บทที่ 2 เรไรลวงรัก

เรื่องของเรไร ได้สร้างตัวอย่างใหม่ในชีวิตครอบครัว เราเคยได้ยินแต่เรื่องหญิงสาวไม่ยอมเป็นภริยาของชายแก่ ถูกพ่อแม่บังคับให้เป็นเมียชายแก่ เพื่อช่วยฐานะของพ่อแม่ หรือเพื่อความสุขสบายของหญิงสาวนั้นเอง เพราะตามธรรมดาชายแก่ย่อมจะหลงเมียสาว และหวังได้ว่าหญิงสาวจะได้รับทรัพย์สมบัติและความสบายทุกอย่าง พ่อแม่บางคนจึงบังคับให้ลูกสาวเข้าสู่ฐานะเช่นนั้น แต่เรื่องของเรไรตรงกันข้าม เรไรได้ก้าวเข้าสู่ความมืดแห่งชีวิตด้วยความเต็มใจของตนเอง เพื่อช่วยทุกข์ของพ่อแม่ และก็ช่วยได้จริงๆ เรไรภูมิใจว่าตัวได้ทำความดีมากกว่าหญิงสาวคนอื่นๆ

ฐานะของสามีหรือนายเงินที่เรไรสละร่างเข้ามาอยู่ด้วยนั้น เป็นฐานะที่มั่งคั่งสมบูรณ์จริงๆ และมีความชั่วช้าหน้าเลือดอยู่ทุกสถาน ยึดถือภาษิตเพียง 3 ข้อ คือเพื่อเงิน ด้วยเงิน สำหรับเงิน คือทำทุกอย่างเพื่อเงิน ใช้อำนาจอิทธิพล และหาความสุขส่วนตนทุกอย่างด้วยเงิน และมีชีวิตอยู่สำหรับเงิน คนยากคนจนเป็นอันมากตกอยู่ภายใต้อิทธิพลร้ายของคนผู้นี้

เขามีอำนาจยิ่งกว่าพระราชามหากษัตริย์ เพราะสามารถจะสั่งฆ่าใครได้ตามชอบใจ วิธีหาเงินของเขามีมากหลาย นอกจากการทำนาบนหลังคน เบียดเบียนแย่งกรรมสิทธิ์ที่ไร่ที่นาของคนจน ยังมีการค้าของเถื่อน ประกอบอาชญากรรมนานาประการ เครื่องมือประกอบอาชญากรรมนั้น ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพลเมืองดีที่เขาทำให้กลายเป็นคนร้ายด้วยอำนาจเงินของเขา ชาวไร่ชาวนาผู้น่าสงสารที่ไม่สามารถจะผ่อนใช้หนี้เขา เขาก็บังคับให้ใช้หนี้โดยวิธีอื่น เช่นไปเดินทางขนของเถื่อนให้เขา ไปประทุษร้ายศัตรูให้เขา บางทีก็ไปทำโจรกรรมตามคำสั่งของเขา พ่อของเรไรเองก็เคยถูกใช้ในงานเช่นนี้ ซึ่งพยายามปิดบังนักหนาไม่ให้เรไรรู้ พวกที่ถูกเขาใช้ไปประกอบอาชญากรรมทำความผิดเช่นนี้ ไม่มีใครกล้าหักหลังเขา เพราะถ้าไปหักหลังเขาเข้า ก็หมายถึงชีวิตของตัวและลูกเต้าหมดทั้งครอบครัว เขาเป็นบุคคลที่ใครๆ ต้องหวาดกลัว

ฐานะของเรไรภายใต้อิทธิพลร้ายของคนผู้นี้ ก็เป็นไปตามแผนการของเธอ ในชั้นต้นเรไรยอมหมอบราบกราบกรานภริยาเอก จนได้รับความไว้วางใจของภริยาเอกมากขึ้นทุกที ภริยาเอกก็ได้สังเกตเห็นว่า เรไรมีความประพฤติผิดแปลกกับเมียเล็กเมียน้อยคนอื่น ๆ ในบ้าน เพราะเมียเล็กเมียน้อยคนอื่นๆ นั้น เมื่อเริ่มต้นเป็นคนโปรดของสามีเข้าบ้าง ก็มักจะมีท่าแข็งข้ออวดดีกับภริยาเอก หรือพยายามที่จะชิงตำแหน่งภริยาเอก แต่เรไรนั้นตรงกันข้าม พยายามลง พยายามนอบน้อม พยายามฝากตัวกับภริยาเอก จนได้รับความเมตตาและไว้วางใจ ทางได้เปรียบของเรไรเหนือเมียเล็กเมียน้อยคนอื่นๆ อีกอย่างหนึ่งคือการศึกษา ถึงแม้จะสำเร็จโรงเรียนประชาบาลมาเท่าๆ กัน เรไรพยายามหาความรู้ด้วยการอ่าน การฝึกฝนตนเอง หาความรู้เพิ่มเติมไม่หยุดหย่อน และเมื่อมามีฐานะเป็นเมียคนหนึ่งของเศรษฐี มีเงินใช้ส่วนตัวบ้าง ก็สามารถจะหาซื้อหนังสือดีๆ มาอ่านเองได้ โดยมิต้องยืมเขาอ่านเหมือนแต่ก่อน ตัวนายเงินและภริยาก็ได้สังเกตว่าเงินที่ให้เรไรได้จ่ายไปในทางซื้อหนังสืออ่าน เป็นการหาความรู้ ไม่ได้เอาไปใช้ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายทางอื่น ก็มีความไว้วางใจให้เงินเรไรมากกว่าคนอื่น

การที่เรไรมีความรู้ทางหนังสือ ดีกว่าเสียเล็กเมียน้อยคนอื่นทั้งหลาย และดีกว่าเอกภริยาเองนั้น ช่วยให้เรไรได้ฐานะดีอีกอย่างหนึ่ง คือได้รับใช้อย่างเป็นเลขานุการของภริยาเอก และมีทางล่วงรู้ความเป็นไปภายในครอบครัวมั่งคั่งนั้นมากขึ้น เขามีแต่เรื่องเงินทอง เรื่องคนเป็นหนี้ เรื่องทวงหนี้ เรื่องยึดทรัพย์ เรื่องได้ที่ดินไร่นามาใหม่ เป็นเจ้าที่ดินที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นทุกที เขามีคนที่เป็นลูกหนี้ไม่ใช่หลายคนแต่หลายสิบคน ล้วนแต่เป็นคนยากจน อาบเหงื่อต่างน้ำ หาเช้ากินค่ำ คนที่น่าสงสาร คนที่ทำงานหล่อเลี้ยงประเทศชาติด้วยการเพาะปลูก การผลิต แต่คนเหล่านั้นก็มีฐานะยากลำบากยิ่งขึ้นทุกที ในบ้านของนายเงินนี้ทั้งบ้าน รวมทั้งตัวเขาเองและลูกหลานไม่ปรากฏว่าต้องทำอะไร แต่ก็มีเงินทองใช้อย่างฟุ้งเฟ้อ ล้วนแต่รีดเอามาจากแรงงานของคนยากจน

แม้ว่าจะเป็นที่เมตตา และไว้วางใจของภริยาเอกแล้ว เรไรก็มิเคยได้ละเลยในการแสดงอัธยาศัยอันดีกับพวกเมียเล็กเมียน้อยทั้งหลาย ซึ่งเธอเห็นเป็นเพื่อนมนุษย์โชคร้ายที่ต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างเดียวกับเธอ ทุกคนที่เป็นหญิงสาวเข้ามาเป็นเมียของเศรษฐีนายเงินผู้นี้ มีประวัติเกือบจะเหมือนกันหมด คือพ่อแม่เป็นหนี้เขา ไม่สามารถจะใช้เงินเขาได้ ต้องใช้หนี้ด้วยลูกสาว ไม่ผิดอะไรกับการขายทาสในสมัยโบราณ เกือบทุกคนต้องรับความทุกข์ทรมานอยู่ใต้อำนาจภริยาเอก เรไรเองยังมีฐานะดีกว่าหญิงเหล่านั้น เพราะได้รับความเมตตาของภริยาเอกบ้าง ส่วนคนอื่น ๆ ได้ฟังแต่เสียงแช่งด่า และถูกใช้อย่างไพร่อย่างข้าทาสไปทุกคน

ในการแสดงอัธยาศัยอันดี และผูกมิตรกับพวกเมียเล็กเมียน้อยเหล่านี้ เรไรก็ได้ความรู้ในความเป็นไปของเศรษฐีมากขึ้นอีก คือได้ความรู้ว่าพ่อแม่พี่น้องของเมียเล็กเมียน้อยเหล่านี้ ล้วนแต่ตกเป็นทาสของนายเงินอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เพราะถูกนายเงินใช้ทำความผิดทางอาญา เช่นเป็นเครื่องมือค้าของเถื่อน ประทุษร้ายคนบางคน มีความผิดเป็นชนักติดหลังอยู่ทั้งนั้น ไม่มีทางที่ใครจะทรยศต่อเขาได้ เพราะถ้าทรยศต่อเขาเข้าเมื่อใด ความผิดที่ตนทำไว้ก็จะกลับมาลงโทษตัวเอง ความฉลาดอันเหลือล้นของเศรษฐีผู้นี้ สามารถจะผูกมัดคนไว้เป็นทาสยิ่งกว่าลูกทาสในเรือนเบี้ย เรไรเชื่อว่าพ่อของตนก็คงจะอยู่ในฐานะอันเดียวกัน คงจะถูกผูกมัดด้วยวิธีนั้นบ้างไม่มากก็น้อย ในระหว่างเวลาที่ยังเป็นลูกหนี้เขาอยู่ แต่พ่อก็คงจะปิดบังความจริงอันนี้ไม่ให้เรไรทราบ

เรไรได้รับอนุญาตให้ออกไปเยี่ยมพ่อแม่บ่อยๆ และได้ฟังจากพ่อแม่ว่า เวลานี้ไม่มีความทุกข์ร้อนอื่นใด นอกจากสงสารลูก เรไรถามพ่อว่าเคยถูกใช้ทำความผิดอย่างคนอื่นบ้างหรือเปล่า พ่อรับว่าเคยถูกใช้ในการนำของเถื่อน ขนของเถื่อน แต่ไม่เคยถูกใช้ในเรื่องประทุษกรรมทำร้ายใคร และนับตั้งแต่เรไรไปอยู่เป็นเมียเขา ก็ไม่ได้ถูกใช้ในเรื่องเหล่านั้นอีก อย่างไรก็ดี เรไร ไม่หมดความวิตกในข้อนี้ ปัญหาเรื่องหนึ่งที่เรไรหมกมุ่นอุ่นคิดก็คือว่า ทำอย่างไรจึงจะให้พ่อแม่ย้ายที่อยู่ที่ทำกินไปเสียให้ห่างไกล อยากจะให้ไปไกลคนละมุมราชอาณาจักร เพื่อป้องกันมิให้ถูกบังคับให้ทำความผิดร้ายเหมือนคนอื่น เพราะถึงแม้เวลานี้จะปลดเปลื้องหนี้สินหมดแล้ว ก็ยังไว้ใจไม่ได้ เล่ห์เหลี่ยมของเศรษฐีผู้นี้มีมากนักหนา

อนึ่ง ในขณะที่เรไรมาอยู่เป็นเมียเศรษฐีเช่นนี้ เรไรไม่ได้ละทิ้งความติดต่อกับครอบครัวอีกแห่งหนึ่ง คือครอบครัวนายสมพรที่ให้ยืมหนังสืออ่านมาตั้งแต่เป็นเด็ก ซึ่งเรไรถือว่าเป็นครอบครัวที่มีบุญคุณแก่เธออย่างมากเหมือนกัน อันที่จริงครอบครัวนั้นก็ทราบด้วยความปีติว่า เรไรได้มามีฐานะดีขึ้น ดีขึ้นในแง่ที่ว่าได้เป็นเมียเล็กเมียน้อยของเศรษฐี วันหนึ่งเรไรเข้าไปในบ้านเขา นำเอาผักสดและไข่ไก่ไปให้เขาเหมือนอย่างที่เคยทำในครั้งกระโน้น

“อะไรกัน” เขาถาม “ยังปลูกผักเลี้ยงไก่อยู่อีกหรือ?”

“ยังทำอยู่ค่ะ” เรไรตอบ

“ทำอย่างไร ทำไปทำไม ?”

“ในบ้านมีที่มาก ฉันขออนุญาตที่แห่งหนึ่งทำสวนผักและเล้าไก่ของฉันอย่างที่เคยทำ เมื่ออยู่ที่นา”

“จะต้องทำไปทำไมอีกล่ะ ?”

“ฉันอยากทำ เพราะเป็นงานที่ฉันชอบ”

“เป็นเมียเศรษฐีแล้ว ยังจะปลูกผักเลี้ยงไก่ไปทำไมกัน”

“ต้องทำค่ะ ทำเพื่อไม่ให้ลืมฐานะเดิมของตัว ทำเพื่อเตือนใจว่าไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต ทำเพื่อความภูมิใจว่าได้ปลูกสร้างอะไรขึ้นในบ้านเมืองบ้าง ไม่ใช่กินให้หมดไปอย่างเดียว”

“หนูสบายดีแล้วหรือในบ้านนั้น ?”

“ก็ไม่มีอะไรเดือดร้อนค่ะ แต่จะเรียกว่าสบายก็ยังไม่ได้ เพราะตราบใดที่ยังอยู่อาศัยคนอื่น ไม่มีความเป็นอิสระแก่ตัว ก็ไม่เป็นความสบายที่แท้จริง”

“หนูรู้ดีแล้วไม่ใช่หรือ ว่าจะต้องระวังตัวอย่างไรบ้างในบ้านนั้น ?”

“ก็ยังไม่รู้ดีหรอกค่ะ แต่หนูก็ระวังตัว”

“ระวังตัวไว้ ความระมัดระวังเป็นความจำเป็นในชีวิตอยู่เสมอ ยิ่งยังไม่รู้ดี ยิ่งต้องระวังมากขึ้น”

“ขอบคุณค่ะ หนูจะระวังตัว”

“อย่าลืมว่าบ้านนี้เป็นมิตรของหนู” นายสมพรพูด “ถ้าหากโชคกลับ หรือมีความทุกข์ร้อนอะไรขึ้นมาก็ขอให้ถือว่าบ้านนี้เป็นญาติสนิทของหนูเอง”

“หนูไม่ลืมบุญคุณที่ท่านมีแก่หนูมาตั้งแต่เด็ก”

“ก็ไม่ได้มีบุญคุณอะไรหรอก เพียงแต่ให้ยืมหนังสืออ่าน ไม่ได้เป็นบุญคุณอะไร แต่เราเป็นมิตรหรือจะถือเป็นญาติก็ได้”

ที่จริงเรไรมีความรักและนับถือบ้านนั้นมาก นอกจากอัธยาศัยอันดีที่นายสมพรได้แสดงแก่เรไรมาตั้งแต่เด็กแล้ว เรไรเห็นเขาเป็นครอบครัวที่ประกอบสัมมาอาชีพ เรไรรู้ว่าเขาสร้างฐานะที่มั่งคั่งขึ้นมาด้วยความขยันหมั่นเพียร ทำมาหากินในทางที่ดีที่ชอบ เขาเป็นพลเมืองดี เป็นผู้ที่ไม่ใช่ผู้ร้าย การพบปะกับนายสมพรครอบครัวนี้ เป็นความสบายใจอันหนึ่งของเรไร

แต่เมื่อกลับเข้ามาภายใต้หลังคาของเศรษฐี ซึ่งเรไรเป็นเมียคนหนึ่ง ในบรรดาเมียเล็กเมียน้อยของเขา ความหมกมุ่นอุ่นคิดก็กลับมีขึ้นมาเสมอ เป็นความคิดถึงพ่อแม่ อยากหาทางย้ายภูมิลำเนาไปเสียให้ห่างไกล เป็นความคิดเคียดแค้น ซึ่งไม่รู้จักหมดไปจากดวงจิตของเรไร แม้ว่าพ่อแม่ของตนจะหลุดพ้นจากฐานะเป็นลูกหนี้หรือเป็นทาสของเขาแล้ว เรไรก็ยังเคียดแค้นแทนคนที่เป็นพวกเดียวกับตัว พวกคนจนหาเช้ากินค่ำ ที่ต้องสละแรงงานสร้างความมั่งคั่งให้แก่คนผู้นี้ เรไรรู้ว่ายังมีคนอีกหลายสิบคนที่ยังอยู่ในฐานะเป็นหนี้นายเงินเหมือนพ่อแม่ของตนแต่ก่อน จากการทำหน้าที่เลขานุการของภริยาเอก เรไรรู้ว่า มีคนอีกหลายคนที่ใกล้จะต้องรับเคราะห์กรรมอย่างเดียวกับที่พ่อแม่ของตนเคยรับมา คือจะต้องถูกบังคับให้สละกรรมสิทธิ์ที่ไร่ ที่นา และโอนมาเป็นสมบัติของนายเงิน

งานเลขานุการที่เรไรทำอยู่นั้น เป็นงานทวงหนี้อย่างเดียว ซึ่งทุกครั้งที่เรไรต้องเขียนข้อความตามคำบอกของเขา เรไรต้องอัดอั้นใจในบางครั้ง น้ำตาของเรไรเกือบจะไหลออกมา เพราะความสงสารชาวไร่ชาวนาที่จะต้องรับเคราะห์จากคนผู้นี้ ความร้ายอันหนึ่งที่เขาทำคือ บังคับให้ลูกหนี้ยอมรับความผูกพันในจำนวนหนี้มากเกินกว่าที่กู้และได้รับเงินไปจริง บางทีจำนวนหนี้ในเอกสารสัญญามากเกินกว่าเงินที่รับไปจริงตั้งเท่าตัว

“ไม่บาปหรือคะ ทำอย่างนั้น” ครั้งหนึ่งเรไรถามภริยาเอกโดยที่อัดใจทนอยู่ไม่ได้

“การให้คนชนิดนี้กู้เงินก็ต้องทำอย่างนี้เสมอ ถ้าไม่ทำอย่างนี้มันก็ไม่อยู่ในอำนาจของเราเต็มที่” ภริยาเอกตอบ

“แต่ดิฉันเห็นเป็นเรื่องน่าสงสาร ที่คนกู้เงินหนึ่งหมื่น เสียดอกเบี้ยแพงมากแล้ว ยังต้องใช้ต้นเงินมากขึ้นอีกเท่าตัว”

“เราก็ไม่ได้บังคับเอาตามจำนวนที่จดไว้เสมอไป คนไหนทำดี ซื่อสัตย์ ใช้งานได้ดี พอส่งเงินที่กู้ไปจริงครบถ้วน เราก็กรุณายกให้เลย ไม่เรียกร้องจำนวนที่ลงไว้เกิน การลงจำนวนเกินก็ประสงค์แต่เพียงเพื่อป้องกันการบิดพลิ้ว การอวดดี ใช้อะไรไม่ได้ คนพวกนี้ถ้าไม่เอาชนักติดหลังไว้ มันก็เล่นโกงเราเสมอ”

เรไรเข้าใจ การเป็นหนี้นั้น หมายถึงความเป็นทาส นอกจากต้องส่งดอกเบี้ยและคืนต้นเงินกู้ที่รับไปจริงแล้ว ยังมีความผูกพันว่าต้องเป็นคนของเขา ต้องซื่อสัตย์ต่อเขา ต้องทำงานอื่นที่เขาจะใช้ เรไรเคยนำเรื่องนี้ไปเล่าให้บิดาฟัง บิดาบอกว่า งานพิเศษที่เขาใช้เป็นงานผิดกฎหมายเสมอ เช่นใช้เป็นเครื่องมือค้าของเถื่อน และทำประทุษกรรมต่างๆ ใครทำตามคำสั่งและทำให้เขาเห็นใจว่าจงรักภักดีต่อเขา พอส่งต้นเงินครบถ้วนตามจำนวนที่รับไปจากเขาจริง ก็ได้รับความกรุณาพ้นหนี้ ถือเป็นความกรุณา

“คุณพ่อ คุณปู่ ก็ทำอย่างนี้มาเสมอ” ภริยาเอกเคยอธิบายแก่เรไร ซึ่งแปลว่าเขาทำกันมาเช่นนี้หลายชั่วคน เขาจึงเป็นเศรษฐีด้วยวิธีนี้

ชาวไร่ชาวนาผู้ยากจน ต้องถูกผูกมัดอย่างที่เขาเรียกว่าเอาชนักติดหลังไว้ เรไรได้เรียนรู้ผลร้ายของหนี้สิน เพราะหนี้สินสามารถจะทำคนให้ต้องเป็นทาส เป็นโจร ต้องทำผิดหน้าที่พลเมืองดี ต้องเป็นเครื่องมือประกอบการทุจริตผิดกฎหมาย เพราะเจ้าหนี้นายเงินเอาชนักปักหลังไว้ และเขาก็บอกเองว่าเขาเอาชนักปักหลังไว้เช่นนี้ ตั้งแต่ชั่วพ่อชั่วปู่ของเขามา เขาสร้างอิทธิพลร้ายกันด้วยวิธีนี้ เรไรหมกมุ่นอุ่นคิดในเรื่องนี้ จนบางครั้งรู้สึกเหมือนว่าสมองของตนจะระเบิดออกมา คนที่จะต้องรับเคราะห์กรรมอย่างนี้ บางคนเรไรรู้จัก และมีมากที่ไม่เคยรู้จัก แต่จะรู้จักหรือไม่รู้จักไม่เป็นความสำคัญ เรไรถือว่าชาวไร่ชาวนาที่ต้องสละแรงงานตรากตรำอยู่นั้น เป็นพวกเดียวกับเธอทั้งหมด เป็นญาติพี่น้องของเธอทั้งหมด ความหมกมุ่นขุ่นคิดของเรไรจึงมีขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ว่าจะช่วยคนพวกนั้นได้ด้วยวิธีใด

ในส่วนที่เกี่ยวกับเศรษฐีนายเงินผู้ยิ่งใหญ่ ที่ดำรงฐานะเป็นตัวและเป็นนายของเรไรอยู่นั้น เรไรยังเป็นผึ้งรวงใหม่อยู่เสมอ เขารักและหลงเรไรอย่างมาก เพราะนอกจากเรไรจะสวยกว่าเมียคนอื่น ๆ แล้ว ยังมีความรู้ความคิดดีกว่าเมียคนอื่นๆ เขาเข้าห้องเรไรทุกคืน ทั้งๆ ที่เขามีห้องอื่น สำหรับเข้าอีกหลายห้อง เขาให้เงินให้เครื่องแต่งกายแก่เรไรมากกว่าคนอื่น และภาระอันหนักของเรไรก็คือต้องพยายามมิให้ภริยาเอกเกลียด และเมียน้อยๆ อิจฉา เรไรแก้ปัญหาอันนี้ได้เรียบร้อย เพราะทุกๆ ครั้งที่ได้รางวัลเงินทองอะไรมา เรไรก็เผื่อแผ่แก่เมียน้อย ๆ ที่ไม่ค่อยได้ ส่วนสำหรับเอกภริยานั้น เรไรก็รับใช้และให้ความเคารพนบนอบ จนภริยาเอกให้วางใจว่าเรไรจงรักภักดีต่อตน แม้แต่บ่าวไพร่คนใช้ในบ้านก็พากันรักน้ำใจของเรไร มีหลายครั้งที่พวกเมียน้อยๆ พยายามยุเรไรให้ตั้งตัวเป็นเอกขึ้นมา ขจัดภริยา เอกในปัจจุบัน ซึ่งคนเกลียดหมดทั้งบ้านออกไปเสีย แต่เรไรไม่พยายามทำอย่างนั้น ไม่ใช่แผนการของเธอ แผนการของเธอเป็นอีกอย่างหนึ่ง

จนกระทั่งถึงเวลานี้ เศรษฐีผู้เป็นสามีทำความพยายามอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือ เขาก็รู้ตัวเหมือนกันว่าเรไรไม่ได้รักเขา เรไรเสียสละมาเป็นเมียของเขาด้วยความรักพ่อแม่ อยากช่วยพ่อแม่ เขามองเห็นลักษณะอันดีในตัวเรไรทุกอย่าง ความหวั่นวิตกของเขามีอยู่อย่างเดียวว่า วันหนึ่งเรไรอาจจะหนีเขาไปเสียได้ เขารู้ว่าเงินและทองไม่สามารถจะผูกน้ำใจคนอย่างเรไร เขาพยายามจะให้เรไรตั้งครรภ์มีลูก เพื่อได้เครื่องผูกพันอย่างแท้จริง แต่แม้จะอยู่ด้วยกันมานานหลายเดือน ก็ไม่มีวี่แววว่าเรไรจะตั้งครรภ์ เขาพยายามพูดดีทำดีกับเรไรทุกอย่าง เพื่อให้เรไรเกิดความเห็นใจและรักเขาบ้าง เขารู้ว่าเป็นการยากเหลือเกินที่จะให้หญิงสาวรักผัวที่มีอายุคราวพ่อ หรือแก่กว่าพ่อ แต่เขาก็ไม่ละทิ้งความพากเพียร

มาถึงตอนนี้ เรไรก็เกิดความคิดขึ้นบ้างเหมือนกัน คือว่าถ้าเธอมีแผนการที่จะช่วยพ่อแม่ต่อไป และช่วยคนยากจนผู้รับเคราะห์กรรมอีกหลายสิบคนด้วย เธอก็มีความจำเป็นอีกประการหนึ่ง คือต้องให้คนคนนี้ไว้ใจเธออย่างเต็มที่ และทางเดียวที่จะให้เขาไว้ใจเต็มที่ก็คือ แสดงว่าเรไรรักเขาด้วย อันนี้เป็นเรื่องยากหน่อยสำหรับเรไร ถึงแม้ว่าเธอจะยอมสูญเสียอะไรๆ มาทุกอย่างแล้ว การที่จะแสดงหรือพูดออกไปว่ารักคนคนนี้เป็นการยากมาก เขาพยายามถามเรไรอยู่เสมอว่าเรไรรักเขาบ้างหรือไม่ ถ้าเรไรจะพูดออกไปสักคำเดียวว่ารัก เขาก็จะได้ผลดีอีกหลายอย่าง แต่เรไรก็ยังไม่เคยพูดอย่างนั้น

เรไรได้เก็บเอาเรื่องนี้มาคิดนึกตรึกตรองอยู่ช้านาน ไหน ๆ เธอก็ได้ปฏิญาณใจว่าจะเป็นศัตรูของคนคนนี้ไปตลอดชีวิต เธอเคยมีความคิดมาแต่ก่อนถึงกับว่า ถ้ามีทางจะล้างผลาญทำการร้ายให้แก่ตัวคนคนนี้ได้เพียงไร เธอก็จะทำ ความคิดอันนี้ก็ยังมีอยู่ ก็เหตุไฉนจึงจะทำมารยาสักนิดหนึ่งไม่ได้ คือหักใจพูดว่ารักเขา แสดงตัวว่ารักเขา จะได้ผลมากขึ้นอีกหลายเท่า ส่วนที่จะสูญเสียอะไรไปอีกนั้นก็ไม่มีทางจะสูญเสียมากไปอีก เพราะอะไรก็เสียไปหมดแล้ว เรไรพยายามคิดไปทางนี้ และต้องคิดอยู่ช้านาน การตัดสินใจที่จะสละตัวเองเพื่อช่วยพ่อแม่ ยังง่ายกว่าการตัดสินใจที่จะพูดว่ารักเขา

ในที่สุด เรไรก็ตัดสินใจ และโอกาสที่จะพูดหรือแสดงเช่นนั้นก็หาได้ไม่ยาก เพราะเมื่อเขาเข้ามาอยู่กับเรไร เขาก็ชอบถามเสมอว่าเรไรรักเขาบ้าง หรือเปล่า

“รักค่ะ” เรไรรีบตอบ ก่อนที่ตัวเองจะเปลี่ยนใจเป็นอย่างอื่น

“จริงๆ หรือ ?” เขาถาม

“เป็นความจริงค่ะ”

“เธอสามารถจะรักคนแก่คราวพ่อเธอได้หรือ ?” เขาชวนพูดต่อ

“ความรักไม่ได้อยู่ที่ความเป็นหนุ่ม ความรักมีขึ้นได้ด้วยความเห็นอกเห็นใจกัน”

“แต่ก่อนเธอไม่ยอมพูดว่าเธอรักฉัน”

“ดิฉันสารภาพตามความจริงค่ะ แต่ก่อนดิฉันไม่ได้รักท่าน ดิฉันยอมมาเป็นเมียท่านเพื่อจะช่วยความทุกข์ลำบากของพ่อแม่ ดิฉันรู้สึกตัวว่าดิฉันเป็นทาส ไม่ได้เป็นเมีย ความรักก็ไม่สามารถจะมีขึ้นได้”

“แล้วเดี๋ยวนี้มันมีขึ้นได้อย่างไร ?”

“ดิฉันเห็นใจท่านมากขึ้นทุกวัน มองเห็นว่าท่านรักดิฉันด้วยความสุจริตใจ ท่านเมตตากรุณาดิฉันจริงๆ มิตรจิตย่อมจะเรียกร้องให้มีมิตรใจตอบ ความเห็นใจและความไว้วางใจเป็นเหตุให้เกิดความรักขึ้นมาได้”

“เธอแน่ใจหรือ ?” เขาย้อมถาม “ว่าเธอจะรักฉันยืนยาวไป”

“แล้วท่านละคะ ท่านแน่ใจหรือว่าจะรักดิฉันยืนยาวไป ?”

“มีอะไรที่ทำให้เธอสงสัยว่าฉันจะไม่รักเธอยืนยาวไปหรือ ?”

“มีมากค่ะ ดิฉันไม่ได้เป็นเมีย ดิฉันเป็นแต่เพียงทาสที่ท่านซื้อมา”

“ขอให้เลิกพูดอย่างนั้น ฉันไม่ได้เลี้ยงเธออย่างบ่าวอย่างไพร่ ฉันเลี้ยงเธอและให้เกียรติแก่เธออย่างเมียแท้ๆ”

“แต่ท่านก็มีเมียอยู่มากมายหลายคน”

“จะมีสักกี่คน ฉันก็ไม่รักมากเท่าเธอ” เขาตอบ

เรไรอยากจะให้คำนี้มันดังไปถึงหูภริยาเอกของเขา แล้วอยากดูว่า มันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เรไรรู้สึกว่าพูดเรื่องรักๆ นี้ก็สนุกดีเหมือนกัน เรไรไม่เคยพูดกับใคร เคยพบแต่ในหนังสือที่เรไรอ่าน เมื่อได้มาพูดเข้าเองก็รู้สึกสนุก อย่างน้อยก็ได้หัดฝีปากไว้ การพูดเรื่องรักกับเขาเป็นการหักใจสำเร็จไปขั้นหนึ่ง เรไรจะต้องหักใจอีกขั้นหนึ่ง คือนอกจากการพูด ยังจะต้องแสดงกิริยาท่าทีว่ารักเขาจริงๆ ด้วย เมื่อหักใจทำขั้นที่หนึ่งสำเร็จไปแล้ว การที่จะหักใจทำขั้นที่สองก็ไม่ยากอะไร เวลาเขาไม่อยู่ เรไรมักทำท่าคนเดียวในกระจก เปลี่ยนอย่างนั้น แก้อย่างนี้ พยายามที่จะให้เป็นธรรมชาติ เป็นความจริงใจ ไม่ใช่แกล้งทำ

ผลของการฝึกซ้อม ทำให้เรไรได้พบศิลปะแห่งความยั่วยวนหลายๆ อย่าง และเมื่อได้ลองใช้ดูก็ปรากฏว่าได้ผล คนคนนี้รักและหลงเรไรมาแล้วมากเท่าไร เขาได้เพิ่มความรักความหลงขึ้นอีกหลายเท่า เขาหมกมุ่นอยู่ในเสน่ห์ของเรไรยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมากมาย เขาแสดงความเป็นหนุ่มกรุ้มกริ่ม ซึ่งเรไรต้องทนซ่อนความรู้สึกสะอิดสะเอียนในความเป็นหนุ่มของเขา มันเป็นบทเรียน เป็นบทฝึกหัดให้เรไรรู้จักฝืนใจ ซ่อนความจริงใจ แต่ลงท้ายเรไรก็เห็นเป็นของสนุก ผู้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่กลายเป็นโคแก่ที่เชื่องมาก เขามีความผิดแปลกขึ้นใหม่อย่างหนึ่ง คือในตอนที่เรไรทำให้เขาหลงมากๆ นี้ เขากลายเป็นคนหึงมากขึ้น แต่ก่อนเรไรออกไปทางไหนได้ง่ายๆ แต่ตอนหลังนี้เขาหวง จะออกไปทางไหนต้องขออนุญาต แม้แต่การออกไปหาพ่อแม่บ่อยๆ เขาก็ไม่พอใจ

มาถึงตอนนี้ เรไรก็เห็นว่าถึงเวลาที่จะจัดการเรื่องพ่อแม่ของตัวได้

“พ่อแม่ก็แก่แล้ว ทำงานหนักลำบากมาก็มากแล้ว อยากจะให้ได้รับความสุขสบายกับเขาบ้าง” เรไรพูดกับนายเงินในวันหนึ่ง

“จะเอามาไว้ในบ้านเราก็ไม่ได้” เขากล่าว “เพราะในบ้านนี้คนก็อยู่เต็มบ้าน”

“เปล่าค่ะ ดิฉันไม่มีความตั้งใจจะเอามาไว้ในบ้านนี้ อยากให้เข้าไปอยู่ในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ๆ ที่ไหน เพื่อให้พบความเป็นอยู่ที่สุขสบายกับเขาบ้าง”

เรื่องนี้เป็นที่ถูกใจของนายเงิน เพราะการที่พ่อแม่ของเรไรอยู่ในเมืองเดียวกัน เป็นทางให้เรไรออกจากบ้านบ่อยเกินไป เพราะขอไปหาพ่อแม่ แต่ถ้าให้ไปอยู่ห่างไกล ก็จะเป็นทางป้องกันมิให้เรไรออกจากบ้านบ่อยๆ

“ฉันไม่ขัดข้อง” เขาตอบ “ถ้าจะเอาเข้าไปไว้ในกรุงเทพฯ ฉันก็จะให้ค่าเดินทาง ให้ค่าเลี้ยงชีพ”

“ดิฉันยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นกรุงเทพฯ ค่ะ อาจเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งเมืองใดก็ได้ ที่พ่อแม่จะอยู่สบาย มีทางรักษาสุขภาพอนามัย เจ็บป่วยก็หาแพทย์หาโรงพยาบาลได้ง่าย”

“ก็ควรจะเป็นกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ ๆ ทางเหนือ” นายเงินตอบ เพื่อหาทางให้พ่อแม่ของเรไรไปเสียให้ไกลที่สุดที่จะไกลได้

“ท่านกรุณาให้เงินไปก็แล้วกันค่ะ อนุญาตให้ไปเที่ยวเมืองไกล สุดแต่จะชอบไปทางไหนหรืออยู่ที่ไหน แปลว่าให้ได้รับความสบายในบั้นปลายของชีวิต”

เศรษฐีตกลงทันที รับรองจะให้เงินก้อนหนึ่งสำหรับเดินทาง และค่าอยู่กินให้เพียงพอในชั้นต้นนี้ เป็นเวลา 1 ปี เมื่อครบปีก็จะให้ใหม่ เขาได้พูดกันถึงจำนวนเงินที่จะให้ นายเงินก็ยินดีให้จนเป็นที่พอใจของเรไร ส่วนที่นาก็ให้คนเช่าไป เป็นรายได้อีกส่วนหนึ่ง

การทำความตกลงกับนายเงินนั้นไม่ยาก เพราะเขาต้องการให้พ่อแม่ของเรไรไปห่างจากเรไรอยู่แล้ว ความยากลำบากของเรไรอยู่ในเรื่องพ่อแม่ของตัวเอง ซึ่งไม่สมัครใจจะไปห่างเรไร เรไรพยายามไปหาพ่อแม่ พูดชักชวนหลายครั้งหลายหน ว่าอยากให้พ่อแม่ไปพักผ่อนอยู่สบายในที่อื่น แต่พ่อแม่ก็ไม่ตกลง ในที่สุดเรไรต้องบอกความคิดในใจจริงของตนว่าไม่ต้องการจะมีชีวิตอยู่อย่างนี้ตลอดไป จะหาทางอย่างหนึ่งอย่างใดไปจากเศรษฐี ซึ่งอาจจะเป็นการหนีไปก็ได้ ถ้าพ่อแม่ยังขืนอยู่ที่นี่ เรไรก็ทำอะไรไม่ได้ตามชอบใจ เพราะจะเป็นอันตรายแก่พ่อแม่ จึงขอให้พ่อแม่ไปเสียให้ไกลไกล พอที่คนคนนี้จะไปทำอันตรายอะไรไม่ได้ แล้วเรไรก็จะหาทางไปพบ ไปตั้งต้นชีวิตใหม่ เมื่อได้ทราบความคิดของลูกอย่างนี้ พ่อแม่ก็ตกลงไป

และในเรื่องนี้ เรไรได้ใช้ความเมตตากรุณาของนายสมพร บ้านที่เคยให้ยืมหนังสืออ่าน ให้เป็นประโยชน์แก่เรื่องของตัว บ้านนั้นเคยบอกว่าจะเป็นมิตรดีที่สุดของเรไร และจะให้ความช่วยเหลือที่สามารถจะให้ได้ เรไรได้พาพ่อแม่ไปหาเขา เล่าความมุ่งหมายให้ฟังโดยไม่ปิดบัง ขอให้เขาช่วยเป็นสำนักงานกลางติดต่อระหว่างพ่อแม่กับเรไร พ่อแม่ของเรไรจะไปทางไหน อยู่ที่ไหน ให้บอกมาที่บ้านนั้น แล้วบ้านนั้นจะติดต่อบอกให้เรไรทราบเป็นการลับ เรไรจะส่งข่าวหรืออะไรไปยังพ่อแม่ก็จะส่งมาที่บ้านนั้น ขอให้บ้านนั้นช่วยส่งให้ต่อไป อนึ่ง ที่นาและบ้านเรือนก็ได้มอบหมายให้บ้านนั้นช่วยจัดการดูแล หาคนเช่าและเก็บค่าเช่าส่งไปให้พ่อแม่ แต่ก็ขอมิให้เข้มงวดกวดขันแก่ผู้เช่า ให้ผ่อนผันช่วยคนทำนาทำไร่ เหมือนหนึ่งว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน หัวอกอันเดียวกัน จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พ่อแม่ก็เดินทางไป

เมื่อพ่อแม่ไปแล้ว เรไรก็สบายใจ เพราะพ่อแม่ปลอดภัย ต่อไปนี้จะมีเรื่องอะไรขึ้น พ่อแม่ก็จะไม่ต้องรับเคราะห์หรือประสบอันตรายอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นการให้โอกาสเรไรคิดทำอะไรได้ตามความต้องการ โดยไม่ต้องห่วงว่าจะมีภัยแก่พ่อแม่

ครั้นแล้วเรไรก็ได้ดำเนินการ “ลวงรัก” เรื่อยๆ ไป สมกับที่ตั้งชื่อบทนี้ไว้ว่า “เรไรลวงรัก” เธอกลายเป็นเจ้าเสน่ห์ พยายามแสดงว่ารักเขาอย่างจริงใจ ไม่เปิดทางให้สงสัยว่าจะมีวันใดที่เรไรจะคิดออกห่างจากเขา เธอทำให้เขาลุ่มหลงทุกวิถีทางที่จะทำได้ ไม่เฉพาะแต่ตัวเศรษฐีนายเงิน แม้ภริยาเอกของเขาก็หลงรักเรไรอย่างมาก หน้าที่เลขานุการทำให้เรไรรู้เรื่องต่างๆ ในชีวิตของเขามากขึ้นทุกที มีหลายครั้งที่ภริยาเอกของนายเงินผู้นี้ได้ไขตู้เซฟต่อหน้าเรไร ซึ่งเรไรก็ไม่ได้แสดงความสนใจที่จะรู้ว่า เขามีอะไรในเซฟ เวลาเขาเปิดเซฟ เรไรมักจะออกไปเสียให้พ้น หรือถ้าจำเป็นต้องอยู่ที่นั่นก็หันหลังให้ ไม่อยากดูว่าในเซฟของเขามีอะไร บางครั้งเขาเปิดเซฟไว้ บอกให้เรไรไปหยิบของบางอย่างจากในเซฟ เรไรไม่ยอมหยิบ เธอกราบเขาและบอกขอตัว ไม่อยากเห็น ไม่อยากแตะต้องกับอะไรในเซฟ

“เธอไม่เหมือนนางเมียคนอื่น ๆ” วันหนึ่งเอกภริยาพูด

“ทำไมคะ ?” เรไรถาม

“นางเมียคนอื่นๆ มันมีแต่คอยสอดรู้สอดเห็น คอยถามโน่นถามนี่ อยากแต่จะรู้ว่ามีอะไรอยู่ที่ไหน แต่เธอไม่มีนิสัยอย่างนั้นเลย”

“ท่านมีบุญคุณแก่ดิฉันเหมือนพ่อแม่” เรไรกล่าว “ท่านอุปถัมภ์เลี้ยงดูดิฉันเป็นสุขพอแล้ว ดิฉันไม่มีความจำเป็นต้องสอดรู้สอดเห็นอะไรไปอีก”

“เธอประพฤติตัวดีอย่างนี้ เราก็ไว้วางใจกันได้” ภริยาเอกกล่าว

แต่ความจริง เขาก็ไม่ได้ไว้วางใจอะไรมาก เขาไม่ได้เคยมอบหมายให้เรไรถือกุญแจ ไม่เคยใช้เรไรไขเซฟหรือไขตู้อะไรของเขา เป็นแต่ว่าการทำงานในหน้าที่เลขานุการนั้น มีความจำเป็นบ่อยๆ ที่ต้องเข้าไปทำที่ตรงหน้าตู้เซฟ เพราะมักจะต้องเปิดตรวจดูเอกสารหนังสือสัญญาอะไรต่างๆ จึงมีความจำเป็นที่ภริยาเอกหรือบางทีก็ตัวนายเงินเอง ต้องไขเซฟต่อหน้าเรไรบ่อยๆ เรไรไม่มองดูในเมื่อเซฟเปิดแล้ว ไม่ต้องการรู้ว่าในเซฟมีอะไรบ้าง ทุกๆ ครั้งที่เซฟเปิดแล้ว เรไรหันหลังให้เซฟทุกที แต่ไม่ได้หมายความว่าเรไรไม่สนใจในตู้เซฟ เรไรลอบชำเลืองดูโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เขาหมุนปุ่มเพื่อไขเซฟ พยายามจดจำไว้ว่าเขาหมุนไปทางไหนก่อน หมุนซ้ายกี่ครั้ง หมุนขวากี่ครั้ง เรไรจำได้ว่าพอหมุนติดดังแก๊กก็ไขได้ เห็นเขาไขครั้งต่อไป ก็คอยสอบทบทวนความจำความสังเกตของตัวเองเรื่อยๆ ไป จนในที่สุดเรไรก็จำได้แม่นยำว่าต้องหมุนไปทางไหนอย่างไร ตู้เซฟอยู่ในห้องนอนของภริยาเอก ซึ่งเรไรได้รับความไว้วางใจให้เข้าออกได้เสมอ เวลาผัวเมียเขาไม่อยู่ เรไรเคยไปลองหมุนดู บางครั้งหมุนไม่ได้ เพราะเขาใส่กุญแจชั้นนอกไว้ แต่บางครั้งเขาไม่ได้ใส่กุญแจชั้นนอก เรไรลองหมุนดูได้ แต่การที่จะหมุนให้มันติดดังแก๊กนั้นไม่ใช่ของง่าย เธอพยายามหาตัวเลขหลายครั้งหลายหน พยายามอยู่เป็นเวลาแรมเดือน ทั้งๆ ที่จำได้แม่นยำว่าต้องหมุนไปทางไหนก่อน และซ้ายกี่ครั้ง ขวากี่ครั้ง ก็ยังไม่พบความถูกต้องอยู่นั้นเอง

เธอต้องคอยดูใหม่ ในเวลาที่เขาไขต่อหน้า เธอสังเกตมือว่าบิดไปแค่ไหน พยายามจำไว้อีก เมื่อเป็นโอกาสก็ลองดูใหม่ ในที่สุดก็พบ พบโค้ดที่ถูกต้องแน่นอน มันติดมันดังแก๊ก เรไรจดจำตัวเลขไว้อย่างแม่นยำแล้วก็บิดคืน เพื่อไม่ทำให้เกิดความสงสัย การที่จะล่วงรู้โค้ดของตู้เซฟก็เป็นอันสำเร็จ แต่กว่าจะสำเร็จได้ก็ต้องดูต้องสังเกต ต้องใช้เวลาทดลองแรมเดือน

แต่รู้โค้ดแล้วจะทำอะไรได้ เพราะเขาไม่เคยมอบกุญแจไว้ให้เรไร รู้โค้ดแล้วไม่มีกุญแจก็ไม่สามารถจะไข แต่เรื่องกุญแจนี้ไม่ยาก วางเผลอเพียงครึ่งนาที ก็ทำได้ การอ่านหนังสือมากช่วยให้เรไรรู้วิธีทำ เมื่อถูกเรียกไปทำงานที่หน้าตู้เซฟ เรไรก็เตรียมขี้ผึ้งซ่อนไว้กับตัว ลองฝึกหัดกดพิมพ์กุญแจอื่น จนทำได้คล่องแคล่วรวดเร็ว และคอยหาโอกาสอยู่ทุกขณะ ไม่วางเผลอบ้างก็แล้วไป ความพลั้งเผลอจะต้องมีมาสักวันหนึ่ง และเรไรไม่ต้องคอยนานนักในเรื่องกุญแจ ยิ่งเป็นผู้หญิงก็มักจะชอบวางกุญแจทิ้งไว้ วันหนึ่งภริยาเอกเรียกเรไรไปทำงานหน้าตู้เซฟอย่างที่เคยทำกันมา เขาไขตู้เซฟค้นหาเอกสารอย่างที่เคยค้น เสร็จแล้วก็ปิดเซฟเรียบร้อย วางกุญแจไว้ที่พื้น ลุกไปเปิดตู้อีกตู้หนึ่งเพื่อหาอะไรอย่างหนึ่ง ในชั่วเวลาเพียงครึ่งนาทีเท่านั้น เรไรเอาขี้ผึ้งกดพิมพ์กุญแจตู้เซฟไว้ได้ทั้งดอกนอกดอกใน เป็นอันสำเร็จผลที่พยายามทำมาเป็นเวลาช้านาน

เรไรเอาแบบพิมพ์ขี้ผึ้งนั้นห่ออย่างเรียบร้อย ส่งไปที่บ้านนายสมพร ซึ่งช่วยเป็นสำนักงานกลางติดต่อระหว่างเรไรกับพ่อแม่ บอกเขาว่าเป็นของมีค่าอันหนึ่ง ซึ่งเรไรขอให้เขาช่วยส่งไปให้พ่อ เธอไม่ต้องเขียนจดหมายบอกพ่ออย่างไรเลย เพราะเมื่อพ่อเห็นขี้ผึ้งแบบพิมพ์ก็ย่อมทราบทันทีว่าจะต้องทำอะไร ต่อมาอีก 1 เดือนภายหลัง พ่อของเรไรก็ส่งห่อน้อยๆ บรรจุของมีค่ามาทางบ้านสำนักงานกลาง เรไรก็ได้กุญแจพร้อมที่จะไขตู้เซฟได้ แต่ทั้ง ๆ ที่มีเครื่องมือพร้อมเพรียงอย่างนี้แล้ว เรไรก็ยังไม่ตัดสินใจว่าจะทำอะไร คงรั้งรออยู่เรื่อยๆ มา และยัง “ลวงรัก” อยู่เรื่อยๆ ความลุ่มหลงของนายเงินได้มีมากขึ้นทุกวัน และเมื่อเขารักมากขึ้น เขาก็หึงมากขึ้น ในเวลานี้เรไรไม่มีทางที่จะออกนอกบ้าน เพราะพ่อแม่ของตัวก็ไม่อยู่แล้ว เรไรมีความจำเป็นต้องมีคนของตัวเองในบ้านที่อยู่นั้น เธอได้เด็กผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนใช้ในบ้าน เรไรได้ให้ความอุปถัมภ์ให้เงินทองไว้ตั้งแต่แรกเข้า มาอยู่ เด็กคนนี้รักเรไรมาก และเฉลียวฉลาดใช้คล่อง เรไรใช้ติดต่อกับบ้านที่เป็นสำนักงานกลางนั้น ช่วยให้ได้ข่าวจากบิดามารดาอยู่เสมอ

เรไรได้ตรึกตรองอยู่ช้านาน ว่าจะใช้ประโยชน์อะไรกับความรู้ และลูกกุญแจที่จะไขเซฟได้ เรไรมีความมั่นใจอยู่อย่างหนึ่ง ว่าเธอจะไม่ลักขโมยเงินทองของเขา เธอเห็นว่าการทำเช่นนั้นเป็นความชั่วช้า เธออยากจะทำอะไรที่มีเกียรติกว่าการขโมยเงินทอง อยากจะทำสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง ถ้าหากจะขโมยก็ขอให้เป็นขโมยที่มีเกียรติ เรไรตั้งหลักการไว้ในใจอย่างนี้ ฉะนั้นจึงเป็นการยากที่จะตัดสินใจว่าจะทำอะไร

แต่ในที่สุด เรไรก็ได้ความคิด เนื่องจากในเวลาทำหน้าที่เลขานุการของภริยาเอกนั้น เรไรได้เห็นชัดว่าเอกสารต่างๆ ที่อยู่ในเซฟ ล้วนเป็นเอกสารที่จะใช้ฟ้องร้องลูกหนี้ เป็นเอกสารที่ชาวไร่ชาวนาคนยากจนจะต้องสละกรรมสิทธิ์ที่ไร่ที่นาของตนให้แก่นายเงินรายนี้ หนังสือแต่ละฉบับที่เรไรถูกใช้ให้เขียน ล้วนแต่อ้างเอกสารสัญญาเหล่านั้น และล้วนแต่เป็นคำขู่เข็ญ ว่าถ้าไม่ใช้หนี้เมื่อนั้นเมื่อนี้ ก็จะต้องฟ้องร้องตามสัญญา เรไรจึงมีความคิดขึ้นว่า ถ้าเอกสารเหล่านี้มันหายไปเสียหมด ก็อาจจะช่วยทุกข์ของคนยากจนเหล่านี้ได้ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็จะทำให้การฟ้องร้องยากขึ้น เรไรอาจจะช่วยทุกข์ หรือแบ่งเบาบรรเทาทุกข์ของคนได้หลายสิบคน หลายสิบครอบครัว ซึ่งเรไรเชื่อว่าจะเป็นบุญเป็นกุศล ถ้าหากว่าเรไรจะขโมยก็คงจะเป็นขโมยที่ได้บุญ

ด้วยความคิดเห็นอย่างว่านี้ เรไรจึงตกลงใจว่าจะขโมยเอกสารในตู้เซฟทั้งหมด

ทั้งๆ ที่ตัดสินใจแน่นอนอย่างนี้แล้ว เรไรก็ยังรั้งรอ คิดแล้วคิดอีก แม้จะรู้ว่าเป็นการลักขโมยที่เป็นการช่วยเหลือคนมาก คนที่ไม่เคยขโมยก็ทำยาก มีโอกาสหลายครั้งที่ผัวเมียไม่อยู่ มีเวลาพอที่จะเปิดเซฟเอาเอกสารทั้งหลายได้ เรไรก็ยังรั้งรออยู่เรื่อยมา จนในที่สุดความรู้สึกของเรไรเองเป็น ประหนึ่งมีเสียงมากระซิบว่า ต้องลงมือทำในโอกาสหน้าที่สามารถจะทำได้ ขืนรอช้าไปจะไม่มีโอกาสอีก มีอะไรไม่ทราบมาทำให้เรไรสังหรณ์ใจ ว่าจะมีเหตุการณ์แปลกประหลาดอันหนึ่งเกิดขึ้นแก่ตัวเรไรในไม่ช้า ถ้าขืนรั้งรอไปก็จะทำอะไรไม่ได้เลย เรื่องเหล่านี้ทำให้เรไรตกลงใจแน่นอน ว่าจะขโมยเอกสารให้หมดในโอกาสแรกที่จะทำได้

และโอกาสอันนั้นก็ได้มาถึง เรไรรวบรวมกำลังใจอย่างเต็มที่ ความกลัวนั้นมีเมื่อก่อนจะลงมือทำ พอถึงเวลาทำเข้าจริงก็ไม่กลัว เรไรไขเซฟด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ที่จะไม่ให้มือของตัวหรือนิ้วมือของตัวไปแตะต้องอะไรให้จับรอยนิ้วมือได้ เธอหมุนปุ่มเซฟด้วยความชำนาญที่หัดซ้อมมาหลายครั้งหลายหน เมื่อหมุนติดดังแก๊กแล้วก็ปล่อยไว้ ออกมาดูลู่ทางผู้คน ให้แน่ใจว่าโอกาสปลอดจริง จึงกลับไปไขเซฟ รวบเอกสารได้ทั้งหมดรวมกันเป็นปึกใหญ่ ไม่รู้ว่าอะไรบ้าง ปิดเซฟเรียบร้อย ใช้ผ้ารองมือโดยที่มือของตัวไม่แตะต้องอะไรเลย เอาเอกสารออกมา รีบห่อส่งให้เด็กที่ไว้วางใจนำไป ยังบ้านสำนักงานกลาง ซึ่งไม่ต้องบอกอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เรไรส่งไป บ้านนั้นก็ส่งต่อไปให้พ่อแม่ของเรไร ซึ่งเขารู้ทุกๆ ขั้น ว่าไปทางไหนหรือ อยู่ที่ไหน

งานขโมยเอกสารเป็นการสำเร็จ เรไรคอยอยู่อย่างเดียวว่าผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร บางทีอาจจะอีกหลายวันกว่าจะเขาจะรู้ว่าเอกสารหายไป เพราะถ้าไม่มีธุระที่ต้องเขียนหนังสือทวงหนี้หรือจัดการฟ้องร้องใคร เขาก็ไม่เปิดตู้เซฟ ระหว่างรอเหตุการณ์เช่นนี้ เป็นความทรมานมากพอใช้ ทางคิดของเรไรมีอยู่ทางเดียว คือปฏิเสธ ไม่รู้ไม่เห็น เธอเอากุญแจปลอมโยนลงบ่อน้ำไปแล้ว เธอระมัดระวังเป็นพิเศษในเวลาไขและปิดเซฟ ไม่ให้มือของเธอไปแตะต้อง ถึงแม้จะมีการตรวจสอบลายมืออย่างไร ก็ไม่สามารถจะจับตัวเธอได้

ในเวลากลางคืน เมื่อเศรษฐีนายเงินเข้ามาหาเธอ เธอก็ “ลวงรัก ได้อย่างสนิทเช่นเคย เรไรนึกชมกำลังใจของตัวเอง กำลังที่ฝึกฝนมาช้านาน มันใช้ประโยชน์ได้จริงๆ ในเวลานี้

และก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร รุ่งขึ้นจากวันที่เรไรขโมยเอกสารนั้นเอง เหตุการณ์แปลกประหลาดได้เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่เรไรไม่ได้นึกฝัน เป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะรู้เหตุผลต้นปลายว่าเป็นมาอย่างไร

เด็กลูกจีนคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในร้านขายเครื่องดื่มอยู่ใกล้ๆ บ้านที่เรไรอยู่ และเคยนำขนมเข้ามาขายในบ้านนั้นเสมอ ได้นำจดหมายฉบับหนึ่ง จ่าหน้าซองถึงเรไร ที่หัวซองเขียนว่า “ลับเฉพาะ” พยายามจะมาส่งให้เรไร เคราะห์ร้ายไปพบตัวเศรษฐี กำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน และเด็กนั้นก็เผอิญไปถามหาเรไรกับตัวเศรษฐีเอง ชูจดหมายให้ดูด้วย บอกว่าต้องการจะให้แก่เรไร เศรษฐีบังคับเอาจดหมายฉบับนั้นมาฉีกออกอ่าน ความโกลาหลก็เกิดขึ้นในบ้าน

เป็นจดหมายซึ่งแสดงว่ามาจากผู้ชายคนหนึ่ง มีข้อความสั้นๆ ว่าอย่างนี้

เรไรยอดรัก ของที่เรไรต้องการนั้นเพิ่งหาได้ ได้ส่งมาในซองนี้ พยายามเอาใส่ในอาหารหรือในอะไรให้อ้ายผัวตัวร้ายมันกิน แล้วเราจะได้รับความสุข สวรรค์กำลังคอยเราอยู่ใกล้ๆ

ไม่เซ็นชื่อ ไม่มีข้อความอะไรอีก แต่มีซองเล็กๆ อีกซองหนึ่งในจดหมายนั้น มีวัตถุสีดำๆ นิดหนึ่ง ซึ่งน่าสงสัยว่าเป็นยาพิษ

เศรษฐีสั่งให้คนไปเอาตัวเด็กลูกจีนคนนั้นมาก่อน แล้วก็ซักถาม

“แกได้จดหมายนี้มาจากไหน ?”

“มีคนหนึ่งส่งให้ที่หน้าบ้านนี้”

“เขาบอกแกว่ากระไร ?”

“เขาบอกให้ให้คุณเรไร”

“เขาให้เงินแกหรือเปล่า ?”

“เขาให้บาทหนึ่ง” เด็กตอบแล้วก็ชูธนบัตร 1 บาทให้ดู

“แล้วเขาไปทางไหน ?”

“ไม่รู้ ผมรับหนังสือจากเขา แล้วก็เข้ามาในบ้านนี้”

เศรษฐีคว้ามือเด็กนั้น พาวิ่งออกนอกบ้าน เห็นคนเดินอยู่ทางขวามือก็พาวิ่งไปทางขวามือ พอผ่านคนก็ถามว่าคนนี้ใช่หรือไม่ เด็กบอกว่าไม่ใช่ เขาพาวิ่งต่อไปอีก พบใครก็ถามอีก เด็กบอกว่าไม่ใช่เรื่อยไป ความจริงก็น่าเชื่อว่าไม่ใช่ เพราะคนที่ผ่านมานั้นไม่มีชายหนุ่มเลยสักคนเดียว คนทั้งหลายเห็นเป็นการแปลกประหลาด ในการที่เศรษฐีคนรู้จักทั่วเมืองจูงมือเด็กลูกจีนวิ่งเอะอะไปตามถนน มีคนมารุมถาม เมื่อเห็นท่าว่าจะไม่งดงาม ก็พาเด็กคนนั้นกลับ เขาซักถามอีก ก็ไม่ได้ความอะไรมากไปกว่าที่ว่าเป็นคนหนุ่มๆ คนหนึ่ง เด็กไม่เคยรู้จักหน้าตา เชื่อแน่ว่าไม่ใช่คนแถวถิ่นนี้ เพราะถ้าเป็นคนแถวถิ่นนี้เด็กคงรู้จัก เขาเป็นเด็กขายขนมเข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้ รู้จักคนแถบนี้ตลอดแถว คนที่ให้จดหมายนั้นไม่ใช่คนแถวนี้แน่

ถ้าหากนายเงินผู้นี้จะใจเย็นสักหน่อย เขาอาจจะมีทางดำเนินการที่แนบเนียนกว่านี้ แต่เขาใจเย็นอยู่ไม่ไหว เพราะตั้งแต่เรไรได้แสดงว่ารักเขา เขาก็เป็นคนหึงจัด เขาเรียกตัวเรไรมาซักถามต่อหน้าภริยาเอกของเขา และต่อหน้าคนหลายคนในบ้าน

“จดหมายฉบับนี้เป็นของใคร ?” เขาถามพร้อมกับยื่นจดหมายนั้นให้เรไรดู

เรไรมองตะลึง เป็นเรื่องแปลกประหลาดเหลือเกิน นึกไม่เห็นว่าใครจะเขียนจดหมายอย่างนี้มาถึงตัว

“ไม่ทราบค่ะ” เรไรตอบ

“จำลายมือไม่ได้หรือ ?”

“ดิฉันไม่เคยเห็นลายมืออย่างนี้เลย”

“ไหนบอกว่าไม่เคยมีคู่รัก ไม่เคยรักกับใคร”

“ดิฉันไม่เคยมีคู่รัก ไม่เคยรักกับใครเลยจริงๆ”

“แล้วจดหมายฉบับนี้มันมาได้อย่างไร ?”

“ดิฉันจะไปรู้อย่างไรได้ ใครเขียนมาก็ไม่ทราบ”

“เคราะห์ดีที่ฉันจับได้ ถ้ามิฉะนั้น คืนนี้ฉันก็ตายไปแล้ว”

“ทำไมคะ ?” เรไรถาม

“เขาให้ยาพิษมาด้วย สำหรับวางยาให้ฉันตาย”

“แน่ใจหรือว่าเป็นยาพิษ” ภริยาเอกพูดด้วยน้ำเสียงที่อยากจะแสดงความยุติธรรม

“ลองกันดูก็ได้” นายเงินตอบ

แล้วก็ได้ทดลองกันทันที เอาสุนัขเลวๆ ในบ้านมาตัวหนึ่ง เอาวัตถุสีดำนั้นใส่ขนมก้อนหนึ่งด้วยความระมัดระวัง โยนขนมให้สุนัขกิน มันตายใน 5 นาที ของนั้นเป็นยาพิษแน่ เป็นยาพิษอย่างแรงมากด้วย

“จะว่ายังไง แม่เรไร ?” เศรษฐีสำทับถาม

“ดิฉันก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ดิฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

ความจริงเรไรไม่รู้เรื่องจริงๆ เธอมืดแปดด้าน มองไม่เห็นว่าจดหมายฉบับนี้กับยาพิษมันมาจากไหน มันไม่ได้มาจากพ่อของเธอแน่ เพราะถ้าพ่อเธอส่งมา ก็จะไม่ส่งอย่างวิธีนี้ แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องเขียนจดหมายรักอย่างนี้มา เรไรพิจารณาดูลายมือในจดหมายนั้นหลายครั้งหลายหน เป็นลายมือของคนที่เขียนหนังสือดี ข้อความที่เขียนก็ดีพอใช้

“เธอคิดว่ากระไร เรไร ?” ภริยาเอกถามด้วยน้ำเสียงที่ยังมีความเมตตาปรานีอยู่

“ดิฉันไม่มีทางที่จะคิดอย่างไรเลย ท่านเจ้าขา จะเอาพระมาตั้งให้ดิฉันสาบาน หรือจะเอาตัวไปปฏิญาณในที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งใด ดิฉันเต็มใจสิ้น ดิฉันไม่รู้เห็นเรื่องอะไรเกี่ยวกับจดหมายนี้ แม้แต่จะเดาก็เดาไม่ถูก”

“เธอไม่สงสัยพวกนางเล็ก ๆ ในบ้านนี้บ้างหรือ ?” ภริยาเอกถาม

“สงสัยอะไรคะ ?”

“คือว่าท่านรักเรไรมากกว่าคนอื่น ๆ พวกนางเล็กๆ เหล่านี้อาจจะอิจฉาเรไร ทำเรื่องนี้ขึ้นเพื่อใส่ความเรไรก็ได้”

“ดิฉันไม่สงสัยใครเลยค่ะ เป็นความสัตย์จริง คนในบ้านนี้ไม่มีใครเกลียดดิฉัน ทุกคนเขารักและเห็นใจดิฉัน ไม่มีใครจะกลั่นแกล้งดิฉันอย่างวิธีนี้เลยเป็นอันขาด”

คราวนี้พวกเมียเล็กๆ น้อย ๆ ก็ถูกเรียกตัวมาซักถามทีละคน ทุกคนก็สบถสาบานว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทุกคนยืนยันว่าไม่เคยอิจฉาริษยาเรไร ตรงกันข้าม ทุกคนรักและเห็นใจเรไร ซึ่งอยู่ในฐานะและหัวอกอันเดียวกัน มีคนหนึ่งที่กล้าหาญมากกว่าคนอื่น พูดออกมาตรงๆ ว่า ตั้งแต่เรไรมาอยู่ในบ้านนี้ พวกเขามีความสุขขึ้นมาก เพราะเรไรช่วยแบ่งเบาภาระการขืนใจฝืนใจไปจากพวกเขาได้มาก

“ดิฉันไม่สงสัยพวกดิฉันเลย แม้แต่คนเดียว” เรไรพูดซ้ำอีก

“เธอจะให้ฉันเชื่อหรือ ?” เศรษฐีพูด “ว่าเธอเป็นสาวสวยมาจนกระทั่งอายุ 19 ปี โดยไม่เคยมีคู่รัก”

“ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ดิฉันก็ไม่วิตกอะไร แต่ความจริงดิฉันไม่เคยมีคู่รัก”

“ถ้าไม่มีมูลเลย เรื่องมันจะเป็นเช่นนี้อย่างไรได้ ?”

“ดิฉันก็บอกไม่ได้ว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร ถ้าหากว่าดิฉันมีคู่รัก เขาก็คงไม่โง่พอที่จะเขียนมาอย่างนี้ เพราะถ้าดิฉันสั่งให้เขาหายาพิษมาสำหรับฆ่าท่าน เขาหาได้แล้วส่งแต่ยามาเฉยๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายโง่ๆ อย่างนี้มา”

“สมมติว่าถ้าจดหมายฉบับนี้มันไปถึงมือเธอ พร้อมทั้งยาพิษ โดยที่ไม่ได้ผ่านมือฉัน เธอจะทำอย่างไร ?” เศรษฐีถาม

“ท่านจะมาถามดิฉันในบัดนี้ทำไม ?” เรไรตอบ “มันเป็นความผิดของท่านเองที่เลือดร้อน เอะอะเร็วเกินไป ท่านควรจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจดหมายนั้น แล้วปล่อยให้มันไปถึงมือดิฉัน คอยดูว่าดิฉันจะทำอย่างไร ท่านรู้ตัวอยู่แล้ว ท่านระวังตัวของท่านได้ ถ้าทำเลือดเย็นไว้สักหน่อย ท่านก็จะรู้ความจริง ว่าดิฉันมีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นเรื่องจดหมายฉบับนี้หรือไม่”

“นั่นซี ฉันอยากทราบว่าเธอจะทำอย่างไร ถ้าหากว่าจดหมายนี้มันไปถึงเธอโดยไม่ผ่านมือฉัน หรือโดยที่เธอไม่รู้ว่ามันผ่านมือฉันไป”

“จะมีประโยชน์อะไรที่ดิฉันจะตอบในเวลานี้ เพราะถึงดิฉันจะตอบออกไปด้วยความจริงใจ ท่านก็จะไม่เชื่อ”

“ฉันเป็นคนถามเอง เรไร” ภริยาเอกกล่าว “เธอตอบฉันได้ ฉันจะถือว่าคำตอบของเธอเป็นคำตอบที่จริงใจ ฉันอยากรู้เหมือนกัน ว่าถ้าจดหมายนี้พร้อมทั้งยาพิษมันไปถึงเธอ โดยไม่ผ่านมือท่าน หรือโดยที่เธอไม่รู้ว่ามันผ่านมือท่าน เธอจะทำอย่างไร ?”

“ดิฉันก็จะนึกว่าท่านผู้ชายลองใจดิฉัน เพราะมันไม่มีหนทางเลยที่ใครอื่นที่ไหนจะส่งมา ดิฉันจะต้องปักใจเชื่อแน่วแน่ว่าท่านผู้ชายลองใจดิฉัน”

“แล้วอย่างไร ?” ภริยาเอกถาม

“แล้วดิฉันก็จะเอาจดหมายนั้นให้ท่านดู คงจะขอให้ท่านทดลองยาพิษ สุนัขตัวนั้นคงจะต้องตายไป เพราะมันถึงที่ตายแน่ แต่ท่านผู้ชายนั้นไม่เป็นอะไรแน่”

“เธออาจจะเอายาพิษนั้นวางฉัน หรือเก็บนิ่งเสียได้ไหม ?” เศรษฐีถาม

“เมื่อดิฉันปักใจว่าท่านลองใจดิฉัน ดิฉันก็วางยาท่านไม่ได้ จะเก็บนิ่งไว้ก็ไม่ได้ เพราะดิฉันต้องเชื่อว่าท่านรู้เรื่องอยู่แล้ว ดิฉันต้องบอกเรื่องนี้แก่ท่าน ไม่ใช่ด้วยความรักความซื่อสัตย์อะไรหรอกค่ะ แต่มันจำเป็นต้องบอก”

คำสุดท้ายของเรไรทำให้นายเงินต้องนิ่งอึ้ง เพราะจะคิดไปในทางใดก็ไม่สามารถจะปรักปรำเอาผิดแก่เรไรได้ ความคิดได้เกิดขึ้นแก่นายเงินขณะหนึ่งว่า จะเอาตัวเรไรไปให้ตำรวจสอบสวน แต่คิดไปแล้วก็ไม่เห็นประโยชน์อะไร

เขาบอกให้เรไรกลับไปอยู่ห้องของเรไร บอกให้คนอื่นๆ ไปให้พ้น แล้วเขากับภริยาเอกก็หารือกันสองผัวเมีย

“เธอคิดว่าอย่างไร ?” สามีถาม

“คิดไม่ออก” ภริยาตอบ “มืดแปดด้าน มองไม่เห็นว่าเรื่องราวมันจะเป็นอย่างไร”

“จากถ้อยคำของเด็กขายของ มันบอกว่ามันไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักคนที่นำจดหมายมาให้”

“ลองเรียกเด็กมาถามอีกที ดีไหม ?” ภริยาเอกออกความเห็น

สามีเห็นด้วย ได้ให้คนไปตามลูกจีนคนนั้นมาอีก คราวนี้เตี่ยของเด็กนั้นมาด้วย เพราะเตี่ยของเด็กนั้นก็อยู่ในจำพวกที่อยู่ใต้อิทธิพลของเศรษฐีนี้ด้วยเหมือนกัน

ทั้งเศรษฐีและภริยา รวมทั้งเตี่ยของเด็ก ได้ช่วยกันซักถามเด็ก ทั้งขู่ทั้งปลอบก็ไม่ได้ความอะไรมากขึ้นไปอีก ความรู้งอกออกไปนิดหนึ่ง คือว่าเตี่ยของเด็กนั้นได้เห็นผู้ชายคนนั้นด้วย เขาเป็นคนแปลกหน้าจริงๆ ไม่ใช่คนเมืองนี้แน่ ในฐานที่เตี่ยของเด็กคนนั้นเป็นคนค้าขายในเมืองนี้มาช้านาน เริ่มตั้งแต่เร่ขาย จนกระทั่งมีร้านของตนเอง อาจจะกล่าวได้ว่ารู้จักคนทั่วเมือง แต่ไม่รู้จักคนคนนั้น และไม่เคยเห็นจริงๆ

เขาสั่งจีนสองคนพ่อลูกกลับบ้าน แล้วสองผัวเมียก็ปรึกษากันใหม่

“อาจจะเป็นได้หรือไม่” สามีกล่าว “ว่าพ่อแม่ของนางเรไรส่งผู้ชายคนนั้นมา”

“จะส่งมาทำไม ?” ภริยาย้อนถาม

“ก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน”

“พ่อแม่แกก็ห่วงลูกแก การทำอย่างนั้นเป็นอันตรายแก่ลูกของแก แกจะทำเพื่อประโยชน์อะไร”

ลงท้ายก็เห็นว่าไม่ได้เป็นไปทางนั้น เรื่องทั้งหมดคงเป็นเรื่องลึกลับ แปลไม่ออก บอกไม่ถูก

“เธอจะเชื่อฉันสักอย่างหนึ่งไหม ?” ภริยาถาม

“เธอมีความคิดอย่างไร ?”

“คือว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องลึกลับ” ภริยากล่าว “และเป็นเรื่องลึกลับที่น่าหวาดเสียวสำหรับชีวิตของเธอ ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตามที แต่ก็รวมความลงได้ว่า ในเวลานี้มีคนคนหนึ่งที่สามารถจะหายาพิษอย่างแรงร้ายส่งเข้ามาในบ้านเราได้ คนคนนั้นจะต้องมีความผูกพันทางหนึ่งทางใดอยู่กับเรไร มันอาจจะรักเรไรโดยเรไรไม่รู้ตัวก็ได้ แต่รวมความว่ามันกำลังคิดจะฆ่าเธอ เราจะต้องหาตัวคนนี้ให้ได้”

“ฉันก็ต้องการตัวคนคนนี้ แต่เราจะทำอย่างไรจึงจะได้ตัว”

“เราก็ต้องปล่อยตัวเรไรออกไป เมื่อเรไรออกไป ถึงอย่างไรคนคนนี้ก็คงต้องมาติดต่อ เราส่งคนของเราติดตามไปทุกหนทุกแห่ง ถึงอย่างไรก็ต้องได้ตัว”

“เราหาวิธีอื่นที่จะไม่ให้เรไรต้องออกจากบ้านไม่ได้หรือ ?” สามีถามด้วยความอาลัย

“เรื่องเป็นอย่างนี้” ภริยาอธิบาย “ฉันเชื่อว่าเรไรไม่รู้เห็นด้วยกับการส่งยาพิษเข้ามาครั้งนี้ แต่ถ้ายาพิษมันเข้ามาได้อีกสักครั้งหนึ่ง และมันถึงมือเรไรอย่างเงียบเชียบ เรไรอาจจะลอง ลองเธอ หรือลองฉันบ้างก็ได้ รวมความว่าการที่เรไรอยู่ที่นี่ โดยที่เราไม่มีทางรู้ตัวว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร จะเป็นอันตรายมาก อันตรายทั้งเธอและฉัน ถ้าเราปล่อยเรไรออกไป ถึงอย่างไรผู้ชายคนนั้นก็ต้องติดต่อ เรามีทางหาตัวได้แน่”

“แปลว่าเรไรจะต้องไปจากฉัน” สามีพูดด้วยความเสียดาย

“ก็สุดแต่เธอจะเลือกเอา จะเลือกเอาเรไรไว้บำรุงความสุขของเธอแล้วก็ตายเร็วๆ โดยไม่รู้ว่าใครทำร้าย หรือว่าจะปล่อยตัวเรไรออกไป หาตัวคนร้ายให้ได้ แล้วเธอก็อายุยืนต่อไป”

“แล้วเธอจะปล่อยเรไรไปโดยวิธีใด ไล่เขาออกจากบ้านอย่างนั้นหรือ ถ้าเราเชื่อว่าเขาไม่มีความผิด เราจะไล่เขาออกไปอย่างไร ?”

“ไม่จำเป็นต้องไล่เขาออก ถ้าเธอยอมให้ปล่อยเรไรไปได้ ก็มอบเรื่องนี้ให้ฉัน ฉันจะจัดการให้เขาไปโดยบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น”

“ฉันว่าเรไรจะไม่ยอมไป”

“ทำไม ?”

“เพราะเวลานี้เรไรรักฉันมาก”

“เธอเชื่ออย่างนั้นหรือ ?”

“ฉันเชื่อทีเดียว เวลานี้เรไรหลงฉันด้วยซ้ำ”

“ถ้าเธอเชื่อแน่อย่างนั้น ก็ยิ่งเป็นการง่ายขึ้น”

“ง่ายอย่างไร ?” สามีถาม

“คือฉันจะพูดกับเรไร ว่าให้เขาเห็นแก่ชีวิตของเธอ ให้เขาออกเดินทางไปเป็นทีว่าไปเยี่ยมพ่อแม่ของเขาชั่วคราว ในระหว่างเดินทาง บุรุษลึกลับผู้นั้นจะต้องมาติดต่อด้วยอย่างแน่ๆ อย่างน้อยก็จะต้องตามไป เราจะส่งคนของเราไปกับเรไรโดยไม่ให้ใครรู้ เพื่อที่จะเอาตัวคนคนนั้นให้ได้”

“เราจะต้องบอกให้เรไรรู้ด้วยหรือ ว่าเราจะส่งคนของเราติดตามไป ?”

“ก็ตามใจเธอ จะบอกหรือไม่บอกก็ตามใจ ถ้าเธอไม่ต้องการให้บอกอย่างนั้นก็ต้องหาวิธีพูดอีกอย่างหนึ่ง”

“เธอจะพูดว่ากระไร ?”

“ฉันก็จะพูดว่า ขอให้เรไรเดินทางไปโดยลำพัง ถ้ามีผู้ชายคนใดมาติดต่อ ก็ขอให้ล่อเอาตัวลงมาทางเมืองใต้ ให้มาเข้าเขตของเรา”

“ตกลง” สามีกล่าว “แต่เราต้องส่งคนของเราติดตามไปสัก 2 คน โดยไม่ให้เรไรรู้”

“แปลว่าเธอเองก็ไม่ไว้ใจเรไรอย่างแท้จริงใช่ไหม ?”

“ฉันเป็นคนระวัง ฉันต้องคิดอะไรให้รอบคอบเสมอ” สามีกล่าว

คืนนั้น เศรษฐีไม่ได้เข้าห้องเรไรทันทีเช่นเคย เนื่องจากเมื่อตอนที่ชำระความหรือไต่สวนกันนั้น เศรษฐีได้พูดอะไรไม่เป็นที่พอใจ และเรไรก็ได้โต้เถียงอย่างไม่กลัว เศรษฐีรู้สึกว่า ถ้าเข้าห้องเรไรอย่างเช่นเคยในคืนนี้ ก็คงประสบเหตุการณ์ที่ไม่ผาสุก จึงตกลงงดเว้น แต่ในคืนนั้นเอง ภริยาเอกของเขาได้เรียกเรไรมาพูดกันอีก

“พ่อแม่ของเธออยู่ที่ไหนในเวลานี้ ?” ภริยาเอกถาม

“อยู่กรุงเทพ ฯ ค่ะ” เรไรตอบ ความจริงเรไรรู้ว่าพ่อแม่ของตนในเวลานี้ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ แต่แกล้งตอบให้ผิดไป

“เธอพอจะรู้บ้างหรือยัง ว่าเหตุการณ์เมื่อกลางวันนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

“ดิฉันกราบเรียนด้วยความสัตย์จริง” เรไรตอบ “จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ ดิฉันก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ แม้แต่จะเดาก็เดาไม่ถูก”

“ฉันถามเธอจริงๆ เถอะ เธอรักท่านไหม ?”

“แต่ก่อนดิฉันไม่รัก แต่มาภายหลังได้รับความเมตตากรุณามากๆ เข้า ดิฉันก็อดรักท่านไม่ได้”

“ท่านกับฉันได้พูดกันอยู่ช้านาน เราหมดความสงสัยในตัวเธอ เราเชื่อใจว่าเธอรักท่าน อย่างน้อยก็คงรู้สึกบุญคุณของท่าน เธอคงไม่มีเจตนาที่จะฆ่าท่าน”

“ดิฉันปฏิญาณได้ว่าเจตนาเช่นนั้นไม่มีเลย”

“เราพยายามคิดค้นว่า เรื่องลึกลับนี้มันมาอย่างไร ในที่สุดก็เห็นว่าทางที่จะเป็นไปได้นั้น มีอยู่ทางเดียว”

“ทางไหนคะ ?”

“คืออาจจะมีผู้ชายคนหนึ่งรักเธอ โดยที่เธอไม่รู้ตัว เขาทำเรื่องนี้เพื่อให้เธอถูกไล่ออกจากบ้าน ถ้าไม่สำเร็จในทางนั้น มันก็ต้องหาทางเอาชีวิตท่าน ความสามารถของมันที่หายาพิษอย่างร้ายแรงได้ ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก มันอาจจะมีโอกาสวางยาท่านได้สักวันหนึ่ง ถ้าเธอรักท่านจริง ฉันก็อยากจะร้องขอให้เธอช่วยท่าน”

“ดิฉันจะทำทุกอย่างเพื่อท่าน” เรไรตอบ “เพราะท่านเป็นผู้ที่ดิฉันรักและระลึกถึงบุญคุณ แต่จะทำวิธีใดคะ ?”

“เราปรึกษากันว่า ทางดีที่สุด คือเธอทำเป็นเดินทางไปเยี่ยมพ่อของเธอ เราเชื่อว่าคนคนนี้ยังไม่ไปไหน คงยังอยู่ในเมืองนี้ และติดตามคอยดูเธอ เพราะถ้าแกหวังว่าเธอจะถูกไล่ออกจากบ้าน แกก็จะต้องคอยติดตาม ถ้าเธอขึ้นรถไฟในวันพรุ่งนี้ แกก็คงขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน ถึงอย่างไรแกคงต้องพยายามติดต่อกับเธอ”

“แล้วจะให้ดิฉันทำอย่างไรคะ ?”

“ต่อไปนี้ เราก็ต้องมอบความไว้วางใจให้แก่เธอ เพราะเธอเป็นคนฉลาด จุดประสงค์มีอยู่อย่างเดียว คือเราต้องการให้เธอล่อเอาคนคนนี้ลงมาทางเมืองเราให้ได้อีก”

“แล้วท่านจะส่งคนของท่านติดตามดิฉันไปด้วยไหมคะ ?” เรไรถาม

“เราคิดกันว่าไม่จำเป็น” ภริยาเอกตอบ “คนของเราที่จะไว้วางใจได้จริงๆ ก็ไม่ใช่คนที่รู้ลู่ทางเมืองเหนือ ส่งติดตามไปก็ไม่มีประโยชน์ จะไปพลาดพลั้งเสียท่าเขาเปล่าๆ ฉะนั้นเราก็ตกลงไม่ส่งใครติดตามเธอไป เราไว้วางใจเธอคนเดียว ปล่อยให้เธอไปคนเดียว เธอจะทำอย่างที่ฉันว่านี้ได้ใหม ?”

“ไม่ใช่เป็นการไล่ดิฉันออกจากบ้านนะคะ” เรไรพูด

“ฉันรับรองว่าไม่เป็นเช่นนั้น เธออยากจะกลับมาเมื่อไรก็กลับมาได้ ประตูบ้านของเราจะเปิดรับเธอเสมอ”

ความจริงเรไรพอใจเป็นอันมาก ที่ได้มีโอกาสออกจากบ้านนี้ เรื่องจดหมายและยาพิษนั้น จะมาอย่างไรก็ตามที มันเป็นเรื่องช่วยเธอให้สามารถออกจากบ้านได้โดยสะดวก แต่เพื่อป้องกันความสงสัยอีกชั้นหนึ่ง เรไรก็พยายามขอความมั่นใจ ว่าทั้งเศรษฐีและภริยาหมดความสงสัยในตัวเธอ และเธอสามารถจะกลับเข้ามาในบ้านนี้ใหม่ ตกลงกันว่าเธอจะออกเดินทางโดยรถไฟพรุ่งนี้เช้า เพื่อไม่แสดงความพิรุธมากเกินไป เธอจึงขออนุญาตภริยาเอกกราบลาเศรษฐีสามี ภริยาเอกบอกให้เรไรกลับไปห้องของตัว เพื่อเตรียมข้าวของสำหรับเดินทาง พอดึกหน่อยเศรษฐีก็เข้ามา เรไรหักใจเสียสละเป็นครั้งสุดท้าย เธอพยายามทุ่มเทศิลปะแห่งความ ‘ลวงรัก’ ให้เขาแน่ใจว่าเธอรักเขาจริงๆ และจากเขาไปด้วยความรักความอาลัย ขอคำมั่นสัญญาว่าไม่ใช่เป็นการไล่เธอออกจากบ้าน ขอให้เธอได้กลับเข้ามาใหม่เมื่อได้ตัวคนส่งจดหมายและยาพิษ เรไรสามารถบีบน้ำตาออกมาให้เขาแลเห็น ทำทุกๆ อย่างเพื่อให้เขามั่นใจว่าเรไรจะกลับมาอีก

คืนนั้นเขาไม่ได้อยู่กับเรไรตลอดคืน เห็นจะเป็นเพราะความระวังตัว หรือเป็นเพราะภริยาเอกสั่งมาว่าไม่ให้อยู่ตลอดคืน เพระอาจจะมีอันตรายได้ เขาออกไปจากห้องเรไรในกลางดึก และเรไรก็ไม่ได้หลับตลอดคืน เพราะไม่สามารถจะหลับลงได้ เหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน ทำให้เรไรต้องนึกถึงโดยไม่หลับนอน

พอรุ่งเช้า เรไรก็ขึ้นรถไฟตั้งแต่ย่ำรุ่ง ไม่มีใครมาส่ง นอกจากเด็กผู้ชายที่เรไรเคยใช้และไว้วางใจ รถไฟได้นำตัวเรไรขึ้นสู่ทิศเหนือ มุ่งมากรุงเทพมหานคร

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ