บทที่ 5 เรไรลองสู้

ทางเศรษฐีเมืองใต้ก็มิได้ลดละความพยายามที่จะเอาตัวเรไรให้ได้ เพราะถึงแม้จะได้สอบสวนและพินิจพิเคราะห์รูปเรื่องสักเพียงไร ก็มองไม่เห็นว่า บุคคลที่อุกอาจลอบลักเอกสารสำคัญจากตู้เซฟนั้นจะเป็นคนอื่น นอกจากเรไร และทั้งๆ ที่มองไม่เห็นว่าเรไรจะสามารถขโมยได้อย่างไร เพราะเรไรไม่รู้จักโค้ดไขเซฟ และไม่มีกุญแจ ก็ยังต้องสงสัยอยู่นั่นเอง เพราะเรไรเข้าใกล้ตู้เซฟมากกว่าคนอื่น และรู้ว่ามีเอกสารสำคัญอยู่ในเซฟนั้น แต่โดยที่เป็นเพียงความสงสัย ไม่มีพิสูจน์หรือรอยพิรุธอันหนึ่งอันใด แม้แต่ว่าของหายไปจริง เจ้าหน้าที่ทางบ้านเมืองจึงไม่ยอมช่วยเหลือท่านเศรษฐีในการหาตัวเรไร

“มันขโมยของผมไปจริงๆ” เขากล่าวแก่เจ้าหน้าที่ “มันทำผมเสียหายหลายแสนบาท”

คุณมีอะไรแสดงบ้างไหม ว่าของคุณหาย และคุณได้รับความเสียหายอย่างว่านั้น ?” เจ้าหน้าที่ถาม

“เอกสารสำคัญมันต้องกลับคืนไปเข้ามือเจ้าของเดิมหมด”

“คุณมีอะไรบ้าง ที่จะพิสูจน์ว่าเอกสารเหล่านั้นเดิมมันอยู่ในตู้เซฟของคุณ แล้วมันออกจากตู้เซฟของคุณไปสู่มือเจ้าของเดิม”

“ลองไปค้นบ้านคนสามสิบสี่คนดูซิครับ”

“แล้วกัน อยู่ดีๆ คุณจะให้ไปค้นบ้านราษฎรสามสิบสี่คนสามสิบสี่ครอบครัว พวกนั้นเขามาทำอะไรให้คุณ เจ้าหน้าที่จะถือสิทธิอันใดเข้าไปค้นบ้านเขา”

“ถ้าไปค้นเข้า ก็จะพบโฉนดตราจอง”

“พบซิ” เจ้าหน้าที่กล่าว “เราอาจจะพบคนสามสิบสี่คนสามสิบสี่ครอบครัว มีโฉนดตราจองของเขาอยู่ในบ้านของเขา แล้วเราจะทำอะไรเขาได้”

“ลองค้นให้ทั่วบ้าน อาจจะพบสัญญากู้ได้บ้าง สัญญากู้ที่จะเป็นพยาน ว่าพวกนั้นเป็นลูกหนี้ผม”

“แต่ก่อนที่จะไปค้น คุณจะต้องมีอะไรมาแสดงให้ผมเห็นสักนิดหนึ่ง ว่าคนเหล่านั้นเป็นลูกหนี้คุณ เพราะการที่จะไปเข้าบ้านใคร แล้วบอกเขาว่า ท่านเป็นลูกหนี้ฉัน เอกสารกู้หนี้ถูกขโมยกลับเข้ามาในบ้านท่าน ต้องขอค้นบ้าน อย่างนี้ทำไม่ได้เป็นอันขาด ถ้าคุณมีหลักฐานอะไรว่าคนเหล่านั้นเป็นหนี้คุณจริง ผมก็จะลองพิจารณาดู ว่าจะมีทางหรือไม่”

“ก็หลักฐานมันหายไปหมด ผมจะเอาอะไรมาแสดงได้”

“เพียงแต่จดหมายติดต่อก็เอา เช่นจดหมายขอผัดใช้หนี้ มีบ้างไหม

“พวกลูกหนี้ของผมไม่เคยผัดหนี้โดยจดหมาย เขามาขอผัดด้วยตัวเองเสมอ แต่ผมมีสำเนาจดหมายทวงหนี้”

“ถ้าเราสามารถจะใช้สำเนาจดหมายทวงหนี้เป็นหลักฐานได้ การฟ้องร้องเรื่องหนี้สินกันทั่วเมือง คุณเองก็อาจจะถูกใครฟ้องว่าเป็นหนี้เขาอยู่สักห้าหรือหกล้าน”

“คนอย่างผมไม่เคยเป็นหนี้ใคร ไม่เคยกู้เงินใคร”

“แต่ถ้ามีคนสักร้อยคนเขาเกิดมีหนังสือทวงหนี้ขึ้นมา ในหนังสือนั้นบอกว่าคุณเป็นหนี้เขา คุณจะว่ากระไร ?”

“ผมก็จะว่ามันทำปลอมขึ้นเท่านั้นเอง”

“เรื่องก็จะเป็นอย่างเดียวกัน” เจ้าหน้าที่กล่าว “ถ้าคุณเอาสำเนาหนังสือทวงหนี้ขึ้นมาแสดง ผู้มีชื่อในหนังสือทวงหนี้นั้นก็จะบอกว่า คุณทำปลอมขึ้นเอง”

“แต่ความจริงมันกู้เงินของผมไป มันเอาที่ไร่นามาจำนอง ความจริงย่อมหนีความจริงไม่พ้น”

“แล้วทำไมคุณไม่ทำพิธีจำนองให้ถูกต้องตามกฎหมาย”

“ผมไม่เคยต้องทำอย่างนั้น เคยใช้วิธีของผมเรียบร้อยตลอดมา”

“ถ้าความจริงเป็นอย่างนั้น ก็ขอให้คุณได้รับบทเรียนไว้สักครั้งหนึ่ง ว่าการเลี่ยงกฎหมาย การเลี่ยงค่าธรรมเนียม มันให้ผลแก่คุณอย่างไร ผมเชื่อด้วยว่า ถ้ามีหนังสือกู้กันจริง หนังสือกู้นั้นก็ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ ผมก็อยากได้มาสักฉบับหนึ่งเหมือนกัน เพื่อว่าบางทีจะมีโอกาสฟ้องใครฐานทำผิดกฎหมายรัษฎากรได้บ้าง”

เป็นอันว่ายิ่งพูดกับเจ้าหน้าที่มากไป ก็ยิ่งจะเกิดผลร้ายแก่ท่านเศรษฐีมากขึ้น

“แต่นางเรไรมันขโมยของผม” ท่านเศรษฐียังพูดต่อไปอีก

“แม้แต่จะแสดงให้เป็นที่น่าเชื่อว่าของของคุณหายไปจริง คุณยังแสดงไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรมาแสดงให้เป็นที่สงสัย ว่าสตรีผู้นั้นขโมยของคุณไป”

“มันหายหน้าไปหลายเดือนแล้ว ไม่กลับ”

“เขาหนีคุณไปหรือ ?”

“เปล่า ผมใช้มันไป แต่มันหายไปเกินกำหนด ก็เท่ากับมันหนี”

“คุณกำหนดให้เขาไปนานเท่าไร ?”

“ไม่ได้กำหนดไปแน่”

“แล้วคุณจะว่าเขาหายไปเกินกำหนดอย่างไรได้ สตรีผู้นั้นเป็นอะไรกับคุณ ?”

“มันเป็นเมียผม”

“ถ้าเขาเป็นภริยา แม้เขาจะขโมยไปจริงๆ ก็ทำอะไรเขาไม่ได้”

“มันไม่ใช่เมียจริง ไม่ได้จดทะเบียน เป็นแต่เพียงเมียเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างที่ผมมีอยู่ในบ้านหลายคน”

“คุณไปได้เขามาอย่างไร ?”

“พ่อแม่มันเป็นหนี้ผม มันมายอมเป็นเมียผมเพื่อให้ผมยกหนี้ให้แก่พ่อแม่ของมัน”

“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ประหลาดที่สตรีผู้นั้นจะฉวยโอกาสหนีออกจากบ้านคุณไปได้ แล้วไม่กลับมาอีก เพราะไม่มีหญิงสาวคนใดจะพอใจอยู่ในฐานะเมียเล็กเมียน้อย นอกจากว่าจะไปทางไหนไม่รอด ถ้าไปรอดเขาก็ต้องไป จะไปถือเอาเป็นข้อสงสัยข้อพิรุธอะไรไม่ได้”

“แต่ผมเลี้ยงมันดีมาก”

“คุณจะเลี้ยงเขาดีสักเท่าไร เขาก็ไม่อยากอยู่กับคุณเพราะเขาไม่รักคุณ”

“แต่นางคนนี้มันรักผม”

“อ้าว...ถ้าคุณเชื่อใจว่าเขารักคุณ ทำไมคุณไปสงสัยว่าเขาจะขโมยของคุณ

ท่านเศรษฐีก็จนมุมอยู่ที่ตรงนี้ เป็นอันว่าการพูดกับเจ้าหน้าที่ไม่ได้ผล แต่ท่านเศรษฐีก็ไม่ละทิ้งความพยายาม ประกาศเพิ่มเงินรางวัลหาตัวจากหนึ่งหมื่นบาท ขึ้นมาเป็นสองหมื่นบาท และประกาศแพร่หลายยิ่งขึ้น

“เมื่อไม่มีทางจะฟ้องร้องเขาได้แล้ว จะไปเสียเงินหาตัวเขามาทำไมกันอีก” วันหนึ่งภริยาเอกพูดขึ้น

“เอามันมาเชือดเนื้อเล่น” ท่านเศรษฐีตอบ

“จะไปเชือดเนื้อเขาได้อย่างไร”

“ก็ลองให้รู้ซิ ว่ามันอยู่ที่ไหน จะลากตัวเข้าป่าเชือดเนื้อมันออกเป็นชิ้นๆ”

ท่านเศรษฐีไปสืบได้ความว่า ไร่นาเดิมของพ่อแม่เรไรนั้น อยู่ในความดูแลของผู้มีหลักฐานคนหนึ่ง คือคนที่อยู่ในเมืองนี้เอง และให้ความอุปการะช่วยเหลือแก่เรไรตลอดมา ท่านเศรษฐีได้อุตส่าห์ไปที่บ้านนั้น ขอพบนายสมพร เจ้าของบ้าน ซึ่งความจริงก็เป็นคนรู้จักกันอยู่แล้ว แต่ไม่คุ้นเคยสนิทสนมกัน

“ผมได้ทราบว่าคุณเป็นผู้ดูแลที่นาของพ่อแม่เรไร” ท่านเศรษฐีพูด

“ถูกแล้ว เขาฝากให้ผมช่วยดูแล ผมก็ช่วยดูแลให้เขา” นายสมพรตอบ

“ให้คนเช่าทำหรือ ?”

“ให้คนเช่าทำ”

“แล้วส่งเงินค่าเช่าไปให้พ่อแม่เรไรใช่ไหม ?”

“ไม่เคยส่งไป เพราะไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”

“แล้วคุณทำอย่างไรกับเงินที่เก็บได้”

“ผมก็เก็บฝากออมสินไว้ ได้ดอกเบี้ยบ้าง ถ้าเขาต้องการเมื่อไรก็ให้เขามารับไป”

“ผมสงสัยว่าจะไม่เป็นความจริง” ท่านเศรษฐีกล่าว

“ถ้าคุณไม่คิดว่าจะได้ฟังความจริงจากผมแล้ว คุณมาถามผมทำไม ?”

“คุณต้องรู้เป็นแน่ ว่าพ่อแม่ของนางเรไรอยู่ที่ไหน รวมทั้งตัวนางเรไรด้วย”

“ถึงแม้ผมจะรู้ ผมก็ไม่จำเป็นต้องบอกคุณ

“เปล่า คือผมประกาศให้รางวัลไว้ถึงสองหมื่นบาท”

“คุณคิดว่าผมอยากได้เงินสองหมื่นบาทของคุณอย่างนั้นหรือ ?”

“คือถ้าคุณบอกได้ว่ามันอยู่กันที่ไหน ผมก็จะสมนาคุณ”

“เสียใจ ผมบอกไม่ได้”

“แต่คุณก็รู้ใช่ไหม ?”

“เอาเถอะ รู้หรือไม่รู้มันเรื่องของผม ผมตอบคำถามคุณมามากแล้ว ผมจะไม่ตอบอะไรอีก”

“แปลว่าคุณต้องการจะเป็นศัตรูกับผม อย่างนั้นหรือ ?”

“ผมไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใคร ผมอยู่ของผมดีๆ คุณก็เข้ามาในบ้านผม แล้วก็พูดเป็นทำนองดูหมิ่นผม ถ้าคุณต้องการมิตรภาพ ผมก็ยินดีจะเป็นมิตรกับคุณ แต่ถ้าคุณต้องการจะเป็นศัตรูก็ตามใจคุณ

คำพูดของนายสมพร ทำความโกรธแค้นให้ท่านเศรษฐี เพราะแต่ก่อนมาไม่เคยมีใครกล้าพูดกับท่านเศรษฐีอย่างนี้ อันที่จริงท่านเศรษฐีก็ควรจะรู้ตัว ว่าวาสนาบารมีของท่านในเวลานี้ลดน้อยลงไปเป็นอันมาก ไม่มีใครมายอมรับความผูกมัดให้ขูดเลือดเหมือนแต่ก่อน ชาวไร่ชาวนาที่ได้โฉนดตราจองของตัวกลับคืนมา และแน่ใจว่าหนี้สินได้ละลายหายไป โดยที่ท่านเศรษฐีไม่มีทางฟ้องร้องได้ก็พยายามตั้งต้นชีวิตใหม่ ชีวิตที่จะไม่ก่อหนี้สินขึ้นมาอีก ส่วนคนอื่นๆ นอกจาก 34 คนนั้น ก็ไม่มีใครกล้ามาขอกู้เงินท่านเศรษฐี เพราะแน่ใจว่าคราวนี้ท่านเศรษฐีจะต้องหาทางผูกมัดจนดิ้นไม่หลุด และจะถูกขูดเลือดหนักยิ่งกว่าคนที่แล้วมา เมื่อไม่มีลูกหนี้ก็ไม่มีใครอยู่ใต้อิทธิพล เลยกระทบกระเทือนไปถึงกิจการอย่างอื่นของท่านเศรษฐี เช่น การค้าของเถื่อนก็ลำบากยากเข้า การแผ่วาสนาบารมีด้วยประทุษกรรมต่างๆ ก็ยากเข้าเช่นเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นท่านเศรษฐีก็ยังมีหวังอยู่เสมอ ว่าจะสามารถทุ่มเทเงิน เอาตัวไรเรมาเชือดเนื้อเล่นให้ได้

ข่าวของเรไรไม่รู้จักหมด ทั้งทางเมืองเหนือและเมืองใต้ เพราะเมื่อท่านเศรษฐีได้ประกาศเพิ่มรางวัลจากหนึ่งหมื่นขึ้นมาเป็นสองหมื่น ก็ยิ่งเร้าความสนใจมากขึ้น ว่าเรไรมีความสำคัญอย่างไร เงินสองหมื่นเป็นจำนวนเงินเพียงพอที่จะจูงใจคนบางคนให้ซุกซนสืบเสาะ ซึ่งเขาอาจจะพบตัวก็ได้ และถ้าเขาพบตัวเรไร โดยเรไรไม่รู้ตัว เรไรอาจจะถูกทำร้ายก็ได้ เพราะถึงอย่างไรท่านเศรษฐีผู้นั้นก็ยังมีเงินพอที่จะจ้างคนให้ประกอบการร้ายได้อยู่ เรไรมีความคิดคำนึงอยู่เช่นนี้ และก็ไปตรงกับความคิดคำนึงของผู้ที่เคยให้ความอุปการะแก่เรไรทางเมืองใต้ คือนายสมพรที่ท่านเศรษฐีไปหา และเกิดการโต้เถียงกันดังกล่าวมาข้างต้น ท่านผู้นี้ก็เขียนถึงเรไรว่าให้ระวังตัว เพราะเมื่อเขาไม่สามารถจะจัดการกับเรไรในทางกฎหมาย เขาก็อาจจะจัดการด้วยอำนาจเงิน ซึ่งเขาทำมาได้แล้วมากมาย

เรไรมองเห็นแน่ว่าไม่มีประโยชน์อะไร ที่จะมาหมกตัวหลบภัยอยู่อย่างนี้ ถ้าเธอไม่กล้าสู้ก็ไม่ควรจะทำ เมื่อทำไปแล้วก็ต้องกล้าสู้ อายุของเธอเพียง 21 ปี เวลาข้างหน้ายังมีอีกมาก ถ้าเธอจะต้องหมกตัวซ่อนเร้นอยู่อีกเป็นเวลาตั้งสิบๆ ปี ชีวิตก็ไม่เป็นชีวิต ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ทำไม ทางที่ดีลองไปสู้กันดูสักทีดีกว่า

เรไรได้แจ้งความคิดอันนี้แก่บิดามารดาของตน ซึ่งทั้งบิดามารดาไม่เห็นชอบด้วยเลย

“ลูกจะไปสู้เขาได้ด้วยวิธีไร ?” แม่ถาม

“ยังไม่รู้ซิแม่” เรไรตอบ “ตัดสินใจว่าสู้ก็แล้วกัน แล้วมันก็พบลู่ทางเข้าเอง”

“ทำอย่างนั้นไม่ได้” พอพูด “ต้องรู้วิธีการไปให้แน่นอนก่อน จะเดิน ทางลงไปถึงเมืองใต้แล้วไปคิดเอาทีหลังนั้น เป็นไปไม่ได้”

อันที่จริงความคิดของเรไรก็มีอยู่แล้ว แต่ถ้าขึ้นเล่าให้พ่อแม่ฟัง ก็จะ ถูดขัดแย้งและคัดค้านเรื่อยไป เพราะความเป็นห่วงลูก แต่การที่จะไม่บอก อะไรเสียเลยถ้าพ่อแม่ไม่ยอมให้ไป เรไรจะขึ้นไปก็เป็นการไม่ดีอีกเหมือนกัน เรไรจึงเล่าความคิดย่อๆ ให้พ่อแม่ฟัง และก็ไม่เว้นที่จะถูกค้านถูกขัดแย้ง แต่ในที่สุดเรไรก็ทำให้พ่อแม่ยินยอมจนได้ แม่จะให้พ่อไปด้วย พ่อก็อยากไปด้วย แต่เรไรเห็นว่า ถ้าพ่อไปด้วยก็ยิ่งลำบากใหญ่ ลำบากใจของเรไรที่ทิ้งแม่ไว้ทางนี้คนเดียว ลำบากแก่วิธีการของเรไรที่จะไปทำในคราวนี้ เรไรต้องชี้แจงเรื่องเหล่านี้แก่พ่อแม่ด้วยความยากลำบาก ดูเหมือนว่างานต่อสู้ที่เรไรจะไปทำทางเมืองใต้นั้น ยังง่ายกว่าการรับความยินยอมของพ่อแม่เสียอีก

แต่พ่อแม่ก็รู้ว่าลูกสาวของตัวนั้นใจแข็งเป็นเหล็ก ลงมีความต้องการอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว ก็อย่าไปขัดให้เสียเวลา ลงท้ายก็ต้องตามใจเรไร จากพ่อแม่ไปอีกครั้งหนึ่งด้วยความวิตกห่วงใยของพ่อแม่ และความวิตกห่วงใยคราวนี้ มากยิ่งกว่าที่เรไรจากบ้านเมื่อคราวก่อน เพราะคราวก่อนเรไรไปเป็นเมียเขา แต่คราวนี้จะไปสู้กับเขา สู้กับมหาเศรษฐีผู้มีอิทธิพล ดูเป็นความคิดที่เหลวไหลเต็มที่ เป็นเรื่องโง่เขลาอย่างแมงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่เมื่อลูกสาวอยากไปก็ต้องให้ไป เพราะการที่จะขัดเรไรนั้นไม่มีประโยชน์

เรไรออกเดินทางและมาพักที่กรุงเทพ ฯ อีก พักบ้านนายบุญช่วงที่เคยได้รับความอุปการะให้พักอาศัยอยู่ 15 วันเมื่อครั้งก่อน นายบุญช่วงก็ตกใจในการตัดสินของเรไรที่จะลงไปเมืองใต้ครั้งนี้ แต่ก็เห็นด้วยว่า ควรจะทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เสร็จสิ้นกันไปเสียที ถึงแม้จะไม่เสร็จสิ้นไปได้ทีเดียว ก็ให้เป็นที่รู้ว่าเรไรอาจจะมีทางชนะได้ คราวนี้เรไรได้ชี้แจงแผนการให้แก่เขา เพราะเห็นเขาเป็นผู้มีความฉลาดรอบคอบในเรื่องระมัดระวัง เขาได้ให้ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์แก่เรไรหลายอย่าง และเขารับว่าจะบอกไปยังพี่ชายของเขา ให้ช่วยเหลือเรไรบ้างตามสมควร

ภายหลังที่ได้ปรึกษาหารือกันอย่างละเอียด เขาให้ความเห็นว่า เรไรยังไม่ควรจะลงไปถึงเมืองนั้นทันที ควรจะไปพักอยู่ที่บ้านนายบุญโชติพี่ชายของเขา ใกล้สถานีใหญ่ที่เขาเคยเอาของมาส่งให้เรไร เตรียมการทุกอย่างที่นั้นให้พรักพร้อม แล้วการที่จะเข้าเมืองก็ไม่ควรจะเข้าไปโดยทางรถไฟ ใช้รถยนต์เข้าไปในเวลากลางคืนดีกว่า เรไรเห็นชอบกับความคิดอันนี้ เขาจึงขอให้เรไรพักอยู่บ้านเขาสัก 2 หรือ 3 วันก่อน เพื่อให้เขามีเวลาส่งข่าวไปถึงพี่ชายของเขา ให้พี่ชายของเขาได้มีเวลาเตรียมตัวต้อนรับเรไรด้วย

เรไรพักอยู่ที่บ้านของเขา 3 วัน ด้วยความเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีแต่จะมารับความอุปการะจากเขา โดยไม่มีทางที่จะตอบแทนบุญคุณเขาอย่างไร ทั้งสามีภริยาเป็นคนดี ให้ความเมตตาอารีและช่วยเหลือเรไรด้วยความจริงใจ ระหว่างเวลาอยู่ในกรุงเทพ ฯ เรไรก็ไม่ได้ไปทางไหน เพราะเธอรู้ว่าเธอมีค่าตัวถึงสองหมื่น อาจจะพลาดพลั้งลงไปได้ เรไรนึกถึงสุธี ซึ่งเชื่อว่าในเวลานี้เขาคงอยู่ในกรุงเทพ ฯ เหมือนกัน แต่ก็ไม่บังควรที่เรไรจะติดต่อกับเขา เพราะอาจเป็นการทำลายความผาสุกของเขา ในเมื่อเขาเข้าสู่ชีวิตสมรสใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรไรไม่ต้องการให้สุธีทราบเรื่องที่เรไรจะเดินทางไปเมืองใต้ครั้งนี้

ภายหลังที่พักอยู่ในกรุงเทพ ฯ 3 วันแล้ว เรไรก็เดินทางลงไปทางใต้โดยรถไฟ ความตั้งใจที่มีอยู่ในครั้งแรก ว่าจะไม่ขึ้นรถชั้นที่หนึ่งอีกต่อไปนั้นก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะการเดินทางในตอนนี้ก็จะต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ นอกจากจะต้องเดินทางชั้นที่หนึ่งแล้ว ยังต้องเช่าตู้รถนอนตู้เดี่ยว เพื่อความปลอดภัยอย่างแท้จริงด้วย

การเดินทางได้เป็นไปโดยเรียบร้อย ไม่มีอะไรผิดแปลก ไม่มีอะไรเป็นเรื่องลึกลับเหมือนอย่างครั้งที่เดินทางขึ้นมากรุงเทพ ฯ เป็นการเดินทางอย่างสงบเงียบ จนกระทั่งถึงสถานีที่นัดหมายกันไว้ นายบุญโชติผู้ที่เคยนำของออกมาให้ และมาแสดงบทบาทอย่างดีในครั้งโน้น ได้ออกมาคอยรับด้วยท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นเดียวกัน แต่เสียงพูดไม่ดังเหมือนครั้งก่อน

เป็นอันว่าเรไรเกิดมีผู้อุปการะขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขาได้ให้ที่อยู่ที่พักอย่างดี ทำให้เรไรนึกละอายตัวเอง ว่าต้องเที่ยวเป็นหนี้บุญคุณใครต่อใครทั่วไป เธอได้ทราบจากท่านผู้นั้นอีกว่า พรุ่งนี้เช้านายสมพรผู้อุปการะซึ่งอยู่ในเมือง อุปการะมาตั้งแต่ครั้งให้หนังสืออ่านเมื่อเด็ก ๆ และอุปการะตลอดมา จะเดินทางมาพบเรไรที่บ้านนี้ เพื่อปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร เรไรได้พักอยู่อย่างสบายในบ้านใกล้สถานีนั้นคืนหนึ่ง และรุ่งขึ้นแต่เช้า นายสมพรก็มาถึง

ได้มีการปรึกษาหารือกันอีกครั้งหนึ่ง ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย ในค่ำวันนั้นเองเรไรก็ได้เดินทางเข้าไปในเมืองกับนายสมพรโดยรถยนต์ของเขา เขาตกลงใจที่จะใช้บ้านของเขาเองเป็นป้อมปราการสำหรับต่อสู้กับมหาเศรษฐี จะยอมเปิดเผยตัวเองในครั้งนี้ว่าเป็นผู้อุปการะเรไรแต่ไหนแต่ไรมา การพบปะกับท่านเศรษฐีและถ้อยคำเชิงหมิ่นประมาทที่ท่านเศรษฐีได้กล่าวในวันนั้น ทำให้นายสมพรตกลงใจที่จะเข้ามีส่วนในการต่อสู้ของเรไรด้วย

เรไรได้พักอยู่ในบ้านนายสมพรเป็นครั้งแรก บ้านที่เรไรเคยนำผักและไข่ไก่มาขาย เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก บ้านที่เคยให้เรไรยืมหนังสืออ่านตลอดมา บ้านที่ช่วยดูแลไร่นาในเวลาที่พ่อแม่ของเรไรต้องจากเมืองนี้ไป บ้านที่ติดต่อกับพ่อแม่ของเรไรมาโดยไม่ขาดสาย และคราวนี้ได้ให้อุปการะเรไรอย่างแท้จริง ถึงกับเอาเข้ามาพักอยู่ในบ้าน เขาให้ที่อยู่หลับนอนและให้อาหารเป็นอย่างดี เหมือนหนึ่งว่าเรไรเป็นแขกผู้มีเกียรติมาจากไหน เขาไม่ได้นึกถึงว่าเรไรเป็นเด็กขายผักขายไข่ไก่ ซึ่งเขาต้องช่วยเหลือมาแต่ครั้งกระโน้น นายสมพรได้เชิญคนสองคนมาพูดกันต่อหน้าเรไร คนหนึ่งเป็นทนายความ อีกคนหนึ่งเป็นคนธรรมดา แต่เป็นผู้ที่นายสมพรไว้วางใจ เขากะการต่างๆ กันเรียบร้อยแล้วก็บอกให้เรไรไปหลับนอน เรื่องที่จะทำกันจะเริ่มในวันรุ่งขึ้น

พอเช้าวันรุ่งขึ้น คนที่นายสมพรไว้วางใจนั้นก็ไปปรากฏตัวที่บ้านของท่านเศรษฐี ถือหนังสือพิมพ์ที่ท่านเศรษฐีประกาศให้รางวัลนั้นไปด้วย เศรษฐีเคยรู้จักคนผู้นี้แต่ไม่สนิทสนม และไม่เคยเป็นลูกหนี้

“ท่านประกาศให้รางวัลตามหนังสือพิมพ์นี้ใช่ไหมครับ ?” ชายผู้นั้นกล่าวแก่ท่านเศรษฐี

“ถูกแล้ว” เศรษฐีตอบ “ฉันประกาศเอง”

“ท่านจะให้เงินสองหมื่นบาทแก่ผู้ที่สามารถบอกที่อยู่ของหญิงผู้นี้ได้แน่นอนใช่ไหมครับ ?”

“ถูกแล้ว ให้สองหมื่น เธอรู้เบาะแสอะไรหรือ ?”

“ไม่ใช่รู้เบาะแสครับ รู้แน่ทีเดียวว่าอยู่ที่ไหน?”

“เธอสามารถจะพาคนของฉันไปพบได้หรือ ?”

“พาตัวท่านเศรษฐีไปพบเองก็ได้”

“มันอยู่ในเมืองนี้หรือ ?”

“ข้อนี้ผมก็ยังบอกไม่ได้ แต่ผมรับรองว่าอยู่ไม่ไกล ผมสามารถจะพาตัวท่านเศรษฐีไปพบได้โดยไม่ยากลำบาก”

“แปลว่ามันลงมาถึงเมืองใต้”

“ถูกแล้วครับ ในเวลานี้เขาอยู่เมืองใต้”

“บอกได้หรือยังว่ามันอยู่ที่ไหน ?”

“ไม่ต้องบอกครับ พาตัวไปได้เลย”

“ใครจะรู้ได้ว่าเธอจะพาฉันไปทำอะไร”

“ผมเป็นคนบ้านนี้ครับ ท่านก็เคยรู้จักผม ครอบครัวลูกเต้าของผมก็มี”

“ถูกแล้วฉันรู้จักเธอ”

“แล้วท่านจะกลัวอะไรล่ะครับ”

“ฉันกำลังเคราะห์ร้าย ทำอะไรต้องระวังตัวไว้เสมอ”

“ถูกแล้วครับ ระวังตัวไว้เป็นดี ผมเองก็อยากจะระวังตัวเหมือนกัน เราต่างคนต่างระวังตัวกันดีกว่า”

“เธอจะต้องระวังตัวเรื่องอะไร ?”

“เรื่องรางวัลที่ท่านประกาศให้สองหมื่นบาท”

“เธอกลัวฉันจะไม่ให้อย่างนั้นหรือ ?”

“เมื่อท่านเองต้องระวังตัว ผมก็ต้องระวังตัวของผมเหมือนกัน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย”

“เธอจะทำอย่างไร ?”

“ท่านมีทนายความของท่านใช่ไหมครับ ?”

“ฉันมีทนายความที่ฉันเคยใช้

“ท่านเรียกทนายความของท่านมา ผมจะไปตามทนายความของผมมา”

“เอาทนายความมาทำไม ?”

“เอามาทำสัญญากันใหม่ ว่าถ้าพาท่านไปพบคุณเรไรได้อย่างง่ายๆ และท่านเองก็ปลอดภัย ท่านจะต้องจ่ายเงินให้ผมทันทีสองหมื่นบาท”

“แล้วถ้าไม่พบล่ะ ?”

“ผมจ่ายให้ท่านหมื่นบาท”

“เธอมีเงินให้หรือ ?”

“มีครับ ที่ดิน บ้านเรือนของผมก็มี ผมเอาทนายความของผมเป็นผู้ค้ำประกันก็ได้”

เศรษฐีแลเห็นเป็นเรื่องผิดปรกติ เพราะตามคำของคนผู้นี้ที่ว่าจะพาตัวท่านไปพบเรไรได้ง่ายๆ โดยปลอดภัยนั้นก็แปลว่าเรไรต้องอยู่ในเมืองนี้เอง ดูเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ เรไรหลบหนีไปได้แล้ว จะกลับมาเมืองใต้ทำไมอีก แล้วจะมาอยู่ที่ไหน แต่คนที่นำความมาบอกนี้ก็ไม่ใช่คนที่เคยมีความประพฤติเหลวไหล เขามีที่ดิน มีบ้านเรือน มีลูกเมียครอบครัว เป็นการสมควรที่จะทดลองดู เพราะเหตุการณ์ที่ไม่คาดหมายมักจะเกิดมีขึ้นได้บ่อยๆ

เศรษฐีจึงตกลง ให้คนไปตามทนายความของตน และชายผู้นั้นก็ขอออกไปตามทนายความของตัว ต่างฝ่ายต่างมีทนายความมาทำสัญญากัน เป็นข้อความว่า ถ้าชายผู้นั้นสามารถนำตัวเศรษฐีไปพบเรไร โดยสะดวกและปลอดภัย เศรษฐีจะต้องจ่ายเงินให้ชายผู้นั้นทันที เป็นจำนวนสองหมื่นบาท แต่ถ้าชายผู้นั้นไม่สามารถจะให้เศรษฐีพบตัวเรไรโดยสะดวกและปลอดภัย ชายผู้นั้นจะจ่ายเงินหนึ่งหมื่นบาทให้เศรษฐี โดยทนายความของชายผู้นั้นเป็นผู้ค้ำประกัน คือถ้าชายผู้นั้นไม่สามารถจ่ายเงินได้ ทนายความจะต้องจ่ายให้แก่เศรษฐี

ครั้นแล้วทั้ง 4 คนก็พากันไป เศรษฐีได้เรียกคนในบ้านของตัวอีก 2 คนให้ตามไปด้วย เพราะไม่ไว้วางใจ รวมความว่าไปกันถึง 6 คน รวมทั้งทนายความอีก 2 คน

“ขึ้นรถอะไรไป ?” เศรษฐีถาม

“เดินไปก็ได้ครับ” ชายผู้นั้นตอบ “ประเดี๋ยวก็ถึง”

คราวนี้เศรษฐีก็นึกสะกิดใจขึ้นมา เมื่อเริ่มเดินทางไปได้สักหน่อยหนึ่ง ก็รู้สึกว่าเห็นจะเป็นบ้านที่ตนเคยมาไต่ถามและเกิดโต้เถียงกันเมื่อไม่นานมานัก เขาคาดไม่ผิด เป็นบ้านนั้นเอง เจ้าของบ้านได้ออกมาต้อนรับด้วยท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส แต่เศรษฐีก็ได้สังเกตเห็นว่าเป็นการยิ้มเยาะมากกว่าที่จะยิ้มโดยอัธยาศัย

“เชิญเข้าในบ้านครับ” นายสมพรกล่าวแก่เศรษฐี “บ้านนี้ไม่มีคนพาล ไม่มีคนร้าย คุณไม่ต้องกลัวอะไร”

“เรไรอยู่ในบ้านคุณหรือ ?” เศรษฐีถาม

“ถ้าคุณเข้าไปก็จะเห็น”

เขาเดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปพร้อมกับทนายความทั้งสองคน เดินเข้าไปด้วยหัวใจที่เต้นแรง และค่อนข้างเชื่อแล้วว่าเรไรมาอยู่ที่นี่ เรื่องที่ไม่เข้าใจอย่างเดียวก็คือว่า เรไรกล้าหาญกลับมาเมืองนี้ด้วยเหตุใด พอขึ้นถึงห้องรับแขก เขาก็ต้องตะลึงทั้งๆ ที่คาดหมายอยู่แล้วว่าจะพบเรไร ก็อดตะลึงไม่ได้ เรไรยืนสง่าอยู่ในห้องรับแขก ดูเหมือนกับว่าเธอจะแกล้งแต่งตัวให้สวยเป็นพิเศษ มีอาการยิ้มอย่างยิ้มเยาะเช่นเดียวกับอาการยิ้มของนายสมพร เจ้าของบ้าน แต่ดวงตาแข็งกร้าวอย่างที่เขาไม่เคยเห็น และดูเหมือนจะแข็งมากขึ้น เจ้าของบ้านเชิญทุกคนนั่งเก้าอี้ซึ่งจัดไว้เรียบร้อย

“จำเรไรได้ไหมคะ ?” เรไรพูดด้วยเสียงที่แจ่มใส

“จำได้ เรไร” เศรษฐีตอบอย่างที่ไม่รู้จะตอบว่ากระไร

“ไม่ผิดตัวนะคะ” เรไรกล่าวย้ำ

“ไม่ผิด เรไรแน่” เขาตอบ

“ถ้าอย่างนั้นก็จ่ายเงินสองหมื่นไปเสียก่อน” เรไรกล่าว

คำกล่าวอันนี้ทำให้เศรษฐีเกือบเป็นลม เขามึนงงจนต้องเอามือกุมหน้าผากของตัวเอง ผู้หญิงคนนี้ทำความเสียหายให้เขามาก แม้แต่ว่าการที่จะพบกันในครั้งนี้ ก็ยังต้องทำให้เขาเสียเงินอีกสองหมื่นบาท

“เรไรต้องการมาพบฉันไม่ใช่หรือ ?” เขากล่าว

“มิได้ค่ะ” เรไรพูด “จ่ายเงินสองหมื่นบาทให้แก่คนนำพบเสียก่อน แล้วจึงค่อยพูดกัน”

“ฉันไม่ได้พกเงินสองหมื่นบาทมาด้วย” เขาพูด

“แต่ผมมีหนังสือสัญญามา” ชายผู้นำพบกล่าว

“ท่านลงนามรับรองในสัญญาก็ได้” เรไรพูด “ว่าท่านได้พบดิฉันแล้ว และท่านต้องจ่ายเงินสองหมื่นบาทให้แก่ผู้นำตามสัญญา”

ทนายความของผู้นำก็ออกความเห็นว่าทำอย่างนั้นได้ เศรษฐีต้องเขียนข้อความและเซ็นรับรองต่อหน้าทนายความทั้งสอง ว่าได้พบเรไรแล้ว และจะจ่ายเงินให้แก่ชายผู้นั้นตามสัญญา ในทันทีที่กลับไปถึงบ้าน ทนายทั้งสองลงนามเป็นพยานรู้เห็น แล้วชายผู้นำนั้นก็ออกไป

“เรไรตั้งใจมาพบฉันไม่ใช่หรือ ?” เขาถามซ้ำกับที่ถามเมื่อตะกี้นี้

“ถูกแล้วค่ะ ดิฉันตั้งใจมาพบท่าน” เรไรตอบ

“แล้วทำไมต้องทำให้ฉันเสียเงินอีกสองหมื่น”

“ไม่ใช่ดิฉันทำให้ท่านเสีย ท่านทำตัวของท่านให้เสียเงินเอง เรื่องอะไรจึงต้องประกาศโครมคราม ให้รางวัลทางหนังสือพิมพ์ หมื่นเดียวยังไม่พอ ประกาศเพิ่มอีกหมื่นหนึ่ง เป็นการสมควรที่ท่านจะต้องทำตามประกาศของท่านเอง ไม่ใช่ประกาศของใครอื่น”

“ทำไมเรไรไม่ตรงไปที่บ้าน”

“บ้านไหนคะ ?”

“ก็บ้านฉัน บ้านเรไรเคยอยู่มาตลอดปี”

“ฉันจะตรงไปที่บ้านท่านอย่างไรได้ ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับท่าน”

“เรไรเป็นเมียฉัน เรไรลืมเสียแล้วหรือ ?”

“ท่านก็เห็นจะลืมไปแล้วกระมัง ว่าท่านประกาศออกไปอย่างไรในหนังสือพิมพ์ ที่นี่ก็มีหนังสือพิมพ์ที่ลงประกาศของท่าน” เรไรพูดพร้อมกับยื่นหนังสือพิมพ์ให้เขาดู “อ่านซิคะ ท่านประกาศว่ากระไร ท่านขอประกาศให้ทราบทั่วกัน ว่าถ้านางเรไรไปอ้างตนเป็นภริยาของข้าพเจ้า ทำการเกี่ยวข้องทางเงินทองกับผู้หนึ่งผู้ใด ก็ขออย่าให้ใครเชื่อว่านางเรไรเป็นภริยาของข้าพเจ้า”

“แล้วเรไรต้องการพบฉันทำไม ?”

“ท่านเองเป็นคนต้องการตัวฉัน ประกาศให้สินบนถึงสองหมื่น บอกฉันก่อนได้ไหมว่าท่านต้องการพบฉันทำไม ?”

“เธอเป็นคนเอาเอกสารสัญญาและโฉนดตราจองของลูกหนี้ออกไปจากตู้เซฟใช่ไหม ?”

“ฉันจะเอาออกไปได้อย่างไร ใครเป็นคนถือกุญแจตู้เซฟ”

“เมียของฉันเป็นคนถือ”

“เมียใหญ่ที่สุดใช่ไหม ?”

“ถูกแล้ว”

“สมมติว่าใครขโมยกุญแจไปได้ จะมาไขตู้เซฟได้ไหม ?”

“ไขไม่ได้เพราะมันมีโค้ตลับ”

“ใครเป็นคนรู้โค้ตลับ ?”

“ฉันกับเมียของฉัน”

“เมียใหญ่ที่สุดคนเดียวใช่ไหม ?”

“ใช่” เศรษฐีตอบ

“รู้กันเพียงสองคนเท่านั้นใช่ไหม ?”

“รู้กันเพียงสองคนเท่านั้น”

“แล้วฉันจะไปไขเซฟได้อย่างไร ถึงหากว่าฉันจะขโมยกุญแจไปได้ เคยมีเวลาที่กุญแจหายบ้างหรือเปล่า ?”

“ไม่เคยมีเลย”

“แล้วฉันจะขโมยได้อย่างไร”

“ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอจะมีวิธีการอย่างไรบ้าง” เศรษฐีกล่าว

“วิธีการมีอีกอย่างเดียวคืองัดเซฟ เซฟของท่านถูกงัดหรือเปล่า ?”

“เปล่า ไม่ได้ถูกงัด”

“แล้วฉันจะเอาเอกสารออกไปจากเซฟได้อย่างไร”

“ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอจะมีวิธีการอย่างอื่นอย่างใดอีกบ้าง”

“ถ้าในโลกนี้มันมีวิธีการเอาของมีค่าออกไปจากตู้เซฟ โดยไม่ต้องลอบลักไขและโดยไม่ต้องงัดเซฟ ตู้เซฟมันก็คงจะหายไปจากโลก ไม่มีประโยชน์ที่โลกจะมีตู้เซฟไว้ทำไม”

“เธอเป็นคนรู้ ว่าฉันมีเอกสารสัญญาอยู่ในเซฟ”

“ฉันไม่เคยทราบว่าท่านมีอะไรอยู่ในเซฟของท่าน ฉันระวังตัวของฉันมากในเรื่องนี้ ทุกครั้งที่ท่านเปิดเซฟ หรือเมียใหญ่ของท่านเปิด ฉันพยายามหันหลังให้ ไม่มองไม่ดู เพราะไม่ต้องการจะรู้ว่าท่านมีอะไร ไม่ได้เคยต้องการทรัพย์สมบัติอะไรของท่าน เมียใหญ่ของท่านรู้นิสัยของฉันดีในเรื่องนี้ บางครั้งเมียใหญ่ของท่านใช้ฉันหยิบอะไรจากเซฟ ฉันยังขอตัวไม่แตะต้อง ให้ท่านหยิบของท่านเอง ฉันไม่อยากเห็นเสียด้วยซ้ำ”

เศรษฐีต้องนั่งนิ่งอีกครั้งหนึ่ง เขาประกาศให้สินบนอย่างแรง เพื่อรู้ตำแหน่งแห่งที่ของเรไร ไม่ใช่เพื่อจะพบกันอย่างนี้ แต่เพื่อต้องการจะทำร้าย การที่มาพบกันในสภาพเช่นนี้ เป็นเรื่องที่เขาไม่นึกฝัน ไม่มีเวลาจะคิดเตรียมอะไรมา เลยต้องตกอยู่ในความงงงัน ไม่สามารถจะโต้ตอบอะไรกับเรไรได้ดีอย่างที่เขาต้องการ

“แล้วฉันก็อยากรู้อีกอย่างหนึ่ง” เรไรพูดต่อ “คือที่ท่านประกาศว่านางเรไรได้นำของมีค่าเป็นจำนวนมากออกไปจากบ้านของข้าพเจ้านั้น ฉันอยากรู้ว่าของอะไร ?”

“ฉันก็หมายถึงเอกสารสัญญาและโฉนดตราจองเหล่านี้” เศรษฐีตอบ

“ฉันขอให้ท่านแสดงหลักฐานว่าฉันนำของเหล่านี้ออกไป”

“เรื่องหลักฐานนั้น มันแสดงกันไม่ได้”

“แล้วทำไมท่านกล้าไปประกาศในหนังสือพิมพ์ ลงชื่อของท่านเอง ว่าฉันนำของมีค่าเป็นจำนวนมากออกไปจากบ้านของท่าน ประหนึ่งว่าฉันเป็นโจรผู้ร้าย เรามีทนายความอยู่ที่นี่สองคน ฉันเชื่อว่าทนายทั้งสองคนก็คงจะต้องยอมรับ ว่าการประกาศอย่างนี้ เป็นการเสียหายแก่ฉันมาก”

“แล้วทำไมเธอไม่กลับมา ?”

“ท่านหมายความว่ากระไร ?”

“คือเมื่อเธอออกจากบ้านไปแล้ว ทำไมเธอไม่กลับ”

“ฉันกลับ ฉันมานี่ ฉันไม่ต้องการให้ใครไปติดตามตัวฉัน”

“แต่เธอหายไปหลายเดือน”

“ฉันจะหายไปสักกี่เดือนก็ได้ เพราะท่านได้ประกาศว่าฉันไม่ได้เป็นภริยาท่าน เมื่อฉันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับท่าน ไม่ได้เป็นภริยา ไม่ได้เป็นอะไร ฉันจะหายไปสักเท่าไรก็ไปได้”

“แล้วนี่เธอจะทำอะไรต่อไป ?”

“ท่านควรจะบอกฉันก่อน ว่าท่านจะทำอะไรต่อไป เพราะท่านเป็นคนต้องการพบตัวฉัน”

“ฉันยังนึกไม่ออกว่าฉันจะทำอะไรต่อไป”

“แต่ฉันนึกออก” เรไรกล่าว

“เธอจะทำอะไร” เศรษฐีถาม

“ฉันจะให้ทนายความยื่นฟ้องท่านในวันนี้ ทนายความของฉันอยู่ที่นี่”

“ฟ้องเรื่องอะไร ?”

“เรื่องหมิ่นประมาท เรื่องแจ้งความเท็จ ท่านบังอาจไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ ว่าฉันเป็นคนลักขโมยของท่าน ท่านบังอาจโฆษณาในหนังสือพิมพ์มากมายหลายฉบับ และโฆษณาอยู่เป็นเวลาช้านานว่าฉันนำของมีค่าเป็นจำนวนมากออกไปจากบ้านของท่าน ถึงกับท่านต้องประกาศให้รางวัลจะเอาตัวฉันให้ได้ ทนายความของฉันจะยื่นฟ้องท่านในวันนี้ ขอให้ท่านไปสู้คดี”

“แม่เรไร” เศรษฐีร้อง “อย่าให้มันหนักไปนัก”

“ท่านหมายความว่ากระไร ?”

“เธอทำให้ฉันเสียหายมามากแล้ว เธอยังจะฟ้องฉันอีกหรือ ?”

“ฉันไม่ได้ทำให้ท่านเสียหาย ท่านทำความเสียหายให้แก่ตัวของท่านเอง แล้วท่านหมิ่นประมาทฉันทั่วบ้านทั่วเมือง เราไปสู่ความกันในศาลดีกว่า”

“เธอให้เวลาฉันตรึกตรองสักสองสามวันได้ไหม ?” เศรษฐีกล่าว “เวลานี้ฉันคิดอะไรไม่ออก”

“ฉันเองก็ไม่มีเวลา แต่ท่านก็มีเวลาตรึกตรอง ฉันจะยื่นฟ้องวันนี้ ศาลคงจะให้เวลาท่านสำหรับตรึกตรองหลายวัน”

“ขอฉันพบพูดกับเธอเป็นส่วนตัวหน่อยได้ไหม ?” เศรษฐีพูด

“ฉันไม่มีเรื่องส่วนตัวจะพูดกับท่านแล้ว ฉันไม่ได้เป็นเมียท่านแล้ว เวลานี้เราเป็นคู่ความกัน พูดกันในศาลดีกว่าที่อื่น”

“ถ้าเช่นนั้นเราก็ไม่มีอะไรจะพูดกันอีกในเวลานี้”

“ค่ะ ดิฉันก็อยากจะพักผ่อนเหมือนกัน ลาก่อนค่ะ”

แล้วเรไรก็ลุกจากที่ วางท่าสง่างามเหมือนนางพญา แม้แต่พวกทนายความทั้งสองคนที่นั่งอยู่ด้วยยังรู้สึกเกรงขาม เศรษฐีกับทนายความของตนออกไปพร้อมด้วยคนติดตาม เจ้าของบ้านตามออกไปส่งที่ประตู เศรษฐีไม่พูดอะไรด้วยเลย เมื่อส่งเศรษฐีเสร็จแล้วก็กลับเข้ามา ทนายความเจ้าของบ้านอยู่ที่นั่น

เขาปรึกษากันต่อไป เรื่องยื่นฟ้องนั้นเป็นอันต้องยื่น ทนายความจะไปจัดการร่างฟ้อง และเตรียมการต่างๆ ให้พร้อม เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลให้ได้ในบ่ายวันนั้น

ส่วนท่านเศรษฐีเมื่อกลับมาถึงบ้านก็พบชายคนนั้นคอยอยู่ ชายที่นำตัวเขาไปพบเรไร

“ผมขอรับเงินสองหมื่นบาทครับ” เขาพูด

ท่านเศรษฐีค้อนขวับ ตรงเข้าห้องเอาเงินมาส่งให้โดยไม่ชักช้า

“ถูกล็อตเตอรี่ซินะ เธอน่ะ” เศรษฐกล่าวด้วยเสียงเคียดแค้น พร้อมกับส่งเงินให้

“เปล่าครับ” ชายนั้นตอบ “ผมได้สองพันเท่านั้น สองพันก็พอแล้ว ทำงานนิดเดียว”

“อ้าว เธอได้สองพันเท่านั้นเองหรือ เหลือนั้นนางเรไรเอาหมดใช่ไหมล่ะ ?

“เปล่าครับ ทนายความได้หกพัน ค่าว่าความตลอดเรื่อง”

“อ้อ ค่าทนายความด้วย เงินของฉันทั้งนั้น สองพัน หกพัน เป็นแปดพัน แล้วอีกหมื่นสองล่ะ ?”

“คุณเรไรสั่งให้ซื้อยาตำรับหลวงของกระทรวงสาธารณสุข แจกแก่ครอบครัวชาวไร่ชาวนา ให้หมดเงินหมื่นสองพันบาท อันที่จริงก็ยังไม่พอ ยังแจกได้ไม่ทั่วถึง ท่านเศรษฐีจะมีศรัทธาเพิ่มเติมให้อีกก็ได้ครับ”

“เชิญได้ เชิญเธอออกไปจากบ้านฉันได้”

“อ้อ ไม่ต้องเพิ่มเวลานี้ดอกครับ เพราะท่านเศรษฐีจะต้องเพิ่มภายหลังอยู่แล้ว” ชายนั้นกล่าว

“เพิ่มอะไรภายหลัง” ท่านเศรษฐีกลับถามด้วยความสนใจ “ยังไม่สิ้นซากกันอีกหรือ ?”

“คือเป็นอย่างนี้ครับ” ชายคนนั้นอธิบายต่อ “คุณเรไรสั่งทนายความให้ยื่นฟ้องคดีหมิ่นประมาท ทั้งทางแพ่งทางอาญา สำหรับทางแพ่งเรียกค่าเสียหายสองแสนบาท และให้แถลงต่อศาลด้วยว่าเงินค่าเสียหายที่ได้มานี้ จะส่งช่วยเหลือชาวนาให้หมด ศาลจะตัดสินให้เต็มสองแสนหรือแสนเดียว หรือเท่าไรก็ตามที จะส่งช่วยเหลือชาวนาทั้งหมด ฤดูหนาวจวนจะมาถึงแล้ว เสื้อผ้าและผ้าห่มกันหนาวของชาวนาไม่ค่อยจะมี”

“คราวนี้เชิญออกไปได้ ไม่ต้องพูดอะไรอีกต่อไป”

ในชั่วเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นยาตำรับหลวงก็ได้ถูกขนออกมาจากคลังยา เจ้าของบ้านจัดรถยนต์ให้เรไรออกไปแจกจ่ายแก่ครอบครัวชาวนาด้วยตนเอง มีคนควบคุมไปด้วยเพื่อป้องกันการกระทำร้าย อันที่จริงเรื่องคนกระทำร้ายเรไรในเวลานี้ไม่ค่อยน่ากลัวนัก เพราะเรไรเข้ามาอยู่ในความคุ้มครองของนายสมพร ซึ่งเป็นคนโตคนหนึ่งในแถวนี้เหมือนกัน เรไรพยายามเยี่ยมบ้านชาวนาชาวไร่ให้มากที่สุดที่จะทำได้ในวันนั้น มีมากที่เป็นคนรู้จักกัน ซึ่งทุกคนชื่นชมยินดีที่ได้พบเรไรในสภาพเช่นนี้ เรไรพยายามไปเยี่ยมและแจกยาแก่ 34 ครอบครัว ซึ่งถึงแม้เรไรจะไม่ได้นำบัญชีมาด้วย ก็จำได้ขึ้นใจ ทุกคนต้อนรับเรไรอย่างน้ำนิ่งไหลลึก คือเขาทายอยู่ในดวงใจว่า เรไรเป็นคนช่วยเขาให้รอดพ้นจากหนี้สิน แต่ไม่มีใครพูดออกมา เขาขอบใจเรไรอย่างสุดซึ้ง แต่ต้องเก็บไว้ในใจ ความที่ต้องเก็บแน่นไว้ในหัวใจ ไม่สามารถจะพูดออกมา มีหลายคนหลายครอบครัวที่ต้องหลั่งน้ำตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสองคนที่ได้รับคำสั่งจากเศรษฐี ให้ติดตามเรไรไปถึงกรุงเทพ ฯ นั้น ร้องไห้ออกมาทีเดียว

คำฟ้องของเรไรก็ได้ยื่นต่อศาลในบ่ายวันนั้น เรไรตกลงใจที่จะยืนหยัดต่อสู้อย่างสุดกำลัง ไม่ใช่เพื่อตัวของเธอเองแต่ผู้เดียว แต่เพื่อพวกพ้องชาวไร่ชาวนาของเธอ พวกพ้องที่เรไรรักอย่างญาติสนิทของตัวเอง

ด้วยพฤติการณ์ดังนี้ ข่าวเรื่องเรไรมาปรากฏตัวในเมืองนี้อีก จึงแพร่หลายยิ่งกว่าไฟไหม้ป่า ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ต่างๆ ในจังหวัดนั้น รีบส่งข่าวเข้ามายังหนังสือพิมพ์ของตัวในกรุงเทพฯ ไม่ใช่โดยทางไปรษณีย์ แต่ส่งโดยทางโทรเลข เพราะถือเป็นข่าวใหญ่ โดยเหตุที่ยังไม่รู้เรื่องราวกันโดยละเอียดอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่ง คือเป็นข่าวส่งทางโทรเลข ข่าวที่ส่งมาจึงเป็นข่าวสั้นๆ บอกแต่เพียงว่าเรไรซึ่งมหาเศรษฐีเมืองใต้ต้องการตัว ถึงกับประกาศให้รางวัลตั้งสองหมื่นบาทนั้น ได้มาปรากฏตัวในจังหวัดนี้ เพื่อยืนหยัดต่อสู้กับมหาเศรษฐีอย่างเปิดเผย กำลังเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องครึกโครม เรื่องวิสามัญ อยู่ในความสนใจของคนทั่วไป ท่านมหาเศรษฐีซึ่งไม่เคยแพ้ใคร ต้องทุ่มเทกำลังเงิน กำลังอิทธิพล เพื่อต่อสู้กับสาวสวยซึ่งเคยเป็นเมียของตนมาแต่ก่อน เรไรจะมีทางสู้กับมหาเศรษฐีได้อย่างไร เป็นเรื่องที่พิศวงกันทั่วไป และรู้สึกว่าจะเป็นเรื่องแมงเม่าตัวน้อยบินเข้ากองไฟกองใหญ่

ข่าวที่ปรากฏทางกรุงเทพฯ เป็นเช่นนี้ จึงได้เกิดผลที่ไม่คาดหมายขึ้นอีกเรื่องหนึ่งคือสุธี สุธีได้รับทราบข่าวเรื่องนี้ด้วยความตระหนกตกใจเป็นอันมาก เขาซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับที่ลงข่าวเรื่องนี้มาเปรียบเทียบกัน ก็ได้ความตรงกัน เป็นอันว่าเรไรบุกบั่นลงไปเมืองใต้แน่ สุธีมีความผิดอย่างหนึ่งในตัวของเขา คือถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานแล้วก็ยังเป็นห่วงเรไรอยู่ตลอดเวลา เพราะเขารู้สึกว่าเขามีความรับผิดชอบในความปลอดภัยของเรไร เพราะเขาเองเป็นต้นเหตุที่เอาเรไรออกมาจากบ้านนั้น เขาคิดต่อไปว่า การที่เรไรบุกบั่นลงไปเมืองใต้ อาจเป็นเพราะการแต่งงานของสุธี เพราะเขารู้ว่าเรไรก็รักเขาเหมือนกัน แต่เวลายังไม่นานพอที่เรไรจะปลงใจเป็นเพื่อนชีวิตของเขาได้ เรไรอาจจะอยากรอให้เวลาล่วงไปนานอีกสักหน่อย จึงจะรับความรักของเขา แต่เขาแต่งงานเร็วเกินไป เรไรได้พบความหมดหวัง จึงหักหาญลงไปสู้ภัยในเมืองใต้ เหมือนอย่างไปฆ่าตัวตาย

เขาคิดมากไปเอง เรไรไม่ได้มีความคิดอย่างที่เขาคิด แต่ความห่วงใยเรไรได้มีขึ้นอย่างรุนแรงที่สุดในดวงจิตของเขา เขาตกลงใจแน่วแน่ว่าเขาจะต้องลงไปช่วยเรไร แต่เขาจะทำได้อย่างไร ในเมื่อเขาแต่งงานแล้วและแต่งงานกันใหม่ๆ อันที่จริง เรื่องราวของเขาที่เกี่ยวข้องกับเรไรนั้น เขาก็ได้เล่าให้ภริยาของเขาฟังหมดแล้วโดยไม่ปิดบัง จดหมายที่เรไรเขียนถึงเขาเมื่อภายหลังวันแต่งงาน เขาก็ให้ภริยาอ่าน เพื่อแสดงให้ภริยาเห็นว่า ไม่ได้มีหวังอะไรในตัวเขา ครั้นเมื่อมีข่าวอย่างนี้ขึ้น และเขาตกลงใจที่จะไปช่วยเรไร เขาก็บอกความตกลงใจของเขาแก่ภริยา และขอเดินทางไปเมืองใต้

“คุณเป็นอะไรกับผู้หญิงคนนี้คะ ?” ภริยาถาม

“ฉันก็บอกให้คุณทราบเรื่องหมดแล้วว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน” สุธีตอบ

“แล้วคุณจะไปห่วงใยเขาทำไม ?”

“เพราะว่า ฉันเป็นตัวการไปทำให้เขาออกจากบ้านนั้น”

“แล้วเดี๋ยวนี้เขากลับไปหาผัวเขาอีกล่ะ คุณยังจะห่วงเขา ไปตามเขากลับมาอย่างนั้นหรือ”

“ฉันจำเป็นจะต้องไปช่วยเรไร” สุธีตอบ

“ฉันเสียใจมาก” ภริยากล่าว “ที่เราจะต้องโต้เถียงกันในเวลาที่เรายังเพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ ถ้าคุณห่วงใยแม่เรไรมากกว่าฉัน คุณก็ไปได้”

“ฉันอยากให้คุณไปด้วยกัน ไปดูให้เห็นกับตา ว่าฉันไม่ได้เกี่ยวข้องในทางชู้สาวอะไรกับเรไร”

“มันเรื่องอะไรฉันจะต้องไปทำธุระเรื่องแม่เรไร”

“ก็นึกเสียว่าไปเที่ยวปักษ์ใต้ด้วยกัน” สุธีตอบ

“แต่ก่อนแต่ไร คุณไม่เคยชวนฉันไปเที่ยวปักษ์ใต้ พอแม่เรไรไปทางนั้น เกิดชวนฉันไปเที่ยว ฉันไม่ไป”

สุธีมาคิดเห็นว่า ทุกๆ คำที่ภริยาพูดนั้น ถูกของเขาทั้งหมด จะโต้เถียงกันไปสักเท่าไรเขาก็ไม่ผิด เป็นความชอบธรรมของเขา ที่จะไม่ยอมเหไปเกี่ยวข้องยุ่งเหยิงในเรื่องของผู้หญิงคนใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่แต่งงานกันใหม่ๆ ถ้าการพูดกันสุดสิ้นลงเพียงแค่นี้ ถ้าภริยาไม่พูดต่อไปอีก บางทีสุธีจะเปลี่ยนใจไม่ไปตามที่คิด เขากำลังคิดหาตัวเพื่อนที่สามารถสักคนหนึ่ง เพื่อนที่เป็นโสด มีความฉลาดรอบคอบ เป็นที่ไว้วางใจได้ ขอให้เพื่อนลงไปช่วยเรไรแทนตัวเขา ในขณะที่เขากำลังนึกลำดับหน้าเพื่อนทีละคนละคน ภริยาก็พูดต่อไป

“ฉันรู้อยู่แล้ว รู้เรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่ก่อนแต่งงาน รู้ว่าเรื่องของแม่เรไรนี่จะมาทำยุ่งเรื่อยๆ ไป”

สุธีไม่ตอบว่ากระไร เขาคงนึกลำดับหน้าเพื่อนต่อไปอีก และภริยาก็พูดต่อไปอีก

“มีคนอื่นอีกถมไปที่เขาบริสุทธิ์ ไม่มีไฝฝ้า ไม่มีเรื่องพัวพันกับลูกเขาเมียใคร เขามั่นหมายฉันอยู่ถมไป แต่มันเป็นกรรมของฉัน คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจให้ฉันเข้ามาหาความยุ่งยาก”

ภาพดวงหน้าของเพื่อนค่อยๆ จางลงไป ภาพของรถไฟสายใต้ปรากฏขึ้นมาเป็นภาพยุ่ง ๆ ที่พัวกันกัน ต่อสู้กันอยู่ในดวงจิตของสุธี เขาคงนิ่งดุษณีภาพอยู่อย่างเดิม และภริยาก็พูดต่อไปอีก

“คุณไปได้ ฉันไม่สามารถจะไปฉุดคุณไว้ เมื่อคุณต้องการจะไป แต่ไปแล้วก็ขอเชิญให้อยู่กับแม่เรไร ไม่ต้องกลับเข้ามาบ้านนี้อีก”

คราวนี้ถึงจุดระเบิด คำว่า “บ้านนี้” มีความสำคัญมากสำหรับสุธี เพราะห้องหอที่เขาอยู่ด้วยกันนั้น เป็นบ้านของฝ่ายหญิง สุธีไม่ชอบมาแต่แรกแล้ว ที่ตนต้องมาอาศัยอยู่ในบ้านของพ่อตาแม่ยาย อยากจะหาบ้านใหม่อยู่ แต่ฐานะการเงินของตนและพ่อแม่ไม่อำนวยให้ทำได้ สุธีคิดอยู่เสมอว่า การอาศัยอยู่ในบ้านของฝ่ายหญิงนั้น มิวันใดก็วันหนึ่งคงจะต้องรับการดูหมิ่น คำที่ภริยาของเขาพูดออกมานั้น อาจเป็นแต่เพียงตัดพ้ออย่างธรรมดาของผู้หญิง แต่พูดมากไปเป็นธรรมชาติของสตรี เมื่อยังไม่ได้พูดให้สะใจแล้วก็หยุดไม่ได้ พอมาถึงคำว่า “ไม่ต้องกลับเข้ามาบ้านนี้อีก” ภาพหน้าเพื่อนทั้งหลายก็หายไปหมด กลายเป็นเห็นภาพตนเอง สุธีลุกจากที่หยิบเสื้อผ้าเล็กน้อยใส่กระเป๋าเดินทาง แล้วก็ออกจากบ้านไป ที่จริงมันยังไม่ถึงเวลารถไฟด้วยซ้ำ

เขายังไม่มีรถยนต์ส่วนตัวใช้ นอกจากรถจี๊ปเก่าคร่ำคร่าซึ่งต้องทิ้งไว้ที่ไร่ทางเมืองเหนือ แต่เขามีเพื่อนที่พอจะหยิบยืมได้ เขาไปขอยืมรถของเพื่อน บอกว่าขอยืมไปปักษ์ใต้ ไปไกลที่สุดที่จะไปได้ เมื่อหมดทางที่จะใช้รถยนต์หรือถนนยังไม่เรียบร้อย เขาก็จะหาทางฝากรถยนต์ไว้ให้ปลอดภัยแล้วขึ้นรถไฟต่อไป การทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะเร็วกว่าไปทางรถไฟ แต่เป็นเรื่องที่เขาอยากจะเริ่มเดินทางไปเสียก่อนที่จะเปลี่ยนใจเป็นอย่างอื่น

เขาขับรถไปคนเดียว ออกจากพระนคร ผ่านธนบุรี มุ่งไปนครปฐม มีหลายครั้งที่เขารู้สึกตัวว่าเขาทำผิด ผิดหน้าที่ของสามีที่ดี แม้เรไรเองก็จะไม่ชื่นชมยินดีในการกระทำของเขา เขานึกถึงคำพูดของภริยาที่ว่า “ไม่ต้องกลับเข้ามาบ้านนี้อีก” คำที่ทำให้เขาตัดสินใจออกเดินทางจริงๆ ภริยาของเขาอาจไม่ตั้งใจหมิ่นประมาทอะไรเลย เป็นแต่พูดพ้อไปตามวิธีของผู้หญิง การที่เขาลุกขึ้นจัดหีบเสื้อผ้าออกจากบ้านทันทีนั้นเป็นความผิดมาก เขายังอายุน้อยเกินไป ยังขาดความหนักแน่นที่จำเป็นเหลือเกินสำหรับความเป็นสามี เขาผิด ผิดอย่างไม่มีปัญหา แต่ทั้งๆ ที่รู้สึกความผิดของเขา เท้าที่เหยียบคันเร่งก็ไม่ได้เบาลง มือของเขาที่ถือพวงมาลัยก็ไม่ยอมเปลี่ยนทิศทาง นครปฐมผ่านไป เข้าเขตราชบุรี เขาหยุดเติมน้ำมันรถที่นั้น ถ้าจะกลับเพียงแค่นั้นก็กลับได้ ภริยาคงให้อภัย แต่เขาก็ไม่กลับ ยิ่งไปไกล โอกาสที่จะกลับก็ยิ่งน้อยลงไป พอเลยเพชรบุรีแล้ว เรื่องกลับก็ไม่ต้องคิดกันอีก เขาเปลี่ยนความคิดเป็นอีกอย่างหนึ่ง คือไปตายดาบหน้า

เขาใช้รถยนต์มาเพียงแค่ประจวบคีรีขันธ์ เขามีเพื่อนอยู่ที่นั่น ฝากรถยนต์ไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นรถไฟต่อไป

ในที่สุดเขาก็มาถึงเมืองของเรไรอย่างมืดแปดด้าน เพราะไม่รู้ว่าจะพบหรือถามข่าวเรไรได้อย่างไร เขาไม่เชื่อว่าเรไรจะกลับเข้าบ้านเดิม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เขานึกถึงร้านขายเครื่องดื่มที่โชคอำนวยให้ได้เห็นเรไรครั้งกระโน้น เขาก็เข้าไปนั่งดื่มที่ร้านนั้น เพื่อว่าโชคจะอำนวยให้เขาได้เห็นหรือรู้เรื่องเรไรบ้าง

คราวนี้เขาขาดความรอบคอบแน่นอน การแต่งงานใหม่ๆ ทำให้สมองของเขาทึบไปกว่าเมื่อครั้งกระโน้น เขาไม่ได้เฉลียวใจนึกว่ามันอาจจะเป็นภัยแก่เขาได้ เพราะจีนเจ้าของร้านนั้นรู้จักเขา เด็กลูกจีนที่เขาจ้างนำยาพิษเข้าไปในบ้านเศรษฐี ก็เป็นลูกของจีนเจ้าของร้านนั้นเอง พอเขาเข้าไปนั่งได้ประเดี๋ยวหนึ่ง จีนเจ้าของร้านก็ซุบซิบบอกใคร ๆ ว่าบุรุษลึกลับกลับมาอีกแล้ว ในชั่วเวลาอันเล็กน้อย เสียงซุบซิบก็กระจายไปอย่างเร็วอย่างวิทยุกระจายเสียง ร้านนั้นก็อยู่ใกล้ๆ บ้านเศรษฐี ในไม่ช้าข่าวก็ไปถึงหูเศรษฐี

ในวันที่กล่าวถึงนี้ฟ้องของเรไรถึงมือศาล และศาลได้ออกหมายสั่ง กำหนดวันให้เศรษฐีผู้เป็นจำเลยมาแก้คดีแล้ว เป็นเวลาอยู่ในระหว่างรอการแก้คดีของจำเลย ข่าวเรื่องบุรุษลึกลับไปถึงเมืองนั้น จึงเป็นข่าวที่ทำความพอใจแก่เศรษฐีเป็นอันมาก

“ถึงคราวเราบ้างละ” เศรษฐีพูด ในขณะที่รีบออกไปยังสถานีตำรวจอย่างรีบเร่ง

เขาแจ้งแก่ตำรวจว่าบุรุษลึกลับที่พยายามวางยาพิษเขาได้มาอยู่ที่ร้านขายเครื่องดื่มนั้น และขอให้ตำรวจจับ

คราวนี้ตำรวจยอมจัดการ เพราะเป็นคดีร้ายแรง ถึงพยายามฆ่าคนตาย

ในขณะที่สุธีนั่งมองหาเรไร หรือลู่ทางที่จะพบเรไรอยู่ในร้านขายเครื่องดื่มนั้น ตำรวจในเครื่องแบบก็มาขอเชิญสุธีไปยังสถานีตำรวจ

คราวนี้ข่าวก็กระจายใหญ่หลวงไปอีก เป็นข่าวตื่นเต้นไม่น้อยกว่าข่าวเรื่องเรไรมาปรากฏตัว เพราะเป็นข่าวเรื่องบุรุษลึกลับ ซึ่งอยู่ในความสนใจอย่างยิ่งของคนชาวเมืองนั้น ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ได้ส่งข่าวมาอย่างรวดเร็วตามเคย คราวนี้เขารู้ชื่อบุรุษลึกลับว่าชื่อนายสุธี บอกนามสกุลถูกต้อง เพราะได้ชื่อจากตำรวจ ข่าวครึกโครมก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในกรุงเทพ ฯ ความโกลาหลในครอบครัวของสุธีก็มีเหลือหลาย ทั้งพ่อแม่ของตัวและของพ่อตาแม่ยายเดือดดาลไปตามกัน ยิ่งได้ความจากภรรยาของสุธี ว่าได้ขอร้องห้ามปรามแล้วว่าไม่ให้ไป ยังขืนไปเช่นนี้ก็เป็นเรื่องเคืองแค้นในครอบครัวเป็นอันมาก ความเป็นลูกไม่เอาถ่านของสุธีที่เด่นชัดขึ้นมาอีก พ่อตาแม่ยายถึงกับท้าให้เลิกกับลูกสาวของตัว เพราะไม่ต้องการให้คนที่เข้ากรงขังกลับมาเข้าบ้าน หรือเป็นลูกเขยเขาอีกต่อไป พี่ของสุธีก็เตรียมจะรับมือสุธีน้องไม่เอาถ่าน ดูเหมือนว่าถ้าสุธีจะต้องโทษประหารเสียที่เมืองใต้ จะดีกว่าที่จะกลับมารับโทษจากครอบครัวในกรุงเทพ ฯ

สุธีต้องเข้าห้องขังจริงๆ เพราะเมื่อถูกนำตัวมาสถานีตำรวจแล้ว ตำรวจได้ตามตัวจีนเจ้าของร้านขายเครื่องดื่มกับลูกชายมาชี้ตัว คนทั้งสองยืนยันว่าเป็นคนนี้แน่ ที่จ้างลูกจีนให้นำยาพิษเข้าไปในบ้าน ตำรวจไม่มีเวลาจะไต่สวนต่อไปในวันนั้น ก็ต้องเอาตัวเข้าห้องขังไว้ก่อนเพื่อไต่สวนอย่างละเอียดในวันรุ่งขึ้น

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ