สู่โลกพระจันทร์
ทุกวันนี้วิทยาการทุกสาขาได้ขยายตัวและก้าวไปมากมาย โลกได้มีเครื่องบินไอพ่น โลกได้มีจรวดที่พุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้านับร้อยไมล์ โลกกำลังสร้างสรรค์และผลิตพลังงานปรมาณูอย่างใหญ่หลวง ซึ่งพลังงานนี้อยู่แค่มือเอื้อมเท่านั้น ไม่วันใดก็จะสามารถใช้พลังงานปรมาณูนี้ไปใช้เป็นประโยชน์อย่างสมบูรณ์
แต่ว่าโลกกำลังไม่แน่ใจว่า พลังงานปรมาณูนี้จะสามารถควบคุมไม่ให้เล็ดลอดออกมาทำลายโลกได้ละหรือ และโดยเฉพาะการทดลองแต่ละครั้ง ๆ นั้น ก่อให้เกิดความสงสัยว่า กัมมันตภาพรังสีจะหายไปไหนบ้าง มันจะกระจายไปสู่ท้องฟ้า ออกไปนอกบรรยากาศโลกหรือซึมซาบลงไปอยู่ใจกลางของโลก ซึ่งมีพลังงานอันมหึมาอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้ จะไม่แปรชนวนที่จะนำทางให้พลังงานในโลกระเบิดทำลายออกแน่ละหรือ และถ้าโลกทำลายตัวเอง มนุษย์จะเป็นอย่างไร อะไรเล่าจะเป็นที่ ๆ สามารถจะเก็บมนุษย์ชาติได้ในวันข้างหน้า ถ้าไม่ใช่ดวงดาวอันยิบยับอยู่บนฟากฟ้า ซึ่งไกลไปในอวกาศอันหาขอบเขตไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องมนุษย์ ๓ คนที่รักการผจญภัย กล้าหาญ ได้นำ ‘เวหาสยาน’ ของเขาไปสู่ดวงจันทร์ - จันทราพิภพเป็นครั้งแรก พร้อมกับชีวิตที่จะประสบกับสิ่งอันอัศจรรย์ในซีกด้านมืดของโลกนั้น เชิญอ่านนวนิยายเรื่องนี้
ผุสดีได้ถาม ดร. อมต เบาๆ อย่างห่วงใยว่า
“อมตสร้างเวหาสยานจำลองนี้ เพื่อไปสร้างของจริงหรือ”
“ถูกแล้ว”
“และอมตจะไปพร้อมกับ ‘เวหาสยาน’ หรือ
“แน่ทีเดียว ฉันต้องไป” เขาตอบ “มันอาจเป็นการผจญภัยที่มนุษย์จะพึงกระทำ และยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การไปจากโลก การไปเยือนดวงจันทร์อันเปรียบเสมือนน้องของโลก มันจะเต็มไปด้วยชื่อเสียงและเกียรติคุณเหลือเกิน พรุ่งนี้ฉันจะนำเอา ‘เวหาสยาน’ นี้เสนอยังคณะกรรมการฝ่ายอุตสาหกรรม
“ทำไมไม่เสนอทางรัฐบาลเล่า อมต”
“ฉันยังลังเลใจว่าจะไม่เป็นผลสำเร็จในขณะนี้
ในห้องประชุมใหญ่ กรรมการฝ่ายอุตสาหกรรมหนักทุ กประเภทได้มาประชุมกันคับคั่ง ทุกคนปรารถนาจะดูผลงานของ ดร. อมต เพราะได้เคยเสนอมาครั้งหนึ่งแล้ว กรรมการส่วนมากไม่ขัดข้องในการที่จะสนับสนุนเขาในเรื่องนี้ เพราะทุกคนหวังว่าผลสำเร็จของงานนี้ นอกจากเป็นผลทางทหารแล้ว ในวงงานอุตสาหกรรมหนักทุกประเภท จะต้องตื่นตัวยิ่งขึ้นอีกมากมาย ทุกคนฟังเขาอธิบายถึง ‘เวหาสยาน’ ที่ใช้พลังปรมาณู เมื่อเขาพูดจบลงที่ประชุมได้เงียบชั่วขณะหนึ่ง จึงมีเสียงพูดขึ้นว่า
“ท่านแน่ใจหรือว่า ท่านจะไปถึงโลกพระจันทร์และหากไปถึงแล้วจะบังเกิดผลอะไร มีความมุ่งหมายอย่างไร”
ดร. อมต ยิ้มพลางกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าแน่ใจว่าไปถึง เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงมากมายเช่นจรวดซึ่งไปด้วยเชื้อเพลิง การที่ถามว่ามีความมุ่งหมายอย่างไรนั้น ข้าพเจ้าเพียงแต่ขอถามกลับไปยังท่านว่า การที่โคลัมบัสพบทวีปอเมริกา การที่มนุษย์ออกไปยังดินแดนทั้งทางขั้วโลกเหนือและใต้ หรือการที่ออกไปสำรวจดินแดนแห่งกาฬทวีปนั้น เขาประสงค์อะไร ต้องการเป็นผู้กล้าหาญ ต้องการผจญภัย หรือแสวงหาความเร้นลับมาเปิดเผยแก่โลก การที่ข้าพเจ้าประสงค์ไปสำรวจยังที่ ๆ ยังไม่มีใครรู้จักนั้น มีเหตุผลเช่นเดียวกัน” เขาหยุดมองดูคณะกรรมการ ที่สนใจฟังคำแถลงของเขาเล็กน้อย “การที่ข้าพเจ้าเลือกไปยังดวงจันทร์ก่อน เพราะดวงจันทร์นั้นแขวนอยู่บนท้องฟ้า เหมือนเป้าธรรมชาติอันมหึมาของ ‘เวหาสยาน’ และไม่ไกลเกินไปกว่าความดิ้นรนของมนุษย์ ที่จะไปถึงในการเดินทางที่เต็มไปด้วยการเสี่ยงภัยครั้งแรก
“อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับดวงจันทร์มากกว่าดาวดวงอื่น ๆ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจตนเองยิ่งกว่าการไปอย่างเดาสุ่ม” ดร. อมต หยุดกล่าวเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อไป
“เมื่อไม่นานมานี้ มนุษย์คิดกันว่าดวงจันทร์มีบรรยากาศเหมือนโลก มีมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เขาให้ชื่อกันต่าง ๆ เช่น ทะเลซิเลนิต ทะเลเวเปอร เขาให้ชื่อชนชาวโลกนั้นว่า ชาวจันทรา หรือลูนาเลียน บางที่เขาเรียกว่า ชาวซิเลไน้ทสฺ (Selenities) ซึ่งมาจากคำว่าซิเลน (Selene) ผู้เป็นจันทราเทพแห่งชาวกรีก
“ครั้นเมื่อมีผู้นำกล้องโทรทรรศน์มาใช้นักดาราศาสตร์จึงเห็นว่า ทะเลใหญ่ที่เฝ้าดูกันนั้นไม่มีน้ำอยู่เลย เขาประกาศว่า ดวงจันทร์นั้นเป็นโลกที่ตายแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ อาศัยอยู่ ไร้อากาศ เป็นโลกที่เปล่าเปลี่ยว แล้วเต็มไปด้วยอุณหภูมิซึ่งขึ้นถึงสุดขีดน้ำเดือดและก็ลดลงถึง – ๒๔๐ ดีกรี (ลบ ๒๔๐°)
“ท่านคงได้สังเกตการลุกไหม้ของดาวร่วงขณะที่ผ่านบรรยากาศของโลกมา ดาวร่วงเช่นนี้มีมากมายในดวงจันทร์ ทว่าท่านจะไม่เห็นการลุกไหม้เลย ไม่ว่าจะเป็นสะเก็ดเล็กหรือใหญ่ จะลงมาถึงพื้นดวงจันทร์เสมอ นี่เป็นอันตรายอย่างน่ากลัวยิ่งสิ่งหนึ่งในดวงจันทร์นั้น
“ที่นั่นจะไม่มีดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตกแต่อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังคิดว่า ยังคงจะมีสิ่งอื่นที่เร้นลับหรือแปลกไปจากการสันนิษฐานอีกมาก ทั้งคิดกันว่าบางส่วนของดวงจันทร์อาจมีพืชปรากฏในรูปอันอัศจรรย์ และการระเบิดของภูเขาไฟบางลูก ยังคงมีพุ่งออกจากภายในอันลึกของดวงจันทร์
“สิ่งที่น่าสนใจซึ่งไม่อาจอธิบายกันได้ก็คือ ทางที่เป็นเงาซึ่งเกิดขึ้นบางคราวบนผิวโลกนั้นคืออะไร บางคนอธิบายกันว่า นั่นเป็นเงาของกลุ่มแมลงอันมีจำนวนอันมหึมา เช่น ฝูงตั๊กแตนในโลกเราบินผ่าน เป็นกลุ่มแมลงซึ่งมีรูปร่างประหลาด ข้าพเจ้าได้มีแผนที่ละเอียดเกี่ยวกับดวงจันทร์จริง แต่ยังมีความเร้นลับที่ข้าพเจ้ายังไม่ทราบแน่อีก เพราะการหมุนที่หันข้างเดียวเข้าสู่ดวงอาทิตย์และเหลือดินแดนอีกราว ๒/๕ ซึ่งไม่ได้ถูกพบเห็นเลยนั้นน่าจะมีสิ่งเร้นลับไม่น้อย ซึ่งเราเพียงแต่คิด ๆ กันว่า อีกด้านหนึ่งนั้นก็คงจะเหมือนกับด้านที่เห็นอยู่ทุก ๆ วันนี้นั่นเอง”
เมื่อ ดร. อมต หยุดพูดเพื่อฟังเสียงคณะกรรมการก็พอดีมีเสียงกรรมการผู้หนึ่งออกจากปากว่า
“ข้าพเจ้าคาดว่า การไปสู่ดวงจันทร์ไม่ยากเย็นอะไร”
“ถูกแล้วครับ ไม่ยากเย็นอะไร” ดร. อมต กล่าว “เพียงแต่ขอให้เวหาสยานเราหลุดพ้นไปจากความดึงดูดของโลกเท่านั้น เราไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงเลย ยิ่งใช้พลังปรมาณูด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีความลำบากใด ๆ เลย พลังปรมาณูย่อมให้การเคลื่อนไหวได้เสมอไม่ว่าจะในที่ใด ๆ”
ที่ประชุมตบมือเกรียวกราว แสดงความยินดีต่อเขา นับว่าเป็นชัยชนะครั้งสำคัญที่ ดร. อมต ได้รับ ประธานกรรมการอุตสาหกรรมพูดแทนในนามของคณะกรรมการทั้งหมด
“ท่านได้ชัยชนะแล้ว ดร. อมต ท่านเริ่มงานสร้าง ‘เวหาสยาน’ และฝึกบุคคลที่จะไปกับท่านได้แต่บัดนี้เป็นต้นไป ส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมด เป็นของวงการอุตสาหกรรมทุกแห่ง”
ดร. อมต แสดงความขอบคุณแก่ทุกคน
หลังจากได้ดำเนินงานกันอย่างขะมักเขม้น วันหนึ่งต่อมา ‘เวหาสยาน’ ลำมหึมาก็สำเร็จ และผู้ที่ตกลงใจจะไปนั้นล้วนเป็นผู้ชำนาญในทางวิทยาศาสตร์ ซึ่ง ดร. อมต ไม่จำเป็นต้องให้ความฝึกฝนเลย
ในวันเดินทางทุกอย่างเงียบ เนื่องจากทางราชการยังไม่เห็นด้วยในการที่จะนำเวหาสยาน ซึ่งไปด้วยพลังปรมาณูนี้ขึ้นไปสู่ท้องฟ้า แต่ ดร. อมต ดร. อุปดล ดร. นฤโฆษ ไม่ฟังความเห็นนั้น เขาจึงจำเป็นต้องเดินทางไปสู่เวหาด้วยวิธีการอันเงียบ รู้ๆ กันอยู่แต่ในวงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น
วันเดินทางได้มาถึง ทุกสิ่งเรียบร้อย ทุกคนพร้อม ทุกอย่างที่จะเดินทางได้
“เหลือเวลาอีก ๔ นาที เราเข้าไปใน ‘เวหาสยาน’ กันเถอะ”
ทุกคนได้เข้าประจำที่ของตน ซึ่งร่างกายถูกรัดแน่นด้วยเข็มขัดหนัง และอยู่ในสภาพเอนหลัง ดร. อมต บอกให้สหายระวังความกดอย่างรุนแรง ในระยะ ๓๐ วินาทีแรก
“เพราะเป็นระยะที่ ‘เวหาสยาน’ กำลังพุ่งตัวหนีออกจากความโน้มถ่วงของโลก”
เสียงจากไมโครโฟน ซึ่งส่งมาจากหอบังคับการเบื้องล่าง
“พร้อมแล้ว!”
“พร้อมแล้ว!” ดร. อุปดล ตอบ
“เครื่องบังคับ ‘เวหาสยาน’ อัตโนมัติพร้อมแล้ว” ดร. อมต ตอบ
“การติดต่อพร้อมแล้ว” ดร. นฤโฆษ ตอบ
อีก ๑ นาทีต่อมา เสียงจากข้างนอกว่า
“เครื่องใช้และเครื่องประคอง ‘เวหาสยาน’ นำออกหมดแล้ว”
“ดีแล้ว ออกเรือได้เดี๋ยวนี้”
เสียงนับดัง ๆ จากไมโครโฟนที่ติดในลำ ‘เวหาสยาน’ ๑๐ วินาที-๙-๘-๗-๖-๕-๔-๓-๒- ไปได้”
ทันใดนั้นเอง แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยกำลังขับพ่นของเครื่องพลังปรมาณูของ ‘เวหาสยาน’ พร้อมด้วยอำนาจระเบิดอย่างรุนแรง
‘เวหาสยาน’ ได้ลอยลำขึ้นช้าๆ แล้วพุ่งปร๊าดหายไปในอากาศ เห็นควันและแสงเพลิงเป็นทางยาว
ทุกคนใน ‘เวหาสยาน’ กำลังอยู่ในสภาพอันเคร่งเครียด เนื่องจากเดินทางไปด้วยอัตราเร็วอันสูง ดร. อมต รู้สึกว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย เขาพยายามร้องบอกแก่สหายว่า
“ตอนนี้เราจะอึดอัด น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นนับหมื่นปอนด์”
“จริง” ดร. นฤโฆษ ตอบ “รู้สึกเหมือนอยู่กลางลมสลาตัน”
“ความรู้สึกอันนี้จะอยู่ราว ๓ นาทีกว่าเท่านั้น แล้วจะเข้าสภาพปกติ ขณะนี้เราอยู่ห่างจากโลก ๕๐๐ ไมล์ ออกพ้นบรรยากาศของโลกแล้ว ต่อไปจะพ้นแรงดึงดูด”
ทุกคนไม่ได้พูดอะไรต่อไป นอกจากมองดูดวงดาวที่ไกลออกไปข้างหน้า และดวงอาทิตย์ที่ลอยคว้างอยู่มีแสงโคโรนาอยู่รอบๆ
“เราจะเห็นแสงโคโรนาตลอดเวลา ถ้าพ้นจากบรรยากาศของโลกออกมา บรรยากาศของโลกจะทำให้เราไม่แลเห็นแสงนี้ เว้นไว้แต่จะเกิดสุริยุปราคาบูรณคราสเท่านั้นจึงเห็นโคโรนา”
ตอนนี้ ดร. อมต ได้แก้เข็มขัดรัดอกออก ทันใดนั้นเอง ก็รู้สึกว่าตัวเขาลอยเคว้งคว้างออกไปจากเตียง ซึ่งสหายทุกคนหัวเราะอย่างขบขัน เพราะรู้ดีว่าร่างของ ดร. อมต ลอยอยู่ได้นั้น เป็นเพราะร่างนั้นพ้นจากความดึงดูดของโลก จึงทำให้ลอยอยู่ได้เหมือนตัวเองไร้น้ำหนัก
ดร. อมต รีบคว้าบันไดเหล็ก แล้วสาวตัวลงยังห้องอีกห้องหนึ่ง ทุกคนทำตามเขา เขาจัดแจงเปิดตู้ส่งรองเท้าแม่เหล็กให้คนละคู่ เพื่อใช้เดินตามพื้นห้องซึ่งเป็นเหล็กนั้นได้อย่างสบาย
ดร. อุปดล รีบติดต่อทางวิทยุกับโลก และได้รับตอบมาเช่นเดียวกัน แสดงว่าการสื่อสารดำเนินไปอย่างสะดวก ดร. อมต หยุดเครื่องไม่ให้ทำงานต่อไป เขาให้เหตุผลว่า ‘เวหาสยาน’ จะพุ่งไปยังดวงจันทร์เอง ความเร็วเช่นนี้จะคงที่ตลอดไป เพราะในอวกาศไม่มีอากาศหรือสิ่งใด ๆ จะต้านทานให้ ‘เวหาสยาน’ ช้าลง
ภาพดวงจันทร์ที่เห็นได้โตขึ้นตามลำดับ จนชัดขึ้น ทุกคนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ดร. อมต มองดูภาพดวงจันทร์อันเต็มไปด้วยสิ่งอัศจรรย์นั้น “ไร้อากาศ ไร้ชีวิต การลงไปยังดินแดนนี้เต็มไปด้วยอันตราย เพราะมีทั้งภูเขาไฟ และภูเขาเกะกะไปทุกหนทุนแห่ง เข้าที่นอนรัดเข็มขัดไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย เราจะลงบนโลกพระจันทร์นี้แล้ว”
ทุกคนรีบเข้าที่ จากนั้น ดร. อมต เริ่มหาที่สำหรับให้ ‘เวหาสยาน’ ลงเป็นนาน เขาพบบริเวณแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเขตมืดของดวงจันทร์ มีลานกว้างซึ่งเป็นแอ่งภูเขาไฟ เขาจึงหันท้าย ‘เวหาสยาน’ ลง แล้วค่อย ๆ หย่อนลำ ‘เวหาสยาน’ ลงช้าๆ จน ‘เวหาสยาน’ กระแทกลงกับพื้นโลกพระจันทร์ เสียงร้องเบาๆ
“เราลงยังโลกนี้ปลอดภัยแล้ว”
ทุกคนจัดแจงสวมชุดอวกาศแล้วไต่ลงมาจาก ‘เวหาสยาน’ ดร. อุปดลว่า
“ดร. อมต ควรลงไปก่อน เพื่อได้เป็นเกียรติซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกได้ย่างเหยียบลงสู่พื้นดินนี้”
“ขอบคุณ” ดร. อมต กล่าว “ความฝันของข้าพเจ้าได้กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว แต่ต่อจากนี้ไปดินแดนใหม่นี้จะอยู่ในร่มธงของไทย ความอัศจรรย์และทรัพย์ากรทั้งหลายอาจให้ประโยชน์ทางวิทยาการและชาติอย่างยิ่ง ดินแดนนี้จะเป็นดินแดนแห่งใหม่ของมนุษย์ชาติแล้ว”
แล้วคณะสำรวจซึ่งมีเครื่องมือในการถ่ายภาพ กล้องโทรทัศน์ อาวุธ ก็เริ่มทำการสำรวจดินแดนใหม่นี้ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีความโน้มถ่วงเพียง ๑/๖ ของโลก ฉะนั้นทุกคนจึงกลายเป็นคนแข็งแรงบนโลกนี้ ดร. อุปดล ได้นำเอาไกเก้อร์เคาเตอร์ (geiger counter) ติดตัวไปด้วย เพื่อตรวจดูบรรดาแร่ธาตุบนโลกพระจันทร์นี้
บริเวณใกล้เคียงกับ ‘เวหาสยาน’ ได้ถูกสำรวจทุกแห่ง เครื่องไกเก้อร์เคาเตอร์ได้แสดงว่า มีแร่ยูเรเนียมอยู่มากมาย ยิ่งกว่านั้น ยังได้พบก้อนแร่ที่ประกอบด้วยเหล็ก นิเกิล ทองคำ ซึ่งวางเรียงรายกับก้อนอิฐก้อนกรวด หลายวันได้ผ่านไป พร้อมทั้งคณะได้บันทึกผลการสำรวจไว้อย่างถี่ถ้วน รวมทั้งการสะสมสิ่งอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่จะหาได้จากพิภพนี้
ความสว่างที่ไม่มีการมืด ตลอดเวลาหลายวันที่นับจากนาฬิกานั้น ทำให้งานก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้งจนถึงวันหนึ่ง ดร. นฤโฆษได้เสนอว่า ควรจะไปสำรวจดินแดนในเขตมืดบ้าง บางที่จะมีสิ่งเร้นลับยิ่งกว่านี้อีก
ทุกคนเห็นพ้องกัน แล้วเตรียมเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่จะไปสำรวจอาณาจักรอันมืดตลอดกาลนั้น
ดร. อมต เดินนำหน้าไปอย่างเชื่องช้า เพราะอาณาเขตระหว่างครึ่งมืดครึ่งสว่างจนแลดูสลัว ๆ คล้ายจะพลบค่ำนั้น ระเกะระกะไปด้วยก้อนหินซึ่งเป็นเถ้าถ่านลาวามีลอยแหลมคม ทั้งพื้นดินบางตอนก็หยุ่นลงไปได้คล้ายมีเถ้าที่ทับถมกันอย่างหนา ๆ และยิ่งเดินลึกเข้าไปยิ่งมืดลงทุกขณะ จนแลเห็นดวงดาวระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า ความสว่างเริ่มหายไปเหลือแต่ความสลัวซึ่งพอมองเห็นดินแดนนั้นในระยะไม่ไกลนัก แต่ตอนนี้เองทุกคนก็เริ่มประหลาดใจ ที่ได้พบเห็นสิ่งที่มีลักษณะเหมือนต้นพืชคล้ายต้นใบยาอยู่ทั่วไป แต่ไม่มีสีเขียว เป็นสีดำจาง ๆ ลำต้นแข็งดุจไม้แก่น และเริ่มพบสัตว์ประหลาดเล็กๆ ที่มีแสงเรืองดุจหิ่งห้อย ไต่อยู่ตามพื้นดินและก้อนหิน เป็นสัตว์รูปร่างคล้ายตะขาบ แต่ไม่มีขา สามารถเคลื่อนไปได้คล้ายหนอน เมื่อถูกแสงสว่างจากไฟฉายเข้า สัตว์ประหลาดเหล่านี้จะดิ้นรนกระเสือกกระสนหนีไปให้พ้นแสง เมื่อไม่สามารถพ้นไปได้ ไม่ช้าก็นอนนิ่งเงียบ ตายทันที
ดร. อุปดล หยิบสัตว์ประหลาดขึ้นดู แล้วกล่าวว่า “วิทยาศาสตร์ต้องล้มเหลวไปอีกแล้ว ในทฤษฎีการเกิดของสัตว์ สัตว์นี้เกิดได้อย่างไร มีอยู่อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ซึ่งไร้บรรยากาศ ไร้น้ำ ไร้แม้แสงสว่าง”
ในฉับพลันนั้นเอง ดร. อมต ก็ได้สังเกตสิ่งหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างฉับไว ขณะที่ต้องแสงไฟฉายที่เขาฉายกราดไป เป็นต้นไม้อีกชนิดหนึ่ง แผ่อยู่เหนือพื้นดินที่เต็มไปด้วยเถ้าลาวานั้น ใบที่แผ่ออกเป็นแฉกดุจปลาดาวได้หุบตั้งตรงทันที แม้ ดร. อมต จะใช้ไม้เขี่ยสักเท่าใด ก็ไม่ยอมคลายตัวออก
“เรากำลังอยู่ในเขตอันตราย ขอทุกคนระวังตัว ความอัศจรรย์ของบรรดาชีวิตที่อยู่ในเขตมืดของดวงจันทร์นี้ ไม่อาจทำให้เราเข้าใจเหตุผลอะไรได้เลย เราไม่เชื่อว่าจะมีสิ่งเร้นลับอยู่ได้ในลักษณะเช่นนี้ แต่เราก็ได้พบเห็นด้านนี้ของดวงจันทร์เต็มไปด้วยอันตราย!”
ทุกคนระวังตัวยิ่งขึ้น แต่กระนั้นก็ไม่หยุดยั้งที่จะเดินไปข้างหน้าเพื่อเข้าเขตมืดมิดจริง ๆ ของดวงจันทร์ แต่ว่าเขายิ่งเดินไปยิ่งพบสิ่งอัศจรรย์ยิ่งขึ้น ในเขตนี้มีต้นไม้รูปร่างแปลก ๆ ขึ้นเป็นหย่อม ๆ และแลดูมีแสงเรืองดุจทาด้วยฟอสฟอรัส และเริ่มมีแมลงประหลาด ๆ หลายชนิดขึ้น
“เป็นป่าของสิ่งที่มีแสงเรือง”
“ดินแดนแถบนี้คงมีฟอสฟอรัสมากมาย จึงทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้ และน่าแปลกที่พอถูกแสงไฟฉายเข้าทั้งแมลงและพืชประหลาดเหล่านี้จะตาย หรือไม่ก็หลบตัวทันที คล้ายแสงสว่างเป็นอาวุธที่ทำลายมันได้”
ในทันใดนั้น ทุกคนรู้สึกว่าแผ่นดินได้สะเทือนอย่างประหลาด ทุกคนมองหน้ากัน ดร. อมต ให้สัญญาณหลบเข้าไปแอบยังก้อนหินก้อนหนึ่ง แผ่นดินสั่นยิ่งขึ้น ซึ่งแสดงว่าคงมีสัตว์อะไรสักตัวผ่านมา เพราะดุจลากของหนัก ๆ ไปตามพื้นดิน ไม่ช้าเขาก็แลเห็นสิ่งซึ่งดำมืดขนาดมหึมาเคลื่อนอยู่ข้างหน้า ลำตัวสัตว์ประหลาดมีแสงเรื่อ ยาวขนาด ๔๐ ฟุต รูปร่างดุจจระเข้ แต่ส่วนหน้าไม่ใช่จระเข้ แต่มีใบหน้าดุจช้าง มีเขี้ยวยื่นออกมานอกปาก มีเท้าหน้า ๒ เท้า เท้าหลังไม่มี บนสันหลังมีแผ่นดำใหญ่ เรียงเป็นแถวแต่ศีรษะไปจนปลายหางเหมือนตัวสติโกซอรัซสมัยดึกดำบรรพ์ เคลื่อนผ่านไปช้า ๆ คณะสำรวจต้องอัดใจแน่นด้วยความหวาดกลัว รอจนกระทั่งสัตว์ดึกดำบรรพ์แห่งโลกมืดนั้นผ่านไป
“ไม่น่าจะมีสัตว์ประหลาดเช่นนี้” ดร. อุปดล กล่าวค่อย ๆ
“เรายังหาเหตุผลของความเร้นลับต่าง ๆ กับสิ่งแวดล้อมของมันไม่ได้เลยในขณะนี้ แต่ว่าเราจะต้องพบ เสียดายที่เราไม่ได้เอากล้องถ่ายภาพมา มิฉะนั้นคงได้ภาพแปลกอีกมาก”
“คราวหลังเราค่อยมากันใหม่ดีกว่า เตรียมตัวให้พร้อม กับสิ่งที่เราพอจะมองเห็นทางสำรวจได้แล้ว” ดร. นฤโฆษพูด
“ดีเหมือนกัน” ดร. อมต รับคำ แล้วพากันเดินกลับ แต่ว่ายิ่งเดินยิ่งรู้สึกว่าแปลกตาขึ้น จนบุคคลทั้งสามต้องหยุด เพราะทางที่มานั้นไม่ใช่ทางที่เขามาเมื่อครู่นี้ ดร. อมต มองดูท้องฟ้า แลเห็นด้านที่มีความสว่างสลัวอยู่ทางอีกด้านหนึ่ง
“เอ๊ะ ทำไมด้านสลัวอยู่ทางโน้นเล่า ทางเรามาอยู่ทางนี้นี่นะ ทำไมไปอยู่ทางโน้นเล่า”
“เราจะหลงทางหรือไง”
“คงไม่หลง นั่นไง รอยเท้าเรายังมีบนฝุ่นนั้น” ดร. อุปดลกล่าวเมื่อฉายไฟพบ ทุกคนจึงตามรอยเท้าซึ่งย่ำอยู่บนฝุ่นนั้นต่อไป แต่ว่าไปไม่กี่ก้าวรอยเท้านั้นก็หายไป
“หายไปไหนเล่า ใครมาลบรอยเท้าเรานี่” ดร. อมตร้องอย่างตกใจ อุปดลและนฤโฆษมองดูหน้ากันอย่างสงสัย ทันใดเหมือนมีสิ่งหนึ่งซึ่งสร้างความเคร่งเครียดแก่ประสาทเขาอย่างยิ่ง เป็นสิ่งซึ่งประหนึ่งชอบใจ การตื่นตระหนกของชาวโลกทั้งสาม
“สิ่งประหลาด” ดร. อุปดลพึมพัม “สิ่งประหลาดหรือสิ่งอะไร ผมรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังถูกล้อมด้วยสิ่งประหลาดนั้น”
ดร. นฤโฆษ จับมือ ดร. อมต แล้วว่า “เสียงหัวเราะ เราได้ยินเสียงเยาะเย้ยได้อย่างไร”
“ข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้น เสียงหัวเราะ แน่ละ จะต้องไม่ใช่เสียงจากก้อนหิน หรือต้นไม้ จะต้องเป็นเสียงของมนุษย์ เพราะมนุษย์เท่านั้นที่สามารถหัวเราะได้ ที่สามารถลบรอยเท้าของเราได้ แต่เราได้ยินเสียงได้อย่างไร เมื่อโลกนี้ไร้บรรยากาศ เรากำลังหลงทาง ถูกทำให้หลง ชักอาวุธและระวังตัว แต่อย่าพึ่งฆ่าสิ่งมีชีวิตใดในดินแดนนี้ จนกว่าแน่ใจว่าสิ่งนั้นปรารถนาชีวิตเรา”
ดร. อมต ฉายไฟวาบไปรอบ ๆ ด้าน ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้พบร่างดำที่มีลักษณะดุจรากไม้หลายร่างวิ่งหยอย ๆ หลบแสงไฟเข้าแอบตามต้นไม้ ร่างประหลาดอันหนึ่งไม่สามารถเข้าหลบที่ใดได้ และถูกไฟฉายจับไว้
“นั่นอยู่นั่น เร็ว ตามเอาตัวให้ได้” ดร. อมตร้องดัง ๆ แล้ววิ่งตามไปยังร่างนั้น ทันทีที่เข้าไปถึงร่างประหลาดก็ล้มลง ดร. ทั้งสามฉายไฟมองดูร่างดำนั้นอย่างอัศจรรย์ใจ เพราะเป็นร่างซึ่งชอบกล มีศีรษะกลมเล็กทว่ายาวดุจหัวตะพด มีลำตัวเล็กคล้ายกระบอกไม้ไผ่ สั้นขนาดราวสัก ๑ ฟุตติดต่อกับหัว ส่วนตามตัวนั้นปรากฏว่ามีแขนขาราว ๑๐ อัน ซึ่งเป็นเสมือนรากไม้ออกจากลำตัวทุก ๆ ส่วน ใบหน้าเล็ก มีปากเล็ก ๆ มีจมูกยื่นออกเหมือนงวง
ดร. อมต หยิบร่างนั้นขึ้นชู “ตายเสียแล้ว ตายเพราะถูกแสงสว่าง นี่แหละมนุษย์แห่งโลกพระจันทร์ ชาวจันทรา-ผู้ที่หัวเราะเยาะเรา แกล้งเราให้หลงทาง”
ตอนนี้เองเกิดเสียงประหลาดขึ้นทั่วไป ราวกับเสียงของผึ้งซึ่งกระหึ่มไปทั่วบริเวณ ทั้ง ๓ คนรู้ดีว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของอะไร และบัดนี้เริ่มแน่ใจว่า เขากำลังถูกจ้องดูจากมนุษย์ผู้มีลักษณะอัศจรรย์ ซึ่งแฝงตัวอยู่ในเงามืด หลังต้นไม้ ก้อนหินทุกหนทุกแห่ง
“เราอยู่ระหว่างอันตราย รีบหาทางกลับกันเถอะ”
ทั้งสองคนเห็นด้วย ดร. อมตจึงถอดกระจกไฟฉายออกแสงไฟจากหลอดสว่างจ้าไปรอบ ๆ บริเวณนั้น จากแสงที่สว่างนั้นเอง ได้ทำให้เกิดเสียงเสมือนผีเท้าวิ่งพล่านกระจายออกไป พร้อมทั้งเสียงเล็กๆ แซดแซ่ไปหมด ยิ่งกว่านั้นชาวโลกทั้งสามกลับตกใจยิ่งขึ้น ที่เห็นต้นไม้ทุกต้น ซึ่งอยู่ในเขตแสงสว่างนั้นแสงเรือง ๆ หายไป สิ่งที่มีลักษณะเหมือนใบหุบปุบปับไปตลอดทางที่แสงสว่างผ่านไปถึง
เหตุประหลาดเหล่านี้ทำให้ชาวโลกทั้งสามต้องตลึงงันอยู่พักใหญ่ พอได้สติ ดร. อมต จึงกล่าวว่า
“เราคงจะปลอดภัย ตราบใดที่ยังมีแสงสว่างอยู่กับตัวเช่นนี้ เพราะแสงสว่างอาจเป็นศัตรูหรือสิ่งที่เป็นพิษแก่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในเขตมืดด้านหลังของดวงจันทร์นี้”
มนุษย์ชาวโลกทั้งสามได้เดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่มีแสงเรือง ๆ นั้น แต่อย่างไรก็ตาม ยิ่งเดินดูจะยิ่งห่างออกไป จนกระทั่งหลายชั่วโมงผ่านไป ทั้งสามก็ยังไม่อาจหาทางออกจากบริเวณที่มืดมิดของด้านมืดของดวงจันทร์ได้ ทุกคนเริ่มอ่อนเพลีย แสงไฟฉายเริ่มลดน้อยลงทุกขณะจนหมดไปในที่สุด ดร. อุปดล ก็ล้มฟุบลงกับพื้นเถ้าลาวานั้น ไม่อาจที่จะเดินต่อไปได้ ดร. อมต กับ ดร. นฤโฆษ เต็มไปด้วยความพรั่นพรึงอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งสองได้ประคองแขน ดร. อุปดลย่ำไปบนเถ้าและลาวานั้น จนถึงโคนไม้ซึ่งมีสีเรืองประหลาดต้นหนึ่ง มีลักษณะเหมือนกับปลาหมึกยักษ์ ลำต้นมีสีเรืองเตี้ยอ้วนดุจต้นมะพร้าวเล็ก ๆ สูงจากดินราว ๑ ฟุต และมีกิ่งก้านสาขาซึ่งมีสีเรืองเหมือนกันกระจายออกไปตามพื้นดินดุจหนวดปลาหมึก
“จะทำอย่างไรดี” ดร. นฤโฆษปรารภขึ้น
“ต้องพยายามหาทางกลับจนได้ เราคงอยู่ไม่ห่างไกลจากเขตสว่างนัก แต่ที่เราหาทางไม่พบขณะนี้ก็เพราะประสบเหตุการณ์บางอย่าง คุณเห็นในเบื้องหน้าเรานั้นมีแสงสีขาวขึ้นเหมือนแสงเงินแสงทองในโลกเรานั่นแหละ เขตสว่างมันไม่ไกลนัก พักสักครู่ค่อยออกเดินทางต่อไปใหม่”
“การพักอยู่มืด ๆ เช่นนี้ไม่ปลอดภัยเลย” ดร. นฤโฆษกล่าวเบา ๆ อย่างพรั่นพรึง
“แต่เราต้องระวังตัว ไม้ขีดย่อมไม่มีประโยชน์ สำหรับดินแดนที่ไร้อากาศเช่นนี้”
“สัตว์โลกนี้เกลียดและกลัวแสงสว่าง”
“แต่แสงสว่างของเราหมดแล้ว”
ดร. นฤโฆษ ไม่ตอบว่ากระไร เขาเอนตัวลงเอาศีรษะหนุนกิ่งไม้ที่เหยียดยาวออกมานั้นอย่างอ่อนเพลีย ดร. อมต นั่งอยู่เงียบในเงามืดซึ่งเห็นเพียงแสงเรืองจากต้นไม้เท่านั้น
เวลาได้ผ่านไป ทุกสิ่งเงียบสงัด ดร. อมต ใช้สายตาจนเกิดความชินกับความมืด คอยสังเกตดูการเคลื่อนของสิ่งประหลาดต่างๆ เขาได้เห็นร่างดำ ๆ ของชาวจันทราวิ่งวุ่นมากมาย และใกล้เข้ามา บางคนที่กล้าหน่อยเข้ามาถึงปลายกิ่งไม้ซึ่งส่งแสงเรือง ๆ นั้น ทำให้เขาเห็นร่างนั้นถนัดถนี่ ทันใดเขาก็ได้ยินเสียงร้องของ ดร. นฤโฆษ
“เร็ว ! มันเข้ามาถึงขาผมแล้ว อมต ยิงมัน ยิง”
ดร. อมต ผุดลุกขึ้นทันที มองเห็นร่างมนุษย์ประหลาดกำลังดึงขา ดร. นโฆษอยู่ มันดึงกันหลายต่อหลายตน แต่ร่างของนฤโฆษไม่เคลื่อนไหว ยิ่งกว่านั้นการดิ้นของมนุษย์ประหลาดล้มลงคลุกคลานไปตามๆ กัน ดร.อมต โผเข้าไปจะช่วย ทันใด ดร. นฤโฆษก็ชักปืนออกจากกระเป๋า เขาร้องห้ามอย่างตกใจ
“อย่า-อย่าใช้ปืน”
แต่ช้าไปเสียแล้ว แสงสว่างได้แวบขึ้นจากปากกระบอกปืน
จากแสงซึ่งแวบขึ้นนั้นเอง ดร. อมต ก็ได้แลเห็นชาวโลกจันทรานั้นวิ่งล้มระเนระนาด และฉับพลันนั้นเองต้นไม้อันมีสภาพดุจปลาหมึกยักษ์นั้นก็สั่น กิ่งของมันที่กระจายออกไปดุจหนวดนั้น รวบรัดเข้ามาอย่างรวดเร็วรัดร่างของชาวโลกมนุษย์ทั้งสามไว้ ทุกคนร้องให้ช่วย แต่ทุกคนก็ไม่สามารถจะดิ้นหลุดออกจากกิ่งไม้ยักษ์นั้นได้ ดร. อมต หยิบมีดออกจากตัว พยายามตัดเถาที่รัดตัวนั้น แต่ไร้ประโยชน์ ร่างของชาวโลกทั้งสามถูกรัดเข้าไปรวมกันอยู่ตรงกลางต้น จนไม่สามารถจะดิ้นออกได้ ยิ่งดิ้นยิ่งถูกรัดแน่นเข้า ในที่สุดสายหนึ่งก็พาดเข้าที่คอ ดร. อมต เริ่มรัดแน่นขึ้น ดร. อมต ดิ้นรนจนสุดกำลัง แต่คอถูกรัดแน่นเข้าจนหายใจไม่ออก ก่อนเขาจะหมดความรู้สึก ได้ตะโกนเรียก ดร. ทั้งสองอยู่หลายคำ แต่ไม่ได้รับคำตอบ เขาดิ้นในครั้งสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็หมดสติไป
เสียงไมโครโฟนใน ‘เวหาสยาน’ เรียกมาจากโลกมนุษย์
“นี่-หอบังคับการที่ ๔ ประเทศไทย นี่-หอบังคับการที่ ๔ ประเทศไทย ขอติดต่อกับ ดร. อมต-ขอติดต่อกับ ดร. อมต ได้ยินแล้วตอบด้วย-ได้ยินแล้วตอบด้วย” เสียงนั้นคงดังอยู่ต่อไป แต่ใครเล่าจะสามารถมาพูดต่อได้ เพราะทุก ๆ คนกำลังอยู่อีกซีกหนึ่งของดวงจันทร์ ๏