พระตำหรับนุ่งผ้าขี่ช้าง

กลหนึ่งที่จะนุ่งผ้าขี่ช้างมีอยู่ ๓ พวก กรมช้างเสนาบดี ผ้าต้น พวกหนึ่ง ถ้าจะนุ่งผ้าอย่างกรมช้างขี่ผัดพานล่อแพนนั้นมีอยู่ ๔ อย่าง ๆ หนึ่งชื่อว่าเกไล อย่างหนึ่งชื่อว่าบัวตูม อย่างหนึ่งชื่อว่าบัวบาน อย่างหนึ่งชื่อว่าบัวจีบ

ถ้าช้างชื่นตา ให้นุ่งเกไล ถ้าจะนุ่งเกไลนั้น ให้นุ่งผ้า ๖ คืบ ๖ แขน ๒ ผืนเพลาะพับเอาลายเข้าแล้วจึงหยิบริมนุ่งชายซ้ายสั้น ชายขวายาว ชายยาวนั้นจีบหน้าทั้งสองผืน สอดขึ้นไปเป็นชายพกจนสิ้นยาว ชายสั้นนั้น จึงโจงกระเบนแต่ชายเดียวให้ทับหน้าสนิทแล้ว จึงแหวกชายที่พับไว้นั้น โจงข้างหนึ่งเป็นหางหงส์ ข้างหนึ่งตามแต่จะเกี่ยวผ้าเถิด

ถ้าช้างน้ำมันคอปลาหมอนั้น ให้นุ่งบัวตูม ถ้าจะนุ่งบัวตูม ให้นุ่งผ้าสมปักคลี่ริม นุ่งจับชายเสมอกัน แล้วจึงจีบริมทั้งสองชาย แต่ชายหน้าเข้ามาตลอดพก แล้วจึงสอดขึ้นเป็นพกห้อยลงมาเสมอเข่าทั้งสองข้าง ให้จับกลางผ้านุ่งรวยเข้าอีกทีหนึ่ง แล้วจึงโจงกระเบนทั้งสองริม แล้วจึงเหน็บหน้าชั้นบนเสมอพก เหน็บหลังชั้นบนผ้าเกี่ยวนั้น ตามแต่จะเกี่ยวผ้าเถิด

ถ้าช้างน้ำมันคอกระบอก ให้นุ่งบัวจีบ ถ้าจะนุ่งบัวจีบ ให้นุ่งผ้าสี่คืบ ยาว ๔ แขน ผืนหนึ่ง ไว้ชายซ้ายสั้น ชายขวายาว ซ้ายสั้นโจงกระเบน ชายยาวสอดขึ้นมาเป็นพก แล้วจึงให้นุ่งผ้าสมปัก คลี่ริมจับชายเสมอกัน ให้จัดกลีบหลังเหน็บขึ้นมา ๓ ขนบให้จีบริมแต่หน้าเข้ามาจนพก เป็นกลีบเพล่เหลี่ยมกัน เหน็บทั้งสองข้างแล้ว จึงโจงกระเบนริมทั้งสองชาย แล้วจึงโจงกระเบนชายใหญ่รวบกัน จึงเอาชายพกนั้นจีบขวางพาดตักไว้ เกี่ยวผ้าตามแต่จะเกี่ยวเถิด

ถ้าช้างน้ำมันคอน้ำเต้า ให้นุ่งบัวบาน ให้นุ่งผ้าสมปัก ชายซ้ายสั้น ชายขวายาว ชายขวาจับเป็นพกพาดบ่าไว้ โจงกระเบนริมขวาแล้วโจงกระเบนริมซ้าย แล้วจึงจัดกลีบเหน็บไขว้ทับพก แล้วจึงโจงกระเบนเกี่ยวผ้าตามจะเกี่ยวผ้าเถิด

ทีนี้จะว่าด้วยนุ่งผ้าอย่างเสนาบดี แต่งตัวตามเสด็จ เมื่องานมโหรสพแขกเมืองแลยืนนางเรียงค้ำปลายเชือกพะเนียด ยืนนางเรียงพระราชพิธีคเชนทรัศวสนานนั้นมีอยู่ ๗ อย่าง ชื่อบัวซ้อน ชื่อบัวคลี่ ชื่อบัวกระจาย ชื่อบัวกลม ชื่อบัวห่อ ชื่อบัวบิน ชื่อบัวฉลวงไพร

ถ้าจะนุ่งบัวซ้อน ให้นุ่งผ้า ๓ ผืน เพลาะพับลายออกไว้ผืนหนึ่ง ลายเข้า ๒ ผืน ให้เอาลายเข้าไว้ข้างนอก ให้เอาลายออกไว้ข้างใน แล้วจึงจีบหน้าผืนลายออกนั้น จีบทางยาว เหน็บหน้านิดหนึ่ง ทั้งสองชาย แล้วจึงหยิบตะเข็บหลังเพลาะล่างเหน็บหลังทีหนึ่ง จึงจับริมล่างตลบให้ลายออก นุ่งทับบนเสมอเดิม ผ่อนชายให้เท่ากัน แล้วจึงจีบหน้า ทางกว้างที่ผืนตลบขึ้นมานั้นสอดขึ้นมาเป็นพกเสมอชาย จึงโจงกระเบนให้แนบทั้งหน้าหลัง เกี่ยวผ้านั้นตามแต่จะเกี่ยวเถิด

ถ้าจะนุ่งผ้าบัวคลี่ ให้นุ่งผ้า ๓ ผืน เพลาะพับผืนหนึ่งเอาลายออก ลายเข้า ๒ ผืน ให้นุ่งเข้าไว้ข้างในลายออกไว้ข้างนอก จึงจับชายให้เสมอกันทั้งสองหน้า แล้วหยิยพกชายซ้ายเหมือนสมปักสอดขึ้นมาไว้ แล้วจึงจีบหน้าผืนลายออกนั้น สอดขึ้นบนพกชักผ่อนให้ยาว แล้วตลบริมล่างผืนลายเข้านั้นกลับขึ้นมาให้ลายออก สอดให้ผ้าผืนลายออกนั้น นุ่งเข้าให้ชายขวายาว ชายซ้ายสั้น แล้วจึงโจงกระเบนริมชายซ้าย แล้วจึงโจงกระเบนริมชายขวา แล้วจึงจีบหน้าให้ใหญ่เหน็บหน้าแล้วจึงโจงกระเบน แล้วตลบผ้าผืนลายออก เติมนั้นปกลงมา ให้จีบหน้าทางยาว ผืนบนนั้นเหน็บบนพกดั่งเกี่ยวเกไล นุ่งอย่างนี้ห้ามมิให้เกี่ยวผ้าแล

ถ้าจะนุ่งผ้าบัวกระจาย ให้นุ่งผ้า ๓ ผืน เพลาะพับกลางเอาลายออก นุ่งให้ชายเสมอกัน แล้วให้จีบริมข้างล่างผืนลายเข้านั้น สอดขึ้นมาเป็นพก ให้หยิบตะเข็บหลังตรงกลางเหน็บนิดหนึ่ง ให้ตลบริมผืนนอกนุ่งตลบขึ้นมาโจงกระเบนสองริม แล้วจึงให้จีบหน้าผ้าผืนใน ให้ใหญ่แล้ว เหน็บหน้าโจงกระเบน แล้วจึงคลี่ชายพกที่สอดนั้นออกไว้ นุ่งผ้าตามแต่จะเกี่ยวผ้าเถิด

ถ้าจะนุ่งผ้าบัวกลมนั้น ให้นุ่งผ้า ๓ ผืน เพลาะคลี่ริมลายออกยาวสั้นให้เท่ากัน แล้วพับหน้าให้เสมอกันทั้งสองชาย จึงหยิบเอากลางผืน ผืนกลางทางยาวที่พับไว้นั้น สอดขึ้นมาเป็นพกให้ยาวสุดมือท่วมศีรษะพาดบ่าไว้ แล้วให้จับตะเข็บผืนล่างที่ลอยเพลาะนั้นตลบนุ่งขึ้นมาอีกเป็น ๓ ชั้น ให้ชายเสมอกัน แล้วจึงจับริมผืนนอกโจงกระเบนทั้งสองข้าง ยังเหลืออยู่ ๔ ชาย ๒ ชาย นอกนั้น ให้โจงกระเบนเสีย ๒ ชายในนั้นให้ไขว้กันไว้ที่ท้องน้อยเป็นชายแครง แล้วจึงตลบพกทั้งสองพกนั้น ตลบโจงกระเบนทับชายไขว้อีกหนหนึ่ง แล้วจึงคลี่หน้าผ้าออกไว้ สัณฐานเหมือนหูปลา ผ้าเกี่ยวนั้นตามแต่จะเกี่ยวเถิด

ถ้าจะนุ่งบัวห่อ ให้นุ่งผ้า ๒ ผืน เพลาะชายหน้าเสมอกัน แล้วให้จีบทางกว้าง แต่หน้าจนกระทั่งพกสอดขึ้นไปเป็นพกทั้งสองชาย ชักให้ยาวท่วมศีรษะสุดมือ แล้วจึงตลบตะเข็บกลางขึ้นมานุ่งทับพกเข้าอีกทีหนึ่ง แล้งจึงโจงกระเบนริมทั้งสองข้าง แล้วให้จีบหน้า เหน็บหลัง แล้วเหน็บหน้าชั้นล่าง แล้วให้คลี่พกที่จีบไว้นั้น กลับจีบทางยาวขึ้นไปเหน็บข้างทับสองชาย ให้ห่อเข้าทั้งสองข้าง ผ้าเกี่ยวนั้นตามแต่จะเกี่ยวเถิด

ถ้าจะนุ่งบัวบิน ให้นุ่งผ้า ๒ ผืน เพลาะพับกลางเพลาะเอาลายเข้า ให้นุ่งเอาลายเข้าไว้ข้างนอก เอาลายออกไว้ข้างใน แล้วตลบริมผืนนอกนั้นนุ่งขึ้นมาให้ลายออกครึ่งผืน จึงจีบหน้าผืนนอกนั้นสอดขึ้นมาเป็นทั้งสองชาย แล้วจึงจับกลางผืน ผืนในข้างหลังตลบพกขี้นมาให้ลายเข้า เหน็บหลังนิดหนึ่ง แล้วจึงคลี่ริมผืนใน ลอดไปโจงกระเบนทั้งสองข้าง แล้วให้จีบหน้าใหญ่ ๆ โจงกระเบนข้างหลังแล้วเหน็บหน้า แล้วให้คลี่ชายพกจีบหน้าไปเหน็บโจงกระเบนทั้งสองข้าง เหมือนปีกครุฑ ผ้าเกี่ยวนั้นตามแต่จะเกี่ยวเถิด

ถ้าจะนุ่งผ้าตามเสด็จพระราชดำเนินไปโพนประพาสนั้น ให้นุ่งผ้าฉลองไพร คาครัดตะคด ใส่เสื้ออย่างน้อย โพกศีรษะ ถ้าจะนุ่งฉลองไพรนั้น ให้นุ่งผ้าไหม ๒ ผืน ผืนหนึ่งนั้นนุ่งใน ผูกแล้วให้จีบหน้าทางยาวเหน็บไว้ริมพกทั้งสองข้าง แล้วจึงให้นุ่งผ้านอกชาย ให้เสมอกันอีกผืนหนึ่ง ผูกพกให้หยิบกลางผืนเหน็บหลังทีหนึ่ง แล้วชักชายพกจีบผืนในที่เหน็บไว้นั้นขึ้นมาทั้งสองชายยาวศอกหนึ่งห้อยลงมาดังเจียรบาด แล้วจึงจีบหน้าทางกว้าง เหน็บหน้าโจงกระเบนทับผืนในเข้าไปดั่งจีบโจม ให้ผืนในทับสนับเพลาเสมอเข่า ให้ผืนนอกทับผืนในให้พ้นเข่า ๘ นิ้วเถิด

ถ้าจะโพกผ้านัน ให้เอาผ้าดำกว้างตั้งแต่ศอกคืบลงมาจดศอกหนึ่งก็ได้ ยาว ๒ ศอกคืบ ให้เอาดีบุกกลมหนักบาทหนึ่ง ผูกมุมไว้ จึงให้เอาผ้านั้นคลุมศีรษะทางกว้าง ให้ดีบุกนั้นอยู่ทัดดอกไม้ข้างขวา แล้วจึงเอาหางผ้าที่เหลือนั้นพันศีรษะเข้าแล้ว ให้ตลบผ้าที่คลุมศีรษะนั้นตลบลงไป สัณฐานเหมือนหนึ่งหมวกเถิด

ทีนี้จะว่าด้วยกลจะเกี่ยวผ้านั้นมีอยู่ ๔ อย่าง ๆ หนึ่งนั้นชื่อว่า ยัญพัด อย่างหนึ่งชื่อว่า กระวัดจำ อย่างหนึ่งชื่อว่าพันทนำ อย่างหนึ่งชื่อว่าเกไล

อันว่าเกี่ยวผ้ายัญพัดนั้น ท่านให้เกี่ยวผ้าไหม มิให้เกี่ยวผ้าลาย สำหรับขี่ช้างน้ำมันหนัก มีกิริยาลงน้ำมัน ให้เอาหน้าทางยาวผูกเอวเข้าไว้ สัณฐานดั่งผูกเต่า แล้วให้รวบทบโอบตัวไปข้างซ้ายทบมาถึงข้างหน้า จึ่งให้ชายที่เหลืออยู่นั้นลอดขัดขึ้นไป แล้วกระหวัดบนทบลงมาลอดให้ขัดลำไว้พออยู่ ชายที่เหลืออยู่นั้นให้ห้อยลงมาตรงพกดั่งห้อยหน้านั้นเถิด

ถ้าจะเกี่ยวชื่อว่า กระหวัดจำนั้น ให้เกี่ยวผ้าลายพับดังหนึ่งเจียรบาด โอบตัวเข้าให้หน้าเสมอกัน แล้วจึงทบหน้านั้นขัดขึ้นดังหนึ่งรังตั๊กแตน ให้ได้ ๒ ขัด ชายนั้นให้ห้อยลงไปดั่งเจียรบาด ถ้าอย่างนี้ขี่ช้างให้พาดเข่าไว้ เมื่อจะเดิน ให้ตลบทับเหน็บหน้าขึ้นมาทั้งสองข้างเถิด

ถ้าจะเกี่ยวผ้าพันทนำ ให้เกี่ยวผ้าลายพับดังหนึ่งเจียรบาด ห้อยชายลงไว้ แล้วให้พันตัวให้ได้ ๒ รอบ จึงให้ขัดชายพันไว้ดังหนึ่งเข้าตะกรุดเบ็ด แล้วให้ชายซ้อนกันลงทั้งสองชาย จึงทบกลับขึ้นมาเหน็บไว้ตรงหน้าเถิด

ถ้าจะเกี่ยวผ้าเกไลนั้น ให้เกี่ยวผ้าลายคลี่ออก มิให้พับผ่อนให้ชายซ้ายสั้น ชายขวายาว ให้เอาริมนั้นนุ่งเข้า ผูกพกให้แน่น จึงให้จีบหน้า ทางยาวทั้งสองข้าง ผูกไขว่ขัดกัน ให้เป็นเงื่อนกระทกชายยาว แล้วจึงให้จีบหน้าชายยาวนั้นเหน็บทับพกลงไว้เถิด

กลหนึ่งเล่า ถ้าจะเกี่ยวผ้าและนุ่งผ้าให้งามพอสมกันนั้น ถ้านุ่งเกไล ให้เกี่ยวกระหวัดกัน เอาเงื่อนไว้ใต้พกเกไล ๑ ถ้าจะนุ่งบัวตูม ให้เกี่ยวเกไล ๑ ถ้าจะนุ่งบัวบาน ให้เกี่ยวกระหวัดจำ เอาเงื่อนไว้ใต้พกบัวบาน ๑ ถ้าจะนุ่งบัวจีบ ให้เกี่ยวพันทนำ ๑ ถ้าจะนุ่งบัวซ้อน ให้เกี่ยวพันทนำ ๑ ถ้าจะนุ่งบัวกระจายให้เดี๋ยวพันทนำ ๑ ถ้าจะนุ่งบัวกลม ให้เกี่ยวเกไล ๑ ถ้าจะนุ่งบัวห่อ ให้เกี่ยวพันทนำ ๑ ถ้าจะนุ่งบัวบิน ให้เกี่ยวพันทนำ ๑ ผ้านุ่งกับผ้าเกี่ยวถูกกัน ดูงามใช้ได้ มีอยู่ ๙ อย่างเท่านี้

ถ้าจะนุ่งบัวคลี่ ห้ามมิให้เกี่ยวผ้า ให้คาคแต่รัตตะคด ถ้าจะนุ่งฉลองไพร ห้ามมิให้เกี่ยวผ้า ให้คาคแต่รัดตะคดเถิด

ทีนี้จะว่าด้วยกลที่จะนุ่งผ้าอีก ๒ อย่างใหม่เล่า สำหรับที่จะกระทำพระราชพิธีพระคชกรรมทั้งปวง อย่างหนึ่งเรียกว่านุ่งหมอ อย่างหนึ่งเรียกว่านุ่งดองกระพัดหมอนั้น ให้นุ่งผ้าขาวกว้าง ๕ คืบ ยาว ๖ แขน ๒ ผืนเพลาะแล้ว ให้พับกลางเข้านุ่งให้สูงพ้นสะดือฝ่ามือหนึ่งแล้ว จึงตลบล่างกลับขึ้นมานุ่งพอเสมอสะดือีกชั้นหนึ่ง แล้วให้เอาชายผ้าผืนที่ตลบขึ้นมานั้นสอดขึ้นมาเป็นพกทั้งสองชาย ชายล่างนั้นเล่าให้โจงกระเบนเถิด ชายพกทั้งสองชายนั้น ให้ผูกไขว้กันเป็นที่รอดเถิด

ถ้าจะนุ่งผ้าดองกระพัดนั้น ให้นุ่งผ้าขาวกว้าง ๔ คืบ ยาว ๑๒ แขน ให้นุ่งผูกเข้าชายเสมอกัน แล้วให้จีบริมพกน้อย ๆ ๗ ตลบ เหน็บไขว้ทับพกขวา ทับ

ซ้าย เรียกว่าแทงขนาย แล้วจึงให้จีบหน้าผ้าทางยาวนั้น โจงกระเบนลอดขึ้นไปข้างใน อันชายกระเบนนั้นตกลงมาอยู่ข้างหน้าดังหนึ่งนุ่งโจงกระเบน ดูข้างหลังดังหนึ่งนุ่งจีบ แล้วจึงให้ห่มผ้า ผ้าห่มนั้นกว้างคงปักยาว ๑๒ ศอก ให้พาดบ่าขวาลงมา ให้ชายย้อนลงไปข้างหลังจนกระทั่งดิน ข้างชายยาวนั้นให้พันเอวไปโดยทักขิณาวัฏ แล้วให้ลอดขัดทบไปข้างซ้าย โดยลำผืนคาดก่อน แล้วลอดมาใต้ลำผืนพาดบ่า ทับผ้าเอวข้างขวาห้อยลงมาเป็นหางสองชายเสมอกัน แล้วสอดเป็นพิรอด เบี่ยงให้ชายห้อยทั้งสองข้าง จึงให้ชายกระเบนนั้นผูกเป็นพิรอด เบี่ยงทับลำผ้าห่มลงอีกชั้นหนึ่งเถิด ผ้านุ่งสองอย่างนี้ ห้ามมิให้คนทั้งปวงที่มิได้ทำงานหมอ นุ่งจังไรหนัก ให้นุ่งแต่คนที่ทำงานหมอ แล้วจึงจะควร

ทีนี้จะว่าด้วยอย่างพระภูยาวรรณวิไลพัตร์ อันสมเด็จพระมหากษัตราธิราชเจ้า ทรงมาแต่ก่อนนั้นมีอยู่ ๔ อย่าง ถ้าเจ้าพนักงาน คือ ขุนศรีไชยาทิตย์ ขุนสิทธิกรรม จะเรียนนั้น ให้มีขวัญข้าว คือ บายศรีใบตองแห้งชั้นเดียวหนึ่ง ปลาช่อนต้มตัวหนึ่ง กับน้ำพริกถ้วยหนึ่ง คำนับครูแล้วจึงบอกกัน

พระภูษาชื่อว่าบัวประกอบแก้วนั้น ให้ทรงผ้า ๕ คืบยาว ๕ แขน ๒ ผืนเพลาะ ให้เว้นเพลาะตั้งแต่หน้าเข้าไป ๑ ศอก ๑ คืบ ๒ นิ้ว ทั้งสองข้าง แล้วจึงให้ทรงผ้ากว้างคืบผืนหนึ่ง เอาลายออกข้างนอก ให้พับริมตลบลงมาให้ลายออกเสมอริม แล้วจึงเอาเข็มกลัดไว้แล้วจึงให้ตลบริมทั้งสองข้าง ให้หน้าขึ้นมาข้างพระองค์ทั้งสองข้าง แล้วจึงให้คาดเชือกสอดเข้าไว้ในใต้ริมระบายชั้นบน แล้วจึงให้ทรงผ้าผืนที่เพลาะคลี่ริมให้ชายเสมอกัน ผูกพกให้แน่น แล้วให้จีบหน้าเข้ามาเสมอแหวก ให้เหน็บหน้าทั้งสองชายเคียงเสมอกันอยู่ แล้วจึงโจงกระเบนลอดข้างในขึ้นไปชักหางกระเบนให้ตึง แล้วจึงตลบนุ่งอีกชั้นหนึ่ง ให้ผูกพระธำมรงค์ทั้งสองพก ๆ ละ ๒ องค์เป็น ๔ องค์ แล้วจึงให้จีบหน้าผ้าโจงกระเบนเป็นหางหงส์ แล้วให้ร้อยพระธำมรงค์ที่ชายกระเบนน้อยข้างละองค์ จึงผูกไขว่ลงไว้แล้วคาครัดตะคดทับทางกระเบนไว้ แล้วจึงคลี่ระบายทั้งสองชั้นปกลงมา ให้ชั้นมีช่อหน้านั้นให้เพล่กลีบชักไปข้างหลังดังหนึ่งผ้าทิพ แล้วจึงให้ถอดเข็มที่กลัดนั้นเสีย จึงคลี่ระบายชั้นบนนั้นปกลงมาอีกชั้นหนึ่งเถิด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ