บทที่ 6 รอยร้าว รอยรัก
เวลาที่สุธีถูกจับนั้น เป็นเวลาบ่าย บังเอิญเรไรไม่ได้อยู่ในเมือง ออกไปตามบ้านไร่บ้านนา เพื่อเยี่ยมพวกพ้องชาวไร่ชาวนาตามวิสัยที่เรไรชอบ อยู่ที่อื่นเรไรต้องเก็บตัวซ่อนตัว แต่อยู่ในเมืองนี้ เรไรไปทางไหนได้อย่างเปิดเผย ซึ่งเรไรเองก็นึกขบขันความแปลกประหลาดในเรื่องของมนุษย์ อยู่ห่างจากเสือต้องระวังตัวกลัวเสือ เข้ามาอยู่ใกล้ปากเสือกลับไม่ต้องกลัวอะไร ทั้งนี้เรไรก็เข้าใจดีว่าเป็นเพราะความอุปถัมภ์ของนายสมพร ซึ่งกำลังจะมีอิทธิพลขึ้นในเมื่อเศรษฐีเสื่อมอิทธิพลลง แต่นายสมพรไม่ได้สร้างอิทธิพลอย่างเดียวกับเศรษฐี เขาสร้างด้วยความเมตตาปรานี อย่างที่เขาเมตตาปรานีเรไรมาตั้งแต่เด็ก เศรษฐีเองก็ยังต้องหวั่นเกรงเขาในเวลานี้
เมื่อเรไรมาถึงบ้าน จึงได้ข่าวสุธีถูกจับ เรไรไม่ตกใจ เพราะเห็นเป็นเรื่องที่ไม่ยากลำบาก เรไรรีบไปเยี่ยมเขาที่สถานีตำรวจ และได้พบสุธีในห้องขัง เธอยิ้มกับเขา เขายิ้มตอบ และสังเกตสีหน้าของเขาก็ไม่หวั่นวิตก เรไรไม่ได้ถามว่ามาเมื่อไร มาทำไม เพราะไม่อยากจะพูดอะไรกันให้มากไป ถ้าเขาเป็นคนฉลาด เขาก็ควรจะรู้เอง ว่าการที่เรไรมาพบเขาได้อย่างเปิดเผย และความยิ้มในดวงหน้าของเรไรเช่นนั้น แสดงว่าเรไรเองก็อยู่ในฐานะปลอดภัยแล้ว เขาควรจะดีใจไว้ตอนหนึ่ง ส่วนเรื่องของเขาเองที่ถูกจับนั้น เรไรก็มองเห็นตลอดปลอดโปร่งไม่มีความวิตก เรไรได้แสดงตัวของเธอต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าตัวเองคือเรไรที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องยาพิษ และตัวผู้ที่ถูกจับนี้ ความจริงตำรวจก็รู้จักตัวเรไรอยู่แล้ว เรื่องโด่งดังที่เป็นอยู่ในเวลานี้ น้อยคนที่จะไม่รู้จักเรไร เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นัดเรไรมาสอบถามปากคำในวันรุ่งขึ้น เรไรได้นำอาหารไปให้แก่สุธีเองในเย็นวันนั้น เธอแสดงให้เขาเห็นดวงหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา และเรไรก็เชื่อว่า เขาเป็นคนมีกำลังใจดีอยู่แล้ว
การสอบสวนอย่างละเอียด ทางตำรวจได้ทำกันในวันรุ่งขึ้น เรไรถูกสอบถามมากกว่าคนอื่น เธอได้ให้การตามความจริงทุกอย่าง เธอไม่เคยพบไม่เคยรู้จักสุธีในเวลาที่เกิดเรื่องยาพิษ เธอเล่าความมุ่งหมายของสุธิในการส่งยาพิษเข้าไปให้เธอ ซึ่งความจริงสุธีจ้างเด็กให้ยื่นให้เจ้าของบ้านคือตัวเศรษฐีเอง เพื่อให้เกิดความระแวงสงสัยถึงกับไล่เรไรออกจากบ้าน แผนการของสุธีมีอยู่เพียงเท่านั้น ตามที่เรไรทราบจากสุธี
พยานปากสำคัญก็มี 2 ปาก คือลูกจีนเจ้าของร้าน และตัวจีนเจ้าของร้านเอง ลูกจีนได้ให้การสอดคล้องต้องตามคำของเรไร คือสุธีจ้างเขาเป็นจำนวนเงิน 10 บาท ให้นำซองจดหมายไปส่งให้ท่านเศรษฐี เด็กไม่รู้ว่าในซองนั้นมีอะไร สุธีได้สั่งเจาะจงว่า ให้ให้แก่ตัวเศรษฐีเอง แต่ให้พูดว่าต้องการให้แก่เรไร ให้พูดอย่างนั้นให้เศรษฐีได้ยิน จีนเจ้าของร้านซึ่งเป็นพ่อของเด็กก็ให้การต้องกัน คือว่า ในขณะที่สุธีสั่งการแก่ลูกของเขานั้น เขาก็อยู่ที่นั่นด้วย เขาเกรงลูกจะไม่เข้าใจดี เขายังได้ช่วยอธิบายแก่ลูกของเขาว่า ให้ลูกของเขาคอยหาโอกาสที่เศรษฐีเดินอยู่ในลานบ้าน ให้ลูกตรงเข้าไปหาเศรษฐี ส่งของนั้นให้ แต่ให้พูดให้แจ้งชัดว่ามีคนฝากมาให้เรไร เขาต้องซักซ้อมลูกเขาอย่างนี้หลายครั้งหลายหน
เมื่อคำให้การของพยานปากสำคัญเป็นเช่นนี้ รูปเรื่องก็ไม่สามารถจะเป็นไปในทางที่ว่า สุธีพยายามฆ่าเศรษฐีให้ตายด้วยยาพิษ เรื่องที่จะฟ้องสุธีฐานพยายามฆ่าคนตาย ก็ไม่สามารถจะเป็นไปได้ ตำรวจเองก็เห็นชัดว่า ความมุ่งหมายของสุธีเป็นแต่เพียงให้เรไรถูกขจัดออกจากบ้าน จะเป็นเรื่องที่เขารักเรไร หรืออยากให้เรไรไปอยู่กับพ่อแม่ เพื่อได้ใช้พ่อแม่ของเรไรไปนานๆ ก็ตามที แต่ไม่ใช่เรื่องพยายามวางยาพิษเศรษฐี เพราะเป็นการชัดแจ้งว่า เขาได้สั่งแน่ชัดให้ซองจดหมายนั้นถึงมือเศรษฐีเอง ให้เศรษฐีรู้ก่อนใครๆ ว่ามียาพิษอยู่ในนั้น เศรษฐีไม่สามารถจะหาพยานอื่นมาให้อีก เรื่องก็จบลงเพียงเท่านั้น ปากคำของสุธีที่ตำรวจสอบถาม ก็ตรงกับปากคำของคนอื่นทุกอย่าง เป็นอันต้องปล่อยตัวสุธีไป สุธีได้รับการปลดปล่อยจากที่คุมขังในบ่ายวันนั้น เจ้าของบ้านของเรไรไปรับตัวมาพักอยู่ในบ้านเดียวกับเรไร
เรื่องของสุธีซึ่งไม่มีอะไรแรงร้ายทางเมืองใต้ และเสร็จลงง่ายๆ ดังกล่าวแล้ว มามีผลแรงร้ายทางกรุงเทพฯ แม้จะได้มีข่าวเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ในภายหลังว่า ตำรวจได้ปล่อยตัวสุธี ไม่มีเรื่องอะไรต่อไปในทางอาญา ก็ไม่มีทางที่ครอบครัวจะให้อภัยแก่สุธีได้ เพราะความจริงที่ว่า สุธีได้ละทิ้งภรรยาซึ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ติดตามผู้หญิงสวยคนหนึ่งลงไป จนถูกจับตัวเข้าห้องขังนั้น เป็นเรื่องเสียหายแก่ครอบครัวมาก ได้มีการประชุมพูดจากันสองสามครั้งระหว่างครอบครัวทั้งสอง คือพ่อแม่ของสุธี พ่อตาแม่ยายภริยาสุธี และพี่ของสุธี ทุกคนรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งในการกระทำผิดใหญ่หลวงของสุธีครั้งนี้ ภริยาสุธีกล่าวว่า เธอไม่สามารถจะมองหน้าใครได้อีก เพราะเป็นความอับอายแก่เธอเหลือประมาณ และเธอไม่รู้ว่าจะมีชีวิตร่วมกับสุธีได้อย่างไรในภายหน้า แม้จะไปไหนด้วยกัน และพบปะกับใคร ก็จะมีแผลให้ขายหน้าตลอดไป พ่อแม่ของฝ่ายหญิงบอกว่า เขาไม่สามารถจะให้คนเข้าห้องขัง กลับเข้ามาบ้านและเป็นลูกเขยเขาต่อไป เขาใช้ถ้อยคำรุนแรงถึงกับว่า เขาไม่สามารถจะทนรับเอาความอัปรีย์จัญไรเข้ามาสู่บ้านเขาหรือสู่ตัวลูกสาวของเขาอีก เขาไม่สามารถจะเป็นตายายของเด็กที่จะเกิดมาเป็นลูกคนเคยเข้าห้องขัง ถ้าเป็นคดีการเมืองหรือเรื่องมีเกียรติอะไรก็ไม่ว่า แต่นี่เป็นเรื่องขายหน้าติดตามผู้หญิงไป
อันที่จริงก็ถูกของเขาทั้งนั้น การกระทำของสุธีไม่มีทางจะแก้ตัวได้ในส่วนที่เกี่ยวกับครอบครัว เรื่องมนุษยธรรมหรือสภาพใจของมนุษย์ เป็นอีกปัญหาหนึ่งซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของครอบครัว จะรับพิจารณารวมความว่า การสมรสของสุธี ซึ่งมีอายุมาไม่นาน จะต้องเข้าถึงขั้นแตกหัก รอยร้าวมันใหญ่และมากเกินกว่าที่จะกลับประสานได้ เรื่องที่สุธีกับภริยาจะต้องเลิกกันนั้น เป็นเรื่องแน่นอนไม่มีปัญหา เมื่อสุธีกลับมา ฝ่ายหญิงก็ต้องขอหย่า
และทางเมืองใต้นี้เอง เรื่องของสุธีก็ทำความลำบากหนักใจแก่เรไรเป็นอันมาก เรไรมองเห็นเรื่องของสุธีเป็นปัญหายากในหัวใจของเธอ ยากยิ่งกว่าเรื่องต่อสู้กับเศรษฐีที่เรไรกำลังทำอยู่ในเวลานี้
“เธอไม่ควรตามฉันมาเลย” เรไรพูดกับเขาในเมื่อเป็นโอกาสที่จะพูดกันได้โดยลำพัง
“ลองเปลี่ยนใจเธอเป็นใจฉัน” สุธีตอบ “เธอจะตามไปช่วยฉันไหม ถ้าเธอได้ทราบว่า ฉันกำลังตกอยู่ในอันตราย”
“แล้วเธอไม่คิดบ้างหรือว่า จะเกิดผลร้ายแก่เธออย่างไร ในการที่เธอตามฉันมา”
“ช่างมันเถอะ อะไรมันจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน”
“ช่างมันไม่ได้ เธอได้แต่งงานเป็นสามีของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอทำผิดมาก”
“ก็สุดแต่เขาจะกรุณา” สุธีตอบ
“เขา” เรไรทวนคำ “เธอหมายถึงใคร คำว่าเขาของเธอน่ะ”
“ก็ไม่รู้ได้” สุธีตอบ “ใครที่เขามีอำนาจจะพิพากษาโทษฉัน ก็ให้เขาพิพากษาไปตามที่เขาเห็นสมควร”
ซุ่มเสียงของสุธี ทำให้เรไรแลเห็นว่าไม่ใช่เวลาที่จะรุกเร้ากล่าวโทษเขามากไป เพราะแง่ที่เรไรจะต้องเห็นใจสุธีก็มีอยู่มาก เรไรได้เปลี่ยนเรื่องสนทนา เล่าเรื่องของเธอเอง เรื่องการต่อสู้ของเธอที่ได้ทำมาจนกระทั่งถึงวันนั้น ทำให้อารมณ์เขาดีขึ้น
“ฉันอยากเป็นเหมือนเธอ” เขากล่าว “ฉันอยากจะได้มีโอกาสต่อสู้เหมือนอย่างเธอ แต่ไม่มีเรื่องให้ฉันทำอย่างนั้น”
“อย่ามีเสียดีกว่า” เรไรตอบ
“ในบางครั้งฉันรู้สึกละอายใจ” เขาพูด “ฉันเกิดมาเป็นผู้ชาย ยังไม่มีโอกาสได้ทำการต่อสู้เหมือนอย่างที่เธอทำ”
“เราก็เกิดมาไม่เหมือนกัน สุธี เธอได้กำเนิดที่ราบรื่นมาแล้ว เธอควรจะพอใจ และขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ได้ให้กำเนิดอันราบรื่นแก่เธอมา การแสวงหาเรื่องผจญภัยไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้อง เพราะถึงแม้เราไม่แสวงหา ก็มีภัยให้เราเผชิญมากอยู่แล้วในชีวิตไม่ต้องไปหาอะไรเพิ่มเติมเข้าอีก ฉันมีความคิดอย่างเดียวในเวลานี้ว่า เมื่อเธอกลับไปถึงกรุงเทพ ฯ ขอให้เธอกลับเข้าสู่ความราบรื่นได้ใหม่ ถ้าเธอต้องประสบความยุ่งยากอย่างหนึ่งอย่างใดเพราะเรื่องฉัน ฉันจะเสียใจอย่างเหลือเกิน ที่ฉันพูดนี้เป็นความจริง พูดจากหัวใจที่บริสุทธิ์ ฉันหมดความเห็นแก่ตัวจริงๆ ในเวลานี้ ฉันตีราคาชีวิตของฉันอย่างเป็นของที่ไม่มีค่าอะไร คิดอย่างเดียวแต่อยากให้คนอื่นมีความผาสุก”
เรากลับไปสู่เรื่องการต่อสู้ของเรไรใหม่
ตั้งแต่เรไรได้ยื่นฟ้อง และศาลได้บอกกำหนดนัดให้เศรษฐีผู้เป็นจำเลยมาแก้คดีแล้ว เศรษฐีก็ได้ใช้วิธีขอยอมความ เพราะเห็นชัดว่าขืนต่อสู้กันก็เสียเงินมากขึ้นไปอีก เรไรเรียกค่าเสียหายทางแพ่งถึงสองแสน จริงดังที่ชายผู้นำนั้นนำมาบอก ถึงแม้ศาลจะตัดสินให้เพียงหนึ่งในสี่คือเพียงห้าหมื่น ก็จะเสียเงินอีกห้าหมื่น แล้วยังค่าทนายค่าธรรมเนียมอะไรอีก เศรษฐีได้ให้ทนายความของตนติดต่อกับทนายความของเรไร เพื่อขอยอมความ และขอทราบเงื่อนไขของเรไรในการยอมความ ได้กำหนดนัดหมายเอาบ้านนายสมพรเป็นที่ประชุมพูดจากันอีกครั้งหนึ่ง นัดกันว่าตัวเศรษฐีและทนายของเขา จะมาพบพูดกับเรไร และทนายของเรไรในบ้านนั้น ซึ่งเจ้าของบ้านก็ได้เตรียมรับรองอย่างดี กำหนดนัดหมายกันว่า จะมาพบพูดจากันในคืนวันหนึ่ง แต่เผอิญในเวลาบ่ายวันนั้น สุธีถูกจับ เศรษฐีเห็นเป็นทีที่จะเอาชนะเรไรได้ มองเห็นทางตลอดปลอดโปร่งว่าเรไรจะต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ เพราะเหตุที่หาตัวบุรุษลึกลับได้ เศรษฐีเลยผิดนัดไปเฉยๆ ไม่มาประชุมพูดจาตามนัด โดยไม่บอกกล่าวว่ากระไร
ครั้นเมื่อรุ่งขึ้นเวลาบ่าย ตำรวจปล่อยตัวสุธีไปแล้ว เศรษฐีก็กลับมองเห็นความพ่ายแพ้ของตนใหม่ รุ่งขึ้นให้ทนายความมาติดต่ออีก ให้ข้อแก้ตัวว่า เนื่องจากมีเรื่องใหม่เกิดขึ้น คือเรื่องสุธีถูกจับ เกรงเรไรจะพะว้าพะวัง ไม่มีความคิดที่จะพูดกันได้เรียบร้อย จึงได้งดเสีย ไม่มาในคืนนั้น และขอนัดพบพูดกันใหม่ เพื่อหาทางยอมความ เรไรเห็นว่าบัดนี้ก็ใกล้ถึงวันกำหนดนัดของศาลอยู่แล้ว จึงให้ทนายความมาของตนตอบไปว่า ไปพูดกันในศาลดีกว่า และถ้าตกลงจะยอมความกัน ก็ไปยอมกันในศาล
ถึงวันเวลากำหนดนัดของศาล ผู้คนแน่นอัดจนขนาดของห้องพิจารณาไม่สามารถจะรับคนได้ ผู้คนล้นหลามออกมาถึงข้างนอก จนถึงบริเวณหน้าศาล นอกจากคนในเมืองที่อยากรู้อยากเห็นแล้ว ชาวไร่ชาวนาพวกของเรไรก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ทุกคนรักษาความสงบ ไม่มีใครเอะอะแสดงกิริยาวาจาไม่สมควรอย่างไร โดยเฉพาะพวกชาวไร่ชาวนาที่รักเรไร ทำตัวเหมือนน้ำนิ่งอย่างแท้จริง ดวงหน้าทุกดวงเป็นความเคร่งเครียด เศรษฐเดินเข้ามายังศาลด้วยความสั่นสะท้าน เดินก้มหน้าไม่กล้ามองตาคน เรไรก็เข้าอย่างเงียบสงบ รวมความว่าคนมาก แต่ทุกอย่างก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้เกิดความรู้สึกลึกซึ้งยิ่งกว่าที่จะมีเสียงเอะอะอะไรเสียอีก เป็นความเงียบที่น่ากลัว เป็นน้ำนิ่งที่ต้องระวังมาก
เรไรได้คิดมาแล้ว ว่าจนกระทั่งถึงเวลานี้ ชัยชนะเป็นของเธอ ถ้าเขาจะขอยอมความ เรไรก็คิดว่าจะยอมได้เพื่อรักษาชัยชนะไว้ และความต้องการของเรไรก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากให้เรื่องราวเสร็จสิ้นกันไปตอนหนึ่ง เพื่อมีโอกาสที่ตนจะได้ดำเนินชีวิตอันราบรื่นต่อไป
เป็นธรรมดาของคดีหมิ่นประมาท ที่ศาลจะต้องถามว่า คู่ความจะมีทางตกลงกันอย่างไรได้หรือไม่ เรไรแถลงว่าอยากฟังความคิดเห็นของฝ่ายจำเลยว่าจะต้องทำอย่างไร เมื่อศาลถามจำเลย เศรษฐีก็ให้การว่ายินดีที่จะยอมความ และแก้ไขความเสียหายที่เรไรได้รับ ศาลถามเรไรว่าจะต้องการอะไร เรไรก็ตอบว่า ถ้าจำเลยพร้อมที่จะยอมความ ก็ขอแต่เพียงให้ประกาศแก้ข้อความที่หมิ่นประมาทในหนังสือพิมพ์ ให้สมกับที่จำเลยได้ลงแจ้งความหมิ่นประมาทเรไรมาช้านาน กับขอให้จำเลยใช้ค่าทนายความ และค่าธรรมเนียมคดีแพ่งตามแต่ศาลจะเห็นสมควรเท่านั้น เศรษฐีตกลงทันที เพราะเขาไม่สามารถจะหาเงื่อนไขอันใดได้ดีกว่านี้ ทนายความของเรไรก็แลเห็นว่าเรไรใจดีเกินไป ควรจะเรียกร้องอะไรได้มากกว่านั้น
ศาลสั่งให้คู่ความไปตกลงกันในเรื่องคำโฆษณาแก้ข้อความหมิ่นประมาท แล้วก็สั่งหยุดพัก 1 ชั่วโมง เพื่อให้เวลาคู่ความตกลงกัน คู่ความและทนายได้ไปร่างข้อความกันที่ห้องหนึ่งในศาลนั่นเอง เป็นข้อความที่เศรษฐีขอขมาโทษเรไร ที่ได้แจ้งความหมิ่นประมาทอยู่เป็นเวลาช้านาน เศรษฐียอมรับว่า เรไรไม่ได้ลักขโมยหรือกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใด การที่ตนประกาศแจ้งความไปอย่างนั้น ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ซึ่งเศรษฐียอมรับผิดและแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เรไรมีสิทธิและเสรีภาพที่จะออกไปจากบ้านเศรษฐี ไปอยู่ที่ไหนๆ โดยไม่มีความผูกพันอย่างหนึ่งอย่างใด ในที่สุด เศรษฐีขอขมาโทษเรไรอีกครั้งหนึ่ง
เรไรเห็นว่าเป็นการเพียงพอแล้ว ข้อความเพียงเท่านี้ ก็เป็นประกันไม่ให้เศรษฐีก่อกวนทำความลำบากให้แก่เรไรในทางกฎหมายได้อีก ส่วนที่เขาจะประทุษกรรมทางส่วนตัว ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะต้องระวังตัวต่อไป เพราะไม่มีอะไรจะผูกมัดเขาได้ ถ้าเขาอยากทำ การต่อสู้ของเรไรยังไม่หมดสิ้น แต่ก็เสร็จไปขั้นหนึ่ง จะหวังให้การต่อสู้สิ้นเสร็จเด็ดขาดไปในชีวิตนั้น ไม่มีทางจะหวังได้ เพราะชีวิตคือการต่อสู้ ตราบใดที่ชีวิตยังมีอยู่ การต่อสู้ก็ต้องมีตลอดไป
บุรุษลึกลับคือสุธี ซึ่งออกจากกรงขังได้เมื่อวันก่อนนี้ ได้เข้าไปอยู่ในศาลอย่างคนฟังคดีทั่วไป ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรไร และไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรแก่เรไรในเรื่องนี้ เพราะเขาเป็นเหมือนเด็กที่ทำผิด และรอการรับโทษ เรื่องของเรไรอาจจะเสร็จในวันนี้ แต่เรื่องของเขายังรออยู่ข้างหน้า
ศาลได้ตัดสินให้เป็นไปตามที่คู่ความตกลงกัน ให้เศรษฐีประกาศข้อความขอขมา อย่างที่ตกลงร่างกันมาแล้วในหนังสือพิมพ์ ตามจำนวนฉบับ และระยะเวลาที่เศรษฐีได้โฆษณาหมิ่นประมาทเรไร และให้เศรษฐีใช้ค่าทนายและค่าธรรมเนียมในคดีแพ่งตามสมควร
เมื่อเสร็จเรื่องและลงมาจากศาล เรไรก็ยังพบผู้คนแน่นอยู่หน้าศาล หญิงชาวนาสองสามคนเข้ามากอดเรไร เรไรไม่ได้พูดอะไร ไม่ต้องการแสดงความเด่นเป็นวีรสตรี เธอแสดงความสภาพนอบน้อมต่อคนทั้งหลาย แล้วก็รีบกลับบ้านที่พัก เธอกราบเจ้าของบ้าน ซึ่งมีบุญคุณแก่เธอเหมือนบิดาคนที่ 2 เงินค่าเช่านาที่เจ้าของบ้านเก็บไว้ให้ เธอได้รับไปเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางและให้แก่พ่อแม่ ค่าเช่านาของเรไรไม่ค้าง เพราะผู้เช่าส่งเรียบร้อย ด้วยความเห็นอกเห็นใจกัน ไม่ต้องเรียกร้องทวงถามอะไรกันเลย
ส่วนเศรษฐีนั้น ออกจากศาลได้ด้วยความยากลำบาก เขาต้องนั่งพักคอยอยู่ในศาล จนกระทั่งคนไปเกือบหมด อันที่จริงก็ไม่มีใครคิดจะทำร้ายเขา ชาวไร่ชาวนาของเราเป็นคนรักสงบ ไม่มีความประพฤติรุนแรงอย่างนั้น แต่ความโหดร้ายของเขาในอดีต ทำให้เขากลัวไปเอง
เพื่อไม่แสดงว่า รีบรุดออกจากเมืองนั้นด้วยความกลัวสิ่งหนึ่งสิ่งใด เรไรจึงยังพักอยู่ในเมืองนั้นอีกถึง 4 วัน เธอพยายามเร่งรัดให้สุธีกลับกรุงเทพ ฯ ก่อน และไม่ยอมรับข้อเสนอของสุธี ที่ขอให้เดินทางไปด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเรไรทราบว่าจะเดินทางรถยนต์ไปด้วยกันเพียงสองคน จากประจวบคีรีขันธ์ถึงกรุงเทพฯ เรไรก็ยิ่งไม่ยอมไปด้วยอย่างเด็ดขาด
แต่เรไรก็เห็นใจสุธี ซึ่งในเวลานี้เขาเป็นเหมือนเด็กที่รอการทำโทษจากครอบครัว ถึงแม้เรไรจะไม่ทราบว่าใครคิดอย่างไร พูดอย่างไรในครอบครัวของสุธี ก็ไม่เป็นการยากที่จะทราบว่า สุธีจะต้องไปเผชิญมรสุมอย่างหนัก เพื่อช่วยกำลังใจเขาบ้าง เพราะเขาก็เสียสละเพื่อเธอเอง เรไรจึงเปิดเผยให้เขาทราบตำบลบ้านที่ตัวได้อาศัยพักในกรุงเทพฯ บ้านผู้มีพระคุณอีกบ้านหนึ่ง อนุญาตให้เขาไปพบเธอที่บ้านนั้นได้ เรไรให้สัญญากับสุธีว่าเธอจะพักอยู่ในกรุงเทพฯ จนกว่าจะได้พบเขา และได้ทราบว่าเรื่องราวของเขาเป็นไปในทางเรียบร้อย
“ไปเถอะ คนดีของเรไร” เรไรกล่าว “กลับไปอยู่เหย้าเฝ้าเรือนเป็นคนดีต่อไป ฉันเห็นใจเธอ ขอบใจเธอ แล้วฉันจะไม่ลืมเธอ”
“ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะกลับไปอยู่เหย้าเฝ้าเรือนได้อีก” สุธีพูด
“เอาเถอะ เธอมีกำลังใจทำอย่างอื่นมามากแล้ว ฉันขอวิงวอนให้เธอมีกำลังใจ ทำความเข้าใจกับภริยาของเธออีกสักเรื่องหนึ่ง”
“ฉันไม่เชื่อว่าจะทำความเข้าใจกันได้”
“ผู้หญิงย่อมใจอ่อนต่อความรับผิดเสมอ” เรไรกล่าว “ถ้าเธอยอมรับผิดตรงๆ ฉันเชื่อว่าจะทำความเข้าใจกันได้ ฉันต้องการให้เธอกลับคืนมาสู่ความราบรื่นแห่งชีวิตสมรสของเธอใหม่ นี่เป็นความตั้งใจอย่างแท้จริงของฉัน”
ในวันรุ่งขึ้น สุธีได้เดินทางกลับ เรไรไม่ได้ไปส่งที่สถานี เพราะไม่เห็นจำเป็น เรไรพักอยู่ในเมืองนั้นอย่างเงียบๆ อีก 3 วัน ก็ออกเดินทางบ้าน แต่ไม่ได้ขึ้นรถไฟทันที เพราะยังมีบ้านอีกบ้านหนึ่งที่เรไรจะต้องไปกราบแสดงความขอบคุณ คือบ้านนายบุญโชติ ใกล้สถานีที่นำห่อของมาให้เรไรเมื่อครั้งโน้น และที่ได้การพักพิงอาศัยจากเขาเมื่อมาครั้งนี้ เธอขอรถยนต์เจ้าของบ้านให้นำเธอไปส่งถึงบ้านใกล้สถานีนั้น พักอยู่ที่นั้นอีกคืนหนึ่ง กราบขอบคุณเขา บอกให้เขารู้ว่าจะไปพักที่บ้านเขา อยู่กับน้องชายเขาในกรุงเทพ ฯ อีก และในวันรุ่งขึ้น เรไรก็ออกเดินทางต่อไปโดยรถไฟ
ตลอดเวลาที่เดินทาง เรไรมีเวลาระลึกทบทวนถึงอดีตของเธอ อดีตที่ไม่ห่างไกล เพราะเรไรก็เพิ่งมีอายุเต็ม 21 และย่างเข้า 22 ปี แต่ในชั่วเวลาเล็กน้อยเท่านี้ ก็มีเรื่องสลับซับซ้อนยุ่งยากมากหลาย แม้แต่การเดินทางจากเมืองใต้ขึ้นไปกรุงเทพ ฯ โดยรถไฟสายเดียวกันนี้ คราวก่อนกับคราวนี้ก็มีเรื่องผิดกันมาก การรำลึกถึงอดีตทำให้เกิดความเศร้ามากกว่าความเบิกบานใจ แต่เรไรก็ชอบรำลึก ชอบนึกถึงอดีตมากกว่าปัจจุบันและอนาคต เพราะเมื่อนึกถึงปัจจุบันและอนาคต ภาพอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้น คือภาพดวงหน้าของสุธี ภาพที่เรไรพยายามขจัดออกไปจากสายทรรศนะของตน เธอรำลึกถึงสุธี เด็กซน เด็กไม่เอาถ่าน ป่านนี้จะต้องประสบอะไรบ้าง เธอลองสมมติว่าตัวเธอเป็นภริยาแต่งงานของสุธี เป็นผัวหนุ่มเมียสาวที่เข้าสู่ชีวิตสมรสใหม่ สามีแล่นตามผู้หญิงอีกคนหนึ่งไปด้วยเรื่องส่วนตัวของผู้หญิงคนนั้นเอง เธอจะทำอย่างไร มันอาจจะเกิดเรื่องแตกหักถึงกับอยู่ด้วยกันต่อไปไม่ได้ เป็นการยากเหลือเกินที่ภริยาจะให้อภัยความผิดอย่างนี้ของสามี สุธีอาจจะถูกฟ้องหย่า หรือถูกท้าทายให้หย่า และเด็กซนเด็กไม่เอาถ่านคนนี้ ก็คงจะรับการท้าทายในทันที เขาอาจจะต้องเลิกกับภรรยาของเขา แล้วเขา...
พอคิดเรื่อยเฉื่อยมาถึงตรงนี้ เรไรก็หยุด และพยายามขจัดความคิดอันนั้นออกไป เพ่งมองดูภูมิภาพริมทางรถไฟ พยายามนึกว่า เมื่อเดินทางครั้งก่อนเธอเป็นอย่างไรเมื่อถึงที่นี่ ในครั้งนั้นเธอต้องเหลือบมองดูหีบของของเธอบ่อยๆ เพราะกลัวเอกสารจะหาย ครั้งนั้นเธอไม่รู้ว่ากรุงเทพฯ หรือเมืองเหนือเป็นอย่างไร เธอเป็น ‘เรไรลอยล่อง’ เหมือนผักหรือสวะที่ลอยล่องไปตามกระแสน้ำ คราวนี้เธอมีความรู้ขึ้นบ้าง เธอแลเห็นโลกกว้างออกไป
เรไรถึงกรุงเทพฯ และนายบุญช่วงผู้มีพระคุณในกรุงเทพฯ ก็มาคอยรับ อย่างเดียวกับที่ท่านผู้มีพระคุณในที่อื่นๆ คอยรับอยู่ทุกแห่ง ท่านผู้นี้รู้เรื่องของเรไรตลอดโดยทางหนังสือพิมพ์ ซึ่งเรไรไม่ต้องเล่า เขาพาเรไรขึ้นรถยนต์ของเขาซึ่งไม่จำเป็นต้องวกวน หรือเปลี่ยนรถถึงสองหนเหมือนครั้งก่อน และได้มาพักผ่อนอยู่ใต้ร่มหลังคาของผู้มีพระคุณอีกครั้งหนึ่ง
เรไรยังรักษาตนอยู่ในสภาพเก็บตัว เพราะชื่อเสียงของเธอยังปรากฏอยู่ในคำขอขมาของเศรษฐี อันที่จริงถ้าหากว่าเรไรจะแสดงตัวออกไปในเวลานี้ก็ทำได้ และตัวเองก็จะกลายเป็นข่าวเด่น แต่สิ่งที่เรไรเกลียดชังที่สุดในชีวิตนี้ คือความเด่น เธอมองเห็นความเด่นเป็นยาพิษอันแรงร้าย สังหารผลาญความสุขของมนุษย์มามากหลาย ขอให้เธอได้มีชีวิตอย่างเงียบๆ ขอให้เธอได้มีความเป็นอยู่อย่างสงบ เธอต้องการเพียงเท่านั้น ความเงียบสงบเป็นจุดหมายปลายทางที่เรไรต้องการจะเดินไปให้ถึง
และเรไรก็ได้พักอยู่ในบ้านนี้ ด้วยความเงียบสงบ ผิดกับสุธีซึ่งเขาต้องพบมรสุมอันแรงร้าย เขาได้คิดมาตลอดเวลาเดินทาง ว่าเขาควรจะทำอย่างไรเมื่อถึงกรุงเทพฯ พยายามนึกว่า ผลอันร้ายแรงที่สุดที่เขาจะได้รับจากการกระทำอันนี้ จะเป็นอะไร เขาเข้าใจว่าผลอันร้ายแรงที่สุดที่จะเกิดขึ้นก็คือ อาจจะมีการหย่าร้าง ไม่สามารถจะอยู่กับภริยาของเขาได้อีกต่อไป เขาจะยอมรับผลอันนี้อย่างไม่เกรงกลัว แต่ที่เขากลัวมากกว่านั้นคือพ่อเขาเอง เขาจะต้องได้รับการดุด่าจากพ่อของเขาอย่างรุนแรง เขาจะได้เห็นพ่อแม่ของเขาโทมนัสเสียใจ ซึ่งจะเป็นผลสะท้อนย้อนกลับมาเป็นความโทมนัสของเขาเอง เรื่องนี้เขากลัวมาก เขานึกขึ้นมาได้ถึงวิธีการของเรไร คือถ้าภัยที่ต้องกลัวมากที่สุดอยู่ทางไหน ก็เข้าไปทางนั้นก่อน เขาตกลงใจเข้าหาบิดาของเขาก่อน เขาตรงไปที่บ้านของเขาเอง เพื่อพบบิดามารดาของเขา เป็นบุคคลแรกที่เขาเข้าถึงกรุงเทพ ฯ ยอมรับผลต่างๆ ที่เขาจะต้องรับจากบิดามารดาเสียให้เสร็จสิ้น แล้วจะต้องไปทางอื่นอีกอย่างไรก็สุดแต่เรื่อง
แต่ความประสงค์ของเขาที่ได้พบบิดามารดาของเขาก่อนคนอื่นนั้นไม่เป็นผลสำเร็จ โชคชะตาได้เตรียมรับเขาด้วยวิธีอื่น เป็นการบังเอิญอย่างเหลือเกิน ที่ในเวลาเขามาถึงบ้านนั้น เป็นเวลาประชุมพูดจาอีกครั้งหนึ่งในระหว่างครอบครัวทั้งสอง เพราะเป็นความประสงค์ของฝ่ายหญิงที่จะทำความตกลงทางผู้ใหญ่ให้เรียบร้อย ก่อนที่สุธีจะกลับมา เขาไม่คิดว่าสุธีจะกลับมาเร็วอย่างนั้น ทุกคนเชื่อกันว่า ถึงแม้เรื่องราวจะเสร็จเรียบร้อยแล้วทางเมืองใต้ สุธีก็คงจะเร่ร่อนไปไหนต่อไหนกับเรไร เพราะทุกคนเข้าใจว่าเรไรล่อสุธีให้หลงรัก การทำความตกลงทางผู้ใหญ่นั้นเป็นความคิดของบิดามารดาฝ่ายหญิงอีกเหมือนกัน เขาอ้างว่า เมื่อเวลาสู่ขอจะแต่งงานกัน ก็เป็นความตกลงทางผู้ใหญ่ เมื่อมามีเรื่องร้าวฉานถึงกับจะต้องแตกกัน ก็เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ควรจะได้พูดกัน การประชุมพูดจากันเช่นนี้ได้มีมาหลายครั้ง และคิดว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ก็เผอิญสุธีมาถึง
ต่อหน้าของเขา สุธีได้พบพ่อแม่ของเขา พี่ชายคนใหญ่ของเขา พ่อตาแม่ยายและภริยาของเขาอยู่พร้อมกัน ดีเหมือนกัน เขาคิด อะไรจะเกิด ขึ้นก็ขอให้เกิดขึ้นเสียคราวเดียว และก็เกิดขึ้นจริงๆ เขายังไม่ทันจะได้กราบพ่อแม่ เขาก็ถูกตั้งปัญหาถามติดๆ กัน จนเกือบจะตอบไม่ทัน
“เธอไปไหนมา ?” พ่อถาม
“ไปเมืองใต้ครับ”
“ไปทำไม ?” พี่ชายคนใหญ่ถาม
“ไปช่วยเพื่อนคนหนึ่ง”
“เพื่อนผู้หญิง แม่เรไรนั่นใช่ไหม ?” พ่อถาม
“ใช่ครับ”
“ไปช่วยเขาทำไม ?”
“ผมเอาพ่อแม่เขามาดูแลไร่ฝ้ายทางเมืองเหนือ ผมเอาตัวเขามาอยู่กับพ่อแม่ของเขา ถึงเวลาเขามีอันตรายผมต้องไปช่วย”
“เขากลับไปหาผัวของเขาเองไม่ใช่หรือ ?” พ่อตาถามเป็นคำแรก
“ไม่ได้กลับไปหาครับ กลับไปเป็นความกัน”
“แล้วธุระอะไรเธอจะต้องไปยุ่งกับเรื่องผัวๆ เมียๆ ของเขา” พี่ชายถาม
“คือถ้าจะให้เล่า เรื่องมันก็ยืดยาว ทุกท่านก็ทราบเรื่องอยู่หมดแล้ว” สุธีตอบ
“แล้วต้องถูกเข้าห้องขัง ใช่ไหมล่ะ ?” พ่อตาถาม
“ครับ ถูกเข้าห้องขัง”
“ถูกขังอยู่นานเท่าไร ?” มารดาของสุธีเริ่มถามเป็นครั้งแรก
“คืนเดียวครับ รุ่งขึ้นเขาก็ปล่อย”
“งามหน้า” บิดากล่าว “ลูกของพ่อ อุตส่าห์ประคับประคองมาตั้งแต่เล็กจนใหญ่ อยู่ดีๆ วิ่งตามผู้หญิงไปจนต้องเข้าห้องขัง ขายหน้าทั่วเมือง”
“ผมเข้าห้องขังโดยไม่มีความผิดครับ คุณพ่อ ไม่เป็นเรื่องขายหน้าอะไร คนใหญ่คนโตเข้าห้องขังกันถมไป”
“นั่นเขาเข้าด้วยเรื่องการเมือง ไม่เสียเกียรติ” พ่อตากล่าว “แต่เข้าห้องขังด้วยเรื่องผู้หญิง มันขายหน้า”
“ผมก็ไม่ได้ทำความผิดร้ายอะไร” สุธีตอบหันไปทางพ่อตา
“เธอยังนึกว่าเธอไม่ได้ทำความผิดอีกหรือ” พ่อตาตอบ “มีเมียแล้วแต่งงานกันใหม่ๆ วิ่งตามผู้หญิงไปทั้งๆ ที่เมียของตัววิงวอนขอไม่ให้ไป ยังทิ้งเมียของตัวไป เธอยังนึกว่าไม่เป็นความผิดอีกหรือ”
“สมมติว่าผมมีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง” สุธีกล่าว “เพื่อนคนนั้นตกอยู่ในอันตราย ผมจะไปช่วยเพื่อนผู้ชายคนนั้น เมียไม่ให้ไป ผมฝืนใจเมีย ไปช่วยเพื่อนผู้ชายคนนั้นจนได้ อย่างนี้ผมจะมีผิดอะไรบ้างไหม ?”
“ถ้าเป็นผู้ชายก็ไม่เป็นอะไร” พ่อตาตอบ “เธออาจจะกลายเป็นวีรบุรุษไปก็ได้ ถ้าเธอไปช่วยเพื่อนผู้ชายอย่างนั้น”
“ครับ” สุธีกล่าว “แล้วเดี๋ยวนี้บังเอิญเป็นเพื่อนผู้หญิงเข้า ทำไมจึงกลายเป็นเรื่องเสียหายใหญ่หลวง ขายหน้าฆ่าชื่อขึ้นมา”
“ก็เพราะว่าเพื่อนผู้หญิงกับเพื่อนผู้ชายมันไม่เหมือนกัน” พ่อตาตอบ
“แต่ด้วยความประพฤติของผมไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย ผมไม่เคยแตะต้องเรไรแม้แต่ปลายนิ้ว ตั้งแต่แต่งงานมาจนกระทั่งถึงวันนี้ ผมไม่ได้เคยทำผิดนอกใจเมียแม้เท่าขุมขน”
“ใครจะไปเชื่อเธอ” พ่อตากล่าว
“ก็เมื่อจะไม่เชื่อความจริง จะไปมัวคิดกันถึงสิ่งที่ไม่จริง ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร”
“ไม่ใช่เธอไม่รู้ ว่าจะทำอย่างไร” พ่อตากล่าว “ทางฝ่ายเรานะซี ที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ลูกสาวฉันไม่สามารถจะมองหน้าใครได้อีกต่อไป เพราะมันมีเรื่องโด่งดัง ว่าผัวตามผู้หญิงไปจนเข้าห้องขัง ทางฉันเองก็รู้สึกเป็นเสนียดจัญไร ที่จะรับคนเข้าห้องขังกลับเข้าบ้าน และเป็นลูกเขยต่อไป"
“ก็สุดแต่ใต้เท้าจะกรุณา”
“เธอหมายความว่ากระไร ?”
“คือบ้านของใต้เท้า ถ้าใต้เท้าไม่ยอมให้ผมเข้า ผมก็เข้าไม่ได้”
“แปลว่าเธอต้องการหย่ากันอย่างนั้นหรือ ?”
“ผมไม่ได้ต้องการอย่างนั้น และผมก็ไม่เชื่อว่าเรื่องจะไปไกลจนกระทั่งถึงการหย่าร้าง”
“แล้วความประพฤติของเธออย่างนี้ จะให้ฉันนับเธอเป็นลูกเขยของ ฉันต่อไปได้อย่างไร
“เรื่องที่ใต้เท้าจะนับผมเป็นลูกเขย หรือไม่นับ มันเป็นคนละเรื่องกับเรื่องหย่าร้าง”
“มันจะเป็นคนละเรื่องไปอย่างไรได้ ถ้าฉันไม่ยอมนับเธอเป็นลูกเขยของฉัน เธอจะคงเป็นผัวลูกสาวของฉันอยู่ได้อย่างไร”
“ผมหมายความว่า เรื่องที่ใต้เท้าจะนับผมเป็นลูกเขยหรือไม่ เป็นเรื่องของใต้เท้า แต่เรื่องที่ผมจะเป็นผัวเมียกันอยู่ต่อไปได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องของผม เพราะผมแต่งงานกันแล้ว ผมเป็นผัวเมียกันอยู่แล้ว คนที่จะตกลงใจหย่ากันได้ คือคู่ผัวเมีย ไม่ใช่คนอื่นมาตกลง”
“เพราะนางผู้หญิงคนนี้คนเดียว” บิดาของสุธีกล่าว “มาทำให้ลูกของพ่อเสียไปทั้งคน”
“ถ้าหากว่าเป็นเรื่องเสีย” สุธีตอบพ่อ “มันก็เป็นเรื่องที่ลูกของคุณพ่อเสียเอง อย่าโทษเขาครับคุณพ่อ เขาไม่ได้ทำอะไรให้ลูกเสีย เขาไม่เคยชักจูงลูกไปในทางที่ผิด”
“แล้วนี่ก็เดินทางกลับมาด้วยกันใช่ไหมล่ะ ?” พี่ชายถาม
“เปล่าครับพี่ เป็นความสัตย์จริง ถ้าพี่สืบได้ว่าผมเดินทางมากับเขา พี่จะตบจะเตะผมสักเท่าไรผมก็ยอม” สุธีพูดด้วยเสียงเค้นคอ และน้ำตาคลอ ซึ่งไม่ค่อยจะมีในตัวเขาบ่อยนัก
“แล้วเวลานี้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน ?” พี่ชายถามต่อ
“เขายังอยู่เมืองใต้ เขาไล่ให้ผมรีบกลับกรุงเทพ ฯ ก่อน เขาบอกให้ผมอยู่เหย้าเฝ้าเรือน อย่าละทิ้งเมียอีกต่อไป”
“แล้วเธอไปช่วยอะไรเขาได้บ้าง ?” พี่ชายถาม
“อันที่จริงผมไม่ต้องช่วยอะไรเขาเลย เมื่อผมไปถึงเขาก็ช่วยตัวของเขาเองได้เสร็จแล้ว ผมเซอะซะลงไปเข้าห้องขังเท่านั้นเอง ผมสารภาพความจริงในข้อนี้ เพื่อให้เห็นว่า เขาไม่ได้ชักจูงเอาผมไป เขาไม่ต้องการผมเสียด้วยซ้ำ ผมไปเอง”
“ฟังเสียงเธอพูด” พี่ชายกล่าว “ดูเป็นว่าผู้หญิงคนนี้ดีไปเสียหมดทุกอย่าง”
“ความจริงเขาเป็นคนดี ถ้าพี่ได้ยินว่าเขาพูดกับผมอย่างไร เขาเตือนสติผมอย่างไร เขามีความตั้งใจดี และบริสุทธิ์ต่อชีวิตสมรสของผมเพียงไร พี่จะต้องยอมรับเหมือนกัน ว่าเขาเป็นคนดี”
“ก็รวมความว่าเป็นเรื่องของควาย” พ่อตาพูดด้วยความโกรธจัด เพราะเหตุที่สุธียกย่องป้องกันเรไรอยู่ตลอดเวลา ส่วนสุธียินดีที่จะได้ยินพ่อตาพูดรุนแรงมากๆ เพราะคนที่เขากลัวนั้นไม่ใช่พ่อตา เขากลัวแต่พ่อตัวของเขา ซ้ำมีพี่ชายคนใหญ่มาอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง เขาก็ยิ่งกลัวมาก แต่ถ้าพ่อตา พูดรุนแรงถึงกับจะเป็นคำหมิ่นประมาทมาถึงครอบครัวทางนี้ พ่อตัวและพี่ชายของเขาก็จะหย่อนความขึ้งเคียดในตัวเขาลงไปบ้าง
“รวมความว่าเป็นเรื่องของควาย” พ่อตาพูดซ้ำ “เราไม่สามารถจะเอาควายขึ้นมาไว้บนบ้านเรือน ปราสาทราชฐาน เพราะมันชอบลงปลัก เลี้ยงดีเท่าไรมันก็จะต้องกลับไปลงปลักของมัน มันเห็นดีเห็นชอบในวิสัยควายด้วยกัน”
“แต่มนุษย์เป็นหนี้บุญคุณควายอยู่มากครับใต้เท้า” สุธีตอบ “ถ้าไม่ได้อาศัยแรงควาย มนุษย์ก็จะไม่มีข้าวกิน มนุษย์ไม่ควรจะอกตัญญู ดูหมิ่นควายว่าเป็นสัตว์เลวทรามต่ำช้า”
“ผมนะคุณ” พ่อตาพูด หันไปทางพ่อของสุธี “มีคนดีๆ อยากได้ลูกผมถมไป คนดีมีสกุลกว่านี้ ก็เคยมาทาบทามสู่ขอ ถึงจะเลิกกันเวลานี้ ผมก็สามารถที่จะหาผัวที่ดีกว่านี้ให้ลูกผมได้”
“ผมไม่ได้ต้องการเลิก” สุธีตอบ “นี่เราพูดกันมายืดยาวถึงปานนี้ ผมยังไม่ได้พูดกับภริยาผมเลยจนคำเดียว เรื่องเลิกกันหรือไม่เลิก เป็นเรื่องระหว่างภริยาของผมกับตัวผม”
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้น” บิดาของสุธีพูดเข้ากับสุธีเป็นครั้งแรก “เราปล่อยให้ผัวเมียเขาพูดกัน บางทีเขาจะปรับความเข้าใจกันได้”
“เราก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เขาพูดกัน” พ่อตาตอบ “เขาอยากจะพูดอะไรกัน เขาก็พูดกันได้ เขาอยู่กันที่นี่ทั้งสองคน”
“แต่ผัวกันเมียกัน” สุธีกล่าว “ก็ควรจะได้มีโอกาสพูดกันสองต่อสอง”
“เธอหมายความว่าเธอจะกลับเข้าไปอยู่ในบ้านฉันอีก อยู่กับลูกสาวฉันอีกเพื่อให้ได้พูดกัน อย่างนั้นหรือ ?” พ่อตาพูด
“ผมได้เรียนใต้เท้าเมื่อตะกี้นี้แล้ว ว่าบ้านของใต้เท้า ถ้าใต้เท้าไม่ให้ผมเข้า ผมก็เข้าไม่ได้ แต่สำหรับเมียของผม เราอยู่ด้วยกันที่บ้านนี้ก็ได้ ผมเชื่อว่าถ้าปล่อยให้ผมพูดกันโดยลำพัง ผมอาจจะทำความเข้าใจกันได้”
“แม้แต่เธออาศัยอยู่ใต้หลังคาของฉัน” พ่อตากล่าว “เธอยังทำกับลูกสาวของฉันได้ถึงเพียงนี้ ถ้าลูกสาวของฉันต้องมาอยู่ในบ้านนี้ เธอจะทำได้สักเพียงไร หัวเด็ดตีนขาด ฉันก็ยอมให้ลูกสาวของฉันอยู่บ้านนี้ไม่ได้”
“แล้วผมจะมีทางพูดกันได้อย่างไร ?” สุธีพูด
“ก็พูดกันที่นี่ พูดกันเดี๋ยวนี้ เธอจะพูดอะไร ก็พูดออกมา”
ท่าทีของพ่อตาที่ทำเช่นนี้ เปลี่ยนหัวใจเปลี่ยนความคิดของพ่อแม่และพี่ของสุธีหมด ความตั้งใจเดิมของบิดามารดาและพี่ชายของสุธีมีอยู่ว่า แม้ฝ่ายหญิงจะพูดถึงเรื่องการหย่าร้างมาหลายวันแล้วก็จะพยายามสมาน ทุกคนได้เตรียมการที่จะดุว่าสุธีเป็นการใหญ่ จะบังคับให้สุธีลงกราบที่เท้าพ่อตาแม่ยายขอขมาโทษ มารดาของสุธีถึงกับเตรียมธูปเทียนจะให้ลูกชายขอขมาพ่อตาแม่ยาย ที่เตรียมกันถึงเพียงนั้น ก็เพราะเห็นว่าคนของตัวผิดจริงๆ ไม่มีทางใดที่จะแก้ให้พ้นผิด แต่คำพูดอันรุนแรงของพ่อตาที่พาดพิงมาถึงสกุล และท่าทีวางอำนาจยิ่งใหญ่ถึงกับไม่ยอมให้ลูกสาวมีโอกาสพูดกับสุธีโดยลำพังเช่นนี้ ทำให้พ่อแม่และพี่ของสุธีนึกว่า ปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องของมัน
“พูดกันที่นี่ก็แล้วกัน” ภริยาของสุธีเองเอ่ยขึ้นเป็นคำแรก “คุณมีอะไรจะพูดกับฉัน ก็พูดต่อหน้าคุณพ่อคุณแม่ของเราได้ คุณพี่ด้วย จะได้ช่วยกันเป็นพยานไว้”
“คือฉันรับว่าฉันผิด” สุธีพูด “ถึงแม้จะไม่มีเรื่องทุจริต ไม่ได้มีเรื่องนอกใจคุณแม้แต่นิดเดียว การกระทำของฉันที่หักหาญลงไปเมืองใต้ครั้งนี้ เป็นความผิดมาก ฉันสารภาพในข้อนี้ จะให้ฉันขอขมาลาโทษประการใด ฉันก็จะยอมทุกอย่าง และรับรองด้วยว่าจะไม่ประพฤติอย่างนี้อีกต่อไป เช่นนี้เราจะพอทำความเข้าใจกันได้ไหม ในระหว่างคุณกับฉัน”
“คุณจะรับรองได้ไหม ?” ภริยากล่าว “ว่าคุณจะไม่พบนางเรไรต่อไปอีกเลยเป็นอันขาด”
“คือเราใช้พ่อแม่ของเรไร ดูแลไร่ฝ้ายของเราทางเมืองเหนือ เรไรก็จะต้องกลับมาอยู่กับพ่อแม่ ตัวฉันเองก็คงมีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นไปดูไร่เป็นครั้งคราว เรื่องที่จะรับรองไม่ให้พบกันเลย ก็ไม่รู้ว่าจะรับรองอย่างไรได้”
“ไล่พ่อแม่นางเรไรไปเสียได้ไหม ?” ภริยากล่าว
“ไล่เขาไปไม่ได้”
“ทำไมจึงไล่เขาไปไม่ได้ ?”
“เพราะที่ดินบ้านเรือนที่เขาอยู่นั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา และที่มันก็ติดกับที่ของเรา”
“ทั้งที่ดินและบ้านเรือนนั้น คุณก็ยกให้เขาเองใช่ไหม ?”
“ไม่ใช่ยกให้ ชั้นเดิมเราจ้างเขาถางที่ทั้งสองคนผัวเมีย เขาไม่รับค่าจ้าง เขาขอที่ดินแทนค่าจ้าง ซึ่งราคาที่ดินในเวลานั้นมันก็ไม่มากเกินไปกว่าค่าจ้างแรงงานที่เราจะต้องให้เขา จึงได้ตกลงให้เขา และเขาก็อยู่ในที่นั้น เวลาที่ฉันลงมากรุงเทพ ฯ ก็ได้อาศัยเขาช่วยดูแลไร่ เราไม่ได้เสียเปรียบอะไร จะไปไล่เขาออกจากที่กรรมสิทธิ์ของเขาเองนั้นเป็นไปไม่ได้”
ข้อความที่พูดกันในระหว่างผัวเมียนี้ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าปล่อยให้เขาพูดกันโดยลำพังสองคน เขาอาจจะมีทางตกลงกันได้ ถึงแม้ว่าทรรศนะของสามีกับภริยายังแตกต่างห่างไกลกันอยู่ ถ้าเขาอยู่ด้วยกันโดยลำพัง เขาอาจจะหาทางมาพบกันได้ เรื่องหย่าร้างอาจจะไม่มีขึ้น แต่พ่อตาก็ไม่ปล่อยให้มีโอกาสอย่างนั้น ในขณะที่ผัวเมียพูดกันมาถึงตรงนี้ พ่อตาก็สอดขึ้น
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เรื่องนั้น” พ่อตากล่าว “ปัญหามันอยู่ที่ว่า ลูกจะมองหน้าใครเขาได้ ในเมื่อมีข่าวแพร่หลายทั่วบ้านทั่วเมือง ว่าผัวของลูกวิ่งตามผู้หญิงเลวๆ ไปจนถูกจับเข้าห้องขัง แล้วพ่อจะมีลูกเขยที่เคยเข้าห้องขังมาได้อย่างไร พ่อแม่จะเป็นตาเป็นยายลูกของคนที่เคยเข้ากรงขังมาได้อย่างไร ปัญหาอยู่ที่ตรงนี้ แล้วพ่อก็ไม่อยากจะรับเอาเสนียดจัญไรกลับเข้าไปในบ้านพ่ออีก ปัญหาเหล่านี้ลูกจะแก้ได้อย่างไร ?”
ลูกสาวนิ่ง ไม่ตอบว่ากระไร
“แล้วใต้เท้าคิดว่าจะให้เราทำอย่างไร ?” สุธีถามพ่อตา
“ฉันตกลงใจแน่วแน่มานานแล้ว ว่าต้องให้ลูกสาวของฉันเลิกกับเธอ ฉันเตรียมทำหนังสือหย่ามาด้วยซ้ำ”
“เรื่องหย่าไม่ใช่เรื่องของใต้เท้า เป็นเรื่องของผมสองคน”
“ก็ลองถามเขาดูซี ว่าเขาจะต้องการหย่า หรือจะเป็นเมียของคนติดห้องขังต่อไป”
“คุณจะว่าอย่างไร ?” สุธีถามภริยา
“เรื่องมันก็จะต้องหย่ากัน” ภริยาตอบ “ฉันมองไม่เห็นทางที่เราจะทำความตกลงกันได้”
ทุกคนในฝ่ายของสุธี มีความเห็นอย่างเดียวกันว่า ถ้าจะต้องพูดกันต่อหน้าพ่อตาอย่างนี้ ก็ไม่มีทางที่จะพูดกันต่อไปในทางสมัครสมาน เหลืออีกทางเดียวคือสุธีไม่ยอมหย่า และให้ภริยาไปฟ้องหย่าต่อศาล พ่อของเขาก็คงจะบังคับให้ลูกสาวฟ้องหย่าจนได้ เมื่อคดีไปถึงศาล ความอับอายขายหน้าก็ยิ่งมีมากขึ้น เพราะฝ่ายหญิงจะต้องแสดงว่าฝ่ายชายมีความประพฤติเหลวไหลเพียงไร สมมติว่า ศาลตัดสินไม่ให้หย่า ก็ไม่เห็นทางที่เขาจะอยู่ด้วยกันได้ต่อไป ทุกคนจึงมีความคิดเป็นอย่างเดียวกัน ว่าเมื่อฝ่ายหญิงเขาเห็นว่าการหย่าไม่เป็นความเสียหายแก่เธอ กลับจะทำให้เขาได้คนที่ดีกว่า ฝ่ายชายก็ไม่น่าจะเดือดร้อน ความเสียหายทางฝ่ายชายมีอยู่อย่างเดียว คือ ในการแต่งงานกันนั้น พ่อแม่ฝ่ายหญิงได้เรียกร้องเงินทองมาก พ่อแม่ของสุธีซึ่งมิใช่คนมั่งคั่ง ต้องรวบรวมเงินได้ด้วยความยากลำบาก พี่ชายใหญ่ก็ต้องมีส่วนช่วยเหลือด้วย เพราะหลักฐานพื้นเพของฝ่ายหญิงเขาดีกว่า เขามั่งมีกว่า หวังว่าต่อไปภายหน้าจะได้อาศัยเขา อย่างแบบเรือล่มในหนอง เมื่อมาเกิดหย่าร้างกัน เงินทองเหล่านั้นก็สูญไป ความเสียหายของทางฝ่ายชายมีเพียงเท่านี้ แต่ก็ไม่มีทางที่จะทำอย่างอื่นได้ เพราะฝ่ายหญิงไม่ลดละความคิดที่จะหย่า
พ่อตาส่งซองหนังสือที่เขาหยิบออกมาจากกระเป๋าให้แก่พี่ชายของสุธี
“นี่เป็นร่างหนังสือหย่าที่ผมเตรียมทำมา” พ่อตาพูด “คุณเป็นนักกฎหมาย ช่วยตรวจดูให้เรียบร้อย”
พี่ชายของสุธีรับซองมาเปิดอ่าน และบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อย จึงได้มีการลงนามในหนังสือหย่า ด้วยความยินยอมพร้อมใจของคู่สมรส พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายลงชื่อรู้เห็นเป็นพยาน ชีวิตสมรสของสุธีที่มีอายุสั้น และสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
เมื่อฝ่ายหญิงออกจากบ้านไปแล้ว สุธีก็กราบพ่อแม่ และกราบพี่ชาย กราบที่เท้า กล่าวขอขมาโทษ ที่ทำความลำบากให้แก่พ่อแม่และพี่ ขออนุญาตก่อร่างสร้างชีวิตใหม่ และรับรองว่า จะไม่ให้มีเรื่องเดือดร้อนอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นแก่พ่อแม่และพี่อีก ทั้งพ่อแม่และพี่ของสุธีก็จำต้องให้อภัยแก่สุธีในเรื่องนี้ เพราะก่อนที่จะจับตัวสุธีมาแต่งงานนี้ ก็ทราบกันอยู่แล้วว่าสุธีมีเรื่องติดพันเรไรอยู่ กล่าวได้ว่าเป็นการบังคับเอามา ซึ่งก็เป็นบทเรียนว่า การบังคับใจคนนั้น อาจจะบังคับได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง ไม่สามารถจะบังคับตลอดไปได้
ละครฉากใหญ่ ฉากดุเดือดในครอบครัวของสุธีได้ปิดฉากหมดชุดลงเพียงเท่านี้ เหลืออีกเรื่องเดียว คือความกังวลของมารดาสุธี ที่จะหาพระรดน้ำมนตร์ให้ลูกชายที่ไปถูกเข้ากรงขังมา สุธีถูกรดน้ำมนตร์ไม่น้อยกว่า 7 ครั้ง ใครจะบอกว่าดีว่าขลังที่ไหน มารดาก็จัดการเอาลูกชายรดน้ำมนตร์จนได้
สุธีไม่ได้ออกจากชีวิตสมรส โดยปราศจากความเสียดาย เพราะเขาก็เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งต้องระลึกถึงผู้ที่เคยเป็นผัวเมียกันมา การหย่าร้างครั้งนี้ทำให้สุธีเศร้าสลดใจไปหลายวัน เพราะไม่ใช่การหย่าร้างที่เกิดจากความเบื่อหน่าย หรือทะเลาะเบาะแว้งเกลียดชังอะไรกัน ฝ่ายหญิงอาจจะโกรธและเกลียดสุธีมาก ซึ่งสุธีเองก็ยอมรับว่าตนประพฤติผิด สมควรที่จะให้เขาโกรธเขาเกลียด และภายหลังที่ได้ฟังคำเตือนสติจากเรไรแล้ว สุธีก็คิดมาตลอดเวลาที่เดินทางจากกรุงเทพ ฯ ว่าจะพยายามหาทางปรับความเข้าใจกับภริยาของตน ซึ่งสุธีก็มีหวังอยู่บ้าง แต่เมื่อมาพบกันทันที และต้องพูดกับผู้ใหญ่ซึ่งมีทิฏฐิแรงเช่นบิดาของฝ่ายหญิง ก็ไม่มีทางพูดกันได้โดยละม่อม เป็นที่น่าเสียดายและเสียใจอย่างที่สุด ทุกคนที่เคารพจารีตประเพณีแห่งการสมรส ย่อมมีความรู้สึกเป็นอย่างเดียวกันว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ถ้าปล่อยให้คู่ผัวเมียเขาพูดกันโดยผู้ใหญ่ไม่เข้ามายุ่งจัดการเสียเองไปทุกอย่าง เรื่องอาจจะไม่รุนแรงไปถึงขั้นนี้ เพราะผัวเมียมีทางที่จะให้อภัยกันได้เสมอ
แต่เรื่องก็เสร็จไปแล้ว สุธีพยายามบรรเทาความเศร้าสลดของตน ด้วยการคิดเสียว่าฝ่ายหญิงเขาต้องการหย่า เป็นการตัดสินใจแน่นอนของเขา ไม่มีทางที่จะทำให้เป็นไปอย่างอื่นได้ มารดาของสุธีก็ได้บอกแก่สุธีในภายหลังว่า ทุกๆ ครั้งที่พบพูดกันในเรื่องนี้ บิดาของฝ่ายหญิงต้องพูดเสมอว่า เขาสามารถจะหาคนที่ดีกว่าสุธีให้ลูกสาวเขาได้ แม้ว่าลูกสาวเขาจะได้แต่งงานกับสุธีแล้ว
ต่อไปนี้ใครๆ ก็ทายถูก ว่าทิศทางแห่งชีวิตของสุธีมีอยู่ทางเดียว คือเรไร ซึ่งในครอบครัวของสุธี ทั้งพ่อแม่และพี่ มองเห็นเป็นเรื่องพรหมลิขิต เรไรจะมีความดีอย่างไรหรือไม่ก็ตามที แต่ก็ดูเป็นเรื่องที่จะหนีกันไม่พ้น สุธีก็ได้สารภาพกับพ่อแม่และพี่ว่า ต่อไปนี้สุธีก็จะต้องหันไปหาเรไร ทั้งพ่อแม่และพี่ก็ไม่ขัดข้อง เพราะไม่เห็นหนทางที่จะขัดได้ แต่ก็ได้ขอร้องไว้ว่าถ้าจะแต่งงานหรือจะมีชีวิตร่วมกับเรไรอย่างผัวเมียที่แท้จริง ก็ขออย่าให้เร็วกว่าหนึ่งปี นับจากวันหย่าร้างกับภริยาเก่า ทั้งนี้เป็นเรื่องมารยาท เพราะการหย่าร้างก็มีมารยาทเหมือนกัน ทางฝ่ายหญิงมีกฎหมายกำหนดไม่ให้แต่งงานใหม่ภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้ นับแต่วันหย่าร้าง ฝ่ายชายไม่มี กฎหมายกำหนดอย่างนั้น แต่พ่อแม่พี่ก็ขอร้องสุธี ว่าไม่ให้สุธีมีเมียใหม่ก่อนหนึ่งปี เพื่อเป็นทางมารยาท สุธีรับรองว่าจะปฏิบัติตามคำของพ่อแม่และพี่ และให้คำมั่นสัญญาว่าเขาจะเป็นคนดีอย่างที่สุด
แต่เขาก็มีความจำเป็นต้องพบเรไร เพราะเรไรมาคอยพบเขาอยู่ในกรุงเทพ ฯ นี้เอง เขาเข้าใจว่าเรไรคงจะถึงกรุงเทพ ฯ ภายหลังเขาสัก 3 หรือ 4 วัน เขาปล่อยให้เวลาล่วงไปถึง 5 วัน ภายหลังที่เขามาถึงกรุงเทพ ฯ และเขาได้ไปยังบ้านที่เรไรบอก และได้พบเรไรสมความปรารถนา เขาเล่าเรื่องราวของเขาให้เรไรทราบ เล่าละเอียดทุกถ้อยทุกคำที่พูดโต้ตอบกัน จนกระทั่งถึงการเซ็นหนังสือหย่าเป็นที่สุด
เรไรได้ฟังเรื่องของสุธีด้วยความสงบเงียบ ถอนใจใหญ่อย่างแรงในเมื่อสุธีเล่าจบลง เธอไม่รู้จะออกความเห็นกระไรอีก เพราะไม่มีปัญหาที่จะให้ความเห็นกันอีกต่อไปแล้ว เรื่องราวทั้งหลายได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว สุธีเล่าต่อถึงเรื่องที่ได้ขออนุญาตพ่อแม่และพี่ เพื่อร่วมชีวิตกับเรไรต่อไป และได้บอกถึงคำขอร้องที่ไม่ให้เป็นไปเร็วกว่าหนึ่งปี
“ฉันไม่รู้จะบอกเธอว่ากระไร” เรไรพูด
“บอกเรื่องอะไร ?” สุธีถาม
“คือฉันรู้สึกเหนื่อยเต็มที่ ความยุ่งยากในการผจญชีวิตทำให้ฉันเหนื่อย ยิ่งได้ฟังเรื่องของเธอเข้าอีก มันก็เหนื่อยมากขึ้นอีก”
“ฉันได้ทำอะไรไม่เป็นที่พอใจของเธอหรือ ?”
“คือเรื่องของฉันเองก็ยังไม่จบ” เรไรพูด
“ยังจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือ ?”
“ท่านผู้ใหญ่ทุกท่านได้ตักเตือนฉันมา ว่าอย่านึกว่าเรื่องเสร็จสิ้น ตราบใดที่คนร้ายคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ตราบนั้นเรื่องก็ไม่จบ เมื่อเขาไม่สามารถจะทำเราได้โดยทางตรงทางเปิดเผย เขาก็ต้องทำโดยทางอ้อมทางลับ ฉันตรึกตรองก็เห็นจริงตามที่ท่านผู้ใหญ่แนะนำมา”
“หมายความว่า ต่อไปนี้เขาจะส่งคนมาลอบทำร้ายอย่างนั้นหรือ”
“อาจจะเป็นอย่างนั้น หรืออาจจะเป็นอย่างอื่นซึ่งเราไม่สามารถจะรู้ได้”
“เราก็ต้องระวังตัวกันเรื่อยไป”
“นั่นซิเธอ มันจึงเป็นเรื่องที่เหนื่อย ถ้าฉันเห็นทางที่จะสู้กันตรงๆ และไปสู้กันอย่างครั้งที่แล้วมา นั่นไม่เหนื่อย ฉันชอบ แต่ที่จะต้องมานั่งระวังตัวกลัวคนทำร้ายอยู่เช่นนี้ มันเหนื่อยเหลือเกิน แล้วเธอก็ยังจะนำ อาเรื่องเหนื่อยมาให้ฉันอีก”
“เรื่องไหน ?” สุธีถาม
“ก็เรื่องที่เธอบอกคุณพ่อคุณแม่และคุณพี่ของเธอว่าจะร่วมชีวิตกับฉัน อันนี้ยิ่งเหนื่อยหนักขึ้นไปอีก”
“ทำไมจะเหนื่อยหนักขึ้นไปอีก ?”
“ก็เพราะเป็นความรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง เธอหย่ากับภริยา เขาบอกว่าเขาสามารถจะหาสามีใหม่ให้ดีกว่าเธอ เธอเชื่อไหมว่าเขาจะหาได้”
“ฉันเชื่อ เขาอาจจะหาได้ เพราะเขามีเงิน แล้วการหาคนที่ดีกว่าฉันนั้นไม่ยาก เพราะฉันเองไม่ได้เป็นคนดีวิเศษ”
“คิดตามเรื่องที่ควรเป็น เมื่อเขาสามารถหาผัวที่ดีกว่าเธอได้ เธอก็จะต้องสามารถหาเมียที่ดีกว่าเขา เรื่องควรจะเป็นเช่นนั้น แต่นี่เธอจะเจาะจงมาที่ฉัน ทำอย่างไรมันก็สู้เขาไม่ได้”
“เขาเป็นผู้พูดฝ่ายเดียว ว่าเขาจะหาผัวได้ใหม่ดีกว่าฉัน อันที่จริง ตัวเขาไม่ได้พูดเอง พ่อของเขาเป็นคนพูด พูดทุกครั้งที่มาพบคุณพ่อคุณแม่ฉัน ทางฝ่ายเราไม่เคยอวดอ้างเช่นนั้น แต่อย่างไรก็ดี ถ้าฉันได้เธอ ฉันก็อวดเขาได้เหมือนกันว่าดีกว่าเขา”
“เธออวดน่ะอวดได้ แต่จะไม่มีใครแลเห็นว่าฉันดีกว่าเขา เขามีบ้านช่อง มีเงินมีทอง มีพ่อแม่ที่หลักฐานมั่นคง ฉันไม่มีอะไร”
“เธอสวยกว่าเขา”
“ไม่แน่ ถ้าเธอไปถามตัวเขา เขาจะไม่ยอมเลยเป็นอันขาด ว่าเขาสวยน้อยกว่าฉัน”
“ให้ใครดูทั่วโลก เขาก็ต้องว่าเธอสวยกว่า”
“เอาละ ต่างว่าฉันสวยกว่าเขา แล้วมันมีประโยชน์อะไร ความสวยที่ไม่มีทรัพย์”
“ทรัพย์เราหาได้ภายหลัง”
“ฉันไม่มีทางอะไรให้เธอหาได้ นอกจากจะต้องไปตรากตรำทำไร่ทำนา”
“ฉันชอบทำไร่ทำนา”
“แล้วอีกสักกี่สิบปี ฉันจึงจะมีบ้านให้เธออยู่ เหมือนอย่างที่เขาเคยมีให้เธออยู่”
“ก็เพราะเรื่องอยู่ในบ้านของเขานี้เอง จึงต้องหย่ากัน ถ้าเราอยู่บ้านอิสระ ถึงแม้จะเป็นกระท่อมน้อยหอยสังข์ มันก็อยู่กันยืดยาว”
“แต่มันก็ไม่สามารถจะแสดงว่าฉันดีกว่าเขา”
“เธอฉลาดกว่า มีความกล้าหาญมากกว่า ช่วยตัวเองได้มากกว่าเขา”
“เขาไม่มีเรื่องที่จะต้องใช้ความฉลาด ความกล้าหาญ การช่วยตัวเอง เพราะชีวิตของเขาราบรื่นอยู่แล้ว เขาจะมีน้อยกว่าฉัน หรือจะไม่มีเลยก็ไม่เป็นไร นี่แหละเธอ ฉันคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ฉันได้คาดหมายอยู่เหมือนกัน ว่าเหตุการณ์รุนแรงจะต้องเกิดขึ้นในครอบครัวของเธอ ฉันก็ได้แต่เอาใจช่วย แต่ในที่สุดมันก็ไม่มีอะไรจะช่วยได้ ฉันคิดถึงอนาคตของเธอมากกว่าอนาคตของฉันเอง เพราะฉันไม่จำเป็นต้องมีอนาคต”
“แล้วทำไมเธอจะไม่ช่วยฉันสร้างอนาคตบ้าง”
“ฉันเกรงว่า การที่ฉันร่วมชีวิตกับเธอ หรือพูดตรงๆ ว่าเป็นเมียเธอ จะไม่เป็นการช่วยสร้างอนาคต ตรงกันข้าม กลับจะไปทำลาย เธออาจจะเลือกหุ้นส่วนในชีวิตผิดไป แล้วฉันก็จะถูกด่าแช่งไปทั่วโลกอีก ฉันไม่เคยคิดว่าชีวิตน้อย ๆ ของฉันจะโด่งดัง ถูกกล่าวขวัญในหนังสือพิมพ์ เหมือนหนึ่งว่าเป็นคนสำคัญเสียเหลือเกิน ก็เป็นไปได้ ฉันอยากหาความสุขสงบ แต่ก็หาไม่พบ ความสุขสงบเป็นของหายากเหลือเกิน บางทีจะเป็นวาสนาของฉันที่นำความยุ่งไปให้ใครต่อใคร เพียงแต่เราได้รู้จักรักกันฐานเป็นมิตร ฉันยังทำความยุ่งให้เธอถึงปานนี้ ถ้าเป็นเมียเธอเข้า จะยุ่งสักเพียงไหน
“ค่อยๆ คิดไปก่อนเถอะ” สุธีกล่าว “เรามีเวลาหนึ่งปีสำหรับคิด”
“นั่นซิ ฉันก็ว่าเราต้องคิดให้รอบคอบ เราได้บทเรียนต่างๆ มามากแล้ว ต่อไปนี้เราจะต้องพยายามไม่ทำอะไรให้ผิดอีก”
“ที่จะไม่ทำอะไรให้ผิดอีก เห็นจะยากมาก อย่าว่าแต่อย่างเราอายุยี่สิบเศษ คนที่เขามีอายุมากกว่าเราตั้งเท่าตัว ยังทำผิดได้ถมไป”
“แต่เราก็พยายามหาบทเรียนในชีวิต ความรอบคอบระมัดระวังมีความสำคัญยิ่งกว่าอย่างอื่น ฉันอยากจะพูดกับเธอตรงๆ ขออย่าให้เธอเข้าใจผิด ขออย่าให้เธอคิดไปในทางร้าย”
“เธอพูดให้ฉันฟังได้ ฉันจะไม่คิดอะไรไปมากกว่าที่เธอพูด”
“คือฉันขอเธอว่า อย่าทุ่มเทความหวังลงในตัวฉัน ฉันบอกเธอตรงๆ ว่าจนกระทั่งถึงเวลานี้ เดี๋ยวนี้ ฉันยังไม่ตกลงปลงใจว่าจะเป็นเมียเธอ มีอะไรหลายอย่างมาทำให้ฉันต้องหักห้ามความคิดอันนั้น”
“เรื่องสำคัญที่สุด คือว่าเธอเคยมีสามีมาแล้วใช่ไหมล่ะ ?”
“ถูกของเธอ นั่นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เป็นแผลที่ฉันไม่มีทางจะรักษาให้หายได้ ฉันเคยมีผัวมาแล้ว ฉันไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ ถ้าหากฉันจะมีโอกาสแต่งงานได้ใหม่ ฉันก็ไม่ควรจะแต่งงานกับคนที่ฉันรักโดยบริสุทธิ์ใจ อย่างเช่นเธอ เพราะเมื่อร่างของฉันไม่บริสุทธิ์แล้ว ความรักมันจะบริสุทธิ์ไปได้ ฉันจะต้องรู้สึกตัวว่ามีบาปกรรมอยู่เรื่อยๆ ไป ที่เอาความไม่บริสุทธิ์ไปแลกกับความรักที่แท้จริง”
“เอาไว้ค่อยๆ พูดกันไปดีกว่า”
“ถูกแล้ว แต่ฉันรีบพูดให้เธอฟัง เพื่อให้เธอเข้าใจไว้ว่า อย่าหวังในตัวฉันมากเกินไป ฉันอาจจะไม่ยอมตกลงร่วมชีวิตกับเธอเลยก็ได้ และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ขอให้เธอทราบว่า เป็นความตั้งใจดีของฉันที่มีต่อเธอ ไม่ใช่ความตั้งใจร้าย ไม่ใช่เพราะเห็นว่า เธอไม่ดีพอสำหรับตัวฉัน แต่เป็นเพราะเห็นว่า เธอดีเกินไปสำหรับฉัน”
“เอาเถอะ เอาไว้พูดกันภายหลัง เธอจะอยู่กรุงเทพ ฯ อีกสักกี่วัน ?”
“ฉันรออยู่เพียงเพื่อพบเธอเท่านั้น เพราะได้รับปากกับเธอไว้ว่าจะรอพบ วันนี้ได้พบเธอแล้ว บางทีพรุ่งนี้ฉันจะขึ้นไปเมืองเหนือ ฉันเข้าใจว่าต่อไปนี้ ฉันอาจจะติดต่อกับเธอโดยตรงได้”
“แน่นอน ต่อไปนี้เราติดต่อกันได้โดยตรง”
“เธอยังไม่ได้บอกฉันเลย ว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน ?” สุธีได้บอกให้เรไรจดตำบลบ้านของตนในกรุงเทพ ฯ ไว้
“เธอจะถือโทษฉันไหม ถ้าฉันจะสอดรู้สอดเห็นอีกสักหน่อย”
“เธออยากรู้อะไร ฉันจะบอกเธอได้หมด”
“คือเรื่องที่เธอมาเกิดหย่าร้างขึ้นนี่นะ” เรไรกล่าว “มันก็ทำให้ฉันเกิดมีศัตรูขึ้นอีกทางหนึ่ง คือภริยาของเธอที่เพิ่งหย่ากันไป ถึงอย่างไรเขาก็ต้องมองเห็นฉันเป็นตัวการทำลายความสุขในครอบครัวของเขา ฉันเกิดมีเรื่องที่จะต้องระวังตัวขึ้นอีกทางหนึ่ง เธอจะบอกชื่อและบ้านที่อยู่ของภริยาเธอที่หย่าร้างกันไปให้ฉันทราบได้ไหม เพื่อฉันจะได้มีทางระวังไว้อีก ไม่เซอะซะไปจุดใต้ตำตอเข้า”
“เขาชื่อมารศรี” สุธีตอบ แล้วก็บอกตำบลบ้านให้เรไรจดไว้อีก
“ฉันอาจจะกลับเมืองเหนือพรุ่งนี้” เรไรกล่าว “แต่ฉันต้องขอเธอเหมือนกับว่า อย่าเพิ่งรีบร้อนขึ้นไปพบฉัน ฉันเห็นด้วยกับคุณพ่อคุณแม่ และคุณพี่ของเธอ ว่าในการหย่าร้างนั้น ก็มีมารยาทที่จะต้องรักษาเหมือนกัน ขอให้เธอเก็บตัวเงียบ ๆ สักพักหนึ่ง”