเปล่ายืนเศร้าใจ |
พอเขาบอกว่าผัวของตัวตาย | ลงทอดกายกลิ้งซบสลบไสล |
บ้างโหยหวนครวญคร่ำแล้วร่ำไร | ด้วยผัวไปกองทัพไม่กลับมา |
บ้างมีชู้รู้ว่าเจ้าผัวตาย | ทำฟูมฟายร่ำไรร้องไห้หา |
ทำตรอมตรมซมซานด้วยมารยา | กลัวแต่ว่าผัวหายไม่ตายจริง |
แต่ที่แท้นิยมอยากชมชู้ | ถ้าผัวอยู่กลัวจะนุ่งเกิดยุ่งยิ่ง |
เขาบอกว่าผัวตายวายประวิง | นึกกริ่งกริ่งร้องไห้กลัวไม่ตาย ฯ |
๏ ครั้นมาถึงศาลาท่าสมเด็จ | เจ้าคุณเสร็จจรจรัลรีบผันผาย |
ต่างคนลงปลงช้างของวางราย | มุ่งมาดหมายอาศัยในศาลา |
ด้วยไม่มีนาวาขึ้นมารับ | ต้องแรมทัพรอคอยละห้อยหา |
คอยดูเรือมารับยิ่งลับตา | จนเวลาเทศกาลสงกรานต์ไทย |
ต้องค้างอยู่ที่ศาลาใหญ่หาเรือ | รำคาญเหลือหม่นหมองไม่ผ่องใส |
ยามสงกรานต์ไม่เป็นสุขสนุกนิ์ใจ | สักเมื่อไรเรือจะมาคอยท่านาน |
ณ วันหนึ่งเรือถึงมาจอดท่า | ล้วนนาวาจอดเรียงเคียงขนาน |
เรือขึ้นมาสอสอเกินพอการ | ด้วยพวกบ้านหมายใจจะไม่พอ |
เรือโตโตขึ้นมาเป็นว่าเล่น | เจ้าคุณเห็นตกใจนี่ใครหนอ |
จัดเรือแพมาช่างไม่รั้งรอ | เหมือนเงินบ๋อกระเป๋าอู๋ไม่รู้การ |
หมีหมายใจว่าเราได้ของกำนัล | คงสำคัญใจจิตคิดวิถาร |
จะมีอะไรด้วยไปราชการ | คำโบราณเขาว่าตำรามี |
ไม่เห็นน้ำรีบรัดตัดกระบอก | จะต้องออกแรงแบกแหวกวิถี |
กระเป๋าอู๋เงินบ๋อก็พอดี | สมกับที่จัดเรือมาเหลือพาย ฯ |
๏ ครั้นเรือแพนาวาพร้อมมาเสร็จ | วันแรมเจ็ดค่ำเดือนห้าเวลาสาย |
ท่านเจ้าคุณจัดแจงตบแต่งกาย | เสร็จผันผายสู่ท่านาวาพลัน |
เจ้าคุณลงแล้วบอกให้ออกแจว | ต่างคลาดแคล้วปรีดิ์เปรมกระเษมสันต์ |
เรือมาคว้างคว้างพอกลางวัน | ถึงวังจันทรเกษมต่างเปรมปรีดิ์ |
แลเห็นเรือกลไฟพระไพรัช | ท่านได้จัดขึ้นมารับประทับท่า |
ฝ่ายว่าเจ้าคุณท่านมีบัญชา | เข้าจอดหน้าวังจันทร์ด้วยทันที |
แล้วให้หากรมการเจ้าบ้านเมือง | มาแจ้งเรื่องกองทัพกลับกรุงศรี |
ตามแบบอย่างราชการบูราณมี | ด้วยบัดนี้กองทัพจะกลับไป |
ด้วยว่ามีท้องตราให้หากลับ | บอกคำนับชี้แจงแถลงไข |
แล้วเสร็จออกนาวาล่วงคลาไคล | เรือกลไฟจูงมาในสาคร ฯ |
๏ ถึงวัดเชิงจอดประทับเข้ากับท่า | แวะนาวาจอดเรียงเคียงสลอน |
เจ้าคุณขึ้นจ้องจดบทจร | ชุลีกรพระใหญ่ด้วยใจจง |
แล้วเชิญพระบรมทนต์ขึ้นบนวัด | ด้วยจิตศรัทธาปลื้มไม่ลืมหลง |
แจกเงินให้ผู้เฝ้าเหล่าเฮียกง | นิมนต์สงฆ์หมดมาทั้งอาราม |
สดับปกรณ์พระทนต์ยุคลบาท | พระจอมปราชญ์ซึ่งบำรุงกรุงสยาม |
ถวายแผ่อุทิศผลกุศลตาม | เพราะด้วยความกตัญญูรู้พระคุณ |
ครั้นสำเร็จเสร็จตรงลงนาวา | เรือไฟพาอีกวักใบจักรหมุน |
ผลักเรือออกกลางน้ำถ่อค้ำจุน | ควันไฟกรุ่นกลุ้มมาในสาคร ฯ |
๏ เรือละลิ่วลิ่วมาเวลาสาย | แสนสบายสุโขสโมสร |
ไม่แวะเวียนแห่งใดครรไลจร | เร่งรีบร้อนเรือเรื่อยแล่นเฉื่อยมา |
เรือเลยพ้นออกจากคลองปากเกร็ด | เจ้าคุณเข็ดคนจะครหา |
เพราะด้วยการท่านไปทางไกลมา | ไม่เห็นว่ามีสิ่งใดไปให้ปัน |
บัญชาให้เรือฉุดรอหยุดจักร | เข้าจอดพักด้วยอายไม่ผายผัน |
จะรีบรัดขัดขวางเป็นกลางวัน | ด้วยกระชั้นถึงบ้านรำคาญใจ |
เข้าจอดรอพอให้ย่ำค่ำสักหน่อย | จึงจะค่อยไปให้ถึงจึงจะได้ |
ครั้นจอดอยู่ช้านานรำคาญใจ | แล้วเลยไปท่าอิฐคิดบรรเทา |
ด้วยมะปรางท่าอิฐติดจะฦๅ | จะต้องซื้อไปให้มากได้ฝากเขา |
แม้นใครทวงออกปากของฝากเรา | จะต้องเอามะปรางให้เห็นได้การ |
เที่ยวถามซื้อมะปรางใหญ่ก็ไม่พบ | แจวจนจบทั่วสิ้นพ้นถิ่นบ้าน |
ด้วยจวนวายคลายผลไม่ทนทาน | มะปรางหวานหน้านี้ไม่มีโต |
ครั้นจวนเย็นแล้วก็กลับมาฉับพลัน | ด้วยตะวันจวนจักบ่ายอักโข |
สั่งเรือไฟให้ลอยปล่อยบุโล | ออกแล่นโร่รีบมาเวลากาล ฯ |
๏ ถึงกรุงเทพทวาราเวลาเย็น | พอแลเห็นปรีดิ์เปรมกระเษมสานต์ |
ด้วยไปทัพกลับมานั้นช้านาน | จะประมาณเจ็ดเดือนไม่เคลื่อนคลาย |
ถึงเดือนห้าแรมแปดค่ำถ้วนคำรบ | พอดีครบเจ็ดเดือนเหมือนอย่างหมาย |
จิตเอิบอิ่มมาในเรือเหลือสบาย | ค่อยว่างวายทุกข์ใจอาลัยวรณ์ ฯ |
๏ จบฉบับทัพเรื่องเมืองหนองคาย | สิ้นจดหมายแกมนิราศคลาดสมร |
ซึ่งตัวข้าผู้แต่งแสดงกลอน | ขออวยพรแต่งไว้เรื่องไปทัพ |
ล้วนความจริงไม่แกล้งมาแต่งปด | ได้จำจดผูกพันจนวันกลับ |
ถึงความร้ายการดีที่ลี้ลับ | ได้สดับเรื่องหมดจำจดมา |
ซึ่งบางพวกไม่ได้ขึ้นไปทัพ | บางคนกลับผูกจิตฤษยา |
แล้วกล่าวโทษติฉินแกล้งนินทา | ขอดค่อนว่ากองทัพเสียยับเยิน |
ที่เหล่าพวกหูป่าตากะสือ | ฟังเขาลือเชื่อใจหมีได้เขิน |
พูดเสริมส่งเลยล้นไปจนเกิน | อย่าด่วนเพลินเผลอพร่ำพูดลำพัง |
คอยผูกใจผูกจิตคอยอิจฉา | แอบนินทากองทัพอยู่ลับหลัง |
ถ้าใครอยากรู้สิ่งที่จริงจัง | จงวานฟังข้อคำที่รำพัน |
ทำอย่างนั้นผิดอย่างนี้ที่ตรงไหน | ตัดสินให้เที่ยงแท้อย่าแปรผัน |
ช่วยตรึกตรองตั้งใจให้เป็นธรรม์ | อย่าชวนกันนินทามุสาตาม |
จงไล่เลียงสืบสวนให้ถ้วนถี่ | ก็ย่อมมีผู้คนไปล้นหลาม |
อย่ากล่าวโทษโฉดเขลาบ้าเบาความ | พูดซุ่มซ่ามโดยเดาเปล่าเปล่าเอย ฯ |
จบบริบูรณ์
[๑] เคาซิลลอ (Councillor) ที่ปรึกษา, เจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง ได้รับตำแหน่งเคาน์ซิลลอร์ออฟสเตด
[๒] ต้นฉบับว่า “กระไรเลยรู้หาย”
[๓] ข้อความตอนต้นเรื่องนี้ สันนิษฐานว่าหลวงพัฒนพงศ์ภักดีแต่งเพิ่มขึ้นหลังจากต้องโทษโบย ๕๐ ที และจำคุกเมื่อตีพิมพ์เรื่องนี้ในพุทธศักราช ๒๔๒๑
[๔] “นุ่ง” เป็นสำนวนคำสมัยที่แต่งเรื่องนี้ หมายถึง มากด้วยกลอุบาย ฉ้อฉล
[๕] ความในนิราศหนองคาย ๔ คำกลอนนี้น่าจะแต่งแทรกหลังจากหลวงพัฒนพงศ์ภักดีได้รับโทษแล้ว
[๖] สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
[๗] เดนเย่อร์ (danger) = อันตราย, แฟมลี่ (family) = ครอบครรัว
[๘] ดูรายละเอียดในโองการดุษฎีสังเวยยกทัพ สมัยรัชกาลที่ ๕ ในภาคผนวก
[๙] สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี
[๑๐] มินิต (minute) = นาที
[๑๑] พ้อม = กระพ้อม ภาชนะสานด้วยไม้ไผ่ ทรงกลม ขนาดใหญ่ สำหรับใส่ข้าวเปลือกในยุ้งฉาง
[๑๒] วัดสมุหประดิษฐ์ อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี
[๑๓] หมดความในสมุดไทย เล่ม ๑ ความต่อไปเป็นสมุดไทย เล่ม ๒
[๑๔] ไปรเวต (private) = เป็นส่วนตัว
[๑๕] เจ้าคุณราชวรา หมายถึง พระยาราชวรานุกูล
[๑๖] หมวกกะเรนเซน (garrison cap) = หมวกหนีบ
[๑๗] กงซุล (consul) = กงสุล
[๑๘] ปรีเซนต์ (Present) = การนำเสนอ, การแนะนำ
[๑๙] หมดความในสมุดไทย เล่ม ๒ ความต่อไปเป็นสมุดไทย เล่ม ๓
[๒๐] อินชุรรัน (Insurance) = การประกัน
[๒๑] เฟิสท์ (First) = อันดับแรก
[๒๒] แอดดิกง (aide de camp) ตำแหน่งนายทหารคนสนิทของแม่ทัพ
[๒๓] หมดข้อความที่นายสวัสดิ์ จั่นเล็ก คัดลอกจากสมุดไทย เล่ม ๑-๒-๓ เพียงเท่านี้
[๒๔] ซายัน (sergeant) = เทียบเท่ายศทหารชั้นสิบเอกในกองทัพอังกฤษ
[๒๕] กอโปราล (Corporal) = เทียบเท่ายศทหารชั้นสิบโทในกองทัพอังกฤษ ในขณะนั้นการแบ่งยศทหารอย่างใหม่ใช้เป็นแบบยุโรป
[๒๖] แคทะริงตัน (gatling gun) = ปืนกล
[๒๗] ทหารอย่างวาลันเตีย (Volunteer) คือทหารอาสาสมัคร
[๒๘] ซีเกร็ตตอรี (secretary) คือตำแหน่งเลขานุการ
[๒๙] วัดกลาง หรือวัดกลางนคร ปัจจุบันคือวัดพระนารายณ์มหาราช
[๓๐] เข้าทู เป็นคำลาว มีคำแปลดังใจความในคำกลอนคำต่อมา คล้ายๆ กับธรรมเนียมจ่ายเงินให้นักเลงโตคุ้มครองสวัสดิภาพของตนเอง
[๓๑] บ้านสีถานอยู่ในเมืองท่าแขก นครหลวงเวียงจันท์ สาธารณรัฐปรชาธิปไตยประชาชนลาว
[๓๒] ตรวนขานกยาง คือ ตรวนชนิดหนึ่งทำด้วยเหล็ก ๒ ท่อน ปลายข้างหนึ่งเป็นห่วงข้อต่อ
[๓๓] ปัศตัน (pistol) คือ ปืนชนิดหนึ่งบรรจุปลอกลูกกระสุนในรังเพลิงต่างจากปืนไฟแบบดั้งเดิมที่บรรจุกระสุนดินดำทางปากกระบอก
[๓๔] หมายถึงเจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธุ์)
[๓๕] หมายถึงเจ้าพระยาภูธราภัย
[๓๖] ตาแสง คือ กำนัน, ผู้มีตำแหน่งปกครองภายในหมวด (ตำบล) เขตปกครองในสมัยโบราณ เมืองหรือจังหวัดหนึ่งแบ่งดังนี้ หลายหลังคาเรือนเป็นบ้าน หลายบ้านเป็นหมวด (ตำบล) หลายหมวดเป็นแขวง (อำเภอ) หลายแขวงเป็นเมือง
[๓๗] หมดเนื้อความสมุดไทย เล่ม ๓ ต่อไปเป็นสมุดไทย เล่ม ๔
[๓๘] พระราชริน หมายถึง พระราชวรินทร์