บทที่ 4 บุรุษลึกลับ

เรไรเป็นคนว่านอนสอนง่าย อยู่ในบ้านของนายบุญช่วงที่บางกะปิ เธอเก็บตัวอยู่ในบ้านอยู่ในห้องอย่างแท้จริง เท่ากับบ่มผิวให้เปล่งปลั่งเพิ่มความสวยขึ้นอีก แต่ทั้ง ๆ ที่เก็บตัวอยู่ในบ้านในห้องอย่างนั้น เธอก็ทราบเรื่องความเป็นไปทางใต้อย่างละเอียด เพราะเรื่องเอกสารหายรายนี้ เป็นเรื่องโด่งดังแพร่หลาย ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับได้เขียนข่าวความเป็นไปอย่างละเอียดมาลงหนังสือพิมพ์ เป็นข้อความถี่ถ้วนมาก เรไรอ่านข่าวเหล่านี้ด้วยความปลื้มใจ แม้จะไม่มีใครรู้ว่าเป็นการกระทำของเรไรก็ช่างเถิด เรไรไม่ต้องการความรู้สึกบุญคุณหรือความขอบใจของใคร เพียงแต่ว่าการกระทำของเธอเป็นผลสำเร็จแก่ชาวนาชาวไร่ 34 คน 34 ครอบครัว ซึ่งอาจจะประกอบเป็นคนตั้งร้อยหรือกว่าร้อยคน ก็เป็นความปลาบปลื้มของเรไร และเป็นรางวัลอันสูงสุดอยู่แล้ว

แต่อย่างไรก็ดี ความลำบากเกิดขึ้นแก่เรไรอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือเมื่อข่าวเรื่องเอกสารหาย ได้แพร่กระพือเข้ามาจนถึงหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ในกรุงเทพ ฯ ข่าวเรื่องบุรุษลึกลับส่งยาพิษเข้าไปในบ้านนั้น ก็แพร่ตามมาถึงกรุงเทพ ฯ ด้วย และชื่อของเรไรก็ปรากฏในหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ซึ่งลงข่าวว่า เวลานี้เรไรอยู่ในกรุงเทพ ฯ เป็นเคราะห์ดีนักหนาที่เรไรไม่เคยถ่ายรูปตั้งแต่เกิดมา เมื่ออยู่บ้านไร่โรงนา ไม่มีทางถ่าย เข้ามาเป็นเมียเล็กเมียน้อยของนายเงินก็ไม่มีโอกาสถ่าย เป็นอันว่าไม่มีใครจะมีรูปถ่ายของเรไร หนังสือพิมพ์กล่าวได้แต่เพียงว่าเป็นสตรีสวยมาก มีความงามอยู่ในชั้นสูง ดวงหน้ารูปไข่ ผิวขาว ตาคม สายตาแข็งกร้าวมากกว่าอ่อนโยน ทั้งๆ ที่ถูกเป็นเหยื่อของเศรษฐีนายเงินมาหนึ่งปี ระดับความสวยของเรไรก็มิได้ลดน้อยลงไป ความปลั่งเปล่งเต่งตูมยังมีอยู่ทั่วตัว เป็นการพรรณนาตามคำบอกเล่าของคนที่รู้จักหรือเคยเห็นเรไร ซึ่งไม่ได้ให้ความแจ่มแจ้งชัดเจนเหมือนรูปถ่าย เพราะสตรีลักษณะอย่างนี้มีอยู่ถมไป แต่อย่างไรก็ดี เมื่อรู้กันแพร่หลายว่าเรไรอยู่ในกรุงเทพ ฯ การที่เรไรจะอยู่ในกรุงเทพฯ ต่อไป ก็ดูไม่ค่อยปลอดภัย

ส่วนทางนายบุญช่วง เจ้าของบ้านที่เรไรอาศัยอยู่ ได้ใช้ความสังเกตรอบคอบอยู่ตลอดกาล และสังเกตเห็นด้วยความพอใจว่า จนกระทั่งถึงบัดนี้ คนภายนอกไม่ทราบว่าเรไรอยู่บ้านของเขา และเรื่องที่จะมีใครติดตามหาตัวเรไรในกรุงเทพ ฯ ก็ไม่ปรากฏ เขาอาจจะละทิ้งความพยายามในการติดตามหาตัวแล้วก็ได้ แต่ถ้าเรไรออกไปเดินเกะกะในกรุงเทพฯ ก็อาจมีทางที่คนจะรู้ตัวได้เหมือนกัน เจ้าของบ้านจะกักขังเรไรไว้ตลอดกาลก็ทำไม่ได้ เรไรเองก็อยากไปหาพ่อแม่ของเรไร ซึ่งเจ้าของบ้านก็เห็นว่า ถึงเวลาที่เรไรจะไปได้ เขาจึงได้จัดการให้เรไรเดินทางขึ้นไปเมืองเหนือโดยรถไฟ ซึ่งคราวนี้เรไรเดินทางชั้นที่สอง และแต่งกายอย่างสุภาพตามปรกติ ไม่แต่งเครื่องสวยงามเหมือนเมื่อมาจากเมืองใต้ ไม่ทาปากแต่งหน้า พยายามรักษาความสงบเสงี่ยมมากที่สุด

การเดินทางของเธอเป็นไปโดยเรียบร้อย ไม่มีใครมาแสดงท่าทีผิดปรกติ บุรุษลึกลับผู้นั้นก็ไม่มาปรากฏตัว เธอเดินทางอย่างสงบเงียบถึงปลายทางโดยสวัสดิภาพ ก่อนออกเดินทาง เรไรได้มีจดหมายบอกพ่อแม่ของตัว ส่งไปยังตำบลที่อยู่ที่เรไรทราบอยู่แล้ว ฉะนั้น เมื่อมาถึงสถานีปลายทาง ก็พบพ่อแม่คอยอยู่ที่สถานี ความปลาบปลื้มที่ได้พบพ่อแม่ ทำให้เรไรต้องหลั่งน้ำตาอีกครั้งหนึ่ง แต่เป็นน้ำตาแห่งความผาสุก แม่ของเรไรร้องไห้มากกว่าเรไร ส่วนพ่อก็อดน้ำตาคลอไม่ได้

ทั้งพ่อและแม่ของเรไร แต่งกายเรียบร้อยอย่างสมัยใหม่ ซึ่งเป็นความพอใจอันหนึ่งของเรไร ที่แลเห็นว่าฐานะความเป็นอยู่ของพ่อแม่คงจะสบายดีขึ้น เขาพูดกันสองสามคำถึงการเดินทาง แล้วพ่อแม่ก็พาเรไรเดินออกจากสถานี

“พ่อแม่อยู่ไกลสถานีมากไหมคะ ?” เรไรถาม

“ก็ไม่ไกลมาก แต่ต้องขึ้นรถไป” พ่อตอบ

“รถอะไรคะ ?”

พ่อชี้มือไปที่รถจี๊ปคันหนึ่งซึ่งจอดคอยอยู่ เรไรประหลาดใจว่าพ่อไปเอารถจี้ปมาจากไหน อันที่จริงดูมันเก่าเต็มที่ แต่ก็เหมาะสำหรับภูมิประเทศอย่างนี้ ก่อนที่จะถามพ่อแม่ถึงเรื่องรถจี๊ป ก็เดินไปถึงรถ

“สวัสดีครับ” คนขับรถจี๊ปร้องทักเรไร

เรไรเหลียวไปดูเขา และตกใจจนต้องก้าวถอยหลังมาหนึ่งก้าว ความตกใจทำให้เรไรไม่นึกถึงการตอบสวัสดีที่เขาร้องทัก

คนขับรถจี๊ปนั้น คือบุรุษลึกลับที่เรไรไม่ได้เห็นเขามากว่า 15 วัน

“คุณสุธีมาคอยลูกอยู่หลายวันแล้ว” มารดาพูด

เรไรไม่ตอบว่ากระไร เธอเพิ่งรู้ว่าเขาชื่อสุธี

พ่อนั่งข้างหน้าคู่กับนายสุธี บุรุษลึกลับ ส่วนแม่กับเรไรนั่งไปข้างหลัง ตลอดทางที่ไปเรไรไม่พูดอะไรเลย พ่อแม่ก็นั่งเงียบไปตลอดทางด้วย

ที่นั่นเป็นสถานีเล็ก ๆ เพราะเป็นตำบลน้อยๆ ไม่ใช่ที่ใกล้เมือง จากสถานีไปมีบ้านเรือนอยู่ห่างๆ กัน ไม่ใช่บ้านรุงรังยากจน แต่เป็นบ้านที่ดีพอสมควร แสดงว่าราษฎรในตำบลนี้มีความเป็นอยู่ดีพอใช้ ดีกว่าบ้านไร่บ้านนาในแถวถิ่นที่เรไรเกิดและอยู่มาจนอายุ 19 ปี เห็นจะเป็นเพราะทางนี้ไม่มีเศรษฐีนายเงินคอยสูบเลือดราษฎรเหมือนทางโน้น ถนนไม่ได้ลาดยาง แต่ก็เป็นถนนลูกรังอยู่ในสภาพดีพอใช้ ได้ความว่าเป็นถนนเชื่อมต่อทางคมนาคมระหว่างเมืองใหญ่สองเมือง ซึ่งสถานีนี้อยู่กลาง แปลว่าพ่อแม่ของเรไรมาเลือกความเป็นอยู่ในระหว่างเมืองใหญ่ทั้งสอง ไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่จริงๆ สำหรับความคิดเห็นของเรไร ก็เห็นว่าดีเหมือนกัน

รถเลี้ยวจากถนนใหญ่ เข้าในบริเวณไร่แห่งหนึ่ง มีเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ มีเรือนเล็ก ซึ่งทำด้วยสัมภาระที่ไม่ถาวร แต่ทำเรียบร้อยดี แสดงว่าผู้ทำเป็นช่าง รู้จักใช้สัมภาระราคาถูกให้เป็นประโยชน์ เสียอย่างเดียวแต่มันจะไม่ถาวรไปนาน แต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นที่อยู่ชั่วคราว เมื่อก่อร่างสร้างตัวได้ก็จะทำใหม่

รถหยุดที่หน้าเรือนน้อยๆ เรไรไม่ถามอะไร เพราะไม่อยากจะพูดอะไรต่อหน้าบุรุษลึกลับ หรือนายสุธีผู้นี้ อยากจะดูไปให้เห็นเอง เขาอยู่ที่นี่หรืออยู่ที่ไหน เรือนน้อยๆ นี้เป็นของเขา หรือเป็นของพ่อแม่เรไร เธอนึกว่ารอดูไปอีกประเดี๋ยวก็คงรู้

นายสุธีหรือบุรุษลึกลับ ช่วยยกหีบของเรไรลงจากรถ แล้วก็บอกลา พ่อแม่ของเรไรบอกขอบใจเขา เรไรไม่ได้พูดว่ากระไร เขาขับรถจี๊ปกลับออกไป เลี้ยวทางซ้าย แล้วก็เลี้ยวเข้าในไร่ซึ่งอยู่ติดกับที่อยู่ของพ่อแม่เรไรนั่นเอง

พ่อแม่พาเรไรเข้าไปในห้องหนึ่ง ซึ่งบอกว่าจะเป็นห้องอยู่ของเรไรโดยเฉพาะ เมื่อได้เห็นห้องที่อยู่ เรไรก็ประหลาดใจยิ่งขึ้น เพราะถ้าลืมนึกถึงว่าเรือนนั้นสร้างขึ้นด้วยสัมภาระที่ไม่ถาวรแล้ว ก็เป็นเรือนสมัยใหม่ แบบแปลนอย่างใหม่ จัดห้องหับน่าอยู่ เรไรเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย รับประทานอาหารพร้อมกับพ่อแม่ พูดกันบ้างเล็กน้อยในระหว่างรับประทานอาหาร เสร็จจากการรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว จึงได้เริ่มการสนทนาอย่างแท้จริง

“ลูกไม่ได้ทำอะไรมากเกินไปหรือลูก ?” พ่อถาม

“หมายถึงเรื่องอะไรพ่อ ?”

“เรื่องที่มีข่าวใหญ่โตในหนังสือพิมพ์น่ะ”

“พ่อมีหนังสือพิมพ์อ่านด้วยหรือ ?”

“คุณสุธีนำมาเล่าให้พ่อแม่ฟังอย่างละเอียด” มารดากล่าว

“พ่อแม่เลยเป็นทุกข์ว่าลูกจะทำอะไรมากเกินไป” บิดาพูด

“แต่เป็นผลดีแก่พวกเราชาวไร่ชาวนามาก ใช่ไหมพ่อ” เรไรกล่าว

“แต่สำหรับตัวลูก มันจะเกิดผลร้ายอย่างไรต่อไป”

“ลูกคิดว่าลูกรู้จักผลร้ายมาหมดแล้ว ถ้าหากจะมีเรื่องร้ายอันใดเกิดขึ้นแก่ลูกอีก ก็คงไม่ร้ายเท่าความทุกข์ทรมานที่ลูกได้รับในตอนที่ต้องไปอยู่เป็นเมียเขา ลูกทนรับความทุกข์ทรมานอันนั้น เพื่อบรรเทาความทุกข์ร้อนของพ่อแม่ และบัดนี้ลูกก็หลุดพ้นออกมาได้ คงไม่มีผลร้ายอะไรยิ่งไปกว่าในกาล ที่ล่วงแล้วมา”

“พ่อหมายความว่าเขาต้องสงสัยลูกเต็มที่ใช่ไหม ?”

“ก็คงเป็นเช่นนั้น พ่อ”

“แล้วเขาจะส่งคนตามมาทำร้ายลูกอย่างไรได้บ้าง ?”

“นั่นก็เป็นเรื่องที่เราต้องระวัง”

“เขาเป็นเสือแท้” มารดาพูด

“มันอาจจะมากัดกินเราได้ แม้ว่าเราอยู่ไกลมัน”

“ก็ยังดีแม่” เรไรตอบ “อยู่ในระยะที่เสือจะมากัดกินได้ ก็ยังดีกว่าอยู่ในกรงเสือเอง”

พ่อแม่ซักถามถึงการเดินทางจากเมืองใต้ และการพักอยู่ในกรุงเทพ ฯ เรไรได้เล่าให้ฟังโดยละเอียด ตอบคำถามทุกอย่างจนเป็นที่พอใจของพ่อแม่ และจนกระทั่งเรไรเห็นว่า ถึงเวลาที่ตนจะถามพ่อแม่ในเรื่องที่เรไรอยากรู้บ้าง

“พ่อแม่มาอยู่ที่นี่ทันทีหรือคะ ?” เรไรเริ่มถาม

“เปล่า เร่ร่อนมาหลายแห่ง ในที่สุดก็มารับจ้างเขาถางไร่ที่นี่”

“พ่อแม่ยังต้องมาหนักแรงรับจ้างเขาถางไร่อีกหรือ ลูกหาเงินทองมาให้ นึกว่าจะให้พ่อแม่อยู่สบาย”

“ก็ไม่ใช่งานหนักอะไร งานเบากว่าที่เคยทำมาในเมืองใต้เสียด้วยซ้ำ” พ่อตอบ

“เป็นไร่ของใคร ?”

“ของคุณสุธี ลูกรู้จักเขาดีแล้วไม่ใช่หรือ ?”

“ยังไม่รู้จักดีหรอกค่ะ พบกันน้อยเต็มที”

“เขาก็บอกว่าไม่ใช่ไร่ของเขาเอง เป็นของพ่อเขา เขามาดูแลการถากถางเพาะปลูกแทนพ่อเขา เขาบอกว่าเมื่อเป็นผลเป็นประโยชน์ขึ้นมา ก็คงจะตกเป็นของพวกน้องๆ เขาว่ามีน้องหลายคน เขาไม่ต้องการที่นี่ เขาจะให้เป็นของพวกน้องๆ หมด แล้วส่วนตัวเขาจะไปหาที่อื่นใหม่”

“แล้วนี่พ่อแม่อาศัยอยู่ในที่ของเขาหรือคะ ?”

“เปล่า ที่ที่เราอยู่นี้ เป็นของเราเอง”

“ซื้อเขาหรือคะ ?”

“ไม่ได้ซื้อ คือในเวลาที่พ่อแม่รับจ้างเขาถางไรนั้น พ่อแม่ยังมีเงินใช้ จึงบอกเขาว่า การรับจ้างถางไร่นั้น พ่อแม่จะไม่รับค่าจ้าง ขอแต่เพียงว่า เมื่อการถากถางเสร็จ ก็ขอแบ่งให้พ่อแมได้มีที่อยู่ที่ทำกินพอสมควร เพราะเรามาจากเมืองไกล เขาก็ตกลง และเขาแบ่งที่นี้ให้เป็นของเรา”

“พอกันไหมล่ะคะ กับแรงงานที่พ่อแม่ลงไป”

“มากกว่าค่าจ้างเสียด้วยซ้ำ” มารดาตอบ “ลูกก็แลเห็นว่าที่เท่านี้ เราสามารถจะเลี้ยงชีพได้ แล้วเรือนที่เราอยู่นี้ เขาก็ปลูกให้ด้วยทุนรอนและแรงงานของเขาเอง แต่เราก็มีความผูกพันอยู่อย่างหนึ่ง”

“ผูกพันอะไรอีกล่ะคะ ?” เรไรถามด้วยน้ำเสียงที่เบื่อหน่ายความผูกพันเต็มที

“ไม่ได้ผูกพันเป็นหนี้เป็นสินอะไรเขาหรอก” บิดาตอบ “ความผูกพันมีอยู่แต่เพียงว่า ถ้าเวลาเขาไม่อยู่ เพราะโดยมากเขาไม่อยู่ พ่อต้องช่วยดูแลไร่ของเขา เพียงแต่ช่วยดูแลให้คนงานทำงานให้เรียบร้อยเท่านั้น ไม่เป็นความลำบากหนักแรงอะไร”

“เขาให้ค่าจ้างอะไรพ่ออีกหรือเปล่าคะ ในเรื่องดูแล ?”

“เปล่า เขาจะให้แต่พ่อไม่รับ”

“ดีแล้วค่ะ หนูไม่อยากให้พ่อแม่ต้องเป็นลูกจ้างใครอีก”

“เปล่าเลย” มารดาตอบ “เวลานี้เราอยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อนบ้าน ถ้าเขามาที่บ้านเราอีก หนูก็จะแลเห็นว่าเขาไม่ได้ถือเราเป็นลูกจ้างหรืออะไรที่ต่ำกว่าเขา เขาพูดจากับเราอย่างสุภาพเรียบร้อยตลอดมา เขาเป็นคนสุภาพจริงๆ”

“แล้วทำไมเขาไปยุ่งกับหนูถึงเมืองใต้” เรไรมาถึงปัญหาที่เรไรต้องการ คำตอบมาช้านาน

“พ่อไม่รู้” พ่อตอบ “แต่เรื่องเห็นจะเป็นอย่างนี้ คือเขาถามพ่อว่าไม่มีพี่น้องลูกเต้าอยู่ที่ไหนบ้างหรือ พ่อตอบเขาว่า มีลูกสาวอยู่คนเดียว ไปตกอยู่ใต้อำนาจของเศรษฐีนายเงิน ต้องไปอยู่เป็นเมียเล็กเมียน้อยของเขาทนทุกข์ทรมาน ถ้าพ่อแม่ได้ลูกสาวขึ้นมาอยู่ด้วยกันที่นี่ ก็จะเป็นความผาสุกและอยู่ยั่งยืนไป ถ้ามิฉะนั้นก็อดห่วงและอยากกลับไปหาลูกไม่ได้”

“แม่ก็เล่าให้เขาฟัง” มารดาอธิบายบ้าง “ถึงความเป็นอยู่อันยากแค้นแสนเข็ญของเราทางเมืองใต้ ความบีบคั้นที่นายเงินทำแก่เราอย่างไร แม่เคยร้องให้ให้เขาเห็นหลายครั้งเมื่อพูดถึงเรื่องลูก”

“แล้วเขาเดินทางลงไปเมืองใต้ทันทีหรือคะ ?”

“เขาลงไปหลายครั้ง” บิดาตอบ “สองหรือสามครั้ง ครั้งแรกเขากลับมาบอกว่าเขาได้เห็นลูก”

“เขาเห็นลูกได้อย่างไร ?” เรไรถาม

“ไม่ทราบ แต่เขาบอกลักษณะหน้าตาได้ถูกต้อง” บิดาตอบ

“แล้วเขาพูดด้วยว่า หนูสวยมาก” มารดากล่าวเสริม “แม่ก็ยืนยันว่า ลูกของแม่สวยจริงๆ”

“แล้วอย่างไรคะ ?” เรไรถามต่อไป

“เขาหายไปอีกเป็นครั้งที่สอง กลับมาเขาก็บอกว่า เขาได้เห็นลูกอีกเหมือนกัน คราวนี้เขาบอกว่า เขาจะพยายามหาทางเอาลูกขึ้นมาเมืองเหนือให้ได้”

“แล้วเขาก็หายไปอีกครั้งหนึ่ง” มารดากล่าว “แล้วคราวนี้ก็ได้ตัวหนูมา”

เรไรเข้าใจ ฟังเรื่องที่พ่อแม่เล่า ก็ได้ความสมต้นสมปลาย บุรุษลึกลับซึ่งเดี๋ยวนี้เขาหมดความลึกลับแล้ว ชอบและไว้วางใจพ่อแม่ของเรไรมาก ทำความพยายามเอาตัวเรไรออกจากบ้านนั้น เพื่อให้ได้ขึ้นมาอยู่กับพ่อแม่ สำหรับจะไม่ให้พ่อแม่ของเรไรทิ้งถิ่นฐานทางเมืองเหนือนี้ กลับลงไปหาลูกทางเมืองใต้อีก สำหรับจะได้พ่อแม่ของเรไรไว้ช่วยดูแลไร่ของเขาตลอดไป เรื่องนี้เรไรก็เข้าใจดี เพราะการมีไร่ไว้ในหัวเมือง ซึ่งตนมิได้มีภูมิลำเนาอยู่เองนั้น เรื่องผู้ช่วยดูแลมีความสำคัญมาก ความเสียหายล่มจมของงานทำไร่อยู่ในเรื่องที่ไม่มีผู้ดูแลดี การที่นายสุธีซึ่งบัดนี้หมดความเป็นบุรุษลึกลับพยายามเอาตัวเรไรขึ้นมาอยู่กับพ่อแม่ ก็เป็นการสมควรแก่เหตุผล

และเรไรเองก็พอใจ เพราะเรไรไม่เคยชื่นชมยินดีในฐานะเป็นเมียเล็กเมียน้อยของเศรษฐีนายเงิน เรไรเสียสละเพื่อพ่อแม่ เมื่อพ่อแม่หลุดพ้นจากความเป็นทาสของเศรษฐีนายเงินมาได้ ความพยายามของเรไรก็มีอีกขั้นเดียว คือให้ตัวเองหลุดพ้นออกมาได้ด้วย เมื่อหลุดพ้นออกมาได้อย่างนี้ก็เป็นที่พอใจ เรไรจะไม่กลับไปสู่คุกตะรางหรือนรกในเมืองมนุษย์นั้นใหม่ แม้จะมีข่าวปรากฏแน่ชัดจากทางหนึ่งทางใดว่าเขาไม่สงสัยเรไรเรื่องลอบลักเอกสาร และเขาต้องการให้เรไรกลับไปอยู่กับเขาอีก เรไรก็ไม่กลับไปอย่างแน่นอน เรไรจะตั้งต้นชีวิตใหม่ หรือกล่าวให้ถูกแท้ว่ากลับไปหาชีวิตเก่า คือชีวิตทำไร่ทำนา ปลูกผักเลี้ยงไก่อยู่กับพ่อแม่ อันเป็นความผาสุกของเธอมาแต่เล็กแต่น้อย เธอขอบใจโชคชาตาที่อำนวยให้เป็นไปอย่างนี้

เรไรได้พักผ่อนนอนหลับสบายในคืนนั้น เหตุการณ์ตื่นเต้นทั้งหลายที่ผ่านมาแล้ว ได้บรรเทาความตื่นเต้นลงไป เธอตื่นแต่เช้า หุงหาอาหารอย่างที่เคยทำเมื่ออยู่กับพ่อแม่แต่ก่อน เป็นความปลาบปลื้มที่ได้กลับคืนเข้าสู่ชีวิตเก่าของเธอ ชีวิตชั่วคราวที่ผ่านมาหนึ่งปีภายใต้อำนาจและภายใต้ร่างอันน่าเกลียดชังของเศรษฐีนายเงิน เป็นประหนึ่งว่าฝันร้ายไปชั่วคราว อากาศเมืองเหนือยังหนาวเย็นในเวลาเช้า ดอกไม้ที่พ่อแม่อุตส่าห์ปลูกไว้รับเรไร มันบานรับเหมือนหนึ่งรู้กำหนดวันที่เรไรจะมา แม้จะอยู่บ้านไร่ เรไรก็พยายามแต่งกายเรียบร้อย และเรไรมีความยินดีตั้งแต่แรกเห็นพ่อแม่ที่สถานีรถไฟ ว่าพ่อแม่ของเธอก็แต่งกายเรียบร้อยอย่างสมัยใหม่ เป็นที่พอใจของเธอ

ภายหลังรับประทานอาหารเช้าแล้ว พ่อแม่ก็ออกไปทำงานในไร่ตามเคย สั่งให้เรไรผ่อนพักอยู่กับเรือนสักวันสองวัน โดยยังไม่ต้องทำงาน เพราะอันที่จริงก็ไม่มีงานอะไรจะทำมากในฤดูนี้ เรไรใช้เวลาว่างซักเสื้อผ้าของตัว ค้นเอาเสื้อผ้าของพ่อแม่ออกมาจัดการซักให้ด้วย

เมื่อซักเสร็จแล้ว และในระหว่างเวลาที่จัดการตากผ้า สุธี ซึ่งเคยเป็นบุรุษลึกลับ ได้เข้ามาในบ้าน เขาเดินมา ไม่ได้มาโดยรถจี๊ปอันเก่าคร่ำคร่าของเขาที่เรไรเห็นเมื่อวานนี้

“ผมมาเยี่ยมบ้างได้ไหมครับ ?” เขาร้องถาม ซึ่งเป็นคำทักทายคำแรก

“เชิญซิคะ” เรไรตอบในขณะที่ทำการตากผ้าเรื่อยๆ ไป

“ให้ผมช่วยตากผ้าบ้างซิครับ” เขาพูด

“ขอบคุณ ไม่ต้องช่วยหรอกค่ะ ดิฉันจะเสร็จอยู่แล้ว”

พอดีเรไรตากผ้าเสร็จ จึงชวนเขาไปนั่งบนม้ายาวหน้าเฉลียงเรือนน้อย

“ในกรุงเทพฯ คุณพักที่ไหนครับ ?” เขาถาม

“อ้าว ไม่ทราบดอกหรือคะ ว่าดิฉันพักที่ไหนในกรุงเทพ ฯ

“ไม่ทราบครับ”

“ดิฉันคิดว่าบุรุษลึกลับจะทราบหมดทุกอย่าง”

“ใครตั้งผมเป็นบุรุษลึกลับครับ”

“เขาเรียกกันทั้งนั้นแหละค่ะ หนังสือพิมพ์ก็เรียก”

“แต่ในกรุงเทพฯ เขามีบุรุษลึกลับที่เก่งกว่าผม เขาพาตัวคุณไปได้โดยที่ผมไม่สามารถจะตามหาพบ”

“อย่างนั้นหรือคะ ?”

“ครับ ผมคอยคุณอยู่หน้าโรงแรมราชธานีในตอนเช้า คนติดตามมาจากเมืองใต้สองคนนั่นเขาก็เดินเตร่ไปมาอยู่ ผมหลบไม่ให้เขาเห็นผม แต่เมื่อคุณขึ้นรถยนต์ไป ผมตามคุณไปทัน เวลาคุณเข้าไปในร้านขายของ ผมก็อยู่ที่นั่น แต่เวลาคุณออก ผมไม่รู้ เพราะผมคอยดูแต่รถคันที่คุณไป คุณเปลี่ยนรถหรือครับ ?”

“เป็นความลึกลับ บอกไม่ได้ค่ะ”

“เมื่อผมไปหาคุณไม่พบอีก ผมก็มาที่นี่ เพราะเชื่อว่าคุณต้องขึ้นมาหาคุณพ่อคุณแม่ที่นี่”

“ดิฉันขอบคุณ ที่คุณให้ที่อยู่ที่ทำกินแก่พ่อแม่ของดิฉัน”

“ผมไม่ได้ให้ดอกครับ ท่านหาได้ด้วยแรงงานของท่านเอง”

“แต่คุณทำเรือนหลังนี้ให้ใช่ไหมคะ ?”

“ก็ไม่เป็นราคาค่างวดมากมายอะไร ผมได้อาศัยท่านมากกว่านั้น ท่านช่วยดูแลไร่ให้เรียบร้อยดีตลอดมา แล้วก็ไม่ยอมรับค่าจ้าง ท่านมีความดีแก่ผมมากกว่าที่ผมมีแก่ท่าน”

“ดิฉันทายว่า คุณเป็นคนออกแบบสร้างเรือนหลังนี้”

“ออกแบบด้วย สร้างเองด้วย ช่วยกันกับคุณพ่อ คุณชอบไหมครับเรือนหลังนี้”

“ชอบมากค่ะ เข้าใจทำ คุณเรียนสถาปัตย์หรือคะ ?”

“ผมเป็นเด็กไม่เอาถ่าน” เขาตอบ “เรียนอะไรไม่สำเร็จสักอย่างเดียว สถาปัตย์ก็เรียน เกษตรก็เรียน แต่ไม่เคยเรียนอะไรสำเร็จ”

“นอกจากวิชาทำตนเป็นบุรุษลึกลับ” เรไรพูด

“ก็ไม่สำเร็จอีกเหมือนกัน ทำมาได้สำเร็จตลอดทาง ตั้งแต่เมืองใต้ถึงกรุงเทพ ฯ แต่พอเข้าถึงกรุงเทพ ฯ โดนคนที่เขาฝีมือดีกว่าผม พาคุณไปเสีย ถ้าผมได้มีโอกาสพบท่านผู้นั้นอีก ผมจะขอโค้งคำนับให้เกียรติอย่างสูงแก่เขา เพราะฝีมือเขาเหนือผมมาก”

“เขาไม่ใช่บุรุษลึกลับอะไรหรอกค่ะ เป็นแต่เขาทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังเท่านั้นเอง เขาเป็นคนดีมาก ดิฉันจะต้องระลึกถึงบุญคุณของท่านผู้นี้อีกคนหนึ่ง”

“ทางนี้ผมเชื่อว่าไม่มีใครติดตามคุณมา” เขาพูด

“แม้ในกรุงเทพ ฯ เอง ท่านผู้ที่ดิฉันไปอาศัยบ้านอยู่นั้น ก็เชื่อว่าเขาเลิกติดตามกันแล้ว”

“หวังใจว่าคุณจะอยู่ที่นี่ได้อย่างผาสุก”

“ทำอะไรกันคะที่นี่”

“ฝ้ายครับ ฝ่ายทั้งนั้น ที่นี่ทำไร่ฝ้ายดีกว่าอย่างอื่น”

“ดิฉันไม่เคยรู้จักไร่ฝ้าย ไม่รู้ว่าเขาทำกันอย่างไร”

“ผมก็ไม่มีความรู้ดีอะไรในเรื่องฝ้าย ที่ดินแห่งนี้ เป็นที่คุณพ่อท่านจับจองไว้แล้วช้านาน เป็นเคราะห์ดีของเราที่รัฐบาลตัดถนนผ่านมาทางนี้ ที่ไม่มีราคาก็กลายเป็นที่มีราคามากขึ้น คุณพ่อเลยลงทุนโก่นถางทำเป็นไร่ฝ้าย ใช้ลูกที่ไม่เอาถ่านมาควบคุมดูแล”

“คุณมีพี่น้องหลายคนหรือคะ ?”

“ผมเป็นลูกคนที่สาม พี่สองคน เขาได้ดีมีหลักฐานไปแล้ว น้องสามคนกำลังเรียน เรียนดี เรียนเก่งกันทุกคน เว้นแต่ผม”

“แปลว่าคุณพ่อคุณแม่ของคุณมีลูกถึงหกคน”

“ครับ แล้วก็ไม่มีอะไร ไม่ใช่คนมั่งคั่ง”

“ท่านอยู่ที่ไหน ดิฉันจะทราบได้ไหมคะ ?”

“อยู่ในกรุงเทพ ฯ ครับ ท่านเป็นข้าราชการบำนาญ อายุก็มากแล้ว และชอบปรารภว่า ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรให้ลูก นอกจากที่ดินที่จับจองไว้ที่นี่แห่งหนึ่ง ทางเมืองชลอีกแห่งหนึ่ง”

“ก็มีมากอยู่แล้วนี่คะ ถ้าทำให้เป็นผลประโยชน์จริงๆ ก็เป็นของค่ามาก”

“ที่ตรงนี้ คุณพ่อต้องการให้เป็นสมบัติของน้องทั้งสามคน ให้ผมมาจัดการทำประโยชน์เพื่อน้อง ส่วนของผม ให้ไปเอาที่ทางเมืองชล”

“ที่ทางเมืองชลก็อยู่ริมทะเลซิคะ”

“ถูกแล้วครับ อยู่ริมทะเล”

“คงจะดีกว่าที่นี่”

“ก็ไม่แน่ครับ ที่นี่อยู่ติดถนน ที่เมืองชลอยู่ห่างไกลจากถนนมาก ที่ที่ตรงนี้ราคาสูงกว่ามาก”

“ถากถางทำอะไรแล้วหรือยังคะ ที่นั่น ?”

“ยังครับ คิดว่าพอทำที่นี่ให้เป็นผลเรียบร้อย ก็จะไปลองทำที่โน่น”

เรไรชอบนิสัยบุคคลผู้นี้อยู่อย่างหนึ่ง คือพูดสนทนากันมานานแล้ว ยังไม่มีคำพูดอะไรเลยที่จะอวดตนว่าเป็นคนดีวิเศษอย่างไร ตรงกันข้าม ถ่อมตัวตลอดมา เช่นว่าเขาเป็นบุรุษลึกลับที่ไม่เก่งจริง มีคนอื่นที่มือสูงกว่าเขา เขาเป็นลูกไม่เอาถ่าน เรียนอะไรไม่เคยสำเร็จ พวกพี่พวกน้องเขาเรียนดีกว่า พ่อแม่ก็ไม่ใช่คนมั่งคั่ง เขาจะต้องทำงานหนักต่อไปข้างหน้า ผู้ชายที่พูดกับผู้หญิงแบบนี้หายาก มีแต่พอพบผู้หญิงเข้าก็คอยจะอวดมั่งอวดมี อวดความดีวิเศษ อาจจะเป็นเพราะเหตุอีกอย่างหนึ่ง คือเขาจับนิสัยเรไรถูก เขารู้ว่าเรไรไม่ชอบความมั่งมีดีวิเศษ แต่เรไรชอบการก่อร่างสร้างตัว เรไรไม่ชอบชีวิตที่ไม่ต้องสร้าง แต่อยากสร้างชีวิตของตนเอง รวมความว่าในการสนทนากันมาถึงเพียงนี้ เรไรรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เรไรสามารถจะคบได้ แม้เพียงเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันก็คงเป็นเพื่อนบ้านที่ถูกใจกัน

“คุณมีธุรกิจอะไรทางเมืองใต้หรือคะ ?” เรไรถาม เพื่อจูงเข้าสู่ประเด็นของเรื่องที่เรไรต้องการทราบ

“ไม่มีอะไรเลยครับ แต่ในฐานที่ผมไม่ได้เล่าเรียนอะไรมาก คุณพ่อคุณแม่ก็ให้โอกาสเปิดหูเปิดตาด้วยการท่องเที่ยวไปในจังหวัดต่างๆ เลย มีโอกาสลงไปทางเมืองใต้บ้าง”

“ลงไปบ่อยหรือคะ ทางเมืองใต้”

“เปล่าครับ ผมเริ่มลงไปเมืองใต้เป็นครั้งแรก เมื่อผมเกิดความสนใจในตัวคุณ”

“สนใจในตัวดิฉัน ?”

“หรือถ้าจะกล่าวให้ถูกแท้ ก็ต้องพูดว่าสนใจในเรื่องของคุณ เพราะในเวลานั้นผมยังไม่เคยเห็นตัวคุณ”

“มีอะไรในเรื่องของดิฉัน ที่ทำให้คุณสนใจคะ ?”

“ก็คือเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ท่านเล่าให้ฟัง ว่าคุณยอมเสียสละตัวของคุณ เสียสละความสวย ความงาม เสียสละทุกๆ อย่าง เพื่อช่วยทุกข์ของพ่อแม่”

“ก็เป็นธรรมดาของลูก ที่จะต้องทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือคะ ?”

“ไม่ใช่ธรรมดาครับ เป็นเรื่องผิดธรรมดามาก”

“ทำไมคะ ?”

“ตามธรรมดาหญิงสาวโดยทั่วไป จะไม่ยอมเป็นภริยาของชายอายุคราวพ่อ หรือแก่กว่าพ่อของตัว ยิ่งถ้าจะต้องไปเป็นเมียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย ยิ่งจะไม่ยอม แม้ว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นความจำเป็นอย่างเหลือเกิน สำหรับฐานะความเป็นอยู่ของบิดามารดา แต่เรื่องของคุณตรงกันข้าม คุณพ่อคุณแม่เล่าว่า ท่านไม่ยอมที่จะให้คุณตกไปในฐานะเช่นนั้น แต่คุณก็ตัดสินใจไปเอง เพื่อช่วยทุกข์ของพ่อแม่”

“แล้วทำไม คุณจะต้องสนใจกับผู้หญิงที่มีเรื่องเช่นนั้น”

“สนใจซิครับ เพราะเป็นคนที่ผิดธรรมดา อย่างน้อยก็อยากเห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร”

“แล้วคุณก็เลยเดินทางลงไปเมืองใต้”

“ครับ แล้วผมก็ได้เห็นคุณ”

“เห็นที่ไหนคะ ?”

“เห็นเมื่อเวลาคุณเดินออกมานอกบ้านครั้งหนึ่ง คุณจะไปไหนไม่ทราบ มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งตามไปด้วย เด็กคนนั้นหน้าตาฉลาดเหมือนกัน”

“แล้วทำไมคุณรู้ว่าเป็นดิฉัน ?”

“มันอย่างไรไม่ทราบ เพราะเมื่อเห็นคุณออกมาจากบ้านนั้น ก็เชื่อแน่ว่า เป็นคุณ รูปสมบัติบอกชัดว่าไม่ใช่คนอื่น แล้วเวลานั้นผมนั่งอยู่ที่ร้านขายเครื่องดื่ม เจ้าของร้านเป็นจีน ผมถามเขาว่านั่นใคร เขาบอกว่าเป็นเมียคนใหม่ของท่านเศรษฐี ก็เป็นอันว่าไม่ผิดตัว”

“แล้วอย่างไรคะ ?”

“แล้วผมก็นึกเสียดายอย่างเหลือเกิน ความเสียดายของผมมากจนกลายเป็นความเศร้าสลด ผนนอนไม่หลับในคืนนั้น”

“เสียดายอะไรคะ ?”

“เสียดายเพชรน้ำหนึ่ง ที่สวยเหลือเกิน ต้องตกไปอยู่ในโคลนตม เพชรเม็ดนี้ควรจะอยู่บนเรือนทองรองรับ ควรจะได้ประดับหรือเทิดทูนอยู่เหนือความรัก และดวงใจที่บริสุทธิ์ ถ้าเพชรเม็ดนี้เป็นของผม ผมจะบูชาด้วยดวงใจและชีวิตของผมเอง”

“คุณพูดอะไรระวังหน่อยนะคะ ดิฉันมีสามีแล้ว”

“คุณเรียกคนคนนั้นว่าสามีหรือครับ ?”

“ก็เขาเป็นสามีนี่คะ คุณจะให้ดิฉันเรียกเขาว่ากระไร เขาเป็นสามีจริงๆ”

“เขาอาจจะใช้สิทธิในการเป็นสามี แต่เขาไม่ได้ทำหน้าที่ของสามีเลย”

“ถ้าคำว่า สามี แปลว่า นาย เขาก็ได้ทำหน้าที่ของนาย”

“ถูกแล้ว เขาเป็นนายเท่านั้น เขาไม่ได้เป็นผัว”

“แต่ดิฉันเป็นเมียของเขา และเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่”

“นั่นน่ะซีครับ ผมจึงเห็นเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างเหลือเกิน”

“คุณลงไปเมืองใต้ถึงสามครั้งทีเดียวหรือคะ ?”

“ลงไปครั้งแรกก็เห็นคุณ เก็บเอามาเป็นเรื่องหมกมุ่นขุ่นคิด ภาพของคุณติดตาผมอยู่ทั้งตื่นทั้งหลับ ผมไปอีกเป็นครั้งที่สอง โดยไม่มีแผนการอะไรแน่นอน ไปเพื่อเห็นคุณเท่านั้นเอง ภายหลังมาคิดหาวิธีได้ ก็ลงไปเป็นครั้งที่สาม”

“คุณไปได้ยาพิษมาจากไหนคะ ?”

“จากเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งคงจะไม่มีประโยชน์อะไรแก่คุณที่จะรู้จักชื่อเขา”

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ แล้วคุณจ้างลูกจีนที่ร้านขายเครื่องดื่มให้นำไปให้ดิฉันหรือคะ ?”

“เปล่า ผมจ้างเขาให้นำไปส่งให้แก่ตัวเศรษฐีเอง แต่ให้เขาพูดว่าต้องการจะให้แก่คุณเรไร ผมเสียค่ารางวัลไป 10 บาท”

“แต่ลูกจีนคนนั้นบอกว่าบาทเดียว แกชูธนบัตร 1 บาทให้ดู”

“ครับ ผมสอนเขาไป”

“แล้วความมุ่งหมายของคุณ เป็นอย่างไรแน่ ในการทำเช่นนั้น”

“ผมหวังผลที่ว่า เมื่อเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น คุณก็จะอยู่ในบ้านนั้นไม่ได้ เพราะถึงอย่างไร เขาคงไม่ไว้วางใจเอาคุณไว้ในบ้านของเขา เขาจะรักคุณสักเท่าไร เขาก็จะต้องรักชีวิตของเขามากกว่า ในที่สุดคุณก็จะต้องออกจากบ้านนั้น”

“แปลว่า คุณใจร้ายพอที่จะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งหลุดลอยจากฐานะเป็นเมียเศรษฐี มากลายเป็นคนร่อนเร่พเนจร หาที่อยู่ที่พำนักไม่ได้”

“ผมแน่ใจว่าถ้าคุณต้องออกจากบ้านนั้น คุณก็คงจะเดินทางขึ้นมาหาพ่อคุณแม่ที่เมืองเหนือ ผมจะติดตามมาตลอดทาง ถ้ามีความขัดข้องอะไรขึ้น ผมก็จะช่วยเหลือตามกำลัง

“คราวนี้คุณเล่าให้ดิฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ว่าทำไมคุณจึงรู้ว่าสองคนนั้นเขาติดตามดิฉันมา และทำความรู้จักกับเขาได้”

“อันนี้ไม่ยาก ที่สถานีที่คุณขึ้นรถไฟนั้น มีคนขึ้นไม่กี่คน คนอื่นๆ ที่ขึ้นมาเป็นครอบครัวตัวเมีย มีลูกเต้า สองคนเท่านั้นที่เป็นคนโสดมาโดยลำพัง ผมก็หาที่นั่งใกล้เขา ได้ยินเขาพูดกันถึงเรื่องคุณ”

“อ้อ เขาพูดถึงเรื่องดิฉันด้วยหรือคะ ?”

“เขาไม่ได้ออกชื่อคุณตรงๆ แต่เขาพูดถึงเรื่องยาพิษ เรื่องตื่นเต้นต่างๆ ในที่สุดเขาก็พูดว่า ให้มันกินตายไปเสียหน่อยไม่ได้”

“อย่างนั้นหรือคะ ?”

“ครับ ฟังดูตลอดมา ได้ความแน่ชัดว่าคนสองคนนี้ ก็ไม่ได้นิยมเลื่อมใสในตัวท่านเศรษฐี เขาตามคุณมาด้วยความจำใจ เพราะถูกใช้ แล้วเขาก็พูดกันเองว่า เวลาจะใช้ก็สัญญาจะให้อย่างนั้นอย่างนี้ พอใช้เสร็จแล้ว ก็ไม่เห็นให้จริงตามสัญญา ผมเห็นว่าคนทั้งสองนี้ไม่ใช่ผู้ร้ายโดยลักษณะ แต่เป็นคนดีๆ ที่ถูกใช้ในเรื่องเช่นนี้ เพราะเป็นลูกหนี้เขา ผมจึงเบาใจ และพยายามทำความรู้จักกับเขา”

“คุณบอกให้เขาทราบหรือเปล่าคะ ว่าคุณเป็นใคร ?”

เปล่าครับ บอกไม่ได้”

เมื่อการสนทนาได้ดำเนินมาถึงเพียงนี้ เรื่องราวทั้งหลายก็แจ่มแจ้งขึ้นทั้งหมด อันที่จริงก็ไม่เป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์อะไรในการกระทำของเขา แต่ก็เป็นประหนึ่งว่า เทพยดามาโปรดให้การสำเร็จไปโดยเรียบร้อย และเป็นการบังเอิญเป็นอย่างแท้จริง สมมติว่าเรื่องยาพิษไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน ภายหลังที่เรไรได้เอาเอกสารออกจากตู้เซฟ เรื่องจะเป็นอย่างไร ก็ยากที่จะกล่าว เวลาเอาเอกสารออกจากตู้เซฟ เรไรไม่มีความคิด คิดแต่เพียงว่า จะให้พ่อแม่เก็บเอกสารเหล่านี้ไว้ เพื่อให้การฟ้องร้องลูกหนี้ยากขึ้นเท่านั้น ไม่ถึงกับคิดว่าจะสามารถส่งโฉนดตราจองกลับไปให้เจ้าของได้ ส่วนตัวเรไรเองก็ไม่สามารถจะหนีออกจากบ้าน เพราะการหนีออกมาจะเป็นพิรุธว่าตนขโมยเอกสาร การกระทำของสุธี ในการส่งยาพิษและจดหมายเข้าไป จึงเป็นการช่วยให้เรไรทำงานได้ผลดียิ่งขึ้น จนกระทั่งได้กลับมาอยู่กับพ่อแม่ของตัว ฉะนั้น การกระทำของเขาจึงนับว่าเป็นความดี นอกจากจะเป็นการทำดีแล้ว ยังทำเหมาะแก่เวลาอีกด้วย

ส่วนทางฝ่ายชาย คือสุธี ก็ได้คิดไปอีกอย่างหนึ่ง คือคิดชมความสามารถของเรไร ที่ทำการช่วยชาวไร่ชาวนาจากการบีบคั้นเป็นผลสำเร็จไปส่วนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเขาเอางานของเรไรมาเปรียบเทียบกับงานของเขาแล้ว ก็แลเห็นงานของเขาเป็นเรื่องเล็กน้อยนิดเดียว งานของเรไรยิ่งใหญ่ และทำยากกว่าเป็นอันมาก เขาไม่แน่ใจว่าเขาควรจะกล่าวชมเชยการกระทำของเรไรหรือไม่ เขาต้องยับยั้งไว้ เพราะเรไรอาจจะไม่พอใจ หรือเรไรอาจจะยังต้องการปิดบัง ไม่แสดงให้แจ้งชัดว่าเธอเป็นคนทำ เขายังรู้จักคุ้นเคยกับเรไรน้อยเกินไป เพิ่งได้เริ่มพูดกับเรไรในวันนี้เอง ไม่ควรจะพูดอะไรมากกว่าที่พูดมาแล้ว

“วันนี้ ผมขอเยี่ยมเพียงเท่านี้” เขาพูด “เพื่อคุณได้พักผ่อน”

“ขอบพระคุณมากค่ะ” เรไรตอบ

“ในฐานที่ผมเป็นเพื่อนบ้าน หวังใจว่าคุณจะอนุญาตให้ผมมาเยี่ยมบ่อยๆ”

“ยินดีค่ะ ดิฉันจะได้เรียนรู้เรื่องทำไร่ฝ้ายบ้าง”

“คุณพูดอย่างนี้ จะทำให้ผมไม่กล้ามาเยี่ยมอีก เพราะผมเองก็ไม่รู้อะไรในเรื่องการทำไร่ฝ้าย ได้แต่อาศัยไต่ถามคนที่เขาทำเก่าๆ เท่านั้นเอง”

เขาลาจากเรไรไปในวันนั้น วันรุ่งขึ้นทั้งวันเขาไม่ได้มา เรไรสังเกตเห็นว่า เขาทำงานมากเหมือนกัน มองจากเรือนที่อยู่ของเรไร ก็มองเห็นเขาทำงานอยู่กลางแดด ส่วนเรไรก็ออกไปช่วยพ่อแม่ โดยรู้สึกว่างานทำไร่เป็นงานที่ผาสุก อย่างเดียวกับงานทำสวนผักที่เธอเคยทำมาแล้ว ชีวิตกลางแจ้ง ทำให้เธอรู้สึกแข็งแรงและสบายกว่าชีวิตในห้องในร่มที่เรไรผ่านมาหนึ่งปี และแม้จะเปลี่ยนชีวิตมากลางแดด หรือเปลี่ยนอากาศจากใต้มาเหนือ หรืออยู่เมืองใดตำบลใดก็ดี ไม่ทำให้ความสวยงามของเรไรลดลง ดูเหมือนจะกลับเพิ่มพูนความสวยสดยิ่งขึ้นทุกวัน

วันต่อมา ซึ่งเป็นวันที่สอง นับจากวันที่เขามาเยี่ยม เขาก็ไม่ได้มาอีก แต่ได้ส่งไก่ซึ่งฆ่าแล้ว และถอนขนเรียบร้อยแล้วมาให้สองตัว โดยคนใช้ผู้ชายคนหนึ่งนำมาให้ บอกว่าคุณสุธีให้นำมา เรไรได้สั่งฝากความขอบใจไปให้เขา

และในวันนี้ เรไรได้รับจดหมายของนายสมพรผู้อุปการทางเมืองใต้ ส่งมาในนามของบิดาเรไร บอกว่าเรื่องครึกโครมทั้งหลายได้สงบเงียบลง แต่ก็ไม่ควรไว้วางใจในน้ำนิ่ง เรไรได้ตอบขอบคุณเขาไป แต่หนังสือตอบของเรไรไม่ได้ส่งตรง ได้ส่งไปยังบ้านผู้มีอุปการในกรุงเทพ ฯ ขอให้ช่วยส่งต่อให้ เพื่อว่าถ้ามีการพลาดพลั้งอย่างไร จะได้เข้าใจกันว่าเรไรยังอยู่ในกรุงเทพ ฯ

อันที่จริง จดหมายที่ส่งมาจากเมืองใต้นั้น ผู้ส่งก็ระมัดระวังมากอยู่แล้ว เรไรตรวจดูตราไปรษณีย์ เห็นชัดว่าไม่ได้ส่งมาจากเมืองที่เขาอยู่นั้นเอง แต่ส่งจากสถานีที่เขานำห่อเอกสารมาให้เรไร แสดงว่าเขาส่งมาให้ที่นั่นช่วยส่งต่ออีกต่อหนึ่ง ซึ่งทำให้เรไรต้องเป็นหนี้บุญคุณคนทั่วไปที่เมืองใต้ถิ่นเดิมของตัว ที่สถานที่รับเอกสารในกรุงเทพ ฯ เรไรต้องระลึกถึงบุญคุณของท่านเหล่านี้ โดยมองไม่เห็นว่าจะมีทางตอบแทนได้อย่างไร เธอหวังว่าจะไม่ต้องไปสร้างผู้มีบุญคุณขึ้นที่ไหนอีก

ในเย็นวันที่ 3 นั้น ภายหลังรับประทานอาหารเย็นแล้ว เรไรได้ชวนบิดาไปเยี่ยมนายสุธีที่บ้านไร่ของเขา อย่างหนึ่งเพื่อตอบแทนอัธยาศัย อีกอย่างหนึ่งก็เป็นความอยากรู้อยากเห็นของเรไรเอง ว่าชายผู้นี้มีความอยู่อย่างไรในบ้านของเขา เขาต้อนรับเรไรและบิดาของเรไรด้วยความดีใจ การสนทนาก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไป แต่เรไรก็พยายามสอดตาสังเกตว่าเขาจะอยู่กับใครบ้าง มองเห็นแต่ว่า ในบ้านนั้นไม่มีผู้หญิงอยู่เลย ไม่ว่าผู้หญิงสาวหรือผู้หญิงแก่ หาไม่ได้ในบ้านนั้น มีแต่ผู้ชายอยู่ด้วย

“ขอบคุณมากค่ะ ที่ส่งไก่ไปให้” เรไรกล่าว “เราแกงกินอย่างอร่อย ทางคุณใช้ไก่ทำอะไร ?”

“แกงเหมือนกันครับ” เขาตอบ

“คุณมีแม่ครัวดีหรือคะ ?”

“ไม่มีแม่ครัวครับ มีแต่พ่อครัว และพ่อครัวโดยมากเป็นตัวผมเอง”

“ทำไมไม่มีแม่ครัวไว้สักคนล่ะคะ ?” เรไรถามอีกเพื่อให้แน่ใจ

“บ้านนี้ไม่มีผู้หญิงเลยครับ แต่ผู้ชายก็แกงเป็นเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องมีแม่ครัว”

“คุณเลี้ยงไก่หรือคะ”

“เปล่าครับ คนในบ้านนี้เขาไปหามาจากที่อื่น”

“ดิฉันเลี้ยงไก่เป็นค่ะ ดิฉันจะตั้งต้นเลี้ยง”

เรื่องสนทนากันก็เป็นแต่เรื่องเหล่านี้ การเยี่ยมตอบโดยอัธยาศัยไมตรี และด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเรไรได้สุดสิ้นลงในเวลาไม่นานนัก เรไรได้เดินกลับบ้านกับบิดา อีกอย่างหนึ่งที่เรไรสังเกตเห็น คือเรือนที่อยู่ เขาทำดีมากเหมือนกัน ใช้สัมภาระอย่างไม่ถาวร เช่นเดียวกับเรือนที่เขาปลูกให้บิดาเรไร และขนาดเดียวกัน แต่เขามีฝีมือและมีความคิดดีในการปลูกสร้าง เป็นลักษณะอีกอันหนึ่งที่เรไรชอบ

เขามาเยี่ยมเรไรอีกบ่อยครั้ง และมีโอกาสได้สนทนากันโดยลำพัง เขาฉวยโอกาสในบางครั้งพูดแสดงออกมาว่าเขารักเรไร แต่เรไรก็ได้พูดขัดตัดตอนไปในทันทีทันใดว่าเขาต้องไม่ลืมว่าเรไรเป็นหญิงมีสามี เป็นการยากที่เรไรจะเปลี่ยนสภาพอันนี้มาเริ่มบทรักกับเขาใหม่

“คุณยังมีความคิดที่จะกลับเมืองใต้อยู่อีกหรือ?” วันหนึ่งเขาถามเรไร

“ดิฉันบอกคุณตามความจริง ว่าดิฉันไม่กลับและไม่สามารถจะกลับไปได้”

“แล้วทำไมคุณยังถือตัวว่าคุณเป็นภริยาเขาอยู่ ?”

“ดิฉันไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงฐานะอันนี้”

“คุณไม่ได้มีฐานะอะไรเลย คุณไม่ได้เป็นเมียเขาโดยถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีการแต่งงาน ไม่มีการจดทะเบียน คุณไม่เคยได้รับความเลี้ยงดูอย่างภริยา เขาเลี้ยงคุณอย่างหญิงคนใช้ อย่างนางบำเรอ ผมขอโทษที่ใช้คำอย่างนี้ แต่ผมมองไม่เห็นว่าทำไมคุณจึงจะยังถือตัวว่าเป็นภริยาของเขา”

“แต่ถึงอย่างไร ดิฉันก็ต้องถือตัวว่าเป็นหญิงมีสามีแล้ว”

“คุณไม่เคยมีสามี คุณเคยมีแต่ผู้ชายคนหนึ่งที่ปล้นความงาม ความบริสุทธิ์ของคุณไป ด้วยอำนาจอิทธิพล และถือคุณเป็นไพร่เป็นทาส คุณไม่เคยมีสามีเลย ไม่ว่าในทางกฎหมายหรือในทางจิตใจ”

เรไรไม่ตอบว่าอะไร เพราะเป็นการยากที่จะพูดอะไรกันให้ยืดยาวไปอีก แต่ทุกๆ ครั้งที่สุธีมาเยี่ยมเรไร เขาก็แสดงออกมาตรงๆ เสมอว่า เขารักเรไร และเรไรก็บอกเขาไปตรงๆ เหมือนกันว่า เธอไม่สามารถจะรับความรักของเขาได้ นอกจากนั้นเรไรก็พยายามให้วันเวลาในชีวิตของตนเป็นประโยชน์ เธอตั้งต้นทำสวนผักและเลี้ยงไก่ อย่างที่เคยทำมาในโรงนาที่เมืองใต้ ความติดต่อในระหว่างเรไรกับสุธี เป็นความติดต่ออย่างเพื่อนบ้านที่เป็นมิตร ในบางครั้งเขาต้องลงไปกรุงเทพฯ เขามาบอกให้เรไรทราบ และบอกแก่บิดาของเรไรเพื่อช่วยดูแลไร่ของเขาตามที่เคยทำมา เรไรสนใจคอยฟังคำพูดที่เขาพูดกับบิดา ว่าจะเป็นคำสั่งบังคับบัญชาให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้หรือไม่ เพราะในเวลานี้เรไรคอยระมัดระวังที่จะมิให้พ่อแม่ตกอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครอีก แต่เรไรก็ได้เห็นประจักษ์ว่า เขามิได้ใช้วิธีการอย่างนั้น เป็นการฝากอย่างเพื่อนบ้าน ถ้าเขาจะขอให้ช่วยสั่งคนงานทำอะไร เขาก็พูดเป็นปรึกษาหารือว่า ควรจะทำอย่างนั้นอย่างนี้หรือไม่ เรไรพอใจในวิธีการอันนี้ อย่างน้อยเขาก็เป็นสุภาพบุรุษ มีกิริยาดี มีความแนบเนียน ระมัดระวังทุกคำพูดและอิริยาบถ

เขาลงไปกรุงเทพ ฯ หลายครั้ง แต่ไม่ได้พักอยู่นาน ไปครั้งหนึ่งไม่เกิน 7 วันแล้วก็กลับมา พ่อแม่ของเรไรบอกว่าแต่ก่อนเขาหายไปนานๆ กว่านี้ เรไรนับวันที่ได้กลับมาอยู่กับพ่อแม่ นับได้ถึง 3 เดือนเศษ ซึ่งปรากฏแก่เรไรเหมือนหนึ่งว่าเป็นเวลาเพียง 3 วัน ความสุขในการที่ได้อยู่กับพ่อแม่ ความสุขที่ได้จากเสรีภาพ ไม่มีเจ้าเหนือใจนายเหนือหัว ทำให้เวลาล่วงไปเร็วมาก ข่าวทางเมืองใต้ก็เงียบหาย แต่เรไรก็ระลึกอยู่เสมอถึงคำแนะนำของผู้มีอุปการคุณทางเมืองใต้ ว่าอย่าไว้วางใจน้ำที่นิ่ง เรไรไม่เชื่อว่าคนอย่างเศรษฐีผู้นั้น จะละทิ้งความพยายามหรือยอมแพ้อะไรง่ายๆ

ครั้งหนึ่ง เมื่อสุธีกลับจากกรุงเทพฯ เขานำหนังสือพิมพ์สองสามฉบับมาให้เรไรดู เป็นการพิมพ์ในประเภทแจ้งความ ข้อความเป็นอย่างเดียวกันว่า

“ด้วยนางเรไร คนในบ้านของข้าพเจ้า ได้ถูกใช้ออกไปนอกบ้านโดยกิจธุระ แล้วก็ไม่กลับมา เป็นเวลาตั้ง 3 เดือน นำของมีค่าเป็นจำนวนมากออกไปจากบ้านของข้าพเจ้าด้วย เวลานี้หาไม่พบว่าตัวอยู่ที่ไหน จึงขอประกาศให้ทราบทั่วกัน ว่าถ้านางเรไรจะไปอ้างตนเป็นภริยาของข้าพเจ้า ทำการเกี่ยวข้องทางเงินทองกับผู้หนึ่งผู้ใด ก็ขออย่าให้ใครเชื่อว่านางเรไรเป็นภริยาของข้าพเจ้า และอย่าเชื่อว่ามีอำนาจหน้าที่ธุรกิจเกี่ยวกับเงินทองในนามของข้าพเจ้าเลยเป็นอันขาด อนึ่ง ผู้ใดได้พบเห็นว่านางเรไรอยู่แห่งใด และแจ้งตำบลที่อยู่แก่ข้าพเจ้าจนตามหาตัวนางเรไรได้ ข้าพเจ้าสัญญาจะให้รางวัลหนึ่งหมื่นบาท

“นางเรไรหน้ารูปไข่ ผิวขาว นัยน์ตาคม ร่างอวบ รูปทรงสันทัด ไม่มีไฝหรือตำหนิที่แห่งหนึ่งแห่งใด”

ลงชื่อเศรษฐีผู้ประกาศ และเขาแจ้งความอย่างเศรษฐี เรื่องอย่างนี้ก็ลงแจ้งความเสียยืดยาว ที่จริงจะเขียนให้สั้นกว่านี้ก็ได้

เมื่อเรไรได้อ่านข้อความเหล่านี้ ความคิดขั้นต้นก็แล่นไปในทางที่เป็นลูกไม้ของสุธี ข้อความเหล่านี้ สุธีอาจจะเขียนไปลงหนังสือเองก็ได้ เพราะเขาเคยแสดงฝีมือในทางเป็นบุรุษลึกลับมาแล้ว และในเวลานี้ เขาก็พยายามขอความรักของเรไร เรไรไม่พูด ไม่แสดงความคิดเห็นอย่างไรในข้อความที่หนังสือพิมพ์ลงนั้น แต่ต่อมาอีก 3-4 วัน เรไรก็ได้รับจดหมายจากผู้อุปการทางเมืองใต้ว่า เนื่องจากเรไรได้หายไปจริงๆ และไม่มีวี่แววว่าเรไรจะกลับมา เศรษฐีผัวเมียซึ่งสงสัยเรไรอยู่แล้ว ก็พยายามจะให้เจ้าหน้าที่ทางบ้านเมืองจับตัวเรไร เดิมท่านเศรษฐีบอกเจ้าหน้าที่ว่าเรไรเป็นเมีย เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าเมียลักทรัพย์ก็จับไม่ได้ เพราะผัวเมียเป็นคนคนเดียวกัน เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติร่วมกัน ถ้าเมียเอาทรัพย์ไป ก็เป็นการเอาทรัพย์ของตนไปเอง ท่านเศรษฐีจึงต้องเปลี่ยนวิธีการ คือไม่ยอมเรียกเรไรว่าเป็นเมีย เรียกแต่เพียงว่าเป็นคนในบ้าน และประกาศหาตัวทางหนังสือพิมพ์ ถึงกับจะให้รางวัลตั้งหมื่นบาท

“เห็นจะต้องเปลี่ยนชื่อลูกเสียกระมัง” มารดากล่าวด้วยความกลัว

“หนูไม่ยอมเปลี่ยน แม่” เรไรตอบ “เป็นชื่อที่พ่อตั้งให้ตั้งแต่เกิดมา เป็นชื่อที่พ่อแม่เรียกและรักหนูมาตลอดเวลากว่า 20 ปีแล้ว ขอให้หนูคงเป็นเรไรต่อไป ถ้าหากหนูจะต้องตาย ก็ขอให้ตายในชื่อของเรไร ชื่อที่พ่อแม่รัก”

“สู้กับมันไป ไม่ต้องเปลี่ยนชื่อ” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงที่บึกบึน

“หนูสู้ พ่อ” เรไรตอบ “ขอให้หนูได้ทำการต่อสู้อย่างใหญ่อีกสักครั้งในชีวิต เสร็จการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว บางทีชีวิตเราจะผาสุกตลอดไป”

เมื่อเรไรพบสุธีอีก ก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง เธอสารภาพขอโทษเขา เพราะความคิดของเธอในชั้นต้นที่เห็นข้อความในหนังสือพิมพ์นี้ เธอได้ปักใจว่าเป็นลูกไม้ของสุธีเอง แต่ภายหลังที่ได้รับจดหมายจากเมืองใต้ เธอก็ต้องขอโทษที่เธอคิดผิดไป เรไรเล่าให้เขาฟังต่อไปว่า มารดาแนะนำเปลี่ยนชื่อ แต่เธอไม่ยอมเปลี่ยน ขอสู้ในชื่อของเรไร และขอตายในชื่อของเรไร

“ผมขอมีส่วนในการต่อสู้ด้วยคนหนึ่ง” สุธีพูด

“ดิฉันไม่สามารถจะยอมได้” เรไรตอบ “คุณจะเอาชีวิตที่มีค่าของคุณมาทำให้ไร้ค่า เพราะผู้หญิงที่มีเรื่องยุ่งอย่างดิฉัน ดิฉันยอมไม่ได้ค่ะ”

“แต่ผมก็ชอบการเป็นนักสู้เหมือนกัน” สุธีตอบ “ผมสรรเสริญคนที่ทำการต่อสู้ในชีวิต และด้วยเหตุนี้ ผมจึงสรรเสริญคุณด้วยความจริงใจ คุณเป็นผู้หญิง ยังทำการต่อสู้มามากกว่าผมซึ่งเป็นผู้ชายหลายเท่า ผมอยากจะเข้ามีส่วนร่วมวงการต่อสู้บ้าง เพราะผมเองก็เชื่อว่าชีวิตคือการต่อสู้”

เรไรไม่รับปากกับเขาอย่างไร เธอรู้ว่าคำที่เขาพูดนั้นเป็นการขอเข้ามีส่วนร่วมในชีวิตของเรไร ซึ่งเรไรไม่สามารถจะยอมรับข้อเสนออันนี้ เขาเป็นคนหนุ่มซึ่งเรไรทราบแน่ว่าเขามีอายุเพียง 25 ปี เป็นความหวังของพ่อแม่ของเขาที่จะใช้สร้างหลักฐานทรัพย์สมบัติถาวรไว้ให้แก่ครอบครัว ส่วนตัวของเธอ เรไรรู้ตัวว่าเธอไม่มีอะไร นอกจากรูปสมบัติ แต่รูปสมบัติอันนี้ก็ชอกช้ำหมดความบริสุทธิ์ไปช้านานแล้ว ถึงอย่างไรค่าตัวของสุธีก็ยังสูงกว่าค่าตัวของเธอเองเป็นอันมาก เธอไม่สามารถจะฉุดดึงสุธีลงมาสู่ฐานะอันต่ำต้อยของเธอ เธอมั่นใจว่าจะไม่ยอมรับข้อเสนอของเขาที่จะเข้ามาขอร่วมชีวิตอันยุ่งยากของเธอ

ฉะนั้น ทุกครั้งที่สุธีมาพูดถึงความรักหรือขอมีส่วนร่วมในชีวิต เรไรได้วิงวอนให้เขาเข้าใจว่าเธอไม่สามารถจะยอมรับข้อเสนอของเขาได้ ไม่ใช่เพราะเห็นว่าสุธีไม่มีความดีเพียงพอ แต่ตรงกันข้าม เรไรคิดเห็นอย่างจริงใจว่า สุธีเป็นผู้ชายที่ดีเกินไปสำหรับตัวเธอ การรับรักของสุธีจะเป็นการเห็นแก่ตัว และลักษณะเห็นแก่ตัวนี้ไม่เคยมีในเรไร เธอจะถือเป็นบาปกรรมอันแรงร้ายที่จะฉุดดึงเอาชีวิตที่ผ่องใสของสุธีลงมาเกลือกกลั้วกับชีวิตที่ยุ่งยากของเธอ

“คนที่เกิดมาในชีวิตอันราบรื่น” เรไรกล่าว “นับว่ามีโชคอย่างประเสริฐอยู่แล้ว ไม่บังควรที่จะแสวงหาความยุ่งยากในชีวิตโดยไม่จำเป็น”

“ชีวิตเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่แล้วโดยปรกติ” สุธีกล่าว

“นั่นซีคะ” เรไรตอบ “อย่าไปหาเรื่องยุ่งยากเพิ่มเติมเข้ามาอีก”

หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน ล่วงไปอีก เล้าไก่ของเรไรก็มีไก่เต็มเล้า สวนผักก็เขียวชอุ่ม เรไรเพิ่มความเปล่งปลั่งขึ้นอีกในรอบปี 21 ความติดต่อระหว่างเรไรกับสุธีเพิ่มความสนิทสนมมากขึ้น จนบัดนี้เขาวางตัวเป็นเพื่อนสนิทกัน คำว่า “คุณ ค่ะ ครับ” ได้หายไปจากคำพูดของเขา เขาเรียกกันว่าเธอ และพูดกันอย่างเพื่อน แต่เรไรยังมั่นคงต่อความสัตย์ที่ให้ไว้แก่ตัวเอง ว่าจะไม่ฉุดดึงหรือปล่อยให้สุธีถลำเข้ามาในห้วงรัก เธอพยายามกีดกันกั้นเขต คราวใดที่สุธีมาพูดถึงเรื่องรัก เธอก็เตือนให้สุธีระลึกถึงหน้าที่ของสุธีที่มีต่อบิดามารดาและต่อน้องทั้งหลายของสุธี ในที่สุด สุธีได้มาบอกแก่เรไรว่า บิดามารดาของสุธีในกรุงเทพ ฯ ได้จัดการสู่ขอสตรีผู้หนึ่งให้แต่งงานกับสุธี

“ฉันขอแสดงความยินดีกับเธอ” เรไรกล่าว

“แต่ฉันไม่ยินดีเลย” สุธีกล่าว

“อย่าพูดอย่างนั้น สุธี เธอต้องเป็นลูกที่ดี และเป็นสามีที่ดีด้วย”

“แต่ฉันรักเธอ เรไร”

“ฉันก็รักเธอ พูดตามความจริงใจ ถ้าฉันเป็นสาวบริสุทธิ์ ไม่มีเรื่องยุ่งยากเหมือนคนทั้งหลาย ฉันคงจะยอมเป็นเพื่อนร่วมชีวิตของเธอ แต่นี่มันเป็นไปไม่ได้”

“มันสามารถจะเป็นได้” สุธีตอบ “เพราะเวลานี้เธอก็ไม่ได้เป็นเมียใคร เขาประกาศโด่งดังในหนังสือพิมพ์ ว่าไม่ให้ใครเชื่อว่าเธอเป็นเมียเขา เวลานี้เธอเป็นโสดทั้งในนิตินัย และพฤตินัย”

“แต่ก็มีความจริงที่ว่าชีวิตของฉันยังไม่หมดความยุ่งยาก เรื่องลำบากอีกหลายประการยังคอยฉันอยู่ข้างหน้า ไม่เป็นการยุติธรรมเลย ที่ฉันจะฉุดเธอเข้ามาร่วมความลำบากยุ่งยากกับฉัน ตกลงเถอะ สุธี เราเป็นเพื่อนกัน ฉันจะถือว่าเธอเป็นเพื่อนดีที่สุดที่ฉันมีอยู่ในชีวิตนี้ ฉันจะไม่ลืมความดีของเธอ แต่ฉันต้องขอให้เธอปฏิบัติตามความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ ฉันให้คุณค่าแก่พ่อแม่ของฉันสูงเพียงไร ฉันก็อยากให้คนทั้งหลายให้คุณค่าแก่พ่อแม่ของตนสูงเพียงนั้น”

เขาพูดกันอยู่อีกช้านาน และพบพูดกันมาอีกหลายครั้ง เรไรได้แสดงให้เขาเห็นอย่างแจ้งชัดว่าเขาไม่มีหวังในตัวเรไร ขอให้เขาไปแต่งงานตามความต้องการของพ่อแม่ เรไรทำความพยายามทุกอย่างที่จะผลักดันให้เขาไปแต่งงาน สุธีชอบพูดว่า คู่รักหรือคู่สมรสของเขาไม่ดี ไม่สวยเท่าเรไร แต่ทุกครั้งที่เขาพูดอะไรในทำนองนี้ ก็ถูกเรไรขัดคอและห้ามไม่ให้พูดเช่นนั้น ไม่เป็นการสมควรที่เขาจะดูหมิ่นคู่หมั้นที่พ่อแม่หาให้ ไม่สมควรที่จะกล่าวถ้อยคำตำหนิผู้ซึ่งจะเป็นภริยาของตนในอนาคตให้ผู้หญิงอื่นฟัง คำขัดคอต่อว่าบ่อยครั้งเช่นนี้ ทำให้สุธีเข้าใจชัดว่าคำปฏิเสธที่เรไรบอกปฏิเสธความรักของเขามาในครั้งก่อนๆ นั้น ไม่ใช่มารยา แต่เป็นการตัดสินใจแน่นอนของเรไร ว่าจะไม่ยอมรับความรักของเขา

ที่เรไรตัดสินใจแน่นอนอย่างนั้น ก็เพราะเรไรรู้สึกมีภาระอีกอย่างหนึ่ง คือการต่อสู้ เรื่องจะเป็นอย่างไรก็ตามที การที่จะปล่อยให้คำโฆษณา หรือประกาศแจ้งความของเศรษฐีรกหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์อยู่ทุกวันนั้น ไม่เป็นการสมควร ถึงแม้ว่าเรไรจะไม่ใช่คนสำคัญคนใหญ่โต เรไรก็มีส่วนในฐานเป็นมนุษยชาติที่จะต่อสู้การกระทำร้าย เรไรได้ตัดสินใจมาหลายครั้ง ระหว่างเวลาเดือนหนึ่งที่แล้วมาว่า อยากจะลงไปสู้กันซึ่งๆ หน้าที่เมืองใต้อีกสักครั้งหนึ่ง แต่เรื่องสุธีจะแต่งงานมาทำให้เรไรยับยั้งรอการเดินทางลงไปเมืองใต้ เพราะกลัวสุธีจะตามไป ซึ่งจะเป็นเหตุให้การแต่งงานของเขาล้มเหลว เรไรอยากจะรอให้สุธีแต่งงานให้เรียบร้อย เข้าสู่ชีวิตสมรสซึ่งจะผูกมัดไม่ให้สุธีตามไป เรไรมั่นหมายไว้ในใจว่าเมื่อสุธีแต่งงานแล้ว ตนก็จะเดินทางไปเมืองใต้ ลองสู้ดูอีกสักครั้งหนึ่ง แต่เรไรไม่ได้ปริปากแสดงความคิดอันนี้ให้สุธีทราบ เธอทำความพยายามอย่างเดียว คือร้องขอให้สุธีเลิกความหวังในตัวเธอ และแต่งงานกับผู้ที่พ่อแม่สู่ขอไว้ให้

ในที่สุด สุธีก็ลงไปกรุงเทพฯ และพิธีแต่งงานของสุธีก็ได้ประกอบทำกันเรียบร้อยตามความต้องการของบิดามารดาของสุธี

ภายหลังวันแต่งงานของสุธีสองวัน เรไรได้เขียนจดหมายถึงสุธีเป็นข้อความดังนี้

สุธี เพื่อนรัก

ในวันเวลาที่ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ ฉันเชื่อว่าพิธีแต่งงานของเธอได้เป็นไปโดยเรียบร้อย ในฐานเป็นมิตรที่สุจริตต่อเธอ ฉันขอแสดงความชื่นชมยินดี และตั้งใจอำนวยพรเพื่อความสุขสวัสดีของเธอและครอบครัว ขอคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดประทานความสมบูรณ์พูนสุขและความเจริญแก่เธอทุกวิถีทาง

ฉันเองพยายามแสวงหา ว่ามีอะไรบ้างที่ฉันจะมีประโยชน์แก่เธอในการแต่งงานของเธอ เรื่องให้ของขวัญในการแต่งงานนั้น คงไม่เป็นประโยชน์ เพราะฉันคงไม่มีอะไรจะให้ดีไปกว่าที่เธอจะได้หรือมีอยู่แล้ว ฉันมาคิดคำนึงว่าเธอจะขาดอะไรในการเข้าสู่ชีวิตสมรสนี้ ก็เข้าใจว่าเธอจะขาดอยู่อย่างหนึ่ง คือความรู้และความชำนิชำนาญในการเป็นสามีที่ดี เพราะเธอยังไม่เคยเข้าสู่ชีวิตสมรส ตัวฉันเองก็ไม่คิดว่าตัวมีความรู้ในชีวิตสมรสดี แต่ฉันเป็นผู้หญิง พอจะมีความรู้บ้างในเรื่องที่ผู้ชายไม่รู้ คือในเรื่องที่ว่าสามีควรจะทำอย่างไรจึงจะให้ความสุขแก่ภริยาได้ เพราะฉันเคยเป็นเมียผู้ชายมาแล้วและเป็นเมียผู้ชายที่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นผัวที่ดี ความคิดคำนึงก็มีอยู่ตลอดว่าการที่ชีวิตของผู้หญิงจะมีความสุขได้นั้นจะต้องได้สามีชนิดไร และจะต้องปฏิบัติตนอย่างไรภริยาจึงจะมีความสุข ซึ่งจะเป็นความสุขในครอบครัวด้วย ฉันจึงเขียนมาตามความคิดคำนึงของฉัน

‘แต่ฉันก็ต้องออกตัวอีกเหมือนกัน ว่าถึงแม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกัน ก็ไม่เหมือนกันไปทุกคน ผู้หญิงคนหนึ่งอาจจะต้องการอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งอาจจะต้องการอีกอย่างหนึ่ง เพราะมนุษย์ไม่ได้เกิดมาในแบบพิมพ์ จะหวังให้เหมือนกันไปทั้งหมดไม่ได้ ฉันเขียนมาตามความคิดของฉัน ซึ่งไม่ใช่ ความคิดของหญิงทั่วไป แต่อาจจะเป็นลักษณะของหญิงส่วนมาก เราไม่สามารถจะหากฎเกณฑ์แน่นอนตายตัวในเรื่องของมนุษย์ จะหาได้บ้างก็แต่กฎเกณฑ์ทั่วๆ ไป ซึ่งจะต้องมีข้อยกเว้นมากๆ แต่อย่างไรก็ดี ฉันเชื่อว่าข้อความที่ฉันเขียนมาตามความคิดพึงใจของฉันนี้ คงจะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตสมรสของเธอบ้าง

ถ้าเราสมมติว่าผัวในโลกนี้มีอยู่ 4 ชนิด คือ

1. ผัวที่เป็นนาย หมายถึงผัวที่ฉันเคยมีมา คือผัวที่ถือว่าภริยาต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาไปทุกอย่าง และภริยาไม่มีฐานะอันใดดีไปกว่าสัตว์เลี้ยง หรือสัตว์พาหนะตัวหนึ่ง

2. ผัวที่เป็นพ่อ หมายถึงตัวที่มีความเมตตากรุณาแก่ภริยาทุกสถาน ให้ความอุปการทุกประการ พยายามทำให้ภริยามีความสุข แต่ถือว่าภริยาเป็นเด็กที่อ่อนความรู้ความคิดกว่าตัวทุกอย่าง ทำอะไรไม่จำเป็นต้องฟังความคิดเห็นของภริยา

3. ผัวที่เป็นเพื่อน หมายถึงตัวที่ถือว่าภริยามีฐานะเสมอตน ไม่สูงกว่า ไม่ต่ำกว่า ถือเป็นเพื่อนชีวิต ปรึกษาหารือในกิจของครอบครัว ฟังความคิดเห็น แต่ไม่จำเป็นต้องยอมรับหรือถือตามเสมอไป เลือกรับและถือตามแต่ที่มีเหตุผลสมควร

4. ผัวที่เป็นทาส คือตัวที่ยอมอยู่ใต้อำนาจเมียทุกอย่าง ตามใจเมียทุกสถาน เสียสละเพื่อเมียโดยไม่มีขอบเขต สิทธิและอำนาจในครอบครัวทุกอย่างเป็นของเมีย ยอมให้เมียเป็นช้างเท้าหน้า ส่วนตัวเองเป็นช้างเท้าหลัง หรือเป็นแต่เพียงหางช้าง

‘ในบรรดาสามี 4 ประเภทนี้ ถ้าฉันสามารถจะเลือกได้ตามชอบใจ ฉันจะเลือกสามีประเภทที่ 3 คือผัวที่เป็นเพื่อน เพราะตามความคิดเห็นของฉันนั้น ความสำคัญที่สุดของการเป็นสามีภริยากัน คือความเป็นเพื่อนชีวิต ความงาม ความเย้ายวน ความรื่นรมย์ ความพอใจทั้งหลาย เป็นของที่อิ่มง่าย เอื้อมง่าย แต่เพื่อนชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องการอยู่ตลอดเวลา การมีผัวเป็นนาย ทำให้สตรีหมดสภาพเป็นมนุษย์ และไม่สามารถจะมีความสุขได้ การมีผัวเป็นทาส เป็นทางให้เบื่อหน่ายเร็ว เพราะพวกของฉันคือพวกผู้หญิงมีลักษณะแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง คือถ้าใครขัดใจไปทุกอย่างก็เกลียด ถ้าใครตามใจไปทุกอย่างก็เบื่อ ผัวที่เป็นพ่ออยู่ในลักษณะผัวที่ดี แต่ลงท้ายก็นำความเบื่อหน่ายมาให้เหมือนกัน เพราะการที่ภริยาต้องอยู่ในฐานะเป็นเด็กไม่รู้จักโตอยู่ตลอดไปนั้น เป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย

ฉะนั้น เพื่อความสุขอันยั่งยืนในชีวิตสมรส ฉันขอแนะนำให้เธอเป็นผัวประเภทที่ 3 คือเป็นผัวที่เป็นเพื่อน รักษาระดับของภริยาไว้เท่ากับระดับของตัวเอง ไม่กดลงไปให้ต่ำกว่า แต่ไม่ยกขึ้นไปให้สูงกว่า ให้ความรับผิดชอบร่วมกันในชีวิต ถือว่ากิจการในครอบครัวเป็นส่วนได้เสียของทั้งสองคน ไม่ใช่ของคนหนึ่งคนใดแต่คนเดียว ปรึกษากันโต้เถียงกัน แต่ต้องวางใจให้เป็นธรรม และเคารพต่อการมีเหตุผล เพราะบางทีสามีก็มีเหตุผลดีกว่า บางทีภริยาเหตุผลดีกว่า ถ้าเราอาจจะมีทิฏฐิมานะกับคนอื่นบ้าง ก็ไม่ควรจะมีในระหว่างสามีด้วยกัน ความเห็นของฉันเป็นอย่างนี้

และฉันอยากให้เธอจำไว้สักเรื่องหนึ่ง คือตามปรกติ สมองของผู้หญิง มีความรู้หลักวิชาและความคิดทางเหตุผลน้อยกว่าผู้ชาย ผู้หญิงอาจเรียนเก่งกว่าผู้ชายในเวลาเรียน อาจได้คะแนนสูงกว่าผู้ชายในเวลาสอบ แต่เมื่อถึงเวลาที่จะเอาหลักวิชาไปใช้ให้เป็นงานเป็นการ ผู้หญิงก็สู้ผู้ชายไม่ได้ ตามปรกติผู้หญิงมีทิฏฐิมานะมากกว่าผู้ชาย เพราะฉะนั้น ความคิดในทางเหตุผลของผู้หญิงก็มีน้อยกว่า จึงเป็นการแน่นอนว่าตามปรกตินั้น ความรู้ความสามารถทางหลักวิชา และความคิดทางเหตุผลของผู้หญิงมีน้อยกว่าผู้ชาย แต่ธรรมชาติได้ให้เครื่องทดแทนแก่ผู้หญิงไว้อย่างหนึ่ง ซึ่งฉันไม่แน่ใจว่าทางวิชาการเขาเรียกว่าอะไร ฉันจะเรียกเอาเองว่าความสังหรณ์ใจ หรือความสะดุดใจ สะกิดใจ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ฉันขอยกตัวอย่างให้ชัดขึ้นหน่อย สมมติว่าเธอคิดจะทำอะไรอย่างหนึ่ง จะเป็นการค้าอุตสาหกรรม หรืออะไรที่เป็นการเสี่ยง เธอคิดตามหลักวิชาและเหตุผลว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ เมื่อทำเข้าแล้วจะเกิดผลดี เธอนำความคิดอันนี้บอกแก่ภริยา ภริยาไม่เห็นด้วย และไม่อยากให้ทำ เธอถามภริยาว่า ด้วยเหตุผลอะไรจึงไม่เห็นด้วย และไม่อยากให้ทำ ภริยาไม่สามารถจะให้เหตุผลได้ เธอจะพูดกับภริยาในทางหลักวิชา ภริยาจะบอกว่าไม่รู้ แต่ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้และไม่สามารถจะให้เหตุผล ก็ยังไม่เห็นด้วย และไม่อยากให้สามีทำ ถ้ากรณีเช่นนี้เกิดขึ้นแก่เธอ ก็ขออย่าเพิ่งรีบคิดว่าภริยาเหลวไหล เพราะผู้หญิงมีธรรมชาติอันหนึ่ง ซึ่งฉันอยากเรียกว่าความสังหรณ์ใจหรือความสะกิดใจ ธรรมชาติอันนี้มีอยู่ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย หลักวิชาก็ไม่รู้ เหตุผลก็ให้ไม่ได้ แต่ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมากระซิบว่าอย่าทำ ไม่ควรทำ เธอขึ้นทำไปตามเหตุผลและหลักวิชาอาจจะผิดและเกิดผลเสียหายก็ได้ เพราะสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ไม่ได้เป็นตามเหตุผลและหลักวิชาเสมอไป มีเรื่องที่เขาเรียกว่าโชคดี โชคร้าย คนที่ทำอะไรเสียหายขาดทุนล่มจม ไม่ใช่เพราะขาดหลักวิชาหรือเหตุผล ก่อนจะทำงานใหญ่ก็ได้ศึกษาหลักวิชา และคิดหาเหตุผลรอบคอบ แล้วแต่กลับโชคร้าย เกิดความเสียหายใหญ่หลวงไปได้ก็มี เพื่อความปลอดภัยในเรื่องนี้สัก 90 เปอร์เซ็นต์ ลองหารือภริยาดู ต้องฟังความสังหรณ์หรือความสะกิดใจของภริยาดู ฉันก็ไม่รับรองว่า ความสังหรณ์ หรือความสะกิดใจของผู้หญิงจะถูกเสมอไป แต่มีส่วนถูกโดยมาก เพราะธรรมชาติได้ให้เครื่องมืออันนี้มาแก่ผู้หญิง เพื่อทดแทนความบกพร่องทางหลักวิชาและเหตุผล ประโยชน์สำคัญของเพื่อนชีวิตอยู่ที่ตรงนี้

‘ถ้าหลักวิชาและเหตุผลของเธอ มาตรงกับความคิดเห็นชอบของภริยา และภริยาบอกว่าเห็นด้วย เธออาจจะมั่นใจได้ 90 เปอร์เซ็นต์ ว่าเป็นการกระทำที่ไม่ผิด หากจะผิด ก็จะไม่ผิดอย่างเสียหายใหญ่หลวง แต่เธอต้องทราบไว้อย่างหนึ่ง คือตามปรกติ ภริยามักจะไม่ตอบว่าเห็นด้วย เพราะผู้หญิงไม่ชอบแสดงความเห็นคล้อยตามสามี ผู้หญิงไม่ชอบแสดงความเห็นพ้องออกไปอย่างชัดแจ้ง ในเรื่องที่สามีเป็นเจ้าของความคิด ฉะนั้นในกรณีที่ภริยาเห็นชอบกับความคิดของเธอ ภริยาอาจจะพูดว่า ตามใจเธอ ซึ่งต้องเข้าใจว่าภริยาเห็นชอบด้วย แต่ที่พูดเพียงว่า ตามใจเธอนั้น ก็เพื่อว่า ถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นจะได้โทษสามีได้ เรื่องของพวกฉันเป็นอย่างนี้เสมอ

ถ้าหากภริยาค้านว่าไม่เห็นด้วย หรือไม่อยากให้ทำ แม้ภริยาจะแสดงเหตุผลหรือหลักวิชาการอะไรไม่ได้ ก็ขอให้เธอเก็บเอามาตรึกตรองดูใหม่ เธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ แต่โบราณก็ถือว่า จิ้งจกทักยังต้องยับยั้ง นี่คนทัก ยิ่งคนที่เป็นเมียทัก ก็ควรจะยั้งตรอง

แน่นอนทีเดียว การเป็นสามีที่ดีนั้นยากมาก เช่นเดียวกับการทำความดีทั้งหลาย ย่อมยากกว่าการทำชั่ว ความยากลำบากของการทำดี ก็คือต้องหาจุดที่พอเหมาะ เพราะว่าความดีนั้นคือความพอเหมาะ อะไรที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ก็ไม่ดีทั้งนั้น เพราะเหตุที่ต้องทำให้พอเหมาะจึงจะเป็นความดีเช่นนี้ การทำความดีจึงเป็นการยาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องชีวิตสมรส เรื่องของกริยาเป็นเรื่องลำบาก ถ้าสามีทำห่างเหิน ก็เกิดความโทมนัส ถ้าสามีทำความสนิทสนมอยู่ด้วยตลอดเวลา ก็เกิดความเบื่อหน่าย ถ้าสามีขัดใจก็ไม่ชอบ ถ้าสามีตามใจไปทุกอย่างก็เบื่อได้เหมือนกัน ฉะนั้นจึงเป็นความยากลำบากสำหรับสามี ที่จะต้องหาจุดพอเหมาะไว้เสมอ อย่าห่างเหินกริยา แต่ก็อย่าคลุกคลีเซ้าซี้อยู่ตลอดเวลา จนภริยาเกิดความอิ่มเอื้อม อย่าขัดใจกริยาบ่อยๆ แต่ก็อย่าตามใจไปทุกอย่าง การขัดกันโต้เถียงกัน หรือถึงกับทะเลาะกันนั้น บางทีก็เป็นผลดี เพราะเมื่อหมดเรื่องขัดแย้งโต้เถียงหรือทะเลาะกันแล้ว อาจจะรักกันมากขึ้นอีก ชีวิตสมรสต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ คือมีมืดมีสว่าง ถ้ามืดไปตลอดเวลาก็ไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าสว่างตลอดไปความเบื่อหน่ายก็เกิดขึ้น ถ้าความเบื่อหน่ายเกิดขึ้นแล้ว ต่อให้มีชีวิตอยู่บนสวรรค์ก็ไม่ผาสุก

ฉะนั้น เครื่องทำลายความผาสุกของสตรีในชีวิตสมรส จึงมีอยู่ 2 ประการ คือความเดือดร้อนและความเบื่อหน่าย ความห่างเหินและความขัดใจ ทำให้ภริยาเดือดร้อน การคลุกคลีเซ้าซี้ตลอดเวลา และการตามใจภริยาไปทุกอย่าง ทำให้ภริยาเบื่อหน่าย ฉะนั้น สามีที่จะให้ความสุขแก่ภริยาได้ จึงต้องมีความสามารถในทางสร้างความพอเหมาะ ซึ่งฉันเองก็เห็นใจผู้ชายว่าเป็นเรื่องยากมาก

เธอต้องให้อภัยในความเป็นเพศอ่อนแอของผู้หญิง ที่ว่าผู้หญิงเป็นเพศอ่อนแอนั้น ไม่ได้หมายความว่า กำลังร่างกายของผู้หญิงจะอ่อนแอกว่าชาย หรือความขยันหมั่นเพียรจะน้อยกว่า ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงจะต่อสู้ความยากลำบากได้น้อยกว่าชาย เธอได้เห็นมาแล้วว่า ผู้หญิงไทยเราโดยทั่วไป และโดยเฉพาะพวกชาวไร่ชาวนาอย่างฉัน ผู้หญิงทำงานได้เท่าผู้ชาย หรือบางทีจะมากกว่า ความขยันหมั่นเพียรหรือความมานะอดทน ต่อสู้กับชีวิต ผู้หญิงก็ไม่แพ้ผู้ชาย แต่ที่เขาพูดกันว่า ผู้หญิงเป็นเพศอ่อนแอนั้น เขาหมายถึงแต่เรื่องอารมณ์ เพราะว่าสำหรับผู้หญิงนั้น อารมณ์มีอำนาจสูงกว่าเหตุผล เธออย่าประหลาดใจ ในเมื่อเธอได้เห็นภริยาโกรธเธอโดยไม่มีเหตุผล ผู้หญิงเขาไม่ต้องการเหตุผลสำหรับจะโกรธ เขาอยากจะโกรธขึ้นมาเมื่อไร เขาก็โกรธได้ การพยายามง้อหรือทำให้ภริยาหายโกรธนั้น เป็นความดีของสามี ถ้าเธอทำได้ก็เป็นความดีของเธอ แต่อย่าคิดว่าจะได้ผลเสมอไป บางทีเธอก็ไม่ต้องทำความพยายามให้ภริยาหายโกรธ เพราะบางทีถึงบทจะหายก็หายไปเอง ขืนไปง้อเข้าบางทียิ่งจะหายโกรธยากขึ้นอีก เธออย่าประหลาดใจ ในเมื่อเธอมีความจำเป็นต้องไปไกลภริยา และได้รับจดหมายของภริยา บรรทัดหนึ่งเศร้าใจด้วยความรักและคิดถึง ต่อมาอีกบรรทัดหนึ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บรรทัดหนึ่งแสดงความมีมานะ มีกำลังใจ ต่อมาอีกบรรทัดหนึ่งแสดงความท้อถอยเบื่อหน่ายชีวิต เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของอารมณ์ ความอ่อนแอของผู้หญิงมีอยู่ที่ตรงนี้ ผู้หญิงสามารถจะเอาชนะอะไรๆ ได้มาก แต่ผู้หญิงต้องพ่ายแพ้ต่ออารมณ์ของตนเองเสมอ แต่ทั้งหมดเป็นความรักผัว เป็นความตั้งใจดี เป็นดวงใจที่บริสุทธิ์ ขอให้เธอยึดถือแต่ความรัก ความตั้งใจดี และดวงจิตอันบริสุทธิ์ของภริยา และให้อภัยแก่ความอ่อนแอแพ้อารมณ์ เมื่อเธอทำได้เช่นนี้ ชีวิตสมรสก็สามารถจะราบรื่นไปได้

ฉันคิดว่าจดหมายฉบับนี้ยืดยาวมากเกินไปแล้ว จึงขอจบจดหมายฉบับนี้ด้วยความตั้งใจจริงอีกครั้งหนึ่ง ว่าขอให้เธอประสบความสุขความเจริญ และขอให้ชีวิตสมรสของเธอยั่งยืนถาวร สร้างชีวิต สร้างความก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป

จากเพื่อนที่ตั้งใจดีต่อเธออยู่ทุกขณะ

เรไร’

คู่สมรสของสุธีเป็นชาวกรุงเทพ ฯ แท้ ได้รับการศึกษาอย่างดีพอสมควร มีหลักฐานทรัพย์สมบัติ ซึ่งบิดามารดาของสีหวังจะได้พึ่งเขาบ้าง ในการก่อร่างสร้างชีวิตของสุธีต่อไป คู่บ่าวสาวไม่เคยรักกันมาแต่ก่อน เพราะสุธีเป็นชายหนุ่มที่ไม่ค่อยยุ่งกับเรื่องรัก เขาชอบเรื่องโลดโผนผจญภัย จึงมาเกิดถูกอกถูกใจเรไร ซึ่งมีลักษณะอย่างเดียวกัน เขายอมแต่งงานในเมื่อเห็นชัดว่าเรไรไม่ได้ให้ความหวังอะไรแก่เขา และเรไรเองได้ผลักดันให้เขามาทางนี้ ถ้าจะเปรียบเทียบระหว่างเรไรกับคู่สมรสของสุธี เรไรก็มีทางแพ้อยู่สองอย่าง อย่างหนึ่งคือหลักฐานทรัพย์สมบัติส่วนตัว ซึ่งเรไรไม่มีอะไร อีกอย่างหนึ่งคือเรไรเคยมีผัวมาแล้ว แต่นอกจากสองอย่างนี้ เรไรก็ได้เปรียบทุกสถาน เรไรสวยกว่า และสวยกว่าเป็นอันมาก แม้ว่าเรไรจะเคยมีสามีมาแล้ว ก็ยังมีความสวยความเปล่งปลั่งมากกว่าเจ้าสาวของสุธี แม้ว่าเรไรจะได้รับการศึกษาเพียงขั้นโรงเรียนประชาบาล ความสนใจในการอ่านไม่หยุดหย่อน อ่านมาอีกตั้ง 10 ปี ความรู้ของเรไรจึงดีกว่า พูดถึงความชำนาญในการผจญชีวิตซึ่งเรไรมีอยู่เต็มที่ คู่สมรสของสุธีไม่มีเลย ถ้าเป็นเรื่องที่จะต้องเอาชีวิตเป็นการต่อสู้ จะต้องมานะพยายามสร้างชีวิตต่อไป สร้างความเจริญ ความก้าวหน้าด้วยลำแขนของตัวเอง เรไรสามารถจะเป็นเพื่อนชีวิตของสุธีได้ดีกว่าคู่สมรสของเขา แต่เรไรได้พยายามขจัดความคิดเช่นนี้ออกไปจากดวงใจ เรไรไม่ได้คิดถึงการแต่งงานต่อไป ไม่ได้ใฝ่ฝันถึงการที่จะมีผัวใหม่ เธอรู้จักการมีผัวมาแล้ว และมันไม่ได้เป็นสวรรค์จริงอย่างเขาว่า พวกนักประพันธ์ได้วาดภาพความรื่นรมย์สมสุขของการร่วมรักมากเกินไป เท่าที่เรไรประสบมา ไม่เห็นดีวิเศษอะไรเลย

ฉะนั้น เรไรตกลงปล่อยชีวิตให้ดำเนินไปตามทางของมัน พยายามปล่อยเวลาให้ผ่านไปด้วยการปลูกผัก เลี้ยงไก่ ผักโตขึ้น ไก่โตขึ้น ได้ไข่มากขึ้น ไร่ฝ้ายของพ่อแม่งอกงามดีขึ้น เป็นความก้าวหน้าแห่งชีวิตตามประสายากของเรไร เธอคอยหาเวลาอันเหมาะสมที่จะเดินทางไปเมืองใต้ ให้ได้ผจญกันอีกสักคราวหนึ่ง แล้วเธออาจจะสบายใจยิ่งขึ้น

ส่วนทางสุธีก็ได้ปล่อยให้ชีวิตสมรสดำเนินไปตามทางของมัน เขาอ่านจดหมายของเรไรด้วยความสนใจ แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะปฏิบัติได้ตามนั้นทุกอย่างหรือไม่ เขารู้จักคู่สมรสของเขาน้อยเต็มที และรู้สึกว่ายังจะต้องใช้เวลาอีกมาก สำหรับจะรู้จักและเข้าใจกันดีเหมือนอย่างเรไร แต่เขาก็พยายามจะทำตนเป็นสามีที่ดีให้มากที่จะทำได้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ