บทนำ

ข้าพเจ้ามีเวลาเหลืออีกไม่ถึงเดือน สำหรับเตรียมตัวไปยุโรป ไปศึกษา ศึกษาด้วยทุนส่วนตัว ทุนรอนที่คุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้าหามาได้ด้วยความยากลำบาก ด้วยการทำงานหนัก ด้วยการประหยัดเก็บออมรอมริบ ด้วยการที่คุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้าปฏิเสธความสุขสบายส่วนตัวของท่านเอง เพื่อให้ความสุขสบายแก่ลูก “เหนื่อยไปก่อน คงสบายเมื่อปลายมือ” เป็นภาษิตที่คุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้านับถือพูดถึงอยู่เสมอ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เหนื่อยไปก่อน คือความเหนื่อยของท่าน คงสบายเมื่อปลายมือ คือความสบายของลูกทั้งหลาย ไม่ใช่ความสบายของท่านเอง วรรคต้น แห่งสุภาษิตเป็นของท่าน วรรคหลังเป็นของลูก

ข้าพเจ้าไม่ได้เกิดมาในเปลทอง ไม่ใช่ลูกคนมั่งคั่ง นับตั้งแต่ข้าพเจ้ารู้ความ ก็ได้เห็นคุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้าทำงานหนักมาตลอดเวลา และในชั่วอายุ 20 ปีกว่าของข้าพเจ้า ก็ได้แลเห็นความก้าวหน้าในฐานะของครอบครัว ที่ค่อยๆ ก้าวขึ้นเป็นลำดับ จากการเช่าบ้านเขาอยู่ มามีที่ดินบ้านเรือน ของตนเอง จากการมีบ้านเล็กๆ ขึ้นมาถึงการมีบ้านใหญ่ จากการมีที่อยู่ที่อาศัยแห่งเดียวในกรุงเทพฯ มามีที่ดินอีกสองแห่งในหัวเมือง ซึ่งจะทำเป็นไร่เป็นนาอย่างดีได้ จากการใช้รถรางและรถประจำทางเป็นยานพาหนะ มามีรถยนต์ส่วนตัวใช้ จากการที่คุณพ่อคุณแม่มีลูกเพียงสองคน ในเวลาที่ข้าพเจ้าจำความได้ คือตัวข้าพเจ้าและน้องคนรอง มากลายเป็นการที่ข้าพเจ้ามีน้องอีก 5 คน เรียกได้ว่าก้าวหน้า หรือ สมบูรณ์พูนผล

ข้าพเจ้ามีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างดีที่กุลบุตรทั้งหลายจะพึงได้ บัดนี้ ข้าพเจ้าสำเร็จการศึกษาขั้นมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และคุณพ่อคุณแม่กำลังจะส่งข้าพเจ้าไปศึกษาต่อในยุโรป เนื่องจากที่เป็นลูกคนใหญ่ ต้องการให้ได้รับปลูกฝังอย่างมั่นคง ข้าพเจ้าได้ความรู้เรื่องสร้างชีวิตจากคุณพ่อ คุณแม่ ซึ่งได้สร้างด้วยวิธีวางแผนการรอบคอบ แม้การที่จะส่งข้าพเจ้าไปศึกษาในยุโรปนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็ได้วางแผนการมาตั้ง 7-8 ปี และเรื่องก็ได้เป็นไปตามแผนการ คือเมื่อ 8 ปีมาแล้ว คุณพ่อคุณแม่ได้จับจองที่ดินแห่งหนึ่ง จ้างคนโค่นถางและปลูกมะพร้าวไว้เต็มเนื้อที่ ท่านบอกข้าพเจ้าเมื่อ 7-8 ปีมาแล้วว่า สวนมะพร้าวในที่ตรงนี้ คือทุนรอนสำหรับการศึกษาของข้าพเจ้าในต่างประเทศ เวลานั้นข้าพเจ้ามองไม่เห็นว่า มะพร้าวต้นเล็ก ๆ ซึ่งเพิ่งงอกใหม่ ๆ จะเป็นทุนให้การศึกษาแก่ข้าพเจ้าได้อย่างไร บัดนี้ข้าพเจ้าเข้าใจ เพราะต้นมะพร้าวเหล่านั้นเติบโตให้ผล ซึ่งเมื่อลองคำนวณรายได้ประจำปีจากผลมะพร้าวเหล่านี้ ก็เป็นจำนวนเพียงพอสำหรับการศึกษาของข้าพเจ้าในยุโรปจริงๆ การวางแผนการสร้างชีวิตเป็นความสำเร็จอย่างน่าปลื้มใจ การลงแรงปลูกสร้างไม่เป็นแรงงานที่เสียเปล่า ขอให้ลงแรงทำไว้ รักษาไว้ จะเห็นผลแน่นอนใน 7-8 ปีภายหลัง เวลา 7-8 ปี เป็นเวลาประเดี๋ยวเดียวสำหรับชีวิตมนุษย์ อะไรที่ผ่านมาเมื่อ 7-8 ปีที่ล่วงมาแล้ว ยังสดใสอยู่ในความจำของข้าพเจ้าทุกอย่าง

ในตอนที่ข้าพเจ้าจะออกเดินทางไปยุโรปนี้ คุณพ่อให้ข้าพเจ้าไปดูสวนมะพร้าวบ่อยๆ เห็นจะเป็นความต้องการให้ข้าพเจ้าขยันหมั่นเพียรศึกษาอย่างแท้จริง หรือให้ข้าพเจ้าเข้าใจวิธีการวางแผนผังสร้างชีวิต เพราะการไปดูสวนมะพร้าวทำให้ข้าพเจ้าเห็นใจ เห็นความพยายามของคุณพ่อคุณแม่ และให้เข้าใจแน่ชัดว่าการมีแผนการสร้างชีวิตนั้น ได้ประโยชน์เพียงไร คุณพ่อคุณแม่ชอบเตือนให้ข้าพเจ้ารำลึกว่า สวนมะพร้าวนี้คือทรัพยากรสำหรับการศึกษาของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็รำลึกไปอีกทางหนึ่ง คือว่าทรัพยากรสำหรับการศึกษาของข้าพเจ้าที่แท้จริงนั้นอยู่ที่เหงื่อและกำลังงานของคุณพ่อคุณแม่ทั้งสองคน ข้าพเจ้าจะเห็นสวนมะพร้าวหรือไม่เห็นก็ตามที ข้าพเจ้าจะต้องขยันหมั่นเพียรในการศึกษาอยู่เสมอ

สวนมะพร้าวของข้าพเจ้าอยู่ริมทะเลฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย ในเขตจังหวัดชลบุรี แต่อยู่ห่างไกลไปจากตัวเมืองมาก นอกจากเป็นที่ดินให้ผลดีแก่การเพาะปลูกแล้ว ยังเป็นที่สวยงาม อากาศสดชื่น ตรงนั้นมีหาดยาวตั้ง 6 กิโลเมตร รูปหาดโค้งเป็นวงพระจันทร์ ทรายไม่ละเอียดและขาวเหมือนหาดหัวหิน แต่ทิวทัศน์สวยกว่าหาดหัวหิน เพราะความโค้งของหาด และตรงหน้าออกไป มีเกาะหลายเกาะเป็นความชุ่มชื่นรื่นรมย์ คุณพ่อสร้างเรือนน้อยๆ ไว้ในที่นี้เป็นเรือนไม้หลังเล็กๆ แต่ก่อสร้างอย่างดีอย่างถาวร คุณพ่อเคยมาพักอยู่บางครั้ง แต่ในตอนที่ข้าพเจ้ามาเมื่อก่อนจะออกไปยุโรปนี้ คุณพ่อคุณแม่ติดธุระอยู่ในกรุงเทพ ฯ ให้ข้าพเจ้ามาคนเดียว มาดูหรือมาตรวจสวนมะพร้าว ซึ่งผลแต่ละผลมันจะกลายเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้ามีกล้องถ่ายภาพยนตร์ขนาดเล็กมาด้วย กล้องที่คุณพ่อคุณแม่อนุญาตให้ข้าพเจ้ามีได้ในเมื่อสำเร็จการศึกษาขั้นมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ แล้ว เมื่อรู้ตัวว่าจะได้ไปยุโรป ข้าพเจ้าก็พยายามถ่ายภูมิภาพสถานที่สวยงามต่างๆ ของประเทศไทย เพื่อนำไปอวดแก่ชาวต่างประเทศ ข้าพเจ้าฝึกหัดกับผู้ที่เชี่ยวชาญ เรียนการถ่ายอย่างมีหลักวิชา จนข้าพเจ้าถ่ายได้ดี และการถ่ายภาพที่ต้องการความสวยงาม สำหรับอวดแก่ต่างประเทศเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็พยายามใช้ฟิล์มสี ซึ่งจะนำไปล้างในยุโรปทีเดียว

จากสวนมะพร้าวซึ่งเป็นของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าพยายามเดินไปตามความยาวของชายหาด ถ่ายจุดต่างๆ ที่มีความงามตามธรรมชาติ ซึ่งนอกจากจะเอาไปอวดต่างประเทศ ยังต้องการให้ตัวข้าพเจ้าเองสำนึกอยู่เสมอว่า บ้านเมืองไทยเราก็มีความสวยงามอย่างน่ารื่นรมย์ เตือนใจให้ระลึกถึงบ้านเกิดเมืองมารดร ข้าพเจ้าถ่ายรูปสวนรูปไร่หลายแห่ง เพื่อแสดงการทำมาหากินอย่างสงบสุขของชาวไทย ถ้าพบเคหสถานบ้านเรือนที่เห็นว่าเรียบร้อย ไม่รุงรัง ก็ถ่ายไปด้วย

อันที่จริงเรื่องการถ่ายภาพยนตร์อย่างว่านี้ ข้าพเจ้าได้ทำมาหลายแห่ง ไม่เคยมีปัญหาอันใดเกิดขึ้น แต่โดยเฉพาะในวันนี้ วันที่ข้าพเจ้ากำลังเล่าเรื่องอยู่นี้ ได้เกิดมีปัญหา โดยข้าพเจ้ามิได้คาดหมายว่าจะเกิด

ในที่ไร่แห่งหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าสังเกตว่าเป็นไร่ทำใหม่ เพิ่งโค่นสร้างเสร็จ และเริ่มเพาะปลูกใหม่ๆ อยู่ห่างจากที่ของข้าพเจ้าราว 4 กิโลเมตร มีเรือนเป็นกระท่อมเล็กๆ สร้างด้วยสัมภาระที่ไม่ถาวร แต่เข้าใจทำ แสดงว่าผู้สร้างมีรสนิยมทางศิลปะ หรืออย่างน้อยก็เป็นคนมีความรู้อย่างสมัยใหม่ และเป็นช่างด้วย เพราะกระท่อมน้อยๆ ซึ่งสร้างด้วยสัมภาระราคาถูกนั้น ทำเรียบร้อยได้ส่วนสัด น่าจะอยู่สบาย

ยิ่งกว่านั้น สิ่งซึ่งสะดุดตาและดูดดึงความสนใจของข้าพเจ้าเป็นพิเศษ เกี่ยวกับบ้านหรือไร่แห่งนี้ คือบุคคลซึ่งข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นเจ้าของบ้านหรือเจ้าของไร่นั้นเอง เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว ข้าพเจ้ามองไม่เห็นคนอื่น ในเวลานั้น เขาอาจจะอยู่ด้วยกันเพียงสองคน หรืออาจจะมีคนอื่นอยู่ด้วยอีก แต่ข้าพเจ้าไม่เห็น หนุ่มสาวสองคนนี้อาจจะเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ท่าทางและการแต่งกายไม่ใช่คนพื้นเมืองหรือชาวชนบท ต้องเป็นชาวเมือง ชาวเมืองที่มีวัฒนธรรมดีด้วย ทั้งๆ ที่เขากำลังทำงานอยู่ในไร่เขาก็แต่งตัวดี เป็นชาวไร่ที่ศิวิไลซ์ ชาวไร่สมัยใหม่เป็นที่ต้องใจของข้าพเจ้ามาก เพราะในการถ่ายภาพบ้านเมืองเราไปอวดต่างประเทศนั้น ข้าพเจ้าจะระมัดระวังในการถ่ายคน ถ้าถ่ายคนที่แต่งกายไม่ดีไป ก็จะไม่เป็นเกียรติแก่ประเทศชาติ ครั้นเมื่อมาพบชาวไร่ที่แต่งกายดีอย่างนี้ ก็อยากถ่ายเอาไปอวดต่างประเทศ เพื่อให้เขาเห็นว่า ระดับการครองชีพชาวไร่ชาวนาของเราก็อยู่ในขั้นที่ดี ข้าพเจ้าจึงถ่ายไร่ ถ่ายเรือนน้อยหลังนั้น ถ่ายคนทั้งสองในขณะที่เขากำลังทำงาน ถ่ายซ้ำหลายครั้งหลายหน ด้วยความพอใจเป็นอันมาก

แต่เหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นอย่างที่ข้าพเจ้ามิได้คาดหมาย เมื่อชายหนุ่มหญิงสาวคู่นั้นเห็นว่าข้าพเจ้าถ่ายรูปเขาด้วยกล้องภาพยนตร์ เขาก็หยุดทำงาน ทิ้งเครื่องมือลงกับพื้นดิน หญิงยืนอยู่กับที่ แต่ชายเดินตรงเข้ามาหาข้าพเจ้า

“คุณถือสิทธิอะไรมาถ่ายรูปเอาเราสองคนเป็นตัวแสดงภาพยนตร์ ชายนั้นกล่าวด้วยถ้อยคำสำเนียงซึ่งแสดงว่าเป็นชาวเมืองชาวกรุง และมีการศึกษาด้วย เมื่อได้ฟังถ้อยคำอย่างนี้ ข้าพเจ้าเองก็รู้สึกเสียใจเป็นอันมาก ที่จริงเป็นความผิดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าควรจะขออนุญาตเขาก่อน แต่ก็ได้ถ่ายไปเสียแล้ว

“คุณถือสิทธิอะไร ?” เขาถามซ้ำ เพราะข้าพเจ้ายังงงงันไม่รู้จะหาคำตอบแก่เขาว่าอย่างไร

“ผมไม่ได้ถือสิทธิอะไรเลย” ข้าพเจ้าตอบอย่างใจเสีย “ผมเห็นไร่สวย บ้านสวย เจ้าของบ้านเจ้าของไร่ก็น่าถ่าย จึงได้ถ่ายไป ผมขอโทษที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน เพราะไม่คิดว่าจะมีข้อรังเกียจ”

“เราไม่ต้องการจะเป็นตัวแสดงภาพยนตร์” เขาพูด

“ผมไม่เอาไปแสดงเปิดเผยที่ไหน ผมถ่ายของสวยๆ ไปเป็นที่ระลึกเท่านั้นเอง”

“ผมให้รูปผมไปไม่ได้” เขากล่าว “คุณต้องถอดฟิล์มอันนี้ให้ผม”

แต่ในฟิล์มนี้ไม่ได้มีแต่รูปคุณ” ข้าพเจ้าตอบ “ผมถ่ายมาตลอดทาง “แต่มันมีรูปผม เป็นตายอย่างไรผมก็ยอมให้คุณเอารูปผมไปไม่ได้”

ในระหว่างเวลาที่เราพูดกันอยู่นี้ เจ้าของไร่ซึ่งเป็นสตรี บางทีจะเกรงว่าเราจะเกิดการวิวาทรุนแรง จึงเดินเข้ามาร่วมวงกับเราด้วย ข้าพเจ้ามองเห็นทันทีว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ถ้าหากอายุจะเกิน 20 ก็คงเกินไม่กี่ปี ผิวพรรณไม่ใช่ชาวไร่ชาวนาโดยกำเนิด ดวงหน้าและรูปทรงอยู่ในลักษณะที่สวย แต่ดวงตาแข็งกร้าว ไม่แพ้ผู้ชายที่ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นสามีของเธอ

“อุตส่าห์หลบหนีมาอยู่ไร่นาป่าดงแล้ว” สตรีผู้นั้นกล่าว “ยังไม่พ้นที่จะถูกพวกมั่งมีผู้ดีแปดสาแหรกติดตามมาข่มเหง”

“ที่คุณพูดนะ ผิดหมดทุกอย่าง” ข้าพเจ้าเถียง “ผมไม่ใช่พวกมั่งมี ไม่ใช่ผู้ดีแปดสาแหรก และไม่เคยข่มเหงใคร ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวทำมาหากินอย่างเดียวกับคุณ ผมก็มีไร่เหมือนคุณ ไร่ของผมอยู่ตรงแหลมโน้น” ข้าพเจ้ากล่าวพร้อมกับชี้ไปทางไร่ของข้าพเจ้า

“แต่คุณควรจะขออนุญาตหรือถามพวกเราก่อนที่จะถ่าย ว่าเราจะยินดีให้ถ่ายหรือไม่” สตรีผู้นั้นกล่าว

“ผมสารภาพว่าผมผิดในข้อนี้ ผมต้องขอโทษทุกสถาน แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำไปแล้ว ถ่ายไปแล้ว”

“คุณต้องถอดเอาฟิล์มนั้นออกมาให้ผม” ผู้ชายกล่าว “เพราะคุณไม่มีสิทธิจะถ่ายรูปพวกเราไปทำอะไรเล่นตามชอบใจ”

“ผมไม่มีสิทธิที่จะถ่ายรูปคุณไปทำอะไรเล่นตามชอบใจ จริงอย่างคุณว่า แต่คุณก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอาฟิล์มของผมไปทั้งฟิล์ม ซึ่งมีรูปอื่นอยู่อีกมากมาย

“แล้วเราจะทำอย่างไรกัน” สตรีผู้นั้นกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนลงมาหน่อย

“ผมให้สัตย์ปฏิญาณแก่คุณได้ในบัดนี้” ข้าพเจ้าตอบ “ว่าผมจะไม่เอารูปของคุณออกเปิดเผย ฟิล์มที่ผมถ่ายนี้เป็นฟิล์มสี ล้างในเมืองเราไม่ได้ ผมจะเอาออกไปล้างในต่างประเทศ ล้างเสร็จแล้วผมจะตรวจดูให้ตลอด ตอนที่เป็นภาพของคุณผมจะตัดเอาส่งมาให้ ผมจะไม่ฉาย ไม่ทำอะไรเลยเป็นอันขาด”

“ก็ไม่เป็นทางที่ไว้วางใจได้” ชายนั้นกล่าว “คุณต้องให้ฟิล์มนั้นแก่ผมทั้งฟิล์ม”

“ผมให้คุณไม่ได้ และเพื่อที่เราจะไม่ต้องวิวาทกัน ผมขอแนะนำว่า ที่ว่าการอำเภอ หรือสถานีตำรวจก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เราไปด้วยกัน ไปให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองตัดสินว่าควรจะทำอย่างไร แล้วผมจะทำตามคำตัดสินของเจ้าหน้าที่ ถ้าเจ้าหน้าที่ตัดสินว่าให้ผมมอบฟิล์มทั้งฟิล์มให้แก่คุณ ผมก็จะมอบให้”

“แล้วด้วยเหตุผลอะไร” สตรีกล่าว “เราทำมาหากินอยู่ด้วยกันอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ได้ไปทำอะไรให้ใครเลย อยู่ดีๆ จะต้องเสียเวลาเดินไปที่ว่าการอำเภอหรือสถานีตำรวจ เพื่อเป็นความกับพวกมั่งคั่งที่มีกล้องถ่ายหนัง ทำเล่นตามชอบใจ”

ข้าพเจ้าสะดุดใจเป็นอันมาก ในถ้อยคำของสตรีผู้นี้ สองคำมาแล้ว เธอแสดงว่าเธอเกลียดพวกมั่งคั่ง คล้ายกับว่าเธอเป็นโซเชียลิสต์อย่างแรง หรือได้รับการอบรมในลัทธิการเมืองที่รุนแรงมาก แต่ข้าพเจ้าก็ควรจะรักษาความเยือกเย็นของข้าพเจ้าไว้ เพราะเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของข้าพเจ้าเอง

“ผมบอกคุณตรงๆ” ผู้ชายกล่าวด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดมาก “ว่าถ้าคุณไม่ถอดฟิล์มนี้ออกมาให้ผม คุณจะไม่สามารถไปพ้นอ่าวนี้ได้โดยปลอดภัย”

“ผมไม่ไปไหน” ข้าพเจ้ากล่าวด้วยอาการยิ้มแย้ม “ไร่ของผมก็อยู่ที่แหลมนี้ บ้านของผมก็มีที่นั่น คืนนี้ผมจะพักนอนที่นั่น ถ้าเราพูดกันอย่างฐานเป็นมิตร ผมก็จะพยายามแก้ไขความผิดของผม ซึ่งผมยอมรับอยู่แล้วว่าผมผิด แต่ถ้าคุณพูดอย่างขู่เข็ญ ผมก็ไม่กลัวคำขู่ของคุณ และไม่กลัวการประทุษร้ายอย่างหนึ่งอย่างใด”

ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้แล้ว ก็เดินออกจากที่นั่น เหลียวหลังไปดูเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ตามมาประทุษร้ายข้าพเจ้าข้างหลัง ข้าพเจ้าเห็นสตรียืนจับแขนสามีไว้ ซึ่งสตรีผู้นั้นคงจะระมัดระวังไม่ให้สามีเลือดร้อนมาทำร้ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเองก็คิดว่า ถ้าข้าพเจ้าจะรีบเดินไปจนห่างไกล หรือกลับบ้านไร่ของข้าพเจ้าในทันทีทันใด ก็จะแสดงว่าข้าพเจ้ากลัวการกระทำร้าย ข้าพเจ้าเดินจากไร่ของเขาลงมาถึงหาดทรายริมทะเล พบต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง ข้าพเจ้านั่งพักใต้ต้นไม้นั้น ให้เขาแลเห็นว่าข้าพเจ้ายังไม่ได้หนีหน้าไปทางไหน ถ้าเขายังประสงค์จะเจรจากับข้าพเจ้าในฐานมิตรต่อไปอีก เขาก็ยังมีโอกาสจะทำได้

ข้าพเจ้าคอยอยู่ประเดี๋ยวเดียว และมองกลับขึ้นไปดูสามีภริยาคู่นั้น ก็ได้แลเห็นภริยาเดินลงมาทางที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ ส่วนสามีนั่งลงในที่ที่พูดกับข้าพเจ้าเมื่อตะกี้นี้

ข้าพเจ้าลุกขึ้นต้อนรับสตรีผู้นั้นอย่างสุภาพ และบอกเธอว่าถ้าเธอต้องการจะพูดเรื่องฟิล์มกับข้าพเจ้า ก็ขอเชิญให้นั่งลงพูดกัน

เธอนั่ง สีหน้าและสายตาแสดงความคิดนึกตรึกตรองอย่างมาก “ดิฉันเสียใจที่สามีของดิฉันพูดรุนแรงไปหน่อยเมื่อตะกี้นี้” เธอกล่าว

“ไม่ใช่ความผิดของสามีของคุณ” ข้าพเจ้าตอบ “ผมยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของผม ผมพร้อมที่จะแก้ไขความผิดด้วยวิธีการที่สมควรแก่เหตุผล แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีการขู่เข็ญ”

“เราสองคนเป็นคนยากจน” เธอกล่าว

“ผมก็ไม่ใช่เศรษฐี” ข้าพเจ้าพูด “ถึงแม้จะมีอะไรอยู่บ้างในเวลานี้ พื้นเพเดิมก็ไม่ใช่คนมั่งคั่ง ผมไม่เคยดูหมิ่นเหยียบหยามคนยากจน ตรงกันข้าม ผมสรรเสริญคนที่ตั้งหน้าทำมาหากินอย่างเช่นคุณ และที่ผมถ่ายภาพยนตร์ไปเมื่อตะกี้นี้ ก็เพราะความรู้สึกชื่นชมสรรเสริญ ไม่ใช่เพราะความคิดอย่างอื่น”

“คุณจะถ่ายเอาไปทำไมคะ ?”

“ผมบอกคุณตามความจริง และขอปฏิญาณว่าเป็นความสัตย์จริง ผมจะออกไปศึกษาในยุโรป อยากได้รูปบ้านเมืองของเราไปเป็นที่ระลึกบ้าง อวดชาวต่างประเทศบ้าง ผมถ่ายจุดสวยงามไปหลายแห่ง แต่เรื่องถ่ายคนนั้น ผมระวังไม่ถ่ายรูปคนที่แต่งกายไม่เรียบร้อย เพราะเป็นเรื่องของวัฒนธรรม ผมได้พบคุณทั้งสองเป็นคู่แรก ที่เป็นชาวไร่แต่งกายเรียบร้อยดี สามารถจะอวดต่างประเทศได้ว่า ชาวไร่ชาวนาของเราก็มีวัฒนธรรมสูง ผมจึงถ่ายรูปคุณทั้งสองไป เรื่องมีอยู่เพียงเท่านี้”

“แต่เราทั้งสองมีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังความเป็นอยู่ของเราที่นี่”

“หมายความว่าคุณมีความลับอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ ?” ข้าพเจ้าถาม ด้วยความพยายามใช้น้ำเสียงและอาการที่พูด เพื่อแสดงให้เห็นชัดว่าข้าพเจ้าพร้อมที่จะเป็นมิตรกับเธอ

“อันที่จริงเราก็ไม่ได้ทำความผิดร้าย หรือมีคดีอาญาติดตัวอย่างไร แต่เรามีความจำเป็นในเรื่องส่วนตัว ที่จะต้องปกปิดความเป็นอยู่ของเราที่นี่ ชีวิตของเราต้องประสบการฝ่าฟันมาเป็นอันมาก เพิ่งจะมาเริ่มได้รับความสุข เมื่อเรามีไร่และมีเรือนน้อย ๆ อยู่ที่นี่ แต่ถ้ารู้ไปถึงคนบางคนว่าเราอยู่ที่นี่ ความสุขของเราก็จะหมดไป ถ้าคุณทราบเรื่องในชีวิตของพวกเรา คุณจะต้องเห็นใจมาก”

“ผมไม่มีความจำเป็น และไม่ปรารถนาที่จะทราบเรื่องของใครอันเป็นเรื่องที่ต้องปกปิด” ข้าพเจ้ากล่าว “แต่ถ้าเราพูดกันอย่างนี้เสียแต่ต้น บางทีผมก็จะตัดสินใจเป็นอย่างอื่น เพราะผมเองก็เสียสละเป็นเหมือนกัน”

“ผู้ชายมักจะพูดอะไรกันด้วยเลือดร้อน” สตรีผู้นั้นกล่าว “ดิฉันไม่ยอมให้สามีของดิฉันตามคุณลงมา ก็เพราะเห็นว่าการพูดกันต่อไปในระหว่างผู้ชาย จะไม่มีประโยชน์ ถ้าคุณอยากทราบเรื่องในชีวิตของเราบ้าง ดิฉันก็พร้อมที่จะเล่าให้คุณฟังได้บ้าง”

“ไม่จำเป็น” ข้าพเจ้ารีบตัดบท “ผมไม่มีสิทธิอะไรเลยที่จะล่วงรู้ความเป็นไปในชีวิตของคุณ ซึ่งคุณต้องการปกปิด”

“เราจำเป็นต้องปกปิดความเป็นอยู่ของเราที่นี่” เธอพูดซ้ำประโยคนี้เป็นครั้งที่สาม “ดิฉันให้สัตย์ปฏิญาณแก่คุณได้เหมือนกัน ว่าเราไม่ได้หลบหนีคดีอาญาหรือทำผิดร้ายอะไร แต่เราต้องรับเคราะห์จากผู้มั่งคั่ง ผู้มีอิทธิพล ผู้มีอำนาจวาสนา เราต้องหลบหนีจากฝั่งทะเลฟากตะวันตก เดินทางรอนแรมมาหาที่พำนัก อยู่ที่ฝั่งทะเลฟากตะวันออก ให้ห่างไกลจากการถูกข่มเหง เราไม่ต้องการให้ความล่วงรู้ไปถึงเขา ว่าเรามาอยู่ที่นี่”

“พอแล้ว” ข้าพเจ้าตัดบทอีกครั้งหนึ่ง “คุณไม่จำเป็นต้องเล่าให้ผมฟังมากกว่านี้ ผมเข้าใจแล้ว”

เมื่อพูดอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็หมุนฟิล์มให้หมดม้วน ถอดออกจากกล้องถ่าย ดึงออกมาคลี่ขยายวางทิ้งไว้บนหาดทราย

“ฟิล์มเหล่านี้ถูกแสงสว่างหมดแล้ว เป็นฟิล์มอันที่ผมถ่ายคุณเมื่อตะกี้นี้ รวมทั้งรูปสวยรูปงามที่ผมถ่ายมาหลายแห่ง บัดนี้มันใช้อะไรไม่ได้อีกต่อไป เพราะได้คลี่ขยายให้มันถูกแสงสว่างหมด แต่เพื่อให้คุณแน่ใจ ผมจะเผามันเสียอีก”

แล้วข้าพเจ้าก็จุดไม้ขีดไฟโยนลงไป ฟิล์มนั้นทั้งฟิล์มก็กลายเป็นไฟวูบขึ้น

“คุณแน่ใจหรือยัง ว่าฟิล์มที่ถ่ายรูปคุณนั้นมันถูกทำลายไปแล้ว”

“แน่ใจค่ะ” เธอตอบ

“คุณแน่ใจหรือว่าผมไม่ได้ลอบถอดออกเมื่อตะกี้นี้ แล้วเอาฟิล์มอื่นมาเผา

“แน่ใจค่ะ เพราะเรามองดูคุณอยู่ตลอดเวลา คุณไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้น แล้วก็ไม่มีผลประโยชน์อันใดแก่คุณ ที่จะเอาฟิล์มอื่นมาเผาเล่น”

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้คุณสบายใจ นอกจากผมจะได้เผาฟิล์มนั้นไปแล้ว ผมจะไม่บอกใคร ไม่เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟัง ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน และก็ไม่พยายามที่จะรู้ ขอให้คุณอยู่กับสามีอย่างสุขสบาย และขอให้ได้รับไมตรีจิตความเอาใจช่วยจากผมด้วย”

“ไร่ของคุณอยู่ที่หัวแหลมนั่นหรือคะ ?”

“อยู่ที่หัวแหลมนั่นทีเดียว”

“สวนมะพร้าวใช่ไหมคะ ?”

“ใช่ครับ คุณพ่อคุณแม่ของผมทำขึ้นด้วยความยากลำบาก ผมไม่ใช่พวกมั่งคั่งหรือผู้ดีแปดสาแหรกอะไรอย่างที่คุณว่าเมื่อตะกี้นี้ คุณพ่อคุณแม่ของผมต้องก่อร่างสร้างตัวด้วยการอาบเหงื่อต่างน้ำอย่างเดียวกับคุณ”

“ดิฉันขอโทษค่ะ ดิฉันพูดออกไปอย่างนั้น เพราะเคยรับเคราะห์จากคนมั่งคั่งมาก่อน”

“แต่คุณจะไม่ต้องรับเคราะห์จากผม และคนในฐานะอย่างผมก็ไม่เรียกว่ามั่งคั่ง เพียงแต่มีพอกินพออยู่ และพอมีทางเล่าเรียนศึกษาได้เท่านั้นเอง”

“คุณจะไปนอกหรือคะ ?”

“ผมมีโอกาสที่จะได้ไปศึกษาในยุโรป ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดของคุณพ่อคุณแม่ ชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ผม เป็นบทเรียนให้ผมเห็นคุณค่าของความพยายามทำงานหนัก ผมเคารพต่อความพยายามอันนี้ และสรรเสริญการก่อร่างสร้างตัว อย่างที่คุณทำอยู่ในเวลานี้”

“คุณจะไปนานไหมคะ ?”

“ก็คงไม่เกิน 6 ปี”

“แล้วเมื่อกลับประเทศไทย คุณจะมาที่นี่อีกไหมคะ ?”

“แน่นอน ไร่ของผมอยู่ที่นี่ มันเป็นไร่ที่คุณพ่อคุณแม่ทำไว้เพื่อการศึกษาของผม เมื่อผมสำเร็จการศึกษา ผมก็จะต้องบำรุงรักษาไร่นี้ต่อไป เพื่อการศึกษาของน้องต่อไปอีก”

“เมื่อคุณกลับมาเราคงจะได้พบกันอีก”

“และคราวนี้คงจะไม่ต้องทะเลาะกัน”

เธอยิ้ม เป็นการยิ้มครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เห็นจากดวงหน้าของเธอ ดวงหน้าซึ่งสวยมากอยู่แล้ว เพิ่มความยิ้มเข้าอีก ก็เป็นความสวยอย่างยากที่จะพรรณนา เธอซ่อนความลับไว้ในดวงหน้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่มีสิทธิที่จะพยายามรู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ข้าพเจ้ามีความพอใจที่เรามีทางตกลงกันได้ ความเสียดายฟิล์มซึ่งถ่ายที่อื่นๆ ไว้ก็มีอยู่เป็นอันมาก แต่ข้าพเจ้าต้องเผาเพื่อแก้ความผิดของข้าพเจ้า ที่ไปถ่ายเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต

“ขอให้คุณบอกแก่สามีของคุณว่า ต่อไปนี้เราเป็นมิตรกัน อย่างช้าอีก 6 ปีข้างหน้าผมจะกลับมา เราได้ชื่อว่าอยู่ในแถวถิ่นเดียวกัน มีการทำมาหากินอย่างเดียวกัน หวังว่าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน”

“ขอบคุณค่ะ” เธอตอบ “ดิฉันเชื่อว่าสามีของดิฉันก็คงจะดีใจที่เรื่องราวสุดสิ้นลงได้ ด้วยความมีน้ำใจกว้างขวางของคุณ”

แล้วข้าพเจ้าก็ลาจากเธอ เดินกลับมายังทิศทางซึ่งเป็นสวนมะพร้าวของข้าพเจ้า เดินกลับอย่างสบายใจ โดยไม่ต้องเหลียวหลังระวังตัวว่าชายผู้นั้นจะตามมาทำร้าย ข้าพเจ้าพักอยู่ที่สวนนั้นคืนหนึ่งแล้วก็กลับกรุงเทพฯ ในวันหลังก่อนที่จะเดินทางออกจากประเทศไทย ข้าพเจ้าก็ได้กลับไปยังสวนมะพร้าวนั้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้เดินเลยไปถึงบ้านไร่ของสามีภริยาคู่นั้น เพราะต้องการให้เขาสบายใจไม่มีใครรบกวน

ข้าพเจ้าเดินทางออกไปยุโรป เล่าเรียนศึกษาตามแผนการ ตามความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ ข้าพเจ้าอยู่ในยุโรป 6 ปีเต็ม และศึกษาสำเร็จ ตามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องประสงค์ ในระหว่างเวลาที่ข้าพเจ้าศึกษาอยู่ในยุโรปนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็ส่งน้องเพิ่มไปอีกคนหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าก็เห็นใจว่าเป็นภาระอันหนักของคุณพ่อคุณแม่ และทำให้ข้าพเจ้าเกิดความมานะพยายาม ตั้งใจมั่นว่าเมื่อข้าพเจ้ากลับไปถึงประเทศไทย ก็จะรับภาระอันนี้จากคุณพ่อคุณแม่ให้หมด ข้าพเจ้าจะรับเลี้ยงและให้การศึกษาแก่น้องทั้งหลายอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ได้ให้แก่ข้าพเจ้า

ฉะนั้นเมื่อข้าพเจ้ากลับมาถึงประเทศไทย ข้าพเจ้าก็ต้องไปดูสวนมะพร้าวของข้าพเจ้าใหม่ สวนมะพร้าวที่ให้ผลแก่การศึกษาของข้าพเจ้า และเป็นทุนแห่งการศึกษาของพวกน้องต่อไป ในเวลานี้ ข้าพเจ้าเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่า บ้านที่เคยมีเรื่องพิพาทกับข้าพเจ้าเมื่อ 6 ปีก่อนโน้น ได้เปลี่ยนสภาพไปอย่างใดหรือไม่ ข้าพเจ้าเดินเลียบตามชายหาด อย่างที่เคยเดินเมื่อ 6 ปีมาแล้ว พร้อมด้วยกล้องถ่ายภาพยนตร์อย่างที่เคยมี ข้าพเจ้าแวะเข้าไปในไร่ที่เคยมีเรื่องกันเมื่อ 6 ปีมาแล้ว และก็ได้พบความแปลกตาเป็นอันมาก

ต้นไม้ต่างๆ โตขึ้น โดยเฉพาะต้นมะพร้าวซึ่งเกือบจะได้ผล ไร่กว้างออกไปอีกมาก และพืชผลต่างๆ ก็งอกงามดีอยู่เต็มไร่ กระท่อมน้อยๆ ที่ข้าพเจ้าได้เห็นเมื่อ 6 ปีมาแล้ว สร้างด้วยสัมภาระที่ใช้อยู่ชั่วคราวนั้น ได้กลายเป็นเรือนใหม่อย่างถาวร สร้างด้วยฝีมืออย่างดี ข้าพเจ้าเห็นมีผู้คนเพิ่มขึ้น มีคนที่เป็นผู้ใหญ่ที่ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นเมื่อครั้งก่อนเพิ่มขึ้นถึง 3 คน ข้าพเจ้าเดินเข้ามาใกล้เรือนนั้นอย่างถือวิสาสะ เพราะเชื่อว่าถ้าเขารู้จักและจำข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าก็คงจะได้การต้อนรับอย่างเป็นมิตร แต่ข้าพเจ้ายังไม่ได้เห็นสามีภริยาคู่นั้น เห็นแต่เด็กน่ารักน่าที่เอ็นดู 2 คนแต่งกายเรียบร้อย เล่นอยู่ที่หน้าบ้าน แสดงชัดว่าเป็นลูกของสามีภริยาคู่นั้น อีกประเดี๋ยวหนึ่ง สามีภริยาคู่นั้นก็เดินออกมาจากเรือน เป็นคู่นั้นแน่ ไม่ผิด เขาไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมาก หกปีแห่งชีวิตชาวไร้ริมทะเลยังรักษาความเป็นหนุ่มเป็นสาวของเขาไว้ เขารู้จักและจำข้าพเจ้าได้ทันที เพราะเขายิ้มรับข้าพเจ้าทั้งสองคน และร้องเชิญให้ข้าพเจ้าเข้าไปในเรือนของเขา

“ผมขออนุญาตถ่ายภาพยนตร์ได้ไหมครับ ?” ข้าพเจ้ากล่าว

เขาหัวเราะอย่างร่าเริงทั้งสองคน

“ถ่ายได้ค่ะ” ภริยาพูด

“ถ่ายเถอะครับ” สามีกล่าว “คราวนี้ไม่มีเรื่องอะไรอีกแล้ว”

ข้าพเจ้าถ่ายภาพยนตร์ความเป็นอยู่ของเขา รวมทั้งตัวเขาและลูก เขาเชิญให้ข้าพเจ้านั่งสนทนา มีเครื่องดื่มของเย็นมาต้อนรับ ซึ่งแสดงว่าเขามีจนกระทั่งตู้เย็นชนิดใช้น้ำมันอยู่ในบ้าน เวลา 6 ปี ได้ช่วยการสร้างชีวิตของเขาให้เป็นผลสำเร็จ

การสนทนาได้เป็นไปอย่างสนิทสนม เราเป็นมิตรกันได้อย่างแท้จริง

“คราวนี้ดิฉันเล่าให้คุณฟังได้” ภริยากล่าว “ว่าเรื่องราวในชีวิตของเราเป็นอย่างไร”

“ก็ไม่จำเป็นต้องเล่า” ข้าพเจ้ากล่าว

“แต่อยากให้เล่า” สามีกล่าว “เพื่อให้คุณหมดความสงสัย ว่าเหตุไรเราจึงถือเป็นความสำคัญใหญ่โตเหลือเกิน ในการที่คุณมาถ่ายภาพยนตร์พวกเราเมื่อ 6 ปีมาแล้ว”

แล้วเขาก็ตั้งต้นเล่า สามีเล่าบ้าง ภริยาเล่าบ้าง ภริยาเล่ามากกว่า เพราะเป็นเรื่องของภริยามากกว่าสามี ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเคราะห์ดีที่ได้ฟังเรื่องฝ่าฟันต่อสู้ในชีวิตอีกเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้าสนใจในเรื่องการต่อสู้ในชีวิต เพราะชีวิตคือการต่อสู้ เรื่องต่อสู้ในชีวิตเป็นเรื่องที่มีประโยชน์สำหรับคนทุกคน เพราะไม่มีใครจะรอดพ้นการต่อสู้ในชีวิตไปได้ เรื่องของสามีภริยาคู่นี้ หรือโดยเฉพาะของสตรีผู้นี้ เป็นการต่อสู้ที่รุนแรงมากเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยได้ยินเรื่องของใครๆ มาหลายเรื่อง ก็รู้สึกว่าเรื่องของคู่นี้ไม่แพ้เรื่องของคนอื่น และมีอะไรดีอยู่หลายประการ ข้าพเจ้าฟังด้วยความสนใจ ไม่ใช่จำใจฟัง เพราะเป็นเรื่องสนุกและให้ความรู้หลายอย่าง ข้าพเจ้าฟังอยู่จนจบ ซึ่งต้องใช้เวลาฟังมากพอใช้

“ยังเป็นความลับอยู่อีกไหมครับ ?” ข้าพเจ้าถามเมื่อเขาเล่าจบลงแล้ว

“ไม่เป็นความลับอีกแล้วค่ะ” ภริยากล่าว การ

“อยากจะเปิดเผยให้มันโด่งดังเสียด้วยซ้ำ” สามีพูด “ถ้าคุณเป็นนักเขียนก็นำไปเขียนได้”

“ที่จริงก็เป็นเรื่องน่าเขียน” ข้าพเจ้ากล่าว “อาจจะเขียนเป็นนวนิยายเรื่องดีเรื่องใหญ่ได้สักเรื่องหนึ่ง”

“คุณนำไปเขียนซีคะ” ภริยากล่าว

“อาจจะเขียนโดยตั้งชื่อใหม่ และดัดแปลงบางตอนก็ได้” ข้าพเจ้ากล่าว

“ไม่จำเป็นดอกครับ” สามีกล่าว “ใส่ชื่อตรงๆ เขียนเรื่องตรงๆ ทั้งหมดก็ได้ เวลานี้ไม่กลัวอะไรแล้ว เรื่องที่ต้องกลัวทั้งหลายได้ผ่านพ้นไปหมดแล้ว เราสร้างตัวของเราได้ ห่างไกลจากภัยอันตรายทุกอย่าง”

ข้าพเจ้าเองก็อยากเขียน การศึกษาของข้าพเจ้าเป็นไปในทางเขียน และเมื่อมาได้เรื่องดีอย่างนี้ก็พอใจ ข้าพเจ้ารับกับสามีภริยาคู่นั้นว่า ขออนุญาตนำเรื่องของเขามาเขียน แต่อย่างไรก็ดี การที่จะใส่ชื่อตรงกับตัวบุคคลทุกคน หรือแม้แต่จะบอกสถานที่ให้ชัดแจ้งตามความเป็นจริง ก็เป็นการไม่สมควร เพราะว่าแม้สามีภริยาคู่นั้นจะเต็มใจให้เปิดเผยเรื่องราวทั้งหลายได้ คนอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซึ่งยังมีอีกหลายคน อาจไม่เต็มใจให้เปิดเผย หรืออาจเป็นความเสียหายแก่เขา เรื่องถ่ายภาพยนตร์ เมื่อ 6 ปีมาแล้ว สอนให้ข้าพเจ้ารู้จักระมัดระวังมากขึ้น ข้าพเจ้าจึงเขียนโดยสมมติชื่อใหม่ และไม่ระบุสถานที่ตามความเป็นจริง พยายามที่จะมิให้เป็นเรื่องเสียหายแก่ใคร แต่ก็พยายามรักษาความจริงในท้องเรื่องไว้ ดังต่อไปนี้

เวลาเป็นผู้ให้ที่ปรึกษาที่ฉลาดที่สุด

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ