มนุษย์โลหะ

วันนี้เป็นวันเปิดพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ฝูงชนได้หลั่งไหลเข้าไปดู-ถามความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ - ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒๐ ที่ได้แสดงให้ประชาชนดู ทุก ๆ ปี ทางพิพิธภัณฑ์จะได้รับสิ่งใหม่ ๆ แปลก ๆ เพิ่มขึ้นด้วยความช่วยเหลือของประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศ ซึ่งส่งเข้ามาเพื่อเป็นสิ่งสะสมสำหรับอนุชน เป็นการ ‘บูรณะและสร้างสรรค์’ เป็นการแสดงความ ‘ไยดี’ และ ‘ห่วงใย’ ในพฤติการณ์ทั้งส่วนใหญ่และส่วนย่อยในอนาคตของเด็ก

ข้าพเจ้าชื่อ อ่วม เป็นครู ใคร ๆ เรียกว่า ครูอ่วม บ้านข้าพเจ้าอยู่ที่นครลำปาง ข้าพเจ้าเคยลงมาที่นี่ครั้งหนึ่ง เพื่อไต่ถามและอบรมการเป็นครูวิทยาศาสตร์ แต่ว่าข้าพเจ้าลงมาครั้งนี้ห่างจากปีก่อนนั้นหลายปีเต็มที จนอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแก่เฒ่าไปตามๆกัน ข้าพเจ้าก็แก่ไปไม่น้อย แต่กระนั้น จิตใจที่รักวิทยาศาสตร์ทำให้ข้าพเจ้าอดรนทนไม่ได้ ต้องลงมาดู อีกประการหนึ่ง สังขารของข้าพเจ้าไม่แน่ว่าจะได้ดูอีกถ้าพลาดในครั้งนี้ ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าต้องการอย่างยิ่งที่จะมาดูหน้าสหายที่รักยิ่งของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นผู้เดียวที่ทำให้ข้าพเจ้าเป็นทั้งผู้มีโชค และสลดใจตลอดชาติที่กำลังมีชีวิตอยู่นี้

ขณะนี้ข้าพเจ้าบอกไม่ถูกว่าตื่นเต้นอย่างไร ในการจะได้เห็นหน้าสหายที่ต้องตายไปจากโลก ทั้งๆ ที่เขายังมีตัวตนอยู่อย่างสมบูรณ์

เขาอาจไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่หัวเราะ หรือร้องไห้ เมื่อเขาได้พบข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าเท่านั้นคงจะเป็นผู้หลั่งน้ำตาในการที่ได้พบเขา เขาคงอยู่ในนี้เพราะทุกคนได้เห็นเขาและปรารภถึงอยู่เสมอ

ข้าพเจ้าก้าวขึ้นไปบนบันไดตึกพิพิธภัณฑ์ หลีกผู้คนที่กำลังเดินดูสิ่งอัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ เข้าไป

แม้จะยังไม่ได้พบเขา แต่เขาคงอยู่ในห้องใดห้องหนึ่ง ข้าพเจ้าถือโอกาสชมสิ่งแปลกไปเรื่อย ๆ ตามทางที่จะไปพบเขา

ข้าพเจ้าได้ดูเครื่องวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ มากมาย เช่น เครื่องจำลองการสลายปรมาณู เครื่องยนต์ที่ไปด้วยอำนาจปรมาณู เครื่องวัดระยะน้ำหนักและความร้อนของดวงดาวในเนบิวลาต่างๆ ภาพจรวดสมัยต่างๆ จนเวหาสยานจำลอง และอื่น ๆ แน่ละ ข้าพเจ้าภาคภูมิใจเพราะ ‘ภาคีของสังคม’ เหล่านี้ได้สอดส่องลงไปใน ‘ความเติบโต’ ของสังคม ยอม ‘รับรู้’ และ ‘แก้ไข’ วิวัฒนาการทางวัตถุและจิตใจ ซึ่งเท่ากับเพิ่มความมีศักดิ์ศรีให้สังคมทับทวีมากขึ้น

สังคมต้องการรากฐานอันมั่นคง สังคมต้องการปลดเปลื้องสิ่งอัปลักษณ์ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่สวยสดงดงาม เพื่อย่ำยีบนจิตใจที่โง่เขลา วางรากฐาน ‘การเป็นคน’ ให้ใหม่โดยสนใจต่อสวัสดิภาพของสังคมและตนเอง ไม่มีสิ่งใดเหมาะแก่การศึกษา โรคทางจิตก็เหมือนโรคทางกายที่เกิดขึ้นจากความโง่เขลา การศึกษาเท่านั้นที่จะแก้ไขได้ เออจริงซี ข้าพเจ้าออกจะเพ้อเกินไป นี่ข้าพเจ้ามุ่งหน้าไปหาผู้เป็นสหายรักดีกว่า

ข้าพเจ้าออกเดินไปทีละก้าว หลีกประชาชนผู้เข้าชมไปจนถึงชนหมู่ใหญ่ซึ่งจับกลุ่มยืนกันอย่างเบียดเสียด ข้าพเจ้าสงสัยจึงได้แหวกกลุ่มชนเหล่านั้นเข้าไป ทันใดที่สายตาแลเห็นเพียงแต่ศีรษะ ข้าพเจ้าก็ต้องหลั่งน้ำตา ไม่ใช่เพราะความปีติ แต่ด้วยความสลดใจ เขาไม่แลเห็นข้าพเจ้า เขาไม่ได้สนใจข้าพเจ้า ทั้ง ๆ ที่ตอนก่อนเขาสนใจข้าพเจ้าอย่างที่สุด เขาไม่เหลียวมองดูข้าพเจ้า เขามีสายตาแน่นิ่งอยู่แห่งหนึ่ง และสายตานั้นแฝงด้วยความปวดร้าวตื่นตระหนกระคนสยดสยอง มองตรงลงยังพื้นตึก นิ่งเฉยไม่ยอมขยับเขยื้อน แม้ชนทั้งหลายจะจับกลุ่มยืนดูเขาอย่างแน่นขนัด

น้ำตาข้าพเจ้าซึมออกจากเบ้า แล้วหล่นลงกับพื้นอย่างเงียบๆ ถูกละ ข้าพเจ้าเสียใจ แต่ไม่ใช่เพราะเขาไม่พูด ไม่ทักทาย ไม่จับไม้จับมือเพื่อนของเขา ข้าพเจ้าเสียใจเพราะไม่คิดเลยว่าทั้ง ๆ ที่เขายังมีร่างกายครบถ้วน แม้แต่ผมและเล็บ แต่ทว่าร่างกายของเขากลับเป็นโลหะ

มนุษย์โลหะ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นสหายรักยิ่งของข้าพเจ้า และใคร ๆ ก็รู้จักเขาในฐานะที่เขาเป็นผู้ปราดเปรื่องทางโลหะวิทยา ในนามของ ดร. กันย์

ดร. กันย์ มนุษย์ผู้กลายร่างเป็นโลหะ ได้ยืนอยู่เงียบๆ ตรงซอกหนึ่งของตึกและอยู่ในตู้กระจกหนา เขาเป็นผู้หนึ่งที่มหาวิทยาลัยเคยให้เกียรติเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ และบัดนี้ก็ยังได้รับเกียรติอย่างยิ่งนั้นอยู่ โดยเฉพาะชาวต่างประเทศและนักวิทยาศาสตร์ ได้พากันขบคิดอย่างหนักถึงเหตุที่เขาแปรปรวนไป แต่ไม่ได้สร้างความสมหวังขึ้นอย่างไร

ไม่มีใครรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้จัดส่งรูปนี้ให้กับพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ทุก ๆ คนรู้แต่เพียงว่าพิพิธภัณฑ์เป็นผู้รับผิดชอบในการรักษาและเคลื่อนย้ายรูปนั้น ข้าพเจ้าไม่อาจให้เหตุผลแก่เจ้าหน้าที่ นอกจากจะเล่าให้ฟังถึงเรื่องเลาๆ ซึ่งเพียงแต่ข้าพเจ้าได้รับรูปปั้น มาจากชายขับเกวียนคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนเรื่องอันมหัศจรรย์ของเขานั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่า เคยมีคนเดียวเท่านั้นที่รู้ คือตัวเอง

เมื่อกลุ่มชนได้ทยอยไปดูที่อื่น ข้าพเจ้าจึงสืบเท้าเข้าไปใกล้สหายของข้าพเจ้า และเริ่มพิจารณา ดร. กันย์ - มนุษย์โลหะ พิจารณาเพื่อให้จดจำและตรึงตา ดวงตาเหมือนบุคคลธรรมดาแต่ไม่ดำเช่นดวงตาเราทั้งหลาย ไม่มีภาพของข้าพเจ้าในดวงตานั้นสะท้อนออกมา ดวงตาเป็นเพียงมีสีเขียวอ่อน ๆ แข็งกระด้าง ผู้ที่ไปดูย่อมยืนยันว่า ผมและหนังเท่านั้นที่มีลักษณะผิดแปลกไปจากเค้าของ ดร. กันย์ เพราะมีสีเขียวคร่ำเป็นพิเศษ และโดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและหน้าอกนั้น มีเหมือนตราประทับไว้เป็นรูป ๓ เหลี่ยมสีแดงเข้ม และตามผิวหนังมีจุดเล็ก ๆ ซึ่งคล้ายกับเส้นคลื่นเล็ก ๆ จากการถูกรังสี เป็นเส้นเบา ๆ ทว่าแดงเป็นเงา

ข้าพเจ้ายืนนิ่งดุจไว้อาลัย เพราะไม่มีอะไรทำดีไปกว่านั้น ส่วนจิตใจกำลังปั่นป่วนสะท้อนสะท้านไปถึงครั้งก่อนสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่

ใคร ๆ รู้จักเขา รู้จัก ‘มนุษย์โลหะ’ นี้เป็นอย่างดี เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโลหะวิทยาที่ยากจะหาตัวจับ เขาเป็น ดร. คนหนึ่งและคนเดียวในประเทศไทย ที่ไม่ยอมง้องอนลาภยศ มากไปกว่าการได้ค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับโลหะ เขาเป็นเสมือนพลังสำคัญในวิทยาศาสตร์แขนงนี้ ที่ชาวต่างประเทศยอมรับนับถือและเชื่อในความสามารถ นั่นเป็นสมัยที่เขายังปราดเปรื่อง ก่อนที่จะได้พบกับความวิบัติอันน่าอัศจรรย์

การวิบัติอันน่าอัศจรรย์นั้น ไม่มีใครล่วงรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของเขา นอกจากชายคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกหาบของเขาและได้ตายไปแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ไม่อาจให้เรื่องราวละเอียดแก่ใคร ๆ ได้ เพียงแต่เขาบอกว่าเขาได้พบแหล่งแร่มหัศจรรย์ มหาศาลด้วยคุณค่า และการที่เมืองไทยมีแหล่งแร่นี้ จะทำให้กลายเป็นชาติที่มีพลังปรมาณูใช้อย่างมหาศาล เขาว่า ดร. กันย์บอกเขาอย่างนั้น แล้วเขาก็ตาย เรื่องของ ดร. กันย์จึงเงียบไป ใคร ๆ มืดมนจนต่อปัญหาการตายอย่างอัศจรรย์ของเขา ใคร ๆ ก็ไม่อาจแตะต้องตัวเขา เมื่อข้าพเจ้าส่งร่างของเขา ซึ่งกลายเป็นโลหะมาให้พิพิธภัณฑ์แล้ว วงการวิทยาศาสตร์ต้องค้นคว้ากันอยู่หลายปีถึงสาเหตุ แต่ผลที่สุดก็ต้องจำนนและเก็บร่างของเขาไว้ในพิพิธภัณฑ์ในฐานะเป็น ‘สิ่งประหลาดที่น่าสงสัย’

ใครเล่าจะคลี่คลายปัญหาเร้นลับนั้น แม้ข้าพเจ้าซึ่งทราบเรื่องราวของเขาอย่างดี ข้าพเจ้าก็ยังสงสัยและลังเลใจที่จะตัดสินว่า ทำไมเขาจึงกลายเป็นโลหะไปได้ ท่านอาจจะคิดว่าข้าพเจ้าอวดดี สู่รู้ว่ารู้เรื่องละเอียด แต่ทำไมไม่แสดงหลักฐานให้วงการวิทยาศาสตร์ทราบ ข้าพเจ้าตอบปฏิเสธ เพราะเวทนาในการค้นคว้าที่จะทำให้ร่างสหายของข้าพเจ้าต้องถูกทำลาย แม้ส่วนใดส่วนหนึ่งที่จะนำเอาเนื้อที่กลายเป็นโลหะนั้นมาพิจารณา

ข้าพเจ้ามีจดหมายซึ่งติดต่อกันมาแต่แรกเป็นฉบับ ๆ ไป จนกระทั่งในจดหมายฉบับหนึ่งได้กล่าวว่า เขากำลังจะเดินทางมาเยี่ยมข้าพเจ้าที่บ้าน ข้าพเจ้าเตรียมการต้อนรับเขาอย่างดียิ่ง เราได้คุยกันมากมาย จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ปรารภว่า การที่เขาขึ้นมาท่องเที่ยวพักฤดูร้อนที่นี่ก็เพราะต้องการจะเดินทางไปนครเชียงคำ เพื่อค้นหาแร่เรเดียม ซึ่งเขาคาดว่าคงจะมีอยู่ในบริเวณตอนใดตอนหนึ่ง ตามหุบเขาอันยาวเหยียดและดูสลับซับซ้อนนั้น เขาเชื่อว่าต้องพบแน่ ๆ แล้วเขาก็จากข้าพเจ้าไป

เดือนหนึ่งต่อมา เขากลับมาพร้อมกับเกวียนที่บรรจุเครื่องมือการสำรวจ แล้วบอกว่าเขาพบแล้ว และรีบกลับไปยังมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจที่เขาได้จากไป และจากนั้นเป็นเวลาร่วมปีข้าพเจ้าก็ไม่ได้พบเขาเลย แต่ได้ข่าวจากเขาทางหนังสือพิมพ์หลายครั้ง ซึ่งล้วนแล้วเป็นความ สำเร็จอย่างกว้างขวางในผลการสำรวจของเขา งานของเขาทำให้คนตื่นเต้นกันมาก ต่อมาได้ทราบว่าเขาออกจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ อีกสักเดือนต่อมาเขาก็เดินทางมาหาข้าพเจ้า พร้อมกับมีเครื่องตรวจรังสีกัมมันต์มาด้วย เขาพักอยู่ ๒-๓ วันเพื่อจัดการจ้างคนและเกวียนเดินทางไปยังเชียงคำเพื่อค้นหาแร่ เมื่อเรียบร้อยแล้ว เขาก็อำลาข้าพเจ้าเดินทางจากไปยังดินแดนที่เต็มไปด้วยขุนเขา ซึ่งเขาเคยบอกว่ามีแร่เรเดียมนั้น คืนวันพายุจัดวันหนึ่งเป็นวันในฤดูหนาว อากาศเย็นจัดสั่นสะท้านเข้าจับปอด ข้าพเจ้ากำลังวิ่งไล่สุ่มครอบลูกไก่เล็ก ๆ อยู่ใต้ถุน เพราะความแรงของลมไม่เพียงแต่พัดสุ่มไปได้เท่านั้น แต่มันพัดใบไม้สด ๆ ที่อยู่บนต้นปลิวว่อนไปในอากาศ ฟางข้าวฉวัดเฉวียน ฝุ่นตลบอบอวลไปหมด พายุทางภาคเหนือเป็นเช่นนี้ เพราะถ้าเกิดแล้ว ก็นับว่ารุนแรงขนาดกระต๊อบโรงนาที่ตั้งกลางทุ่งจะต้องปลิว กิ่งไม้จะต้องหักโค่น และแรงจัดจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ข้าพเจ้าหลบพายุขึ้นไปนั่งบนระเบียงบ้าน มองดูฝนที่ตลบไปสุดตรงทุ่งชายป่า

ทันใดนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นล้อ ๒ ลำเคลื่อนออกจากชายป่า ล้อลำหน้ามีคนขับและลำหลังโคเดินตามมาเรื่อย ๆ โดยปราศจากคนขับ ครั้งแรกข้าพเจ้าก็เพียงแต่นั่งมองโดยเข้าใจว่าพ่อค้าคงพลัดทางมา แต่เมื่อเกวียนผ่านพายุมุ่งตรงมายังบ้านข้าพเจ้า นั่นเองข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นมานั่งหัวบันได เพราะอย่างไรก็เชื่อว่าล้อทั้งสองลำนั้นประสงค์จะได้รับความช่วยเหลือจากข้าพเจ้า ความคาดหมายได้ผิดไป เพราะแทนที่คนขับเกวียนจะถามถึงทางหรือแวะพัก เขากลับกระโดดลงจากล้อเดินตรงมาที่ข้าพเจ้าและถามว่า

“คนชื่ออ่วม ที่เป็นเพื่อนกับ ดร. กันย์ อยู่ไหน” ข้าพเจ้าชี้ตัวเองแล้วบอกว่า “ฉันนี่แหละชื่ออ่วมเป็นเพื่อน ของ ดร. กันย์ ทำไมรึ”

“มีคนหนึ่ง กำลังป่วยอยู่มาหาท่าน”

“ไหนล่ะ” ข้าพเจ้ารีบถามโดยเร็ว เพราะเข้าใจว่าคงเป็นสหายของข้าพเจ้า

“อยู่ในล้อนั่น” ชายคนนั้นชี้มือไปที่ล้อ

ข้าพเจ้ารีบวิ่งไปเปิดผ้าคลุมด้านหลังออก ข้าพเจ้า ได้พบหีบใหญ่ใบหนึ่งต่ออย่างหยาบ และข้างหีบนั้นมีชายคนหนึ่งนอนซมอยู่ ข้าพเจ้ามองดูปราดเดียวก็รู้ว่าชายคนนี้แหละที่เป็นผู้ขับล้อไปส่ง ดร. กันย์ และขณะนี้กำลังป่วยหนักด้วยพิษไข้ป่า

ข้าพเจ้าต้องไปรับหมอในเมือง และพยายามพยาบาลจนสุดความสามารถ แต่พิษไข้ป่านั้นร้ายแรงเกินไป เขาต้องเสียชีวิตหลังจากนั้น ๒ วัน มีบางครั้งเท่านั้นที่เขาไม่เพ้อ มีสติสงบนิ่ง เขาได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงเรื่องของ ดร. กันย์

“ผมมีความยินดีที่พบท่าน เพราะนายผมได้สั่งไว้หลายอย่าง และกำชับหนักหนาที่ให้ผมนำเอาหีบนั้นมาให้ท่าน พร้อมทั้งจดหมายที่นายเขียนมอบไว้ให้ท่าน ผมนำสิ่งต่าง ๆ ที่ได้รับคำสั่งใส่ไว้ในหีบนั้นทั้งหมด”

“เวลานี้ ดร. กันย์ อยู่ที่ไหน” เขาโบกมือไม่ให้ถามและกล่าวต่อไปอย่างเหนื่อยอ่อน “ผมไม่ได้ติดตามไปด้วย ผมเฝ้าอยู่แต่ในที่พัก ส่วนเจ้านายออกสำรวจด้วยเครื่องบินเล็ก ๆ ที่เช่าไปจากเชียงใหม่”

เขานิ่งเงียบไปพักใหญ่ดวงตาหลับสนิท ปากขมุบขมิบราวจะพูดอะไรแต่แล้วก็เงียบเฉียบ เป็นนานจึงมีเสียงพึมพำเบา ๆ

“เจ้านาย-เจ้านาย หายไป ๒ วันกลับมา”

“เขากลับมาหรือ” ข้าพเจ้าถาม

“กลับมา” เสียงตอบแผ่ว ๆ “กลับมาให้ผมจัดการเรื่องทั้งหมด”

“เรื่องอะไรกัน”

“เปิดในหีบดู และจะรู้” เสียงแผ่วลงแล้วขาดหายไป หลังจากที่พูดนี้แล้ว ก็ไม่ยอมพูดอะไรอีก จนถึงวันรุ่งขึ้นตอนเย็นชายเคราะห์ร้ายก็ถึงกาลอวสาน

ข้าพเจ้าจัดการเรื่องศพเขาเสร็จแล้ว ก็ใช้เวลามองดูหีบนั้นอย่างลังเลใจ เพราะไม่ได้รับอนุญาตจะเปิดอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งข้าพเจ้ามองดูรูปหีบใบนั้นแล้วรู้สึกเสทือนใจผิดปกติ ข้าพเจ้าทิ้งเวลาให้ผ่านไปอีก ๑ วัน รุ่งขึ้นจึงตัดสินใจเปิด

ข้าพเจ้าลองดึงฝาดู ฝานั้นไม่ได้ผนึก ข้าพเจ้าจึงดึงฝานั้นขึ้น ข้าพเจ้าแทบช็อคเพราะไม่อาจคุมสติที่ได้เห็นภาพอันน่าสะพึงกลัวและสยดสยองนั้น ภาพนั้นคือร่างของ ดร. กันย์ นอนสงบนิ่ง เขาตายแล้ว ตายอย่างสนิท ทั้ง ๆ ที่ดวงตาของเขายังลืมโพลนอยู่ราวกับได้เห็นภาพสยดสยองก่อนตาย

ข้าพเจ้ามองดูเขาอย่างใกล้ชิด และเริ่มแปลกใจขึ้นตามลำดับที่ร่างนั้นทำไมจึงมีสีเขียว เนื้อตามที่ต่าง ๆ แข็งดุจหิน ที่หน้าผากและทรวงอกมีรอยรูปสามเหลี่ยมแดงคล้ำดุจแผลอันเกิดจากไฟไหม้ร่างที่ข้าพเจ้าเห็นขณะนี้ก็คือร่างที่ใคร ๆ ดูกันในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง ไม่แตกต่างกัน

มีซองจดหมายเก่า ๆ อยู่ในมือเขา ข้าพเจ้าดึงออกแล้วเดินไปนั่งที่ระเบียง แกะซองออก มีกระดาษพับ ๒ แผ่นในซองนั้น

ข้าพเจ้าคลี่แผ่นหนึ่งออก เป็นหนังสือพินัยกรรมยกสมบัติหนึ่งในสามให้ข้าพเจ้า อีกสองในสามนั้น เขายกให้เป็นมูลนิธิสำหรับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ มีระบุพยานไว้เรียบร้อย ข้าพเจ้าพับเก็บอย่างตื้นตันใจ และคลี่อีกฉบับหนึ่งดู

อ่วม ที่รัก

แกเป็นเพื่อนคนเดียวที่ดีที่สุดของกัน และกันได้ตอบแทนคุณความดีของแกด้วยพินัยกรรมฉบับนี้ และมั่นใจว่า แกคงรักกันและจัดการส่งกันไปยังพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เพื่อให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถลองค้นคว้าเรื่องของกันดู บางทีจะพบสิ่งมหัศจรรย์บางอย่างที่ยังค้นไม่พบ เพื่อนรัก ขณะที่กันเขียนหนังสือนี้ กันได้ดื่มของเหลวสีม่วงประหลาด ซึ่งกันมั่นใจว่ากันจะเป็นคนที่มีสภาพพิเศษนอกเหนือไปจากบุคคลธรรมดา แต่ความคาดหมายของกันผิด กันมีเวลาเกือบไม่พอที่จะบันทึกการผจญภัยของกัน เพราะทุก ๆ ส่วนของร่างกายวิปริตขึ้นทุกขณะ จนเมื่อกันสั่งงานคนใช้ กันก็เริ่มปากแข็งไม่อาจเปิดขึ้นได้อีก งานของกันเรียบร้อย กันตายอย่างสงบ และตัวกันคงมาถึงแกแล้วโดยปราศจากความสับสนอลหม่าน กันได้ขอร้องคนของกันเมื่อตอนทางออกจากดินแดนอันเร้นลับนั้น

กันรู้ว่าประตูแห่งการค้นคว้าของกัน คือ ทางที่จะไปยังอาณาเขตเมืองปง ติดต่อกับเชียงคำในบริเวณลุ่มของแม่น้ำแม่อิง แม่น้ำสายนี้มีสาขามากมายและไหลลงสู่แม่น้ำโขง เวลาหน้าฝนน้ำไหลเชี่ยว เพราะปลายน้ำนั้นไหลจากไหล่เขาหลายต่อหลายลูก ไม่มีประโยชน์เลยสำหรับหน้าแล้งเพราะน้ำจะแห้งเหลือซึมอยู่ท้องน้ำเล็กน้อย น้ำที่ไหลเป็นน้ำฝนสีแดงจัดและขุ่นข้นด้วยดินแดง แต่ว่าไม่มีใครรู้ว่าตามสาขาที่มีน้ำสีแดงนั้น มีสาขาหนึ่งซึ่งแดงกว่าสาขาอื่น แดงอย่างประหลาดในลำธารสายเล็ก ๆ นั้น เป็นการบังเอิญจริง ๆ ที่กันได้ใช้เวลาว่างในฤดูร้อนปีก่อน ๆ ไปเที่ยวตรวจดูดินแดนและตรวจแร่ทางภาคนั้น กันได้พบธารน้ำเล็ก ๆ สายนี้ เต็มไปด้วยรังสีกัมมันต์ซึ่งทรงพลานุภาพ น้ำมีอำนาจในการดูด การฟุ้ง หรือกระจายออกมาของเรเดียม และส่งกลับไปสู่สภาพเดิมได้ กันจึงหวังว่าจะคงพบบ่อเรเดียมในบริเวณต้นน้ำ เหนือขึ้นไปในลำธารนี้ราว ๒๐ กิโลเมตร จากบริเวณที่กันได้พบรังสีกัมมันต์นั้นมีบริเวณแห่งหนึ่งซึ่งยาวราว ๔๐๐ เมตร บริเวณที่น้ำเชี่ยวจัดและโจนราวกับน้ำตก ไม่มีนักสำรวจใด ๆ ไปถึงที่นั่น มันเป็นบริเวณดงดิบทึบครึ้มอยู่ตลอดวันตลอดคืน และเลี้ยวจากโค้งน้ำไปตามช่องเขาเล็ก ๆ ๒ เลี้ยว การเดินทางของกันต้องสิ้นสุดลง เพราะน้ำที่กันอุตส่าห์ตามหาต้นน้ำนั้นกลายเป็นน้ำตกซึ่งไหลมาจากที่สูงชันราว ๗๐ ฟุต น้ำพุ่งแรงจัดเป็นลำลงมาราวกับไหลจากท่อมหึมา กันหาทางขึ้นไม่ได้เลยเพราะเป็นหน้าผาสูงชัน หาปุ่มที่จะหยิบเกาะปีนขึ้นไปไม่ได้เลย และน้ำในบริเวณนี้มีรังสีกัมมันต์มากกว่าที่กันพบครั้งแรก ไม่มีทางใดที่จะทำได้นอกจากกลับพร้อมกับชาวขมุผู้เป็นทั้งคนนำทางและคนใช้ ก่อนกลับกันได้พักอยู่บริเวณนั้น ๑ คืน รู้สึกวังเวงอย่างประหลาด กันไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของนกร้องหรือชะนีร้องในบริเวณนั้น ขมุคนนำทางให้ความเห็นว่าผีป่าจะต้องดุมาก เขามีความเกรงกลัวถึงขนาดที่ไม่ยอมห่างจากกันเลย

แต่การไปครั้งใหม่ของกันนี้ กันได้เช่าเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กไปจากเชียงใหม่ ไปลงบริเวณค่ายที่กันเคยไปพักครั้งก่อน กันไปถึงได้พบคนใช้และคนนำทางซึ่งกันส่งให้เอาเกวียนไปรออยู่ก่อนแล้ว

หลังจากการเตรียมเครื่องสำรวจเรียบร้อย กันก็ออกเดินทางวันรุ่งขึ้น เฮลิคอปเตอร์โผขึ้นสู่อากาศ จับทางไปทางสายธารน้ำแดงประหลาดอยู่เบื้องล่าง กันตามไปจนบริเวณน้ำตกและเลยขึ้นไปเพียง ๔-๕ กิโลเมตรทำให้กันประหลาดใจ เพราะธารน้ำนั้นได้หายไปใต้ภูเขาลูกหนึ่ง กันคิดจะลงไปตรวจดูก็พอดีกันพบว่า ธารน้ำนั้นได้ทะลุออกไปอีกทางหนึ่ง กันจึงเข้าใจว่าธารน้ำสายนี้ต้องผ่านใต้ภูเขาลูกนั้น และอีกสักกิโลเมตรเดียวธารน้ำก็หายไปอีก คราวนี้กันต้องบินสูงขึ้น เพราะทิวเขาลูกนี้สูงกว่าลูกที่แล้ว กันบินสูงสังเกตดูเขาลูกนี้เหมือนปล่องภูเขาไฟและมีแอ่งกลางกว้างใหญ่ราว ๔ ตารางกิโลเมตร มียอดสูงตรงกลางและล้อมรอบไปด้วยทิวสูง ๆ ดุจเป็นกำแพงป้องกันคนภายนอกไม่ให้มีใครเห็น และที่มหัศจรรย์คือแอ่งใหญ่ที่มียอดเขาโผล่ตรงกลางนั้น มีเพลิงสีเขียวลุกอยู่ทั่วไปทุกแห่ง ซึ่งครั้งแรกกันนึกว่าเป็นทะเลสาบเรียบ ๆ ซึ่งเกิดอยู่บนยอดเขาที่มีรูปเหมือนฝานั้น กันบินอยู่เหนือทะเลเพลิงสีเขียว ซึ่งไม่มีความร้อนรนนั้นอย่างอัศจรรย์ใจ แน่ละ กันสันนิษฐานว่า ทะเลสาบที่เห็นนั้นต้องเป็นทะเลของพวกมวลก๊าซหนัก ๆ เมื่อรังสีของดวงอาทิตย์ใกล้จะตกผ่านไปในบริเวณนั้น จึงทำให้มีสีเหมือนแดงเพลิงเจือด้วยสีม่วงและทอง เป็นการย้อมที่กลมกลืนอย่างประหลาดและสวยงาม ท่ามกลางภาพอันเปล่าเปลี่ยวลึกลับนี้ ธรรมชาติได้วางสมบัติอันมหาศาลที่สุดไว้ อ่วม กันรู้ว่ากันพบบริเวณธารที่มีแร่เรเดียมเข้าแล้ว

กันบินวนเวียนรอบสถานที่นั้น ดวงอาทิตย์ได้ลอยต่ำลง หมอกขาวดุจสีเงินเริ่มจับกลุ่มบริเวณยอดเขาราวกับม่านบังตาที่ทำคลุมเหนือภูเขาประหลาดรูปนั้น แล้วค่อย ๆ เลื่อนต่ำลงไปยังปากปล่อง เป็นการเลื่อนคล้าย ๆ กับมีแรงอันประหลาดค่อยดูดลงไป และตรงกลางของทะเลสาบสีเขียวก็โผล่ขึ้นเป็นยอดเด่น ขณะนั้นเองมีสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้กันตกใจอย่างกระทันหัน เพราะขณะที่กลุ่มหมอกถูกดูดลงไปสู่เพลิงสีมรกตนั้น ได้มีสิ่งหนึ่งพุ่งขึ้น มันเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมสีแดงเข้มพื้นเรียบ ลักษณะเหมือนโลหะ มีจุดดำใหญ่ รูปทรงรีอยู่ทางด้านสกัดหัวท้ายของทรงสามเหลี่ยมนั้น มันคงเป็นเครื่องจักร นั่นเป็นการสังเกตครั้งแรกที่เห็นมัน เพราะมันหมุนรอบ ๆ ตัวของมันเองรวดเร็วมาก แล้วช้าลง แล้วเร็วขึ้นอีก คราวใดที่หมุนเร็วจะเห็นทรงสามเหลี่ยมนี้พุ่งขึ้น ถ้าช้าจะค่อย ๆ ลอยลงเหมือนเครื่องจักรไม่ผิด แกอาจประหลาดใจและไม่เชื่อ แต่อย่าลืมว่า กันไม่เคยพูดเหลวไหลต่อแกเลยตลอดที่แกกับกันเป็นสหายกัน และอีกอย่างนี่เป็นบันทึกที่ต้องการแต่ความจริง มันได้พุ่งมาถึงระดับเดียวกับเครื่องเฮลิคอปเตอร์ของกัน มันหยุดและหมุนรวดเร็วมาก หมอกที่เป็นสีเงินหมุนเป็นเกลียวดูราวกับเครื่องปั่นนม ชั่วครู่เดียวที่วัตถุประหลาดลอยตัวอยู่ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า มันลอยอยู่ท่ามกลางหมอกนั้นสักครู่ แล้วก็ตกลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่ง หล่นลงเหมือนกับของที่ตกลงไปในท้องทะเล กลุ่มหมอก และเพลิงสีเขียวมรกตแตกฮือออกกระเพื่อมดุจละลอก

ขณะนี้ ความมืดได้เข้าครอบคลุมดินแดนประหลาดนั้นมากขึ้น เหลือแต่ยอดเขาเท่านั้นที่ยังตั้งอยู่โดดเดี่ยว กันแทบจะตายด้วยความตกใจในความอัศจรรย์นั้น ดีที่เป็นเครื่องเฮลิคอปเตอร์ซึ่งสามารถลอยลำอยู่เฉย ๆ ได้ หาไม่กันคงหัวปักลงไปบนทะเลสาบเพลิงสีมรกตนั้นแล้ว กันมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจมลงไปช้า ๆ ซึ่งกันคิดว่ามีเวลาพอถมไป ที่จะกลับไปยังค่ายก่อนที่ดวงอาทิตย์จะตกดิน กันจึงมุ่งหน้ากลับไปยังค่าย กันพยายามระลึกถึงความทรงจำ ซึ่งกันได้พบเมื่อครู่ แต่ก็ไม่อาจให้เหตุผลได้ว่านั่นเป็นการกระทำซึ่งเกิดขึ้นโดยปิศาจ หรือมนุษย์ หรือธรรมชาติแต่อย่างใด กันคิดว่าในบริเวณปล่องที่เว้าลงไปนั้นจะต้องประกอบด้วยปริมาณอันมากมายอย่างไม่ต้องสงสัย เรเดียมต้องเป็นส่วนหนึ่งของปริมาณอันไม่อาจกำหนดได้ หรืออีกอย่างอาจไม่ใช่เรเดียม แต่อาจเป็นโลหะที่มีรังสีกัมมันต์ใหม่ ซึ่งโลกเรายังไม่เคยรู้จัก เท่าที่เกิดแก่กันอาจจะทำให้นักวิทยาศาสตร์รู้สึกทึ่ง และถ้ามาพบด้วยแล้วก็คงสันนิษฐานว่าเป็นเรเดียมมากกว่าอื่น อย่างไรก็ตาม กันจะไม่พูดมาก ขอให้แกช่วยแนะนำให้นักวิทยาศาสตร์อื่นลองมาสำรวจดูบ้าง เพราะกันเป็นอย่างไรนั้นขอให้แกดูเหตุการณ์ต่อไป

ตอนที่กันบ่ายหน้ากลับ กันได้สังเกตว่ามีวัตถุเรืองแสงสีน้ำเงินอ่อนรวมตัวกันเข้า สักครู่ต่อมากันได้เห็นเครื่องยนต์ของกันถูกหุ้มห่อด้วยสิ่งนี้ มันเป็นปรากฏการณ์ที่กันไม่เคยเห็นมาก่อน และแม้กันจะอยู่ในครอบพลาสติกก็ยังรู้สึกอึดอัด เครื่องยนต์ยังคงเดินต่อไป แต่กลุ่มรังสีเรืองแสงนั้นก็ได้พอกพูนมากขึ้น ตอนนี้กันรู้สึกว่าร่างกายของกันหนักขึ้น และเครื่องยนต์ก็ถูกลากลงไปสู่เบื้องล่าง

จิตใจของกันบอกไม่ถูกในขณะนี้ ดูมันท่วมท้นไปด้วยความกลัวอย่างสุดขีด กันพยายามเร่งเครื่องยนต์และขัดขืนทุกทางแต่ก็ไม่สำเร็จ แขนทั้งสองข้างของกันหนักอึ้ง จนไม่อาจใช้กำลังแขนปฏิบัติงานอย่างใดได้ กันรู้สึกตาลายเล็กน้อย และไม่ต้องสงสัยว่าโลหิตกำลังไหลขึ้นสู่สมองมากมาย เมื่อกันรู้สึกตัวอีกครั้ง กันก็เกือบลงถึงพื้นเขียวมรกตนั้นแล้ว แน่นอนเหลือเกิน แรงดึงดูดในใจกลางนั้นมากมายที่ฉุดกระชากเฮลิคอปเตอร์ลงไป ไร้ประโยชน์ ไร้ช่องทาง ที่จะนำเฮลิคอปเตอร์ไปสู่ความปลอดภัยได้ แม้จะเร่งด้วยความเร็วสูงสุดก็ตาม

กันตกลงเหนือบริเวณสีแก้วมรกตนั้น ก๊าซที่กันเห็นไม่ทำให้กันสำลักดังกันคิดได้ ความจริงกันไม่ได้สังเกตการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ แม้จะช่วยให้กันมองเห็นในวงจำกัดเพียง ๔ ถึง ๕๐ เมตรรอบ ๆ ตัวก็ตาม เฮลิคอปเตอร์ได้กระแทกกับพื้นโดยแรง ไม่มีการสะท้านเลย ทำไมรึ สิ่งที่หลอกตากันที่เห็นเป็นเขียวมรกตนั้นมันเป็นพื้นทรายสีคร่ำ ยิ่งกว่านั้นยังมีแสงเรืองเป็นสีเขียวปนแดง

กันรีบออกจากเฮลิคอปเตอร์พร้อมด้วยปืนและย่ามสะพาย แต่กันไม่อาจเดินได้ เพราะกันรู้สึกตัวว่าหนัก กันต้องคลานไปบนพื้นทรายที่ส่งแสงเรืองนั้น หยุดบ้างคลานบ้างตลอดไป กันบอกจริง ๆ กันกลัวจนพูดไม่ถูก กลัวแม้แต่แรงมหัศจรรย์ที่ดึงเฮลิคอปเตอร์ของกันลงมา พื้นที่กันคลานนั้นรู้สึกว่าเรียบ ซึ่งสันนิษฐานว่านั่นคงเคยเป็นกันทะเลสาบมาแล้วแต่อดีต

กันพะว้าพะวังเหลียวหน้าเหลียวหลังอย่างพรั่นพรึง เมื่อกันคลานไปได้สัก ๕๐ เมตรก็ได้เห็นกลุ่มแสงประหลาดลอยขึ้นจากแสงสีเขียวไปยังเฮลิคอปเตอร์ เป็นเสมือนรูปสามเหลี่ยมที่มีสีเข้มตรงกลางและจางที่ขอบซึ่งมีสีน้ำเงิน กันหยุดไม่ยอมเคลื่อนไหว นอนพังพาบเฝ้าดูเงียบ ๆ มันลอยไปรอบเฮลิคอปเตอร์อย่างช้า ๆ และมีท่าทางอุ้ยอ้าย แม้แต่ที่กระโปรงครอบแล้วลอยลงมาจนถึงพื้น แสงสีเขียวมรกตที่กรุ่นออกมาจากพื้นทรายก็ได้ปิดบังเสีย

กันรีบคลานต่อมาอีกสักราว ๒๐๐ เมตร หันมองดูเฮลิคอปเตอร์ก็ไม่เห็นเสียแล้ว กันรีบลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซได้ราวสักครึ่งกิโลเมตร กันจึงเริ่มรู้ว่ากันกำลังหลงอยู่ในความเปล่าเปลี่ยว และเรืองไปด้วยแสงของเม็ดทรายนั้น กันหลงทางและคิดว่าบัดนี้กันได้มาอยู่ยังโลกใหม่ซึ่งเป็นโลกอัศจรรย์อีกโลกหนึ่ง ประชาชนของเขามีชีวิตอยู่ด้วยการเป็นไปตามธรรมชาติกำหนด ซึ่งกันคิดไม่ถึง กันต้องดุ่มไประหว่างทางซึ่งแวดล้อมไปด้วยสิ่งมีชีวิตหรือภูตผีก็ไม่รู้ ศัตรูหรือสหายก็ไม่รู้ ทุกๆก้าวที่ย่างไปอยู่ในอันตราย ซึ่งกันไม่รู้เลยที่จะระวังตัวได้อย่างไร กันรู้สึกปั่นป่วนและสยดสยองใจที่สุด กลัวที่สุด และรู้ดีว่าไร้การช่วยเหลือใด ๆ

ทรายสีแดงคร่ำ และอากาศที่ฉายแสงเขียวกระจายอยู่ทุกทิศทุกทาง ไม่มีหินผาสักก้อนเดียวเท่าที่ผ่านมา ไม่มีชีวิตใดๆ ที่เห็น ไร้เสียง ไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ อันพอจะเป็นสัญญลักขณ์แห่งความรู้สึกสัมผัส พื้นทรายเล่าก็เรียบเหมือนพื้นทะเลที่แห้งและร้าง กันมีเวลาพอจะนึกอะไรๆได้เล็กน้อยเท่านั้น เพราะการที่กันหนีเช่นนี้ ทำให้รู้สึกว่ากลุ่มหมอกนั้นกำลังคลุมเข้ามาใกล้และรูปร่างประหลาดของมัน ชักจะก่อตัวเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ

ทันใดนั้น ก็ต้องรุดวิ่งถลาไปฟุบด้วยความตกใจ เพราะมีสิ่งหนึ่งผ่านมาอย่างรวดเร็วดุจดาวร่วง ผ่านหน้าในระยะใกล้จนมือกันไปถูกเข้า กันวูบไปทั้งตัวเมื่อสัมผัสกับสิ่งนั้น และเมื่อรู้สึกว่าสัมผัสกับของแข็ง กันจึงค่อยๆ คืบตัวไปดู

มันเป็นนกโลหะ มันเป็นนกแก้ว แต่ทว่าเป็นโลหะ ปีกที่แผ่ขยายไปก็เป็นโลหะ สีเขียว หนักไม่มากไปกว่านกธรรมดา ครั้งแรกกันเข้าใจว่าเป็นภาพปั้น แต่เมื่อพิจารณาจึงรู้ว่าไม่ใช่ภาพปั้น แต่เป็นนกแก้วจริง ๆ ที่ได้เปลี่ยนเป็นโลหะ กันกำลังจะเข้าใจว่านั่นเป็นผลที่ได้มาจากเรเดียม ซึ่งกันเคยอธิบายมา นี่ก็อาจเป็นเช่นนั้น กันรู้ว่าวิทยาศาสตร์นั้นยึดถือการแปลงรูปลักษณะของธาตุแท้ว่าเป็นสิ่งเป็นไปได้แม้จะทำให้มันอยู่ในทางอันจำกัดและเรเดียมก็เหมือนกัน มันเป็นผลิตภัณฑ์ของการแยกออกหรือสลายตัวของไอโอเนียน

กันตื่นเต้นสุดขีดเพื่อจะเอาตัวรอด เพราะมันอาจทำให้กันกลายเป็นโลหะไปด้วย กันยิ่งแน่ใจยิ่งขึ้นเมื่อมองไปรอบๆ และได้เห็นนกที่กลายเป็นโลหะอยู่มากมายซึ่งแต่ก่อนกันขาดการสังเกตมาก่อน นกเหล่านั้นครึ่งฝังครึ่งหล่นอยู่บนพื้นทราย มันเป็นโลหะที่มีรูปนกแทบทุกชนิด มันคือบรรดานกที่บินผ่านไปเหนือบริเวณอันเร้นลับนั้น แต่ตอนสำคัญที่สุดที่กันพบก็คือ กันพบสัตว์ดึกดำบรรพ์ พเตอร์โรซันท์ (pterosant) สัตว์เลื้อยคลานที่บินได้ชนิดหนึ่งซึ่งเคยเพ่นพ่านมาสมัยหนึ่ง มันได้เปลี่ยนเป็นโลหะที่ไม่อาจนับอายุได้ว่าสักเท่าใด ปีกกว่าถึง ๑๕ ฟุต ซึ่งมันควรอย่างยิ่งที่จะเป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์

ยัง-แม้แต่กันจะตกใจถึงขนาด และหวาดอย่างที่สุดก็ตาม ยังมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นอีก ขนเล็ก ๆ อ่อนๆ ที่ขึ้นตามแขนกัน มันกำลังเปลี่ยนเป็นโลหะเรืองแสงสีมรกตแล้ว สิ่งนี้สั่นประสาทกันอย่างสมบูรณ์ แกอาจไม่เห็นพฤติการณ์ของกันว่าเป็นอย่างไร แต่แกก็อาจจะรู้ว่าคนที่กลัวและตกใจถึงขนาดวิญญาณแทบจะออกจากร่างนั้นเป็นอย่างไร กันตะโกนก้องโดยไม่เกรงกลัวว่า เสียงนั้นจะได้ยินไปถึงศัตรูอันน่าสยดสยองของกัน กันวิ่งหัวซุกหัวซุน วิ่งไป-วิ่งไป ดุจคนตาบอด วิ่งไปอย่างไร้เหตุผล-วิ่งไปอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เพียงแต่นึกขอให้พ้น-พ้นสิ่งน่ากลัวนั้น กันไม่ได้จดจำหนทางที่ผ่านไป แม้ที่สุดเวลาที่ผ่านไป

ที่สุดกันได้มาถึงเขตต้นไม้ที่มีสีม่วง สูงแค่เอว มีลักษณะเหมือนหญ้าใบแคบและหนา ตามใบมีจุดด่างดำทั่วไป มีดอกเล็กๆ สีชมพู

กันบุกสวบ ๆ ไปอีกไม่กี่เมตรก็ถึงธารน้ำที่มีสีแดง สาขาเล็กๆ ของแม่น้ำนั้น กันทุ่มตัวลงไปบนกลุ่มหญ้าเหล่านั้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเหนื่อยอ่อนและหวาดกลัว เป็นเวลานานทีเดียวที่กันไม่อาจคิดถึงสิ่งใด ๆ ได้เพราะจิตใจปั่นป่วนที่สุดในชีวิต เมื่อกันเหลือบมองดูเล็บมือของกัน อ่วม กันใจหายหมด เล็บกันกำลังกลายเป็นโลหะเกือบครึ่งเล็บเข้ามาแล้ว

กันพยายามคุมสติระงับความตื่นเต้น และสยดสยอง พยายามคิดถึงแสงสว่างเหล่านั้น มันเป็นอะไร มันก่อให้เกิดได้อย่างไร แต่กันคิดได้เพียงเล็กน้อย เพราะความจริง กันกำลังหิวเหลือเกิน กันเด็ดลูกไม้เล็กที่ใกล้มือกินทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่ากินได้หรือไม่ แต่ลูกไม้นั้นก็เค็มเหมือนเกลือ รสเหมือนชิมโลหะ กันคิดว่ามันเป็นผลไม้ที่ไร้คุณค่าของการเป็นอาหาร แต่ในการที่ดึงมันจากต้นนั้นและบีบน้ำมันหยดลงบนนิ้วมือกันนั้น ทำให้กันตื่นเต้นและพิศวง รอบนิ้วมือซึ่งเป็นรอยนั้นได้จางหายไป เพราะกันพบผลไม้นี่แหละ ที่ทำให้กันตื่นเต้นด้วยความปิติ ซึ่งหมายความว่าพืชนี้สามารถทำลายสิ่งที่กันกลัวนั้นได้ มันคงมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นที่สามารถกลืนรังสีกัมมันต์นั้นได้ กันไม่ยอมสูญเสียเวลาในการที่จะกินผลไม้ประหลาดนั้นอย่างตะกละตะกลาม แล้วกันก็บีบน้ำจากผลไม้นั้นใส่กระติก กันคิดว่ากันจะทำการวิเคราะห์ของเหลวประหลาดนี้ หาสูตรมาตรฐานสำหรับทำสิ่งที่ถูกเรเดียมเผาให้เป็นกลางให้ได้ และก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันได้ช่วยกันให้พ้นจากการเผาอย่างน่าสยดสยอง ที่เกิดจากปฏิกิริยาตามธรรมดาของเรเดียม

กันนอนพักอยู่ที่นั่นจนกระทั่งรุ่งเช้า พอเริ่มออกเดินทางก็รู้สึกว่าอ่อนเพลียอย่างไร้สาเหตุ มันดูคล้ายกับว่าแสงสว่างเวลากลางวันขับไล่สีเขียวแม้แต่เม็ดทรายแดงให้หายซีดลงไป...และมีแสงเรืองน้อยลง กันเดินไปตามสายธารน้ำสีแดงที่ไหลลง เดินเรื่อยมาทางตะวันตก นับก้าวและกำหนดเครื่องหมายที่กันเริ่มต้น ตลอดจนราวสัก ๓ กิโลเมตรได้ กันก็พ้นดงพืชสี และมาถึงหน้าผาที่กันเคยมองเห็น กันมองลงมาเบื้องล่าง ธารน้ำสีแดงไหลพุ่งลงเป็นวนอยู่เบื้องล่าง

กันเดินเลาะไปตามริมผาพยายามหาทางที่จะออกจากหน้าผา ซึ่งกันใช้เวลามากไม่น้อย และนึกเกรงกลัวว่าจะได้พบสิ่งอัศจรรย์นั้นอีก แต่ก็ปลอดภัยไม่เห็นสิ่งนั้นกันคิดว่าเจ้านั้นมันคงใช้เวลากลางวันนอนหลับ กันไต่ลงไปตามที่ลาดซึ่งต้องเกาะต้นไม้และแก่งหินลงไปเบื้องล่างกินเวลานานมาก จนคะเนว่าเวลาที่ลงมาถึงพื้นราบก็กว่าบ่าย ๔ โมงแล้ว กันทั้งหิวและกระหาย กันพยายามจดจำสถานที่ขึ้นไปยังดินแดนประหลาดนี้แล้วจึงเดินเลาะป่าเรื่อยมา

เวลาใกล้จะค่ำแล้วแต่กันก็ยังวนเวียนอยู่ กันจัดแจงหาที่พักริมธารนั้น แต่ขณะที่นั่งพักอยู่นั้นเอง กันมองไปเบื้องหน้าก็รู้สึกมีแสงเรืองอยู่ลิบๆ แล้วมีแสงผ่านไปมาในอากาศใกล้เข้ามาหากันทุกที กันเริ่มคิดว่ากันกำลังถูกล่าตัวอีกแล้ว กันหลบเข้าในโพรงเล็กพื้นทรายชายน้ำ มีจุดหยาบๆ ของแสงดุจหมวกใกล้เข้ามาแล้วผ่านไปหลายจุดแต่จุดหนึ่งเคลื่อนช้าๆ และหยุดอยู่เหนือศีรษะกัน มันลอยดิ่งลง แล้วมีรังสีเป็นวงกลมเกิดขึ้นและกระจายแผ่ทุกทิศทาง กันรู้ดีว่าไร้ประโยชน์ในการจะวิ่ง และกันก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะความกลัวของกัน มันลอยต่ำลง-ต่ำลง

และตอนนี้เองที่กันได้เห็นรูปอันแท้จริงของมัน เจ้าสิ่งนั้น สิ่งที่ส่องประกายนั่นมันเป็นผลึกโชติช่วง มันเป็นปริซึ่มรูปสามเหลี่ยมสีแดง ยาวราว ๒ ฟุต มีรูปเป็นกลีบ และจุดที่มีสีน้ำเงินเรืองนั้นอยู่ตรงกลางดุจดาว มีเปลวสีเขียวมรกตออกจากจุดนี้ เป็นการแลบอย่างอัศจรรย์เหมือนเปลวไฟที่วาบวับออกจากกอง มันเป็นสิ่งมีชีวิต-ชีวิตที่มีแสง-ทั้งแดงเรืองและวาบน้ำเงิน...

มันดิ่งลงมาหากัน

น่าสยดสยองเหลือเกิน รูปชีวิตอันประหลาดนี้มันไม่ใช่มนุษย์แน่ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่พืช มันไม่ใช่ชีวิตใดๆ ที่กันเคยรู้จักมาก่อน มันมีปัญญา มีความบากบั่นในการติดตาม มีความเฉลียวฉลาดและหวงแหนต่อการที่มีผู้เข้าไปในดินแดนอันเร้นลับของมัน มันทั้งแปลกทั้งประหลาด และไร้ความรู้สึก อัศจรรย์เหลือที่จะกล่าวอะไรได้ในขณะนี้ ขณะที่กันกำลังอยู่ใต้มัน และคิดว่ามันคงพุ่งเข้ากระแทกกัน

อ่วมเพื่อนรัก กันมีเวลาตอนที่เขียนเท่านั้นที่พูดกับแกได้ยืดยาวหน่อย แต่ในขณะที่กันประสบมันนั้น กันไม่เคยนึกเลยว่า กันจะมีชีวิตรอดอยู่พอจะให้โอกาสกันเขียนบันทึก หากว่า-หากผลึก ๓ เหลี่ยมยาว ๒ ฟุตนั้นกระแทกลงมาบนร่างที่กันซุกอยู่ในโพรงทรายนั้น

เจ้าสิ่งนั้นและสิ่งที่ติดตามกันมานั้นเป็นอะไร กันเดาไปถึงว่ามันจะต้องเป็นผลึก เมื่อน้ำในทะเลทรายดึกดำบรรพ์ต้องแห้งลงจนเหลือแต่แอ่ง ซึ่งเหมือนปากภูเขาไฟ เกลือซึ่งมีสภาพเป็นผลึกก็ย่อมเกิดรูปอันสับสนขึ้นได้

กันกระชากปืนและยิงไปหลายนัด ทว่ากระสุนปืนได้แฉลบไปเมื่อกระทบกับสิ่งที่มีรูปเรียบเป็นเงาและลื่นเช่นนั้น ไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดแก่มัน

มันคงดิ่งลงมาจนกระทั่งจุดสีน้ำเงินที่เรืองแสงของมันอยู่เหนือกันราวเมตรเดียว แล้วไฟซึ่งมีสีเลือดหมูก็พุ่งเป็นสายเข้าไล้ร่างของกัน ทันใดนั้นเอง น้ำหนักตัวของกันได้ลดลง กันถูกยกร่างลอยขึ้น และปะทะเข้ากับจุดนั้น อ่วม แกคงจะเห็นรูปรอยสามเหลี่ยมที่หน้าผากและอกของกัน กันถูกจับยกขึ้นแตะถึง ๒ ครั้ง ทั้งๆ ที่กันกลัวแทบจะช้อคตาย แต่ก็ยังมีสติอยู่เพียงที่พอจะจดจำเหตุการณ์ได้ แล้วร่างกันก็ลอยไปในอากาศ มีผลึกอื่น ๆ ที่มีขนาดต่างๆ ช่วยนำกันไปอีก

กันวิงเวียนศีรษะอย่างยิ่ง มองเห็นสิ่งต่าง ๆ พร่าดำไปหมดและไม่รู้สึกอะไรอีก

กันตื่นขึ้นในขณะที่กำลังลอยอยู่ในแสงสีส้มสดใส กันไม่ได้สัมผัสกับสิ่งที่เป็นของแข็งใด ๆ เลย กันลอยอยู่ได้ในอากาศเฉย ๆ กันบิดตัว เหยียดขา เปล่าเลยกันไม่ได้แตะต้องกับสิ่งใด ๆ เลย กันไม่อาจพลิกตัว แม้ที่สุดเคลื่อนไหวใดๆ เพราะไม่มีสิ่งใดสำหรับยึดเหนี่ยว กันไม่รู้ว่ากันจะอยู่ในสภาพนี้นานเท่าใด เสื้อผ้ากันยังอยู่กะติกที่ใส่น้ำคั้นพืชประหลาดก็ยังแขวนอยู่ที่ไหล่ หรือพูดให้ถูกยังลอยอยู่ ปืนยังอยู่ในกระเป๋า กันพยายามชะโงกศีรษะดูก็ได้พบกับรอยสามเหลี่ยมประหลาดเหนือหน้าอก แต่กันจะทำอย่างไร เมื่อกันต้องลอยตัวอยู่อย่างไร้ความดึงดูด และอิสระเหมือนกับลอยอยู่ในอากาศ ท่ามกลางเพลิงสีส้มซึ่งพุ่งออกจากยอดของทรงปริซึ่มสีดำอันหนึ่ง ซึ่งลอยอยู่ไม่ห่างจากกันนัก

ผลึกประหลาดนั้นย่อมรู้ความเร้นลับของตนก่อนและตามช่องนี้ต้องเป็นส่วนสำคัญยิ่งแห่งชีวิตของมัน เมื่อกันชำเลืองดูรอบ ๆ กันได้เห็นวัตถุที่ส่องแสงอันหนึ่งห่างออกไปราว ๔-๕ เมตร แต่ว่าแสงภายในของมันดับสนิท ดังนั้นกันจึงคะเนได้ว่า ในยามกลางวันเช่นนี้สิ่งที่มีชีวิตอันอัศจรรย์นี้กำลังนอนหลับอยู่

หากกันคิดหนีตอนนี้ก็เป็นโอกาสของกัน กันถีบเท้าและคว้าไขว่ในอากาศแต่ไร้ประโยชน์ กันไม่อาจจะเคลื่อนไปได้แม้แต่นิ้วเดียว มันคงจะล่ามกันไว้กันจึงไม่มีโอกาสหนีได้ กันล้วงลงไปในกระเป๋าหยิบปืนขึ้นมา ที่กันทำเช่นนี้ เพราะกันสิ้นคิดจะแก้ไขตัวเอง และตั้งใจว่าจะต้องไม่ให้มันเห็นกันมีชีวิตอีก ความคิดแล่นขึ้นมาแวบหนึ่งในสมองก็คือยิงปืนออกไป แรงระเบิดของปืนย่อมมีคุณค่าดุจจรวดที่จะทำให้กันพุ่งตัวไปยังขอบของแสงสีส้มได้ จริงดังกันคิด กันยิงอย่างรวดเร็วจนหมดกะสุน ร่างของกันถูกแรงสะท้อนไปจนสุดแสง กันกลัวเหลือเกินที่ร่างกันเมื่อหลุดจากแสงแล้วจะตกลงไปตาย ทว่าน่าประหลาด การยิงผ่านไปในลำแสงนั้นทำให้แรงถ่วงของตัวกันคืนมาช้า ๆ ตัวกันค่อยๆ เลื่อนลงจนกระทั่งหลังกระทบพื้นทราย และใกล้กับตัวกันนั้นเอง เฮลิคอปเตอร์ของกันยังอยู่ โดยมิได้ดูแลสิ่งใด ๆ ให้ครบถ้วนเลยเพราะตาลีตาลานจะหนีไปให้พ้นจากดินแดนประหลาดนี้ กันรีบสต้าทเฮลิคอปเตอร์โดยด่วน แล้วเร่งอัตราเร็วสูงสุดขึ้นสู่อากาศ ชั่ว ๒-๓ นาทีกันก็บินอยู่เหนือดินแดนอันอัศจรรย์นั้น อย่างไรก็ตาม กันยังครึ่งหวั่นครึ่งหวาดต่อคลื่นของแสงดึงดูดที่จะนำกันไปสู่ที่เก่าอีก กันพุ่งสูงขึ้น สูงขึ้นจนแน่ใจว่าหลุดพ้นจากอำนาจอัศจรรย์นั้นแล้ว จึงบ่ายหน้ากลับยังค่ายพัก สั่งให้คนใช้เก็บของรีบกลับไปยังเมือง เพื่อโทรเลขให้ผู้เป็นเจ้าของมารับเฮลิคอปเตอร์ของเขากลับไป

กันเพียงพอแล้วสำหรับการล่าหาเรเดียม ทำไมรึ ทำไมกันจึงว่าเพียงพอ ทั้ง ๆ ที่กันไม่ได้ขุดพบเลย ทั้งนี้ ก็เพราะว่าเมื่อกันเข้าไปในที่พักแล้ว กันถอดเสื้อและรองเท้าออก ในเสื้อผ้าและรองเท้านี้เอง กันได้พบเม็ดทรายสีแดงจากที่เร้นลับนั้นติดมา มันคงจะเป็นในขณะที่กันคลานหนีและต่อสู้นั่นเอง เมื่อนำมาวิเคราะห์ดู กันได้พบสารประกอบของเรเดียม ซึ่งแม้จะมีเพียงนิดเดียวก็มีค่าเกือบล้านบาท แต่โชคของกันมีค่าน้อยเกินไป เพราะสิ่งที่กันใส่ไว้ในกระติกและเป็นตัวยาที่ดีที่สุดสำหรับช่วยเหลือกันไม่ให้กลายเป็นโลหะไปครึ่งหนึ่งแล้ว บัดนี้ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าสูญหายไปทางใดหมด จุกกะติกได้เปิดอ้า เมื่อกันเห็นในเย็นวันนั้น กันเสียใจเหลือเกิน

กันรีบจัดการทุกสิ่งเสร็จสิ้นในวันรุ่งขึ้น และรีบเดินทางไปยังสถานเร้นลับนั้นอีกพร้อมด้วยคนของกัน เพื่อไปแสวงหาน้ำพืชซึ่งแก้ไขชีวิตกันนั้น ทว่ากันมีโอกาสใช้เวลาได้ ๒ วันเท่านั้นในการค้นหา ในเช้าวันที่สามกันก็หมดโอกาสจะหามันได้เสียแล้ว อ่วม มันเป็นการสะเพร่าของกันเองแท้ๆ ที่ไม่น่าจะทำน้ำพืชประหลาดนั้นหก......

รัก

กันย์

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ