ร่มโพธิ์ของน้องและหลานเหลน

ย้อนหลังกลับไปเมื่อสมัยเกือบ ๕๐ ปีก่อน มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ ศิริ จรูญเวสม์ ผิวขาวผ่องงามสง่า มาจำพรรษาอยู่ที่วัดจวนดำรงค์พลขันธ์ จังหวัดพระประแดง (เรียกชื่อตามสมัยนั้น) และคุณแม่ได้เล่าให้ผมฟังว่า ท่านเป็นบุตรคนเดียวของ คุณป้าพวง จรูญเวสม์ ซึ่งเมื่อลำดับวงศาคณาญาติกันแล้วก็จะมีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่ของผม ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดจวนดำรงค์ ฯ นี้ โดยมีผมเป็นลูกศิษย์ได้ไม่กี่เพลา ก็อำลากลับพระนคร

อีก ๑ ปีต่อมา ผมได้ทราบข่าวว่าท่านได้ลาสิกขาบทเสียแล้ว และได้เข้ารับราชการสังกัดแผนกการเงินแห่งกองทัพเรือ ตลอดอายุเวลาในหน้าที่ราชการ คุณพี่ศิริได้ปฏิบัติงานด้วยความเรียบร้อย มานะ อดทน และมีความกระเหม็ดกระแหม่เก็บหอมรอมริบ จนสามารถปลูกเรือนทรงปั้นหยาสองชั้นขนาดย่อมขึ้นได้หลังหนึ่งด้วยจำนวนเงินเพียงไม่กี่ชั่ง และเรือนน้อยเลขที่ ๑๗๓๔ ในตรอกมะยมตรงข้ามตลาดนางเลิ้งหลังนี้ ต่อมาได้กลายเป็นที่พำนักพักพิงของบรรดาน้อง ๆ ตลอดจนหลานเหลนอีกมากมาย ซึ่งเป็นเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรอันร่มเย็น ที่คุ้มกันให้ได้อยู่อาศัยกันอย่างผาสุกตลอดมา

ระยะหลังนี้...... รู้สึกว่าคุณพี่ศิริได้ลงไปเที่ยวที่บ้านปากลัดถี่เหลือเกิน ซึ่งมาทราบภายหลังว่าได้พบรักครั้งแรกกับสาวงามที่ชื่อ ผ่อง สังขะวัฒนะ ผู้เป็นบุตรีของคหบดีชาวพระประแดง ที่มีนิวาสถานอยู่ใกล้เคียงกับบ้านของผมนี่เอง บานของผมนเอง และแล้วก็ได้แต่งงานกันตามประเพณีอย่างสมเกียรติ

ปี ๒๔๗๕......ผมได้ขึ้นมาเรียนต่อชั้น ม. ๗ ที่ ร.ร. สวนกุหลาบวิทยาลัย ก็ได้มาอาศัยใบบุญพึ่งการอยู่กินกับคุณพี่ศิริอย่างสุขสบาย ตอนนั้น.......คุณพี่ศิริเพิ่งได้ให้กำเนิดบุตรีคนแรกที่มีอายุได้ ๑ ปี และให้ชื่อว่า “พงษ์ศรี” โดยเจตจำนงเอาอักษรและสำเนียงจากชื่อตัวและภรรยาผู้เป็นสุดที่รัก ในคำว่า “ผ่อง” กับ “ศิริ” มาผสมตั้งเป็นชื่อ และในปี ๒๔๗๖ จึงเกิดบุตรีคนที่ ๒ และเป็นคนสุดท้ายของสกุล “จรูญเวสม์” ชื่อ “นิภา” และลูกทั้งสองคนนี้นับเป็นเด็กที่อาภัพและโชคร้ายเหลือเกิน ที่เขาเกิดมาเมื่อคนโตอายุได้ ๓ ขวบ คนรองอายุได้เพียง ๑ ปี ซึ่งยังอยู่ในวัยที่จำความอะไรไม่ได้ และกำลังต้องการความอบอุ่นจากอ้อมอกของมารดามากที่สุด ก็ต้องมาสูญเสียมารดาผู้บังเกิดเกล้าไปอย่างไม่มีวันกลับ และไม่มีโอกาสจะทราบได้ว่าประพิมพ์ประพายรูปร่างหน้าตาของแม่ผู้รักลูกปานดวงใจ จะงดงามหรือเป็นไปในลักษณะใด เว้นไว้แต่จะดูจากภาพถ่ายในอดีตมานึกคิดเอาเองตามมโนภาพในขณะนี้เท่านั้น ซึ่งลูกทั้งสองหารู้ไม่ว่า “พงษ์ศรี” บุตรสาวคนโตได้ถอดเอาพิมพ์ของมารดามาทุกกระเบียดนิ้ว นอกจากจะรู้ว่า “นิภา” ลูกคนรองเท่านั้นที่ช่างมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับพ่อเสียจริง ๆ

โดยปกติวิสัย คุณพี่ศิริเป็นผู้ที่มุ่งมั่นในพระพุทธศาสนา มีใจบุญศุลทาน ผู้ใดตกทุกข์ได้ยาก มาขอความช่วยเหลือ เป็นต้องเช็ดน้ำตาให้ทุกครั้งเสมอไป และได้ให้ความอบอุ่นอนุเคราะห์ช่วยเหลือญาติพี่น้องหลานเหลน ด้วยการให้ที่พักพิงอยู่อาศัยตลอดจนอาหาร เงินทองอย่างสุขสมบูรณ์ อันเป็นพลังผลักดันให้หลายคนได้ก้าวไปสู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานดี มีเกียรติยิ่ง และหลายคนได้มีหลักฐานเป็นปึกแผ่นมั่นคงตราบเท่าทุกวันนี้ คุณพี่ศิริผู้เป็นเสมือนร่มโพธิ์ทองของน้อง ๆ ที่เข้ามาพึ่งใบบุญ จนกระทั่งเกิดลูกหลานสืบต่อมาอีกมากมาย คุณพี่ศิริก็ยังต้องรับภาระในเรื่องการให้ความช่วยเหลือในด้านที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งอาหารการกินต่อไปอีก และนี่ถ้าท่านไม่รีบด่วนจากไปเสียก่อนใครเล่าจะพยากรณ์ได้ถูกต้องว่า ท่านจะต้องรับภาระเลี้ยงดู “โหลน” น้อย ๆ ที่จะเกิดขึ้นใหม่ต่อไปอีกสักกี่คน พระคุณของท่านนั้นท่วมท้นสุดที่จะพรรณนา

การจากไปของคุณพี่ผ่องคู่ชีวิตของท่านในครั้งกระโน้น ผมไม่อยากจะกล่าวถึงความเศร้าโศกเสียใจของท่านว่าล้ำลึกเพียงใดในที่นี้ แต่ใคร่จะพูดถึงการครองเรือนในระยะหลังต่อมาว่า ท่านรัก “พงษ์ศรี” และ “นิภา” บุตรสาวทั้งสองนี้ยิ่งกว่าชีวิต สู้ยอมเสียสละความสุขส่วนตัว โดยไม่ยอมเกี่ยวข้องกับหญิงใด ไม่ว่าที่ไหน และไม่ให้ลูกต้องเสียกำลังใจในปัญหาเรื่องลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยง ด้วยการครองตัวตกพุ่มม่ายเรื่อยมาจนวันสุดท้ายของชีวิต เสมือนให้เป็นอนุสรณ์อันมั่นคงแก่คุณพี่ผ่องผู้ล่วงลับไปแล้วว่า “จะครองรักเดียวตราบเท่าชีวิตสลาย” คุณพี่ศิริได้ตั้งปณิธานและถือคติว่า อนาคตนี้ ...ตระกูล “จรูญเวสม์” ซึ่งจะคงเหลืออยู่เพียง ๓ ชีวิตเท่านั้น คือ พงษ์ศรี, นิภา และตัวท่านเอง สิ่งที่จะนำความรุ่งโรจน์มาสู่วงศ์สกุลได้ก็คือ การอบรมบ่มนิสัยบุตรให้อยู่ในกรอบประเพณีนิยม ให้การศึกษาแก่บุตรทั้งสองอย่างดีที่สุด และผลจะเป็นเช่นไร จากบรรทัดฐานข้างท้ายนี้พอเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ของพ่อที่มีต่อลูก โดยถูกต้อง และสมบูรณ์เพียงไร ......

พงษ์ศรี จรูญเวสม์

พ.ศ. ๒๔๙๖ สำเร็จปริญญาบัญชี จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

พ.ศ. ๒๕๐๐ สำเร็จปริญญาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์บัณฑิต จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

นิภา จรูญเวสม์

พ.ศ. ๒๕๐๐ สำเร็จปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ศิริราช

พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้รับประกาศนียบัตรอายุรศาสตร์เขตร้อน และสุขวิทยาจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์

พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับปริญญา Ph. D. ทางการแพทย์ จาก The University of Liverpool ประเทศอังกฤษ

คุณพี่ศิริได้จากไปแล้ว........พร้อมกับได้ปฏิบัติหน้าที่ของพ่อที่มีต่อลูกอย่างดีที่สุดและสมบูรณ์ ขอคุณงามความดีที่ได้กระทำมา ตลอดจนกุศลบุญราศีที่ญาติมิตรได้บำเพ็ญอุทิศให้ จงเป็นพลวปัจจัยนำดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของคุณพี่ศิริ จรูญเวสม์ ไปสู่สุคติในสัมปรายภพโน้น สมตามความปรารถนาด้วย เทอญ.

อาบ สีหนนท์

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ