แสงช้า-อาวุธมหัศจรรย์
ขณะที่ซีกโลกตะวันตก กำลังสว่างไสวด้วยดวงอาทิตย์ ประชาชนกำลังประกอบธุรกิจอย่างขะมักเขม้น ซีกโลกภาคตะวันออกกำลังอยู่ในความสงบเงียบ ท่ามกลางความมืดสนิท
ในกรุงเทพ ฯ เวลาผ่านพ้นไปจากเที่ยงคืนเล็กน้อย ประชาชนที่หาความสุขจากการนอนเพื่อให้คลายความเคร่งเครียดมาตลอดวันกำลังหลับสนิท ผู้ทำงานกลางคืนมีส่วนน้อยที่เดินไปเดินมา ยวดยานทั้งหลายทั้งความจอแจห่างไปจากกลางวันสิ้น
นั่นเป็นสัญญลักขณ์ของวันใหม่ ที่กำลังผ่านไปชั่วไม่นานนัก
มุมถนนยังสว่างจ้าด้วยแสงไฟที่พุ่งออกมาจากตึก ๕ ชั้นหลังมหึมา ซึ่งมีป้ายติดว่า กรุงเทพฯ ภัตตาคาร ชั้นยอดสุดเป็นดาดฟ้าทำเป็นที่สำหรับพักผ่อนอย่างดี เพราะเงียบสงัดปราศจากเสียง แลโล่งไปจนสุดขอบฟ้าซึ่งระยิบระยับไปด้วยดวงดาว มุมหนึ่งของดาดฟ้ามีชายวัยกลางคน ๔ คน แต่งกายสุภาพ นั่งคุยกันอยู่ เสียงวิทยุจากซีกโลกตะวันตกกำลังกล่อมอารมณ์ด้วยเพลงทำนองอ้อยอิ่ง ไม่เร้าอารมณ์ เวลาผ่านไปช้า ๆ อย่างเบื่อหน่าย
ในฉับพลัน เสียงวิทยุขาดหายไป ไม่มีผู้ใดในกลุ่มนั้นสนใจ เพราะเข้าใจกันว่าเป็นการติดขัดของเครื่องส่ง แต่ชั่วครู่เดียวก็มีเสียงก้องดังขึ้นใหม่ เสียงใหม่ไม่ใช่เสียงเพลง แต่เป็นเสียงประกาศที่ทำให้คนเหล่านั้นต้องหันหน้าไปทางวิทยุราวกับนัดกัน และฟังอย่างตั้งใจ
“ตามรายงานข่าว จากสถานีตรวจอากาศขั้วโลกใต้ที่ลิตเติลอเมริกาแถลงว่า มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเบื้องบนท้องฟ้าอันทึบไปด้วยเมฆหมอกนั้น เป็นแสงนวลไสวอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทั้งแสงนั้นก็มีลักษณะผิดกับ ‘แสงเหนือ’ และ ‘แสงใต้’ ดังได้ประกาศไว้เมื่อ ๑๒ ชั่วโมงที่ล่วงมาแล้ว....
“บัดนี้ได้รับรายงานเพิ่มเติมมาอีกว่า เขตที่พายุพัดจัดที่สุดในโลก อันพัดประจำในแดนขั้วโลกใต้นั้นได้อ่อนลงอย่างประหลาด ขณะเดียวกันอุณหภูมิจากใต้ศูนย์ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น คิดเฉลี่ย ๖ ชั่วโมง ต่อ ๑ องศาเซ็นติเกรด
“ขณะที่แถลงข่าวนี้อุณหภูมิที่ลิตเติลอเมริกาได้ขึ้น จาก -๒๗ °ซ. เป็น -๒๕ °ซ. แล้ว และกำลังสะเทิ้นขึ้นลงอยู่ระดับนี้ เป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ไม่เคยมีมาเลยนับพัน ๆ ปี คณะนักวิทยาศาสตร์แห่งสหประชาชาติกลุ่มหนึ่งได้เดินทางไปสังเกต และค้นคว้าปรากฏการณ์นี้แล้ว ผลจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรจะได้แจ้งให้ทราบทุก ๆ ระยะ ๖ ชั่วโมง
เสียงเพลงบรรเลงต่อไป เหมือนไม่ไยดีต่อเหตุการณ์ประหลาดนั้น
“คุณเข้าใจว่าอะไร พิษณุ” ชายคนหนึ่งกล่าวถาม
“คาดยังไม่ถูก”
ชายคนนั้นหรือ ดร. วิชชุ หัวหน้าหอตรวจปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในภาคเอเชียอาคเณย์หันมองบุคคลอีก ๒ คนแล้วกล่าวว่า
“คุณเล่า”
“ยังไม่กล้าวิจารณ์”
ดร. วิชชุลุกขึ้น “เรากลับกันเถอะ บางทีเราอาจต้องเข้าพัวพันกับปรากฏการณ์นี้ก็ได้ เตรียมงานไว้ก่อนดีกว่า”
ทุกคนเห็นพ้องด้วยจึงพากันกลับ ระหว่างทางนั้น ทุกคนยังเปิดวิทยุในรถฟังตลอดไป แต่ก็ยังไม่มีรายงานพิเศษอะไรเกิดขึ้น
ตราบเท่าบุคคลทั้ง ๔ ได้กลับมายัง ‘หอตรวจปรากฎการณ์’ และทันทีที่ถึงนั่นเองก็ได้รับวิทยุด่วนรายงานข่าวจาก ‘สภาการค้นคว้าและตรวจการขององค์การวิทยาศาสตร์โลก’ ถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ และให้ค้นคว้าสืบสวนปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่จะผิดปรกติในภาคเอเชียอาคเณย์ด้วย
บุคคลชั้นนำทั้ง ๔ นั่งกันนิ่ง ในห้องบัญชางานนั้น ทุกคนเงียบและต่างหาเหตุผลอย่างเคร่งเครียด ครู่ใหญ่ ดร. วิชชุจึงลุกขึ้นไปเปิดเครื่องรับวิทยุโทรภาพ ติดต่อโดยตรงจากสถานีตรวจอากาศขั้วโลกใต้
ภาพในจอนั้นปรากฏชัดแจ้งแก่บุคคลทั้ง ๔ ภาพของพายุพัดจัดที่พุ่งไปดุจกองทัพที่พุ่งเข้าหากัน ภาพดินแดนอันขาวโพลนไปด้วยหิมะ ภาพของคณะค้นคว้าขององค์การสหประชาชาติที่กำลังเดินทางอยู่บนพื้นน้ำแข็ง ต่างพากันสังเกตอย่างถี่ถ้วนในเหตุการณ์ต่าง ๆ จากโทรภาพ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้ผลอะไรมากนักที่จะค้นคว้าในปรากฏการณ์นั้น จริงอยู่ แม้จะเห็นขั้วโลกใต้สว่างผิดธรรมดาจากที่เคยเห็นมาแล้วก็ตาม
รายงานพิเศษที่ส่งมาโดยเฉพาะสำหรับ ‘หอตรวจการณ์’ ภาคต่าง ๆ มีความว่า สนามแม่เหล็กของโลกเริ่มแปรปรวนไปเล็กน้อย
“สนามแม่เหล็กแปรปรวน” ดร. พิษณุกล่าว
“ฮึ ทำไมสนามแม่เหล็กจึงแปรปรวน”
“เป็นไปได้หรือ” อีกคนหนึ่งกล่าว
ดร. วิชชุหันมาทางคณะของเขา และกล่าวว่า
“การแปรปรวนของสนามแม่เหล็กโลก ไม่ใช่สิ่งเล็กน้อยเลย เหตุการณ์ของโลกจะเปลี่ยนแปลงเข็มทิศของเรือเดินสมุทรทุกลำ ซึ่งจะต้องประสบกับการแก้ไขอย่างสับสนที่สุด ขณะนี้เรือทุกลำคงต้องเข้าสู่วิกฤตการณ์ประหลาดอย่างไม่มีปัญหา”
ทุกคนนั่งฟังความเห็นของผู้เป็นหัวหน้า
“โลกอาจประสบกับวิกฤตการณ์ถึงพินาศ ถ้าสนามแม่เหล็กของโลกถูกเปลี่ยนด้วยอำนาจแม่เหล็ก ที่พุ่งมาจากดวงอาทิตย์ โลกจะมีดมิดเพราะขาดพลังทางแสงสว่าง น่ากลัวเหลือเกินถ้าหากแปรปรวนไปจริงๆ”
“ผมว่าดูเหตุการณ์ไปก่อนดีกว่า” พิษณุกล่าวเบาๆ “เรายังทำอะไรไม่ได้จนกว่าจะทราบสาเหตุแน่ชัด”
ทุกคนเห็นพ้องกันว่าควรฟังการค้นคว้าของคณะนักวิทยาศาสตร์ฝ่ายสหประชาชาติก่อน
รุ่งอรุณผ่านไป ดร. วิชชุรีบเปิดวิทยุโทรภาพดูเหตุการณ์ของขั้วโลกใต้ ก็แลเห็นว่าเหตุการณ์ก็ยังคงที่เป็นเช่นเดิม แต่หมอกลงหนาทึบจนมองเห็นสิ่งต่าง ๆ เลือนลาง ขณะนั้นได้รับรายงานจากขั้วโลกใต้ว่า
“ดินแดนแถบแลติจูด ๗๔ องศากับ ๑๕ ลิบดาใต้ ซึ่งแวดเดลเป็นผู้พบใน ค.ศ. ๑๘๒๓ นั้น ได้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น บรรดาตะไคร่น้ำมอสและเฟินบางชนิดที่ขึ้นในแถบนี้มีสีจางลงอย่างประหลาด และบางชนิดเปลี่ยนไปแทบขาวซีดโดยไม่ทราบเหตุผล ขอให้รับฟังเหตุการณ์วิปริตนี้ทุก ๆ ระยะ ๓ ชั่วโมง”
ดร.ยะลาได้กล่าวขึ้นว่า “การที่ต้นไม้ซีดลงนั่นแสดงว่า แสงสว่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นภัยแก่ชีวิตอย่างยิ่ง เพราะโดยปรกติแล้ว แสงสว่างย่อมให้ชีวิตยั่งยืนช่วยให้พืชมีสีเขียว”
“มันคงเป็นแสงที่ทำลายคลอโรฟิลล์ และเป็นแสงที่มีลักษณะตรงข้ามกับแสงอาทิตย์” ดร. โทรันกล่าว
ดร. วิชชุไม่พูดอะไร เขาเดินไปเดินมาอย่างใช้ความคิดหนัก ทุกคนปฏิบัติไปตามหน้าที่คอยตรวจและรับรายงานจากสถานีย่อย คาดว่าจะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับรายงานเลย
อีก ๓ ชั่วโมงต่อมา ไม่มีข่าวเพิ่มเติม ทุกสิ่งยังอยู่คงที่
อีก ๖ ชั่วโมงผ่านไป
“เหตุการณ์ได้แปรปรวนยิ่งขึ้น บรรดาพืชที่เปลี่ยนสีไปนั้น เริ่มเที่ยวและเฉาลงช้า ๆ บรรดานกทะเล แมวน้ำ มีอาการประหลาดเกิดขึ้น คล้าย ๆ จะอ่อนเพลียเสียกำลังไปมาก นกไม่หาอาหาร แมวน้ำไม่ออกว่ายน้ำในท้องทะเลเช่นเคย ทุกตัวนิ่งเฉยซึ่งไม่เคยเป็นดังนี้มาก่อน”
อีก ๓ ชั่วโมงต่อมามีรายงานว่า
“เหตุการณ์ได้ค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพดีขึ้นอย่างประหลาด อุณหภูมิลดต่ำลง ลมเริ่มพัดจัด สนามแม่เหล็กที่แปรปรวนไปเล็กน้อยเข้าคืนสู่สภาพเดิม เมื่อความสว่างไสวบนท้องฟ้าหายไป”
ประชาชนที่แออัดฟังเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นคราวนี้ต่างกระจายกันไป ความตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ผ่อนคลาย ความวุ่นวายค่อย ๆ สงบ แต่กระนั้นยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์นี้ไปต่างๆ นานา ทั้ง ๆ ที่คณะนักวิทยาศาสตร์ของฝ่ายสหประชาชาติยังตรวจค้นไม่พบ และไม่อาจแถลงเหตุการณ์ครั้งนี้ได้
ดร. ทั้งสองวางมือจากงานเข้ามาหา ดร. วิชชุ คนหนึ่งพูดว่า
“สิ้นสุดกันทีสำหรับความเคร่งเครียด”
ดร. วิชชุมองดูผู้ร่วมงานของเขาแล้วว่า
“อย่าพึ่งไว้ใจ ปรากฏการณ์เช่นนี้อาจสันนิษฐานได้หลายทาง แรกที่สุดคุณต้องนึกว่า ไม่เคยมีสิ่งเช่นนี้มาก่อนเลย เท่าที่เรารู้กันมา แน่ละ เราต้องยอมรับกันด้วยว่า สุริยจักรวาลนั้นเดินด้วยความเที่ยงตรงมานับล้านๆ ปี โดยมิได้หักหรือเฉไป อาจจะไม่ทำให้โลกเปลี่ยนทิศทางโคจร หรือมีสิ่งใดมาทำให้โลกต้องเกิดสถานะใหม่ขึ้น” เขาหยุดกล่าวไว้แค่นี้และพูดต่อไปอย่างไตร่ตรองว่า
“ผมกลัวจะไม่ใช่ปรากฏการณ์ของโลก แต่จะเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้โลกต้องแปรปรวนไป และสิ่งนั้น” เขาชะงักคำพูดไว้อย่างลังเลใจ “ฮึ มันอาจไม่ใช่ก็ได้ การสันนิษฐานกับการเดาก็เหมือนกันนี่แหละ”
“มันอาจเป็นเหตุการณ์ภายในโลกก็ได้ การทดลองเอกซ์-บอมบ์ และซี-บอมบ์ ที่ทำกันเมื่อเร็วๆ นี้แถบขั้วโลกใต้ อาจเป็นผลสะท้อนของปรากฏการณ์นี้ก็ได้ เท่าที่พืชเปลี่ยนสีและเฉาอาจเป็นเพราะถูกกลุ่มกัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากลูกระเบิดต่าง ๆ ก็ได้เหมือนกัน” พิษณุออกความเห็น
ดร. วิชชุก้มศีรษะรับ “อาจจะถูกของคุณก็ได้ แต่นั่นเป็นเพียง ‘อาจจะ’ เท่านั้น เพราะถ้าเกิดกัมมันตภาพรังสีจริง คณะค้นคว้าคงจะได้สำรวจพบและรายงานผล แต่ที่เราเห็น เขาทำเป็นบ้าโดยไม่รู้อะไร ไม่พบอะไรเลย นี่แหละน่าประหลาดละ”
ไม่มีใครตอบปัญหาอันนี้ได้
ถ้าเช่นนั้นปรากฏการณ์ประหลาดนี้เกิดจากอะไร มาจากไหน หรือมาจากนอกโลก
เมื่อคนหนึ่งสะกิดถึงสิ่งที่มาจากนอกโลก เรื่องจึงยืดออกไป และเป็นสิ่งที่วิชชุเห็นด้วย
“ผมเชื่ออย่างนั้น” เขาพึมพำ “แต่ยังไม่เชื่อว่าจะมีดาวเล็กๆ ของดวงดาวกลุ่มใหญ่หลงทิศทางมาทางขั้วโลกใต้ ซึ่งเมื่อได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์จะส่องแสงสะท้อนมายังโลกทางขั้วโลกใต้”
“หรือจะเป็นการรุกรานของชาวโลกอื่น” ดร. ยะลา ปรารภขึ้น ในฉับพลันทุกคนก็เห็นพ้องกันว่า อาจเป็นการรุกราน เป็นการกระทำที่เหนือธรรมชาติอันเป็นปรกติของโลกมนุษย์
แต่ใครเล่าเป็นผู้รุกราน ชาวโลกไหน มนุษย์เราเพียงสามารถขึ้นไปถึงดวงจันทร์โดยอาศัย ‘สถานีอวกาศ’ เป็น ‘เกาะ’ สำหรับการพุ่งออกนอกความดึงดูดของโลก และตลอดเวลานั้นเราไม่เคยพบ ‘ชีวิต’ ใด ๆ ที่บนโลกพระจันทร์ หรืออะไรอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ โลกของเราเลย นอกจาก-นอกจาก ‘สิ่งมหัศจรรย์’ รูปประหลาด ๆ ที่ผ่านไปมาด้วยความเร็วอันสูง ซึ่งเราเข้าใจกันว่านั่นเป็นสะเก็ดดาวมากกว่าจะเป็นสิ่งที่เราพบเห็นกันบ่อย ๆ ในระยะนี้ คือ ‘เวหาสยาน’ ที่เรียกว่า ‘จานบิน’
แล้วทุก ๆ คนจึงเพ่งเล็งไปถึงสิ่งเร้นลับอันนี้ เพราะ -- ‘จานบิน’ ได้ปรากฏตัวอย่างกระชั้นชิดในปีนี้ ตามที่หลายแห่งในโลก มนุษย์ไม่เคยจับได้หรือไล่ทันเลย
แน่ละ ครั้งหนึ่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนมากเชื่อกันว่า จานบินเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของธรรมชาติ แต่บัดนี้กำลังเชื่อกันว่า ‘จานบิน’ เป็น ‘ยานฟ้า’ ประหลาดที่มาจากโลกอื่น มนุษย์ในโลกไม่กล้าแตะต้องสิ่งนี้เพราะหลายคนกล่าวว่า เป็นการเสี่ยงเหลือเกินที่จะไปต่อต้าน ‘จานบิน’ ซึ่งซุกซ่อนมนุษย์ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์โลก เพราะการผ่านมาในอวกาศก่อนมนุษย์นับสิบ ๆ ปีนั้น แสดงถึงสมรรถภาพอันเลิศของเขา ซึ่งมนุษย์เป็นเพียง ‘ผู้ไปได้’ แค่ดวงจันทร์เท่านั้น
การปรากฏตัวของ ‘เวหาสยาน’ ลึกลับทำให้น่าคิด เพราะเมื่อปรากฏขึ้นคราวใด ไม่เคยทิ้งร่องรอยไว้เป็นหลักฐานสำหรับพิสูจน์ได้เลย นอกจากภาพถ่ายอันเลือนลาง ภาพที่ปรากฏในเรดาร์ ความเร็วอันสูงส่งที่เคลื่อนไปได้ทุกทิศทุกทาง ซึ่งมนุษย์ยังไม่อาจทำได้
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังขบคิดกันถึงเรื่อง ‘จานบิน’ ดร. วิชชุผู้เป็นหัวหน้าได้ให้ความเห็นคัดค้านว่า
“ผมยังไม่อาจปลงใจไปจริง ๆ ว่า ‘จานบิน’ เป็น ‘เวหาสยาน’ ที่มีตัวตนมาจากโลกอื่นจริงจัง ทั้งนี้เพราะมีเหตุผลหลายประการที่ยังทำให้ผมข้องใจ แรกทีเดียว- -” เขาหยุดกล่าวเล็กน้อย “แรกทีเดียวเกี่ยวกับ ‘เสียง’ เพียงแต่ความเร็วของรถที่เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วเพียง ๕ ไมล์ต่อชั่วโมง เรายังสังเกตได้จากกำลังลมว่า มีเสียงครางเป็นเสียงลม เสียงของวัตถุที่แหวกอากาศ” เขาเน้นในตอนท้ายแล้วกล่าวต่อไป “เท่าที่คนจำนวนมากได้พบเห็น ‘จานบิน’ บางคนกล่าวว่าเห็นใกล้ บางคนเห็นไกล แต่ไม่มีใครเลยได้กล่าวว่าได้ยินเสียงจากสิ่งนั้น ทุกคนควรจะได้ยิน เพราะอย่างน้อยวัตถุใด ๆ ถ้าเคลื่อนไหวไปตั้ง ๑,๐๐๐ ไมล์ต่อ ๑ ชั่วโมงเช่นนั้นมันจะรบกวนบรรยากาศอย่างยิ่ง และการกระทบของบรรยากาศ ซึ่งเกิดจากการ ‘แหวกไป’ ของวัตถุนั้นจะไม่เกิดเสียงขึ้นละหรือ ไม่มีวัตถุใด ๆ ที่จะถูกสร้างขึ้น ไม่มีสสารใดๆ ที่มาจากโลกอื่น อันจะไม่ทำให้เกิดเสียงได้ ถ้ามันผ่านไปในบรรยากาศ และที่กล่าวว่า สิ่งที่มากับจานบินนั้นเป็นมนุษยชาติที่มีสติปัญญาอันสูงส่ง มนุษย์จากดาวอังคารหรือดาวพระศุกร์อันมหัศจรรย์นั้น ทำไมไม่ลงมาบนพื้นดินเล่า โฉบฉาบไปมาทำไม เป็นการขู่ขวัญหรือ ในเวลากลางคืนเขาย่อมลงได้ และสังเกตเราอย่างใกล้ชิดได้ เขาอาจหลบซ่อนอยู่ในที่ใด ๆ ก็ได้ พร้อมด้วยโทรภาพเล็ก ๆ สักชุดหรือ ‘ตาไฟฟ้า’ สักอัน เขาก็อาจศึกษาหรือสืบสวนพวกเราได้อย่างถี่ถ้วน และไม่น่าประหลาดเลยเมื่อเขาผ่านไอโอโนสเฟียร์มาได้-สตราโตเฟียร์มาได้ ก็ควรลงมายังบรรยากาศของโลกได้ แต่ทำไมไม่ลง!”
เขาเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด
“รูปร่างของ ‘เวหาสยาน’ ก็เช่นกัน ‘ยานฟ้า’ ไม่ควรมีรูปร่างอย่าง ‘จานบิน’ ควรมีรูปทรงกลม เพราะทรงกลม นั้น ให้ขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับการกินเนื้อที่และน้ำหนักน้อยที่สุด การมาจากทางไกลทำไมไม่ใช้แบบนี้ การใช้รูปดุจจานโดยการออกแบบเพื่อ ‘แฉลบ’ ไม่เหมาะเลยที่จะเดินทางอย่างแบบซุบเปอร์โซนิค” เขาหันกลับมามองดูบรรดาผู้ร่วมงานอย่างใกล้ชิด แล้วกล่าวว่า
“จากโลกอังคารหรือ ดุจเรื่องเทพนิยาย เราก็รู้กันแล้วว่าที่นั่นมีอากาศน้อย จากเหตุผลนี้ เขาอาจไม่มี ‘ไฟ’ ใช้เลยก็ได้ และถ้าเขามีใช้เขาจะต้องระมัดระวังอย่างที่สุด ที่จะไม่ให้ดับไป เพราะทุกแห่งมีออกซิเจนน้อย สันดาปจะเกิดประโยชน์อะไร นั่นหมายว่าไม่มีการละลายธาตุใช้ ‘ไฟ’ เป็นประการแรก แร่ธาตุเป็นวัตถุดิบและที่สุดคือความรุ่งเรือง คุณจะเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ติดตามมาได้อย่างไรเมื่อ ‘ไฟ’ ต้องขาดไป เขาอาจจะมีความรุ่งเรืองเกี่ยวกับวิชาจลนศาสตร์ทางการบินได้อย่างไร มาจากดาวพระศุกร์หรือ ดาวพระศุกร์มีอากาศอุดมสมบูรณ์ แต่ไม่มีออกซิเจน ฉะนั้นมีไฟ ดาวพุธและดวงจันทร์เล่าก็ไม่มีอากาศ จูปิเตอร์ และเสาร์ก็ไม่มีออกซิเจนในบรรยากาศ ส่วนดวงดาวอื่นอยู่ไกลแสนไกล ถ้า ‘จานบิน’ มาจากนั่น เพราะเหตุมนุษย์ดาวนั้นพบพลังงานทางปรมาณู และใช้เป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนก็ต้องกินเวลาอันยาวนาน และถ้าใช้พลังคอสมิคเป็นแรงขับเคลื่อนด้วยแล้ว จะยิ่งช้ากว่าพลังปรมาณูเป็นไหน ๆ”
เขาหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม วางลงแล้วพูดต่อไปอีก
“นอกจากนั้น เรายังไม่เคยได้ทราบว่า สิ่งใดเดินเร็วกว่าแสง แล้วจานบินจะพุ่งได้เร็วกว่าแสงนั้นดูกระไร อย่างไรก็ตาม--” เขาเว้นระยะกล่าวเบา ๆ คล้ายปรารภว่า “อย่างไรก็ตาม ผมอาจผิดพลาดในความคิดเห็นนี้ก็ได้”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็ได้รับรายงานอย่างกระทันหันจากสถานีขั้วโลกใต้ว่า “แสงประหลาดได้ปรากฏขึ้นอีก และขณะนี้ความวิปริตทั้งหลายได้เริ่มต้นขึ้น ท้องฟ้ากำลังกระจ่างขึ้นทุกทีๆ พืชและสัตว์กำลังกลับเข้าสู่สภาพเดิมหลังจากฟื้นตัวเพียงเล็กน้อย สถานการณ์กำลังเข้าที่คับขัน”
ดร. วิชชุเปิดโทรภาพ ดูสภาพความเป็นไปของขั้วโลกใต้ ซึ่งขณะนี้เขาได้มองเห็นวิกฤตการณ์ขึ้นใหม่อย่างงุนงงที่สุด เขาจับตามองดูสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏอยู่นั้นโดยใกล้ชิด และเห็นว่าสถานการณ์ครั้งใหม่ร้ายแรงกว่าเดิม และรวดเร็วกว่า เขามองเห็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะนั้นกำลังละลายตัวอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นน้ำไหลลงทุกทิศทุกทาง น้ำ-น้ำซึ่งเกิดจากการละลายอันรวดเร็วของหิมะ
เสียงจากวิทยุรายงานต่อไป “อุณหภูมิเพิ่มขึ้นรวดเร็วกว่าเก่า ต้นมอสและเฟินกำลังเหี่ยว ฝูงนกและแมวน้ำกำลังตายลงทุกขณะ
ดร. วิชชุหันหน้าอันเคร่งเครียด ไปยังผู้ร่วมงานที่กำลังจ้องโทรภาพอยู่อย่างตื่นเต้น
ทำไมเหตุการณ์จึงเกิดขึ้นอีก ไม่มีใครตอบได้
การค้นคว้าของคณะนักวิทยาศาสตร์ขององค์การสหประชาชาติกำลังจำนน
“เหตุการณ์กำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤต” ดร. พิษณุกล่าวค่อย ๆ “เราจะต้องรีบเผยเรื่องนี้ให้ประชาชนทางนี้ทราบโดยด่วน
“จริงดังคุณว่า” ดร. วิชชุรับรอง “ควรให้ประชาชนได้เตรียมตัวไว้ แม้ว่าเหตุการณ์ขั้นร้ายแรงจะยังไม่เกิดขึ้นในระยะอันเร็วไวก็ตาม แต่มันก็ต้องเกิดแน่หากไม่มีการป้องกัน”
เขาหันไปยังโทรภาพ มองดูความวิปริตที่กำลังเกิดขึ้นนั้น
“นั่น ความวิปริตกำลังขยายวงกว้างออก”
เสียงจากวิทยุรายงานมาอีกว่า
“น้ำแข็งที่เกาะอยู่ตามยอดเขาสูงๆ ในแถบเส้นแลติจูด ๗๔ องศา กำลังละลายลง ทำให้เกิดธารน้ำพุ่งลงจากทิวเขาทั้งหลายอย่างรุนแรง และดินแดนในแถบ (ลองติจูด ๘๐ องศาใต้ ๘๐ เอส) รอบๆ ขั้วโลกเหนือกำลังแปรสภาพจากกลาเซียเป็นธารน้ำอันมหึมา ยิ่งกว่านั้นบนทิวเขาควีนโมก และทิวเขาควีนอเลกซานดรากำลังจะถล่มทลายเพราะกระแสน้ำที่ไหลพุ่งลงเบื้องต่ำ ในโรซเชล์ฟไอซ์กำลังนองด้วยน้ำที่เจิ่งขึ้นมา
ดร. วิชชุพูดกับคณะของเขาทันทีว่า
“บัดนี้ ผมเชื่อแน่นอนแล้วว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นจากเหตุอันเป็นธรรมชาติของโลก การสลายตัวของน้ำแข็งไม่ใช่เพราะเกิดจากความร้อนภายในโลก หรือการปะทุตัวของภูเขาไฟ ที่ซ่อนอยู่ใต้กลาเซียร์ของแถบขั้วโลกใต้ เพราะน้ำแข็งได้ละลายจากระดับสูง ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเลนับ ๖,๐๐๐-๗,๐๐๐ ฟุต ทำไมผงหิมะน้ำแข็งที่ปลิวว่อนระคนกับความหนาวเหน็บอย่างรุนแรง จึงบรรเทาลงความดันบรรยากาศต่ำลง แทนที่จะสูงเป็นปรกติวิสัยของบรรยากาศในแถบนี้ โดยเฉพาะลมซึ่งมีประจำและพัดรุนแรงที่สุดในโลก จึงเบาบางลงโดยไม่เปลี่ยนทิศทาง เพราะมันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงจากพลังงานอันเกิดใต้ผิวโลก ทำไมพืชค่อย ๆ เหี่ยวแห้ง นกเพนกวินและแมวน้ำ ค่อย ๆ ตายลง นั่นไม่ใช่เพราะผิดอากาศ แต่มันตายด้วยพฤติการณ์อันมหัศจรรย์ของแสงนั้น ทั้งนี้เพราะการเปลี่ยนอุณหภูมิเพียงเล็กน้อยเท่านี้ ยังไม่เท่ากับการเปลี่ยนฤดูตามกาลในบรรยากาศแถบนี้”
เขากล่าวต่อไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่ใช่ปรากฎการณ์อันเกิดจากซันสปอต ที่สำแดงอิทธิพลส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และแผ่รังสีวิปลาศมายังโลก เราไม่เห็นแสงเช่น ‘แสงเหนือ’ เราไม่พบ ‘พายุแม่เหล็ก’ อันเป็นผลของจุดดำในดวงอาทิตย์ในระยะ ๑๑ ปีครึ่ง และจะเป็นผลของความวิกาลใด ๆ ในดวงอาทิตย์ไม่ได้ ในเมื่อวิกฤตการณ์เกิดขึ้นเฉพาะขั้วโลกใต้ ในขณะที่เบนห่างจากแสงอาทิตย์เช่นนี้”
ขณะเดียวกันนี้ ทุกคนได้สังเกตเห็นว่าภาพในโทรทัศน์เริ่มมัวลงไม่แจ่มใส และแลเห็นธารน้ำกำลังไหลบ่าอยู่ทุกทิศทุกทาง ก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาจากขุนเขาพังทลายทุกสิ่งกำลังเต็มไปด้วยการสับสนอลหม่าน และแหลกลานตามด้วยความแรงของกระแสน้ำ ที่พุ่งลงทุกทิศทุกทางจากขุนเขา มันเป็นภาพที่ตื่นเต้นเร่งเร้าและสยดสยองที่สุดเท่าที่เคยเห็น
เสียงวิทยุรายงานต่อไป
“ในบริเวณลิตเติลอเมริกา ขณะนั้นกำลังสูงขึ้นด้วยการละลายอย่างรวดเร็วของน้ำแข็ง และไม่มีอะไรจะยับยั้งได้ คณะตรวจอากาศและนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการค้นคว้ากำลังอยู่ในที่คับขัน ขอให้ช่วยเหลือด่วน – ขอให้ช่วยเหลือด่วน”
ในฉับพลันนั้น เสียงวิทยุได้หยุดไป พร้อม ๆ กับภาพในโทรภาพขาดหายตามไปด้วย เหตุการณ์ที่ปรากฏเฉพาะหน้าขณะนี้ทำให้ทุกคนเข้าใจดีว่า เหตุร้ายได้บังเกิดขึ้นแล้วกับสถานีตรวจอากาศ และคณะสำรวจนั้น
“หมดหวัง” ดร. วิชชุกล่าว “หมดหวังจะได้ข่าวจาก ขั้วโลกใต้และการแก้ไขเหตุการณ์นี้”
เขาหันไปเปิดวิทยุติดต่อกับสภาวิทยาศาสตร์โลกก็พอดีได้ข่าวว่า
“บัดนี้ การติดต่อกับขั้วโลกใต้ติดขัด ให้สถานีตรวจบรรยากาศทุกแห่งในโลกตรวจดูผลแต่ละแห่ง แล้วเสนอด่วน....อนึ่ง สถานีตรวจบรรยากาศใต้สุดที่ตั้งอยู่ในบริเวณช่องแคบแมกเย็นแลนในอเมริกาใต้รายงานว่า ได้พบคลื่นมหึมาปรากฏในเรดาร์ และกำลังขยายตัวมายังเส้นศูนย์สูตรอย่างรวดเร็ว- ให้เรือเดินสมุทรทุกลำรีบจอดหลบคลื่นนี้ ในบริเวณใกล้เคียงโดยเร็วที่สุด และลำใดจะขอความช่วยเหลือ ขอให้ติดต่อกับสถานีวิทยุที่ใกล้ที่สุดโดยด่วน ให้นครที่ตั้งอยู่ชายทะเลหรือใกล้ทะเลทุกแห่งในโลกรีบอพยพให้ลึกเข้าไปในแผ่นดินโดยด่วน....”
ข่าวที่สับสนอลหม่านเช่นนี้ทำให้คณะตรวจบรรยากาศต้องตะลึงงันในฉับพลัน ดร. วิชชุ ก็กล่าวอย่างรวดเร็วว่า
“ขอให้ติดต่อกับ ‘สถานีอวกาศคิว-๑’ เราจำเป็นต้องออกไปสำรวจเหตุการณ์นอกโลก เพราะผมเชื่อว่า จะต้องแก้ไขเหตุการณ์นอกโลกมากกว่าในโลก” เขาเม้มริมฝีปากแล้วว่า “มันอาจเป็นการรุกรานที่ไม่รู้ตัวก็ได้”
“ติดต่อกับคิว-๑ ไม่ได้แล้ว”
“ทำไม”
“ไม่ทราบครับ”
“เรื่องถ้าจะไปกันใหญ่เสียแล้ว คิว-๒ ล่ะ”
“คิว-๒ ติดต่อได้”
“ดีแล้ว ขอให้เขาบอกสถานที่ตั้งในแผนที่จักรวาลด้วย เราจะขึ้นไปเดี๋ยวนี้”
การค้นคว้าหา ‘สถานีอวกาศคิว-๑’ เป็นไปอย่างถี่ถ้วน แต่ไร้ผล
ดร. วิชชุ จึงให้นำจรวด ‘กรุงเทพฯ ๑’ ไปยัง ‘สถานีอวกาศคิว-๒’ ซึ่งอยู่ห่างจากโลกไป ๓,๐๐๐ ไมล์
เพียงไม่กี่นาทีจรวด ‘กรุงเทพฯ ๑’ ก็เข้าที่จอดทุกคนเข้าไปในสถานีนั้น คำแรกที่ ดร. วิชชุ ถามผู้อำนวยการ คิว-๒
“พบคิว-๑ หรือยัง”
“ยังไม่พบ ไม่ทราบหายไปได้อย่างไรเพราะขาดการติดต่อกันกว่า ๒๔ ชั่วโมง”
“มีอะไรผิดแปลกในจักรวาลหรือเปล่า”
ผู้อำนวยการคิว-๒ ส่งบันทึกให้ ดร. วิชชุดู
“วันที่ ๒๕ กันยายน เวลา ๑๙.๓๐ น. (เวลาโลก) ได้มีทางสีขาวประหลาด ผ่านออกทางเบื้องหลังเงามืดของดวงจันทร์พุ่งตรงไปยังขั้วโลกใต้ ลักษณะที่ผิดกับแสงสว่างก็คือการเคลื่อนที่ผ่านไปในอวกาศ คำนวณได้เร็ววินาทีละ ๑๒,๐๐๐ ไมล์ บางครั้งก็หดหายไป”
ดร. วิชชุวางบันทึกทันที แล้วตรวจดูทางสีขาวทางกล้องโทรทัศน์ขนาดเล็ก คราวนี้เองเขาได้เห็นทางสีขาวซึ่งกำลังหดตัว กลับหายไปยังเบื้องหลังดวงจันทร์ในระยะเวลาเพียง ๑๘ วินาทีเท่านั้น
“เรากำลังถูกรุกรานด้วยอาวุธเร้นลับจริงแล้ว”
“จากที่ใด”
“เข้าใจว่าโลกที่ซ่อนอยู่หลังดวงจันทร์ ซึ่งเราไม่เคยพบมาก่อน” ดร. ยะลามองดูทางโทรทัศน์ไม่เห็นแสงอะไร จึงกล่าวว่า
“เป็นไปได้หรือที่จะใช้แสงรุกราน และถ้าเป็นแสงจริงทำไมจึงเดินช้าเช่นนั้น”
“เป็นไปได้ อาจเป็นไปได้ทีเดียว” ดร. วิชชุ กล่าวเรียบ ๆ “แสงและพลังงานของแสงนั้นแหละ คืออาวุธอันใหญ่ยิ่งที่เรายังไม่รู้จัก และทรงพลานุภาพเหนืออาวุธใด ๆ ในโลก และเป็นอาวุธชนิดเดียวที่สนามแม่เหล็กไม่อาจยับยั้งได้
เขากล่าวต่อไปอย่างแผ่วเบาแสดงถึงความสุขุม
“เมื่อผ่านสนามแม่เหล็ก มันจะแยกปรมาณูต่อปรมาณู มันจะกระแทกอีเล็คตรอนและโปรตอนกระเด็นไป นิวตรอนจะถูกเอาออกจากอนุภาคซับอะตอมิค (Subatomic Particles) ทั้งหมด แสงมหัศจรรย์นี้จะผ่านสนามแม่เหล็กไปเหมือนกับมีดที่ผ่านไขเหลว” เขาเน้นต่อไป “ผมเชื่อว่าเราถูกรุกรานแล้ว ‘สถานีอวกาศคิว-๑’ ของเราถูกทำลายไปแล้วเพื่อตัดการติดต่อ โดยไม่รู้ว่าเรามีคิว-๒ อยู่ เขาฉลาดและรู้ว่าบรรยากาศขั้วโลกใต้ทึบจนผู้อาศัยอยู่ที่นั่นไม่อาจมองผ่านบรรยากาศที่เต็มไปด้วยหมอกและหิมะอันหนาทึบไปสู่ความแจ่มใสของท้องฟ้าได้ การทำลายน้ำแข็งอันหนาทึบของขั้วโลกใต้นั้น จะทำให้น้ำไหลท่วมโลก แรงเหวี่ยงของโลกจะต้องเปลี่ยนไป เมื่อโลกหมดการสมดุลย์เมื่อไร นั่นหมายถึงการอวสานของโลก ของชีวิตและสรรพสิ่งทั้งหลายโดยแน่นอน เรากำลังอยู่ในสภาพอันหมดหวัง”
“หมดหวัง” เสียงดังประสานกันค่อย ๆ
ดร. วิชชุ มองดูสหายร่วมงานอย่างเคร่งขรึม “เราต้องพยายามต่อไป บางครั้งอาจจะประสบผลโดยใช้ทฤษฎีง่าย ๆ”
ดร. พิษณุมองผู้เป็นหัวหน้าแล้วกล่าวว่า “ถูกละครับ เราต้องพยายามต่อไป แม้จะคลำหาได้ทีละน้อยก็ยังดี”
ดร. วิชชุยกมือขึ้นลูบศีรษะแล้วกล่าวโดยไม่ได้สนใจกับเรื่องที่ผู้ร่วมงานของเขากำลังถกเถียงกันอยู่
“เรื่องของแสง เป็นเรื่องอัศจรรย์มาหลายพันปีแล้ว และจนบัดนี้ไม่มีใครรู้แน่นอนว่า แสงคืออะไร มันเปิดเผยเพียงความรู้ทางฟิสิกส์ที่แสดงว่า มันมีความเร็ววินาทีละ ๑๘๖,๐๐๐ ไมล์ในที่สูญญากาศ แต่ว่ามันเดินช้าไปบ้างในน้ำแต่ไม่มากนัก นั่นแหละแสงที่เรารู้ๆ กัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรารู้กันอยู่นี้ไม่มีใครรู้แน่นอนว่า มันประกอบด้วยคลื่น หรืออานุภาคหรือประกอบทั้งสองอย่าง ผมรู้สึกโง่มากเกี่ยวกับแสง แม้กระนั้นเราก็ต้องป้องกันแสงนี้เพื่อโลกของเรา” เขาหันมาทางเจ้าหน้าที่ซึ่งทำการติดต่อกับโลก
“จงแจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดที่พบไปยังโลก เพื่อว่าเขาจะมีทางแก้ไขได้บ้าง” เมื่อพนักงานติดต่อไปแล้วเขาก็หันมายังคณะของเขา
“ผมเคยพบกรรมวิธีทำให้ ‘แสงช้า’ การช้าเป็นสิ่งที่น่ากลัว-น่าสยดสยองที่สุด ถ้ามีทางทำให้ช้าลงได้ถึง ๑๕,๐๐๐ ไมล์ต่อวินาทีแล้ว ผมพบว่ามันมีสภาพเช่นแสงเหมือนกัน แต่ไม่มีพฤติการณ์ใดๆ อย่างแสงมันกระทำเหมือนตัวทำลาย -เป็นสิ่งที่ช่วยสิ่งอื่นแตกกระจาย มันทำลายสิ่งต่าง ๆ และสนามแม่เหล็กก็ไม่อาจป้องกันมันได้ นี่แหละแสงมหัศจรรย์ แสงช้าและแสงที่เราพบอยู่เดี๋ยวนี้เป็นแสงที่ช้ากว่าที่ผมพบอีก ฉะนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อำนาจทำลายของมันจะสูงยิ่งขึ้น”
ทุกคนจนความคิดไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ดร. วิชชุ เดินกลับไปกลับมา นาน ๆ มองดูดวงจันทร์เสียครั้งหนึ่ง เพื่อดูแสงลอดออกมาแต่ไม่ปรากฏ เขารอการติดต่อจากโลกก็ยังไม่ได้รับการตอบ เขาจึงรีบเข้าไปในห้อง ‘ติดต่อ’ แล้วสั่งงานไปยังสถานีจรวดให้รีบดัดแปลง ‘กรุงเทพฯ ๒’ โดยด่วน และก่อนที่เขาจะออกจากห้องเขากำชับอีกครั้งหนึ่ง
“รีบทำอย่างผมสั่งด่วน และถ้าสามารถทำได้ขอให้เสร็จภายใน ๑๒ ชั่วโมงและอย่างช้าที่สุด ขอให้ถือว่าเป็นงานของชีวิตมนุษย์ทั้งโลก ผมจะรีบลงไป”
๓ ชั่วโมงผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย ทุกๆ คนกำลังจะเคลิ้มหลับ ทันใดพนักงานดาราศาสตร์ก็ร้องขึ้นเมื่อเขาได้เห็นแสงมหัศจรรย์ทางกล้องโทรทัศน์ มันค่อย ๆ ผ่านออกช้าๆ จากเบื้องหลังดวงจันทร์เป็นลำขาวและเข้มกว่าเดิม มันพุ่งไปยังขั้วโลกใต้ ซึ่งบัดนี้หมุนเบนไปจากที่เดิม
ทุกคนผลัดกันมองด้วยความตื่นตระหนก เมื่อแสงได้ผ่านเมฆอันหนาทึบหายเข้าไป และการตื่นเต้นทวีขึ้น เมื่อได้เห็นเวหาสยานขนาดใหญ่ ๒ ลำยิง ‘จรวดปรมาณู’ เข้าไปยังแสงนั้น แสงที่โชติช่วงเป็นระยะนั้นแสดงถึงการระเบิดอย่างรุนแรง แม้จะเห็นเป็นจุดเล็กนิดเดียวก็ตาม ทุกคนทราบดีว่าแสงวาบ ๆ แบบนั้นคืออำนาจระเบิดของลูกระเบิดโคบอลท์ ซึ่งมีอำนาจทำลายนับพันเท่าของลูกระเบิดไฮโดรเจน แต่ทว่าไม่ได้ทำให้ ‘แสงช้า’ นั้นแปรปรวนหรือผิดแปลกไปเลย คงทอดผ่านอากาศไปอย่างปรกติดุจสะพานที่ทอดผ่านท้องร่องสวน
“ไม่เหลือ จะไม่เหลือเลย ไม่น่าจะทำเช่นนั้น” ดร. วิชชุ พึมพำไม่ทันสิ้นคำ เขาก็เห็นลำแสงนั้นเบนไปคลุมเวหาสยานเข้าไป ทุกคนได้แลเห็นแสงวาบขึ้นสองครั้งแล้วทุกสิ่งหายไป ลำแสงนั้นคงทอดต่อไปตามเดิม
ดร. วิชชุสั่งผู้อำนวยการคิว-๒ สองสามคำแล้วหันมาทางคณะของเขา
“รีบกลับโลกกันเถอะ งานรอเราอยู่แล้ว”
เหตุการณ์ของโลกได้ร้ายแรงขึ้นตามลำดับ หน่วยเรดาร์ประจำแหลมกู๊ดโฮปอัฟริกา และสถานีเรดาร์ที่เกาะทัสเมเนียใต้ ออสเตรเลีย ได้รายงานว่า เรดาร์ได้จับคลื่นขนาดมหึมาที่กำลังเคลื่อนผ่านแลติจูด ๖๕ องศาเหนือเข้ามา ติดตามด้วยเนินน้ำที่เกิดจากการละลายของภูเขาน้ำแข็ง
“นี่รัฐบาลเราสั่งอพยพพลเมืองชายฝั่งหมดแล้วหรือยัง” ดร.วิชชุกล่าวดังๆ
“อาจสั่งแล้ว”
ดร. วิชชุรีบเข้าในหอบังคับการ ไม่ยอมติดต่อกับใคร เขาเพียงแต่คำณวณทิศทางและรอเวลาให้นายช่างจรวดดัดแปลง ‘กรุงเทพฯ ๒’ เท่านั้น หลายชั่วโมงผ่านไป จนเกือบถึงเที่ยงคืน หัวหน้าช่างเข้ามาหาเขารายงานว่าเรียบร้อยแล้ว เขาผลุดลุกขึ้นอย่างดีใจ และสั่งเพิ่มเติมไปว่า
“ช่วยบรรจุสิ่งจำเป็นสำหรับ ‘กรุงเทพฯ ๒’ ให้เต็มที่ด้วย”
ไม่มีการรีรอ เมื่อทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว ‘กรุงเทพฯ ๒’ ก็พุ่งโฉมหน้าสู่ความว่างเปล่าของอวกาศ ตามทิศทางที่เขาคำนวณไว้
ไม่นานนัก เขาก็พบกับลำแสงประหลาดที่ผ่านขนานไปในอวกาศนั้น เขาชลอ ‘กรุงเทพฯ ๒’ ช้า ๆ ในระยะห่าง เพื่อตรวจดูลำแสงที่พุ่งนั้นอย่างละเอียดลออ และย้อน ไปตามลำแสงมุ่งไปสู่ที่กำเนิดแสงนั้น
เขารู้สึกว่าการคาดคะเนของเขาผิดพลาด ต้นแสงไม่ได้มาจากหลังดวงจันทร์ดังที่เห็นคราวแรก แต่ลำแสงนั้นปลายตีบไปยังจุด ๆ หนึ่งซึ่งอยู่เบื้องหลังดวงจันทร์ออกไป เขาตรวจดูที่กำเนิดแสงด้วยโทรทัศน์อีเล็คตรอน ก็พบเห็นเลือนลางว่า เป็นสะเก็ดดาวขนาดใหญ่ ที่ลอยอยู่ในจักรวาล และสุดทางของลำแสงอยู่ที่นั่นด้วย
“ผู้รุกรานใช้สะเก็ดดาวเป็นที่ส่ง ‘แสงช้า’ เห็นไหม พิษณุ”
ดร. พิษณุพยักหน้า “ดุจเกาะที่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร” เขาพูดไม่ทันจบรีบชี้ให้ ดร. วิชชุดูจอเรดาร์ ขณะนี้ปรากฏยานประหลาด ๒ ลำกำลังผ่านเข้าไปอย่างรวดเร็ว มุ่งไปสู่ที่ตั้งแห่งแสงนั้น
“เวหาสยาน - เวหาสยาน” ดร. วิชชุพูดเบา ๆ “คงเป็นยามรักษาการณ์ที่ตั้งของแสงนั้น”
“คุณว่า ‘จานบิน’ ใช่ไหม”
ดร. วิชชุเงียบสักครู่แล้วจึงว่า “ความคิดเดิมของผมอาจผิดพลาด เดี๋ยวนี้ผมยอมรับแล้วว่า มีจริงและรีบตามไปเถอะ”
“อาจไร้ประโยชน์ เพราะรวดเร็วเหลือเกิน”
“จริงซิ ลืมไป เราต้องรีบทำลายแสงนี้ก่อนที่แสงจะหดหายไป โดยได้รับสัญญาณจาก ‘จานบิน’ ๒ ลำนั้น”
ใคร ๆ อาจยิ้มเยาะในวิธีการง่าย ๆ ของเขา แต่อย่างไรก็ตาม เขายังเชื่อมั่นในทฤษฎีของเขา ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งการผิดพลาดและถูกต้อง ฉะนั้น เขาจำเป็นต้องเสี่ยง เพื่อความคงอยู่ในโลกและชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย พร้อมทั้งวัฒนธรรมของโลก
‘กรุงเทพฯ ๒’ เลี้ยวพุ่งตัวไปยังกรวยแสงที่พุ่งจ้าอยู่นั้น ดร. พิษณุมองดูแสงนั้นอย่างพรั่นพรึง ‘กรุงเทพฯ ๒’ ผ่านเข้าไปในลำแสงอัศจรรย์อย่างเชื่องช้า
ดร. วิชชุไม่กล้าลืมตาขึ้น เพราะความสว่างอันมหัศจรรย์ไม่มีลักษณะเหมือนแสงสว่างธรรมดา มันสว่างอย่างป่าเถื่อน มีลักษณะหยาบกระจายฟุ้งเป็นธุลีที่ล่องลอยเคลื่อนไปตามลำดับ ดุจกลิ้งลูกบอลอันนับจำนวนมถ้วนทยอยเข้าสู่โลก
เขาไม่มีโอกาสที่จะสังเกตอะไรนัก จิตใจกำลังหวาดหวั่นและสยดสยองต่อภาพของ ‘เวหาสยาน’ ๒ ลำที่ส่งมาจากโลกและได้ถูกทำลายลงเช่นเดียวกัน
แต่ทว่าชั่วแวบเดียวที่ผ่านเข้าไป ‘กรุงเทพฯ ๒’ ก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย มีเสียงดังกระจายพร่าดุจสาดเม็ดทรายไปบนสังกะสี และภายใน ‘กรุงเทพ ฯ ๒’ ร้อนระอุอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่หมดเสียงดังดุจเม็ดทรายสาดกระทบ เขาก็ลืมตาขึ้น ถอนใจเบา ๆ อย่างโล่งอก เขาผ่านลำแสงอัศจรรย์มาแล้วอย่างปลอดภัย ความร้อนที่วูบเข้ามาระยะหนึ่งหายไปราวกับปลิดทิ้ง
ในฉับพลันที่กลับลำ ‘กรุงเทพ ฯ ๒’ เพื่อดูปรากฏการณ์ของ ‘แสงช้า’ นั้น บุคคลในเวหาสยานได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำให้งุนงงยิ่งกว่าเดิม แสงนั้นขาดเป็นสองท่อน ส่วนหนึ่งพุ่งไปยังโลกค่อย ๆ จางพร่าแล้วหายไปในที่สุด อีกส่วนหนึ่งถอยกลับไปดุจการหดหัวของไส้เดือนเป็นการหดแบบถอยหลัง ความเข้มของแสงได้ทวีขึ้น ยิ่งหดสั้นเข้ายิ่งทวีความเข้มขึ้น จนแสงจ้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ จากนั้นก็มีเสียงกระจายต่อเนื่องกันไปในระยะอันยาวสุดสายตาจนหายไป
ดร. วิชชุบอก ดร. พิษณุว่า
“แสงมหัศจรรย์นั้นระเบิดตัวเอง โลกเราพ้นจากอันตรายของ ‘แสงช้า’ แล้ว
ภายใน สถานีอวกาศ ‘คิว-๒’ ซึ่งบัดนี้มีเวหาสยานของชนชาติต่าง ๆ จอดอยู่ เขาได้รับการต้อนรับอย่างดีจากนักวิทยาศาสตร์ที่มาจากซีกโลกต่าง ๆ ทั้งขอให้เขาแถลงปัญหา ที่สามารถทำลายล้างแสงมหัศจรรย์นั้นด้วย
ดร. วิชชุ ได้เล่าถึงวิธีการของเขาให้ฟังอย่างย่อ ๆ ในการที่เขาได้นายช่าง ‘เวหาสยาน’ ดัดแปลง ‘กรุงเทพฯ ๒’ ให้เหมาะสำหรับต้านแสง เขาสั่งให้ทาสีเงินขาววับ ด้วยสีผสมทางเคมีเป็นพิเศษ และแผ่นกระจกธรรมดาทำเป็นแผงติดเข้าข้างลำเวหาสยาน ‘กรุงเทพฯ ๒’ อีกครั้งหนึ่ง
“ความเป็นจริง สิ่งมหัศจรรย์นั้นเป็นแสงสว่างเช่นแสงที่เราเห็นและสนามแม่เหล็กไม่อาจทำอะไรได้ แต่ว่าเราทำลายแสงนี้ได้ก็เพราะแสงนี้มีสภาพเป็นแสงช้า ซึ่งเคลื่อนที่ได้ราว ๑๒,๐๐๐ ไมล์ต่อวินาที แทนที่จะเป็นแสงธรรมดาซึ่งเคลื่อนได้ ถึง ๑๘๖,๐๐๐ ไมล์ต่อวินาที เมื่อเป็นเช่นนี้ มันไม่ใช่แสงสว่างอันแท้จริง ดูเพียงแต่เหมือนแสง และมีคุณสมบัติคือแยกหรือทำลายวัตถุให้เป็นส่วน ๆ ทั้งสามารถทบตัวเองได้เหมือนผืนผ้าที่เราคลื่ออกจากไม้...
“เราจะหยุดแสงได้อย่างไร ถ้าเราไม่ส่งแสงกลับคืนไปยังต้นทางที่ ๆ มันเกิด ด้วยเหตุนี้ผมจึงทำให้มันสะท้อนกลับไป โดยวน ‘กรุงเทพฯ ๒’ ผ่านขวางทิศทางที่พุ่งมา ด้วยการฉาบของสีเงิน ด้วยกระจกเงา มันจึงส่งแสงสะท้อนกลับไปสู่จุดเดิม ‘แสงช้า’ จึงกลับไปทำลายที่กำเนิดมันเสียเอง ดูเป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็อาจเยาะเย้ยความคิดชนิดนี้ได้ แต่ความคิดง่าย ๆ ที่ช่วยให้โลกพ้นจากความพินาศ ย่อมดีกว่าที่เราจะใช้ความคิดอันสูงส่ง แต่ไม่อาจช่วยแก้ไขปรากฏการณ์นั้นได้ไม่ใช่หรือ...” ๏