๓
ฝ่ายผู้มีวิชาชำนาญในการทหารแจ้งข่าวดังนั้น ต่างคนไปสอบสวนเพลงอาวุธ อองมังจัดแจงไว้เป็นขุนนางทหารเลวให้กินเบี้ยหวัดได้ทหารมากขึ้นทุกวัน ฝ่ายเล่าสิ้วบุนซกขณะเมื่อหนีโซเหี้ยนออกจากเมืองไปอยู่ป่าเข้าพวกโจรเที่ยวทุกตำบล นายโจรทั้งปวงรู้ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเปงเต้ มีใจกรุณาช่วยทำนุบำรุงมิได้ทำอันตราย เล่าสิ้วบุนซกเที่ยวอยู่ป่าหลายปี ครั้นอยู่วันหนึ่งคิดขึ้นมาถึงคำบิดาสั่งไว้ว่า ญาติวงศ์ยังมีอยู่บ้านป่าแปะจุยฉิงนั้นแห่งหนึ่ง ไม่รู้แห่งหนทางที่จะไป จึงแก้ราตคตซึ่งบิดาให้สำหรับตัวยกขึ้นชูเหนือศีรษะตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าจะได้สืบเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ไปภายหน้า ขอให้มีผู้มาแนะนำไปให้พบญาติ ณ บ้านป่าแปะจุยฉิงเถิด ขณะนั้นมีกาตัวหนึ่งบินมาจับกิ่งไม้ร้องอยู่ตรงหน้าเล่าสิ้วบุนซก แล้วบินไปตามทางบ้านแปะจุยฉิง เล่าสิ้วบุนซกจึงเดินตามกาออกมาเข้าทางใหญ่ไปถึงบ้านป่าแปะจุยฉิง จึงเข้าไปในบ้านเห็นเล่าเหลียงกับเล่าอี๋นเล่าต๋งนั่งอยู่สามคน เล่าสิ้วบุนซกมิได้รู้จัก เล่าสิ้วบุนซกเข้าไปคำนับด้วยคิดว่าจะถามหาพี่น้อง
ฝ่ายเล่าเหลียงเห็นชายหนุ่มแปลกหน้ามายืนคำนับอยู่ ดูดังพญาหงส์รูปทรงสะอาดงามพร้อมโฉมหน้าดังมังกร อกใหญ่ไหล่ผายองอาจดังพญาเสือต้องลักษณะผู้มีบุญมีรัศมีประจำตัวอยู่ เล่าเหลียงมิได้รู้จักจึงถามหนุ่มน้อยชื่อไรเป็นลูกหลานของผู้ใด มาแต่บ้านเมืองไหน เล่าสิ้วบุนซกจึงบอกว่าข้าพเจ้าหลานเล่าฮวด เชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นโกโจ ตัวข้าพเจ้าชื่อเล่าสิ้วบุนซกบุตรเล่าคิม เมื่อครั้งอองมังคิดกบฏนั้นอายุข้าพเจ้าได้เก้าขวบอยู่กับบิดาในเมืองหลวง อองมังให้โซเหี้ยนไปล้อมบ้านบิดาข้าพเจ้า บิดาข้าพเจ้าโจนหนีลงบ่อน้ำตาย ข้าพเจ้าหลบหนีออกมาจากเมืองได้รับความทุกข์ยากเข้าอาศัยกับพวกโจร เที่ยวอยู่ป่าจนอายุได้ถึงยี่สิบเอ็ดปีเศษ ขณะเมื่อบิดายังมีชีวิตบอกว่าพี่น้องยังมีอยู่บ้านแปะจุยฉิง จึงเข้ามาหาท่านหวังจะใคร่พบญาติข้าพเจ้าซึ่งอยู่บ้านนี้
ฝ่ายเล่าอี๋นกับเล่าต๋ง ได้ยินเล่าสิ้วบุนซกเล่าความออกชื่อเล่าคิมผู้บิดาก็รู้ว่าเล่าสิ้วบุนซกเป็นน้อง ทั้งสองคนเข้ากอดเล่าสิ้วบุนซกร้องไห้รักกัน เล่าเหลียงเห็นดังนั้นกลั้นน้ำตามิได้ลุกมาสวมกอดหลานชาย ต่างคนร้องไห้บอกความกันทั้งสี่คน ครั้นวายความโศกแล้ว เล่าเหลียงจึงว่าข้านี้มีความแค้นด้วยอ้ายอองมังยิ่งนัก หาเห็นญาติผู้ใดที่จะคิดล้างผลาญอ้ายศัตรูราชสมบัติได้ไม่ เล่าอี๋นเล่าต๋งเล่า ลักษณะได้แต่ที่ขุนนาง อาคิดเสียน้ำใจอยู่จะไม่มีกษัตริย์สืบแซ่เชื้อพระวงศ์ต่อไปแล้ว บัดนี้มาพบเจ้าจะได้สืบกษัตริย์ไปภายหน้าอาดีใจนัก แต่ชันษายังไม่ถึงที่ฮ่องเต้ จงอยู่ด้วยอาก่อนซ่อนตัวไว้กว่าจะได้ทำการใหญ่ เล่าเหลียงจึงเปลี่ยนแซ่เสียใหม่ทั้งสามคน เล่าอี๋นชื่อกิมอี๋น เล่าต๋งชื่อกิมต๋ง เล่าสิ้วบุนซกชื่อกิมห่อ เล่าเหลียงเรียกพี่น้องสามคนว่าบุตร หวังจะมิให้ชาวบ้านรู้ว่าเป็นบุตรเล่าคิม กลัวโซเหี้ยนจะมาสืบจับไปฆ่าเสีย ขณะเมื่อเล่าสิ้วบุนซกอยู่บ้านแปะจุยฉิงนั้น ฝนตกชาวบ้านทำนาได้ผลมาก ข้าวต้นหนึ่งมีรวงถึงสองรวง ทำนาปีหนึ่งกินคุ้มไปถึงสองปี ชาวเมืองน่ำเอี๋ยงฝนแล้งทำนาหาผลมิได้ มาอาศัยซื้อข้าวชาวแปะจุยฉิงไปเลี้ยงชีวิต เล่าสิ้วบุนซกครั้นอายุได้ยี่สิบสองปี มีรัศมีเป็นหมอกบังสำหรับตัวอยู่เป็นนิจ ผู้ที่รู้ลักษณะต่างคนชมว่านานไปจะได้เป็นกษัตริย์มีบุญญาธิการ ชาวบ้านทั้งปวงสำคัญว่าเป็นบุตรเล่าเหลียง มีใจรักใคร่เรียกชื่อกิมห่อตามเล่าเหลียง อยู่วันหนึ่งเล่าเหลียงขึ้นม้าเข้าไปเมืองหลวง เดินตามถนนหลวงกลางเมือง เห็นฉลากกระดานจารึกอักษรจึงแวะเข้าไปอ่านแจ้งความว่าอองมังเกลี้ยกล่อมทหาร เล่าเหลียงคิดถึงพระเจ้าเปงเต้และเล่าคิมผู้ตายกลั้นน้ำตามิได้ร้องไห้ขับม้ารีบกลับออกไปบ้าน ลงจากม้าขึ้นบนเรือนนั่งกอดเข่าทุกข์ตรอมใจไม่กินอาหาร กิมห่อเห็นดังนั้นจึงเข้ามาคำนับถามถึงความที่ทุกข์ร้อน เล่าเหลียงจึงบอกว่าอาเข้าไปเมืองหลวงเห็นฉลากอองมังปักไว้เกลี้ยกล่อมทหาร อานี้ทุกข์ใจด้วยกลัวว่าผู้มีสติปัญญาจะเข้าไปเกลี้ยกล่อมอองมังเสียสิ้น ซึ่งเจ้าจะทำการใหญ่ไปภายหน้าเห็นจะขัดสนด้วยไม่มีผู้มีสติปัญญาและทหาร อาคิดวิตกนัก เล่าสิ้วบุนซกจึงว่าอันผู้มีบุญญาธิการแต่ก่อนนั้น ถึงมาตรว่าจะมีแต่ตัวผู้เดียวก็ดี ถ้าวาสนาชะตาขึ้นถึงที่จะมีบุญแล้ว มีผู้มีสติปัญญามาช่วยคิดการใหญ่ได้สำเร็จ ผู้ซึ่งสิ้นวาสนาหามิได้นั้น ถึงจะมีทหารมากก็หาสู้มีบุญได้ไม่ อาอย่าวิตกดังนั้นเลย พอมีผู้มาร้องเรียกให้เปิดประตูบ้าน เล่าเหลียงจึงลงไปเห็นเตงสินผู้หลานเขย จึงเปิดประตูให้ขึ้นมานั่งบนโรงแล้วถามว่ามาด้วยธุระสิ่งใด เตงสินคำนับแล้วบอกว่าปีนี้บ้านข้าพเจ้าฝนแล้งทำนาไม่ได้ ข้าพเจ้ามาจะขอยืมข้าวเปลือกไปเลี้ยงชีวิต จะคิดเงินมาใช้ต่อครั้งหลัง เล่าเหลียงจึงให้กิมห่อตวงข้าวเปลือกให้เตงสินสองเกวียน กิมห่อรู้ว่าเตงสินเป็นพี่เขยจึงลาเล่าเหลียงแล้วว่า แต่ข้าพเจ้าจากเล่าหงวนผู้พี่หลายปีแล้วไม่พบกัน จะขอไปเยี่ยมเยือนแล้วจะกลับมา กิมห่อกับเตงสินคำนับลาเล่าเหลียงขึ้นม้ากลับไปบ้าน
ฝ่ายนางเล่าหงวนนั่งอยู่บนเรือน แลเห็นแต่ไกลจำได้ว่าเล่าสิ้วบุนซกผู้น้องตามเตงสินมา ดีใจลงไปรับจับมือจูงขึ้นเรือน เล่าสิ้วบุนซกคำนับแล้วเล่าความแต่หลังให้นางเล่าหงวนฟังทุกประการ นางเล่าหงวนได้ฟังดังนั้นกอดคอน้องเข้าร้องไห้ว่า เมื่ออองมังมันวางยาพระเจ้าเปงเต้แล้วให้จับบิดาเราฆ่าเสียนั้น พี่อยู่บ้านป่าสำคัญว่าเจ้าตายเสียด้วยบิดาในเมืองหลวงแล้ว ซึ่งเจ้ารอดพ้นจากความตายมาถึงพี่ได้เห็นหน้ากันเมื่อคราวยาก ครั้งนี้เป็นเดชะบุญอยู่แล้ว นางเล่าหงวนจึงแต่งโต๊ะมาตั้งให้เตงสินกับเล่าสิ้วบุนซกกินโต๊ะอยู่ด้วยกันทั้งสามคน ครั้นกินโต๊ะแล้วเล่าหงวนจึงว่าแก่เล่าสิ้วบุนซกว่า ซึ่งเราพี่น้องพลัดพรากจากบิดามารดาทั้งนี้ เพราะอองมังมันคิดกบฏชิงเอาสมบัติพระเจ้าเปงเต้แล้วมันตั้งตัวเป็นใหญ่ในเมืองหลวง ให้ทหารออกสืบจับเชื้อพระวงศ์ของเราไปฆ่าเสีย ตัวเจ้าเป็นชายควรจะคิดแก้แค้นฆ่าอ้ายอองมังเสียให้จงได้ พวกญาติวงศ์เรายังหลบหนีซุ่มซ่อนอยู่เป็นอันมากจึงจะมีความสุขสืบไป ครั้งนี้ราษฎรก็เดือดร้อนหนีออกอยู่ป่าเป็นอันมาก เจ้าจะไม่คิดซ่องสุมทหารทำการใหญ่จะคอยทำต่อเมื่อครั้งใดเล่า เล่าสิ้วบุนซกจึงตอบว่าข้าพเจ้าก็คิดอยู่ แต่บัดนี้ตัวมาเป็นชาวนาหาที่ปรึกษาช่วยคิดการใหญ่ไม่ได้ กลัวเกลือกจะทำไปมิตลอดข้าพเจ้ามีความวิตกนัก นางเล่าหงวนจึงว่าเมื่อครั้งพระเจ้าปู่ชวดเราเป็นชาวนาอยู่บ้านไผ่ก๋วน ได้เป็นพระเจ้าฮั่นโกโจสืบกษัตริย์ครองเมืองหลวงนั้น แต่เดิมทหารมีสักกี่คนเล่า เจ้าจงเอาอย่างพระเจ้าฮั่นโกโจเทียบเป็นอย่าง เล่าสิ้วบุนซกจึงว่า ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจทำศึกใหญ่ ได้เสียวโหหนึ่ง เตียวเหลียงหนึ่ง ฮั่นสินหนึ่ง ทั้งสามคนนี้มีสติปัญญาเหมือนเทพยดา ทแกล้วทหารล้วนมีฝีมือกล้าแข็งเป็นอันมาก ซึ่งจะเอามาเปรียบกับครั้งนี้ไม่ได้ เตงสินได้ยินดังนั้นจึงว่า ถึงมาตรว่าตัวผู้เดียวก็ดี ถ้าวาสนาถึงที่จะมีบุญแล้ว ทแกล้วทหารก็จะบริบูรณ์มา คิดสิ่งใดก็จะสำเร็จทุกประการ เล่าสิ้วบุนซกจึงว่าพี่ว่าชอบอยู่ แต่ครั้งนี้อองมังตั้งเกลี้ยกล่อมเอาผู้รู้วิชาการศึกไปไว้เป็นอันมาก ทหารที่มีฝีมือและความคิดนั้นหาเห็นมีผู้ใดไม่
เตงสินจึงว่าคนดีมีสติปัญญาซึ่งจะคิดล้างอองมังนั้นมีอยู่คนหนึ่งชื่อเตงอู เตงอูมิได้ยำเกรงประมาทหมิ่นอองมังเหมือนก้อนดิน ถ้าได้มาไว้เป็นที่ปรึกษาคิดจับโซเหี้ยนฆ่าเสียแล้ว อองมังกับทั้งราชสมบัตินั้นเหมือนหนึ่งตกอยู่ในเงื้อมมือท่าน เล่าสิ้วบุนซกจึงถามว่าบัดนี้เตงอูอยู่แห่งใดเล่า เตงสินบอกว่าแต่ก่อนรู้จักที่สำนักอาศัยอยู่ ครั้นบ้านเมืองวุ่นวายหารู้ว่าเตงอูจะไปอยู่แห่งใดไม่ เราจะพาท่านไปเที่ยวหา ถ้าบุญท่านจะคิดการใหญ่ได้สำเร็จก็จะพบตัวเตงอูโดยง่าย เตงสินจึงให้หานางเล่าหงวนจัดแจงเสบียงอาหารไปกินกลางทางเสร็จแล้วพาเล่าสิ้วบุนซกขึ้นม้าออกจากบ้านซินจิง ไปเที่ยวหาเตงอูเป็นหลายตำบลจนถึงบ้านป่าแห่งหนึ่ง เตงสินจึงลงจากม้าพาเล่าสิ้วบุนซกเดินเข้าไปในบ้าน
ฝ่ายเตงอูอยู่ในบ้านนั่งดูเมฆฉายที่นอกชาน เห็นหมู่หนึ่งสีแดงดังโลหิตลอยเลื่อนเข้าบังพระอาทิตย์อยู่ประมาณครู่หนึ่ง มีหมอกพลุ่งเป็นลำตาลแต่แผ่นดินถึงฟ้า เห็นนิมิตอัศจรรย์ตกใจ จึงจับยามดูรู้ว่าผู้มีบุญเข้ามาถึงบ้าน ฝ่ายเตงสินกับเล่าสิ้วบุนซกเข้ามาหาเตงอูในบ้าน เตงสินแลแต่ไกลเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง สูงห้าศอกหน้าแดงเป็นสีเลือด ผมแลหนวดขาวงามบริสุทธิ์เหมือนปีกนกยาง ใส่เสื้อแพรสีน้ำเงินคาดราตคตแพรเขียว นั่งจุดธูปเสี่ยงทายหน้าพระหน้าถังเปิดอยู่ เตงสินจำได้ว่าเป็นเตงอูจึงบอกเล่าสิ้วบุนซก เล่าสิ้วบุนซกเห็นรูปทรงเตงอูสมควรเป็นผู้มีวิชาการ จึงสรรเสริญชมว่าผู้เฒ่าคนนี้สติปัญญาเห็นจะไม่แพ้เตียวเหลียง ซึ่งเป็นที่ปรึกษาครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจ ถ้าได้ไว้ช่วยคิดกำจัดอองมังเห็นการใหญ่จะสำเร็จเป็นมั่นคง เตงสินจึงพาเล่าสิ้วบุนซกขึ้นไป ณ ตึกเตงอู
ฝ่ายเตงอูครั้นแลเห็นเตงสินกับเล่าสิ้วบุนซกมา เตงอูรู้จักจำได้จึงออกไปเชิญเข้ามาให้นั่งที่สมควร ทั้งสามคำนับกันตามธรรมเนียม เตงอูจึงบอกเล่าสิ้วบุนซกว่าครั้งพระเจ้าเปงเต้ยังมีพระชนม์อยู่นั้น ข้าพเจ้าอยู่บ้านอ้วนเสียแดนเมืองน่ำเอี๋ยง ได้เข้าไปสอนหนังสือพี่ชายท่านอยู่ แต่จากมาอยู่ป่าหลายปีมิได้พบกัน ซึ่งท่านมาถึงข้าพเจ้าวันนี้เหมือนเทพยดาชักนำมา เล่าสิ้วบุนซกได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงเล่าความทุกข์ยากแต่หลังให้เตงอูฟัง แล้วว่าข้าพเจ้าเสี่ยงวาสนามาได้พบท่านครั้งนี้ จะปรึกษาด้วยอองมังคิดกบฏฆ่าพระเจ้าเปงเต้ แล้วให้โซเหี้ยนเอาเชื้อวงศ์ข้าพเจ้าฆ่าเสียเป็นอันมาก อองมังตั้งตัวเป็นใหญ่ในเมืองหลวง ข้าพเจ้าคิดจะทำการแก้แค้นจับอองมังฆ่าเสีย คืนเอาสมบัติพระเจ้าเปงเต้ให้จงได้ อันทแกล้วทหารนั้นพอจะหาไม่ขัดสน แต่ซึ่งผู้มีสติปัญญาหาไม่ได้จะขอเชิญท่านไปช่วยคิดการใหญ่สำเร็จแล้ว ท่านจะมีชื่อปรากฏไปกว่าจะสิ้นแผ่นดิน ถ้าข้าพเจ้าได้เป็นกษัตริย์สมความคิดจะสนองคุณท่านให้ถึงขนาด เตงอูจึงตอบว่าสติปัญญาข้าพเจ้ายังอ่อนนัก ท่านจะปรึกษาการใหญ่เห็นจะคิดไปไม่ตลอด ซึ่งท่านจะคิดการกำจัดอองมังนั้นครูข้าพเจ้าคนหนึ่งชื่อเงียมจูเหลง มีสติปัญญาประกอบคุณวิชาการหาผู้เสมอมิได้ เห็นจะเป็นที่ปรึกษาช่วยท่านคิดการใหญ่สำเร็จเป็นมั่นคง เล่าสิ้วบุนซกจึงว่าเงียมจูเหลงคนนี้ได้เป็นครูสอนหนังสือข้าพเจ้ามาแต่ก่อน บัดนี้ไปอยู่แห่งใดเล่าข้าพเจ้ามิได้พบช้านานแล้ว เตงอูจึงตอบว่าเดิมเงียมจูเหลงอยู่บ้านอิเจียวแขวงเมืองห้วยเข ครั้นบ้านแตกเมืองเสียเที่ยวอยู่ป่าหาความสบาย มิให้ผู้ใดออกชื่อลือนาม แต่ที่เคยสำนักอาศัยเงียมจูเหลงนั้นข้าพเจ้ารู้แห่งอยู่จะพาท่านไปให้พบตัว เล่าสิ้วบุนซกได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงให้เตงสินกลับคืนไปบ้านซินจิงแล้วเล่าสิ้วบุนซกกับเตงอูขึ้นม้าออกจากบ้านเดินป่าขึ้นเขา ล่วงหนทางไปหลายตำบลถึงบ้านป่าแห่งหนึ่งริมเชิงเขา บนเนินเขามีวัด เตงอูพาเล่าสิ้วบุนซกขึ้นไปถึงหน้าวัด ลงจากม้าเที่ยวดูพื้นอารามรื่นรมย์ไม้ใหญ่ขึ้นรายรอบขอบเขื่อนวัด มีน้ำพุไหลหลั่นลงจากเพิงเขา เสียงเพราะเหมือนคนดีดกระจับปี่ ลมพัดต้องใบสนฟังเหมือนเสียงขลุ่ย ในบริเวณวัดสงัดเงียบเป็นที่สะอาดน่าสนุกรโหฐานดังที่อยู่แห่งเทพยดา เตงอูพาเล่าสิ้วบุนซกเที่ยวมาเห็นตึกอันหนึ่งมีรั้วระเนียดรอบ ได้ยินเสียงกระจับปี่มีผู้ดีดเป็นเพลงต่างๆ เพราะวังเวงใจยิ่งนักพากันยืนฟังอยู่
ฝ่ายเงียมจูเหลงนั้นนั่งดีดกระจับปี่อยู่บนตึกเป็นที่สบาย แลไปตามช่องหน้าต่างเห็นคนมายืนอยู่ จึงพิศดูจำได้ว่าเตงอูกับเล่าสิ้วบุนซกมาหามีความยินดีนัก วางเครื่องเล่นลงโดยด่วนจับหมวกใส่ศีรษะออกไปรับบอกความแก่เล่าสิ้วบุนซกว่า เวลาคืนนี้ฝันว่าดาวฮ่องเต้ส่องรัศมีเข้าไปสว่างอยู่ในตึก ครั้นข้าพเจ้านั่งดีดกระจับปี่อยู่จนเวลาตะวันเที่ยงพอท่านมาถึงเห็นสมกับความฝัน เงียมจูเหลงจึงให้สานุศิษย์ชำระที่ตึกให้สะอาด แล้วเชิญเล่าสิ้วบุนซกกับเตงอูขึ้นบนตึก ให้เล่าสิ้วบุนซกนั่งที่สมควร สามคนต่างคำนับกันตามธรรมเนียม เล่าสิ้วบุนซกคิดยินดีว่าวันนี้ได้มาพบเงียมจูเหลงผู้มีสติปัญญาเหมือนเทพยดาชักนำมา เห็นว่าราชสมบัติในเมืองหลวงจะไม่พ้นมือเป็นมั่นคง เงียมจูเหลงจึงสนทนากับเล่าสิ้วบุนซกว่า แต่ข้าพเจ้าจากมาช้านานคิดถึงอยู่มิได้ขาด พอท่านมาวันนี้ข้าพเจ้ามีความยินดียิ่งนัก เงียมจูเหลงผินหน้ามาถามเตงอูว่า ท่านพาเล่าสิ้วบุนซกมาหาเราวันนี้มีธุระกังวลประการใด จงบอกเราจะช่วยให้สำเร็จความคิด เตงอูคำนับแล้วบอกว่าเล่าสิ้วบุนซกให้ข้าพเจ้าพามาให้ท่านกรุณาช่วยพิเคราะห์ดูชันษาจะคิดทำการใหญ่ กำจัดอองมังจะสมความคิดหรือจะไม่สำเร็จประการใด เงียมจูเหลงได้ฟังดังนั้นจึงบอกแก่เล่าสิ้วบุนซกว่าชันษาท่านเมื่อแรกประสูตินั้น ข้าพเจ้าได้พิเคราะห์ดูรู้ว่าท่านจะมีบุญญาธิการเป็นฮ่องเต้ ได้กำหนดจดหมายไว้แต่ก่อน ซึ่งท่านสู้ทนความยากหนหลังมาเป็นอันมาก ตั้งแต่อายุยี่สิบแปดปีมาถึงปีนี้ชะตาค่อยประเทืองขึ้นแล้ว ต่ออายุล่วงเข้าสามสิบปี ท่านจะได้เป็นฮ่องเต้ชะตาขึ้นถึงที่จะมีบุญญาธิการหาผู้เสมอมิได้ ซึ่งท่านจะเริ่มคิดการใหญ่ครั้งนี้อองมังตั้งเกลี้ยกล่อมทหารอยู่ ให้ท่านไปทำราชการเป็นขุนนางในอองมัง จะได้รู้จักคุ้นเคยกันกับพวกทหารที่มีฝีมือไว้กว่าจะมีวาสนาชะตาขึ้นถึงที่ฮ่องเต้ ทหารที่เกิดสำหรับบุญท่านก็จะมารวบรวมกันพร้อมแล้ว การใหญ่ที่คิดไว้จึงจะสำเร็จ เล่าสิ้วบุนซกจึงว่าซึ่งท่านคิดให้ดังนี้ขอบคุณนัก ซึ่งจะเข้าไปแต่ผู้เดียวหาผู้ใดจะเป็นที่ปรึกษาไม่ แม้เกิดอันตรายขึ้นกลางคันไม่มีผู้ช่วยแก้ไขข้าพเจ้าท้อใจคิดวิตกนัก เตงอูจึงว่าข้าพเจ้าจะเข้าไปด้วยในเมืองหลวง ถึงมาตรว่าอันตรายทั้งปวงมีมาจะช่วยแก้ไขอย่าวิตกเลย ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งชื่อเงียมขี แลเงียมขีคนนี้ได้สาบานเป็นน้องเงียมจูเหลงแต่ก่อนอยู่บ้านป่า เข้ามาคำนับบอกความแก่เงียมจูเหลงว่า ข้าพเจ้าจะเข้าไปเป็นทหารอองมังครั้งนี้ ท่านจงช่วยพิเคราะห์ดูจะร้ายดีประการใด เงียมจูเหลงพิเคราะห์ดูยามตามตำรารู้ว่าร้าย จึงว่าท่านอย่าเพ่อเข้าไปงดอยู่ก่อนให้พ้นยามร้ายจึงค่อยไปแต่ครั้งหลัง เงียมขีได้ฟังเงียมจูเหลงห้ามก็โกรธ จึงว่าเราจะรีบไปเอาที่จงหงวนทหารเอกก่อนทหารทั้งปวง ท่านจะห้ามไว้ให้ช้าเล่าเราจะไปให้ได้ในเวลาวันนี้ เงียมจูเหลงจึงว่าถ้ามิฟังเราห้ามท่านจะไปตายด้วยคมอาวุธ เงียมขีได้ฟังยิ่งโกรธนักไม่คำนับลุกไปด้วยกำลังโทโส เล่าสิ้วบุนซกเห็นดังนั้นจึงว่า เงียมขีจะไปถึงเมืองหลวงเป็นทางไกลไปตัวเปล่าจะเอาสิ่งใดเลี้ยงชีวิต เงียมจูเหลงจับคำที่เล่าสิ้วบุนซกถามนั้นมาเป็นเคล็ดจับยามดูรู้ว่าได้ยามดี จึงบอกว่าซึ่งท่านว่าจะไม่มีผู้ใดเข้าไปเป็นเพื่อนนั้น ในเวลานี้จะมีผู้มาไปเป็นเพื่อนช่วยแก้ไขท่านเมื่อถึงอับจนได้อยู่อย่าวิตกเลย ขณะนั้นมีชายสองคนชื่ออองป้าหนึ่ง ชื่อปังอี้หนึ่ง เป็นสานุศิษย์เงียมจูเหลงแต่ก่อน ทั้งสองเข้ามาคำนับถามอาจารย์ว่า ชายหนุ่มน้อยผู้นี้มาแต่ไหน เงียมจูเหลงจึงบอกว่าผู้มีบุญเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นโกโจชื่อเล่าสิ้วบุนซกมาหาเราจะคิดการกำจัดศัตรูราชสมบัติ บำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข คือเจ้านายของท่านแล้ว อองป้าปังอี้ดีใจนักคุกเข่าลงคำนับ เล่าสิ้วบุนซกรับคำนับถามไถ่สนทนากันเหมือนดังข้ากับเจ้า ครั้นเวลาค่ำลงท้องฟ้าแผ้วปราศจากเมฆหมอก เงียมจูเหลงจึงพาเล่าสิ้วบุนซกเตงอูอองป้าปังอี้ขึ้นไปนั่งบนร้านสูง จึงชี้บอกดาวจีหมุยแลดาวบริวารยี่สิบแปดดวงให้เล่าสิ้วบุนซกดู เล่าสิ้วบุนซกเห็นดาวรัศมีสว่างงาม จึงถามเงียมจูเหลงว่าถ้าข้าพเจ้าจะเข้าไปเมืองหลวงดาวจะเป็นประการใดเล่า เงียมจูเหลงจึงบอกว่าดาวจีหมุยนี้ ท่านไปอยู่แห่งใดดาวก็จะย้ายราศีไปตาม เล่าสิ้วบุนซกจึงว่าดาวจีหมุยมีรัศมีสว่างนักจะย้ายตามข้าพเจ้าไปเมืองหลวง กลัวเกลือกมีผู้รู้จะบอกอองมังทราบความ ขุกเหตุการณ์จะบังเกิดแก่ข้าพเจ้าจะคิดแก้ประการใด เงียมจูเหลงจึงว่าถ้าดังนั้นจะสะกดรัศมีดาวจีหมุยมิให้ท่านมีอันตราย เงียมจูเหลงจึงเรียกสานุศิษย์ตักน้ำใส่ถาดล้างหน้าแล้ว แต่งตัวถือกระบี่นั่งบริกรรมมนต์ไสยศาสตร์ประมาณครู่หนักหนึ่ง บันดาลดาวจีหมุยตกลงมาในถาดน้ำรัศมีรุ่งเรือง เล่าสิ้วบุนซกกับเตงอูอองป้าปังอี้เห็นอัศจรรย์ประจักษ์แก่ตาสี่คน เงียมจูเหลงอ่านมนต์สะกดรัศมีดาวเสื่อมหายแล้ว พาเล่าสิ้วบุนซกกับเตงอูอองป้าปังอี้ลงมาเข้าตึกนอนเป็นสุขทั้งสี่คน ครั้นรุ่งเช้าเงียมจูเหลงให้สานุศิษย์แต่งโต๊ะเลี้ยงแล้ว จึงบอกเล่าสิ้วบุนซกว่าวันนี้เป็นยามปลอด ท่านกับเตงอูอองป้าปังอี้เข้าไปอยู่ในเมืองหลวงทำราชการเป็นทหารอองมังเถิด จะได้คุ้นเคยกับทหารอันเกิดคู่สำหรับบุญซึ่งตกอยู่ในอองมังนั้น เงียมจูเหลงเปลี่ยนชื่อเล่าสิ้วบุนซกใหม่ ให้เตงอูอองป้าปังอี้เรียกเล่าสิ้วบุนซกว่ากองบู๊โดยตำรับ หวังจะให้ชื่อข่มทับนามอองมัง จะให้กองบู๊เป็นเจ้าจอมทหารปรากฏเกียรติยศในการสงคราม เงียมจูเหลงจึงสั่งกำชับเตงอูว่า ตัวท่านเป็นผู้ใหญ่เอาใจใส่ห้ามปราม กองบู๊ยังหนุ่มแก่ความนักชันษาไม่ถึงที่จะมีบุญ ถ้าเห็นชอบที่จะฆ่าอย่าฆ่าจะได้ความเดือดร้อน แม้นเห็นชอบที่จะยิงอย่าเพ่อยิงความทุกข์จะถึงตัว เงียมจูเหลงเขียนหนังสือกำชับส่งให้เตงอูฉบับหนึ่ง แล้วสั่งให้สานุศิษย์จัดเสบียงใส่ไถ้ให้ไปกินกลางทาง กองบู๊กับเตงอูอองป้าปังอี้คำนับลาเงียมจูเหลงขึ้นขี่ม้าไปตามทางหลายวัน ถึงเมืองหลวงลงจากม้าพากันเข้าไปอาศัยร้านแห่งหนึ่งเป็นที่สำนักนั่งหยุดพักหายเหนื่อยทั้งสี่คน เข้าไปชมบ้านเมืองมั่งคั่งไปด้วยตึกกว้านร้านตลาดเป็นที่แสนสนุกนัก กองบู๊เข้ามาถึงประตูใหญ่ให้คิดแค้นขึ้นมาด้วยอองมัง จะชิงสมบัติของพระเจ้าเปงเต้ด้วยกำลังโกรธไม่ทันยั้งวาจา ยกมือชี้เข้าที่ประตูใหญ่ว่า ถ้าสมคิดกูจะแก้แค้นอ้ายศัตรูราชสมบัติคืนเอาเมืองให้จงได้ เตงอูอองป้าปังอี้ได้ยินดังนั้นตกใจนัก จึงจูงมือกองบู๊ไปที่ไม่มีคนแล้วว่า ท่านว่ากล่าวคำทั้งนี้มีผู้ไปบอกอองมัง อองมังจะมาจับไปฆ่าพากันตายเสียเปล่า อองป้ากับปังอี้ว่าแล้วสองคนแยกไปทางอื่น กองบู๊มิได้ว่าประการใดจึงพาเตงอูเที่ยวไปตามถนนกลางเมือง มีขุนนางผู้หนึ่งแห่มามีทหารหน้าหลังเป็นอันมาก จึงถามเตงอู เตงอูไม่รู้จัก ชาวเมืองซึ่งเดินมาเคียงใกล้ได้ยินจึงบอกว่า ขุนนางผู้นี้ชื่อโซเหี้ยน กองบู๊ได้ยินบอกออกชื่อโซเหี้ยนมีความแค้นนัก จึงกระซิบบอกเตงอูว่าอ้ายโซเหี้ยนคนนี้ฆ่าญาติวงศ์เราตายเป็นอันมาก เพิ่งรู้จักหน้าวันนี้ ควรฆ่ามันให้ตายจึงจะหายแค้น กองบู๊ชักกระบี่จากฝักจะตามโซเหี้ยนไป เตงอูตกใจฉวยฉุดมือไว้แล้วว่าท่านทำดังนี้ไม่ชอบ ถ้าเกิดความขึ้นตัวข้าพเจ้าผู้เดียวนี้เหลือกำลังนัก จะคิดแก้ไขท่านนั้นขัดสน เมื่อข้าพเจ้าจะมากับท่านนี้อาจารย์ได้กำชับสั่งทุกประการ เตงอูจึงพากองบู๊มายืนอยู่ให้พ้นคนแล้วส่งหนังสือเงียมจูเหลงให้กองบู๊ กองบู๊อ่านได้ความว่าถึงที่ฆ่าอย่าฆ่าถึงที่ยิงอย่ายิง แม้นฆ่าจะได้ความเดือดร้อน ถ้ายิงทุกข์จะถึงตัว กองบู๊อ่านหนังสือแล้วระงับลงไว้จึงว่า ถ้าท่านไม่ห้ามปรามข้าพเจ้าเห็นการที่คิดมาจะเสียเป็นมั่นคง กองบู๊จึงพาเตงอูเดินตามถนน ผู้คนเบียดเสียดหนาแน่น กองบู๊พลัดเตงอูไปแต่ผู้เดียวเที่ยวหาเตงอู พอพบเพื่อนรักคนหนึ่งพาไปกินสุรา กองบู๊เมาสุราแล้วกลับมานอนอยู่สำนักอาศัย
ฝ่ายเงียมขีครั้นถึงเมืองหลวงจะเข้าไปในเมือง พอทหารแห่โซเหี้ยนมา เงียมขีมิได้หลบหลีกเดินฝ่าทหารเข้าไป โซเหี้ยนเห็นดังนั้นก็โกรธว่าเงียมขีไม่ยำเกรง จึงสั่งทหารให้จับเอาตัวเงียมขีไปฆ่าเสียนอกประตูเมือง ขณะนั้นชาวเมืองพากันวิ่งออกไปดูเป็นอันมาก ฝ่ายเตงอูเที่ยวหากองบู๊ไปพบปังอี้กับอองป้า จึงพากันเที่ยวหากองบู๊มิได้พบ พอได้ยินคนทั้งปวงเดินพูดกันว่า ชายคนหนึ่งรูปร่างเป็นทหาร โซเหี้ยนให้จับตัวออกไปฆ่าเสียที่นอกประตูใหญ่ เตงอูได้ยินดังนั้นคิดว่ากองบู๊ โซเหี้ยนจับไปฆ่าเสียตกใจนัก จึงพาอองป้าปังอี้ไปโดยเร็ว ถึงประตูใหญ่แลไปแต่ไกลเห็นคนตายคนหนึ่งใจนึกสำคัญว่ากองบู๊ ทั้งสามตกตะลึงอยู่ ครั้นได้สติขึ้นมาจึงเข้าไปยืนพิจารณาดูคนตายนั้น จำได้ว่าเงียมขีมิใช่กองบู๊ค่อยคลายหายความทุกข์ จึงพากันกลับมาที่อาศัยเห็นกองบู๊ เตงอูจึงถามว่าท่านไปแห่งใดข้าพเจ้าทั้งสามคนเที่ยวตามหาไม่พบ กองบู๊บอกว่าข้าพเจ้าพลัดท่านไปพบเพื่อนพากันไปกินสุราเมาแล้วกลับมานอนคอยท่านอยู่ เตงอูจึงว่าข้าพเจ้าเที่ยวหาท่าน พอได้ยินข่าวว่าโซเหี้ยนฆ่าคน สำคัญว่าจับท่านได้มีความตกใจวิ่งไปดูรู้ว่ามิใช่ท่าน คนที่ตายนั้นคือเงียมขี กองบู๊แจ้งความดังนั้นจึงสรรเสริญชมว่าเงียมจูเหลงดูยามแม่นยำนัก เหมือนเทพยดาอันมีจักษุเป็นทิพ เงียมขีคนนี้เงียมจูเหลงได้ห้ามว่าต้องยามร้าย เงียมขีไม่เชื่อคำเข้ามาหาที่ตายเอง กองบู๊กับเตงอูอองป้าปังอี้ทั้งสี่คนเข้าอาศัยร้านอยู่ที่นั้นหลายเวลา พอมีผู้มาบอกว่าเวลาพรุ่งนี้ อองมังจะออกมาดูทหารใหม่สอบสวนเพลงอาวุธ ผู้ใดมีฝีมือจะให้เป็นที่จงหงวนนายทหารเอก กองบู๊ได้ฟังดังนั้นยินดีนัก จึงปรึกษากันทั้งสี่คนว่าจะเข้าไปเป็นขุนนางนายทหารอยู่ในอองมังตามคำเงียมจูเหลงสั่งมา ครั้นเวลารุ่งเช้ากองบู๊กับเตงอูอองป้าปังอี้พากันออกจากที่ร้านอาศัย พากันไปคอยอองมังอยู่พร้อมกับทหารทั้งปวงซึ่งจะเข้ามาสอบสวนเพลงอาวุธนอกประตูสนาม
ฝ่ายอองมังครั้นเวลาจะออกเลือกจัดฝีมือทหาร จึงขึ้นรถพร้อมด้วยขุนนางตามออกไปขึ้นบนพลับพลา ขุนนางฝ่ายซ้ายขวาเฝ้าตามตำแหน่ง จึงสั่งให้เอาเชือกแดงวงรอบสนามกันคนดูมิให้เข้ามาปนทหาร แล้วสั่งพนักงานแต่งโต๊ะเตรียมเลี้ยงผู้ซึ่งจะเข้ามาสอบซ้อมเพลงอาวุธเสร็จแล้ว อองมังจึงร้องบอกว่า บรรดาผู้มีฝีมือชำนาญในวิชาข้างทหารทั้งปวง จงเข้ามาสอบซ้อมเพลงอาวุธในสนาม ถ้าฝีมือดีจะแต่งตั้งให้เป็นจงหงวนนายทหารเอก แม้นฝีมืออย่างกลางจะให้เป็นขุนนางตามสมควร
ฝ่ายอองป้ากับปังอี้ได้ยินอองมังสั่งดังนั้น จึงบอกกองบู๊ว่าข้าพเจ้าสองคนจะเข้าไปสอบซ้อมเพลงอาวุธลองฝีมือดูก่อน อองป้ากับปังอี้ว่าแล้วเดินเข้าไปถึงประตูสนาม พอพบหลีต๋งหนึ่ง อองเหลียงหนึ่ง ปินสิวหนึ่ง ต่างคนถามแซ่แลชื่อรู้จักกันทั้งห้าคน ตามกันเข้ามาคำนับอองมังแล้วยืนอยู่ในสนาม อองมังจึงสั่งให้ทหารใหม่ยิงเกาทัณฑ์ก่อนจึงรำเพลงอาวุธซ้อมสวนฝีมือกันต่อภายหลัง ฝ่ายทหารทั้งห้าคนจึงยิงเกาทัณฑ์แล้วรำเพลงอาวุธชำนิชำนาญรับรองป้องปัดว่องไวไม่แพ้ไม่ชนะกัน อองมังเห็นดังนั้นจึงเรียกทหารทั้งห้าคนเข้ามาให้กินโต๊ะแล้วตั้งให้เป็นขุนนางนายทหาร
ฝ่ายกองบู๊ยืนอยู่กับเตงอูนอกสนาม แลเห็นอองมังเลี้ยงโต๊ะทหารใหม่มีใจแค้นจึงคิดว่า อองมังมันชิงสมบัติพระเจ้าเปงเต้ฆ่าญาติวงศ์กูเสียเป็นอันมาก ครั้งนี้ได้ท่วงทีอยู่แล้ว กูจะยิงเสียให้ตายจึงจะหายที่ความแค้น คิดแล้วฉวยชิงได้เกาทัณฑ์ทหารที่ยืนอยู่ใกล้น้าวหน่วงยิงด้วยกำลังโทสะคันเกาทัณฑ์หักออกไป อองมังเห็นดังนั้นก็โกรธจึงสั่งทหารให้จับได้ตัวกองบู๊
ฝ่ายเตงอูตกใจกลัวไม่รู้ที่จะทำประการใดหลบหลีกหนีเอาตัวรอด อองมังจึงให้ซักถามว่าหนุ่มน้อยนั้นชื่อใดเป็นแซ่ไหนจึงองอาจ ไม่กลัวอาญาเข้ามาทำการทั้งนี้เร่งให้การแต่ความจริง กองบู๊จึงบอกว่า ตัวข้าพเจ้าแซ่กิมชื่อห่ออยู่บ้านแขวงเมืองน่ำเอี๋ยง สืบรู้ว่าท่านให้หาผู้ชำนาญวิชาฝ่ายทหาร ข้าพเจ้าเข้ามาจะยิงเกาทัณฑ์ให้ท่านดู เกาทัณฑ์นั้นคันเก่าเป็นเคราะห์ข้าพเจ้า น้าวเกาทัณฑ์ลองกำลังพอคันหักออกไป ข้าพเจ้าจะแกล้งเข้ามาคิดร้ายแก่ท่านหามิได้ อองมังไม่เชื่อจึงสั่งทหารให้เอาไปฆ่าเสีย โอเอี๋ยงขุนนางผู้เฒ่าจึงว่ากล่าวทัดทานไว้ ว่าท่านจะเกลี้ยกล่อมทหารที่ฝีมือดีมีกฎหมายแจกไปทุกตำบลต่างคนเข้ามา กิมห่อเป็นชาวป่าไม่มีอัธยาศัยน้าวหน่วงประลองเกาทัณฑ์คันหักออกไป ทำให้เป็นข้อระแวงสงสัยว่าจะประทุษร้ายต่อท่าน ซึ่งจะลงโทษถึงสิ้นชีวิตนั้นข้าพเจ้าเห็นว่ากิตติศัพท์เล่าลือไป ผู้ที่มีคุณวิชาเกรงกลัวอาญาคิดท้อใจไม่เข้ามาจะเสียการ เห็นหาได้ทหารฝีมือดีไม่ ข้าพเจ้าขอชีวิตกิมห่อไว้ครั้งหนึ่ง ถึงมาตรว่ากิมห่อจะมีฝีมือดีประการใด อย่าเอาไว้เป็นทหารเลยจงขับเสีย อองมังได้ฟังดังนั้นเห็นชอบ จึงสั่งทหารให้ขับกิมห่อเสียนอกสนาม ขณะนั้นพิถองหนึ่ง เกงต้านหนึ่ง ขับเอี๋ยงหนึ่ง เกียนกำหนึ่ง ทหารใหม่ทั้งสี่คนพากันเข้าไปในสนามยิงเกาทัณฑ์แล้วสอบสวนเพลงอาวุธให้อองมังดู อองมังเรียกเอาทหารสี่คนมาไว้ให้กินโต๊ะตามพวกทหารใหม่ มีทหารคนหนึ่งสูงห้าศอกคืบสามนิ้วหน้าขาวเป็นมันเลื่อมเหมือนแก้ว จักษุทั้งสองผ่องใสงามดังดาวเดินเข้ามาในสนาม อองมังเห็นรูปงามสมควรเป็นขุนนางนายทหาร จึงถามว่าตัวชื่อใดอยู่บ้านไหน ทหารผู้นั้นจึงคำนับว่าข้าพเจ้าชื่องิมเหงอยู่บ้านเก๊กเอี๋ยงเข้ามายิงเกาทัณฑ์สอบเพลงอาวุธ จะเป็นทหารทำราชการอยู่ในท่าน อองมังจึงให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ขนาดใหญ่ทั้งสามคันมาวางไว้ต่อหน้า แล้วว่าท่านจงเลือกเกาทัณฑ์พอสมควรแก่กำลังชอบมือท่าน แล้วจึงยิงเกาทัณฑ์ให้เราดูฝีมือก่อน งิมเหงจึงขึ้นเกาทัณฑ์น้าวหน่วงประลองสายเกาทัณฑ์ต้านทานกำลังมิได้หักเสียสองคัน ยังแต่เกาทัณฑ์คันใหญ่ชอบมืองิมเหง งิมเหงถอยออกไปไกลเป้าร้อยก้าวแล้วยิงถูกใจดำทั้งสามครั้ง อองมังเห็นงิมเหงยิงเกาทัณฑ์แม่นมีความยินดีนัก จึงเรียกงิมเหงเข้ามาแล้วสั่งให้เป็นที่จงหงวนนายทหารเอก ขุนนางคนสนิทผู้หนึ่งจึงว่าแก่อองมัง ซึ่งที่จงหงวนนี้เป็นที่ชอบใจแก่ผู้มีฝีมือฝ่ายทหาร ถ้าที่จงหงวนเป็นของงิมเหงแล้ว ผู้มีฝีมือดีทั้งปวงเห็นหาเข้ามาอีกไม่ ขอท่านจงว่าที่จงหงวนไว้เป็นส่วนกลางก่อน ให้ทหารใหม่ทั้งปวงบรรดามาสอบสวนฝีมืองิมเหงดู ถ้าไม่มีผู้ใดสู้งิมเหงแล้ว จึงให้ที่จงหงวนแก่งิมเหงต่อภายหลัง อองมังได้ฟังดังนั้นมิได้ว่าประการใด
ฝ่ายเกงต้านจึงออกมายืนกลางสนามร้องว่าผู้ใดจะชิงเอาที่จงหงวนของเราไป ให้เร่งออกมาต่อสู้ดูฝีมือกับเรา อองมังเห็นดังนั้น จึงสั่งให้งิมเหงกับเกงต้านขี่ม้ารำเพลงอาวุธสอนสวนฝีมือกัน ฝ่ายสองนายคำนับรับคำอองมังออกมา งิมเหงแต่งตัวสวมเกราะในใส่เสื้อสีชมพูถือง้าวใหญ่ขี่ม้าสีแสดห้อยพู่จามจุรีแดงทั้งสองหูดูงามสมควรแก่ผู้ขี่
ฝ่ายเกงต้านสวมเกราะใส่เสื้อเขียวขี่ม้าขาวห้อยพู่จามจุรีเขียว ถือทวนคันยาวเจ็ดศอกคืบ ชักม้ารำเพลงอาวุธเข้ารบกันกับงิมเหงหลายเพลง งิมเหงทำชักม้าเสียทีเกงต้านแทงด้วยทวนไม่ถูก ม้าเกงต้านซวนถลำเข้าไป งิมเหงจะฟันด้วยง้าวเป็นอาวุธยาวไม่ทันฟัน ฉวยชักเอากิมเปียวอาวุธสั้นซึ่งซ่อนไว้ในเสื้อแทงถูกเกราะเกงต้านตกลงจากม้า อองมังเห็นมีชัยชนะมีความยินดีนัก จึงตั้งงิมเหงให้เป็นที่ไซซีวเจียงกุ๋น ฝ่ายขับเอี๋ยนเห็นเกงต้านแพ้ก็โกรธ จึงขับม้าออกมาชวนงิมเหงรบ งิมเหงชักม้ารำง้าวเข้ารบกับขับเอี๋ยนได้สามเพลง งิมเหงทำเสียทีขับเอี๋ยนไล่ถลำเข้าไป งิมเหงฉวยชักอาวุธสั้นตีถูกขับเอี๋ยนตกม้าลง
ฝ่ายเกียนถำเห็นดังนั้น จึงขึ้นม้าออกรบกับงิมเหงไม่ทันถึงสามเพลง งิมเหงยิงด้วยเกาทัณฑ์ถูกเกราะเกียนถำตกม้าวิ่งหนีไป อองมังเห็นงิมเหงมีฝีมือกล้าแข็ง ชนะทหารทั้งสามคนแต่ในเวลาเดียว จึงสรรเสริญว่างิมเหงฝีมือดีควรที่จงหงวนทหารเอก โซเหี้ยนจึงว่าทหารที่มีฝีมือเหมือนงิมเหงนี้จะยังมีอยู่ ให้งิมเหงควบม้าร้องเรียกทหารทั้งปวงให้มาสอบสวนสู้รบงิมเหง ถ้าไม่มีผู้ใดเข้ามาต่อสู้แล้วจึงตั้งให้งิมเหงเป็นจงหงวน ขณะนั้นมีทหารคนหนึ่ง รูปร่างโตใหญ่สูงห้าศอกคืบแปดนิ้ว หน้าเขียวเหมือนสีหลังปูทะเล หนวดแข็งเหมือนลวดทองแดง ได้ยินดังนั้นจึงเข้ามายืนอยู่กลางสนามร้องว่าผู้ใดจะมาชิงเอาที่จงหงวนของเรานั้น เร่งออกมาต่อสู้ดูฝีมือกันกับเราก่อน อองมังเห็นดังนั้นจึงถามว่าท่านชื่อใดมาแต่ไหน ทหารผู้นั้นจึงคำนับแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อม้าบู๊ชาวเมืองน่ำเอี๋ยงจะเข้ามาสอบสวนเพลงอาวุธเอาที่จงหงวน แต่มาคอยอยู่ช้านานท่านไม่เรียกข้าพเจ้า ท่านเรียกเอาแต่งิมเหงเข้ามาจะให้ที่จงหงวนนั้น ข้าพเจ้าจะขอสอบสวนต่อสู้ดูฝีมืองิมเหงก่อน ถ้างิมเหงแพ้ข้าพเจ้าจะขอเอาที่จงหงวน อองมังจึงสั่งให้งิมเหงกับม้าบู๊ให้สอบสวนฝีมือกัน ม้าบู๊สวมเกราะใส่เสื้อเขียวขี่ม้าเขียว ถือง้าวใหญ่ออกยืนกลางสนาม
ฝ่ายงิมเหงจึงขับม้าเข้ารบกับม้าบู๊ด้วยเพลงง้าวได้ยี่สิบเพลง อองมังเห็นงิมเหงกับม้าบู๊ต่างคนต่างว่องไวในเพลงอาวุธมิได้แพ้ชนะแก่กันจึงร้องห้ามออกไปให้หยุด ฝ่ายสองนายได้ยินอองมังห้าม จึงลงจากม้าเข้ามาคำนับ อองมังจึงว่าแก่ม้าบู๊ซึ่งที่จงหงวนนั้นเราได้ยกให้งิมเหงก่อนแล้ว ตัวท่านมาภายหลังจงเป็นแต่ปางันทหารโทเถิด ม้าบู๊ไม่ชอบใจจึงตอบว่าข้าพเจ้ากับงิมเหงฝีมือทัดกันอยู่ ข้าพเจ้าจะขอต่อสู้ดูฝีมือกับงิมเหงให้ถึงแพ้ชนะ จะขอเอาที่จงหงวนทหารเอกให้จงได้ ซึ่งท่านจะให้ที่ปางันทหารโทข้าพเจ้าไม่ยอม อองมังจึงให้งิมเหงรบกับม้าบู๊ต่อไป ฝ่ายสองนายทหารต่างคนขึ้นม้ารำง้าวเข้าต่อสู้กันถึงห้าสิบเพลง ม้าบู๊ทำชักม้าเสียที งิมเหงเงื้อง้าวฟันไม่ถูก ม้าบู๊ชักเชือกบ่วงบาศออกจากเสื้อซัดไปคล้องงิมเหง งิมเหงฉวยจับเชือกบ่วงบาศได้ ต่างคนชักฉุดชิงกันอยู่
ฝ่ายงอฮั่นเห็นดังนั้น จึงยิงเกาทัณฑ์ตัดเชือกบ่วงขาด งิมเหงกับม้าบู๊ยื้อแย่งเชือกชิงกัน ครั้นเชือกขาดมิทันยั้งตัวต่างคนตกม้าลง แล้วขึ้นขี่ม้าจะเข้ารบกันสืบไป อองมังร้องห้ามว่าอย่ารบกันเลย ที่จงหงวนเป็นของงิมเหงแล้ว ม้าบู๊จึงตอบว่าข้าพเจ้ากับงิมเหงมิได้เพลี่ยงพล้ำแก่กันในการรบ เหตุใดจึงจะให้เป็นทหารรองงิมเหงเล่า อองมังจึงตอบว่าท่านเสมอกับงิมเหงแต่ฝีมือ รูปร่างไม่งามพร้อมเหมือนงิมเหง เราให้งิมเหงเป็นที่จงหงวน ตัวท่านสมควรที่ปางันเป็นนายทหารเหมือนกัน ท่านอย่าเลือกตำแหน่งเลย ม้าบู๊จึงตอบว่าเดิมท่านแจกกฎหมายไปว่าให้เข้ามาสอบสวนเพลงอาวุธ ผู้ใดมีฝีมือดีจะให้ที่จงหงวน ถ้ารู้ว่าจะเลือกสรรเอาทั้งรูปร่างด้วยฉะนี้ ถึงมาตรว่าจะตายก็จะสู้ตายอยู่ในป่า หาพอที่จะเข้ามาให้ได้ความอัปยศแก่คนทั้งปวงไม่ อองมังได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งทหารเลวให้ขับม้าบู๊เสีย ม้าบู๊มีความน้อยใจนักเดินพลางบ่นว่าเกิดมาเป็นชายให้หนีที่มืดไปหาที่สว่างได้ พบผู้มีบุญจึงจะมีชื่อปรากฏในแผ่นดิน ซึ่งจะเอาตัวเข้าเกลือกกลั้วกับอ้ายศัตรูแผ่นดิน อุปมาเหมือนบ่ายหน้ามาหาที่มืดฉะนี้ไม่ชอบ ม้าบู๊ไปถึงประตูเมืองจึงจารึกอักษรเป็นโคลงสี่บทว่ากล่าวแก่อองมังเป็นข้อหยาบช้า เขียนบอกชื่อไว้ว่ากูผู้ชื่อม้าบู๊จารึกโคลงนี้ ผู้ใดอ่านแล้วเร่งไปบอกแก่อองมังให้รู้ด้วย ม้าบู๊เดินไปตามทาง
ฝ่ายกองบู๊ครั้นอองมังขับเสีย จึงออกมาเที่ยวหาเตงอูมิได้พบตลบคืนเข้ามายืนดูทหารสอบสวนอาวุธ แจ้งความว่าอองมังสั่งให้ขับม้าบู๊เสีย มีความยินดีด้วยจะได้ชักชวนไว้เป็นทหาร จึงตามม้าบู๊ออกไปทันม้าบู๊ที่พุ่มไม้แห่งหนึ่ง แล้วเรียกม้าบู๊ให้หยุดอยู่ กองบู๊จึงบอกความตามที่คิดกันไว้แต่หลังให้ม้าบู๊ฟังทุกประการ ม้าบู๊รู้ว่ากองบู๊เชื้อพระวงศ์กษัตริย์จะคิดการกำจัดอองมังสมกับความคิดดีใจนัก จึงคุกเข่าลงคำนับตามธรรมเนียมข้ากับเจ้า แล้วว่าซึ่งจะเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงดังนี้ มีผู้รู้ความว่าเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเปงเต้จะไปบอกแก่อองมัง อองมังจะสืบเอาไปประหารชีวิตเสีย การที่คิดไว้จะไม่สำเร็จเป็นมั่นคง ขอท่านจงออกอยู่ป่าซ่องสุมทแกล้วทหารเริ่มคิดการใหญ่ ข้าพเจ้าจึงจะไปเข้าด้วยช่วยทำการกว่าจะสำเร็จ กองบู๊ได้ฟังดังนั้นเห็นชอบรับคำม้าบู๊ทั้งสองให้สัญญาแก่กันแล้ว ม้าบู๊คำนับลาออกป่า กองบู๊กลับเข้ามาเที่ยวหาเตงอูไปถึงหอฮั่นหลิมอี๋รู้จักกับผู้อยู่ที่นั้น ได้คุ้นเคยกันเมื่อครั้งเรียนหนังสือแต่ก่อน กองบู๊เข้าอาศัยนอนเล่นพอหายที่เหนื่อยอ่อน ลมพัดมาเย็นๆ หลับไป
ฝ่ายอองอูบุตรอองมังออกไปเรียนหนังสืออยู่ ณ ตังเก๋งเป็นหลายปีมิได้มาในวัง วันนั้นอองอูพาทารกซึ่งเรียนหนังสือทั้งปวงเข้ามาเที่ยวเล่นหน้าหออาลักษณ์ ทารกสิบคนเข้าไปในหออาลักษณ์ พบคนแปลกหน้ามานอนเห็นเป็นมังกรเหลืองประคองอยู่ ต่างคนตกใจวิ่งออกไปจากหออาลักษณ์
ฝ่ายเล่าสิ้วบุนซกตื่นขึ้นได้ยินเสียงพวกทารกพูดกันอื้ออึงจึงออกจากหออาลักษณ์หลีกหนีไป ฝ่ายอองมังครั้นดูทหารใหม่ซ้อมมือกันจนเวลาตะวันบ่าย จึงขึ้นรถพาขุนนางกลับเข้าวังมาถึงหน้าตึกซึ่งจารึกชื่อบิดามารดา พอทารกสิบคนวิ่งเข้ามาคำนับบอกว่าในห้องหอฮั่นหลิมอี๋มีหนุ่มน้อยคนหนึ่ง มีรัศมีเหมือนหมอกมังกรเหลืองประคองอยู่ จะเป็นมนุษย์หรือเทพยดาหาแจ้งไม่ อองมังได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่าชะรอยผู้มีบุญจะเข้ามาอยู่ กูจะเอาไปตั้งให้เป็นกษัตริย์พอพ้นความนินทาแล้วจะคิดฆ่าเสียด้วยอุบายไปภายหน้าจึงจะสิ้นเสี้ยนหนามวายความวิตก อองมังคิดแล้วถือกระบี่ลงจากรถเดินไปถึงหน้าหออาลักษณ์ เห็นอองอูซึ่งให้ไปอยู่เรียนเรียนหนังสือ อองมังแปลกไปสำคัญว่าผู้มีบุญ อองอูเห็นอองมังผู้บิดามาจะวิ่งหนี อองมังจับมือไว้แล้วว่าท่านอย่าตกใจข้าพเจ้าจะให้ท่านเป็นเจ้า ว่าแล้วอุ้มพามาขึ้นรถไปถึงที่ออกขุนนาง เชิญอองอูขึ้นนั่งที่สำหรับกษัตริย์จะตั้งศักราชใหม่ พอมีผู้เข้ามาบอกว่ามีคนจารึกอักษรเป็นข้อหยาบช้าไว้ ณ ประตูเมืองหลวงนั้น เขียนชื่อบ้างมิได้บอกชื่อบ้าง อองมังจึงกลับออกไปอ่านหนังสือที่เขียนไว้เป็นหลายแห่ง แต่หนังสือแห่งหนึ่งนั้นชื่อม้าบู๊ อยู่บ้านโอเอี๋ยงกุ๋ยแขวงเมืองน่ำเอี๋ยง เขียนไว้เป็นถ้อยคำหยาบช้าอองมังโกรธนัก จึงสั่งโซเหี้ยนเร่งตามจับเอาตัวอ้ายม้าบู๊มาฆ่าเสียให้จงได้ โซเหี้ยนคำนับลาไปจับเจ้าของร้านที่ม้าบู๊เคยสำนักมาให้อองมัง อองมังจึงซักถามว่าม้าบู๊อาศัยอยู่ร้านตัวแล้ว บัดนี้ม้าบู๊มันอยู่แห่งใดจงบอกแต่ความจริง ถ้าอำพรางไว้จะเอาตัวเป็นโทษถึงชีวิต ชาวร้านตกใจกลัวอาญาจึงบอกว่าม้าบู๊มาเช่าร้านข้าพเจ้าอยู่ ครั้นรุ่งเช้าม้าบู๊ไปมิได้กลับมาคุ้มเท่าวันนี้ มิได้รู้ว่าม้าบู๊จะไปแห่งใด อองมังจึงให้ปล่อยชาวร้านไปเสีย แล้วกลับมาประชุมขุนนางปรึกษาจะตั้งอองอูเป็นกษัตริย์ ด้วยสำคัญว่าเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นโกโจ อองอูเห็นดังนั้นจึงคำนับอองมังแล้วถามว่า ท่านได้ว่าราชการเมืองหลวงอยู่แล้ว เหตุใดท่านจะตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ขึ้นอีกเล่า อองมังจึงว่ามีผู้มาบอกข้าพเจ้าว่าท่านมีรัศมีมังกรประคองอยู่ ข้าพเจ้ารู้ว่าผู้มีบุญจึงเชิญมาเป็นกษัตริย์บำรุงราษฎรได้อยู่เย็นเป็นสุข เหตุใดท่านจะถอยหลังเสียเล่า อองอูเห็นบิดาแปลกคำนับแล้วจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่ออองอูออกไปอยู่ตังเก๋งเป็นหลายปีมิได้มาบิดาแปลกข้าพเจ้าหรือ อองมังได้ฟังดังนั้นพิเคราะห์ดูรูปทรงก็จำได้ว่าอองอูมีความยินดีนัก จึงบอกแก่ขุนนางทั้งปวงว่า บุตรเรามีบุญจะได้สืบกษัตริย์แทนเราไปภายหน้า
ฝ่ายขุนนางซึ่งรู้เนื้อความแต่ก่อน จึงบอกว่าเมื่อท่านออกไปเลือกฝีมือทหารใหม่นั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าสิ้วบุนซกเชื้อวงศ์พระเจ้าเปงเต้ปลอมเข้ามาชิงเกาทัณฑ์ทหารใหม่ยิงท่าน คันเกาทัณฑ์หักจับตัวไว้ เล่าสิ้วบุนซกบอกว่าชื่อกิมห่อท่านปล่อยเสีย เข้ามาอาศัยนอนอยู่ ณ หออาลักษณ์ ซึ่งเด็กหนุ่มพวกเรียนหนังสือเข้ามาบอกว่าเห็นมังกรประคองอยู่มิใช่ผู้อื่น คือตัวเล่าสิ้วบุนซกเป็นมั่นคง อองมังได้ฟังจึงตอบว่าเหตุใดรู้ความแล้วไม่บอกจะได้ออกไปค้นดูให้ทันที อองมังได้ฟังจึงสั่งโซเหี้ยนเร่งไปค้นเอาตัวเล่าสิ้วบุนซกมาให้จงได้ โซเหี้ยนคำนับลาพาทหารออกไปค้นในห้องอาลักษณ์ไม่พบ จึงให้ปิดประตูเมืองหลวงสั่งทหารทั้งปวงให้เที่ยวค้นตามถนนร้านตลาดเป็นอลหม่านทั้งเมืองไม่พบ โซเหี้ยนกลับมาแจ้งความแก่อองมัง อองมังจึงให้เขียนรูปเล่าสิ้วบุนซกมีมังกรประคองกับหนังสือไปปิดไว้ที่ประตูบ้านขุนนางและราษฎรทั้งนอกเมืองในเมืองว่า ถ้าผู้ใดจับตัวเล่าสิ้วบุนซกเป็นคนมีวิชามังกรเหลืองประคองรักษาอยู่ กับม้าบู๊ซึ่งเขียนหนังสือไว้เป็นข้อหยาบช้านั้น ถ้าจับตัวมาได้ไพร่จะให้เป็นขุนนาง แม้นเป็นขุนนางแล้วจะเลื่อนที่เป็นยศศักดิ์ ผู้ใดคบเอาตัวเล่าสิ้วบุนซกกับม้าบู๊ไว้ มีผู้มาบอกจะให้เป็นขุนนางโดยสมควรแก่ความชอบ ผู้ซึ่งอำพรางจะเอาตัวฆ่าเสียให้สิ้นถึงสามชั่วโคตร บรรดาทหารอองมังแจ้งความในหนังสือนั้น ต่างคนจะใคร่ได้ความชอบแยกย้ายกันเที่ยวด้อมมองตามช่องตรอกถนนหนทางค้นหาเล่าสิ้วบุนซกกับม้าบู๊ เสียงป่าวร้องบอกกันอื้ออึงทั้งเมือง