บทที่ 7 เรไรริรัก

เรไรไม่เสียใจที่ต้องกล่าวเท็จกับสุธี เพราะถ้าเธอต้องกล่าวเท็จ ก็เป็นความตั้งใจดีต่อเขา จำเดิมแต่นาทีแรกที่สุธีมาเล่าถึงเรื่องหย่าร้างกับภริยา เรไรก็เกิดมีความคิดว่า อยากจะริเริ่มทำอะไรด้วยตนเองสักอย่างหนึ่ง ทั้งๆ ที่เรไรไม่คิดจะอยู่ในกรุงเทพ ฯ นาน อยากไปอยู่หัวเมืองใกลให้ห่างพ้นจากเมืองใหญ่ เรไรก็เห็นความจำเป็นที่จะต้องริเริ่มทำอะไรขึ้นในกรุงเทพ ฯ ทั้ง ๆ ที่เรไรร่ำร้องว่าต้องการความสงบสงัด ก็จำเป็นจะต้องละทิ้งความสงบสงัดอีกชั่วคราว

เมื่อสุธีลาไปแล้ว เรไรได้เอาชื่อมารศรีกับตำบลที่อยู่ให้นายบุญช่วงเจ้าของบ้านดู ถามว่าเขารู้จักชื่อนี้ตระกูลนี้หรือไม่ เจ้าของบ้านซึ่งเป็นคนกว้างขวาง มีพวกพ้องเพื่อนฝูงมากหลาย ยังตอบว่าไม่รู้จักชื่อนี้บ้านนี้หรือตระกูลนี้ แสดงว่าตระกูลของมารศรี ภริยาสุธีซึ่งเพิ่งเลิกกันไปนั้น ก็มิใช่ตระกูลใหญ่ ตระกูลสำคัญอย่างไร แต่เจ้าของบ้านรับว่าจะสอบถามดูในบรรดาเพื่อนฝูงของเขา เชื่อว่าจะหาคนรู้จักได้

เรไรเล่าเรื่องของสุธี ให้เจ้าของบ้านฟังโดยตลอด เล่าเรื่องเดิม ตั้งแต่ที่สุธีเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของเรไรอย่างไร เล่ามาจนตลอดถึงเรื่องที่ต้องหย่ากับภริยาของเขา ในตอนหลังนี้เรไรก็เล่าอย่างละเอียด เหมือนอย่างที่สุธีมาเล่าให้ฟัง

“คุณอยากพบกับสตรีผู้นี้หรือ ?” เจ้าของบ้านถาม

“ดิฉันอยากพบค่ะ” เรไรตอบ “ดิฉันอยากจะทำความพยายามสักอย่างหนึ่ง”

“จะทำให้เขากลับดีกันน่ะหรือ ?

“ถูกแล้วค่ะ คือดิฉันมองเห็นว่า เรื่องไม่ควรจะใหญ่โตถึงเพียงนี้ การกระทำของสุธีก่อให้เกิดรอยร้าวขึ้นในครอบครัว ถ้ายังมีใครตั้งใจอยู่อีกสักนิดหนึ่งที่จะประสาน ก็อาจจะประสานรอยร้าวนั้นได้ เพราะผัวเมียเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ถึงอย่างไรรอยรักก็ยังมีอยู่ ดิฉันอยากจะเป็นคนริเริ่มประสานรอยร้าว และต้องเร่งรีบทำเสียก่อนที่รอยรักจะลบเลือนไป”

“คุณจะหาคนที่จะนำพาคุณเข้าไปพบพูดกับเขาหรือ ?”

“ก็ยังไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นทันทีค่ะ” เรไรตอบ “ดิฉันอยากจะได้ตัวใครสักคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้หญิงด้วยกัน เป็นเพื่อนที่คุณมารศรีเขารักและไว้วางใจ ดิฉันอยากพบคนนี้ก่อน พูดจากับเขาให้เป็นที่เข้าใจกัน ให้เขานำความไปบอกกัน ทำอย่างนี้ก่อน แล้วขอให้เขาพาตัวดิฉันพบคุณมารศรี”

“เชื่อว่าจะทำได้” เจ้าของบ้านตอบ

“แต่คนที่จะเอามาเป็นสื่อสายนี้” เรไรพูดต่อ “จะต้องเป็นเพื่อนสนิทของคุณมารศรี ที่เขารักใคร่ไว้วางใจกันจริงๆ”

“ก็เชื่อว่าจะหาได้” เจ้าของบ้านตอบ และรับรองกับเรไรว่าจะจัดการให้เรไรได้พบกับคนที่ต้องการนั้นโดยเร็วที่สุด เรไรเชื่อความสามารถของเจ้าของบ้าน เพราะเขาได้เคยแสดงความสามารถให้เห็นมาแล้วเป็นอย่างดี

ในระหว่างเวลาที่นายบุญช่วงไปจัดการเรื่องนี้ มีคนแปลกหน้าคนหนึ่งมาขอพบเรไรยังที่บ้านพักอยู่อย่างเงียบๆ นั้น เป็นชายหนุ่ม ซึ่งเขาบอกนามของเขาว่าชื่อ “โยธิน” ขอพบเรไรเป็นส่วนตัว ภริยานายบุญช่วงสอบถามจนได้ความเป็นที่พอใจว่าควรให้เขาพบได้ เพราะเขาเป็นคนมาจากเมืองใต้ มีจดหมายนำตัวจากนายบุญโชติพี่ชายของเจ้าของบ้าน ซึ่งอยู่ใกล้สถานีที่เรไรเคยได้รับความช่วยเหลืออย่างดีของเขา จดหมายนั้นบอกว่า ถ้าเรไรยังอยู่ในบ้าน ก็ขอให้ชายหนุ่มผู้นี้พบเรไรได้ ภริยาเจ้าของบ้านจำลายมือได้แน่นอน ว่าเป็นลายมือของพี่ผัวไม่ผิดแน่ และหน้าตาท่าทีของชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่ชวนให้คิดว่าจะเป็นคนร้ายมาทำอันตรายเรไร ภริยาเจ้าของบ้านจึงจัดการให้พบเรไรโดยลำพัง

เมื่อเขาบอกชื่อและนามสกุลของเขาแก่เรไร เรไรก็ประหลาดใจบ้างเล็กน้อย เพราะเป็นนามสกุลเดียวกับนายสมพร ผู้อุปการะเรไรในเมืองใต้ ผู้ที่ให้เรไรยืมหนังสืออ่านแต่ยังเด็ก และช่วยเหลือเรไร จนกระทั่งถึงเวลาที่เรไรลงไปทำการต่อสู้ครั้งที่แล้ว แต่ตลอดเวลาที่เรไรไปพักอยู่ในบ้านของท่านผู้นี้ เรไรไม่เคยพบหน้าชายหนุ่มคนนี้เลย

“คุณเป็นลูกของท่านหรือคะ ?” เรไรถาม

“เปล่าครับ” ชายหนุ่มนั้นตอบ “ผมเป็นหลาน หลานห่างๆ หลานในความอุปการะ แต่ท่านกรุณาให้ใช้นามสกุลของท่านได้”

“ดิฉันไม่เคยพบคุณเลย เมื่อดิฉันพักอาศัยอยู่ที่บ้านท่าน”

“ผมอยู่กรุงเทพ ฯ ตลอดเวลาครับ เพิ่งลงไปหาท่านเมื่อเร็วๆ นี้เอง วันคุณออกเดินทางมาผมก็ไปถึงคลาดกันนิดเดียว”

“คุณศึกษาอยู่ในกรุงเทพ ฯ หรือคะ ?”

“ครับ ผมศึกษาวิชาช่างกล

“สำเร็จแล้วหรือยังคะ ?”

“สำเร็จแล้วครับ เวลานี้ฝึกหัดงานอยู่ในบริษัทแทรกเตอร์แห่งหนึ่ง”

“ฝึกหัดงาน หมายความว่ายังไม่มีตำแหน่งเงินเดือนหรือคะ ?”

“เขายังไม่มีตำแหน่งจะบรรจุให้ แต่ก็ได้ฝึกหัดงานหาความรู้เพิ่มเติมได้”

“คุณกลับขึ้นมาจากเมืองใต้เมื่อไรคะ ?”

“ผมกลับมาเมื่อเช้านี้เองครับ ผมพักอยู่กับคุณลุงเพียงห้าวัน”

“คุณมีข่าวอะไรมาบอกดิฉันหรือคะ ?”

“คุณลุงให้ผมนำเงินมาให้คุณหกหมื่นบาท”

“หกหมื่นบาท เงินอะไรกันคะ มากมายถึงหกหมื่นบาท”

“คือมีคนมาขอซื้อที่นาของคุณ ซึ่งอยู่ในความดูแลของคุณลุง คุณลุงเห็นว่าได้ราคาดี แล้วคุณหรือคุณพ่อคุณแม่ของคุณก็คงจะไม่คิดกลับลงไปอยู่เมืองใต้อีก คุณลุงจึงตกลงขายให้เขา”

“เป็นไปไม่ได้ค่ะ ที่นาของดิฉันทั้งหมด ราคาไม่เกินสามหมื่นบาท จะได้ราคาถึงหกหมื่นขึ้นมาอย่างไรได้”

“แต่ขายได้หกหมื่นครับ เงินอยู่ที่ผมนี่ หกหมื่นจริงๆ” เขาพูดแล้ว ก็ชูห่อห่อหนึ่งให้ดู “คุณจะตรวจนับดูเดี๋ยวนี้ก็ได้”

“แล้วท่านจะขายเอาเงินมาได้อย่างไร โฉนดตราจองก็ไม่ได้อยู่ที่ท่าน อยู่ที่พ่อแม่ดิฉันที่เมืองเหนือ”

“คนซื้อเขาเชื่อคุณลุงครับ เขาให้เงินมาก่อน”

“ดิฉันไม่เข้าใจเลย”

“คุณลุงเขียนจดหมายมาครับ”

“ขอดูซิคะ”

ชายหนุ่มผู้มีนามว่าโยธิน ส่งจดหมายให้ เรไรรับมาฉีกอ่าน ได้ความว่าดังนี้

หนูเรไร

ฉันจะไม่เขียนอธิบายให้ละเอียดนัก หลานชายเขาคงจะบอกหนูได้บ้าง เรื่องมีอยู่แต่เพียงว่า คนที่เขาเชื่อว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากหนู เขาเห็นความจำเป็นว่าหนูก็จะต้องมีทางกินอยู่และครองชีพ เขารวบรวมเงินกันเข้า ขอให้ฉันส่งมาให้หนู แต่ฉันบอกเขาว่าถ้าให้เงินเปล่าๆ หนูจะไม่ยอมรับแน่ จึงแนะนำให้เขาซื้อที่นาของหนูโดยราคาดี เขาตกลง จึงให้หลานชายนำเงินหกหมื่นบาทมาให้หนู ขอให้หนูจัดการส่งเอกสารสำคัญสำหรับที่ดิน พร้อมทั้งหนังสือมอบฉันทะโอนลงไปให้ฉัน

ข้อความจดหมายสั้นๆ นี้ ให้ความเข้าใจแก่เรไรอย่างแจ้งชัด ก็รวมความว่าเป็นเรื่องกรุณาของนายสมพรผู้มีอุปการคุณนั้นอีก ความจริงนั้น ถึงอย่างไรเรไรและพ่อแม่ก็ไม่ต้องการจะกลับลงไปอยู่เมืองใต้ การขายที่นาได้ราคามากกว่าราคาจริงถึงเท่าตัวก็นับว่าเป็นลาภ และเป็นความสะดวกแก่การสร้างชีวิตใหม่ของเรไรต่อไปภายหน้า

โยธินส่งเงินให้เรไร และขอให้ตรวจนับ

“ดิฉันไม่นับไม่ตรวจละค่ะ” เรไรกล่าว “ขอบคุณมากนะคะ คุณน้องชาย”

“ทำไมคุณมาเรียกผมว่าคุณน้องชาย ผมไม่ได้อ่อนกว่าคุณเลย”

“ทำอย่างไรเสีย คุณก็ต้องอ่อนกว่าดิฉัน”

“ไม่ต้องทำอย่างไรครับ ลองคิดคำนวณดูก็ได้ ผมมีบัตรประจำตัว”

เมื่อลองคิดคำนวณกันเข้า ก็ปรากฏว่า เกิดปีเดียวกัน แต่เรไรอ่อนเดือนกว่า

“คุณเพิ่งเสร็จการศึกษาไม่ใช่หรือคะ ?” เรไรถาม

“เพิ่งเสร็จครับ แต่ผมมาเริ่มเรียนเมื่อโตมากแล้ว แต่ก่อนก็อยู่บ้านไร่บ้านนามาตลอดเวลา”

“ดิฉันขออนุญาตถามความเป็นไปส่วนตัวหน่อยได้ไหมคะ ?”

“ได้ครับ”

“คือเราถือว่า เราเป็นญาติพี่น้องกันก็แล้วกัน อย่าเห็นเป็นการล่วงเกินอะไร คุณยังไม่มีตำแหน่งเงินเดือน แล้วอยู่กรุงเทพ ฯ ได้อย่างไรคะ ?”

“ในบริษัทที่ผมฝึกหัดงานอยู่นี้ เขามีที่ให้อยู่และมีเบี้ยเลี้ยงให้ ไม่เดือดร้อน แล้วคุณลุงก็ยังให้ความอุปการะอยู่ด้วย”

เรไรขอจดตำบลที่อยู่ของเขาไว้อีก แล้วเขาก็ลาไป

หกหมื่นบาท มันเป็นเงินที่มากเหลือเกินสำหรับเรไร เธอไม่เคยคาดหมายว่าเงินจำนวนอย่างนั้นจะตกมาถึงมือของคนอย่างเธอ ตามราคาที่ดินที่เธอทราบดี เงินจำนวนนี้ก็ต้องเป็นของพ่อแม่ 3 หมื่นบาท เท่าราคาดีที่สุดของที่นา อีก 3 หมื่น เธอคงมีสิทธิ์จะจับจ่ายใช้สอยได้ แต่เรไรก็จะไม่จับจ่ายอะไรเกินความจำเป็น เธอเอาเงินจำนวนนั้นฝากภริยาเจ้าของบ้านเอาไว้ บอกให้เขาทราบด้วยความไว้วางใจ ว่าได้มาอย่างไร ขอฝากให้เขาช่วยเก็บไว้ จนกว่าเธอจะได้ตกลงใจทำอย่างใดอย่างหนึ่ง

โดยที่เรไรยังไม่แน่ใจว่าจะพักอยู่กรุงเทพ ฯ นานสักเท่าไร เธอจึงมีจดหมายย่อๆ บอกให้พ่อแม่ทราบเรื่อง ขอให้พ่อแม่ส่งเอกสารสำคัญสำหรับที่ดิน พร้อมทั้งแบบใบมอบฉันทะโอนลงมาให้เธอที่บ้านในกรุงเทพฯ เพื่อเธอจะได้จัดส่งลงไปให้ผู้อุปการทางเมืองใต้ จัดการโอนกรรมสิทธิ์ต่อไป เรไรบอกพ่อแม่ไปว่า เธอจะรออยู่ในกรุงเทพ ฯ จนกว่าจะได้รับเอกสารเหล่านี้จากพ่อแม่

เรไรได้คาดหมายอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าตนคาดไม่ผิด คือเงินจำนวนหกหมื่นบาทนี้ คงจะเป็นเงินของผู้อุปการนั่นเอง แม้ว่าพวกชาวนาที่ได้รับความช่วยเหลือจากเรไร ต้องการจะตอบแทนความดีของเรไรจริงๆ ก็เป็นการยากเหลือเกินที่จะรวบรวมเงินหกหมื่นบาทจากพวกชาวนาที่ยากจนได้ ท่านผู้นั้นคงจะเอาเงินของท่านออกมาให้ก่อนเป็นแน่ เมื่อคิดคาดหมายไปในทางนี้ ก็ยิ่งเพิ่มพูนความรู้สึกบุญคุณของท่านผู้นั้นยิ่งขึ้น

นายบุญช่วงเจ้าของบ้านกลับมา บอกว่าหาทางให้เรไรตามความต้องการของเรไรได้ เชื่อว่าอย่างช้าวันพรุ่งนี้จะได้ข่าว ว่าเรไรจะได้พบคนที่เป็นเพื่อนสนิทของมารศรีได้เมื่อใด และที่ใด

พอวันรุ่งขึ้นก็ได้ข่าวจริงดังคำรับรอง นายบุญช่วงจะพาตัวเรไรไปพบกับเพื่อนสนิทของมารศรี ชื่อพรรณราย เป็นสตรีสาวและยังโสด นัดพบกันที่บ้านเพื่อนคนหนึ่งของเจ้าของบ้าน

เรไรแต่งกายสุภาพราบเรียบ แต่ทันสมัย ภริยานายบุญช่วงพยายามจะให้เครื่องเพชรเครื่องทองเรไรแต่งไปบ้าง แต่เรไรไม่ยอมรับ เพราะไม่มีเหตุผล ใครๆ ก็รู้ว่าเรไรเป็นคนยากจน แต่งไปเขาก็รู้ว่าไม่ใช่ของเรไร เธอเชื่อความงามในรูปทรงหน้าตาของตัวเอง ว่าสามารถจะแข่งกับเพชรทองของประดับทั้งหลาย เพียงแต่ให้มีเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายทันสมัยก็พอแล้ว

และอันที่จริง รูปทรงของเรไรก็ทำความตื่นตาให้แก่พรรณรายมาก พรรณรายเคยทราบเรื่องเรไรมาแล้วจากข่าวครึกโครมในหนังสือพิมพ์ และจากเรื่องที่สุธีสามีของมารศรีติดตามเรไรไป ความคิดในเบื้องต้นก็มีอยู่แล้ว ว่าเรไรต้องเป็นคนสวย และเมื่อมาเห็นตัวจริงก็ต้องยอมรับว่าเรไรเป็นคนสวยจริง รูปทรงผิวพรรณและดวงหน้า มีทั้งความสวยและความงาม ความเปล่งปลั่งความเป็นสาวอย่างไม่น่าเชื่อว่าเคยมีสามีมาแล้ว ความคิดอีกอย่างหนึ่งที่พรรณรายมีมาแต่ต้น คือว่าเรไรเป็นแต่เพียงลูกชาวนา ไม่มีการศึกษา หรือฐานะดีอย่างไร พรรณรายไม่จำเป็นจะต้องใช้คำพูดกับเรไรอย่างสุภาพสตรีในฐานะเดียวกัน พรรณรายกำหนดหมายในใจว่าจะพูดกับเรไรด้วยถ้อยคำว่า จ๊ะ ฉัน เธอ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ ค่ะ ดิฉัน คุณ แต่เมื่อเห็นเรไรเข้าจริง พรรณรายก็ต้องเปลี่ยนความคิด เพราะความงามสง่าและทีท่ามารยาทของเรไร บังคับให้พรรณรายต้องยอมถือว่า เรไรเป็นสุภาพสตรีที่แท้จริงคนหนึ่ง

เมื่อเรไรไปถึงบ้านที่นัดหมายพบกันนั้น พรรณรายได้มาคอยอยู่ก่อนแล้ว เจ้าของบ้านทั้งสองฝ่ายได้แนะนำให้สตรีทั้งสองรู้จักกัน แล้วเจ้าของบ้านก็เลี่ยงไป ปล่อยให้ทั้งสองคนพูดจากันต่อไป

“ดิฉันขอโทษที่ต้องรบกวนคุณ และขอบคุณที่ให้เกียรติมาพบดิฉัน” เรไรพูดด้วยน้ำเสียงอย่างคนที่มีการศึกษาและวัฒนธรรมดี น้ำเสียงพูดและวิธีพูด ได้สร้างรอยพิมพ์ใจแก่พรรณราย ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เลวเลย

“ดิฉันก็อยากพบคุณเหมือนกันค่ะ” พรรณรายตอบ

“คุณคงเคยได้ทราบเรื่องดิฉันมาบ้างแล้ว”

“ทราบอยู่บ้างแล้วค่ะ และยินดีที่ได้พบตัวจริง”

“ดิฉันไม่แน่ใจว่าคุณจะเชื่อหรือไม่” เรไรพูด “ว่าดิฉันปรารถนา และพยายามแสวงหาความสงบเงียบ อยากจะทำตัวให้ห่างไกลจากเรื่องยุ่งยาก อยากจะให้ตัวเองและผู้อื่นมีชีวิตที่ราบรื่นหมดทุกคน ดิฉันรบกวนขอพบคุณ ก็โดยหวังใจว่า คุณจะช่วยเหลือดิฉันให้ประสบผลตามความมุ่งหมายอันนี้บ้าง”

“ดิฉันไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่คุณได้เพียงไร” พรรณรายพูด

“ถ้าไม่สามารถจะทำประโยชน์แก่ดิฉัน ก็ขอได้โปรดทำประโยชน์แก่มารศรีเพื่อนของคุณ”

“มารศรีกับดิฉันรักกันมาก”

“ดิฉันเชื่อว่าทุกคนที่รักคุณมารศรี” เรไรกล่าว “คงจะมีความคิดเป็นอย่างเดียวกัน คือรู้สึกเศร้าสลดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่เธอ”

“จริงค่ะ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดมาก”

“และก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ดิฉันเองสามารถจะพิสูจน์ได้ทุกสถานว่า ดิฉันกับคุณสุธีไม่ได้มีเรื่องรักใคร่กันทางชู้สาว หรืออย่างน้อยก็คือ ดิฉันเองไม่ได้เคยมีความมุ่งมาดปรารถนาแม้แต่ขณะจิตเดียว ที่จะได้คุณสุธีเป็นสามี”

“แต่ทางเราก็เข้าใจว่า คุณสุธีมุ่งหมายคุณอยู่มาก”

“ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ดิฉันก็รับรองกับคุณได้ว่า ความมุ่งหมายของคุณสุธีจะไร้ผล พูดกันตามตรงๆ ว่า ดิฉันจะไม่ยอมเป็นเมียคุณสุธีเลยเป็นอันขาด ไม่ใช่เพราะเหตุว่าเขามีอะไรไม่ดี แต่เพราะเหตุที่เขาเป็นคนดีมากเกินไป สำหรับจะมาเป็นผัวดิฉัน”

“คุณสุธีทราบข้อนี้หรือเปล่าคะ ?”

“ทราบค่ะ ดิฉันได้เคยบอกให้คุณสุธีทราบแล้วหลายครั้งหลายหน ว่าดิฉันไม่สามารถจะรับความรักของคุณสุธี และไม่สามารถจะให้ความหวังแก่สุธี เพราะตัวดิฉันไม่ดีพอที่จะเป็นเพื่อนร่วมชีวิตของคุณสุธี แม้ภายหลังที่มีเรื่องหย่าร้างกันแล้ว และคุณสุธีไปพบดิฉัน ดิฉันก็ได้บอกแก่คุณสุธีอย่างนี้เหมือนกัน”

“เรื่องมันตรงกันข้ามกับที่คนทั้งหลายเข้าใจ” พรรณรายกล่าว

“ค่ะ มันเป็นกรรมของคนยากจนอย่างดิฉัน ถ้ามีผู้ชายมาเกี่ยวข้องด้วย เขาก็ต้องเข้าใจกันว่า ดิฉันเป็นคนล่อผู้ชาย คุณคงทราบเรื่องที่ดิฉันลงไปทางใต้ครั้งสุดท้ายนี้ ดิฉันเลือกไปในเวลาที่สุธีได้แต่งงานแล้ว ดิฉันคิดจะไปก่อนนั้น แต่ก็เกรงว่าคุณสุธีจะตามไปด้วย รอให้เขาแต่งงานเสียก่อน เพื่อเขาจะได้มีเครื่องผูกมัดไว้ไม่ติดตามไป แต่ลงท้ายเขาก็ตามไปจนได้ เขาไม่ได้ไปทำประโยชน์อะไรให้ดิฉัน ในการที่เขาตามลงไปครั้งนี้ ตรงกันข้าม กลับทำความลำบากห่วงใยให้ดิฉันมากขึ้น ดิฉันไล่ให้เขารีบกลับ เพราะดิฉันช่วยตัวของดิฉันเองได้ ร้องขอให้เขาปรับความเข้าใจกับคุณมารศรี เพื่อมิให้การกระทำของเขาครั้งนี้ เกิดเป็นผลร้ายแก่ชีวิตสมรส ซึ่งดิฉันให้คุณค่าอย่างมาก”

“แต่เรื่องมันก็ได้เสร็จเด็ดขาดกันไปเสียแล้ว เขาได้หย่าร้างกันแล้ว”

“คุณมองไม่เห็นทางบ้างหรือคะ ที่จะทำให้ผัวเมียกลับดีกันใหม่”

“เรายังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้”

“ดิฉันอยากจะขอชวนให้คุณคิด” เรไรกล่าว “หรือช่วยดิฉันคิด คุณสุธีมาเล่าให้ดิฉันฟัง และดิฉันรับรองได้ว่า เรื่องการหย่าร้างครั้งนี้ทำความเสียใจเศร้าสลดให้แก่คุณสุธีอย่างมาก เขาบอกว่า ถ้ามีโอกาสพูดจากับคุณมารศรีโดยลำพัง อาจจะทำความเข้าใจกันได้”

“นั่นซิคะ มีท่านผู้ใหญ่หลายคนพูดว่า ถ้าผู้ใหญ่ไม่เข้ามาเป็นเจ้ากิจเจ้าการเสียเอง ปล่อยให้คู่ผัวเมียเขาพูดกัน เรื่องจะไม่รุนแรงไปถึงหย่าร้าง”

“นั่นก็แสดงให้เราเห็นว่า หนทางที่เราจะกลับทำให้คุณสุธีกับคุณมารศรีคืนดีกันได้นั้น มีอยู่ใช่ไหมคะ ?”

“แต่คุณคิดจะทำอย่างไร ?”

“เราหาทางชักนำ เอาผัวเมียเขามาพบกันสักครั้งหนึ่งจะได้ไหมคะ ?”

“เขาไม่ใช่ผัวเมียกันแล้ว”

“เอาเถอะค่ะ ให้เขาพบกันอย่างคนที่เคยเป็นผัวเมียกันมาแต่ก่อน ดิฉันเชื่อว่ารอยรักยังคงมีอยู่ คุณได้พบคุณมารศรีบ้างหรือเปล่าคะ ภายหลังการหย่าร้าง ?”

“พบซิคะ พบกันหลายครั้ง”

“แล้วคุณสังเกตเห็นคุณมารศรีเป็นอย่างไรบ้าง เราพูดกันตามความจริงค่ะ ดิฉันพูดกับคุณนี้ด้วยดวงใจที่บริสุทธิ์ ซึ่งดิฉันเชื่อว่าคุณคงจะเห็นอยู่แล้ว”

“ก็เป็นธรรมดาของผู้หญิงทุกคน” พรรณรายตอบ “เรื่องต้องหย่าร้างกับสามีนั้น ถึงอย่างไรก็ต้องทำความเศร้าสลดใจให้ แม้แต่การหย่าร้างด้วยการทะเลาะวิวาทอย่างใหญ่ ถึงกับเห็นชัดว่าจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ยังต้องรู้สึกเศร้าสลดใจ นี่เป็นการหย่าร้างอย่างที่ไม่มีเรื่องเช่นนั้น แน่นอนเหลือเกิน มารศรีเองก็เศร้าสลดใจมาก”

“เพราะเหตุนี้ซิคะ ดิฉันจึงคิดว่า น่าจะหาทางให้ได้พบกันอีกสักครั้งหนึ่ง”

“คุณมีหวังว่า เขาจะตกลงกันได้อย่างไร ถ้าเขาได้พบกัน”

“คุณสุธีได้เล่าให้ดิฉันฟัง ถึงถ้อยคำที่ได้พูดกันเล็กน้อยกับคุณมารศรีต่อหน้าผู้ใหญ่ ซึ่งรวมความว่า ปัญหาขัดข้องก็มาอยู่ที่เรื่องตัวดิฉัน คุณทราบเรื่องนี้แล้วใช่ไหมคะ ?”

“ไม่ทราบค่ะ” พรรณรายตอบ “มารศรีไม่ได้เล่าเรื่องให้ดิฉันฟังอย่างละเอียด”

“คือเป็นอย่างนี้ค่ะ เท่าที่คุณสุธีกับคุณมารศรีได้มีโอกาสพูดกันต่อหน้าผู้ใหญ่นั้น คุณมารศรีขอเงื่อนไขว่า จะไม่ให้คุณสุธีพบดิฉันอีกต่อไป จะให้ไล่พ่อแม่ของดิฉันออกไปจากที่ดินที่อยู่ใกล้เคียงกัน แม้ว่าที่ดินนั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อแม่ดิฉันเองแล้ว คุณสุธีไม่สามารถจะยอมรับเงื่อนไขอันนี้ คุณมารศรีจึงไม่เห็นทางที่จะตกลงกันได้”

“แล้วอย่างไรคะ ?” พรรณรายถาม

“ถ้าหากว่าดิฉันอยู่ที่นั่นด้วย คุณสุธีกับคุณมารศรีก็จะตกลงกันได้ คือดิฉันเองจะเป็นคนยอมรับว่า จะไม่พบกับคุณสุธีอีกต่อไป แล้วดิฉันจะรับเอาพ่อแม่ของดิฉันออกจากที่ดินนั้นด้วย ถ้าหากว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้คุณมารศรีกับคุณสุธีตกลงกันได้”

“เรื่องมันไม่มากไปหรือคะ ?”

“ดิฉันทำได้ค่ะ เรื่องที่ดิฉันจะไม่พบคุณสุธีเลยนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก ดิฉันเป็นคนยากจน จะอยู่ที่ไหน จะย้ายไปทางไหน ดิฉันก็ไปได้ตามชอบใจ ไม่ต้องห่วงถิ่นฐานหลักแหล่งอะไร ดิฉันสามารถจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ถ้าคุณสุธีจะพยายามตามมาพบ ดิฉันจะไม่ยอมพบ หรือไล่ให้กลับบ้าน ดิฉันก็สามารถจะทำได้ ส่วนพ่อแม่ของดิฉันก็เป็นคนเสงี่ยมเจียมตัวในความยากจนอย่างเดียวกัน ดิฉันสามารถจะพาพ่อแม่ย้ายถิ่นจากที่ที่อยู่ในเวลานี้ ไปอยู่เสียให้ห่างไกลก็ได้”

“ก็ที่ที่อยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นกรรมสิทธิ์ของท่านแล้วไม่ใช่หรือคะ ?”

“เป็นกรรมสิทธิ์แล้วก็ขายได้ ทำมาหากินอยู่เป็นสุขแล้ว ก็พากันยกย้ายร่อนเร่พเนจรต่อไปอีกได้ คนจนสามารถจะทำอะไรได้ทุกๆ อย่าง”

“ดิฉันไม่อยากให้คุณพูดเรื่องจนเรื่องมี” พรรณรายกล่าว “มารศรีเองก็ไม่ใช่คนมั่งมีมากมาย แล้วก็ไม่เคยดูถูกดูหมิ่นคนจน”

“ดิฉันพูดตามความตั้งใจจริงของดิฉันค่ะ” เรไรตอบ “ดิฉันอยากขอความกรุณาคุณ ดิฉันพร้อมที่จะไหว้ จะกราบคุณ ถ้าคุณจะช่วยโปรดนำความข้อนี้ไปบอกแก่คุณมารศรี”

“บอกว่ากระไรคะ ?” พรรณรายถาม

“บอกว่า ถ้าคุณมารศรียินดีจะคืนดีกับคุณสุธีแล้ว ดิฉันรับรองต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายว่า ดิฉันจะไม่ยอมให้คุณสุธีพบดิฉันอีกต่อไป ดิฉันจะพาพ่อแม่ของดิฉันออกจากที่ดินแห่งนั้น ไปหาที่อยู่ที่ทำกินใหม่ ดิฉันต้องการอย่างเดียว เพื่อให้ผัวเมียกลับคืนดีกันเท่านั้น”

“คุณได้พูดกับสุธีอย่างนี้หรือเปล่าคะ ?”

“ดิฉันไม่ได้พูด เพราะถ้าดิฉันพูดกับสุธีอย่างนี้ ก็จะเสียพิธีหมด เราไม่ควรจะให้สุธีทราบความคิดของดิฉันในข้อนี้เลยเป็นอันขาด”

“แต่คุณสุธีก็คงจะทราบภายหลัง”

“ทราบภายหลังก็ไม่เป็นอะไร”

“รู้ได้อย่างไร ?” พรรณรายกล่าว “ถ้าคุณสุธีไปทราบภายหลัง ว่าคุณต้องพาบิดามารดาของคุณร่อนเร่พเนจรไปทางไหน ก็จะวิ่งตามไปอีก”

“เรื่องนี้ดิฉันก็ได้คิดอยู่เหมือนกัน แต่ดิฉันมีวิธีการที่จะทำเพื่อไม่ให้คุณสุธีติดตามไป ขอให้คุณให้ความไว้วางใจในเรื่องนี้แก่ดิฉัน ดิฉันเป็นนักแผนการ คุณคงจะรู้ความสามารถในเรื่องนี้ของดิฉันมาบ้างแล้ว”

“ดิฉันเห็นใจคุณ” พรรณรายกล่าว

“นอกจากเห็นใจแล้ว ดิฉันอยากจะขอให้คุณเชื่อความตั้งใจของดิฉันด้วย”

“แต่เราควรจะดำเนินวิธีไหน ?” พรรณรายกล่าว “ดิฉันต้องถามคุณ เพราะคุณเก่งกว่าดิฉันในเรื่องแผนการ ดิฉันเชื่อ”

ขณะที่พูดกันในตอนหลังๆ นี้ ความยิ้มแย้มและการหัวเราะ ก็ได้มีขึ้นบ้างระหว่างสตรีทั้งสอง สำหรับตัวพรรณรายเอง แม้จะได้มีความคิดดูหมิ่นเรไรมาบ้างในชั้นต้น ก็หมดความคิดที่จะดูหมิ่นในชั้นนี้ ตรงกันข้าม กลับรู้สึกชอบใจและเกรงใจเรไร เชื่อในความตั้งใจจริงของเรไร ที่จะให้มารศรีกับสุธีกลับคืนดีกัน

“ดิฉันคิดว่า ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรนัก” เรไรกล่าว “เพียงแต่คุณไปพบคุณมารศรี เล่าเรื่องที่เราพูดกันนี้ให้คุณมารศรีฟังอย่างละเอียด ขอให้ดิฉันได้พบคุณมารศรีสักครั้งหนึ่ง จะเป็นที่นี้หรือที่ไหนก็สุดแต่ใจของคุณมารศรี ดิฉันอยากจะเปิดหัวใจอันแท้จริงให้คุณมารศรีเห็นอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อคุณมารศรีไม่ขัดข้องที่จะพบพูดกับคุณสุธีอีกสักครั้ง ดิฉันเองจะเป็นคนเอาตัวคุณสุธีมาพบคุณมารศรี จะให้พบกันที่ไหนก็สุดแต่คุณมารศรีจะกำหนด”

“คุณจะอยู่กรุงเทพ ฯ อีกนานสักเท่าไรคะ ?”

“ดิฉันก็จะอยู่เพื่อทำเรื่องนี้ให้แลเห็นผล แต่เราก็ควรจะรีบทำ รีบทำเสียในขณะที่รอยรักยังไม่ลบเลือนไปหมดสิ้น คุณเห็นด้วยกับดิฉันไหมคะ ?”

“ดิฉันเห็นด้วย ดิฉันจะรีบไปพูดกับมารศรีในวันนี้ทีเดียว เรานัดพบกันเสียเลยดีไหมคะ พบกันที่บ้านนี้ ในวันพรุ่งนี้ เวลาเดียวกันนี้”

“คุณจะทำได้เร็วอย่างนั้นทีเดียวหรือ ?”

“มิได้ค่ะ” พรรณรายตอบ “ดิฉันหมายความว่าวันพรุ่งนี้ในเวลานี้ ขอเชิญคุณมาที่นี่ ถ้าดิฉันจะสามารถพาตัวมารศรีมาพบคุณ ดิฉันก็จะพามา ถ้ามารศรีไม่ยินยอมเห็นด้วยกับความคิดของคุณหรือของเรา ดิฉันก็จะมาพบคุณคนเดียวเพื่อเล่าให้ฟัง หรือเพื่อปรึกษาหารือว่าควรจะทำอย่างไรกันต่อไป อาจจะเป็นได้อีกอย่างหนึ่ง คือมารศรียินดีที่จะพบพูดกับคุณ แต่ไม่ใช่ที่นี่ มารศรีอาจจะชอบที่อื่น ดิฉันก็จะรับคุณไปที่นั่น คุณจะรังเกียจไหมคะ ?”

“ดิฉันไม่รังเกียจ จะให้ดิฉันไปพบที่ไหนก็ได้ คุณพาดิฉันไปก็แล้วกัน”

การสนทนาระหว่างสตรีทั้งสองได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึกความพอใจ และเรไรคิดว่า ถ้ามารศรีเป็นคนเรียบร้อยอย่างพรรณราย ก็คงมีทางที่จะพูดจากันได้ เรื่องทั้งหมดไม่ใช่เรื่องของเรไร แต่เป็นเรื่องของมารศรี ถึงกระนั้น เรไรก็ยอมเสียสละ ถึงกับว่าถ้ามารศรีจะเกิดมีทิฏฐิมานะ อยากพบเรไรเหมือนกัน แต่ไม่ยอมมาพบที่นี่ จะเอายศเอาเกียรติ จะให้เอาตัวเรไรไปพบที่อื่น เรไรก็จะยอม แม้ว่าจะไม่มีเหตุผลที่จะต้องยอมอย่างนั้น เรไรก็จะยอมทำอยู่นั่นเอง พรรณรายได้นำเรื่องทั้งหมดไปเล่าให้มารศรีฟังอย่างละเอียด เล่าทุกถ้อยทุกคำ ประกอบกับที่พรรณรายเองก็อยากให้มารศรีกลับคืนดีกับสามี จึงได้ช่วยส่งเสริมจนกระทั่งมารศรีหมดความแคลงใจในเรไร เกิดความคิดที่ดีในตัวเรไรขึ้นมาบ้างอย่างเดียวกับพรรณราย มารศรีจึงยอมที่จะพบเรไร ทั้งๆ ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะยอมคืนดีกับสามีหรือไม่ ความอยากพบเรไรก็เกิดมีขึ้นในดวงจิตของมารศรี และเพื่อไม่แสดงว่าตัวไว้ยศไว้เกียรติ จึงยอมไปพบเรไรที่บ้านนั้น ตามที่พรรณรายนัดไว้ ความรู้สึกของมารศรีในเวลาแรกพบเรไร ก็เป็นความรู้สึกอย่างเดียวกับพรรณราย คือความคิดดูถูกดูหมิ่นได้หายไป รูปโฉมและท่าทีของเรไร ทำให้มารศรีเองต้องให้เกียรติ ความตั้งใจดีจริงที่เรไรมีต่อมารศรี ทำความรู้สึกให้แก่ใจของมารศรีเอง ข้อที่มารศรีเคยคิดดูถูกดูหมิ่นเรไรได้หมดไป เมื่อพบกันมารศรีไม่สามารถจะทำอย่างอื่น นอกจากต้องพูดกับเรไรด้วยความสุภาพเรียบร้อย อย่างเดียวกับพรรณราย

คราวนี้พูดกัน 3 คน คือ มารศรี พรรณราย และเรไร

“พรรณรายเขาทำหน้าที่แม่สื่อดีมาก” มารศรีเริ่มกล่าว “เขาไปเล่าเรื่องคุณให้ดิฉันฟัง เขาเล่าดีจนดิฉันเกือบจะรักคุณขึ้นมา”

“ดิฉันก็เชื่อในความสามารถของคุณพรรณราย” เรไรตอบ “แต่คุณพรรณรายก็คงไม่ได้เล่าอะไรมากไปกว่าความตั้งใจจริงของดิฉัน ดิฉันมีความตั้งใจอย่างแท้จริงที่จะให้คุณกลับคืนดีกันกับคุณสุธี”

“ดิฉันยอมมาพบคุณ” มารศรีกล่าว “ไม่ใช่เพราะดิฉันตกลงใจที่จะคืนดีกับคุณสุธี ดิฉันมานี่ เพราะอยากพบคุณเท่านั้นเอง”

“ดิฉันขอบคุณที่ให้เกียรติแก่ดิฉัน” เรไรตอบ “ขอให้คุณแน่ใจว่า คุณจะไม่ได้พบแต่ตัวดิฉัน คุณจะได้พบหัวใจอันแท้จริงของดิฉันด้วย ดิฉันเรียนแก่คุณได้ด้วยความสัตย์จริง ว่าดิฉันได้พบคุณสุธีภายหลังการหย่าร้าง เธอเศร้าสลดมาก เพราะเธอไม่ได้คาดหมายว่าเหตุการณ์จะรุนแรงไปถึงปานนั้น”

“ถ้าสมมติเอาคุณเป็นตัวดิฉัน” มารศรีกล่าว “คือสมมติว่าคุณเป็นภริยาที่แต่งงานกับคุณสุธีใหม่ ๆ คุณจะเห็นไหมคะว่าการกระทำของคุณสุธีนั้นผิดมาก”

“ดิฉันเห็น คุณสุธีเองก็เห็น เขารู้ตัวของเขาว่าเขาผิด ตั้งแต่เขาพบพูดกับดิฉันที่เมืองใต้เขาก็ยอมรับว่า เขาทำผิดมากไป ในการเดินทางติดตามดิฉันลงไป ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรแก่ดิฉันเลย ยิ่งกว่านั้น ทางคุณพ่อคุณแม่และคุณพี่ของคุณสุธีก็แลเห็นเป็นอย่างเดียวกัน ว่าคุณสุธีทำผิดมาก เรื่องนี้บางทีคุณจะไม่ทราบเรื่องมากเท่าดิฉัน”

“เรื่องอะไรคะ ?” มารศรีถาม

“คือคุณพ่อคุณแม่ และคุณพี่ของคุณสุธี ได้เตรียมพร้อมที่จะบังคับให้คุณสุธี ลงกราบที่เท้าของคุณพ่อคุณแม่ของคุณ คุณแม่ของคุณสุธีถึงกับเตรียมธูปเทียนไว้ เพื่อให้คุณสุธีขอขมาโทษต่อคุณพ่อคุณแม่ของคุณ แต่การพูดกันวันนั้นเอะอะกันมากเกินไป จนไม่มีโอกาสจะทำอย่างนั้นได้”

“เรื่องนี้ดิฉันไม่ทราบ”

“แต่เป็นความจริง ถ้าบังเอิญคุณมีโอกาสที่จะถามคุณพ่อคุณแม่และคุณพี่ของคุณสุธี คุณจะได้พบว่าข้อความที่ดิฉันบอกคุณนี้ เป็นความจริงทุกอย่าง”

“แต่เป็นการยากเหลือเกิน ที่เราจะกลับหลังไปหาเรื่องที่เสร็จเด็ดขาดกันมาแล้ว”

“อันที่จริงเป็นแต่เรื่องฝันร้ายไปนิดเดียว” เรไรพูด “ถ้าคุณสามารถจะทำใจได้ ว่าเป็นแต่เพียงเรื่องฝันร้าย เรามาพากันตื่นขึ้นใหม่ เพื่อให้ความฝันนั้นละลายหายไป ให้กลับคืนเข้าสู่สภาพเดิมของเรา ก็ไม่เป็นการยากอะไร เหลือปัญหาข้อเดียว คือว่าคุณจะยอมให้อภัยแก่ความผิดของคุณสุธีหรือไม่ เขาผิดแน่ในการที่ฝ่าฝืนคำขอร้องของคุณ และไปจากคุณเพราะเรื่องผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เป็นความผิดที่ไม่มีมลทินนิรโทษ เขาไม่เคยแตะต้องดิฉันแม้แต่ปลายนิ้ว เขาไม่เคยพูดอะไรที่ไม่ควรพูด เมื่อพบกันที่เมืองใต้ เขามีสภาพเหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วรอการลงโทษ เขาเดินทางกลับมาเพื่อรับโทษและรับอภัย รับโทษจากพ่อแม่ของเขา ซึ่งเตรียมจะรับมือกันเป็นอย่างใหญ่ แต่เขาก็มีหวังอยู่มากที่จะได้รับอภัยจากคุณ”

“ดิฉันรู้สึกเป็นเรื่องที่ยากมาก” มารศรีกล่าว

“ยากอยู่ที่คุณ หรือยากอยู่ที่คุณสุธี” เรไรถาม

“ยากอยู่ทั้งสองทาง คุณพ่อท่านก็พูดออกไปดังๆ ว่าถึงแม้จะหย่าร้างกันแล้ว ท่านก็สามารถจะหาสามีให้ดิฉันใหม่ที่ดีกว่าคุณสุธี ดิฉันสารภาพว่าคุณพ่อพูดอย่างนี้หลายครั้งหลายหน ทั้งต่อหน้าคุณสุธีและต่อหน้าบิดามารดาของคุณสุธี ซึ่งเป็นคำพูดที่ดิฉันเองก็รู้สึกว่ารุนแรงไป แต่จะทำอย่างไรได้ คุณพ่อท่านโกรธมาก คำที่ท่านพูดออกไปก็คงจะทำให้คุณสุธีและครอบครัวทางฝ่ายคุณสุธีโกรธมากเหมือนกัน”

“แต่คุณสุธีก็ทราบ ว่าคุณพ่อของคุณพูดออกมาด้วยความโกรธ ซึ่งเขาเองก็ยอมรับว่าความประพฤติของเขาเป็นเรื่องที่น่าจะให้ผู้ใหญ่โกรธ”

“แล้วความยากก็มาอยู่ที่ดิฉัน” มารศรีกล่าว “คือเมื่อคุณพ่อท่านพูดออกไปว่า ดิฉันสามารถจะมีสามีดีกว่าคุณสุธีได้ แล้วดิฉันจะกลับไปดีกับคุณสุธี ก็จะแสดงว่าดิฉันไม่สามารถที่จะหาสามีดีกว่าคุณสุธีได้อีก”

“เรื่องนี้คุณสุธีก็เล่าให้ดิฉันฟัง” เรไรตอบ “ดิฉันได้ถามคุณสุธีตรงๆ ว่าคุณสุธีเชื่อไหมว่าคุณมารศรีสามารถจะหาสามีได้ดีกว่าคุณสุธี”

“แล้วคุณสุธีตอบว่ากระไรคะ ?” มารศรีถามอย่างแสดงว่าสนใจในข้อนี้มาก

“คุณสุธีตอบดิฉันว่า เขาเชื่อ เขาเชื่อทีเดียวว่าคุณมารศรีสามารถจะหาสามีที่ดีกว่าเขาได้ เพราะการที่คุณมารศรีจะหาคนที่ดีกว่าเขานั้นไม่ยากอะไรเลย ก็เมื่อคุณสุธีเองแลเห็นอย่างนี้ รับกับดิฉันอย่างนี้ ดิฉันก็เชื่อว่าเป็นความเห็นอย่างจริงใจ เราพูดกันสองต่อสองในเวลานั้น ไม่มีทางที่คุณจะรู้หรือจะได้ยิน คุณสุธีไม่มีความจำเป็นจะต้องกล่าวอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่ความเชื่ออย่างจริงใจของเขา ก็เมื่อตัวคุณสุธีเองมีความเชื่อว่าคุณสามารถจะหาสามีได้ดีกว่าเขา แล้วการที่คุณจะกลับให้อภัยเขา และยอมคืนดีกับเขา ก็เป็นความดีของคุณ เป็นความกรุณาของคุณ เขาจะไม่มองเห็นเลยว่าคุณไม่สามารถจะหาได้ดีกว่าเขาอีก”

“แล้วสำหรับตัวคุณจะทำอย่างไร ?” มารศรีถาม

“ดิฉันจะทำอย่างที่บอกแก่คุณพรรณรายไปแล้ว คือถ้าหากดิฉันสามารถจะชักนำทำให้คุณคืนดีกับคุณสุธีได้ ดิฉันรับรองว่าจะไม่ยอมให้คุณสุธีพบดิฉันอีกต่อไป ส่วนพ่อแม่ของดิฉันซึ่งอยู่ในที่นั้นดิฉันก็จะพาออกไปที่อื่น”

“คุณมีที่ไปแล้วหรือคะ ?”

“ก็ยังไม่มีค่ะ แต่คนอย่างดิฉัน หรือพ่อแม่ของดิฉัน หาที่อยู่ได้ไม่ยากนัก ที่ป่าที่ดงอะไรก็อยู่ได้ ลงแรงถากถางกันไป ลงท้ายก็มีทางทำมาหากินขึ้นเอง”

“แล้วเรื่องก็จะกลายเป็นว่า ดิฉันเป็นคนทำความเดือดร้อนให้คุณและบิดามารดาของคุณ”

“พวกดิฉันไม่เคยกลัวความเดือดร้อน เราคุ้นกับความเดือดร้อนมาตลอดชีวิตของเรา แต่คุณไม่ต้องวิตกในเรื่องนี้ ดิฉันอาจจะพบหนทางที่ทำความราบรื่นแก่ตัวดิฉันเองก็ได้ แต่ดิฉันรับรองว่าจะไม่อยู่ในที่นั้น และจะพาพ่อแม่ออกจากที่นั้นไปโดยเร็วที่สุด”

“เป็นที่กรรมสิทธิ์ของบิดามารดาคุณแล้วไม่ใช่หรือคะ ?”

“กรรมสิทธิ์เป็นของที่โอนได้ ที่ดินที่ทำผลประโยชน์ขึ้นมาแล้ว หาคนต้องการได้ง่าย แล้วก็เป็นที่ดีอยู่ริมถนนใหญ่ด้วย ดิฉันขออย่างเดียว คือขอให้คุณยอมสุธีซึ่งดิฉันจะเอาตัวมาพบที่นี่หรือที่ไหนก็ตามใจ แล้วขอพบคุณให้คุณให้อภัยแก่เขา”

“ดิฉันก็ยังรับรองไม่ได้” มารศรีกล่าว “เพราะมีปัญหาอีกหลายเรื่องที่ดิฉันต้องคิดมาก”

“หมายความถึงคุณพ่อของคุณหรือคะ ?”

“ทางคุณพ่อไม่สู้เป็นปัญหานัก เพราะถ้าหากว่าดิฉันสมัครใจที่จะคืนดีกับสุธี ดิฉันก็คงจะขอร้องให้คุณพ่อยินยอมได้ นี่ข่าวหย่าของเราก็ยังไม่โด่งดังไปที่ไหน เพราะเราหย่ากันเองอย่างเงียบๆ ไม่ได้ขึ้นโรงขึ้นศาล นอกจากญาติและเพื่อนสนิทแล้วก็ยังไม่มีใครทราบ”

“แล้วยังมีความขัดข้องทางไหนอีกคะ ?”

“มันเป็นความขัดข้องในใจของดิฉันเองมากกว่า ยังรู้สึกมีความยากลำบากอยู่อีกหลายประการ ซึ่งจะต้องค่อย ๆ คิดไปอย่างละเอียด”

“เราจะพบกันอีกสักครั้งได้ไหมคะ ?” เรไรกล่าว “ดิฉันหมายความว่าคุณจะให้เกียรติพบพูดกับดิฉันอีกสักครั้งหนึ่งได้ไหม ภายหลังที่ได้มีเวลาตรึกตรองดูตามสมควร”

“ดิฉันไม่รังเกียจที่จะพบพูดกับคุณ” มารศรีตอบ

“สมมติว่าดิฉันให้เวลาตรึกตรองแก่คุณอีก 48 ชั่วโมง แล้วดิฉันขอพบอีกสักครั้งหนึ่งได้ไหมคะ ?”

“ดิฉันยินดีค่ะ เพราะรู้สึกว่าได้พบพูดจากับคุณบ้างแล้ว ดิฉันก็ค่อยสบายใจขึ้นบ้าง”

“ตกลงนะคะ วันมะรืนนี้เราพบกันใหม่” เรไรกล่าว

“ที่นี่หรือ ?” พรรณรายซึ่งไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลยเริ่มพูดขึ้น

“สุดแต่คุณมารศรีค่ะ” เรไรตอบ “ที่นี่หรือที่ไหนก็ได้”

“ดิฉันคิดว่าที่นี่ก็สะดวกดี เพราะเจ้าของบ้านก็กรุณาเราอยู่แล้ว” มารศรีกล่าว

“ถ้าเช่นนั้นเราพบกันที่นี่ ในวันมะรืนนี้ เวลาเดียวกันกับที่เราพบกันในวันนี้” เรไรพูด

“ตกลงค่ะ” มารศรีตอบ

เขาสนทนากันต่อไปอีกเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องนอกกิจธุระ พูดกันถึงเรื่องเมืองใต้ ซึ่งมารศรียังไม่เคยไป เป็นการสนทนาซึ่งถ้อยที่มีอัธยาศัย เหมือนหนึ่งว่าสตรีสองคนนี้จะกลับกลายเป็นมิตรกันได้ สนทนากันอยู่อีกพักหนึ่ง มารศรีก็ลาไป พรรณรายไปกับมารศรี

ภายหลังที่ได้พบปะพูดจากับมารศรีครั้งนี้ ทำให้เรไรพอใจว่าความคิดของตนที่จะสมานรอยร้าว หรือความแตกแยกระหว่างสุธีกับมารศรีนั้น มองเห็นผลสำเร็จมาก ถ้อยคำของมารศรีที่พูดในตอนหลังๆ แม้จะเป็นคำปฏิเสธหรือไม่ยอมรับ ก็อาจจะแปลความหมายได้ในทางที่ตรงกันข้าม ข้อถามหลายข้อของมารศรี แสดงชัดว่าถ้ามารศรีจะยังยืนกรานไม่ยอมดีกับสุธีจริงๆ แล้ว มารศรีคงจะไม่ถามอย่างนั้น เรไรคิดว่าจะได้ฟังความขัดข้องทางบิดาของมารศรี แต่ถ้อยคำของมารศรีเองก็แสดงว่าทางบิดาก็ไม่สำคัญ เมื่อเป็นเช่นนี้ยังจะมีอะไรอีกเล่า ที่จะกีดกันมิให้มารศรียอมคืนดีกับสุธี สำหรับความคิดของเรไรในเวลานี้ ดูหมือนว่าการขอความยินยอมจากมารศรีจะง่ายกว่าการขอความยินยอมจากสุธีเสียอีก เพราะสุธีมีความมุ่งมาดปรารถนาอยู่ในตัวเรไร แต่เรไรก็ยังเชื่อว่าสามารถจะฝ่าฟันความยากลำบากอันนี้ลงไปได้

มารศรีไม่ยอมรับที่จะพบกับสุธี แต่ก็ยอมที่จะพบกับเรไรอีกครั้งหนึ่ง แน่นอนทีเดียว จะหวังให้มารศรีตอบแสดงความยินดีพบกับสุธีนั้น หวังไม่ได้ แต่เรไรก็เชื่อว่าถ้าเรไรเอาตัวสุธีมาพบในวันที่จะพบกันคราวหน้า มารศรีก็คงจะไม่โกรธถึงกับลุกหนีไป อย่างมากที่สุดก็จะมีการต่อว่าต่อขานกันอีกในชั้นต้น แล้วต่อไปก็คงจะมีทางปรับความเข้าใจกันได้

ด้วยความคิดดังนี้ เรไรจึงขออนุญาตเจ้าของบ้าน ซึ่งได้ให้ความอุปการะอนุญาตให้ใช้บ้านเป็นที่นัดพบมาถึงสองครั้ง และใกล้จะมองเห็นความสำเร็จอยู่แล้ว ขอให้ได้ใช้บ้านนี้ให้เป็นประโยชน์อีกสักครั้งหนึ่ง โดยบอกความจริงว่า คราวนี้เรไรจะนัดเอาสุธีมาพบด้วย เจ้าของบ้านก็ยินดีอนุญาตให้

เมื่อกลับมาถึงบ้านที่พักของตน เรไรก็รีบเขียนจดหมายถึงคุณสุธี ส่งทางไปรษณีย์ ซึ่งเรไรเชื่อว่าเวลาสองวันคงจะเพียงพอสำหรับให้สุธีได้รับจดหมาย เธอบอกไปว่า เธอต้องการพบสุธี เพราะเวลานี้ยังไม่ได้ไปเมืองเหนือ โดยมีกิจธุระพิเศษเกิดขึ้นอีก ขอให้สุธีไปพบที่บ้านนั้น เรไรกะเวลาให้สุธีไปถึง ช้ากว่าเวลาที่นัดกับมารศรีครึ่งชั่วโมง

อนึ่ง เพื่อความเคารพต่อเจ้าของบ้าน เรไรได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้เจ้าของบ้านทั้งสองแห่งฟัง เล่าความมุ่งหมายและข้อความที่พูดกันให้ฟังทั้งหมด เพื่อให้เห็นว่าการอาศัยใช้บ้านของเขานั้นไม่ใช่เพื่อการร้าย แต่เพื่อความดี เพื่อสมานสามัคคี ทำผัวเมียที่แตกกันไปแล้วให้กลับคืนดีกัน ถ้างานอันนี้เป็นผลสำเร็จ เจ้าของบ้านก็จะได้บุญด้วย

สำหรับเงินหกหมื่นที่เรไรฝากเจ้าของบ้านไว้นั้น นายบุญช่วงแนะนำว่าควรจะนำไปฝากธนาคาร เพราะเป็นเงินจำนวนมาก และเรไรก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังใครในการที่ตัวมีเงินหกหมื่นบาท เรไรอยากจะแยกบัญชีแบ่งให้เป็นของพ่อแม่สามหมื่น แต่เจ้าของบ้านก็แนะนำให้ฝากในนามของเรไรเองทั้งหมดก่อน เมื่ออยากจะแบ่งหรือจะให้พ่อแม่เท่าไร ก็สามารถจะแบ่งให้ภายหลังได้ เรไรได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเขาคือนำไปฝากธนาคารในนามของตัวเองทั้งหมด

ครั้นถึงวันที่กำหนดนัด เรไรได้ไปยังบ้านนั้น มารศรีและพรรณรายก็มาถึงในเวลาใกล้ๆ กัน บ้านนั้นเป็นบ้านใหญ่ มีห้องนั่งทั้งชั้นบนชั้นล่าง โดยที่เรไรได้บอกเจ้าของบ้านว่าวันนี้ได้นัดให้สุธีมาโดยไม่รู้ตัว เจ้าของบ้านเห็นเป็นวันสำคัญ คงจะต้องพบพูดกันนาน หรืออาจจะเกิดการโต้เถียงเอะอะ เจ้าของบ้านจึงเชิญเรไร มารศรี และพรรณราย ขึ้นไปพูดกันที่ห้องนั่งชั้นบน เพราะถึงแม้จะมีการโต้เถียงเสียงดังบ้าง คนในบ้านก็จะไม่ได้ยิน

“คุณพบคุณสุธีอีกหรือเปล่าคะ ?” มารศรีถามเรไรเป็นคำถามข้อแรก ซึ่งให้ความหวังแก่เรไรเป็นอันมาก

“ไม่ได้พบเลยค่ะ” เรไรตอบ

“แปลว่าคุณสุธียังไม่ทราบเรื่อง ที่เรามาพบพูดกันนี้เลย ใช่ไหมคะ ?”

“ดิฉันรับรองได้ ว่าคุณสุธีไม่ทราบระแคะระคายเรื่องที่เราพบพูดกันนี้เลยแม้แต่เล็กน้อย”

“ดีแล้วค่ะ” มารศรีตอบ

พอพูดกันมาได้เพียงเท่านี้ ก็มีเสียงเคาะประตู เจ้าของบ้านเองเปิดเข้ามาเรียกเรไร เรไรบอกขอโทษมารศรีและพรรณราย รีบวิ่งลงไป สุธีมาก่อนเวลาตั้ง 20 นาที แต่เรไรก็เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้ว

“ฉันมีเรื่องสำคัญที่จะต้องพบเธอ” เรไรพูด “ท่านเจ้าของบ้านนี้อนุญาตให้เราขึ้นไปพบพูดกันข้างบน ขึ้นมากันเถอะ”

สุธีไม่เคยรู้จักบ้านนั้น เขาอยากจะถามเรไรว่ามารู้จักกับเจ้าของบ้านนี้ได้อย่างไร แต่ก็ไม่มีเวลาจะถาม ความดีใจที่จะได้พบเรไรโดยลำพังในชั้นบนของบ้าน เขารีบตามเรไรขึ้นไป

เรไรเปิดประตูโดยไม่เคาะ พาตัวสุธีเข้ามาในห้อง แล้วก็ปิดประตู

“สุธี” เรไรพูด “ฉันขอแนะนำให้เธอรู้จักกับเพื่อนฉันสองคน คุณมารศรีกับคุณพรรณราย”

ภาพแห่งความเป็นไปในเวลานั้น เป็นภาพยากที่จะพรรณนา สำหรับพรรณรายบรรยายง่ายกว่าคนอื่น เพราะเป็นดวงหน้าที่กลั้นยิ้ม มารศรีสะดุ้งเมื่อเห็นสุธี ขยับจะลุกขึ้นจากที่นั่ง แต่พรรณรายยึดไว้ เธอก้มหน้า ซึ่งยากที่จะแปลได้ว่าพอใจหรือไม่พอใจในการที่ได้พบสุธี กัดริมฝีปากอย่างคนโกรธกันมาได้พบกัน สุธีตกใจมากกว่าใครๆ เขายืนตะลึงนิ่งเหมือนตุ๊กตาหิน และสีหน้าของเขาก็ขาวเหมือนหินอ่อน

“เชิญมานั่งร่วมวงสนทนากับเพื่อนของฉัน” เรไรกล่าวอย่างเสียงของคนที่มีชัย

สุธีเดินเข้ามาเหมือนคนถูกสะกดจิต ที่ต้องทำตามคำสั่งของผู้สะกด เรไรเห็นพรรณรายกลั้นยิ้มด้วยความยากลำบาก ก็เลยต้องกลั้นยิ้มอย่างลำบากไปด้วย

“นั่งค่ะ” เรไรสั่ง

สุธีนั่ง ท่าทางของเขายังเป็นคนถูกสะกดจิตอยู่อย่างเดิม เขาพูดอะไรพึมพำออกมาสองสามคำ ซึ่งไม่มีใครเข้าใจว่าอะไร เพราะเป็นเสียงสั่นเครือ ฟังไม่ออก เมื่อฟังคำพูดของเขาไม่เข้าใจ พรรณรายกับเรไรก็มองตากัน พอสบตากันเข้าก็อดหัวเราะกันไม่ได้ เรไรยังกลั้นอยู่ แต่พรรณรายปล่อยก๊ากใหญ่ เลยทำให้เรไรกลั้นไม่อยู่ด้วย เรไรลงนั่งข้างมารศรีทางข้างขวา พรรณรายนั่งซ้ายมารศรีอยู่แล้ว ส่วนสุธีนั่งตรงหน้ามารศรี เรไรซึ่งพยายามหัวเราะน้อยก็หัวเราะดังขึ้นมาทุกที ลงท้ายมารศรีเองก็ไม่สามารถจะกลั้นหัวเราะไว้ได้ มารศรีเอื้อมมือตีที่แขนเรไร จนสุธีเกิดความสงสัยว่าเขารู้จักรักชอบกันมาตั้งแต่เมื่อไร จึงได้ทำความสนิทสนมถึงกับหยิกตีกัน

“คุณนี่น่ะ” มารศรีกล่าวกับเรไร “เล่นอะไรก็ไม่รู้”

“กำลังทำอะไรกัน ?” สุธีพูด คราวนี้เขาทำความพยายามพูดชัดเจน

“คือเรากำลังปรึกษาหารือกันถึงกิจการอันหนึ่ง” เรไรพูด “เราอยากจะได้ฟังความคิดเห็นของเธอบ้าง จึงขอเชิญเธอมาร่วมวงสนทนา”

แล้วเรไรก็หัวเราะอีก เพราะพรรณรายเป็นคนนำหัวเราะ “เดี๋ยวฉันหยิกแขนเขียวไปหมดทั้งสองคนหรอก” มารศรีกล่าว

“สุธี” เรไรพูด เมื่อระงับการหัวเราะลงได้แล้ว “ตั้งแต่เธอรู้จักฉันมา เธอเคยเห็นฉันหัวเราะอย่างนี้บ้างไหม ?”

“อย่างนี้หรืออย่างไหนก็ไม่เคยเห็น” สุธีตอบ

“ฉันไม่เคยมีความสุขเท่าเวลานี้” เรไรกล่าวต่อ “ที่ฉันทำให้คุณมารศรีมาพบเธอได้ อันที่จริงก็ไม่ใช่ความสามารถของฉันคนเดียว คุณพรรณรายทำงานมาก”

“ดิฉันเป็นคนถูกหลอกคนเดียว” มารศรีกล่าว

“ดิฉันกล้าหลอกคุณ ก็เพราะเห็นชัดว่าสุธียังรักคุณมาก เขารู้ตัวว่าเขาทำผิด เขาเป็นเหมือนเด็กที่รอการทำโทษ ดิฉันตามตัวเขามาให้คุณลงโทษ ให้สาสมกับความผิดของเขา แทนที่คุณจะหยิกคุณพรรณรายกับดิฉัน คุณหยิกเขาดีกว่า”

“ถ้าเราได้พบพูดกันตั้งแต่ต้น” พรรณรายพูด “เรื่องร้ายก็จะไม่เกิดขึ้น”

“ถึงแม้เรื่องร้ายจะเกิดขึ้นแล้ว” เรไรกล่าว “เราก็สามารถจะทำให้มันกลับกลายเป็นดีได้ คุณมารศรีคะ คุณพรรณรายเพื่อนเก่าของคุณ และดิฉันเพื่อนใหม่ของคุณ ขอวิงวอนให้คุณให้อภัยความผิดของสุธี”

“แต่คุณสุธีไม่ได้เคยรับผิดเลย” มารศรีพูด

“เพราะไม่ได้เคยทำความทุจริตอะไร” สุธีตอบ

“ไม่มีใครว่าเธอทำความทุจริต” เรไรชิงพูด “แต่เธอทำความผิด ซึ่งเธอเองก็เคยยอมรับกับฉันว่าเธอทำผิดไป ความผิดกับความทุจริตนั้นไม่เหมือนกัน คุณมารศรีคะ ดิฉันรับรองว่าสุธีเคยรับผิด พิสูจน์ที่ว่าเขาเคยรับผิดนั้น คือเขาไม่กล้าเถียงดิฉันเลยในเวลานี้”

“และดิฉันก็รับรองว่ามารศรีให้อภัย” พรรณรายพูด

“พูดกันไปสองคนก็แล้วกัน” มารศรีกล่าว “คนหนึ่งรับผิด อีกคนหนึ่งให้อภัย ว่ากันเสร็จไปเลย คู่พิพาทไม่ต้องพูดอะไรกันละ”

“เอ้า คราวนี้เรามาพูดกันอย่างเป็นการเป็นงาน” เรไรพูด “คุณมารศรีเชื่อหรือยังว่าดิฉันไม่ต้องการสุธีมาเป็นสามีของดิฉัน ถ้าคุณยังไม่เชื่อ ทั้งๆ ที่ดิฉันกล้าพูดต่อหน้าคุณสุธีเช่นนี้ ดิฉันอาจจะสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บ้านนี้มีห้องพระ เราแลเห็นเมื่อเดินผ่านมาเมื่อตะกี้นี้”

“ดิฉันเชื่อค่ะว่าคุณไม่ต้องการคุณสุธี แต่คุณสุธีต้องการคุณ คุณสุธีจะไม่กล้าปฏิเสธในข้อนี้”

“แต่ถ้าเรามีมานะกันอีกสักนิดหนึ่ง” เรไรกล่าว “เราจะแก้ปัญหาได้หมด คุณมารศรีจะเชื่อดิฉันอีกข้อหนึ่งไหม คือว่าคุณสุธีไม่ได้เคยทำอะไรที่เป็นการนอกใจภริยาเลย”

“แต่คุณสุธีก็ดึงดันลงไปเมืองใต้” มารศรีตอบ “ทั้งๆ ที่ดิฉันวิงวอนขอไม่ให้ไป”

“นั่นเป็นเรื่องขัดใจ” เรไรตอบ “ไม่ใช่เรื่องนอกใจ ขัดใจกับนอกใจไม่เหมือนกัน”

“ฉันจะบอกความจริงให้ก็ได้” สุธีพูด

“เอ้า บอกมา” เรไรพูดด้วยความดีใจ “คนดี มีอะไรก็พูดออกมาให้หมด แล้วจะได้สบายใจ”

“คือว่า เมื่อคุณมารศรีบอกว่าไม่ยอมให้ฉันไป ฉันก็พยายามนั่งคิดถึงเพื่อนผู้ชายหลายคน เลือกหาว่าจะวานคนหนึ่งคนใดเขาไปช่วยเรไร ในระหว่างที่ฉันกำลังคิดอยู่อย่างนี้ คุณมารศรีก็พูดไม่หยุด ลงท้ายก็ถึงคำที่ทำให้ฉันตกลงใจไปเอง”

“คำไหนคะ ?” มารศรีพูด ซึ่งเป็นการพูดกับสุธีโดยตรง

“คำที่คุณพูดว่า ไปแล้วไม่ต้องกลับเข้าบ้านนี้อีก” สุธีตอบ เป็นอันว่าสุธีกับมารศรีเริ่มพูดกันโดยตรง

“มันร้ายแรงอะไรคะ คำนั้น”

“ถ้าคุณพูดว่าไป แล้วอย่ากลับมาหาคุณอีก กระเทือนใจฉันมาก แต่พูดถึงคำว่า เข้าบ้าน ก็เป็นเรื่องกระเทือนใจ เพราะฉันต้องอาศัยบ้านคุณอยู่”

“ดิฉันรับรองเรื่องนี้ได้อีกเรื่องหนึ่ง” เรไรกล่าว “สุธีเคยบอกดิฉัน ว่าการที่ต้องอยู่ในบ้านของคุณมารศรี ทำให้รู้สึกตัวเป็นคนอาศัย และคอยจะกินใจระแวงคำพูดอยู่ทุกเวลา”

. “ดิฉันเองก็ไม่ได้อยากอยู่ในบ้านคุณพ่อ” มารศรีกล่าว “ไม่ใช่เพราะไม่อยากอยู่ใกล้พ่อแม่ แต่เป็นเพราะเห็นว่าเมื่อโตแล้วแต่งงานแล้ว ก็ควรจะแยกครอบครัวออกไป แต่เรายังไม่พร้อมที่จะทำอย่างนั้น คำที่ดิฉันพูดว่าไปแล้วต้องไม่กลับเข้าบ้านนี้ ก็เป็นแต่เพียงคำพ้อไปตามวิธีของผู้หญิง ไม่ได้มีความคิดเลยแม้แต่นิดเดียว ที่จะได้ตั้งใจดูหมิ่นพาดพิงไปถึงการที่คุณเข้ามาอยู่ในบ้านฉัน”

“คุณสุธียังรู้จักผู้หญิงน้อยเกินไป” พรรณรายพูด “ผู้ชายที่รู้จักผู้หญิงน้อย มักจะเอาคำพูดของผู้หญิงไปแยกธาตุคิดค้นแปลความหมาย ผู้หญิงเขาไม่ได้พูดสำหรับให้คนฟังเก็บเอาไปคิดอย่างแยกธาตุ เขาพูดเพียงให้ฟังเท่านั้นเอง ฟังแล้วก็แล้วกันไป”

“เปล่าครับ” สุธีตอบพรรณราย “ผมพูดถึงเรื่องนี้ เพื่อแถลงความจริงใจว่า เมื่อมารศรีห้ามก็หยุด และคิดวานเพื่อนไปแทน ถ้ามารศรีหยุดพูดเสียด้วย ผมก็คงหาเพื่อนไปแทนได้แล้ว”

“นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” พรรณรายกล่าว “ที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราค่อยๆ พูดกันไป ในที่สุดเราก็จะทำความเข้าใจกันได้”

“รวมความทั้งหมดก็ไม่มีอะไร” เรไรกล่าวเสริม “เรื่องคำพูดนิดเดียวเท่านั้นเอง พูดกันเพียงเท่านี้ ดูเหมือนจะเข้าใจกันหมดแล้ว”

“ก็ยังเหลือเรื่องที่มารศรีเกรงจะมองหน้าใครไม่ได้ เพราะมีเรื่องผัวทิ้งตามผู้หญิงไป ขายหน้าเพื่อน” สุธีกล่าว

“เอาเถอะ ข้อนี้ฉันรับรอง” พรรณรายพูด “เพื่อนสำคัญที่สุดของมารศรีคือฉัน ฉันรู้ ฉันเห็น ฉันเข้าใจความจริงหมดแล้ว ฉันจะบอกเพื่อนทั้งหลายว่าความจริงเป็นอย่างไร ฉันจะให้เพื่อนทั้งหลายรู้ว่าคุณเรไรเองมาทำการสมาน ปัญหาก็หมดไป”

“คราวนี้ถึงปัญหาคุณพ่อ” สุธีกล่าว “ท่านบอกว่าก็ท่านจะไม่ยอมให้เสนียดจัญไรเข้าบ้านท่านอีก”

“นั่นก็พูดด้วยความโกรธ” พรรณรายกล่าว “ฉันได้พบคุณพ่อ ฉันเห็นชัดทีเดียวว่า เดี๋ยวนี้คุณพ่อก็เสียใจ”

“แต่ท่านได้ลั่นวาจาออกมาอย่างนั้นแล้ว” สุธีพูด “ถ้าผมจะขืนกลับเข้าไปอยู่ในบ้านของท่านอีก ท่านก็จะถูกคนทั้งหลายเย้ยเยาะว่าพูดไม่จริง”

“ไม่มีคนทั้งหลายอยู่ในเรื่องนี้” พรรณรายกล่าว “เพราะคุณพ่อท่านไม่ได้ไปเที่ยวพูดกับใครทั่วบ้านทั่วเมือง ถ้าหากท่านจะพูด ก็พูดอยู่เพียงภายในครอบครัวสองครอบครัวที่เกี่ยวดองกันเท่านั้นเอง”

“แต่เรื่องนี้ฉันมีความเห็นไปอีกอย่างหนึ่ง” เรไรพูด “คุณมารศรีคะ คุณไม่เบื่อกรุงเทพ ฯ บ้างหรือคะ ?”

“เบื่อก็ไม่รู้จะไปทางไหนนี่คะ ?” มารศรีตอบ

“ลองขึ้นไปพักอยู่บ้านไร่ฝ้าย ที่เมืองเหนือสักชั่วคราว ไม่ดีหรือคะ ต้นฝ้ายเริ่มโต ที่ดินอุดม ปลูกอะไรเล่นก็สนุก ปลูกต้นไม้ดอกก็ได้ดอกงาม ดิฉันเชื่อเหลือเกินว่าคุณมารศรีจะชอบ แต่ดิฉันไม่ชอบ”

“อ้าว คุณไม่ชอบแล้วจะมาเกณฑ์ให้ดิฉันชอบอย่างไร” มารศรีกล่าว

“คือเป็นอย่างนี้ค่ะ” เรไรอธิบาย “ดิฉันเป็นลูกเมืองใต้ พ่อแม่ของดิฉันก็เป็นเช่นเดียวกัน คนเมืองใต้เคยอยู่ในถิ่นที่ได้อากาศทะเล ขึ้นไปอยู่เมืองเหนือก็ไม่สบาย ดิฉันวิตกอยู่เสมอว่าสุขภาพอนามัยของพ่อแม่ดิฉันจะไม่ยั่งยืนไปนาน เธอเคยบอกฉัน สุธี ว่าเธอมีที่อยู่อีกแห่งหนึ่งทางชลบุรี ฉันขอแลกกับที่ของฉันที่อยู่ติดกับไร่ของเธอที่เมืองเหนือได้ไหม”

คำพูดของเรไรในตอนนี้ ทุกคนเข้าใจ มารศรี พรรณราย ตลอดถึงสุธีเอง ก็เข้าใจว่าไม่ใช่ปัญหาเรื่องอากาศหรือสุขภาพอนามัย แต่เป็นเรื่องที่เรไรต้องการไปให้ห่างไกล ไม่ต้องพบกันอีก ตามที่เรไรให้คำมั่นสัญญาไว้กับพรรณรายและมารศรี และเมื่อเรไรถามขึ้นเช่นนี้ มารศรีเองก็เข้าใจว่าการย้ายที่อยู่ของเรไรก็จะไม่ลำบากเกินไป เรื่องของมารศรี ถ้าหากจะคืนดีกับสามีใหม่ ก็จะไม่เป็นการทำความโหดร้ายให้เรไร ถึงกับเรไรและพ่อแม่จะต้องร่อนเร่พเนจรไปอย่างที่มารศรีคิดไว้ในชั้นต้น

“ขนาดเนื้อที่กับราคาค่าที่จะพอกันไหม ?” เรไรถามต่อ

“ขนาดเนื้อที่ทางเมืองชลบุรีใหญ่กว่าเนื้อที่ทางเมืองเหนือ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อแม่ของเธอในเวลานี้เล็กน้อย แต่ราคาที่ทางเมืองเหนือสูงกว่า เพราะเป็นที่อยู่ติดถนนใหญ่ ใกล้สถานีรถไฟ ส่วนที่ทางเมืองชลบุรีอยู่ห่างทางหลวงหลายกิโลเมตร ยังไม่มีวี่แววว่ารัฐบาลจะตัดถนนเข้าไปทางนั้นเลย”

“แต่ก็อยู่ริมทะเลใช่ไหม ?”

“อยู่ติดทะเลทีเดียว”

“ฉันชอบ ขอแลกกันเถอะ”

“เธอก็เสียเปรียบมากเพราะราคาผิดกัน”

“ไม่เป็นไร ต่อไปมันก็มีราคาขึ้นมาเอง”

“ถึงอย่างไรก็จะไม่ได้ราคาเท่าที่เมืองเหนือ เพราะไม่มีหวังว่ารัฐบาลจะตัดถนนผ่าน เป็นฝั่งทะเลที่มีบ้านคนอยู่น้อยเต็มที”

“ฉันชอบอยู่ในที่มีคนน้อย ยิ่งไม่มีคนเลยฉันยิ่งชอบ”

“เป็นที่ที่ยังไม่ได้ทำการถากถาง ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“ฉันถากถางได้ มีแรงงานถึงสามแรง พ่อ แม่ ตัวฉัน”

“ยังไม่มีทางคมนาคม การติดต่อลำบากมาก”

“ฉันไม่ต้องการติดต่อกับใคร ยิ่งไม่ต้องพบใครเลย ฉันยิ่งมีความสุข ฉันคิดว่าการพบปะกันในวันนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะร่วมวงสนทนากับใคร ฉันเคยบอกเธอมาหลายครั้งแล้ว ว่าฉันต้องการชีวิตที่สงบสงัด และก็ต้องการจริงๆ ไม่ใช่พูดเล่น ไม่ใช่แกล้งพูด”

“คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ คุณเรไร” มารศรีกล่าว “ความคิดของคุณที่อยากจะย้ายไปห่างไกล ก็เห็นจะเป็นเพราะได้ทราบจากคำบอกเล่าของคุณสุธี ว่าดิฉันเคยตั้งเงื่อนไขว่า คุณสุธีจะต้องไม่พบคุณต่อไป และบิดามารดาของคุณจะต้องออกไปจากที่ไร่ซึ่งอยู่ติดกัน”

“มิได้ค่ะ ไม่ใช่เรื่องนั้น” เรไรขัด

“เดี๋ยวค่ะ” มารศรีกล่าวต่อ “ดิฉันสารภาพว่าเคยตั้งเงื่อนไขอย่างนั้น เพราะยังไม่เคยพบคุณ ยังไม่ทราบเรื่องที่แท้จริง ยังเข้าใจว่าคุณพยายามแย่งผัว ยังเห็นคุณเป็นศัตรู แต่เดี๋ยวนี้ดิฉันเปลี่ยนใจหมดแล้วในส่วนที่เกี่ยวกับคุณเรไร ดิฉันกับคุณสุธีจะกลับคืนดีกันหรือไม่ จนกระทั่งถึงเวลานี้ดิฉันก็ยังไม่แน่ เพราะดิฉันไม่สามารถจะตัดสินเรื่องนี้โดยลำพังใจของตนเอง แต่ถึงแม้ว่าเราจะกลับดีกัน ถึงแม้ว่าเราจะกลับคืนเข้าสู่ชีวิตสมรสเก่าของเรา ดิฉันก็หมดความคลางแคลงใจในตัวคุณแล้ว คุณเรไร คุณไม่ต้องย้ายที่ไปที่ไหน อยู่ในที่เดิมนั้นได้ พร้อมทั้งบิดามารดาของคุณ ถ้าหากว่าดิฉันจะกลับคืนดีกับคุณสุธี ถ้าหากว่าดิฉันจะไปมีชีวิตอยู่ที่บ้านไร่สักชั่วคราว หรือเป็นครั้งคราว ดิฉันก็จะมีความยินดีที่ได้คุณเป็นเพื่อนบ้าน ดิฉันพูดจากความจริงใจ ว่าเดี๋ยวนี้ดิฉันยังสามารถจะเป็นเพื่อนกับคุณได้แล้ว บางทีคุณจะวาดภาพชาวกรุงเทพฯ เป็นคนโหดร้ายใจดำ แต่ดิฉันไม่เป็นเช่นนั้น”

“เปล่าค่ะ” เรไรตอบ “ดิฉันไม่เคยวาดภาพเช่นนั้น นี่อย่างน้อยดิฉันก็ได้พบชาวกรุงเทพ ฯ สองบ้านที่มีความเมตตาอารี ดิฉันได้พบพูดกับคุณพรรณรายและกับคุณด้วยความสบายใจ ดิฉันไม่เคยมองเห็นชาวกรุงเทพ ฯ ไปในทางร้าย แต่ดิฉันอยากอยู่ริมทะเลค่ะ ถ้าคุณสุธีไม่ยอมให้แลกที่ ดิฉันก็จะไปหาเอาใหม่ หาที่อยู่ริมทะเลให้ได้”

แล้วดวงตาของเรไรซึ่งพยายามสร้างความอ่อนโยนมาเมื่อแรกที่สนทนากัน ก็กลับแข็งกร้าวขึ้นในตอนที่พูดว่า “หาที่อยู่ริมทะเลให้ได้” ทุกคนเคยทราบเรื่องส่วนตัวของเรไรมา และเคยทราบว่า เรไรมีนิสัยซึ่งถ้าได้ตกลงใจแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนความตกลงใจของเธอได้

“และดิฉันขอเรียนต่อไป” เรไรพูด “ว่าปัญหาเรื่องคุณมารศรีกับคุณสุธีจะคืนดีหรือไม่นั้น เป็นปัญหาหนึ่ง ส่วนเรื่องดิฉันย้ายที่อยู่ที่ทำกิน เป็นอีกปัญหาหนึ่งไม่เกี่ยวข้องกัน ถึงแม้ว่าคุณมารศรีกับคุณสุธีจะไม่กลับคืนดีกัน ดิฉันก็จะต้องย้ายที่อยู่นั่นเอง ถ้าคุณสุธีไม่ยอมให้แลก ดิฉันก็จะไปหาใหม่ ส่วนที่ไร่ฝ้ายทางเมืองเหนือก็จะพยายามขายไป”

“ก็ได้ แลกกันก็ได้ ฉันจะร้องขอคุณพ่อให้ตกลงยินยอมให้แลกกัน” สุธีกล่าว

การที่สุธีกล่าวเช่นนั้น ความตั้งใจก็มีอยู่เพียงว่า ถ้าไม่ยอมให้เรไรแลกที่ เรไรก็จะซมซานไปหาใหม่ เป็นความลำบากยิ่งขึ้น แต่ก็ทำให้เข้าใจไปได้อีกทางหนึ่งว่า สุธีได้แสดงความดียินยอมที่จะคืนดีกับมารศรี

“ขอบใจเธอมาก สุธี” เรไรพูด “เอาเป็นตกลง เราแลกที่กัน ฉันจะบอกให้พ่อแม่ของฉันลงมากรุงเทพฯ ไปยังที่ใหม่”

“ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนถึงปานนั้น” มารศรีกล่าว “บ้านเรือนที่อยู่อะไรก็ยังไม่มีเลยไม่ใช่หรือคะ ในที่ใหม่น่ะ”

“อย่าว่าแต่บ้านเรือน” สุธีพูด “ที่ว่างจะปลูกบ้านก็ยังไม่มี ยังเป็นป่าอยู่ทั้งนั้น”

“ก็จะต้องรีบร้อนไปทำไม คุณเรไรคะ” มารศรีกล่าว “จ้างคนถากถางปลูกที่อยู่เสียก่อน แล้วจึงค่อยย้ายมา ถ้าหากคุณเรไรจะให้อภัยแก่ดิฉัน ในฐานะพยายามวางตัวเป็นเพื่อนสนิทของคุณ ไม่เห็นเป็นการดูถูกดูหมิ่น ดิฉันมีเงินอยู่บ้าง ดิฉันจะออกค่าจ้างคนถางคนปลูกไปก่อนก็ได้ ขอโทษนะคะ ที่ดิฉันเสนออย่างนี้ เพราะพยายามจะทำตัวเป็นเพื่อนสนิทของคุณ”

ดิฉันขอบคุณที่สุด” เรไรตอบ “อันที่จริงไม่ใช่ปัญหาเรื่องค่าจ้าง ที่จริงเงินของดิฉันก็มีอยู่บ้าง นี่ขายนาทางเมืองใต้ได้เงินมา พอที่จะจ้างคนถากถางหรือปลูกเรือนที่อยู่ แต่ในโลกนี้มีความสุขความรื่นรมย์อยู่อันหนึ่ง ซึ่งชาวกรุงเทพ ฯ ไม่รู้จัก คือความสุขความรื่นรมย์ในการก่อร่างสร้าง ชีวิต ไม่มีอะไรที่จะให้ความสุขความสนุกเท่าเรื่องนี้”

“เล่าต่อไปค่ะ” มารศรีกล่าว “ดิฉันอยากเรียนรู้บ้าง”

“ความสุขความสนุกอย่างที่สุด คือเราไปถึงที่ที่เป็นป่ารก เราแหวกช่องพออาศัยนอน ใช้กิ่งไม้ใบไม้เป็นที่พักพิงไปชั่วคราว ก่อเตาหุงหาอาหาร เป็นการหาที่อยู่ที่กินสำเร็จไปตอนหนึ่ง เท่านี้ก็เป็นความสุข ความรื่นรมย์ มากอยู่แล้ว เราลงมือถาง ขุดเผา ตบแต่งเนื้อที่ทุกๆ ตารางเมตรที่เราทำได้ มันเป็นความสุขความรื่นรมย์อย่างเหลือเกิน เพียงแต่ทำเนื้อที่ได้สักสิบตารางวา เราก็จะพากันเดินด้วยความรื่นรมย์ เป็นความรื่นรมย์อันเกิดจากความรู้สึก ว่านั่นเป็นแรงงานของเรา สมมติว่าเราไม่มีแรงงานจะถากถางเอง เราจะจ้างคนทำ เราก็จะต้องอยู่ควบคุมดูแลมาตั้งแต่ต้น ให้เห็นผลของงานตั้งแต่เริ่มแรกที่ป่าจะกลายเป็นไร่นา ไม่ใช่ไปเห็นเมื่อสำเร็จแล้ว”

“ดิฉันชอบค่ะ” มารศรีพูด “คุณกำลังจะจูงดิฉันออกไปจากกรุงเทพ ฯ พูดต่อไปอีกเถอะค่ะ”

“ผลของงานยิ่งมากออกไป ความสุขความสนุกของเราก็ยิ่งมีมากขึ้น ยิ่งเมื่อลงมือทำการเพาะปลูกได้เห็นอะไรงอกออกมาสักนิดหนึ่ง เราก็ดีใจ เรารักทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดมีขึ้นมาด้วยแรงงานของเรา ดิฉันเคยถามพ่อแม่ว่าเหตุไรพ่อแม่จึงรักลูกยิ่งชีวิตจิตใจ ไม่ว่ามนุษย์ไม่ว่าสัตว์ แม้แต่เสือร้ายก็ยังรักลูก ดิฉันได้รับคำตอบว่า เรารักทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูขึ้นมาด้วยความยากลำบาก สิ่งเหล่านี้เรารักจนสามารถจะเสียสละชีวิตให้ได้ ชีวิตปลูกสร้างถางนาไร่ เป็นชีวิตที่อยู่ในวงแวดล้อมของความรัก พ่อแม่มีความสุขในเมื่อมีลูกล้อมรอบข้างฉันใด ผู้ปลูกสร้างถางนาไร่ ก็มีความสุขในวงแวดล้อมสิ่งที่สำเร็จด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวฉันนั้น”

ทุกคนฟังเรไร มารศรีเองเคลิบเคลิ้มมากกว่าใครๆ และมารศรีตกลงใจอย่างหนึ่ง ว่าถ้าเธอยอมคืนดีกับสุธี เธอก็จะยอมออกไปอยู่ไร่ แม้เป็นการชั่วคราว เพื่อรับความสุขความรื่นรมย์ชนิดที่เรไรเล่า

“ถึงแม้ว่า ดิฉันจะมีเงินจ้างคนถากถางและปลูกบ้าน” เรไรกล่าวต่อ “ถึงแม้คุณมารศรีจะกรุณาให้ความช่วยเหลือแก่ดิฉันอย่างที่คุณพูดเมื่อตะกี้นี้ ดิฉันก็จะต้องไปอยู่ควบคุมดูงานตั้งแต่เริ่มแรก เพราะถ้ารอจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงไป ดิฉันก็จะไม่มีความสุขเหมือนอย่างที่ไปลงแรงทำเอง หรือควบคุมเองตั้งแต่แรกเริ่ม การเข้าไปอยู่เมื่อเสร็จแล้ว ดิฉันอาจจะได้ไร่ได้ที่อยู่เรียบร้อย แต่ก็จะรักอย่างมากเพียงเท่าลูกที่ไปขอเขามาเลี้ยง ไม่ใช่เลือดในอกของตนเอง ลองอย่างดิฉันบ้างซิคะ คุณมารศรี คุณไม่ต้องไปทำงานหนักอย่างดิฉันว่า แต่ลองไปปลูกดูเอง ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ดอก ดูความงอกงามเติบโตของสิ่งที่เราปลูกสร้าง เราจะมีความสุข เพราะเราแลเห็นความก้าวหน้า ความเจริญเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน เป็นความสุขอย่างสูงสุดที่มนุษย์จะหาได้ เพราะเป็นความสุขสงบ”

“ตกลงคะ” มารศรีพูด “ดิฉันจะทำอย่างคุณเรไรว่า ดิฉันจะไปหาที่ปลูกสร้างแบบเดียวกับคุณบ้าง”

“ที่มีอยู่แล้วค่ะ” เรไรกล่าว “ไร่ฝ่ายที่เมืองเหนือ”

“แต่นั่นไม่ใช่ที่ของดิฉัน” มารศรีตอบ

แล้วก็นิ่งเงียบกันไปประเดี๋ยวหนึ่ง เป็นความเงียบที่มีประโยชน์อย่างเหลือเกิน ความเงียบมีคุณค่ามากกว่าการพูดจาที่ทำกันมาแล้ว มารศรีเม้มริมฝีปากแน่น หยาดน้ำตาค่อยๆ ไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้างของมารศรี

พรรณรายมือไวกว่าเรไร มองเห็นรอยรักที่จะประสานรอยร้าวได้ทันที พรรณรายลุกขึ้นจากที่ ฉุดดึงเอาสุธีเข้ามาหามารศรี จับแขนสุธีโอบรอบมารศรี ซึ่งมารศรีไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอย่างไร นอกจากหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาของตน

“ขอโทษคุณมารศรีเสีย” เรไรกล่าว “แล้วสุธีจะเป็นคนดีที่สุด”

“แล้วมารศรีก็ต้องเป็นคนดี” พรรณรายพูด “ให้อภัยแก่สุธี แล้วตั้งต้นชีวิตใหม่”

ภาพอันซาบซึ้งตรึงใจได้เกิดขึ้นในเวลานั้น เมื่อผัวเมียกอดและจูบกันทั้งน้ำตา ต่อหน้าเพื่อนทั้งสอง แต่ภาพที่ซาบซึ้งยิ่งกว่านั้นได้มีต่อมาคือ เมื่อมารศรีออกจากวงแขนของสามี ก็เข้ามากอดจูบเรไร

“คุณเป็นคนดี คุณเรไร” มารศรีกล่าว “ขอให้ดิฉันเรียกคุณว่า ‘เรไร’ เฉยๆ คุณเรียกดิฉันว่า ‘มารศรี’ เฉย ๆ แล้วเรามาเป็นเพื่อนรักกัน”

“มารศรี” เรไรพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ขอให้สันติภาพที่ฉันสร้างขึ้นด้วยความยากลำบากนี้ จงเป็นสันติภาพที่ถาวรยืนยงอยู่ตลอดกาล”

พรรณรายซึ่งไม่มีทางที่จะกอดกับใคร ก็จับมือเรไรและพูดว่า

“ฉันอีกคนหนึ่ง เรไร ต่อไปนี้เธอเรียกฉันว่า ‘พรรณราย’ เฉยๆ และเราเป็นเพื่อนรักกันอีกคู่หนึ่ง”

งานสร้างสันติภาพ สร้างความรัก เป็นอันสำเร็จ เป็นงานสร้างสรรค์ยิ่งใหญ่อันหนึ่ง ที่เรไรทำได้สมความปรารถนา

เรไรลุกออกไปนอกห้อง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า เรไรไปทำอะไร สงสัยว่าจะไปล้างหน้า แต่งหน้าใหม่ เพราะเรไรก็น้ำตาไหลด้วยเหมือนกัน เสียงปังดังขึ้นในห้องใกล้ๆ มารศรีกับพรรณรายตกใจ ขยับลุกจากที่ เพราะนึกว่าเรไรไปยิงตัวตายในห้องข้างๆ แต่สุธียิ้มและบอกว่า “เสียงอย่างนั้นไม่ใช่เสียงปืนหรอก” ประเดี๋ยวหนึ่งเรไรกลับเข้ามา เจ้าของบ้านเข้ามาด้วย เรไรถือถาดถ้วยแชมเปญซึ่งรินมา 5 ถ้วยเรียบร้อย

“ท่านเจ้าของบ้านกรุณาเรามาก” เรไรพูด “ท่านรู้เรื่องตลอด ว่าเรามาทำอะไรกันที่นี่ ท่านบอกว่า ถ้าฉันทำสำเร็จ ท่านจะให้รางวัลแชมเปญหนึ่งขวด เกิดมาฉันก็ไม่เคยรู้รสชาติแชมเปญเป็นอย่างไร แต่ฉันก็ยินดีจะดื่มด้วย”

แล้วก็ได้มีพิธีดื่มแชมเปญ ฉลองสันติภาพ เจ้าของบ้านผู้อารีได้อวยชัยให้พร เพื่อความสุขสวัสดีของทุกๆ คน แล้วก็ออกไป ปล่อยให้ 4 คน อยู่สนทนากันต่อไปอีก

“แล้วฉันจะทำอย่างไร” มารศรีกล่าว “คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย”

“เรไรเห็นควรทำอย่างไร” พรรณรายถาม

“ความคิดของดิฉันมันคอยจะไปในทางโลดโผน” เรไรกล่าว “แต่นาน ๆ เล่นเรื่องโลดโผนสักครั้งหนึ่งก็สนุกดีเหมือนกัน”

“โลดโผนก็ได้” มารศรีพูด “ฉันก็อยากจะลองเล่นบ้างเหมือนกัน”

“คือฉันมีความคิดว่า ถ้ามารศรีจะรอไปขอความยินยอมของคุณพ่อคุณแม่ เรื่องก็จะยุ่งยากยืดยาวไปอีก พอท่านผู้ใหญ่กับท่านผู้ใหญ่ไปพบพูดกันเข้า เรื่องมันก็อดมากไม่ได้ แทนที่จะเป็นความราบรื่นอย่างที่เราทำได้แล้วในเวลานี้ อาจจะมีความขลุกขลักอะไรขึ้นอีกเราก็รู้ไม่ได้”

“ฉันก็เห็นด้วย ว่าไม่ต้องไปขอความยินยอมอะไรอีก” พรรณรายพูด

“ฉะนั้น ฉันจึงอยากเสนอความเห็นอย่างหนึ่ง ซึ่งฉันก็ไม่แน่ใจว่ามารศรีจะชอบหรือไม่ ? เรไรพูดต่อ

“พูดมาเถอะ” มารศรีกล่าว “ฉันกำลังอยากจะ ‘ทำอะไรโลดโผน’ กับเขาบ้าง”

“ฉันว่าออกเดินทางไปเสียวันนี้ทีเดียว มีรถอะไรก็ไป ออกไปจากกรุงเทพ ฯ เสียก่อน” เรไรพูด

“ถ้าจะขึ้นไปเหนือวันนี้ก็มีรถด่วนพอดี” สุธีกล่าว

“ตกลง” เรไรพูดกับสุธี “เธอไปเดี๋ยวนี้ ไปเตรียมตัวของเธอ จัดการเรื่องที่ในรถให้เรียบร้อย แล้วมารับมารศรี เราจะคอยเธออยู่ที่นี่”

“แล้วฉันจะไปอย่างไร” มารศรีพูด “ฉันไม่มีทางจะเตรียมตัวอะไร”

“เสื้อผ้าของเธอกับฉัน เราใช้กันได้” พรรณรายพูด “เราเคยใช้กันบ่อยๆ ฉันจะไปบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ไปเตรียมให้เธอให้พอใช้”

“แปลว่า เธอสองคนเป็นเจ้ากิจเจ้าการให้ฉันหนีพ่อแม่ตามผู้ชายไปอย่างนั้นหรือ ?”

“ลองแสดงบทบาทโลดโผนดูสักครั้ง” เรไรกล่าว “เธอจะเห็นว่าสนุกดี”

“ฉันจะไปเตรียมเสื้อผ้าให้เธอ” พรรณรายพูด แล้วก็ผลุนผลันออกไป “ฉันก็จะไปเตรียมอะไรๆ ตามบัญชาของเรไร” สุธีพูด

“ดีมาก ทำตัวเป็นเด็กว่าง่ายเสียที” เรไรตอบ

เมื่อพรรณรายกับสุธีไปแล้ว มารศรีกับเรไรก็ยังสนทนากันต่อไป มารศรีชวนเรไรลงไปพบเจ้าของบ้าน เพราะมารศรีเองก็ยังไม่รู้จักคุ้นเคยกับเจ้าของบ้าน การสนทนาได้เป็นไปโดยอัธยาศัยไมตรี มารศรีแสดงความขอบคุณเจ้าของบ้านอย่างจริงใจ เนื่องจากยังมีเวลาเหลืออีกมาก มารศรีได้ชวนเรไรออกไปข้างนอก ซื้อของเล็ก ๆ น้อยๆ ที่จำเป็นจะต้องเตรียมไปใช้ เช่น กระดาษเขียนจดหมาย ซึ่งจะต้องเขียนถึงบิดาเป็นการใหญ่ ส่วนเรไรก็ได้ซื้อของใช้ของตัวบ้าง ทั้งสองคนมีความสนิทสนมเหมือนหนึ่งว่าเป็นเพื่อนเก่ากันมาช้านาน

เมื่อมารศรีกับเรไรกลับมาถึงบ้านนั้นอีก พรรณรายมาคอยอยู่แล้ว แต่สุธียังไม่มา มารศรีเขียนจดหมายสั้นๆ ถึงบิดามารดา มอบให้พรรณรายถือไป และให้พรรณรายชี้แจงด้วยวาจา เล่าเรื่องให้ตลอด ซึ่งความจริงก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร เมื่อได้ทำกันไปแล้ว ถ้านำไปหารือก่อนจะมีปัญหามาก

พอมารศรีเขียนจดหมายจบ และมอบให้พรรณรายแล้ว สุธีก็มาถึง และบอกว่าได้จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ตลอดถึงตู้นอนในรถไฟที่จะเดินทางไป เหลือเวลาราว 40 นาทีก่อนรถไฟออก ทั้ง 4 คนได้ลาเจ้าของบ้าน และตรงไปยังสถานีรถไฟ

ที่สถานีรถไฟ สุธีได้ทำความพยายามจะพูดกับเรไรเป็นส่วนตัวบ้าง แต่เรไรก็พยายามเลี่ยง เลี่ยงด้วยความหวังดีต่อเขา เพื่อความสุขของเขาเอง เพราะการที่เขาจะได้อยู่กับมารศรีต่อไปนั้น ถึงอย่างไรก็ดีกว่าที่เขาจะเปลี่ยนชีวิตมาอยู่กับเรไร ในระหว่างรอรถไฟออก เรไรยืนพูดกับมารศรีอยู่ที่หน้าต่างรถตลอดเวลา เขาเช่าตู้รถนอนได้ ซึ่งเป็นทางที่เขาจะได้อยู่กันสองคนตลอดทาง และรอยร้าวต่างๆ ก็จะได้รับการสมานอย่างเรียบร้อย

เมื่อมีอาณัติสัญญาณว่ารถไฟจะเคลื่อน มารศรียื่นมือลงมาจับมือเรไร และบีบแน่น ดวงตาของมารศรีแสดงว่าขอบใจเรไร ที่เป็นคนริเริ่มสมานรอยร้าว และสมานได้เป็นผลสำเร็จ มารศรีร้องขอบใจพรรณรายสำหรับเสื้อผ้าที่เตรียมมาให้ รถไฟเคลื่อนที่นำคู่ผัวเมียไป เป็นการเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ จากรวงผึ้งรวงเดิม

พรรณรายยังติดใจเรไร ภายหลังที่มารศรีกับสุธีออกเดินทางไปแล้ว พรรณรายยังชวนเรไรไปรับประทานอาหารด้วยกัน เพื่อสนทนากันต่อไป พรรณรายเองรู้สึกว่าในการสนทนากับเรไรนั้น ตัวได้รับความรู้ในเรื่องชีวิตขึ้นมาเป็นอันมาก ทำให้เกิดความมานะพยายามในการสร้างชีวิต ซึ่งพรรณรายไม่ได้เคยคิดเป็นเรื่องสำคัญแต่ก่อน

ภายหลังรับประทานอาหารแล้ว พรรณรายมาส่งเรไรที่บ้านพักของเรไร และเขานัดหมายที่จะพบกันอีก โดยพรรณรายจะเป็นผู้มาหามารับ เป็นอันว่าเรไรได้เพื่อนที่ถูกใจกันอีกคนหนึ่ง

เรไรเองก็มีความพอใจเป็นอันมาก ในผลงานของตัว เพราะการที่จัดการสมานสุธีและมารศรีให้คืนดีกันได้นั้น ได้แก้ปัญหาหลายอย่างให้คลี่คลายออกไปจากความกังวลของเรไร เวลานี้เหลือแต่เรื่องของเธอคนเดียว ซึ่งถึงแม้การต่อสู้จะยังไม่หมดสิ้น ยังจะต้องต่อสู้ต่อไป ก็รู้สึกว่าเบาแรงเบาใจขึ้นเป็นอันมาก

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ