ตำรานารายณ์ประทมสินธุ์ ว่าด้วยลักษณะช้าง

๏ จะกล่าวลักษณะช้างในสวรรค์มีอยู่ ๓ คือ เทพบุตรเป็นช้างแห่งสมเด็จอมรินทราธิราช ชื่อเอราวรรณ มีเศียร ๓๓ เศียร

๏ ช้างหนึ่งชื่อคิริเมขล์ไตรดายุค มีเศียร ๓ เศียร สมบูรณ์ด้วยลักษณะสีดังดอกคล้า

๏ ช้างหนึ่งคือเทพยุดาเจ้านฤมิตร ชื่อสมิตกุญชรมีเศียรๆ ๑ รูปพรรณดังพระยานฉัททันต์ สำหรับเป็นพาหนะแห่งพระอินทรเมื่อทรงไปสู้สงคราม

๏ ช้างหนึ่งเทพยุดา ๒๖ องค์ ชื่อมาตังคะกรีเทพ คือเทพยุดาเจ้าทั้งหลาย มาสถิตในกายแห่งช้าง รักษาไว้ซึ่งช้างทั้งปวงในโลกย์นี้

๏ ไตรดายุคอันหนึ่งพระนารายณ์สถิตยณกระเษียรสมุทร กระทำด้วยเทวฤทธิ์ ประดิษฐานให้ดอกบัวประทุมชาติผุดขึ้นในอุทร มีกลีบได้ ๘ กลีบ มีเกสรได้ ๑๗๓ เกสร จึงเสด็จไปสู่พระอิศวรถวายซึ่งดอกประทุมชาติ ณเขาไกรลาศ ในกาลเมื่อพระเป็นเจ้า ๓ ภพพร้อมกันที่นั้น พระอิศวรเป็นเจ้าจึงแบ่งดอกบัวประทุมชาตินั้นออกเป็น ๔ ส่วน ๆ ๑ แปดเกสรได้แก่พระอิศวรเป็นเจ้า ส่วนหนึ่งกลีบ๘ กลีบ เกสร ๒๔ เกสรได้แก่ท่าวมหาพรหม ส่วนหนึ่งเกสร ๘ เกสร ได้แก่พระนารายณ์ ส่วนหนึ่งเกสร ๑๓๕ เกสรได้แก่พระเพลิง จึงให้บังเกิดช้าง ๔ ตระกูลคือ อิศวรพงศ์ พรหมพงศ์ วิศณุพงศ์ อัคนิพงศ์ มีลักษณะดังนี้

๏ ช้างจำพวกหนึ่ง พระอิศวรเป็นเจ้าให้บังเกิดชาติกษัตริย์ ชื่อว่า อิศวรพงศ์ สมบูรณ์ด้วยลักษณะเนื้อดำสนิทผิวเนื้อละเอียดเกลี้ยง งาทั้ง ๒ ใหญ่ขึ้นเสมอกันเท้าใหญ่ น้ำเต้ากลม โขมดสูง งวงเรียวเป็นต้นปลายปากดุจพวยสังข์ คอกลม เมื่อเดินนั้นยกคอหลังเป็นคันธนู ท้ายเป็นสุกร ผนดท้องตามวงหลัง อกใหญ่หน้าสูงกว่าท้าย เท้าทั้ง ๒ อ่อน เท้าหน้าหลังเรียวรัดฝักบัวกลม หางเป็นข้อห่วง สนับงาเป็น ๒ ชั้น ขมับเสมอมิได้พร่อง หูใหญ่ช่อม่วงยาวข้างขวา มีใบหูอ่อนนุ่ม มีขนมากกว่าข้างซ้าย หน้าใหญ่ สรรพงามพร้อมต้องด้วยลักษณะ

๏ ช้างจำพวกหนึ่งพระพรหมให้บังเกิดเป็นชาติพราหมณ์ ชื่อว่าพรหมพงศ์ สมบูรณ์เนื้ออ่อนขนอ่อนละเอียดน้ำเต้าแฝด ขนงคิ้วสูงโขมดสูงมีกระขาวทั่วตัวดังดอกกรรณิกา ท้ายต่ำกว่าหน้า ขนหลัง ขนหูขนปาก ขนตา ยาว ขนขึ้นขุมละ ๒ เส้น อกใหญ่งาดุจสีจำปา งวงเรียวรัดเป็นต้นปลายสั้นงาม ต้องด้วยลักษณะ

๏ ช้างจำพวกหนึ่งพระนารายณ์ให้บังเกิดเป็นชาติแพสย์ ชื่อว่าพิศณุพงศ์ สมบูรณ์ผิวเนื้อหนาขนเกรียนอก ข้าง คอ เท้าทั้ง ๔ ใหญ่ หาง งวง หน้า ใหญ่ยาว มีกระหูแดงเสมอกัน ลูกจักษุขุ่น ขนใหญ่ หลังรายต้องด้วยลักษณะ

๏ ช้างจำพวกหนึ่ง พระเพลิงให้บังเกิดเป็นชาติศูรชื่อว่าอัคนิพงศ์ สมบูรณ์ผิวเนื้อกระด้างขนหยาบ ตะเกียบหูห่างหางเขิน หน้าเป็นกระแดงดังแววนกยูง งาแดงสันหลังแดงหน้างวงแดง ผิวเนื้อหม่นไม่ดำสนิท จักษุดังสีน้ำผึ้งต้องด้วยลักษณะ

๏ หนึ่งพระอิศวรเป็นเจ้า สาปนางมหาอุปกาสีให้ลงมาอยู่ในถ้ำ ชื่อว่าเทวีสินทรบรรพต นางจึงไปกินเถาคชลดาวัลย์ พระพรหมจึงให้บังเกิดลูกนางอุปกาสี เป็นช้างในหิมวันต์เป็นช้าง ๑๐ ชาติ

๏ ช้างหนึ่งชื่อฉัททันต์ สมบูรณ์สีขาวดังสีเงินงาขาวดังเงินยวง มีรัศมี ๖ ประการ งวงแดงหางแดงเล็บแดง สันหลังแดงประดุจดังบัลลังก์ศิลาอันแดง มิกำลังมากเดินในจักรวาฬได้ ๓ ล้าน ๖ แสน หมื่น ๓ ร้อย ๕๐ โยชน์ แต่เช้าไม่ถึงงาย

๏ ช้างหนึ่งชื่ออุโบสถ สมบูรณ์สีดังสีทองอุไร แล้วเดินรอบจักรวาฬ เดินแต่เช้าจนเที่ยง กำลังหย่อนกว่าฉัททันต์

๏ ช้างหนึ่งชื่อเหมหัสดี มีสีดังทอง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ามงคลหัสดี สีดังกฤษณา และถ่ายมูตร มูลตัวหอมดังกฤษณา

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าบังคัล สีดังอุไทยและเหลืองดังตาแมว

๏ ช้างหนึ่งชื่อตามพะหัสดี สีดังทองอันบุคคลหล่อน้ำใหม่ รูปพรรณสูงใหญ่ยิ่งกว่าช้างทั้งปวง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าบัณฑร สีดังเขาไกรลาศ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าคังไคย เกิดริมฝั่งแม่น้ำคงคา สีดังน้ำไหล

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ากาลวกหัสดี สีดำดังปีกกา

๏ ช้างหนึ่งเกิดแต่เหมหัสดี เล็บ จักษุ ดุจสีกาย

๏ จะกล่าวช้างอัฐทิศ อันพระพรหมสฤษดิ์รังสรรค์ให้มาเกิดเป็นช้าง ๘ จำพวกด้วยกลีบประทุมชาติ อันเกิดแต่อุทรประเทศพระนารายณ์

๏ กลีบหนึ่งทิ้งออกไปข้างทิศบูรพา เกิดเป็นช้างชื่อพระไอยราพต สมบูรณ์ด้วยลักษณะ ๑๕ ประการสีกายดุจสีเมฆเมื่อคลุ้มฝน เท้าทั้ง ๔ เท้ากลมดังกงฉัตร เล็บเสมอ หน้าสูงท้ายต่ำอย่างสิงห์ ตัวใหญ่กว่าช้างทั้งปวง ตาใหญ่ดังดาวประกายพฤกษ์ งายาวขึ้นขวางวงดังภุชงค์นาค หลังราบดังคันธนู ปลายหูปรบหน้าหลัง ถึงกัน โขมดทั้ง ๒ สูง เสียงดุจเสียงสังข์ หางบังคลองต้องด้วยลักษณะ ๑๕ ประการ

๏ กลีบหนึ่งทิ้งไปข้างทิศอาคเน บังเกิดเป็นช้างชื่อบุณฑริกมีลักขณะ ๔ ประการ สีกายดังดอกบัวขาวงาใหญ่สั้นสีดังสังข์ เล็บงามคือทอง ท้องมัวดังฝนคร่ำ กลิ่นหอมดังดอกสัตตบงกช พร้อมด้วยลักษณะ

๏ กลีบหนึ่งไปประดิษฐานอยู่ทิศทักษิณ บังเกิดเป็นช้างชื่อพราหมณโลหิต มีลักษณะ ๕ ประการ สีกายดังสีโลหิต งาใหญ่คอกลม เสียงดุจเสียงแตรแตร้น พร้อมด้วยลักษณะ

๏ กลีบหนึ่งทิ้งไปข้างทิศหรดี ให้บังเกิดเป็นช้างชื่อว่ากระมุท มีลักษณะ ๕ ประการ สีดังดอกกระมุท ตัวสูงโสตรยาวกลมหูอ่อน เสียงดุจเสียงแตรงอน งางอนขึ้นขวาดังพระจันทร์ เมื่อขึ้น ๓ ค่ำ พร้อมด้วยลักษณะ

๏ กลีบหนึ่งทิ้งไปข้างทิศประจิม ให้บังเกิดเป็นช้างชื่ออัญชัน มีลักษณะ ๕ ประการ สีดังอัญชันงาใหญ่ตรงคอใหญ่ เสียงดังลมพัดในปล้องไม้ไผ่ พร้อมด้วยลักษณะ ๕ ประการ

๏ กลีบหนึ่งทิ้งไปข้างทิศพายัพ บังเกิดเป็นช้างชื่อว่าบุษปทันต์ มีลักขณะ ๗ ประการ สีดังหมากสุก ผิวเนื้อละเอียด มีกระหน้าตัวใหญ่งาม งาน้อยขึ้นขวา เสียงดังเสียงเมฆพร้อมด้วยลักษณะ

๏ กลีบหนึ่งทิ้งไปข้างทิศอุดร บังเกิดเป็นช้างชื่อว่าเสาวโภม มีลักษณะ ๕ ประการ สีดังตองแก่ สูงสัณฐานดังใส่เสื้อ เท้าทั้ง ๔ ดังตองอ่อน ตัวกลมหน้าใหญ่งาน้อยยาว เสียงดังเสียงนกกะเรียนพร้อมด้วยลักษณะ

๏ กลีบหนึ่งทิ้งไปข้างทิศอิสาณ บังเกิดเป็นช้างสุประดิษฐ์ มีลักษณะ ๙ ประการ สีเนื้อดังสีเมฆเมื่อสนธยา ผนดท้องดังผนดท้องงู งาซื่อสีขาวบริสุทธิ์ดังผ้าขาวที่เนื้ออ่อนดังสีบัวแดง ขนปากยาว อัณฑะโอษอ่อน เต้ามันอ่อน ร้องเสียงดังเสียงฟ้า พร้อมด้วยลักษณะ ๙ ประการ

๏ จะกล่าวถึงอัฐคช ๘ ช้าง ซึ่งพระนารายณ์เป็นเจ้าให้บังเกิดเป็นช้างด้วยเกสร

๏ ช้างหนึ่งชื่อสังขทันต์ มีลักษณะ ๔ ประการ สีดังสีทอง งาน้อยงอนเสมอ เวลาเช้าเสียงดังเสียงเสือ เสียงดังเสียงไก่เมื่อเวลาสายัณห์ ยืนอยู่กลางทิศ มีลักษณะ ๔ ประการ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าตามพะหัสดิน สีกายดุจทองแดงอันหม่น

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าชมลบ หูปรบเบื้องหน้าพอจรดกัน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าลบชม หูปรบเบื้องหลังถึงกัน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าครบกระจอก มีเล็บเท้าละ ๕ เล็บ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าพลุกสดำ งางอนขึ้นขวา

๏ ช้างหนึ่งชื่อสังขทันต์ งาขาวดังสีสังข์ สีกายดำบริสุทธิ์ไม่มีขาวระคน

๏ ช้างหนึ่งชื่อโคบุตร มีพรรณผิวเหลืองดังหนังโค เป็นบุตรนางโค เสียงดุจเสียงโค ขนหางขึ้นรอบดุจหางโค งางอนน้อย คุ้มโทษอันตรายทั้งปวงได้

๏ จะกล่าวอัฐคชาธาร อันพระอิศวรเป็นเจ้าให้บังเกิดด้วยเกสรประทุมชาติทั้ง ๘ ช้าง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าอ้อมจักรวาฬ งาซ้ายเสมอหน้างวง งาขวากอดงวงทับบนงาซ้ายนิดหนึ่ง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าคชกรรณหัสดี งาขาวโอบงวงบน งาซ้ายอ้อมขึ้นไพรปาก งาซ้ายโอบงวงไปใต้งาขวา ปลายงาขึ้นไพรปากเสมอกัน ชนช้างดีมีอานุภาพมาก

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเอกทันต์ งางอกแต่เพดาน งางอนขึ้นขวายกงวงไปขวางาอยู่ซ้าย ยกงวงไปซ้ายงาอยู่ขวา มีกำลังมาก พันช้างจึงจะสู้เอกทันต์ตัวเดียวได้ แทงเงาตาย เป็นพาหนะแห่งพระอินทร์ เทพคชนาคไปรักขาไว้ป่าพ้นคนเห็น

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ากาฬทันต์หัสดี มีกาย งา เล็บตา ดำทั่วสารพางค์

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าจัตุศก โขมดสูงงาทั้ง ๒ ข้างแต่ละข้างนั้นต้นกลมกล่อมดีปลายเป็น ๒ งา ทั้งซ้ายขวา เป็น ๔ งา

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าโรมทันต์ ต้นงาขวาทับต้นงาซ้าย มีกำลังมาก ถ้าพระยาองค์ใดได้ขี่ปราบศัตรู ๆ แลเห็นก็พ่ายแพ้

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าสิงหชงฆ์ เท้าหลังดำดุจสิงหราช

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าจุมปราสาท ปลายงามีรัศมีอันแดง

๏ จะกล่าวช้าง ๕๑ จำพวก อันพระเพลิงให้บังเกิดด้วยเกสรประทุมชาติ ชื่อว่าอัคนิพงศ์

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าประพัทจักรวาฬ เมื่อเดินเชิดงวงเหนือกระพองศีรษะ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ารัตกัมพล งาขวาทับงาซ้ายเสียดสีกัน มีคุณเป็นอันมาก แม้นคล้องช้างโทษได้พันหนึ่ง คล้องช้างรัตกัมพลได้ตัวหนึ่งคุ้มโทษได้ แม้นจะประสมโขลงก็หาโทษมิได้เลย

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเศวตพระพร มีกายขาวดังสีสังข์ ขน ตา เล็บ หาง ขาว

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าประทุมหัสดี สีดุจดอกบัวโรย ขน หาง เล็บ สีดังดอกบัวโรย ตาขาวบริสุทธิ์

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเศวตตาคชราช สีกายดังยอดตองตากแห้ง ขน เล็บ หาง เป็นสียอดตองตากแห้งตาขาวบริสุทธิ์

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าประทุมทันต์ ตัว เท้า งวง หางสั้น งางอกออกจากไพรปาก ๒ นิ้ว ยกงวงขึ้นเห็นงา ๆ รูปจาวมะพร้าง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าประทุมทนต์ กายสั้น เท้า งวง หาง สั้น งางอกจากไพรปาก ๕ นิ้วรูปไข่ไก่

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าประทุมทันต์มณีจักร กายสั้น เท้า งวง หาง สั้นงางอกจากไพรปาก ๕ นิ้ว รูปดังปลีกล้วย

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่านพสุบัณ งา งวง หาง อัณฑโกษจรดถึงดิน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าบิตหัสดินทร์ สีกายเหลืองอ่อนเลื่อม งาขาวดังสีสังข์

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าพิฆเนศวรมหาพินาย งางอกแต่เบื้องซ้ายข้างเดียว งาข้างขวาบอด ตาขวาเล็บขาวชนช้างย่อมมีชัยชนะ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเทพามหาพิเนฆมหาไพฑูริย์ ตาเล็บ ขาว มีงาแต่เบื้องขวา เบื้องซ้ายบอด แม้นบุคคลผู้ใดคล้องได้ก็ดี ให้พึงนับหัวช้างได้ร้อยหนึ่ง เลี้ยงไว้ณบ้านใดเมืองใดก็ดี เป็นมงคลที่แห่งนั้น

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่านิลทันต์ งาทั้ง ๒ ดำ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่านิลจุกษุ ตาดำ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่านิลนัข เล็บดำ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเหมทันต์ งาเหลือง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเหมจักษุ ตาเหลือง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเหมนัข เล็บเหลือง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ารัตจักษุ ตาแดง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ามณีรัตนนัข เล็บขาวใสดังแก้ว

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ารัตนัข เล็บแดง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเศวตทันต์ งาขาวบริสุทธิ์หาไรงามมิได้

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเศวตจักษุ ตาขาว

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเศวตนขา เล็บขาวหาเสี้ยนโตนดมิได้

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเทพคิรี สีเขียวอ่อนดังผลหว้าดิบ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าจันทคิรี สีขาวดังเท่า

๏ ช้างหนังชื่อว่านิลานิโรช สีดังดอกสามหาว

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเสาวโรฐ สีกายแดงดังปากนกแขกเต้า สีปากแดงงอนดังปากนกแขกเต้า

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าคชดำพงศ์ถนิม ๔ เท้า ปลายหาง ศีรษะตลอดปลายงวง สีดังดอกแจง ตัวดำดังใส่เสื้อ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าสมพงศ์ถนิม ตาขาวเล็บขาวขนขาวหางขาวกายขาว มีกระทั่วตัว

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ากุมประสาท โขมดสูงงาม

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าจัตุรกุมภ์ เท้าทั้ง ๔ กลมงาม

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าขลุมประเจียด ใบหูขอบสนิทขนหูอ่อนดุจดอกหญ้าละเอียด

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าพาลจักรี ปลายงางอนพร้อมกัน ปลายนั้นจรดกัน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ามุขสโรช เสียงดังเพียงเสียงแตร

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเมฆครรชิต เสียงดังฟ้าร้อง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าโกญจศัพท์ เสียงดังนกกะเรียน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าสรสังข์ เสียงดังเสียงสังข์

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าศัพทเภรี มีเสียงดังเสียงกลอง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าภัทร สูง ๗ ศอก โอยรอบ ๑๐ ศอก โดยยาว ๙ ศอก งาเหลืองดังน้ำผึ้ง หลังดังคันธนู หน้าสูงเท้ากลมดังฝักบัวกลม เล็บเกรียนดุจช้างเถื่อน บิดาเป็นกระต่าย

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ามิค ตัวแดงดังชาด สูง ๖ ศอก ตัวยาว ๘ ศอก ใหญ่ ๙ ศอก งาแดงดังชาด น้ำมันตกสีเขียว ขนตาดังตาราชสีห์ ราวคอราบ ท้องใหญ่ขนตายาว บิดาเป็นเนื้อ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าสังคิน สูง ๕ ศอก ยาว ๗ ศอก ใหญ่ ๘ ศอก คางสั้นหางเขินหูตาใหญ่ สีงาเหลืองดังทอง น้ำมันตกดังเขม่า สีกายดุจหมอกกลุ้ม บิดาเป็นนาค

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ากุญชเรศ บิดาเป็นวานรท้ายใหญ่

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าครอบจักรวาฬ เมื่อยืนอยู่เห็นเล็บ ๕ เล็บ ครั้นยกเท้าเห็นเล็บรอบทั้ง ๔ เท้า มีอยู่ในพระนครใด พระนครนั้นเป็นมงคลยิ่งนัก

๏ จะกล่าวโดยลักษณช้างชาติอำนวยพงศ์ เป็นบุตรแห่งอัฐทิศไอยราพต มีกิริยาชื่อว่าอพมุ สีกายดังสีหมอกเกิดอำนวย

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเมฆ สีกายดังเมฆ งา ๔ งา เล็บขาวผ่อง หางยาวปัดดิน

๏ บุณฑริก มีภิริยาชื่อว่าพังลิงคณะ สีกายเขียวเหลืองเจือกันมีอำนวยหนึ่ง ผิวหนังละเอียด เล็บขาวสีดังหวายตะค้า กายแดงงาสั้น

๏ พราหมณโลหิต มีภิริยาชื่อว่าพังกนิลา สีเหลืองมีอำนวย ๒

๏ อำนวยหนึ่งชื่อว่านิลภ กายยาวใหญ่กลม สีกายดุจดอกสามหาวโรย

๏ อำนวยหนึ่งนามบิศลัก ตัวดำกลมผิวหนังดังโลหิต

๏ กระมุท มีภิริยาชื่อว่าอนูปักรมา สีกายแดงอ่อน สีเนื้อละเอียดมีอำนวย ๕ ช้าง

๏ อำนวยหนึ่งชื่อว่ามหาปัท สีดังดอกสัตบุษบาน

๏ อำนวยหนึ่งชื่อว่าอุบลมาลี สีดังก้านสัตบุษ

๏ อำนวยหนึ่งชื่อว่าจบตระ สีสำลาน

๏ อำานวยหนึ่ง นามไม่ปรากฏ เป็นกระดำเหมือนช้างปรกติ แต่กระทั่วกายงาม

๏ อำนวยหนึ่งชื่อว่านิลชา กายดำงาขาวตาขาวเล็บขาว

๏ อัญชัน มีภิริยาชื่อว่าตามพะวรรณ มีสีดุจทองแดง มีอำนวยหนึ่งชื่อว่าประมาถี มีสีดังท้องฟ้า

๏ บุษปทันต์ มีภิริยาชื่อว่าพังสุภทันตี กายขาวขนายขาวขนขาวงาขาว มีอำนวย ๒

๏ อำนวยหนึ่งชื่อว่าภสาร สรรพกายขาวเหลืองอ่อน งาเหลืองดุจทองคำ

๏ อำนวยหนึ่งชื่อสหะสารสรรพ กายขาวเจือเขียวอ่อน งาเหลืองดุจสีดอกบวบ.

๏ เสาวโภม มีภิริยาหนึ่งชื่อว่าลิงคณะ สีเขียวแก่มีบุตรหนึ่ง

๏ อำนวยหนึ่งชื่อว่าบุษปทันต์ สีดังดอกบัวแดง กายยาวกลมเกลี้ยง หน้าใหญ่กว้าง

๏ สุประดิษฐ์ มีภิริยาหนึ่งชื่อว่าอัญชนวดี สีกายดังดอกอัญชัน มีบุตรหนึ่ง นามมิได้ปรากฏ สีกายเขียวดังหญ้าแพรก ศิริเป็นคชลักษณ ๑๐ อัฐทิศ ๘อำนวยพงศ์ ๑๔ เป็นชาติพรหมพงศ์ ๓๒ อิศวรพงศ์อัฐคชาธาร ๘ วิศณุพงศ์อัฐคช ๘ อัคนิพงศ์ ๔๗ ศิริเป็น ๙๕

๏ ไนยหนึ่งเล่าพระเป็นเจ้า ให้บังเกิดช้างสีต่างๆ คือเหลืองขาวแดงเขียว ให้พึงพิจารณาลักษณะ ๑๐ประการ คือขนและหางจักษุเล็บอัณฑโกษช่องแมงภู่ขุมขนเพดานและสนับงาคางในไรเล็บ ๑๐ ประการ ต้องกันกับสีกายบริสุทธิ์สมบูรณ์ด้วยลักษณะ

๏ จะกล่าวลักษณะช้างโทษ ๘๐ จำพวกอันชื่อว่าบาปลักษณนั้นต่อไป

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่านามทุย งาเน่าหางสั้น ปลายหางขาดปลายหางวิ่น แปรงขนรายกราบ ต้นหางกำหนดศอกเดียว กายเล็กผอมบาง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่านามทำ ตัวต่ำท้องแร่งเรี่ยดินสุนัขลอดมิได้ หูหย่อนหนังยานย้อยดุจม้วนเสื่อ หน้าสั้นง้ำต้นงาเน่า

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าลำภา ปากล่างยาวปิดปากไม่สนิทแลเห็นเงางา อ้าปากเห็นกราม

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าพาหนะ คอลึกสามแห่ง มักคาบหญ้าคาบไม้ ศีรษะลึกน้ำขัง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าชนโกลน งาขาวสากชิดตัวสากตาเหลือก ท้ายสูงกว่าหน้า คล้องมักถูกเท้าหน้า สันดานช้างนั้นมักกลับหน้ามาสู้ช้างต่อเป็นนิจ แต่แลเห็นก็เป็นจรรไร

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเทไพร งวงใหญ่กายสั้นหางสั้นกิริยาเชื่อมมึน ให้หมอเอาบ่วงบาศคล้องที่ดินได้

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าโชนไชล โก่งหลังหนังกะเพื่อมหัวต่ำน้ำลายไหล ตาเหลือก นมย้อยยานดุจนมช้างพัง คุยหางสั้น

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ารลมสังไก่ โขมดสูงเป็นจอมปลวก ไม่มีแสรกกลาง จะพาดพังเวียนวางขอบมิได้ มักหลับตา

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าทมพลุก งาใหญ่ปลายแหลมร้าวแตกต้นตลอดปลายจนถึงไส้ กายคดกายสั้น

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าพลุกตะแบก งาแตกจนปลายงาดุจปากงูคลอนเน่าพิการอยู่อัตรา

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ารแหกชีพ งาบิดเป็นเกลียวกลวงในเป็นปล้อง ดุจไม้ไผ่คลอนเน่า ปลายแตกเป็นปากงู

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าศฤงคาร งางอกเป็นแขนแดงดุจชาดย้อม เป็นปลอกเป็นกาบดังหน่อไม้ หางคดค้อมบังคลองทวารใบจามรบิดซ้าย

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าสวามิฆาฏ หน้าราบปราบเสมอดุจหน้าแว่น ตาซ้ายตาขวาใหญ่มิได้เท่ากัน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่านครฆาฏ งาไล่งวงตรงปลายเท่ากัน งวงแวงเวียดอ้อมกาย กินหญ้ามักก้มหน้าๆ กับท้ายเสมอกัน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่านาศดึกพินาย มีงาเดียวแต่ข้างซ้าย ปลายเวียดอ้อมใต้งวงขวาขวางปาก ๆ คาบงากินหญ้ายากนัก

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่านาคพันธุ์ งาทู่งวงสั้นกินหญ้าโอนกาย ศีรษะคว่ำตัวต่ำหลังคุ่มตาเล็กตางอน เหมือนจักษุนาค

๏ ช้างหนึ่งชื่อวาลักกิน นมงอกออกกลางอกสามแห่ง ศีรษะเป็นขุม

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าปิศาจกิน นมงอกออกจากที่ท้องสามนม จอมศีรษะเวียนบนยอดโขมดมีขุมขังน้ำได้

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าโศกจะกิน มีนมที่ปากปลายคาง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าคฤนเดาะ มีนมงอกขึ้นข้างซ่นเท้าหลังตลอดท้องจนเนื้อสนับหางข้างบนท้ายมีสามนม กิริยาเดินขัดขวางง่วงงุย

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าไภยกิน มีนมงอกออกตามราวข้าง ๆ ละ ๓ ละ ๔ นม

๏ ช้างหนึ่งชื่อกันเอาะพลุก งาต้นใหญ่ปลายแหลมดุจเสี้ยม งวงยาวเวียดอกกายใหญ่ท้องยาน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ากากลัก รูปคล้ายสุกร กายใหญ่ หน้าใหญ่ หลังคอด ท้ายคอด ๓ แห่ง เท้าเล็กหางสั้น ขนหางลุ่น

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเลียงสวา ไหล่ฟกอกย้อยยาน หางเขินเอวกิ่ว

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าจราษชาติ คอคอดหยักเป็นบั้งๆ ตลอดท้าย

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าชำนิพระเพลิง หลังหยักเป็นฟันปลา ตั้งแต่คอตลอดท้าย

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ายังกิน งาเกก ข้างหนึ่งเกกเข้าข้างหนึ่งเกกออก หลังหยักเป็นบั้ง ๓ หยัก ๔ หยัก หางคดหูยานระใบย้อยถึงกัน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าลันดาษ ลิ้นยาวใหญ่ย้อยพ้นไพรปาก หนังบ่อหุ้มต้นงา อ้าปากเยื้องไปย้ายมา ดุจกระบือเคี้ยวเอื้อง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าบังบัดควาน สองงาต้นคดปลายเวียดเวียนไปข้างท้ายดูงากับหูเสมอกัน แม้นขี่กลางเดิรเยื้องย้าย ดูงากับเท้าตะโพกเสมอกัน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าโยนยัก เท้าแลงวงตีอกมักหลับตา โยกโยนศีรษะคว่ำหูหางฟาดตนอยู่ไม่เป็นศุข เมื่อคู้ตัวหน้าท้ายต่ำ หลังสูง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าคัดธรณี เท้าหลังสูงเท้าหน้าต่ำดุจก้ม เมื่อเดิรหลังราบตรงตราบท้าย หางยาวเล็บโกงผมเรี่ยบาง งาซื่อแนบงวง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าชันบันเชษฐ์ ศีรษะราบตราบท้าย ท้องใหญ่ขนเรี่ยราย ๔ เท้าคอดเล็บยาวงอน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ากำพตกำโบม เป็นดวงด่างขาวไปทั่วตัว น้ำลายไหลถ่ายมูตรมูลราดรดเท้าหลังดังน้ำ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าสะแบกเขี้ยว เป็นเกล็ดทั่วทั้งตัว ตกมันเหม็นเขียวยิ่งนัก มันตกกรุ่นๆ ไม่เป็นคราวแต่เล็กจนใหญ่ พลายพังอย่างนี้มีโทษเสมอกัน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าแร่ง กายใหญ่สั้น อกเป็นแร่งยานยาว ราวข้างเป็นดวงด่างขาวกลมดุจขอบกะด้งแห่งเดียว

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าแซง กายสูงผิวหนังคร่ำดุจฝาหอยแครงหางสั้นหลังคุ่ม

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าปุดุ กายใหญ่หน้าเล็ก ราวข้างกลมดุจท้อง  ท้องค่างเวียนเป็นก้นหอยสองแถวๆ ละสามวงสี่วง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ารายดาว ลายด่างดวงกลมขาวทั่วทั้งกาย

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเพียงขลง โขมดต่ำท้ายเล็กลายด่างเป็นวงขาวมีกระในวงทั่วทั้งกาย

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเดียงงุน หางสั้นขนหางไม่มีคุกเข่าหน้า ก้มศีรษะกินหญ้ากินน้ำ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าทิพาสัย หนังยานบานแร่งแร้ง ท้องก็เป็นแร่งดุจโคมักคุกเข่านอนกลางวันนอนไม่ราบ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ารติสัย เวลาค่ำเมื่อเทานอนม้วนงวงขึ้นหว่างงาทุกเมื่อ นอนไม่ราบ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่านักขเสน รูปเรียวท่อนหน้าใหญ่ท้ายเล็ก หางเขินสั้นขนหางหายาก ผูกแหล่งมักเหยียยหลักหมอไว้เป็นธรรมดา

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าชะเมียบ ตาเหลือก มักจ้วงเทาเท้าท้าย แทงงากรวมตลุง งวงกอดตลุงเล่นเนื่อง ๆ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าพลัดควาญ รูปท่อนหน้าใหญ่สูงอกยานท้ายเรียวเล็กหางยาว มักกระทำร้ายหมอควาญ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าขดรสุข อายุศม์ไม่ถึงสิบปีมีลูกก็ดี หนึ่งไปพาดโพนในป่าได้ช้างป่านำมาก็ดี หนึ่งโขลงปกพามาสู่ก็ดีในบ้านในเมือง และช้างนั้นสำรอกบุตรออกณที่นั้น ห้ามมิให้เลี้ยงไว้

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าราหู กายหน้าแดงหน้าขาวก็ดี ตลอดปลายงวงและหูมีกระต้นงวงใหญ่ ปลายงวงเรียวเล็ก

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าประพลุก งาเป็นเสี้ยวหางคดเวียนดังเถาวัลย์

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ากระแอกลาย กายคดกายสั้นหูแฉกดุจใบตาล คอยาวท้ายเล็ก หางสั้นเหมือนสุกร

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าทำรัง งาเรียวเล็ก เท้าทั้ง ๔ สูง ห้องตัวสั้น หูแฉกขาดวิ่น หางเขินปัดปลอก สนับหางใหญ่บาน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าบังคลอง งวงเท้าหาง ๓ สิ่งสั้น อกและโขมดต่ำ หลังตรงหลังสั้น หางบังคลองทวาร

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าขวาย งาแหลมสั้นกว่าหน้างวง รูปกายทุรพล

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ากระแอกสกุม หูใหญ่ยานดุจปีกกา มักจับขอบตาว้างเหลือกแลไม่พริบ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าชำนันสัตว์ ตัวต่ำ ท่อนหน้าใหญ่ ท้ายหลอบเล็ก หางเขิน โขมดสูง มักเหยียบเต้า

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ากระจอกสอ กายใหญ่หน้าเล็กหางเขิน เล็บขาวไม่ครบเหมือนช้างทั้งปวง มักยืนแต่ ๓ เท้า

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าบัลลายโศก อัณฑโกษปรายอยู่อัตรา ถ้าช้างพลายช้างพังเป็นดังนี้มีโทษเสมอกัน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าทูลกระจอก กายใหญ่ หน้าเล็ก หางเขิน เล็บไม่ครบ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าทรหุน รูปพรรณพิกล หลังซื่อ กระดูกหลังคดสะดุ้ง คอดำดังหมึกมัว หนังหย่อนท้องยาน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ามวยลา โขมดสูงดุจศีรษะวานร

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าดำเกิงคะนอง โขมดและหน้าเล็กภายนอกสั้นหางเขิน ท้ายยอบ ท้องกิ่วพิกล

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ากระดกกันทุย หน้าบวมดุจเน่าพอง ต้นหางคดปลายหางดังจามรยาวจรดดิน

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าสุครีพ คอใหญ่คอสั้น คางใหญ่หน้าผึ่งดุจเน่าพองที่นั่งไม่ราบ เดินยักเยิด หางคอดคด สนับกลับลงใต้หาง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าสีดอ ตัวใหญ่สูง หน้าเล็กงาเรียวสั้น บิดลงล่างดังขนาย

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าพลายแม่ ขนายยาวงอนดุจช้างพลาย

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าคางยูร คอยาว คายยุ้ย หน้าหนูอกหย่อนยานท้ายเรียวรีด

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าจงกิสวา ราบอกยาน เอวกิ่วท้ายเล็ก

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ายักษ์ ตัวต่ำสั้นสรรพสารพางค์ คางใหญ่ หน้าสั้นงวงสั้น

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าพุงพัง ตัวต่ำสั้น อกยานท้องหย่อน ลำหางกลางคอด

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ารัตทันต์ งาแลกรามแลเล็บแดงดังแสงพระอาทิตย์เมื่ออุทัยสีดังชาด

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่านาคสะดุ้ง หัวแลท้ายสูงดุจงูเลิกพังพาน หลังแอ่นเป็นบั้งดุจเถาบันไดลิง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าพินายฆาฏ งาซ้ายสั้นงอน งาขวาไขว่ใต้งาซ้ายโอบงวงปลายงาตลอดงวง หูสั้นข้างหนึ่งหูยาวข้างหนึ่ง ขาดวิ่นแหว่งทั้ง ๒ หู

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าพลุกทันต์ ตัวใหญ่หน้าเล็กหลอนกาย งาตกปลอกดังไม้ไผ่

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าทัตพินาย งางอกแต่ข้างซ้ายข้างเดียวเรียวเล็ก

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าสิทธิพินาย ไม่มีงาดุจช้างพัง

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าภัทรพินาย งางอกซ้ายเสมอสนับ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าอินทกินพินาย งางอนแดงดังสีชาด งาเบื้องขวายาวสักน้อย งาเบื้องซ้ายสั้นดังทนาย

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าหีน รูปกายพิกลเท่ากระบือ เทพคชนาคสาปช้างหมู่นี้ไว้ ให้อยู่แต่ริมฝั่งสมุทรกินหอยกินปูเป็นนิรันต์

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ากลีบสมุทรกลีบไพร เมื่อกินน้ำกินหญ้าก้มศีรษะกัดกินด้วยปาก ไม่จับหญ้าด้วยงวงเหมือนช้างทั้งปวง ถ้าช้างพลายช้างพังเป็นดังนี้มีโทษเสมอกัน

๏ ช้างหนังชื่อว่ากำกวม รวมชื่อเป็น ๒ ตระกูล ตระกูลหนึ่งสีหตระกูล ตระกูลหนึ่งอัศวตระกูล

๏ และสีหตระกูลนั้น งามิได้งอก สูง ใหญ่ กำลังมากยิ่งนัก

๏ และอัศวตระกูล มีรูปมณฑลสูงหน้า ท้ายต่ำหางยาว เดินเร็วรวด งามิได้งอกเหมือนช้างพลาย ช้างธรรมดาทั้งหลายบอาจรับหน้าได้

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าเนียมโทษ งาใหญ่ งาสั้น ๔ เท้าสั้น ตัวต่ำตาต่ำ งวงและปากสีดำ เนื้อนิ่ม ขนหางและผมเกรียนกร่อน

๏ ช้างหนึ่ง งาคลอนงาสั้น ปลายกางเกก หูเล็กผมขาว ไม่จงรักหมายช้างพังเหมือนช้างทั้งปวง

๏ ช้างหนึ่ง คอยาวใหญ่ตาเล็กพิการ กายยาวเยิ่นต่ำเตี้ย ขนดำเสียงฦก หางสั้น สบ้ายาวย่างเดิรดุจสุกรแล

๏ ช่างหนึ่งเนียมนรลักษณ์พร้อมถ้า งาแตกลิปลาย คอพลอยนพรัตนสลาย ให้พึงตกแต่งแก้ให้ดีให้ปล่อยเสียป่า โทษนั้นพลันหายจึงคล้องมาใหม่

๏ ศิริช้างโทษบาปลักษณ์ ในไตรตรึงษ์ศักดิราชมีแต่ ๘๐ จำพวกเท่านี้

๏ ทีนี้จะว่าด้วยช้างอันเป็นตระกูลสวัสดิมงคลมหาคเชนทร์ อันบังเกิดแต่อิศวรพงศ์ พรหมพงศ์ พิศณุพงศ์ อัคนิพงศ์ มีทั้ง ๔ ตระกูล รคนกันมิได้จัดไว้เป็นพวกเป็นหมู่นั้นอีก ๙ ตระกูล

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าอินทจักร เล็บแดงดุจดังน้ำครั่ง ฝ่าตีนไรฝักบัวขาวดุจน้ำนม โขมดสูง ควรแก่กษัตริย์อันเป็นแม่ทัพ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าสุรสาร ผิวปลายงาเหลืองใสดังแก้ว ตาแลเล็บฝังนัก มักอาจหาญ

๏ ช้างหนึ่ง ร้องขอหญ้าเสียงดังสีหราช ควรคู่แก่มนตรี

๏ ช้างหนึ่ง ร้องขอหญ้าเสียงดังตรวจ ควรคู่แก่แสนาบดี

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าราชเสน่ห์ ร้องขอหญ้าดังเสียงปี่ ถ้าบุคคลผู้ใดได้ไว้จะเป็นที่รักแก่เทพามนุมย์

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าคชไล ขนอ่อนดุจผ้ารัตกำพลอาจเป็นสวัสดิมงคล ให้บังเกิดทรัพย์มาก

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าคชกรรณ ผิวเนื้อหนากระด้างกลางงาหนัก

๏ ช้างหนึ่ง เมื่อนอนกรนดังเสียงแตร ควรคู่แก่กษัตริย์

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ามหิบาล อกใหญ่โขมดสูง เท้าทั้ง ๔ กลม ปากแดง หลังเป็นคันธนู น้ำเต้าเต็มตาใหญ่ งางอนหูใหญ่ หาง อัณฑโกษ งวง ถึงดิน เรียกมันเสียงดังฟ้า ผิวตัวดำสนิท เดินเป็นสง่าดังสีหราชง ควรเข้าสงครามจะมีชัย

๏ ทีนี้จะว่าด้วยช้างโทษนัยหนึ่งใหม่ อันเป็นชาติอัคนิพงศ์ นอกจากไตรตรึงษ์ศักดิราช อันชื่อว่าทุรลักษณะโทษนั้น ต่อไป

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าช้างเขี้ยวช้างงา มีงางอกออกจากสนับงา แล้วมีเขี้ยวแซมออกจากไพรปากก็ดีสนับงาก็ดี รูปร่างพึงพิกลต่าง ๆ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าทันตราบ งางอกจากปากแล้วเวียดคดไปดุจเขี้ยวยักษ์และเขี้ยวสุกร

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าลุยทุกข์ มีเล็บเท้าละ ๓ เล็บทั้ง ๔ เท้า ข้อเท้าแดงดังฝักบัวแดง ฝ่าแดง ช้างนี้ถ้าแลเข้าบ้านใดเมืองใด จะบังเกิดมหาอุบาทว์ใหญ่ มีเข้าแพงและภัยทั้ง ๔ ประการ ถ้าหมอผู้ใดคล้องได้ก็จะตายสิ้น ให้วิปริตต่าง ๆ บมิได้เหลือแต่สักคน ถ้าและเข้าบ้านใดเมืองใด พึงหลอมทองและเงินใส่รอยเท้าทั้ง ๔ จงทุกเก้าจึงจะบรรเทาซึ่งโทษ

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่ากินชีพ ร้องขอหญ้าดังเสียงแรดเสียงฟานเสียงสุนักข์ เสียงเสือ เสียงม้า แลเสียงอันใดอันหนึ่ง บุคคลผู้ใดเลี้ยงไว้เจ้าของมักพลันตาย

๏ ช้างหนึ่งชื่อว่าอุบัติไสย เมื่อนอนกรนเสียงดังกระหึม ได้ยินเสียงกรนถึงที่แห่งใด ๆ ในที่นั้น จะเกิดอุบาทว์ยิ่งนัก

จบในชื่อทุรลักษณโทษ ๕ ประการแต่เท่านี้

๏ อนึ่งบุพพาจารย์ อันรู้ซึ่งพระคชสารทกล่าวไว้ว่า ช้างโทษทั้งหลายอันออกจากบาปลักษณโทษทุรลักษณนั้น มีอีก ๗ จำพวก ช้างจำพวกนี้ให้โทษเบา มิได้ให้โทษอย่างบาปลักษณทุรลักษณนั้น

๏ ช้างหนึ่งฝ่าแดงเพียงเล็บ เรียกว่าเหยียบเพลิง

๏ ช้างหนึ่งตัวเป็นหูด เรียกว่าเดาะหูด

๏ ช้างหนึ่งตัวเป็นขุม เรียกว่าเดาะขุม

๏ ช้างหนึ่งโยกตัวอยู่แต่เบา ๆ เป็นนิจ เรียกว่าวรโยก

๏ ช้างหนึ่งสับศีรษะอยู่เป็นนิจ เรียกว่าวรสับ

๏ ช้างหนึ่งกายมักด่างแห่งหนึ่งสองแห่งก็ดี เรียกว่าโพกกันโดนเป็น ๗ ช้างด้วยกัน

อันลักษณะช้างโทษทั้งหลาย ย่อมเกิดแต่อัคนิพงศ์สิ้น ผู้จะทรงไว้ซึ่งพระคชสาตร ให้พิจารณาดูซึ่งช้างอันมีงวงงารูปกายวิปริตต่าง ๆ ถ้าแลลักษณะต้องด้วยอัคนิพงศ์ ช้างนั้นเป็นช้างโทษ ถ้าแลลักษณะต้องด้วยอิศวรพงศ์ พรหมพงศ์ พิศณุพงศ์ ช้างนั้นหาโทษมิได้เลย

๏ อันว่าช้างโทษจำพวกใดก็ดี เลี้ยงไว้ในที่แห่งใด เหมือนเพลิงกาฬสุมไว้ในทรวง ยอมให้ร้อนวิปริตต่าง ๆ อย่าพึงเอาไว้

๏ อนึ่งเล่า พระเป็นเจ้าทั้ง๔ให้บังเกิดช้างทั้งหลายมีคุณต่างๆกัน อิศวรพงศ์นั้นจะให้เจริญทรัพย์และจะให้มีอำนาจ

๏ พรหมพงศ์นั้นจะให้เจริญอายุศม์และคุณวิชา

๏ พิศณุพงศ์นั้น จะให้สัตรูพ่ายแพ้ และเจริญน้ำและผลผลาธัญญาหารทั้งปวง และพระตำราปฐมกัณฑ์นารายณ์ประทมสินธุ์นี้ พระอาจาริยเจ้าแต่ก่อน ผู้รู้ซึ่งคชสาตร์รจนาไว้ สำหรับพระมหากษัตราธิราชเจ้า เพื่อจะให้รู้ซึ่งชาติและตระกูลช้างอันเป็นมงคลและอัปมงคล ถ้าบุคคลผู้ใดได้เล่าเรียนไว้แล้ว เหมือนหนึ่งได้แก้วควรเมือง

๏ ศิริเป็นช้างในสวรรค์ ๓ พระตำหริ ๑ ชาติพรหมพงศ์หิมวันต์ ๑๐ อัฐทิศ ๑๔ เป็น ๓๒ ช้าง พิศณุพงศ์อัฐคช ๘ อิศวรพงศ์อัฐคชาธาร ๘ อัคนิพงศ์ศุภลักษณ์๕๑ สวัสดิมงคล ๙ ปาปลักษณ์ ๘๐ ทุรลักษณ์ ๕ โทษน้อย ๗ รวมเข้าด้วยกันเป็นช้าง ๑๙๑ ช้าง ๚ะ

จบบริบูรณ์

พระตำรานี้ข้าพระพุทธเจ้า พระยาสุรินทราชา นายปราบ ทูลเกล้าถวายครั้งทรงโคลง ขอเดชะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ