บทที่ 3 เรไรลอยล่อง

รถไฟที่เรไรเดินทางมานั้นเป็นรถชั้นที่ 1 เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เรไรขึ้นรถไฟ เธอเคยทราบเรื่องการเดินทางโดยรถไฟแต่โดยการอ่านหนังสือ ไม่ได้เคยขึ้นจริงๆ เธอรู้ว่ารถไฟมี 3 ชั้น ชั้นที่ 1 ชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 เธอมีเงินพอที่จะจ่ายค่าเดินทางชั้นที่ 1 ได้ และเข้าใจว่าการเดินทางชั้นที่ 1 ปลอดภัยมากกว่า ระวังตัวได้ดีกว่าชั้นสองชั้นสาม เธอตั้งใจจะเดินทางชั้นที่ 1 แต่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะเป็นการหมดเปลืองโดยใช่เหตุ คราวนี้เป็นความจำเป็นเพราะเดินทางคนเดียว และอยู่ในระหว่างหัวต่อหัวเลี้ยวเรื่องยุ่งยากของเธอ

เรไรไม่เชื่อเลยว่าเศรษฐีและภริยาเอกจะปล่อยให้เรไรเดินทางโดยลำพัง ไม่ส่งคนลับของเขาติดตามมาด้วย เรไรเชื่อว่าต้องมีคนติดตามมาด้วยแน่ๆ และเมื่อเป็นเช่นนั้น การเดินทางชั้นที่ 1 ก็ปลอดภัยกว่า เพราะพอจะมองหน้าดูท่าทีเข้าใจได้บ้างว่า ใครเป็นคนดี ใครเป็นคนร้าย เนื่องจากคนน้อยและไม่แออัดพลุกพล่านเหมือนชั้นที่ 2 ที่ 3 เรไรแต่งตัวดี มีเครื่องแต่งกายอย่างสุภาพสตรีสมัยใหม่ อันที่จริงเธอได้แต่งกายดีเสมอ เพราะพวกเมียเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนายเงินผู้นี้ ได้เครื่องแต่งกายดีๆ ทั้งนั้น ยิ่งกว่านั้น เรไรเป็นคนสวย สวยอย่างผู้ที่เดินทางมาในรถขบวนเดียวกันต้องมองด้วยประหลาดใจ ประหลาดในความสวยและประหลาดในความแปลกหน้า เพราะไม่มีใครเคยเห็นและรู้จักเรไร ความสวยของเรไรเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องสังเกต หนึ่งปีแห่งชีวิตเมียน้อย ไม่ได้ทำความทรุดโทรมให้แก่เรไร ตรงกันข้าม กลับทำให้เรไรเป็นสาวเต็มตัว เป็นความสวยที่เปล่งปลั่งอย่างคนสวยจริงๆ คนหนึ่ง

เมื่อรถไฟเคลื่อนจากสถานี เรไรก็นั่งนึกขบขันตัวเอง เธอกล้าหาญเดินทางคนเดียวเข้าไปกรุงเทพฯ ซื้อตั๋วสำหรับไปกรุงเทพฯ โดยไม่เคยเห็นเลยว่ากรุงเทพฯ เป็นอย่างไร เธอไม่วิตกในการที่จะลงผิดสถานี เพราะทราบว่ากรุงเทพฯ เป็นปลายทางรถไฟ เมื่อรถไฟไม่แล่นต่อไปอีก ที่นั่นก็เป็นกรุงเทพฯ คราวนี้เมื่อถึงกรุงเทพฯ แล้ว เธอจะไปไหน ไปพักที่ไหน ไปอยู่กับใคร เธอมองไม่เห็นทาง แต่ทราบว่าในสถานีปลายทางที่กรุงเทพฯ มีโรงแรมชื่อว่า โรงแรมราชธานี เธอคงจะพักที่นั่นจนกว่าจะมีช่องทางไปทางไหน เรไรนึกถึงพ่อแม่ของเธอ ซึ่งมีการศึกษาน้อยกว่าเธอ ยังเข้ามากรุงเทพฯ และเดินทางต่อไปที่อื่นได้ ไม่มีอะไรที่น่ากลัว แต่อย่างไรก็ตาม การเดินทางโดยไม่มีจุดหมายแน่นอน และไม่รู้หนเหนือหนใต้เช่นนี้ ก็เป็นเหมือนผักหญ้าหรือวัตถุอันใดอันหนึ่งที่ลอยล่องไปตามลำแม่น้ำ เธอเรียกชื่อตัวของเธอเองในเวลานี้ว่า ‘เรไรลอยล่อง’

โดยเหตุที่เป็นรถเร็ว จึงไม่หยุดตามสถานีเล็กๆ แล่นมากว่าครึ่งชั่วโมงจึงหยุดครั้งหนึ่ง เป็นสถานีใหญ่ แต่มีคนขึ้นลงที่สถานีนี้ไม่มากนัก ไม่มีความจอแจในสถานีนั้น คนขึ้นลงอยู่ประเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นความเงียบเชียบ แต่รถไฟก็ยังจอดนิ่งอยู่ เรไรเปิดกระจกชะโงกออกไปมอง เพื่อแลหาว่าจะมีใครมองดูเธออย่างผิดปกติบ้างหรือไม่ เธอได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งวัยกลางคน ยิ้มกับเธอมาแต่ไกล เธอไม่กล้ายิ้มตอบเพราะไม่รู้จัก และไม่แน่ใจว่าเขายิ้มกับเธอหรือกับคนอื่น แต่เขาเดินตรงเข้ามาที่หน้าต่างของเธอ เขาแต่งกายเรียบร้อย ท่าทางเป็นสุภาพบุรุษ และเป็นผู้ใหญ่ เรไรคาดว่าเขาคงมีอายุราว 40 ปี เขาร้องทักเรไรอย่างคนที่รู้จักกันมาช้านาน

“คุณเรไรจะขึ้นไปกรุงเทพ ฯ หรือครับ ?” เขาพูดซึ่งทำให้เรไรต้องเชื่อว่าเขารู้จักเรไรแน่ เขาไม่ได้ทักคนผิดตัว เพราะเขาออกชื่อเรไรอย่างชัดเจน

“ไปกรุงเทพ ฯ ค่ะ” เรไรตอบโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร และไม่รู้ว่าเขาจะมาท่าไหน

“เห็นจะไปพักกรุงเทพ ฯ นานกระมังครับ” เขาถามต่อ

“ยังไม่แน่ค่ะ อาจจะกลับเร็วก็ได้”

“ผมก็อยากไปกรุงเทพ ฯ เต็มที แต่ไม่มีโอกาส ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ งานยุ่งเหลือประมาณ ไปทางไหนไม่รอด”

เรไรต้องประสบความมืดแปดด้านอีกครั้งหนึ่ง เธอไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นใคร เขามาพูดเหมือนอย่างว่ารู้จักกันอย่างสนิท แต่หน้าตาเขาไม่ใช่คนร้าย ลักษณะเป็นคนดี แล้วก็มีท่าทางเป็นผู้ใหญ่ด้วย

“แล้วนี่คุณจะไปไหนคะ ?” เรไรถามเขา

“เปล่าครับ มาที่สถานีนี้เอง มีห่อของที่จะฝากไปบ้านสักหนึ่งห่อ ออกมาที่สถานีเผื่อจะพบใครที่รู้จักชอบพอกันบ้าง” เขาเป็นคนพูดเสียงดัง เสียงพูดของเขาเกือบจะได้ยินทั่วสถานี “เคราะห์ดีมาพบคุณ ขอความช่วยเหลือนำของห่อนี้ไปให้ลูกสาวผมที่บ้านหน่อยได้ไหมครับ ?” เขาพูดพร้อมกับชูห่อของห่อหนึ่งซึ่งมันไม่ใหญ่โต หรือทำความลำบากอะไรแก่เรไรมากนัก

“ได้ค่ะ ดิฉันจะนำไปให้ แต่บ้านคุณในกรุงเทพ ฯ อยู่ที่ไหนคะ ?”

“เขียนไว้ชัดเจนบนห่อของนี่ครับ หาง่ายครับ ไม่ยากหรอก”

“ดิฉันยินดีนำไปให้ค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ”

เขายื่นห่อของให้ เรไรเอื้อมรับของ รถไฟเคลื่อนออกพอดี เขาโบกมือร้องบอกให้เดินทางสวัสดี เรไรมองเขาจนรถไฟเลี้ยวลับตา และตกอยู่ท่ามกลางแห่งความพิศวงงงงวย เธอประหลาดใจโชคชะตาว่าเหตุใดจึงบันดาลให้เธอพบความลึกลับซับซ้อนอยู่เรื่อยๆ อย่างไรก็ดี ความลึกลับเกี่ยวกับชายผู้นี้ ไม่เป็นความลึกลับอยู่นานนัก เพราะเมื่อเรไรพิจารณาดูห่อของนั่น เรื่องราวก็กระจ่างแจ้งขึ้นทั้งหมด

ไม่ใช่ห่อของซึ่งจะฝากไปให้ใครที่ไหน บนห่อนั้นเขียนส่งถึงตัวเรไรเอง และมีจดหมายฉบับหนึ่ง เขียนหน้าซองถึงตัวเรไรเอง เรไรเปิดออกอ่าน เป็นจดหมายของนายสมพร เจ้าของบ้านที่เคยให้เรไรยืมหนังสือมาแต่เด็ก และที่รับเป็นสำนักงานกลางติดต่อระหว่างเรไรและพ่อแม่ของเรไรในเวลานี้ เขาเป็นผู้ที่เรไรจะต้องขอบคุณอย่างมาก เพราะเขาทำตัวเหมือนอย่างว่าเป็นพ่อคนที่ 2 ของเรไร เขารอบรู้หมดทุกอย่าง รู้จนกระทั่งเรื่องยุ่งยากลำบากใจของเรไร และคอยช่วยเรไรเหมือนหนึ่งเทพเจ้าที่คอยคุ้มครองป้องกันเรไร จะต้องถือว่าเขาเป็นผู้มีบุญคุณอย่างสูงมากคนหนึ่ง

ข้อความในจดหมายของเขาเป็นดังนี้

หนูเรไร ที่รัก

ห่อของที่เธอส่งมาให้เมื่อสองวันก่อน ฉันได้รับไว้เรียบร้อยแล้ว และในขณะที่กำลังเตรียมจะส่งไปให้พ่อแม่ของเธอ ก็ได้ข่าวว่ามีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นในบ้านเธอ ซึ่งฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร ตามตัวเด็กฉลาดที่เรไรเคยใช้มาซักถาม เขาบอกว่าเขาแอบได้ยินว่าเรไรจะต้องเดินทางขึ้นไปพบพ่อแม่ของเรไร ฉันเห็นว่าทางที่ดีที่สุดก็คือ เอาของสิ่งนี้มาให้เรไรถือไปเองดีกว่าจะส่งไป การที่จะนำของนี้ไปให้เธอที่สถานีรถไฟที่เธอขึ้นรถก็ดูไม่เป็นการรอบคอบ จะต้องหาทางนำมามอบให้อีกสถานีหนึ่ง ฉันจึงได้มาที่สถานีนี้โดยรถยนต์ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ มาพักอยู่ที่บ้านคนที่รู้จักรักใคร่กันคนหนึ่ง

ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ที่บ้านของคนที่รู้จักรักใคร่กันนั้น เปิดเผยเรื่องราวของหนูเรไรให้เขาฟังบ้าง เขาชื่อนายบุญโชติ เป็นคนดี เมื่อเขาได้ทราบเรื่องบ้าง เขาก็มีความเมตตาสงสารหนูเรไรเหมือนกัน ฉันเลยขอให้เขาช่วยแสดงละครฉากน้อยๆ ให้สักฉากหนึ่ง ฉันเองไม่กล้าแสดงตัวออกมา เพราะเชื่อว่าที่หนูเรไรเดินทางมาครั้งนี้ คงจะมีสายลับของเขาติดตามมาด้วย นายบุญโชติเพื่อนของฉันคนนี้จึงรับแสดงบทบาทที่ฉันต้องการ เพราะเขาไม่ใช่คนชาวเมืองเรา เขาไม่เคยไปทางเมืองเรา ถึงแม้สายลับจะเห็นเขา ก็จะไม่รู้จักว่าเป็นใคร

เราได้ซักซ้อมกันว่า นายบุญโชติกับฉันจะไปด้วยกันที่สถานีรถไฟ ไปคอยดูว่าหนูเรไรอยู่ตู้โดยสารตู้ไหน ถ้าเผอิญหนูเรไรโผล่หน้าต่างออกมา ก็จะเป็นเคราะห์ดี ฉันจะชี้ให้เขาดูว่าหนูเรไรอยู่ที่ไหน แล้วฉันก็จะหลบไปเสีย ปล่อยให้เขาเข้าไปหาหนูเรไร เราซักซ้อมคำพูดและท่าทางรู้จักสนิท สนมมาเรียบร้อย ฉันสั่งให้เขาพูดเสียงดังๆ เผื่อว่าถ้ามีสายลับตามมาด้วย ก็ให้มันได้ยิน ลงท้ายก็เอาห่อของห่อนี้ให้หนูเรไร เราซักซ้อมกันมาอย่างนี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าโชคจะช่วยให้แสดงบทบาทอันนี้ได้สำเร็จหรือไม่ ถ้าบังเอิญที่นั่งของหนูเรไรอยู่เสียอีกข้างหนึ่ง และหนูเรไรไม่โผล่มาทางนี้ก็เป็นอันไม่สำเร็จ จะต้องส่งห่อของนี้ไปทางไปรษณีย์ แต่ถ้าโชคช่วยให้พบกันได้สำเร็จ หนูเรไรจะได้รับความสะดวกในการเดินทางไปครั้งนี้อีกเป็นอันมาก คือนายบุญโชติคนที่เขาจะมาพบหนูเรไรนี้ พื้นเพเดิมเป็นชาวกรุงเทพ ฯ เขายังมีบ้านช่องเป็นหลักฐานอยู่ในกรุงเทพ ฯ เขายินดีจะช่วยเหลือให้หนูไปพักที่บ้านของเขาได้ จนกว่าหนูจะมีแผนการไปที่อื่นต่อไป เขาเขียนจดหมายบอกน้องชายของเขาให้ช่วยเหลือเธอ น้องชายของเขาชื่อนายบุญช่วง เมื่อเธอไปถึงกรุงเทพ ฯ ถ้าสามารถจะตรงไปที่บ้านนายบุญช่วงได้ ก็ให้ตรงไปยังตำบลบ้านที่เขียนไว้หน้าซองนี้ ถ้าจะไปไม่ถูกหรือยังไม่อยากตรงไป เพราะกลัวถูกติดตามรู้ตำแหน่งแห่งที่ ก็ให้หนูพักอยู่ที่โรงแรมราชธานี แล้วส่งจดหมายนี้ไปโดยทางไปรษณีย์ คอยอยู่ที่โรงแรมราชธานีจนกว่านายบุญช่วงจะมารับ ถ้ามีคนมารับก็ให้หนูขอดูจดหมาย ถ้าเขามีจดหมายฉบับที่หนูส่งไปรษณีย์นั้นมาด้วย ก็ให้หนูไปกับเขาได้ จะเป็นการปลอดภัยทุกอย่าง

หวังใจว่าโชคจะช่วยให้เราทำการได้สำเร็จ ตามที่คิดกันไว้นี้ และขอให้หนูเดินทางสวัสดี พ้นภัยอันตรายทุกประการ

ต่อไปเป็นการลงนามของนายสมพรท้ายจดหมาย เรไรน้ำตาไหลเมื่ออ่านจดหมายจบลง น้ำตาไหลโดยซาบซึ้งในความกรุณาของท่านผู้นี้ คนดีในโลกนี้ก็ยังมีอยู่มากเหมือนกัน เรไรคิด โลกอาจจะมีความยุติธรรมและความเมตตาปรานีอยู่บ้าง เรไรมองเห็นความสว่างอยู่เบื้องหน้า และเชื่อว่าโชคชะตาจะไม่ทอดทิ้งเธอมากเกินไป

แต่ภาระอันยากลำบากของเรไร ก็คือห่อของนั้นเอง มันเป็นห่อเอกสารสัญญาที่เรไรขโมยมาจากตู้เซฟของเศรษฐี เรไรดีใจที่ส่งมันไปพ้นตัวแล้ว บัดนี้เรไรจะต้องหอบมันไปด้วย ซึ่งเป็นความลำบากไม่น้อย ความคิดได้เกิดมีขึ้นขณะหนึ่ง ว่าควรจะโยนมันทิ้งเสียตามทางรถไฟ แต่ก็เสียดาย เพราะเรไรก็อยากรู้เหมือนกันว่ามีอะไรบ้าง อีกประการหนึ่ง ถ้าโยนทิ้งลงไป คนอาจจะเก็บได้ รู้ว่าเป็นเอกสารอันมีค่า และรู้ว่ามันออกมาจากบ้านเศรษฐี คนที่อยากจะได้สินจ้างรางวัลอาจจะนำกลับคืนไปให้เขา ความพยายามที่เรไรทำมาก็จะเปล่าประโยชน์ ตกลงเก็บไว้ มันโตเกินกว่าที่จะใส่กระเป๋าหิ้วที่เรไรถือ เรไรต้องยกหีบใบใหญ่ลงมาจากที่วางหีบข้างบน ไขกุญแจเปิดหีบเอาห่อนั้นใส่หีบ ใส่กุญแจให้เรียบร้อย ยกหีบขึ้นวางไว้กับที่ แล้วก็ตั้งใจว่าจะไม่ยอมหลับตาตลอดทาง

อันที่จริง ในรถไฟตู้นั้นก็ดูไม่มีอะไรน่ากลัว คนที่นั่งมาในห้องชั้นที่หนึ่งนั้น เรไรสังเกตว่าดูเหมือนจะเป็นข้าราชการชั้นกลางหรือชั้นผู้ใหญ่ทั้งสิ้น เพราะได้ยินเขาพูดกันถึงราชการงานเมืองตลอดเวลา มีครอบครัวมาอีก 2 ครอบครัว มีลูกขนาดเล็ก ๆ มาด้วย ในห้องที่มีผู้หญิงมีเด็กมาด้วยเช่นนี้ ความเสี่ยงภัยก็คงน้อยลง สุภาพสตรีสูงอายุคนหนึ่งคงจะเห็นเรไรน่ารัก น่าเอ็นดู ตั้งต้นยิ้มกับเรไร ลงท้ายก็เป็นเพื่อนสนทนากัน เป็นอันว่าเรไรได้เพื่อนเดินทาง ซึ่งทำให้รู้สึกความสว่างและสบายใจขึ้นเป็นอันมาก

แม้เรไรจะรู้สึกว่าไม่มีอันตรายอย่างใดในรถคันนั้น และเรไรสามารถจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วกลับมาเห็นหีบอยู่เรียบร้อย เรไรก็ไม่ไว้วางใจถึงกับจะไปรับประทานอาหารที่ตู้เสบียง เธอสั่งอาหารมารับประทานยังที่ที่เธอนั่ง และไม่ยอมงีบหลับ พยายามขจัดความง่วงด้วยการคิดแผนการนานาประการ มองดูภูมิภาพที่ผ่านตามทางรถไฟ เป็นการเดินทางที่มีห่วง แต่ก็สบายใจขึ้นมาก สตรีสูงอายุซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเธอได้ชวนพูดบ้าง แต่ไม่ได้พูดกันมากนัก

เวลาบ่าย 14.30 น. รถไฟได้หยุดที่สถานีใหญ่แห่งหนึ่ง สตรีสูงอายุผู้นั้นลงไปซื้อของข้างล่าง มีชายคนหนึ่งเข้ามาที่เรไรนั่ง พูดว่า “ขอประทานโทษ” แล้วก็ไปมองที่หน้าต่างข้างที่นั่งของเรไร ซึ่งเรไรเห็นว่าเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพ เพราะเขาไม่ควรจะใช้หน้าต่างที่สุภาพสตรีนั่งอยู่ เขาอาจจะใช้หน้าต่างอื่นก็ได้ ชายนั้นมองอยู่ประเดี๋ยวเดียวก็กลับออกไป เขาทำกระดาษชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งหล่นลงที่ตักของเรไร แล้วเขาก็เดินไปทางเบื้องหลังเรไร ออกจากตู้นั้นไปตู้อื่น

เรไรหยิบเศษกระดาษนั้นขึ้นดู มีข้อความเขียนว่าดังนี้

มีชายสองคนติดตามคุณมาในขบวนรถเดียวกัน ผมทำความรู้จักกับเขาไว้ได้ เขาไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ถ้าคุณอยากเห็นหน้าคนทั้งสองนั้น ขอให้คุณเดินผ่านตู้เสบียงเวลา 16 น. ผมจะชวนเขาไปดื่มเบียร์ที่นั่น

เรื่องลึกลับได้เกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง คราวนี้เป็นเรื่องลึกลับที่เรไรต้องสนใจอย่างแท้จริง เพราะลายมือที่เขียนเศษกระดาษนี้ เป็นลายมือเดียวกันที่เขียนจดหมายส่งยาพิษ อันเป็นเหตุให้เรไรต้องลอยล่องมาในรถไฟ เรไรเสียดายที่ไม่ได้มองหน้าตาของเขา เมื่อเขามาขอโผล่หน้าต่าง เพราะเรไรนึกโกรธว่าเขาไม่สุภาพในการมาใช้หน้าต่างข้างที่นั่งของเรไร เรไรเลยไม่รู้ว่าหน้าตาของเขาเป็นอย่างไร จึงต้องทบทวนความจำเท่าที่เห็นและที่สามารถจะจำได้ เรไรระลึกได้ว่าชายนั้นนุ่งกางเกงช้ากสกินสีเทา สวมเชิ้ตสีฟ้าอ่อนๆ ไม่สวมเสื้อนอก ถ้าเธอจะเดินผ่านตู้เสบียงตามเวลาที่เขากำหนดนัด ก็คงจะหาตัวเขาได้ ยิ่งเขาบอกว่าจะไปดื่มเบียร์กับชายอีก 2 คนที่ติดตามเรไรมา ก็ยิ่งมีทางที่จะพบได้ไม่ยากนัก ปัญหามีอยู่ว่า เรไรจะไปตามนัดของเขาหรือไม่

เรไรมีเวลาตรึกตรอง เพราะเหลือเวลาอีกตั้ง 1 ชั่วโมงครึ่ง เหตุผลที่จะไม่ไปก็มีอยู่อย่างเดียว คือเป็นห่วงหีบของ ซึ่งใส่เอกสารไว้ในนั้น แต่เหตุผลที่จะไปนั้นมีมากกว่า ความอยากเห็นคน 2 คนที่เศรษฐีเขาใช้ติดตามมานั้นก็มีมาก แต่ที่มีมากยิ่งขึ้นไปอีก คือความอยากเห็นหน้าตาของคนที่เขียนหนังสือนี้ให้แน่ชัด เพราะต้องเป็นคนคนเดียวกับที่เขียนจดหมายส่งยาพิษนั้นเข้าไปเป็นแน่ ไม่มีปัญหาเลย เรไรมาได้คิดอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าจะมีคนขโมยหีบของเธอ ก็ต้องเป็นชาย 2 คนที่ติดตามมานั้น เมื่อเขาถูกพาตัวไปนั่งดื่มเบียร์อยู่ในตู้เสบียง เขาก็ไม่สามารถจะมาขโมยหีบของเธอได้

คิดเห็นดังนี้ เรไรจึงตกลงไปตามที่เขานัดหมาย

เวลา 16 น.ตรง เรไรลุกจากที่นั่งของตนเดินไปทางตู้เสบียง ซึ่งอันที่จริงก็อยู่ติดกับตู้ชั้นที่หนึ่งของเรไรนั่นเอง เรไรเดินไปอย่างใจเต้น เพราะความลึกลับกำลังจะคลี่คลายขยายตัวออกมา ในตู้เสบียงมีคนน้อยคน แต่เธอได้พบ 3 คนนั้นจริงๆ เขากำลังดื่มเบียร์กัน ไม่ผิดแน่ คนสองคนเหลือบเห็นเรไรแล้วก็เหลือบมองไปทางอื่น เรไรไม่เคยเห็นหน้าคนสองคนนี้ แน่นอนทีเดียวเขาต้องเลือกเอาคนที่เรไรไม่เคยรู้จักให้ติดตามเรไร ในเวลาเดินขาไป เรไรไม่สามารถจะมองเห็นหน้าคนเขียนจดหมายได้ถนัด เพราะเขานั่งหันหลังมาในทิศทางที่เรไรเดินไป เขาคงกะการณ์ให้สองคนนั่งหันหน้ามาทางที่เรไรจะมองเห็นหน้าถนัด เรไรพยายามจำหน้าและเครื่องแต่งกายของคนทั้งสองนั้นแล้วก็เดินเลยไป

เดินไปสักสองตู้ก็เดินกลับ ซึ่งจะได้เห็นหน้าคนเขียนจดหมายอย่างแน่ชัด เรไรมีความตั้งใจในตอนขากลับนี้มากยิ่งกว่าตอนขาไป เธอตั้งใจเพ่งมองอย่างจริงจัง เขาไม่มองหน้าเรไร เขาสนทนากับคนทั้งสองนั้นเรื่อยไป เรไรพยายามเอาดวงหน้าของเขาเข้าสู่ความจำของเธอให้มากที่สุดที่จะทำได้ เธอกลับมายังที่นั่งของเธอ มองดูหีบของสำคัญยังอยู่เรียบร้อย

เมื่อกลับนั่งยังที่นั่ง เรไรก็พยายามทบทวนความจำ ระลึกถึงหน้าคนสามคนที่เพิ่งแลเห็นมา สองคนที่เขาส่งติดตามนั้น หน้าตาเป็นชาวพื้นเมืองที่เรไรอยู่แท้ อาจจะเป็นคนที่เคยเดินทางหรือรู้จักกรุงเทพฯ เขาจึงกล้าใช้ติดตาม แต่ก็เป็นชาวพื้นเมืองแน่ และตามที่เรไรเคยทราบมา คนที่เศรษฐีใช้ทำงานเช่นนี้ มักเป็นลูกหนี้ที่ถูกผูกมัดให้อยู่ใต้อิทธิพลร้ายของเขา เรไรไม่หวั่นวิตกอะไรมากสำหรับคนทั้งสองนี้

แต่ที่เรไรต้องสนใจมากกว่าคนทั้งสอง คืออีกคนหนึ่ง คนที่เขียนจดหมายนั้นเป็นบุรุษลึกลับ ซึ่งมีความสำคัญมากสำหรับเรไร เขาเป็นคนหนุ่ม หน้าตาไม่ใช่คนโง่ และพฤติการณ์ที่เขาแสดงออกมา ก็เป็นการแน่ชัดว่าเขาไม่ใช่คนโง่ แม้เพียงที่รู้ตัวคนติดตามและผูกมิตรกับคนติดตามได้ ก็แสดงความฉลาดสามารถของเขามาก เรไรคาดคะเนว่าอายุของคนผู้นี้ไม่เกิน 25 ปี นอกจากนั้นคาดหมายทายเดาอะไรอีกไม่ได้ เพราะได้เห็นน้อยเต็มที เป็นการแน่นอนว่าเรไรไม่สามารถติดต่อกับชายผู้นี้ในเวลานี้ เพราะยังมีคนติดตามอยู่ แต่ก็ไม่ต้องรีบร้อน เพราะถึงอย่างไรก็คงมีโอกาสติดต่อรู้เรื่องราวและเจตนาที่แท้จริงของเขาในวันหน้า

เมื่อแน่ใจว่า คนติดตามตกอยู่ในความควบคุมของบุรุษลึกลับนี้แล้ว เรไรก็หมดความห่วงใยในความปลอดภัยของเธอ สามารถจะงีบหลับได้บ้าง ในตอนเย็นได้สั่งอาหารมารับประทานยังที่นั่งเหมือนตอนกลางวัน เธอจะต้องอยู่ในรถไฟไปอีกตลอดคืน รุ่งขึ้นพรุ่งนี้จึงจะถึงกรุงเทพฯ

เวลารถหยุดที่สถานีใหญ่ๆ เธอเห็นคนสองคนนั้นลงไปเดินข้างล่าง และเดินผ่านหน้าต่างที่เธอนั่งอย่างแสดงว่าไม่สนใจกับเธอ แต่เขาก็เหลือบมองดูเธอ เพื่อให้แน่ใจว่ายังอยู่ในรถ เขาคงทำเช่นนี้เรื่อยๆ มาตั้งแต่เช้า แต่เมื่อเรไรยังไม่รู้จักเขา ก็ไม่มีทางที่จะรู้ตัว มีสองครั้งเมื่อก่อนค่ำ เขาเดินมาในตู้ที่เรไรนั่ง เป็นแต่เดินผ่านไปมา และไม่ได้มาทั้งสองคน มาทีละคน เปลี่ยนหน้ากันมา และบุรุษลึกลับผู้นั้นก็ติดตามมาด้วยทั้งสองครั้ง

เรไรมีความเชื่อใจอีกอย่างหนึ่ง ว่าคนทั้งสองนี้คงไม่ได้รับคำสั่งให้ติดตามมาทำร้ายเรไร เพราะเศรษฐียังมีหวังอีกเป็นอันมาก ว่าเรไรจะกลับไปหาเขา ความมุ่งหมายของการติดตามคงมีเพียงอย่างเดียว คือเพื่อให้รู้ว่าใครมาติดต่อกับเรไร และนายเงินต้องการตัวคนคนนั้น คนทั้งสองคงยังมิได้ระแวงสงสัยเลย ว่าคนที่เขาต้องการนั้นอยู่ใกล้ชิดติดตัวของเขาเอง ถึงกับไปนั่งดื่มเบียร์สนทนากัน

เวลา 21 น. บุรุษลึกลับนั้นได้เดินผ่านที่นั่งของเรไรมาแต่ผู้เดียว เอาเศษกระดาษมาทิ้งไว้ให้อีก เป็นข้อความเพียงว่า “คุณหลับได้ ไม่ต้องห่วงอะไร ผมเฝ้าดูเขาอยู่อย่างใกล้ชิดเสมอ”

เรไรหลับไปบ้างในระหว่างเวลาที่รถเดิน แต่พอรถหยุดที่สถานีใด เรไรก็นั่งมองที่หน้าต่าง เพื่อให้คนติดตามเขาแน่ใจว่าเรไรยังอยู่ในรถเสมอ อันที่จริงเขาผ่านมาดูทุกสถานี แต่ไม่ได้มาทั้งสองคน ดูเหมือนจะจัดเวรผลัดกันมาดู เรไรอยากจะร้องบอกให้เขาหลับนอนตามสบาย เพราะเรไรจะไปถึงกรุงเทพฯ แน่นอน ไม่ลงที่ไหน

ในที่สุดรถไฟก็ถึงกรุงเทพ ฯ เรไรได้ตกลงใจมาแล้วว่าจะพักที่โรงแรมราชธานี แล้วส่งจดหมายฉบับนั้นไปยังนายบุญช่วง ซึ่งเขาคงจะมารับเรไร ส่วนบุรุษลึกลับนั้นคงไม่ต้องห่วงใยอะไรเขา เพราะเขามีความฉลาดพอที่จะเป็นเงาตามตัวของเรไรตลอดไป อันที่จริงสำหรับบุรุษลึกลับนี้ เรไรก็สำนึกอยู่เสมอว่าจะต้องระวัง เพราะยังไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน และยังไม่รู้ว่าเขาทำยุ่งกับเรไรเพื่อเหตุอะไร เรไรตั้งใจไว้แน่นอนว่าถึงแม้เขาจะมาแสดงตัวอย่างเปิดเผย และชักชวนเรไรไปกับเขา เรไรก็จะไม่ยอมไป

เรไรเข้าพักอยู่ในโรงแรมราชธานี ส่งจดหมายฉบับนั้นไปทางไปรษณีย์ ก่อนส่งได้เขียนที่มุมซองว่า “ราชธานี” แล้วก็เก็บตัวอยู่อย่างเงียบๆ ห่อเอกสารยังอยู่เรียบร้อย เธออยากจะเปิดดูว่ามันมีอะไรบ้าง แต่ก็ยังยับยั้งใจไม่เปิด รอไว้จนกว่าจะได้ที่ที่ปลอดภัยจริงๆ จึงจะเปิดออกดู

ในวันรุ่งขึ้น คนของโรงแรมบอกว่ามีสุภาพบุรุษคนหนึ่งมาขอพบเรไร เธอแน่ใจว่าต้องเป็นที่ได้รับจดหมาย เธอจึงลงมาพบเขาในห้องโถง เขายื่นซองจดหมายนั้นให้เรไรดูแทนนามบัตร จึงเป็นที่ไว้วางใจและพูดกันต่อไปได้

“ผมได้รับคำสั่งจากพี่ชายให้มาเชิญคุณไปพักที่บ้านผม” เขากล่าว

“ขอบพระคุณมากค่ะ” เรไรตอบ “บ้านคุณอยู่ไกลมากไหมคะ ?”

“อันที่จริงก็ไม่ไกลมาก แต่เราจะต้องหาวิธีเดินทางให้มันเห็นไกลมาก เพราะเข้าใจว่ามีคนคอยติดตามคุณ”

คำพูดของเขาแสดงว่าเขาได้รับคำบอกเล่าเรื่องราวของเรไรมาอย่างแจ่มแจ้ง และเขาก็มีความคิดในทางระมัดระวังอยู่แล้ว เป็นความสบายใจสำหรับเรไรไปอีกตอนหนึ่ง

“เราจะออกเดินทางไปเดี๋ยวนี้หรือคะ ?”

“ก็สุดแต่ความสะดวกของคุณ แต่เราไม่ควรแสดงว่าเราย้ายที่พักในเวลานี้ คุณออกไปแต่ตัว หีบของทิ้งไว้ก่อน เรามารับเอาภายหลังได้”

สุภาพบุรุษนั้นคือ นายบุญช่วง น้องชายนายบุญโชติ คนที่ออกมาแสดงบทบาทอย่างดีที่สถานีรถไฟ เขาแนะนำเรไรให้เอากระดาษจดหมายของโรงแรม เขียนข้อความว่า “โปรดมอบหีบของดิฉันให้ผู้ถือหนังสือนี้ไป แล้วเอาข้อความที่เขียนนี้ไปให้เจ้าหน้าที่โรงแรมดู และสั่งว่าถ้ามีใครถือหนังสือฉบับนี้มาขอรับหีบของเรไร และจัดการจ่ายบิลโรงแรมเรียบร้อย ก็ให้โรงแรมมอบหีบให้ไปได้ อย่างไรก็ดี เรไรไม่ยอมทิ้งห่อเอกสารไว้ในหีบ เธอเอาติดตัวไปด้วย เขาพากันออกจากโรงแรมไป เหมือนอย่างว่าจะไปที่ไหน สักประเดี๋ยวหนึ่งก็จะกลับมา

เวลาออกจากโรงแรม เรไรเห็นคนติดตามทั้งสองคนนั้น เดินเตร่ไปมาอยู่ตรงหน้าทางออก นายบุญช่วงพาเรไรมาขึ้นรถยนต์คันหนึ่ง ซึ่งจอดอยู่ห่างจากทางออก และที่นั่นไม่ใช่ที่พักรถแท็กซี่ ฉะนั้นถึงแม้ว่าคนติดตามจะพยายามขึ้นรถแท็กซี่ติดตาม ก็คงจะหาแท็กซี่ตามมาในทันทีทันใดไม่ได้

รถคันนั้นได้พาเรไรกับสุภาพบุรุษผู้นั้นมาตามถนนที่เรไรไม่รู้จัก และไม่รู้ว่าไปทางไหนกัน ความจอแจของกรุงเทพ ฯ ทำให้เรไรคิดว่าการติดตามใครในกรุงเทพ ฯ นั้น เป็นการยากมาก นายบุญช่วงเป็นผู้ขับรถเอง และไม่มีใครอื่นอยู่ในรถ

“รถของคุณหรือคะ ?” เรไรถามเขา ในขณะที่รถกำลังแล่นไป

“ไม่ใช่ครับ รถคันนี้เป็นของเพื่อน ผมขอยืมเขามา รถของผมทิ้งไว้ที่บ้านเพื่อน ประเดี๋ยวเราไปเปลี่ยนเอารถของผมเอง”

“คนที่ติดตามดิฉันมาสองคน เขาเดินเตร่อยู่ที่หน้าโรงแรมเมื่อตะกี้นี้”

“อย่างนั้นหรือครับ คุณรู้จักตัวเขาหรือ ?”

“รู้จักค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายมาก”

“ดิฉันคิดว่าเขาคงไม่สามารถหารถติดตามเราได้ทัน ป่านนี้เขาก็คงอยู่ที่หน้าโรงแรมนั้นเอง”

“ไว้ใจไม่ได้ครับ” นายบุญช่วงตอบ “เขาอาจมีสายลับทางกรุงเทพ ฯ อีกสายหนึ่ง”

“อย่างนั้นทีเดียวหรือคะ ?”

“ถ้าเป็นงานของคนมั่งมีอย่างมหาเศรษฐี เขาก็ต้องมีสายลับอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ เสมอ เพราะจะเอาคนเมืองหนึ่งไปใช้อีกเมืองหนึ่งนั้นทำได้ยาก เขาต้องมอบงานส่งงานกันเป็นเมืองๆ ไป”

“ดิฉันได้ความรู้ใหม่อีก”

“ครับ คุณอาจจะถูกมอบตัวเมื่อตะกี้นี้ก็ได้ หมายความว่าสายทางกรุงเทพ ฯ อาจจะมีรถยนต์คอยอยู่พร้อม สองคนที่ติดตามคุณมาจากเมืองใต้คอยหาโอกาสที่จะชี้ตัวคุณให้สายทางกรุงเทพฯ รู้จัก เป็นการมอบงานกัน เวลานี้สายทางกรุงเทพฯ อาจจะใช้รถยนต์ติดตามเรามา แล้วเจ้าสองคนนั้นจะกลับบ้านก็ได้ ถ้าคุณไม่เห็นหน้าเจ้าสองคนนั้นอีก ก็อย่านึกว่าไม่มีใครติดตามแล้ว”

“สนุกดีนะคะ เรื่องของมนุษย์เรา”

“ตามปรกติพวกเราคนดี มักจะมีความฉลาดน้อยกว่าพวกคนร้ายเขา เพราะถ้าเขาไม่ฉลาดกว่าเรา เขาก็ไม่สามารถจะประกอบการร้ายได้”

“แต่คุณก็มีความรู้มากเหมือนกันนี่คะ”

“เปล่าครับ ผมไม่เคยเป็นคนร้าย”

เรไรหัวเราะ เป็นการหัวเราะที่มีน้อยครั้งเหลือเกินในชีวิตของเรไรตอนนี้

“มิได้ค่ะ” เธอกล่าว “ดิฉันหมายความว่า คุณมีความรู้ในทางระมัดระวังดีมาก”

“เป็นความจำเป็นอย่างเหลือเกิน ที่จะต้องรู้จักระมัดระวังในชีวิตของเรา อันที่จริงเราไม่ต้องสอนอะไรกันมาก ในการอบรมศึกษาของคน สอนเรื่องระวังเรื่องเดียวพอแล้ว ระวัง ระวัง ระวังไว้ทุกอย่าง เท่านั้นก็พอแล้วในชีวิตมนุษย์ คำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า ประมวลลงได้ในคำคำเดียว คือว่าต้องไม่ประมาท”

เรไรชอบนายบุญช่วงมาก เขาเป็นผู้ใหญ่ หน้าตาคล้ายพี่ชายที่เอาห่อเอกสารมาให้ที่สถานีรถไฟ เสียงพูดและวิธีพูดก็คล้ายคลึงกัน เรไรสบายใจที่ได้พบคนดีอีกคนหนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนมาเรไรเคยคิดว่าโลกนี้เป็นโลกของคนร้าย แต่บัดนี้ก็รู้สึกว่าคนดีก็มีอยู่ในโลกมากเหมือนกัน

เขาสนทนากันไป และรถก็แล่นเรื่อยไป เหมือนหนึ่งว่านายบุญช่วงกำลังพาเรไรชมพระมหานคร

“เราจะไปถึงไหนกันคะ ?” เรไรถามเมื่อรู้สึกว่ารถได้แล่นมามาก จนเกือบจะมากเกินไปแล้ว

“คุณไม่ต้องการซื้ออะไรบ้างหรือ ?” เขาย้อนถาม

“ดีเหมือนกันค่ะ อยากได้อะไรบ้าง”

เขาหยุดรถที่หน้าอาคารใหญ่แห่งหนึ่ง

“ที่นี่คุณอาจจะซื้อของได้หลายอย่าง” เขาพูด “คุณมีเงินแล้วหรือ ?”

“มีแล้วค่ะ”

“คุณหาซื้ออะไรไปก่อน ผมจะไปพูดโทรศัพท์”

ที่นั่นเป็นทำเลจอแจแห่งหนึ่ง และร้านขายของแห่งนั้นก็เป็นร้านที่มีคนอยู่เต็ม ตรงหน้าอาคารมีคนเดินไปมามาก เรไรซื้อของหลายอย่างที่ต้องการและจำเป็น เธอมีเงินเพียงพอที่จะซื้ออะไรได้ เพราะตั้งแต่เป็นเมียตัวโปรดของเศรษฐี ก็ได้รางวัลพิเศษมาก นอกจากจะเผื่อแผ่แก่พวกเมียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยกัน และเอื้อเฟื้อคนใช้ในบ้านเป็นบางครั้งบางคราวแล้ว เรไรก็เก็บออมรอมริบไว้ได้มาก และเมื่อคืนที่จะออกเดินทางมานี้ ทั้งเศรษฐีและภริยาก็ให้เงินมาอีกจำนวนหนึ่ง แต่เรไรก็ไม่ซื้ออะไรเกินความจำเป็น เรื่องแต่งกายนั้นจำเป็นต้องแต่งให้ดี เพราะเข้ามาอยู่ในพระนคร แต่ก็แต่งดีอย่างประหยัด ไม่ใช่สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย เธอเดินซื้อของอยู่ในร้านนั้นราว 15 นาที นายบุญช่วงผู้นั้นก็กลับมาหาเธอ

“ดิฉันเสร็จแล้วค่ะ ไปกันหรือยังคะ ?” เรไรถามเขา

“เดี๋ยวครับ” เขาตอบ “ขออีกสัก 10 นาที”

“คุณจะซื้ออะไรบ้างหรือคะ ?”

“เปล่าครับ คอยอะไรนิดหน่อย”

เรไรเห็นว่าไม่ควรจะถามเขาต่อไปว่าคอยอะไร เธอเดินดูของต่อไป และซื้ออะไรเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย รออยู่ราว 10 นาที นายบุญช่วงก็มาบอกเธอว่าไปกันได้ เขาพาเธอออกจากอาคารนั้น หลีกผู้คนจอแจมาขึ้นรถ

“ไม่ใช่ค่ะ” เรไรพูด

“ขึ้นไปเถอะครับ” เขาบอก ซึ่งเรไรต้องทำตามคำสั่งของเขา แล้วเขาก็ขับรถแล่นออกไป

“นี่ไม่ใช่รถคันที่มาเมื่อตะกี้นี้นี่คะ” เรไรพูด

“ครับ เปลี่ยนรถใหม่”

“คราวนี้เป็นรถของคุณเอง”

“ยังไม่ใช่ครับ ต้องไปเปลี่ยนที่บ้านเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง จึงจะถึงรถของผม”

วิธีการของเขาทำให้เรไรไว้วางใจเขามากขึ้น เพราะเห็นชัดว่าเขารอบคอบจริงๆ และเรไรก็เข้าใจต่อไปว่า ที่เขาไปโทรศัพท์เมื่อตะกี้นี้ ก็เพื่อเรียกรถใหม่ และที่เขาบอกว่าต้องคอยอีก 10 นาที ก็คือคอยรถ นอกจากที่เขาเป็นคนรอบคอบ มีแผนการอย่างสุขุมแล้ว วิธีการที่เขาทำนั้นยังแสดงอีกอย่างหนึ่ง คือแสดงว่าเขามีเพื่อนฝูงที่ไว้วางใจอยู่มาก เขาอาจจะมีหูมีตามากสำหรับให้ความคุ้มครองแก่เรไรได้อย่างดี

“คราวนี้ ถึงบ้านเพื่อนที่ผมทิ้งรถของผมไว้” เขาพูดเมื่อขับรถมาอีกช้านาน จนในที่สุดก็เลี้ยวเข้าประตูบ้านใหญ่แห่งหนึ่ง “และต่อจากนี้จะเป็นรถของผมเอง”

บ้านนั้นเป็นบ้านใหญ่ บริเวณกว้าง แสดงว่านายบุญช่วงอยู่ในฐานะดีเพราะมีเพื่อนฝูงที่มีหลักฐานมั่นคง เรียกรถยนต์จากเพื่อนคนนั้น เปลี่ยนรถยนต์ที่บ้านเพื่อนคนนี้ได้ตามชอบใจ

“ผมเลือกเอาบ้านเพื่อนคนนี้เป็นที่ฝากรถไว้” เขาพูด “เพราะเพื่อนคนนี้มีบ้านใหญ่ มีถนนสองด้าน ประเดี๋ยวเราจะออกทางด้านโน้น ไม่ออกทางด้านนี้”

เรื่องเหล่านี้ทำให้เรไรยิ่งระลึกถึงบุญคุณของนายสมพรผู้ที่ให้ยืมหนังสืออ่านมาแต่เด็กนั้นเป็นอันมาก เพราะได้ความช่วยเหลือของท่านผู้นั้น เธอจึงได้รับความสะดวกอย่างนี้ เรไรคิดว่าถ้าได้พบกับท่านผู้นั้นอีก ก็จะกราบลงที่เท้าของเขา เพราะเขามีบุญคุณอย่างเหลือเกิน ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือของเขา ก็ไม่รู้ว่าเรไรจะต้องลอยล่องไปสักเพียงไร ในบ้านนั้นเรไรไม่ต้องพบปะใคร บ้านใหญ่จริง แต่เงียบเชียบ นายบุญช่วงพาเธอไปขึ้นรถยนต์อีกคันหนึ่ง ซึ่งก็เป็นรถใหญ่อย่างดีมาก รถแล่นออกประตูอีกด้านหนึ่ง แปลว่าถึงแม้จะมีใครสามารถติดตามมาถึงที่นี่ ก็มีโอกาสน้อยเต็มที่ที่จะติดตามได้ต่อไป อย่างมากก็คงคิดว่าเรไรพำนักอยู่ในบ้านนี้เอง เรไรกลับไป ระลึกถึงบุรุษลึกลับที่เขียนจดหมายให้ยาพิษ และตามเธอมาในรถไฟ ถ้าเขาสามารถหาพบว่าเรไรอยู่ที่ไหน ก็ต้องชมเขาว่าเป็นคนเก่งจริงอีกคนหนึ่ง

รถคันนี้ได้พาออกนอกเมือง หมดเขตร้านตลาด หมดย่านจอแจ ล้วนแต่เป็นเคหสถานที่อยู่อย่างสวยงาม เรไรมาทราบภายหลังว่าเขาเรียกแถวถนนว่าบางกะปิ ชื่อไม่เพราะเลย แต่ความเจริญของแถวถิ่น ทำให้คำว่า ‘บางกะปิ’ กลายเป็นคำไพเราะไป ออกจากถนนใหญ่รถเลี้ยวเข้าถนนเล็ก ในที่สุดก็ถึงบ้านบ้านหนึ่ง ซึ่งนายบุญช่วงบอกว่าเป็นบ้านของเขา อยู่ในบริเวณเดียวกับบ้านของนายบุญโชติพี่ชาย คือคนที่นำห่อของมาให้เรไรที่สถานี

ภูมิฐานของบ้านแสดงว่าเป็นครอบครัวใหญ่ และดูเหมือนจะอยู่รวมกันหลายครอบครัว เป็นสัญลักษณ์ว่าพี่น้องเขารักกันดี ไม่แตกแยกกัน นายบุญช่วงแนะนำเรไรให้รู้จักกับภริยาของตน ซึ่งมีลักษณะเป็นคนมีความเมตตากรุณาเช่นเดียวกับตัวเขาเอง เรไรเปลี่ยนภูมิลำเนาจากบ้านของคนร้าย เข้ามาอยู่ในบ้านคนดี แน่นอนทีเดียว บ้านนี้ไม่ใช่บ้านมั่งคั่งมหาเศรษฐีอย่างบ้านนายเงินของเรไร เป็นบ้านที่เรียกได้ว่ามีอันจะกิน เป็นบรรยากาศที่ให้ความสุขความสงบ

“คุณจะพักอยู่ที่นี่นานสักเท่าไรก็ได้” ภริยาของนายบุญช่วงกล่าว “ไม่ต้องเกรงใจ ถือเป็นบ้านของคุณเอง”

“เป็นพระคุณเหลือเกินค่ะ” เรไรตอบ และกราบไหว้เจ้าของบ้านด้วยความนอบน้อมอย่างจริงใจ

นายบุญช่วงได้ขอหนังสือจากเรไร หนังสือที่เขียนไว้ถึงโรงแรม เพื่อให้คนไปเอาของ เรไรได้มอบหนังสือให้เขา

“คุณจะต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเร็วไหม ?” เขาถาม

“ทำไมคะ ?” เรไรย้อนถาม

“คือถ้ามีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเร็ว ก็เอาของภริยาผมใช้ไปก่อน เพราะของของคุณจะไม่มาถึงก่อนค่ำ”

“ไปรับเดี๋ยวนี้ จะมาถึงจนค่ำทีเดียวหรือคะ ?”

“ครับ เพราะต้องพาของวกวนไปทางโน้นทางนี้ บางทีจะต้องพาวกวนมากกว่าตัวคุณเองเสียอีก”

“ไม่เป็นไรดอกค่ะ” เรไรตอบ “ดิฉันไม่มีความจำเป็นต้องรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว”

“ไม่อาบน้ำเสียก่อนหรือคะ ?” ภริยาถาม

“ดิฉันอาบที่โรงแรมเมื่อเช้านี้แล้ว ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันคอยได้”

เขาพาเรไรไปที่ห้องห้องหนึ่ง ซึ่งอยู่ชั้นบนของบ้าน เป็นห้องสะอาดเรียบร้อยดีทุกอย่าง ภริยาได้พูดซ้ำอีกว่า เรไรจะอยู่นานสักเท่าไรก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ หรือลำบากใจอย่างไร ซึ่งเรไรต้องขอบคุณเขาอีก เขาจัดอาหารกลางวันให้เรไรรับประทาน เสร็จแล้วก็ให้เรไรขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องของตัว

รวมความว่า จนกระทั่งถึงเวลานี้ โชคได้ช่วยเรไรทุกทาง แต่โชคอันนี้จะยั่งยืนไปนานสักเพียงไรไม่ทราบ เมื่ออยู่ในห้องคนเดียว เรไรก็ระลึกถึงกาลที่ล่วงแล้วมา และต้องตั้งปัญหาถามตนเอง ว่ามีอะไรมาช่วยทำให้เรไรต้องประสบโชคเช่นนี้ ที่จริงเรไรก็ยังไม่เคยได้ทำความดีอะไร นอกจากช่วยทุกข์ของพ่อแม่ เธอได้กำเนิดในโรงนา ท่ามกลางเสียงเรไร ซึ่งมากลายเป็นชื่อของเธอ อาจจะมีกุศลผลบุญอันใดอันหนึ่งที่ช่วยให้เธอมีรูปสมบัติ และรูปสมบัติอันนี้ที่ทำให้เธอต้องเข้าไปรับความทุกข์ทรมาน สละร่างให้แก่คนร้ายอยู่หนึ่งปี เธอยอมรับสภาพชีวิตอันน่าสยดสยองอย่างนี้ เพื่อช่วยทุกข์ของพ่อแม่ บางทีจะเป็นเรื่องช่วยทุกข์พ่อแม่นี้กระมัง ที่เป็นบุญบันดาลให้เธอได้รับความอุปถัมภ์ช่วยเหลือจากคนอื่นต่อมา เรไรเด็กเกิดในโรงนา ในกำเนิดที่ยากจนข้นแค้น บัดนี้มากลายเป็นสตรีผู้มีเกียรติ มีคนเรียกว่าคุณ พูดด้วยอย่างสุภาพ ให้ห้องอยู่อย่างดี มีอาหารให้รับประทาน แต่ถึงอย่างไรเรไรก็ไม่สามารถจะอยู่ในบ้านนี้ไปนาน เพราะไม่มีสิทธิอันใดที่จะมารับความเลี้ยงดูอย่างนี้ เรไรจะพักอยู่เพียงชั่วคราว พอให้แน่ใจว่าพ้นจากการติดตามของเศรษฐี แล้วก็จะขึ้นไปหาพ่อแม่ ซึ่งอยู่เมืองเหนือขึ้นไปอีก หาทางทำมาหากินอย่างสงบสุขต่อไป

คราวนี้เรไรแน่ใจว่าสามารถจะทำงานเกี่ยวกับเอกสารที่ตนลอบลักเอาออกจากตู้เซฟนั้นได้ การลักขโมยเป็นการผิดกฎหมาย เป็นความผิดอันเดียวที่เรไรได้เคยทำ แต่เรไรไม่ได้ทำงานอันนี้เพื่อประโยชน์แก่ตัวเอง เรไรตั้งใจจะทำบุญกุศลอย่างใหญ่ ช่วยทุกข์ชาวนาชาวไร่ เหมือนอย่างที่เคยช่วยทุกข์พ่อแม่มา เรไรยังไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้สักเพียงไร แต่เมื่อเอกสารเหล่านี้ตกมาอยู่ในมือเรไร หรือออกจากเซฟมหาภัยนั้นมาแล้ว อย่างน้อยที่สุดการฟ้องร้องก็จะยากเข้า การที่จะแย่งยื้อเอากรรมสิทธิ์ที่ดินของคนยากคนจนก็ยากเข้า และการที่จะบังคับลูกหนี้ผู้อยู่ใต้อำนาจอิทธิพลให้ประกอบการร้าย เช่นเป็นเครื่องมือค้าของเถื่อน หรือให้ประกอบประทุษกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดก็จะยากเข้าด้วย เรไรจึงถือว่า การลอบลักที่ตนทำครั้งนี้เป็นการทำความดี นอกจากเป็นความดีที่ช่วยปลดเปลี้ยงคนยากคนจนจากการเป็นทาสของนายเงินแล้ว ยังเป็นความดีแก่บ้านเมือง คืออาจจะทำให้การค้าของเถื่อนลดน้อยลง อาจจะทำให้การประกอบประทุษกรรมลดน้อยลง รวมความว่าเป็นความดีแน่

เรไรเปิดห่อเอกสารออกตรวจดูเป็นชิ้น ๆ นับจำนวนได้ถึง 34 ราย แปลว่าอย่างน้อยครอบครัวคนจน 34 ครอบครัวกำลังรอรับเคราะห์กรรมความล่มจมสูญเสีย อย่างน้อยดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ 68 ดวง หรือมากกว่านั้นกำลังโศกสลด เนื่องจากที่ได้ลงแรงอาบเหงื่อต่างน้ำทำงานหนัก หักร้างถางพง ทำที่รกร้างให้กลายเป็นไร่เป็นนา แล้วผู้สืบสายต้องเสียกรรมสิทธิ์ให้นายเงินไป 34 ราย นับแต่เฉพาะที่คอยรับเคราะห์กรรมอยู่ในเวลานี้ ที่ต้องรับมาแล้วอย่างพ่อแม่ของเรไร จะมีอีกสักกี่สิบไม่สามารถจะคำนวณได้ เป็นเรื่องน่าสงสาร น่าสลดใจ และน่าเคียดแค้นมนุษย์ที่ทำนาบนหลังคน

เอกสาร 34 รายมีลักษณะเหมือนกันหมด คือแต่ละรายมีเอกสาร 3 ฉบับ ฉบับหนึ่งเป็นโฉนดหรือตราจอง คือเป็นหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ฉบับที่ 2 เป็นสัญญากู้เงิน ซึ่งบอกชัดว่า เอาที่ดินรายนั้นเป็นประกัน ฉบับที่ 3 เป็นหนังสือมอบฉันทะให้อำนาจนายเงินที่จะดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้น ทำไมจึงต้องทำอย่างนั้น ก็เพราะเขาใช้วิธีไม่ต้องทำเป็นจำนองให้ถูกต้องตามกฎหมาย คือไม่ได้ทำสัญญาจำนองซึ่งจะต้องหมายเหตุในโฉนดตราจอง หรือผ่านมือเจ้าพนักงานที่ดิน การที่ไม่ทำเป็นจำนองตามกฎหมาย ก็เพราะกลัวทางบ้านเมืองจะล่วงรู้ไปทุกรายที่ทำนาบนหลังคน และอีกอย่างหนึ่ง ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียค่าธรรมเนียม ถ้าลูกหนี้ยอมอดทนส่งดอกเบี้ยและต้นเงิน (รวมทั้งจำนวนเท็จที่ลงเพิ่มมากกว่าที่ผู้กู้รับไปจริง) ได้เรียบร้อย เรื่องก็ไม่ต้องผ่านไปถึงมือเจ้าพนักงาน เป็นเรื่องขูดเลือดกันอย่างเงียบๆ ได้

แต่โดยปรกติลูกหนี้ 90 เปอร์เซ็นต์ ไม่สามารถจะส่งดอกเบี้ยไปได้นาน เพราะไม่ได้เรียกดอกเบี้ยกันตามอัตราในกฎหมาย ในฐานที่เรไรทำหน้าที่เลขานุการภริยาเอกของนายเงินมาเกือบหนึ่งปี ย่อมทราบดีว่าชาวไร่ ชาวนาถูกเรียกดอกเบี้ย 3 หรือ 4 เท่าอัตราในกฎหมาย ส่วนเรื่องต้นเงินนั้น กล่าวได้ว่าหมดหวัง หน้าที่เลขานุการที่เรไรทำมาช่วยให้เรไรรู้ราคาที่ไร่ที่นาอย่างแน่นอน ถ้าจะเอาจำนวนเงินกู้มาเทียบกับขนาดเนื้อที่ที่เป็นประกัน รายไหนก็รายนั้น จำนวนเงินกู้สูงเต็มราคาเนื้อที่ บางรายสูงกว่าราคาที่ดินด้วยซ้ำ เป็นไปได้หรือที่คนหน้าเลือดอย่างเศรษฐีผู้นี้ จะยอมรับเอาที่ดินราคาหนึ่งหมื่นบาทเป็นประกันหนี้ที่กู้ไปหนึ่งหมื่นบาทเท่ากัน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เรไรลองคำนวณดูทุกราย ก็พบแต่ตัวเลขราคาที่ดินใกล้เคียงกับจำนวนเงินกู้ ทั้งนี้ไม่มีทางที่จะคิดอย่างอื่น นอกจากว่าจำนวนเงินกู้ที่ลงไว้ในสัญญากู้นั้น ได้ลงมากกว่าความจริงตั้งเท่าตัว สัญญากู้เงินหนึ่งหมื่นบาท เอาที่ดินราคาหนึ่งหมื่นบาทมาเป็นประกัน ความจริงผู้กู้ได้รับเงินไปเพียงห้าพันบาท ต้องเสียดอกเบี้ยสูงแล้ว มิหนำซ้ำยังต้องมีความผูกพันให้ใช้ต้นเงินมากขึ้นอีกเท่าตัว

ชาวไร่ชาวนาที่ยากจนต้องยอมรับความผูกพันเช่นนั้น ไม่ใช่ด้วยความโง่เขลา แต่ด้วยความจำเป็น เมื่อควายตายหมด จำเป็นต้องซื้อควายใหม่ เมื่อลูกเต้าหรือตัวเองเจ็บไข้ไม่มีเงินรักษา เมื่อราคาข้าวหรือพืชผลตกต่ำ ขายได้มาไม่พอกิน ไม่มีเครื่องนุ่งห่ม เมื่อบ้านช่องโรงนาหักพังด้วยพายุ ไม่มีที่จะอยู่ ก็มีความจำเป็นต้องกู้ เมื่อต้องกู้ด้วยความจำเป็น อันไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้เช่นนี้ เจ้าหนี้จะทำอย่างไรก็ต้องยอม เพราะเกี่ยวกับชีวิตของลูกเต้าและตัวเอง

บิดาของเรไรเองเคยเล่าให้เรไรฟังว่า เรื่องลงจำนวนเงินกู้ในสัญญามากเกินกว่าจำนวนที่ลูกหนี้ได้รับมาจริงนั้น นายเงินเขาอธิบายว่าเป็นแต่เพียงวิธีป้องกันความบิดพลิ้วในภายหลัง สมมติว่ากู้จริง ได้รับเงินมาจริงเพียงห้าพัน แต่ลงจำนวนเงินในสัญญาว่ากู้ไปหนึ่งหมื่น เจ้าหนี้ก็ให้สัญญาด้วยปากเปล่า ว่าถ้าส่งดอกเบี้ยเรียบร้อย ส่งคืนต้นเงินตามกำหนด ก็จะคิดเพียงเท่าที่รับไปจริง คือเพียงห้าพันบาทเท่านั้น จะเชื่อเขาหรือไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อก็อย่ากู้ ชาวไร่ชาวนาผู้เคราะห์ร้ายคนไหนเล่าจะกล้าบอกว่าไม่เชื่อ ทุกคนต้องยอมเชื่อเขา เพราะถ้าไม่เชื่อก็อดตาย เรื่องลงจำนวนเงินกู้มากกว่าที่รับมาจริงนี้เอง เป็นมูลเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ชาวไร่ชาวนาต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลร้ายของเจ้าหนี้ เขาจะใช้ไปขนของเถื่อน เขาจะใช้ไปทำประทุษกรรมอย่างหนึ่งอย่างใด ก็มักต้องยอมทำตามคำสั่งของเขา เพราะถ้าไม่ยอมทำ ก็จะต้องใช้เงินเขาเต็มตามสัญญา ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าที่ได้รับมาจริงในเวลากู้ ถ้าไปดื้อดึงให้เขาหมดความเมตตา ก็หมายถึงเคราะห์ร้ายล่มจมอย่างไม่มีทางแก้ ฉะนั้น จึงไม่ประหลาดใจที่พวกนายเงินหน้าเลือดมีอำนาจสั่งฆ่าคนได้ ฆาตกรรมที่แรงร้ายเช่นข้าราชการที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ถูกลอบฆ่าตาย มักจะเนื่องมาจากเรื่องลงจำนวนเงินกู้ในสัญญาสูงกว่าจำนวนเงินที่ได้รับไปจริง

อนิจจา ชาวไร่ชาวนาผู้เป็นกระดูกสันหลังของประเทศ ผู้ผลิตพืชผลหล่อเลี้ยงชาติทั้งชาติ เขาต้องถูกนายเงินเป็นเพชฌฆาต บั่นมือบั่นเท้า และบั่นคอ ในที่สุดเขาต้องรับเคราะห์จากความใจดำอำมหิตของมนุษย์ด้วยกันเอง ไม่มีสวรรค์ชั้นใดจะเห็นอกเห็นใจคนพวกนี้บ้างหรือ

ข้อความข้างต้นนี้ เป็นความคิดที่วิ่งวุ่นอยู่ในสมองของเรไร เธอมองเห็นทางที่จะช่วยพวกพ้อง ชาวไร่ชาวนาของเธอได้ เพราะว่าเอกสารทุกรายทั้ง 34 รายนั้น มีลักษณะเหมือนกันหมด คือไม่ได้ทำพิธีจำนองให้ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้สลักหลังโฉนดตราจอง ไม่ได้ผ่านมือหรือมีหลักฐานอันใดอยู่ทางเจ้าหน้าที่ และที่เรไรเคยทราบมาตั้งแต่ครั้งอยู่กับเศรษฐีก็เป็นเช่นนั้น ถ้าเพียงแต่หนังสือสัญญากู้กับใบมอบฉันทะมันหายไป และโฉนดหรือตราจองมันกลับไปสู่มือเจ้าของเท่านั้น ก็ไม่มีทางจะฟ้องร้องกันได้ ความผูกพันทั้งหมดจะละลายหายไป เรไรเข้าใจ เป็นด้วยเหตุนี้เอง จึงต้องเก็บเอกสารเหล่านี้ด้วยความระมัดระวังถึงกับต้องเข้าเซฟ เมื่อบัดนี้มันออกมาจากเซฟได้แล้ว เธอก็ควรจะทำให้ได้ ประโยชน์ในทางนั้น

เรไรขอความช่วยเหลือของเจ้าของบ้านให้คนออกไปซื้อซองขนาดใหญ่ ที่ทำด้วยกระดาษอย่างดีให้ 40 ซอง และกระดาษเขียนจดหมายอย่างธรรมดา เรไรเขียนหนังสือตัวโตๆ แกล้งเขียนให้ผิดจากลายมือธรรมดาของเธอ เป็นข้อความว่า

พี่น้องชาวไร่ชาวนาทั้งหลาย อานุภาพพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ช่วยท่านให้หลุดพ้นจากความเป็นทาสของนายเงินผู้ใจร้าย หนังสือสัญญากู้ และใบมอบฉันทะได้ถูกเผาไปหมดแล้ว โฉนดตราจองของท่านได้ลอยกลับมาหาท่านใหม่ ท่านไม่ต้องส่งดอกเบี้ยหรือต้นเงินอย่างหนึ่งอย่างใดให้แก่นายเงินอีกต่อไป เก็บโฉนดตราจองของท่านไว้ให้ดี เผาซองเผากระดาษแผ่นนี้ แล้วตั้งหน้าทำมาหากิน เริ่มต้นชีวิตใหม่ อย่าทำหนี้สินขึ้นมาอีก

อันที่จริงก็เป็นข้อความไม่ยาว แต่การที่ต้องเขียนข้อความอย่างนี้ซ้ำกันถึง 34 ครั้งนั้น เป็นงานหนักไม่น้อย เรไรเริ่มเขียนในตอนบ่ายจนกระทั่งถึงเวลารับประทานอาหารเย็น แล้วก็เขียนต่อ เสร็จแล้วก็ถึงเรื่องจ่าหน้าซอง ซึ่งเป็นเวลาไม่น้อยเหมือนกัน กว่าจะเสร็จก็สองยามล่วงแล้ว เอาโฉนดตราจองกับกระดาษที่เขียนข้อความนั้นใส่ซองด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้ผิดซอง ตรวจแล้วตรวจอีกจนเป็นที่แน่ใจ แล้วก็ปิดผนึกซองพร้อมที่จะส่งได้ ส่วนหนังสือสัญญากู้และใบมอบฉันทะนั้นเก็บไว้เผา แต่ก่อน ที่จะนำไปเผาก็จดรายการทำบัญชีไว้เป็นที่ระลึก จดชื่อลูกหนี้ ตำบลที่อยู่ วันทำสัญญา จำนวนหนี้ หมายเลขโฉนด และตราจองที่เอามาประกัน เมืองและตำบลของที่ดินไร่นา ขนาดเนื้อที่แต่ละแห่ง และรายการอื่นๆ ที่เห็นควรจด สำหรับจำนวนหนี้นั้นไม่มีรายใดน้อยกว่าห้าพัน ส่วนมากสูงกว่าหมื่นขึ้นไป มีห้ารายที่เป็นจำนวนเงินถึงสี่หมื่น มีหกรายที่เป็นจำนวนเงินสามหมื่น มีแปดรายที่มีจำนวนสูงกว่าสองหมื่น รวมเข้าทั้งหมดเป็นจำนวนเงินหกแสนเศษ หมายความว่านายเงินอาจจะจ่ายเงินให้ยืมไปเพียงสามแสนเศษ แล้วก็ทำความผูกพันไว้กว่าครึ่งล้าน ถ้าคิดถึงความสูญเสียของนายเงินจากการกระทำของเรไรครั้งนี้ ก็ต้องคิดว่าหกแสนเศษ เพราะเขามีทางที่จะได้หกแสนเศษจริง เงินหกแสนเศษไม่ใช่จำนวนมากถึงกับจะทำความล่มจมให้เศรษฐีเช่นนายเงินผู้นี้ แต่ก็มากพอที่จะทำให้เขาเศร้าสลดทรมานใจไปนาน ให้เขาได้บทเรียนแห่งความทรมานเสียบ้าง เพราะเขาเคยแต่ทรมานคนอื่น ไม่เคยรู้รสความทุกข์ทรมานสำหรับตัวเอง

คืนนั้นเรไรไม่ได้นอนเกือบค่อนรุ่ง คิดจะเอาต้นฉบับสัญญาและหนังสือมอบฉันทะลงไปเผาในตอนดึก แต่ก็เกรงเจ้าของบ้านจะตกใจว่ามีแสงไฟอะไรขึ้น เรไรจึงเข้านอนก่อน แต่ก็ตื่นแต่เช้า นำต้นฉบับสัญญากู้และหนังสือมอบฉันทะลงไปเผา รายได้ของนายเงินหลายแสนพินาศไปในกองไฟ เรไร นึกเสียดายว่ามันยังน้อยไป ถ้าเรไรอยู่กับเขาไปอีกสักปีหนึ่ง บางทีจะเผาได้มากกว่านี้

ภายหลังที่รับประทานอาหารเช้าแล้ว เรไรบอกขออนุญาตนายบุญช่วงเจ้าของบ้านเพื่อเข้าไปในเมือง

“คุณมีธุระอะไรหรือ ?” เจ้าของบ้านถาม

“อยากไปส่งหนังสือที่ไปรษณีย์ค่ะ”

“ผมไปส่งให้เองได้ไหม ?”

“ก็ไม่อยากรบกวนค่ะ”

“ไม่ใช่เรื่องรบกวน มันเป็นเรื่องที่ผมยังไม่อยากให้คุณออกไปไหนในเวลานี้ ถ้าคุณไว้ใจให้ผมไปส่งให้ได้ก็จะเป็นการดี”

“ถ้าคุณไปส่งให้เองได้ก็จะเป็นพระคุณค่ะ”

“แน่นอน ผมจะไปส่งให้ด้วยตัวเอง ส่งอย่างจดทะเบียนด้วยใช่ไหม ?”

“เห็นจะต้องจดทะเบียนด้วยค่ะ”

“ถ้าจดทะเบียนด้วย ต้องบอกชื่อผู้ส่ง ผมจะเอาชื่อของเพื่อนคนหนึ่งเป็นผู้ส่งก็แล้วกัน”

“สุดแต่คุณจะเห็นสมควรค่ะ”

แล้วเรไรก็มอบซองหนังสือ 34 ซองให้นายบุญช่วง เขาจัดการไปส่งให้เรียบร้อยด้วยตัวเอง แล้วนำใบจดทะเบียนมาให้เรไร ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นที่แน่ใจว่าโฉนดและตราจองจะถึงมือเจ้าของโดยเรียบร้อย

ด้วยคำแนะนำของนายบุญช่วงเอง เรไรตกลงจะเก็บตัวอยู่ในบ้านนั้นไม่น้อยกว่า 15 วัน โดยไม่ออกนอกบ้านและไม่ติดต่อกับใคร แม้แต่พ่อแม่ของเรไรซึ่งไปอยู่หัวเมืองทางเหนือ นายบุญช่วงก็ขอไม่ให้เรไรมีจดหมายหรือโทรเลขติดต่อ ในระหว่างเวลา 15 วันนี้ ถ้าหากจะบังเอิญมีใครสอดรู้และมาขอพบเรไร นายบุญช่วงก็จะปฏิเสธว่าไม่อยู่ที่นี่ คนในบ้านทุกคนได้รับคำสั่งในเรื่องนี้อย่างเรียบร้อย ในระหว่างนี้ เรไรไม่นึกถึงใคร แม้แต่บุรุษลึกลับผู้นั้น เรไรก็หมดความสนใจ อยากรู้อย่างเดียวแต่ว่า ซอง 34 ซองที่เธอส่งไปนั้น เกิดผลอย่างไรบ้าง

อันที่จริงก็เกิดผลตรงกับความต้องการของเรไรทุกอย่าง เพราะเรื่องที่บุรุษลึกลับส่งจดหมายและยาพิษเข้ามาในบ้านนั้น เป็นเรื่องรู้กันแพร่หลาย เนื่องจากที่เศรษฐีไปเอาลูกจีนมาสอบถามรวมทั้งเตี่ยของเขา เรื่องที่เศรษฐีคว้าข้อมือเด็กลูกจีนวิ่งไปในถนน จนคนมารุมถาม เรื่องที่เรไรออกจากบ้านไป เป็นเรื่องที่ปิดบังไม่ได้ เรื่องรู้กันแพร่หลายว่า มีคนลึกลับคนหนึ่งส่งยาพิษเข้าไปวางเศรษฐี เผอิญรู้ตัวก่อน เอาสุนัขมาทดลองกินยาพิษ มันตายเกือบทันที เรื่องเหล่านี้แพร่ไปเร็วเหมือนไฟไหม้ป่า รู้กันในเมืองทั่วเมือง รู้กันออกไปถึงตำบลใหญ่ๆ รู้ออกไปถึงบ้านไร่บ้านนา รู้ถึงหูลูกหนี้ทุกคนของเศรษฐี ซึ่งทุกคนก็เสียดายว่าเศรษฐีไม่ได้กินยาพิษเข้าไป ข่าวเรื่องบุรุษลึกลับกลับทำความพอใจให้แก่พวกลูกหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่ได้รับหนังสือทวงหนี้มาใหม่ๆ และถูกขู่เข็ญว่าจะฟ้องร้อง หรือบังคับเอาที่ดิน พวกนี้นึกอยากให้มีเรื่องบุรุษลึกลับขึ้นมาอีก ส่วนมากพากันหล่อเลี้ยงความหวังว่า เมื่อเกิดมีเรื่องบุรุษลึกลับอย่างนั้นแล้ว ก็คงจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่างหนึ่ง

ฉะนั้นเมื่อโฉนดตราจองกลับไปถึงมือลูกหนี้ ผู้ที่ได้รับ แม้จะมีความรู้สึกตื่นเต้น เห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างเหลือเกิน ก็ต้องข่มใจเงียบสงบ ทุกคนรู้สึกเหมือนหนึ่งว่าได้พบกระเป๋าเงินของใครหล่นอยู่ ต้องเก็บเอามาอย่างเงียบ ไม่เอะอะ ทุกคนไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริง แล้วก็ไม่กล้าไปพูดปรึกษาหารือใคร อย่างมากที่สุดที่จะทำได้ก็เพียงแต่ซุบซิบกันอยู่ในครอบครัว ทุกคนรีบเผาซองเผาหนังสือที่เรไรเขียนมา บางคนรีบเอาโฉนดตราจองซุกซ่อน ถึงกับเอาใส่กระบอกไม้ฝังดินก็มี เพราะเชื่อว่าของสิ่งนี้กลับมาโดยไม่บริสุทธิ์ อย่างน้อยก็เป็นเรื่องโจรกรรม ฉะนั้น เรื่องโฉนดตราจองกลับไปถึงมือเจ้าของ จึงเป็นเรื่องตื่นเต้นอย่างสงบเงียบ ไม่มีการเอะอะเอิกเกริกอย่างไรเลย ทุกคนคอยฟังว่าจะมีเรื่องโด่งดังอะไรเกิดขึ้นอีก และก็คิดว่าจะคอยกันไป

แต่มีคนเก่งคนหนึ่งที่อยากทดลอง เขาได้รับหนังสือทวงหนี้เมื่อสองสามวันก่อนที่เรไรจะเดินทางไป แต่ก่อนมาเมื่อเขาได้รับหนังสือทวงหนี้ ถ้าเขายังไม่สามารถผ่อนชำระได้ เขาก็ไปกราบกรานขอผัดผ่อน พวกลูกหนี้ของเศรษฐีผู้นี้ ไม่เคยมีใครเขียนหนังสือไปผัดหนี้ เพราะทุกคนล้วนแต่ไม่ถนัดในการเขียน และการเขียนหนังสือไปผัดหนี้ ไม่เป็นการเคารพต่อผู้ยิ่งใหญ่ ต้องไปกราบกรานด้วยตนเอง และนำเป็ดไก่ผลไม้หรือของที่หาได้ด้วยความลำบากไปด้วย จึงจะได้รับความกรุณาบ้าง แต่คราวนี้คนเก่งคนนั้นเกิดความคิดอยากทดลอง เขาไปวานคนที่สันทัดการเขียนคนหนึ่งเขียนให้ ข้อความว่าดังนี้

เรียนท่านเศรษฐี

ข้าพเจ้าได้รับหนังสือของท่าน เร่งรัดให้ส่งดอกเบี้ย มิฉะนั้นท่านจะเรียกต้นเงินและบังคับเอาที่นาของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าขอตอบว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นหนี้สินท่านแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลย ท่านทวงหนี้ผิดตัวไปกระมัง หรือว่าท่านเห็นคนหมดทั้งโลกเป็นลูกหนี้ท่านไปหมดทุกคน

ด้วยความเคารพ

แล้วก็เซ็นนามของเขา ส่งไปทางไปรษณีย์ จดทะเบียนเสียด้วย

เศรษฐีได้รับจดหมายฉบับนั้นความพิศวงงงงวย เผอิญในวันนั้น เศรษฐีมีธุระอื่นที่จะต้องทำอย่างรีบด่วน ไม่มีเวลาจะคิดจัดการอย่างไรกับผู้เขียนจดหมายนั้น นึกแต่เพียงว่าเขาเสียสติอะไรไป เก็บจดหมายใส่กระเป๋า แล้วก็ไปทำธุระ ส่วนคนที่ส่งจดหมายฉบับนั้นไปพบเพื่อนที่รักใคร่ไว้วางใจกันมากคนหนึ่ง ซึ่งรู้กันว่าอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้เศรษฐีเช่นเดียวกัน ได้กระซิบถามกันขึ้น ได้ความว่ามีลาภได้โฉนดตราจองคืนมาเช่นเดียวกัน เขาจึงเล่าให้ฟังว่า เขาเขียนจดหมายไปอย่างนั้น คนนั้นก็เลยเขียนบ้าง ข้อความอย่างเดียวกัน ส่งไปรษณีย์จดทะเบียนไปด้วยเหมือนกัน

“นี่พวกลูกหนี้ของเรามันเป็นบ้าอะไรกันใหญ่” เศรษฐีพูดกับภริยา พร้อมกับส่งจดหมาย 2 ฉบับให้

“เรื่องมันแปลกมาก” ภริยาเอกกล่าวเมื่อได้อ่านจดหมายแล้วทั้งสองฉบับ “กลายเป็นเรื่องลึกลับเกิดขึ้นในบ้านเราอีกเรื่องหนึ่ง”

“ทำไมมันพากันเป็นบ้าไปอย่างนี้”

“นางเรไรเข้าไปกรุงเทพ ฯ ไปพบเจ้าถ้อยหมอความเสี้ยมสอนอะไรแล้วก็แนะนำมากระมัง เพราะนางเรไรคนเดียวที่รู้ว่า ใครเป็นลูกหนี้เราบ้าง หนังสือทวงเงินเหล่านี้ นางเรไรเป็นคนเขียนเอง”

“แล้วนี่ไม่มีรายงานอะไร จากเจ้าสองคนที่เราส่งติดตามไปบ้างหรือ ?”

“ไม่มีเลย” ภริยาเอกตอบ “แต่ได้ข่าวว่าเขากลับมากันแล้ว มาถึงวันนี้เอง บางทีค่ำวันนี้ เขาจะมารายงานกระมัง”

“ไปตามตัวมาเดี๋ยวนี้เถอะ อยากรู้เรื่องเร็วๆ”

คนใช้ในบ้านได้รับคำสั่งให้ไปตามคนสองคนนั้น เขาต้องคอยนานหน่อย แต่ในที่สุดก็ได้ตัวคนสองคนนั้นมา

“กลับมาถึงกันเมื่อไร ?” เศรษฐีถาม

“มาถึงเมื่อเช้านี้ครับ” คนหนึ่งตอบ

“มาถึงตั้งแต่เช้า จนป่านนี้ยังไม่มารายงานอีก”

“ไม่มีอะไรจะรายงานครับ” อีกคนหนึ่งพูด

“ทำไมไม่มีอะไรจะรายงาน แกไม่ได้ตามไปจนถึงกรุงเทพ ฯ ดอกหรือ ?”

“ตามไปถึงกรุงเทพ ฯ ครับ”

“แล้วยังไง ?

“พอเข้าถึงกรุงเทพฯ มันก็ยุ่ง ไม่รู้ว่าเขาไปทางไหน คืนแรกเขาพักที่โรงแรมราชธานี ตอนเช้าเขาออกไปข้างนอก แล้วก็ไม่เห็นเขาอีก”

“แล้วแกสองคนก็กลับบ้านทันที”

“ก็ไม่ได้กลับทันทีครับ รออยู่จนเห็นแน่ว่าไม่มีอะไรจะทำ ก็เดินทางกลับ” คนหนึ่งตอบ

“เหลวไหลทั้งสองคน มันไม่น่าจะเมตตาอะไรอีกต่อไปเลย” เศรษฐีกล่าว

“เมตตาอะไรกัน ?” อีกคนหนึ่งถามโดยตีหน้าอย่างสนิท

เศรษฐีสะดุ้งในตอนนี้ แต่ก็แข็งใจพูดต่อไป

“ก็เมตตายอมผัดหนี้มาให้หลายหนแล้วไงละ ใช้งานเพียงเท่านี้ก็ไม่ได้เรื่อง คราวหลังอย่ามาขอผัดหนี้อีกเลย”

“ผมก็ไม่ได้เป็นหนี้สินอะไรท่าน” คนหนึ่งพูด

“ทำไม แกเป็นลูกหนี้ฉันอยู่ทั้งสองคนแท้ ๆ”

“ถ้าท่านมีหลักฐานว่าผมสองคนเป็นหนี้สินอย่างไร ก็ฟ้องเอาเถอะครับ” อีกคนหนึ่งตอบ แล้วเขาทั้งสองคนก็ลุกเดินออกไปจากบ้าน ในท่ามกลางความงงงันของนายเงินและภริยาเอก

เป็นเรื่องที่ผิดสังเกตแน่ โดยที่ไม่พูดอะไรกันต่อไปอีก ภริยาเอกวิ่งขึ้นไปบนห้องนอน และไขตู้เซฟเปิดดู ประเดี๋ยวหนึ่งก็ร้องตะโกนเรียกผัวขึ้นไป

และคราวนี้เขาก็รู้แน่ว่า โฉนดตราจองและเอกสารสำคัญเกี่ยวกับหนี้สินในปัจจุบัน ได้หายไปจากตู้เซฟทั้งหมด

ภริยาเอกถึงกับเป็นลม ส่วนสามีวิ่งไปสถานีตำรวจ ขอแจ้งความเรื่องเอกสารสำคัญหาย ขอเชิญนายตำรวจมาสอบสวนที่บ้าน คนในบ้านทุกคนถูกเรียกตัวสอบถามหมด เรื่องก็โด่งดังขึ้นทันที ข่าวเรื่องโฉนดตราจองเอกสารกู้ยืมหายไปจากเซฟของเศรษฐี ได้แพร่กระพือไปรวดเร็วเท่าๆ กับเรื่องบุรุษลึกลับส่งยาพิษเข้าไปในบ้าน พวกลูกหนี้ทั้งหลายก็รู้กันว่า เศรษฐีรู้ตัวขึ้นเพราะมีคนเก่งกล้าเขียนไปปฏิเสธหนี้ ทุกคนคงสงบเงียบ ตกลงจะใช้วิธีปฏิเสธหนี้เช่นเดียวกัน

ทางสอบสวนของตำรวจไม่สามารถจะพบร่องรอยว่าการขโมยเอกสารครั้งนี้ทำได้อย่างไร เศรษฐีขอให้ตำรวจแจ้งไปยังกรุงเทพ ฯ เพื่อจับตัวเรไร โดยสงสัยว่าจะลอบไขเซฟเอาเอกสารไป แต่เมื่อซักไซ้ไล่เลียงทั้งสองคนผัวเมีย ก็ปรากฏว่า เรไรไม่มีทางจะทราบโค้ดไขเซฟ และไม่มีทางจะได้กุญแจไปไข อนึ่ง การที่เรไรไปกรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่หนีไป สองคนผัวเมียใช้เขาไปเอง เรไรไม่มีพิรุธเลยจนนิดเดียว จะไปจับสงสัยเขาอย่างไรได้ ถามตัวเศรษฐีก็บอกว่าเรไรรักเขา และเชื่อว่าเรไรคงจะกลับมา ตำรวจจึงแนะนำให้รอเรไรกลับดีกว่า

เศรษฐีได้เรียกทนายความที่ตนเคยใช้มาหารือ ทนายความไม่เห็นลู่ทางว่าจะทำได้อย่างไร ถ้าหากในเวลาทำสัญญากู้เงินได้ผ่านมือทนายความ อย่างน้อยทนายความก็จะมีบันทึกหลักฐานอะไรอยู่บ้าง แต่ด้วยความตระหนี่เหนียวของเศรษฐี ประกอบกับความชำนิชำนาญในการทำนาบนหลังคนมาช้านาน การทำสัญญากู้ก็ไม่ได้ผ่านทนายความ เพราะเศรษฐีไม่ต้องการเสียค่าธรรมเนียมทนายความในเรื่องเช่นนี้ เอกสารใบกู้และหนังสือมอบฉันทะก็ทำไว้ใบเดียว ไม่มีสำเนา และความจริงบนเอกสารนั้นก็ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์เสียด้วยซ้ำ เพราะเศรษฐีผู้นี้ใช้วิธีปิดอากรแสตมป์เอาเมื่อจะเกิดกรณีฟ้องร้องขึ้นจริงๆ สมมติว่าถ้าเกิดค้นหาเอกสารเหล่านั้น ด้วยฝีมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เศรษฐีก็จะต้องถูกฟ้องฐานทำผิดประมวลรัษฎากร เรื่องมันยุ่งอยู่อย่างนี้ เศรษฐีอาจแสดงสำเนาหนังสือทวงหนี้ แต่ก็ไม่เป็นหลักฐานที่จะใช้ได้ เพราะไม่เคยมีลูกหนี้คนใด ขอผัดการชำระหนี้โดยทางหนังสือ รวมความว่าเศรษฐีไม่มีหลักฐานอะไรเหลืออยู่เลย

และเมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เศรษฐีไปแจ้งความแก่ตำรวจว่า เอกสารหายไปมากมายนั้น ก็ไม่มีหลักฐานอันใดที่แสดงว่าเอกสารหายจริง ตู้เซฟไม่ได้ถูกงัด รอยพิรุธอะไรสักอย่างหนึ่งก็ไม่มี ภริยาเอกเป็นผู้ถือกุญแจเซฟอยู่ตลอดกาล และบอกตำรวจว่า ไม่เคยลืมไว้ที่ไหน ส่วนโค้ดสำหรับไขกุญแจเซฟก็ไม่มีคนอื่นรู้ นอกจากผัวเมียสองคน ขืนทำเรื่องมากไปอาจจะถูกคดีแจ้งความเท็จขึ้นมาก็ได้ เพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าของหายเลยด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะมีหลักฐานแสดงพิสูจน์หรือพิรุธที่จะให้จับกุมสงสัยใคร แม้หลักฐานหรือพิรุธว่าของหายไปจริงเท่านั้นก็หาไม่ได้

เศรษฐีได้ให้ความคิดแก่ทนายความอีกอย่างหนึ่ง คือให้ทนายความไปลองเกลี้ยกล่อมถามคน 34 คนที่เป็นลูกหนี้ ว่าได้เอกสารการกู้พร้อมทั้งโฉนดตราจองคืนไปแล้วหรือประการใด ทนายความเห็นไม่มีทางสำเร็จ ใบกู้กับหนังสือมอบฉันทะนั้นคงถูกทำลายไปแล้ว โฉนดตราจองคงอยู่ในมือเจ้าของหมดทุกคน ถ้ามิฉะนั้นก็คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธหนี้ตรงๆ เช่นนี้ แม้แต่ชายสองคนที่นายเงินเชื่อถือไว้วางใจให้ติดตามเรไรไป ยังปฏิเสธได้ดื้อ ๆ แสดงว่าโฉนดตราจองได้กลับไปถึงมือเขา มันจะไปได้อย่างไรเป็นเรื่องลึกลับ แต่มันต้องกลับไปอยู่ในมือเจ้าของเดิมแล้ว ขืนไปไต่ถามเขาเข้าจะกลายเป็นหมิ่นประมาท ทนายความอาจจะต้องประสบความลำบากก็ได้

เศรษฐีพยายามคิดหลายลู่หลายทางว่าจะทำอย่างไร เขาให้ความคิดอีกอย่างหนึ่งว่า ให้ไปเกลี้ยกล่อมคนเหล่านั้น ให้ระลึกถึงความเมตตากรุณาของนายเงินที่มีต่อเขาในการให้กู้ยืมเงิน แม้ว่าเขาจะได้โฉนดตราจองหรือเอกสารสัญญาคืนไปโดยทางหนึ่งทางใด เขาก็ไม่ควรจะหักหลังนายเงิน เพราะวันหน้าก็ยังมี ถ้าปฏิเสธหนี้เช่นนี้ ต่อไปวันหน้ายากจนลง นายเงินจะไม่ช่วยเหลืออีก ความคิดอันนี้ทนายความก็ไม่ยอมทำ เพราะทนายความเองก็รู้ดีว่า นายเงินผู้นี้ไม่เคยมีความเมตตากรุณาต่อลูกหนี้ ไม่เคยมีคุณความดีอันใดไว้ให้ลูกหนี้ระลึกถึงเลย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ