๒๘
พระเจ้าโฮเต้เสวยราชสมบัติบำรุงราษฎรโดยยุติธรรม พระชันษาได้ยี่สิบเจ็ดปี อยู่ในราชสมบัติสิบเจ็ดปี ประชวรพระโรคปัจจุบันเสด็จสวรรคต ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยพร้อมกันทำการฝังพระศพตามอย่างกษัตริย์ แล้วยกเลียงเหลงพระราชบุตรพระชันษาสามเดือนกับสิบวัน อันเกิดด้วยเลียงไทเฮาพระมเหสี ถวายพระนามพระเจ้าเฮาเลียงฮ่องเต้ เสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดาสืบไป ครั้นถึงวันศุภฤกษ์ เลียงไทเฮาทรงอุ้มพระเจ้าเฮาเลียงฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน อยู่ได้สองปีเศษพระเจ้าเฮาเลียงฮ่องเต้สู่สวรรคต เลียงไทเฮาผู้เป็นพระราชมารดาว่าราชการสืบไป อยู่วันหนึ่งเลียงไทเฮาปรึกษาขุนนางว่า แผ่นดินเมืองหลวงมีเขตแดนกว้างขวาง มีเมืองขึ้นเป็นอันมาก มิได้มีกษัตริย์ว่าราชการ นานไปศัตรูหมู่โจรผู้ร้ายกำเริบขึ้น ราษฎรจะได้ความเดือดร้อน แต่บรรดาเชื้อพระวงศานุวงศ์ซึ่งไปครองเมืองน้อยใหญ่รักษาขอบขัณฑสีมาเมืองหลวงนั้น เราเห็นแต่เล่าอิ๋วบุตรเล่าเขงอ๋องเจ้าเมืองเซงโห มีสติปัญญาลึกซึ้งโอบอ้อมอารี ราษฎรหัวเมืองสรรเสริญยิ่งกว่าพระญาติวงศ์ทั้งปวง เราคิดจะใคร่ให้ไปรับมาเป็นกษัตริย์บำรุงแผ่นดินท่านจะเห็นประการใด ขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่ได้ฟังต่างคนยินยอมพร้อมใจ จึงออกมาจัดราชรถเทียมด้วยม้าอันมีลักษณะ พร้อมด้วยเครื่องสูงคู่แห่เป็นอันมาก ครั้นถึงวันฤกษ์ดีขุนนางผู้ใหญ่ให้เลื่อนรถออกจากเมือง พร้อมด้วยทหารคู่แห่ทั้งปวง เดินตามระยะทางไปหลายวันถึงเมืองเซงโห ให้หยุดกระบวนแห่ไว้แต่นอกเมือง จึงบอกนายประตูเข้าไปแจ้งความแก่เล่าเขงอ๋อง
ฝ่ายเล่าเขงอ๋องรู้ว่าเลียงไทเฮาให้ขุนนางผู้ใหญ่มาแต่เมืองหลวง จึงให้ขุนนางทั้งปวงออกไปรับเข้ามาถึงที่ออกขุนนาง แล้วถามว่าฮ่องไทเฮาให้ท่านมาหาเราด้วยกิจกังวลสิ่งใด ขุนนางผู้ใหญ่คำนับแล้วแจ้งความว่า บัดนี้พระเจ้าเฮาเลียงฮ่องเต้เสด็จสู่สวรรคต เมืองหลวงว่างกษัตริย์อยู่ ฮ่องไทเฮาจึงให้ข้าพเจ้ามาเฝ้าไต้อ๋อง จะขอเชิญเล่าอิ๋วซึ่งเป็นบุตรไต้อ๋องไปครองราชสมบัติในเมืองหลวง บำรุงราษฎรหัวเมืองทั้งปวงให้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป เล่าเขงอ๋องได้ฟังมีความยินดีนัก จึงสั่งคนใช้ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางเมืองหลวงแล้วจึงให้หาตัวเล่าอิ๋วผู้บุตร ซึ่งมีชันษาได้สิบห้าขวบเข้ามาสั่งสอนว่า เจ้าจะจากบิดาไปเสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์บำรุงแผ่นดิน จงมีใจอารีแก่ขุนนางทแกล้วทหาร แม้นมีโทษผิดระแวงด้วยราชการ อย่าพาลเอาโทษหนักมาทับไม่ควร จงกระทำตามกฎหมายสำหรับแผ่นดิน ตามโบราณราชประเพณีกษัตริย์ผู้มีบุญญาธิการแต่ก่อน จะทำสิ่งใดจงตรึกตรองโดยรอบคอบชอบด้วยยุติธรรม ผู้ทำชอบให้ชุบเลี้ยง จงปราบปรามผู้ทำความผิดคิดทรมานให้เสียพยศอันร้าย อย่าฟังคำคนยุยง อย่าหลงเชื่อคนคด เห็นชอบจึงเจรจา อันเป็นพระมหากษัตริย์ตรัสสิ่งใดเป็นสิทธิ์ขาด ดังเหล็กเพชรจารึกศิลา ขุนนางข้าราชการจึงจะกลัวเกรง จงมีกรุณาแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ปราบโจรผู้ร้ายให้ราบคาบ ไว้เกียรติยศในแผ่นดิน ถึงชีวิตจะดับสูญสุดสิ้นก็มิได้สิ้นความสรรเสริญ ซึ่งเจ้าจะได้เป็นกษัตริย์สืบเชื้อพระวงศ์ จงเจริญชนมายุปราศจากโรคาพยาธิ ศัตรูหมู่ข้าศึกให้พ่ายแพ้อำนาจ จงเสวยราชสมบัติบริบูรณ์ด้วยความสุข เป็นที่พึ่งบิดากว่าจะสิ้นชีวิต เล่าอิ๋วคำนับรับพรด้วยความยินดี แล้วว่าข้าพเจ้ายังเยาว์แก่ความนัก ซึ่งจะไปว่าราชการเมืองหลวงแต่ครั้งนี้ จะขอโอวาทบิดาไปทำตามคำจงทุกประการ พอได้เวลาฤกษ์ดีขุนนางผู้ใหญ่จึงเชิญเล่าอิ๋วขึ้นรถ ทหารคู่แห่หน้าหลังออกจากเมืองเซงโห เล่าเขงอ๋องตามออกไปส่งถึงนอกเมือง ครั้นกระบวนแห่ไปลับแล้ว เล่าเขงอ๋องพาขุนนางกลับเข้าเมืองเซงโห
ฝ่ายฮ่องไทเฮา ครั้นสั่งขุนนางไปเชิญเล่าอิ๋วแล้ว จึงให้จัดแจงซ่อมแปลงตำหนักเรือนหลวงซึ่งชำรุดหักพังให้บริบูรณ์ดังเก่าสำเร็จแล้ว พอมีผู้เข้ามาบอกว่า เล่าอิ๋วมาใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้ว ฮ่องไทเฮาจึงสั่งเลียงสงขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือนกับเตงจ้วงขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหารออกไปรับเล่าอิ๋ว ขุนนางผู้ใหญ่สองคนรับคำลาออกมาพาขุนนางทั้งปวงออกจากเมืองหลวง เดินตามทางไปถึงด่านฮั่นเอี๋ยง พอแลเห็นธงและทหารคู่แห่มาหน้ารถ เล่าอิ๋วซึ่งจะได้เป็นกษัตริย์ใหม่ ทรงรถดูงามพร้อมด้วยลักษณะสมควรจะเป็นเจ้าครองเมืองหลวง ต่างคนถวายบังคมร้องถวายพระพรว่าให้พระชันษายืนหมื่นปี ครั้นรถเข้ามาใกล้ ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองจึงทูลว่าฮ่องไทเฮาใช้ให้ข้าพเจ้ามารับเสด็จ เล่าอิ๋วได้ฟังจึงสั่งเลียงสงกับเตงจ้วงขุนนางบรรดาออกมารับให้นำหน้ารถไปตามทางเมืองหลวง
ฝ่ายราษฎรทั้งปวงต่างคนแต่งเครื่องคำนับรับเสด็จทั้งสองข้างทาง จนเข้าถึงประตูเมืองหลวง ฝ่ายฮ่องไทเฮาเสด็จออกไปรับเล่าอิ๋วเข้าพระราชวัง ครั้นถึงวันฤกษ์ดี จึงประชุมขุนนางถวายพระนามเล่าอิ๋วเป็นพระเจ้าอันเต้ จึงเลื่อนที่ขุนนางและปล่อยนักโทษตามประเพณีกษัตริย์เสวยราชสมบัติใหม่
ฝ่ายเกียงโหครั้นตัวอี๋เจ้าเมืองยงเหนาถึงแก่อสัญกรรม เกียงโหได้เป็นเจ้าเมืองยงเหนา แจ้งข่าวว่าพระเจ้าโฮเต้ผู้ครองเมืองลกเอี๋ยงดับสูญแล้ว จึงเกณฑ์กองทัพยกเหยียบแดนเมืองจีน เข้าไปตีบ้านเมืองน้อยใหญ่ ข่มเหงเก็บริบได้ทรัพย์เงินทองสิ่งของราษฎรในแดนเมืองฮั่นเอี๋ยง
ฝ่ายเจ้าเมืองฮั่นเอี๋ยงจึงแต่งหนังสือบอกข้อราชการ ให้ม้าใช้รีบไปขอกองทัพเมืองหลวงมาช่วยป้องกันทัพเมืองยงเหนา ม้าใช้ได้หนังสือคำนับลาขึ้นม้ารีบไปหลายวันถึงเมืองลกเอี๋ยง จึงเข้าหาเลียงสงขุนนางผู้ใหญ่ แจ้งความตามหนังสือบอกมาทุกประการ เลียงสงจึงพาทหารม้าใช้เข้าไปเตรียมเฝ้า พอพระเจ้าอันเต้เสด็จออกว่าราชการ เลียงสงจึงทูลว่าแผ่นดินเมืองจีนนี้เขตแดนกว้างใหญ่ มีเมืองขึ้นเป็นอันมาก แต่พวกยงเหนาซึ่งเป็นเมืองนอกด่านปลายแดนนั้น มายํ่ายีหัวเมืองอยู่เนืองๆ กษัตริย์ซึ่งได้เสวยราชสมบัติในเมืองหลวงต้องแต่งกองทัพยกไปป้องกันพวกยงเหนา บัดนี้เกียงโหรู้ว่าพระเจ้าโฮเต้สู่สวรรคตแล้ว จึงยกทัพเหยียบแดนเข้ามาถึงแดนเมืองฮั่นเอี๋ยง เจ้าเมืองฮั่นเอี๋ยงมีหนังสือมาขอให้แต่งกองทัพยกไปกำจัดยงเหนา ราษฎรหัวเมืองจึงจะอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป
ฝ่ายพระเจ้าอันเต้ได้ฟังจึงตรัสปรึกษาขุนนาง จัดแจงแม่ทัพมิได้มีผู้อาสา พากันนิ่งอยู่สิ้น จึงเสด็จเข้าไปข้างในคำนับฮ่องไทเฮา แล้วตรัสแจ้งความว่า ผู้รักษาเมืองฮั่นเอี๋ยงมีหนังสือบอกเข้ามาว่า เกียงโหยกทัพเหยียบแดนย่ำยีราษฎร ข้าพเจ้าปรึกษาขุนนางจะจัดแม่ทัพหาผู้ใดจะรับอาสามิได้ ฮ่องไทเฮาจึงว่า ขุนนางนายทหารซึ่งเคยเป็นแม่ทัพนายกองปราบยุคเข็ญมาแต่ก่อนแก่ชราล้มตายเบาบางไป ได้จัดแจงขึ้นใหม่เป็นขุนนางแต่บุตรและหลาน รับราชการภายในเมืองอยู่ทุกตำแหน่ง ซึ่งจัดแจงเป็นแม่ทัพกำกับทหารยกไปทำการกำจัดยงเหนาครั้งนี้ จะใช้ได้แต่เตงเถงบุตรเตงอูนั้นมีสติปัญญา เตงอูผู้บิดาสั่งสอนกลศึกไว้ชำนิชำนาญ ยิมเสียงเคยเป็นทัพหน้า ถิวเอี๋ยนไปปราบยงเหนาครั้งก่อน จะให้เป็นปลัดทัพไปกับเตงเถง สุมาเอียกบุตรไลเอียกมีฝีมือกล้าใจองอาจเป็นเชื้อชาติทหาร จะให้เป็นทัพหน้าไปปราบยงเหนา ฮ่องไทเฮากับพระเจ้าอันเต้จึงเสด็จออกขุนนาง ให้หาเตงเถงเข้ามาเฝ้าแล้วตรัสว่า ยงเหนายกเหยียบแดนเราครั้งนี้ท่านจงเป็นแม่ทัพหลวง ยิมเสียงเป็นปลัดทัพหลวง สุมาเอียกเป็นทัพหน้า คุมทหารสิบหมื่นยกไปกำจัดเกียงโหเอาชัยชนะให้จงได้ เตงเถงกับยิมเสียงสุมาเอียกรับสั่งบังคมลาออกมาเกณฑ์ทหารเข้าขบวนทัพ ได้ฤกษ์ยกกองทัพออกจากเมืองหลวง พระเจ้าอันเต้เสด็จออกไปส่งกองทัพ จึงพระราชทานสุราให้เตงเถงกับยิมเสียงสุมาเอียกคนละจอกแก้วแล้วตรัสอำนวยพรว่า ท่านทั้งสามนายจงมีชัยชนะแก่ยงเหนาไว้เกียรติยศในแผ่นดิน เตงเถงกับยิมเสียงสุมาเอียกรับพระราชทานสุราแล้ว รับพระพรบังคมลาขึ้นม้าโบกธงสัญญาเดินทัพ พระเจ้าอันเต้ทอดพระเนตรกองทัพยกไปสิ้นแล้ว เสด็จกลับเข้าพระราชวัง
ฝ่ายเตงเถงยกกองทัพไปหลายวันถึงเมืองฮั่นเอี๋ยง ซึ่งเป็นเมืองด่านปลายแดนให้ตั้งค่ายมั่น แล้วพายิมเสียงกับสุมาเอียกไปเที่ยวดูท่าทางซุ่มทัพ เห็นเนินทรายแห่งหนึ่งมีป่ารอบอยู่ริมเชิงเขาสูง ไกลทางที่ยงเหนาเคยมาประมาณสิบห้าเส้นเป็นที่ชัยภูมิจึงปรึกษายิมเสียงว่า พวกยงเหนาเคยยกมาปล้นบ้านตีเมืองในแดนเมืองฮั่นเอี๋ยงเนืองๆ เราคิดจะแต่งกลศึกให้ท่านพาทหารมาตั้งทัพซุ่มอยู่ที่เนินทรายนี้ ตัวเรากับสุมาเอียกจะเตรียมทหารสงบทัพคอยอยู่ ณ ค่ายนอกเมืองฮั่นเอี๋ยง ถ้าพวกยงเหนายกมาถึงเมืองฮั่นเอี๋ยงเราจะตีให้แตก เมื่อพวกยงเหนาจะกลับไปจำเพาะเดินลงทางริมเชิงเขาใหญ่ ท่านจงยกทัพออกสกัดทางช่องแคบรบประจันหน้ายงเหนาไว้ เรากับสุมาเอียกจะติดตามตีกระหนาบให้ทหารยงเหนารบเรรวนเสียกระบวนทัพ คงจะแตกยับแก่เราท่านจะเห็นประการใด ยิมเสียงจึงว่าซึ่งท่านคิดซุ่มทัพครั้งนี้เป็นกลศึกลึกซึ้ง ถ้าเกียงโหเจ้าเมืองยงเหนายกมาต้องกลศึกเห็นจะเสียทัพแก่ท่านเป็นมั่นคง เตงเถงจึงพายิมเสียงกลับมาค่าย แบ่งทหารห้าหมื่นให้ยิมเสียงยกไปซุ่มทัพ ยิมเสียงคำนับลาออกมาพาทหารไปในเวลากลางคืนกำชับปากเสียงทหารมิให้อื้ออึง ครั้นถึงที่เนินทรายจึงให้ทหารขึ้นไปคอยกองทัพยงเหนาอยู่บนยอดเขาสูง
ฝ่ายเกียงโหเจ้าเมืองยงเหนา ไปปล้นตีเมืองปลายด่านแดนเมืองจีน ได้ทรัพย์สิ่งของเป็นอันมากหาผู้จะต่อสู้ได้ไม่ ยิ่งกำเริบใจมีความโลภมากขึ้น คิดจะยกไปตีเมืองฮั่นเอี๋ยง ครั้นเวลาเช้าเกียงโหแต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าถือทวน พาทหารยี่สิบหมื่นยกเป็นกระบวนทัพออกจากแดนยงเหนา เดินทัพตามทางใหญ่ไปริมเชิงเขาสูง เสียงเท้าม้าและเสียงทหารเดินเท้าอื้ออึงทั้งป่า ผงคลีฟุ้งขึ้นจับใบไม้เป็นหมอกมัวแสงพระอาทิตย์
ฝ่ายทหารคนสนิทยิมเสียงให้ขึ้นอยู่บนยอดเขาสูง จึงโบกธงสำคัญ กองทัพยิมเสียงเห็นธงสัญญารู้ว่าพวกยงเหนายกมาถึง จึงกำชับปากเสียงทหารให้สงบเงียบมิให้พวกยงเหนาสะดุ้งสะเทือน ครั้นกองทัพยงเหนายกล่วงถลำเข้ามาสิ้นแล้ว จึงพาทหารออกสกัดทางช่องแคบอยู่
ฝ่ายทหารซึ่งเตงเถงแม่ทัพให้มานั่งทางคอยทัพยงเหนา รู้ว่าพวกยงเหนายกมา จึงรีบขับม้าไปคำนับแจ้งความแก่เตงเถง ฝ่ายเตงเถงรู้ว่ายงเหนายกล่วงถลำกองซุ่มเข้ามา ต้องกลศึกสมความคิดยินดีนัก จึงว่ากล่าวปลุกนํ้าใจนายทหารทั้งปวงว่า อันการศึกนั้นแม่ทัพนายกองผู้มีสติปัญญารู้จักการสงคราม ตั้งค่ายได้ที่ชัยภูมิซุ่มทัพวางทหารชำนาญในท่วงทีถ่ายเทเอาชัยชนะ ถึงข้าศึกจะมีทหารมาก ก็อาจจะเอาทหารน้อยผจญให้พ่ายได้โดยง่าย พวกยงเหนายกทัพถลำเข้ามาครั้งนี้ ถึงจะมีทหารมากกว่าร้อยหมื่นเราไม่ย่อท้อ จะตีให้แตกเหยียบกันตาย มิให้อันตรายแก่พวกทหารเรา ท่านทั้งปวงจงพร้อมใจกันระดมตีให้ยงเหนาเสียกระบวนศึกลงให้จงได้ เตงเถงว่ากล่าวปลุกใจทหารรื่นเริงแล้ว ให้สุมาเอียกคุมทหารสองหมื่นห้าพันออกตั้งซุ่มอยู่ข้างซ้ายห่างทางสิบเส้น คอยฟังเสียงประทัดสัญญา เตงเถงพาทหารสองหมื่นห้าตั้งซุ่มอยู่ริมทางข้างขวา ให้เจ้าเมืองฮั่นเอี๋ยงคุมทหารห้าหมื่นอยู่รักษาค่าย
ฝ่ายเกียงโหเจ้าเมืองยงเหนายกทัพมา เห็นค่ายตั้งกั้นทางอยู่หน้าเมืองฮันเอี๋ยง เกียงโหจึงขับทหารกองหน้าเข้าตีค่าย ฝ่ายเตงเถงเห็นได้ทีจุดประทัดสัญญา สุมาเอียกจึงให้ตีกลองรบทหารโห่ร้องทั้งสองกองระดมยิงเกาทัณฑ์พุ่งซัดศัสตราวุธ บุกรุกฆ่าฟันทหารเกียงโหแตกระส่ำระสาย นายพลัดไพร่เสียกระบวน เกียงโหเห็นดังนั้นตกใจตัวสั่นด้วยสำคัญว่าข้าศึกมีทหารมากชักม้าพาทหารกลับ เตงเถงได้ทีขับม้าไล่ติดตามทัน ร้องตวาดดังเสียงฟ้าลั่นเงื้อง้าวจะฟันเกียงโห พอนายทหารเกียงโหถลันออกป้องกันอาวุธไว้ สุมาเอียกน้าวเกาทัณฑ์ยิงไปถูกนายทหารเกียงโหตกม้าตาย เกียงโหต้องกลศึกเสียกระบวน ทหารระส่ำระสายต่างคนกลัวความตายวิ่งหนีเอาชีวิตรอดมิได้เป็นหมวดกอง จะตั้งทัพรบรับอยู่มิได้ จึงขับม้าหนีมากับพวกทหาร
ฝ่ายยิมเสียงเห็นดังนั้น จึงขับม้าพาทหารไล่ฆ่าฟัน พวกยงเหนากลับตลบหลังเหยียบกันตาย พอเตงเถงกับสุมาเอียกตามมาทัน เตงเถงขับม้าเข้าไปจะจับเกียงโห ฝ่ายเกียงโหจวนตัวจะหนีมิพ้น จึงชักม้ากลับเข้ารบได้สามเพลงทวน เตงเถงเอาง้าวฟันเกียงโหตกม้าตาย ยิมเสียงกับสุมาเอียกขับทหารเข้าช่วยเตงเถงไล่ฆ่าฟันพวกยงเหนาจนสิ้นแดนเมืองฮั่นเอี๋ยง พวกยงเหนาตายเป็นอันมาก อาสภกลาดไปตามทางจนเข้าแดนยงเหนา เตงเถงครั้นมีชัยชนะจึงตีม้าล่อประชุมทหาร ให้เก็บเครื่องศัสตราอาวุธพวกยงเหนากลับเข้าค่าย
ฝ่ายเจ้าเมืองฮั่นเอี๋ยงกับขุนนางทั้งปวงต่างคนดีใจ สรรเสริญเตงเถงนายทัพนายกองทั้งปวงว่า มีสติปัญญาฝีมือกล้าแข็ง พวกยงเหนาพ่ายแพ้ด้วยอุบายกลศึก เจ้าเมืองฮั่นเอี๋ยงเชิญเตงเถงยกทัพเข้าเมือง แต่งโต๊ะเลี้ยงนายทัพนายกองทหารทั้งปวง เตงเถงพักทแกล้วทหารอยู่ในเมืองฮั่นเอี๋ยง เสร็จศึกยงเหนาแล้ว แต่งหนังสือบอกข้อราชการให้ทหารม้าใช้ไปเมืองหลวง
ฝ่ายทหารม้าใช้ไปถึงเมืองลกเอี๋ยง จึงเข้าหาขุนนางผู้ใหญ่นำเฝ้าทูลความตามหนังสือบอกทุกประการ พระเจ้าอันเต้แจ้งว่าเตงเถงชนะแก่ยงเหนามีพระทัยยินดีนัก จึงมีหนังสือรับสั่งให้หากองทัพแล้วสั่งจงลงเจียงถือหนังสือไปเลื่อนที่เตงเถงผู้มีความชอบ ให้เป็นไต้เจียงกุ๋นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร จงลงเจียงรับสั่งบังคมลาขึ้นม้ารีบไปถึงเมืองโฮหลำ พอกองทัพยกมาถึง จึงลงมาจากม้าเข้าไปคำนับเตงเถงแม่ทัพแล้ว แจ้งความตามหนังสือรับสั่งทุกประการ เตงเถงรับตราที่ไต้เจียงกุ๋นแล้วยกทัพมาตามทางเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายพระเจ้าอันเต้แจ้งว่ากองทัพมาใกล้ถึงเมืองหลวง จึงสั่งขุนนางพนักงานจัดเนื้อโคกับสุรา เสด็จออกไปรับกองทัพนอกเมือง พอไต้เจียงกุ๋นเตงเถงยกมาถึง แม่ทัพนายกองเข้ามาเฝ้าพร้อมกัน จึงตรัสไต่ถามถึงการศึกซึ่งไปกระทำแก่ยงเหนา เตงเถงทูลความตามซึ่งได้คิดกลอุบายมีชัยชนะแก่ยงเหนาให้พระเจ้าอันเต้ฟังทุกประการ พระเจ้าอันเต้มีพระทัยยินดีนัก จึงพระราชทานเนื้อโคสดกับสุราให้เตงเถงนายทัพนายกองผู้มีความชอบ แล้วเสด็จกลับเข้าพระราชวังประทับที่ออกขุนนาง ให้ยกโต๊ะมาตั้งเลี้ยงเตงเถงนายทัพนายกองเป็นที่สบาย แล้วพระราชทานเสื้อผ้าเงินทอง ให้เลื่อนที่ยศศักดิ์แก่ทหารผู้มีความชอบในการสงครามแล้วเสด็จขึ้น
ฝ่ายเตงเถงได้เป็นที่ไต้เจียงกุ๋นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหารอยู่ประมาณสามปีเศษ พอมารดาซึ่งอยู่บ้านเดิมป่วยเป็นโรคชรา เตงเถงมีกิจธุระราชการ มิได้ไปอยู่ปรนนิบัติมารดามีความวิตกนัก จึงแต่งเป็นเรื่องราวเข้าไปทูลลาฮ่องไทเฮา ฮ่องไทเฮาเห็นว่าไต้เจียงกุ๋นเตงเถงมีความกตัญญูต่อมารดา จึงให้เตงเถงไปอยู่ปรนนิบัติมารดา ณ บ้านเดิม
ฝ่ายบิกุ้ยครั้นเกียงโหตายแล้ว บิกุ้ยได้เป็นเจ้าเมืองยงเหนา จึงจัดกองทัพยกออกจากแดนเมืองยงเหนา ไปเที่ยวตีหัวเมืองน้อยใหญ่ในแดนเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายเจ้าเมืองเตียวโก๋รู้ว่า บิกุ้ยยกทัพมาย่ำยีตีเมืองขึ้นแตกระส่ำระสายตกใจนัก จึงแต่งหนังสือบอกข้อราชการให้ทหารม้าใช้ไปเมืองหลวง ขอกองทัพมาช่วยป้องกันแดนเมืองเตียวโก๋ ทหารม้าใช้ได้หนังสือคำนับลาขึ้นม้ารีบไปถึงเมืองลกเอี๋ยง เข้าหาขุนนางนำเฝ้าทูลความตามหนังสือบอกทุกประการ พระเจ้าอันเต้แจ้งความว่าพวกยงเหนาเหล่าข้าศึกกำเริบยกเหยียบแดนเข้ามา ตรัสปรึกษาขุนนางหาผู้จะรับอาสามิได้ ขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลว่า ซึ่งจะไปปราบยงเหนานั้น ขอให้หาตัวเตงเถงไต้เจียงกุ๋นซึ่งทูลลาฮ่องไทเฮาไปรักษามารดา ให้เข้ามาเป็นแม่ทัพกำกับทหารไป ทำการกำจัดยงเหนาเห็นจะมีชัยชนะ พระเจ้าอันเต้ได้ฟังเห็นชอบด้วย จึงเสด็จเข้าไปคำนับแจ้งความแก่ฮ่องไทเฮาตามคำปรึกษาขุนนาง ฮ่องไทเฮาจึงให้คนใช้ไปหาตัวไต้เจียงกุ๋นเตงเถง ขุนนางพนักงานใช้รับสั่งรีบไปถึงบ้านไต้เจียงกุ๋นเตงเถง แล้วคำนับบอกความตามรับสั่ง ไต้เจียงกุ๋นเตงเถงได้ฟังคิดว่าขุนนางข้าเฝ้าล้วนมีสติปัญญา ฝีมือกล้าหาญในการศึกมีอยู่ไม่จัดแจงเป็นแม่ทัพ บัดนี้กลับจะมาเอาตัวเราซึ่งทูลลามารักษามารดานี้ไปเป็นแม่ทัพอีกเล่า แต่เป็นข้อรับสั่งขัดมิได้ด้วยเป็นการแผ่นดิน เตงเถงจึงลามารดามากับผู้รับสั่ง เข้าไปเฝ้าฮ่องไทเฮากับพระเจ้าอันเต้ ฮ่องไทเฮาจึงบอกเตงเถงว่า บัดนี้พวกยงเหนายกเหยียบแดนเข้ามาย่ำยีตีเมืองขึ้นของเมืองเตียวโก๋ เราหาท่านเข้ามาจะให้ไปปราบยงเหนาท่านจะเห็นประการใด เตงเถงจึงทูลว่าข้าพเจ้าเกิดมาเป็นชายชาติทหาร จะอาสาการแผ่นดินฉลองพระคุณซึ่งได้ชุบเลี้ยงกว่าจะสิ้นชีวิต แต่ครั้งนี้ข้าพเจ้าบังเกิดโรค กำลังถอยลงไม่ว่องไวเหมือนแต่ก่อน ซึ่งจะไปทำศึกนั้นเกลือกเสียทีแก่พวกยงเหนาจะเสียเกียรติยศ อันขุนนางข้าเฝ้าซึ่งมีสติปัญญาฝีมือกล้าแข็ง ควรจะเป็นแม่ทัพแทนตัวข้าพเจ้าได้นั้นมีอยู่คนหนึ่งชื่อจงลงเจียง ขอให้หาตัวมาเป็นแม่ทัพไปทำศึกกับยงเหนาเห็นจะเอาชัยชนะได้โดยง่าย ฮ่องไทเฮาจึงให้หาจงลงเจียงเข้ามาเฝ้าแล้วว่า ไต้เจียงกุ๋นเตงเถงสรรเสริญว่าท่านมีฝีมือชำนาญการศึก เราจะให้เป็นแม่ทัพไปกำจัดยงเหนา ท่านจะเห็นประการใด จงลงเจียงจึงทูลว่าสติปัญญาข้าพเจ้าน้อยนัก จะเปรียบไต้เจียงกุ๋นเตงเถงนั้นไม่ได้ แต่รับสั่งใช้เป็นการแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะรับอาสาไปทำศึกกับยงเหนากว่าจะสิ้นชีวิต จงลงเจียงทูลแล้วบังคมลามาจัดทหารสามหมื่นยกออกจากเมืองหลวง ไปตามระยะทางหลายวันถึงเมืองเตียวโก๋ จึงตั้งค่ายมั่นพักทแกล้วทหารอยู่นอกเมือง
ฝ่ายเจ้าเมืองเตียวโก๋แจ้งว่ากองทัพเมืองหลวงยกมาถึง มีความยินดีนัก จึงพาขุนนางออกไปค่ายจงลงเจียง ต่างคนคำนับกันตามธรรมเนียม เจ้าเมืองเตียวโก๋จึงบอกว่าบิกุ้ยซึ่งเป็นเจ้าเมืองยงเหนาเหยียบแดนเข้ามาตีบ้านเมืองน้อยแตกยับระส่ำระสายหลายเมือง บัดนี้ข้าพเจ้าตั้งค่ายอยู่หน้าเมืองเบื้องทิศเหนือ ถ้ากองทัพท่านยังมิมาช้าอยู่ พวกยงเหนาประชิดถึงเชิงกำแพง ทหารชาวเมืองมีฝีมืออ่อนนักจักรบขับเคี่ยวไปมิได้ เห็นเมืองจะเสียแก่ยงเหนา จงลงเจียงจึงว่าทหารในเมืองท่านเป็นอันมาก ซึ่งว่ามีฝีมืออ่อนนั้นเพราะท่านไม่จัดแจงใช้สอย ละไว้ให้ทหารมีฝีมือกล้าปะปนกับฝีมืออ่อน ทหารฝีมือดีเสียใจ ไม่คิดหาความชอบ ประกอบการพอคุ้มตัว ข้าพเจ้าจะคิดการศึกเอาชัยชนะแก่พวกยงเหนาครั้งนี้ จะขอจัดทหารชาวเมืองเป็นสามอย่าง จงลงเจียงจึงให้หาทหารชาวเมืองเตียวโก๋มาพร้อมกัน ณ ค่าย จึงจัดทหารรูปร่างสมควรมีกำลังมาก ใจเหี้ยมหาญชำนาญเพลงอาวุธ องอาจเข้าหักค่ายทลายค่ายข้าศึก ไม่เสียดายชีวิตมิได้คิดแก่เหนื่อยยาก จงลงเจียงจัดไว้เป็นทหารเอก ผู้ซึ่งรูปทรงไม่สมเป็นทหารแต่มีใจแกล้วกล้า ชำนาญเพลงอาวุธ รู้จักที่ได้ไล่ฆ่าฟันข้าศึกให้แตกหนี แม้นเสียทีมีอุบายหลบหลีกเอาตัวรอดมาไม่มีอันตราย จัดไว้เป็นทหารโท ผู้ซึ่งมีฝีมือเป็นอย่างกลางใจไม่ย่อท้อต่อข้าศึก ใจอดทนไม่คิดห่วงอาลัยด้วยบุตรภรรยา มีการศึกมาอาสากว่าจะสิ้นชีวิต จัดไว้เป็นทหารตรีมีเบี้ยหวัดเป็นอย่างต่างกัน จงลงเจียงจัดได้ทหารสี่ร้อย ตั้งตันฮองเป็นตัวนาย แล้วกระซิบสั่งเป็นความลับว่า ท่านจงไปยอมเข้าอยู่ด้วยบิกุ้ย เราจะยกทัพเข้าปล้นค่าย ท่านจงรายทหารจุดเพลิงเผาค่าย แล้วล้อมฆ่าฟันพวกยงเหนาออกมาบรรจบ กองทัพยงเหนาจะแตกยับแก่เราเป็นมั่นคง ตันฮองรับคำลาออกมาพาทหารสี่ร้อย ออกจากค่ายไปตามทางถึงค่ายยงเหนาจึงหยุดอยู่ นายประตูค่ายเห็นพวกชาวเมืองเตียวโก๋มา หาเครื่องศัสตราอาวุธมิได้ จึงออกไปถามได้ความว่าจะมายอมสามิภักดิ์ จึงเข้าไปคำนับแจ้งความแก่บิกุ้ยทุกประการ บิกุ้ยจึงให้พาเข้ามาในด่านแล้วจึงถามว่าตัวอยู่เมืองไหน มาหาเราโดยสุจริตหรือผู้ใดใช้มา ตันฮองคำนับแล้วบอกว่าข้าพเจ้าชาวเมืองเตียวโก๋ เจ้าเมืองเตียวโก๋เกรงไต้อ๋องจะยกเข้าตีเมือง ใช้ให้ข้าพเจ้าขึ้นอยู่ประจำรักษาหน้าที่เชิงเทิน ตรากตรำอยู่กลางวันกลางคืน เสบียงอาหารก็ไม่มีจ่ายให้กินได้ความอดอยาก จึงพาพวกเพื่อนสี่ร้อยคนออกมายอมสามิภักดิ์ทำการอาสากว่าจะสิ้นชีวิต ซึ่งจะคิดเป็นกลอุบายประทุษร้ายต่อไต้อ๋องนั้นหามิได้ บิกุ้ยจึงให้จดหมายชื่อไว้แล้วจ่ายไปอยู่เป็นผู้รักษาประตูและตรวจค่าย แยกกันไปทุกหมวดทุกกอง
ฝ่ายจงลงเจียงครั้นตันฮองไปปลอมพวกยงเหนาแล้ว จึงจัดเตรียมกองทัพพร้อมกัน พอเวลาค่ำดึกประมาณสองยามเศษ จึงแบ่งทหารเป็นสามกองยกเข้าล้อมค่ายยงเหนาเป็นสามด้าน ครั้นได้ท่วงทีจุดประทัดสัญญา ทหารสามกองตีกลองรบโห่ร้องเสียงอื้ออึงทั้งป่าเข้าระดมหักค่าย
ฝ่ายบิกุ้ยกับนายกองทหารยงเหนาต่างคนตื่นตกใจ แต่งตัวสวมเกราะโดยด่วนขึ้นม้าถืออาวุธ พาทหารออกรบป้องกันรักษาค่ายเป็นสามารถ ฝ่ายตันฮองรู้ว่าจงลงเจียงจะปล้นค่ายตามสัญญา บรรดาทหารทั้งสี่ร้อยซึ่งแยกไปอยู่ ต่างคนช่วงชิงเอาอาวุธทหารยงเหนาเข้าฆ่าฟันพวกยงเหนาในค่าย ที่ไม่มีเครื่องอาวุธจึงเอาเพลิงจุดเผาค่ายขึ้นแสงเพลิงสว่าง ตันฮองกับพวกทหารสี่ร้อยคุมพวกกันเข้าปลอมฆ่าฟันนายทหารพวกยงเหนาตายเป็นหลายคน บิกุ้ยเจ้าเมืองยงเหนารู้ว่าข้าศึกปลอมอยู่ในค่าย ครั้นเพลิงไหม้ค่ายตกใจนักชักม้าหนีออกมา จงลงเจียงจึงขับม้าออกสกัดไว้ บิกุ้ยรบกับจงลงเจียงได้สิบเพลงทวน เห็นทหารหนุนแน่นเข้ามา จึงชักม้าฝ่าฟันออกไป จงลงเจียงกับตันฮองและทหารทั้งปวงตีกระทบบรรจบกัน ฆ่าฟันพวกยงเหนาแตกระส่ำระสายตายประมาณพันเศษ ที่ป่วยเจ็บล้มตายซุกซ่อนหนีเข้าป่า ทิ้งเกราะอาวุธเสียเป็นอันมาก พอเวลารุ่งสว่างจงลงเจียงมีชัยชนะ จึงให้เก็บเกราะเครื่องศัสตราอาวุธและเสบียงอาหาร ยกทัพกลับเข้าเมืองเตียวโก๋ เจ้าเมืองเตียวโก๋จึงแต่งโต๊ะเลี้ยงนายทัพนายกองทหารทั้งปวงเป็นที่สบาย จงลงเจียงครั้นกินโต๊ะแล้ว แต่งหนังสือบอกข้อราชการให้ทหารม้าใช้ไปเมืองหลวง
ฝ่ายบิกุ้ยแตกค่ายหนีไปถึงตำบลตันฉอง เป็นทางร่วมจะแยกไปเมืองยงเหนา มิได้เห็นข้าศึกติดตาม จึงหยุดม้ารวบรวมทหารซึ่งเหลือตายมาถึงพร้อมกัน จึงให้ตั้งค่ายพักพวกทหารอยู่คอยตีชิงคนเดินทาง
ฝ่ายทหารม้าใช้ไปถึงเมืองหลวง เข้าหาขุนนางเฝ้าทูลความตามหนังสือบอกทุกประการ ฮ่องไทเฮากับพระเจ้าอันเต้แจ้งว่าจงลงเจียงมีชัยชนะแก่บิกุ้ยเจ้าเมืองยงเหนา มีพระทัยยินดีนัก จึงสั่งขุนนางถือหนังสือรับสั่งไปเลื่อนที่จงลงเจียงให้ไปเป็นเจ้าเมืองบูโต๋ ขุนนางรรับหนังสือคำนับลาไปตามทางเมืองเตียวโก๋
ฝ่ายจงลงเจียงจัดแจงราษฎรชาวเมืองเตียวโก๋ ซึ่งอพยพหลบหนีพวกยงเหนาเข้าอยู่ป่า ให้ออกมาทำมาหากินตามภูมิลำเนาแต่ก่อน พอนายประตูเข้ามาบอกว่ามีหนังสือรับสั่งมาแต่เมืองหลวง จึงแต่งตัวนุ่งห่มตามตำแหน่งขุนนางข้าเฝ้าออกไปคำนับรับสั่ง แล้วพาผู้ถือหนังสือเข้าเมือง ให้ประชุมนายทัพนายกองพร้อมกัน ขุนนางผู้ถือรับสั่งจึงแจ้งความแก่จงลงเจียงว่า ท่านยกทัพมาทำศึกมีชัยชนะแก่ยงเหนาครั้งนี้ ฮ่องไทเฮามีพระทัยยินดี มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาเลื่อนที่ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ไปครองเมืองบูโต๋บำรุงราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข จงลงเจียงคำนับรับตราที่เจ้าเมืองบูโต๋ แล้วจึงให้เลี้ยงโต๊ะผู้ถือรับสั่งตามธรรมเนียม ครั้นรุ่งขึ้นเป็นวันฤกษ์ดี จงลงเจียงสั่งขุนนางข้าหลวงไปเมืองลกเอี๋ยง แล้วยกทัพออกจากเมืองเตียวโก๋ เดินทัพตามระยะทางถึงตำบลตันฉองเป็นต้นทางร่วม พอทหารกองหน้าสวนทางลงมาบอกว่า พวกยงเหนามาตั้งค่ายอยู่ผู้คนเป็นอันมาก จงลงเจียงจึงให้ตั้งค่ายลงหน้าค่ายยงเหนา แล้วให้ทหารร้องบอกกันว่า จงลงเจียงแม่ทัพมีหนังสือไปเกณฑ์กองทัพหัวเมืองให้มาบรรจบทัพ ทหารพร้อมแล้วจะยกเข้าตีทัพยงเหนา พอเวลาค่ำลง จงลงเจียงให้ก่อเตาหุงข้าวกระทะเลี้ยงทหารห้าสิบเตา แล้วกำชับนายทหารให้ตระเวนตรวจตราทหารนั่งยามรักษาค่าย จนเวลารุ่งเช้าตรู่ยกทัพไปทางสามร้อยเส้น ให้ก่อเตาหุงอาหารร้อยเตาแล้วยกทัพไปตามระยะทาง
ฝ่ายบิกุ้ยเจ้าเมืองยงเหนายกทัพตามจงลงเจียงไป เห็นเตาหุงอาหารในค่ายระยะทางเพิ่มมากขึ้นทุกที จึงคิดว่ากองทัพหัวเมืองยกมาบรรจบทัพจงลงเจียงเป็นมั่นคง เตาหุงอาหารจึงมากขึ้นทุกวัน จะตามปล้นค่ายเห็นจะไม่ได้สมความคิด บิกุ้ยมิได้ติดตามจึงยกทัพกลับมาเข้าทางแยกไปเมืองยงเหนา
ฝ่ายนายกองทหารทั้งปวง ครั้นเจ้าเมืองยงเหนายกทัพกลับไปแล้ว จึงพากันเข้าไปคำนับถามจงลงเจียงว่า ครั้งแผ่นดินเลียดก๊ก ซุนปินยกทัพหนีบังก๋วนนั้น ซุนปินก่อเตาน้อยลงทุกวัน ซึ่งท่านยกทัพหนีบิกุ้ยครั้งนี้ท่านให้ก่อเตามากขึ้นทุกที ที่สำนักผิดกันกับกลอุบายซุนปิน จงลงเจียงจึงว่าซุนปินทำอุบายก่อเตาถอยน้อยลง หมายจะให้บังก๋วนคิดประมาทว่าทหารซุนปินหนีออกจากกองทัพร่วงโรยไปทุกวัน จะให้บังก๋วนตามไปต้องกลศึกจะล้อมจับตัวบังก๋วน ซึ่งเรายกมาครั้งนี้ทแกล้วทหารน้อยตัว กลัวยงเหนาจะยกเข้าหักเอาโดยกำลังทหารมาก จึงคิดกลอุบายให้ทหารร้องบอกแก่กันว่า กองทัพหัวเมืองจะยกมาสมทบแล้ว เราจึงให้ก่อเตามากขึ้นทุกวัน บิกุ้ยสำคัญว่ากองทัพหัวเมืองยกมา เตาหุงอาหารจึงมากขึ้นทุกสำนัก ยงเหนาเกรงกองทัพหัวเมืองจึงกลับทัพไปมิได้ติดตาม อุบายซึ่งเราคิดจึงผิดกันกับซุนปินผู้มีสติปัญญาแต่ก่อน นายทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้น พากันสรรเสริญจงลงเจียงอื้ออึงทั้งกองทัพ จงลงเจียงจึงยกทัพรีบไปถึงเมืองบูโต๋ แล้วแต่งหนังสือบอกข้อราชการให้ม้าใช้กลับไปเมืองหลวง ฝ่ายม้าใช้คำนับรับหนังสือออกมา ขึ้นม้ารีบไปตามระยะทางหลายวันถึงเมืองลกเอี๋ยง ลงจากม้าเข้าหาขุนนางนำเฝ้าทูลความตามหนังสือบอกทุกประการ
ฝ่ายฮ่องไทเฮาแจ้งว่า จงลงเจียงเจ้าเมืองบูโต๋คิดอุบายให้พวกยงเหนายกทัพหนีสิ้นศึกแล้ว เห็นว่าแผ่นดินพระเจ้าอันเต้จะอยู่เย็นเป็นสุขมีพระทัยยินดีนัก จึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเป็นที่สบาย ฮ่องไทเฮาช่วยพระเจ้าอันเต้ว่าราชการแผ่นดินอยู่เท่าถึงพระชันษาได้หกสิบสองปี ฮ่องไทเฮาดับสูญสิ้นสุดพระชนม์ ณ เดือนแปด พระเจ้าอันเต้ให้ทำการฝังพระศพสำเร็จแล้วเสด็จกลับเข้าพระราชวัง ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าอันเต้ว่าราชการแผ่นดินแต่พระองค์เดียว
ฝ่ายอองเสงซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงพระเจ้าอันเต้มีใจอิจฉาพยาบาทว่า ฮ่องไทเฮาทำนุบำรุงชุบเลี้ยงแต่ขุนนางซึ่งเป็นพรรคพวก จึงเข้าไปเฝ้าทูลพระเจ้าอันเต้ว่า ฮ่องไทเฮาเมื่อมีชีวิตอยู่นั้นคบคิดกับเตงเถงหนึ่ง เตงฮองหนึ่ง เตงฮ่องหนึ่ง เตงลือหนึ่ง ขุนนางคนสนิททั้งสี่คนจะยกพระองค์ออกจากราชสมบัติ จะให้เปงงวนอ๋องเป็นฮ่องเต้ เมื่อฮ่องไทเฮามีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าเกรงอาญาเพราะราชสมบัติมิได้สิทธิ์ขาดแก่พระองค์ บัดนี้พระองค์เป็นใหญ่ในราชสมบัติ ขอจงกำจัดศัตรูเสียให้สิ้นแผ่นดิน จึงจะอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป พระเจ้าอันเต้ได้ฟังเคืองพระทัยนัก จึงสั่งให้ถอดเตงเถงกับพรรคพวกเตงเถง ซึ่งฮ่องไทเฮาตั้งเป็นขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่ไว้แต่ก่อน ริบราชบาตรแล้วขับไปเสียจากเมืองหลวง
ฝ่ายเตงเถงกับญาติวงศ์ทั้งปวงต้องถอดจากที่ขุนนาง เพราะพระเจ้าอันเต้เชื่อฟังอองเสงทูลยุยง พระเจ้าอันเต้มิได้ให้ชำระไถ่ถามเอาความจริงมีความน้อยใจนัก ต่างคนพาบุตรภรรยาออกจากเมืองหลวงไปอยู่บ้านเก่าทำไร่นาหาเลี้ยงชีวิต แต่เตงเถงนั้นคิดเสียดายความชอบซึ่งทำไว้ไม่มีความผิด ต้องถอดจากที่ขุนนางปราศจากศฤงคารบริวารยศศักดิ์ บังเกิดความทุกข์ตรอมใจอดอาหารตาย
ฝ่ายจูทองซึ่งเป็นที่ไต้สู่หลองขุนนางคนสนิทพระเจ้าอันเต้ เป็นคนซื่อตรงต่อแผ่นดิน ครั้นแจ้งว่าเตงเถงตายมีความเสียดายนัก จึงแต่งเป็นเรื่องราวกราบทูลพระเจ้าอันเต้ว่า ฮ่องไทเฮามีบุญญาธิการพระทัยโอบอ้อมอารีขุนนางและราษฎรหัวเมืองเหมือนดังมารดารักษาบุตร ฮ่องไทเฮาเห็นว่าพระองค์ทรงพระปรีชาบุญญาธิการควรแก่ราชสมบัติสืบเชื้อพระวงศ์ไปภายหน้า จึงให้ไปเชิญเสด็จมาบำรุงแผ่นดิน ฮ่องไทเฮาจัดแจงผู้มีสติปัญญาตั้งแต่งไว้เป็นขุนนาง จะได้ช่วยพระองค์ปราบเสี้ยนศัตรูให้ราบคาบ อันเตงเถงกับขุนนางพี่น้องเตงเถงทั้งเจ็ดคน ซึ่งพระองค์ถอดเสียจากที่ขุนนางนั้น ล้วนแต่คนซื่อตรงจงรักภักดีโดยสุจริต ซึ่งจะคิดประทุษร้ายเหมือนคำผู้กราบทูลนั้นหามิได้ บัดนี้เตงเถงออกไปอยู่บ้านเก่าแต่ทุกข์ตรอมใจสิ้นชีวิตแล้ว เตงเถงเป็นคนมีความชอบ ขอจงชักศพเข้ามาฝังไว้ในเมืองหลวงตามตำแหน่งขุนนางผู้มีความชอบแต่ก่อน ขุนนางซึ่งจะทำการอาสาแผ่นดินไปภายหน้าจึงจะไม่เสียใจ ข้าพเจ้าทูลทั้งนี้ด้วยเห็นแก่การแผ่นดินจึงเตือนพระสติ ขอพระองค์จงทรงพระดำริตรึกตรองให้ต้องอย่างโบราณราชประเพณีจึงจะควร พระเจ้าอันเต้ทรงอ่านเรื่องราวจูทองว่ากล่าวตรึกตรองเห็นชอบ จึงสั่งขุนนางให้ชักศพเตงเถงเข้ามาฝังในเมืองหลวง แล้วให้ไปเชิญขุนนางทั้งปวงบรรดาต้องถอดนั้น ตั้งแต่งชุบเลี้ยงคงที่ยศฐาศักดิ์