๒๗

พระเจ้าเบงเต้เสวยราชสมบัติในเมืองหลวง ขุนนางและราษฎรหัวเมืองทั้งปวงอยู่เย็นเป็นสุขนัก พระชันษาได้สี่สิบแปดปีประชวรพระโรค จึงมอบราชสมบัติให้แก่เล่าสวนผู้เป็นพระราชบุตรแล้วเสด็จสู่สวรรคต ขุนนางทั้งปวงทำการฝังพระศพตามอย่างกษัตริย์เสร็จแล้ว ยกเล่าสวนขึ้นเป็นพระเจ้าเจียงเต้ ครั้นถึงวันฤกษ์ดีพระเจ้าเจียงเต้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าพร้อมกัน เอียวจ๋องจึงทูลว่าหัวเมืองใหญ่น้อยในเขตแดนเมืองจีนราบคาบเป็นปรกติตั้งแต่พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้มาคุ้มเท่าทุกวันนี้ แต่พวกยงเหนาซึ่งเป็นเมืองนอกด่านปลายแดน ยกกองทัพเข้ามาปล้นตีเมืองน้อยเก็บริบเอาแต่ทรัพย์สินกลับไปเมือง ทำให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อนเนืองๆ เป็นประเพณีกษัตริย์ได้แต่งกองทัพยกไปกำจัดยงเหนาสืบมาทุกพระองค์ ครั้งนี้ไต้อ๋องครองราชสมบัติ ขอให้แต่งกองทัพไปสู้รบให้ยงเหนาเข็ดขยาดฝีมือทหาร ซึ่งจะละไว้ให้ยงเหนาเข้าตั้งมั่นลงได้ในแดน นานไปจะกำจัดยาก พระเจ้าเจียงเต้ได้ฟังจึงปรึกษาขุนนางเห็นชอบด้วยการแผ่นดินแล้ว จึงให้มีหนังสือไปเกณฑ์ทหารเมืองเกกิมเสีย สมทบกองทัพเมืองยงอิว ให้สุยทองเจ้าเมืองยงอิวเป็นแม่ทัพยกไปตียงเหนา

ฝ่ายสุยทองเจ้าเมืองยงอิวยกกองทัพไปถึงปลายแดน ให้ทหารไปสืบรู้ว่าตัวหลำเจ้าเมืองยงเหนามาตั้งอยู่ ณ ตำบลโฮโหลเป็นต้นทางรวม คอยปล้นตีชิงเก็บริบเอาทรัพย์สิ่งของคนเดินทาง สุยทองจึงยกทัพไปตั้งค่ายมั่นลงห่างค่ายยงเหนาประมาณสิบเส้นเศษ

ฝ่ายตัวหลำรู้ว่ากองทัพเมืองลกเอี๋ยงยกมาถึง จึงแต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าถืออาวุธพาทหารออกจากค่าย ไปถึงหน้าค่ายทัพเมืองลกเอี๋ยงแล้วร้องว่าผู้ใดเป็นนายทหาร เร่งออกมารบกับเราให้ถึงแพ้และชนะ ฝ่ายหลีซกแม่ทัพหน้าสุยทองได้ยินดังนั้น จึงแต่งตัวขึ้นม้าถืออาวุธออกต่อสู้กับตัวหลำได้สิบเพลงทวน มิได้เพลี่ยงพล้ำแก่กัน สุยทองแม่ทัพจึงขับม้ารำง้าวฝ่าฟันทหารเมืองยงเหนาเข้าไปช่วยหลีซกรบ ตัวหลำรับรองป้องปัดอาวุธมิทัน สุยทองฟันด้วยง้าวถูกตัวหลำตัวขาดเป็นสองท่อน แล้วขับทหารไล่ฆ่าฟันทหารยงเหนาตายประมาณสามพันเศษ ครั้นมีชัยชนะ สุยทองจุงให้ทหารตัดศีรษะตัวหลำใส่ชะลอม แต่งหนังสือบอกข้อราชการ ให้ทหารคุมศีรษะตัวหลำไปเมืองหลวง แล้วสุยทองเลิกทัพกลับไปเมืองยงอิว

ฝ่ายผู้ถือหนังสือมาถึงเมืองลกเอี๋ยงเข้าหาขุนนางผู้ใหญ่ นำเฝ้าถวายศีรษะตัวหลำแล้ว ทูลแจ้งความแก่พระเจ้าเจียงเต้ตามหนังสือบอกมาทุกประการ พระเจ้าเจียงเต้มีพระทัยยินดีนัก จึงให้มีหนังสือไปเลื่อนที่สุยทองเป็นขุนนางกินเมืองใหญ่ แล้วพระราชทานทองคำสองร้อยตำลึงเป็นบำเหน็จความชอบซึ่งได้ศีรษะเจ้าเมืองยงเหนามาแล้วเสด็จขึ้น

ฝ่ายนางแบซีซึ่งเป็นฮ่องไทเฮา ครั้นพระราชบุตรได้ราชสมบัติเป็นพระเจ้าเจียงเต้แล้ว ฮ่องไทเฮาจะว่ากล่าวตัดสินถ้อยความสิ่งใดก็สิทธิ์ขาดมิได้ปรึกษาขุนนาง ทำให้กฎหมายอย่างธรรมเนียมลำหรับแผ่นดินฟั่นเฟือนไป แบชำขุนนางผู้ใหญ่เป็นพี่ชายฮ่องไทเฮา เห็นจะเสียขนบธรรมเนียม จึงแต่งเป็นเรื่องราวฉบับโบราณมาเปรียบเทียบสั่งสอนฮ่องไทเฮา

ฝ่ายฮ่องไทเฮาแจ้งความในหนังสือก็เชื่อฟังทำตาม ตั้งแต่นั้นไปผู้ใดมีกิจคดีถ้อยความเข้ามาให้ช่วยว่ากล่าว ฮ่องไทเฮาจึงให้หาขุนนางผู้รู้กฎหมายมาพร้อมกัน ปรึกษาตัดสินกิจทุกข์ของราษฎรโดยเที่ยงธรรมตามกฎหมายสำหรับแผ่นดิน ราษฎรหัวเมืองทั้งปวงสรรเสริญพระเจ้าเจียงเต้กับฮ่องไทเฮาว่า มีพระทัยโอบอ้อมอารีบำรุงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินโดยยุติธรรม ตามโบราณราชประเพณีกษัตริย์สืบมา

ฝ่ายโปเหี้ยนซึ่งเป็นที่จงลงเจี้ยงขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร เป็นพี่ชายพระมเหสีพระเจ้าเจียงเต้ ขุนนางทั้งปวงยำเกรงหาผู้จะฝ่าเกินโปเหี้ยนมิได้ โปเหี้ยนเป็นคนโลภ ชิงเอานากงจู๋เชื้อพระวงศ์พระเจ้าเจียงเต้ กงจู๋จะเพ็ดทูลว่ากล่าวก็เกรงจะขัดเคืองพระมเหสี จึงนิ่งความเสียมิได้ว่ากล่าว อยู่วันหนึ่งฝ่ายพระเจ้าเจียงเต้เสด็จออกขุนนาง จึงตรัสสั่งให้เตรียมทหารพร้อมแล้ว เสด็จทรงรถพร้อมด้วยขุนนางทหารไปเลียบเมืองตามอย่างตามประเพณีกษัตริย์ เสด็จไปถึงทุ่งนาทอดพระเนตรเห็นข้าวกล้างอกงามจึงตรัสถามว่าเป็นนาของผู้ใด โปเหี้ยนทูลว่าเดิมเป็นนากงจู๋ทำ กงจู๋ให้ข้าพเจ้า พระเจ้าเจียงเต้จึงตรัสถามกงจู๋

ฝ่ายกงจู๋จึงกราบทูลโดยความจริงว่า เดิมนานี้เป็นนาของข้าพเจ้า ได้ให้ชาวนาซึ่งเป็นพรรคพวกทำมาช้านาน โปเหี้ยนขอไปทำ ข้าพเจ้าขัดมิได้จึงยกให้โปเหี้ยนตั้งแต่ไต้อ๋องได้ราชสมบัติมาคุมเท่าบัดนี้

ฝ่ายพระเจ้าเจียงเต้ได้ฟังก็แจ้งว่า โปเหี้ยนข่มเหงชิงเอานาของกงจู๋ จึงตรัสว่าขุนนางผู้ใหญ่เป็นที่อาศัยแก่ขุนนางผู้น้อย แม้นขุนนางผู้ใหญ่ไม่โอบอ้อม ข่มเหงขุนนางผู้น้อยโดยวาสนาหาความกรุณามิได้นั้น ไม่ควรแก่ผู้ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ตัวท่านเราชุบเลี้ยงเป็นขุนนางฝ่ายทหาร มีเมืองส่วยขึ้น สมบัติพัสถานบริบูรณ์ทุกสิ่ง ข่มเหงชิงเอานากงจู๋ไปเป็นนาของตัว จะให้คนนินทาเหมือนดังเตียวโก๋ขุนนางผู้ใหญ่ครั้งแผ่นดินพระเจ้ายีซีฮ่องเต้นั้นไม่ชอบ โปเหี้ยนได้ยินพระเจ้าเจียงเต้ตรัสติเตียนกลัวราชอาญา จึงคืนนาให้แก่กงจู๋แล้ว ตามเสด็จพระเจ้าเจียงเต้ไปถึงเมืองหลอก๊ก พระเจ้าเจียงเต้เสด็จลงจากรถเข้าในวัดของจู จึงทรงจุดธูปบูชาคำนับรูปของจูซึ่งเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ของอี๋ขุนนางซึ่งเป็นหลานของจูจึงทูลสรรเสริญพระเจ้าเจียงเต้ ว่ามีพระทัยกตัญญู ทรงประพฤติตามโบราณราชประเพณี พระเจ้าเจียงเต้จึงพระราชทานเงินทองเสื้อผ้าแก่หลานของจูหกสิบสองคน แล้วเสด็จเข้าเมืองหลวงแล้วตรัสสั่งอวนหอง แต่งกฎหมายแจกไปทุกเมืองว่า ผู้ใดเล่าเรียนหนังสือลึกซึ้งและผู้ซึ่งได้ฝึกสอนชำนาญวิชาเพลงอาวุธ มีสติปัญญาฉลาดจัดแจงการแผ่นดิน เร่งให้เข้ามาเมืองหลวงจะตั้งแต่งให้เป็นขุนนางตามสมควร

ฝ่ายผู้ซึ่งได้เล่าเรียนหนังสือและได้ฝึกสอนวิชาฝ่ายทหารต่างคนเข้ามาหาอวนหองผู้รับสั่ง อวนหองพาเฝ้ากราบทูลตั้งแต่งเป็นขุนนางตามตำแหน่ง ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งชื่อเตียวงวนซก อยู่ในแขวงเมืองด่านข้างทิศตะวันตกเมืองหลวง รู้ข่าวว่าพระเจ้าเจียงเต้จัดหาผู้รู้หนังสือไปตั้งเป็นขุนนาง เตียวงวนซกจึงปรึกษาภรรยาว่า เราเรียนหนังสือมาแต่น้อยคุ้มใหญ่ตั้งใจจะเป็นขุนนาง บัดนี้มีกฎหมายรับสั่งมาแต่เมืองหลวง จะจัดหาคนมีสติปัญญารู้หนังสือลึกซึ้งไปตั้งเป็นขุนนาง เราคิดจะเข้าไปเป็นขุนนางเจ้าจะเห็นประการใด นางผู้เป็นภรรยาจึงว่า ผู้ซึ่งได้เป็นขุนนางชันษาชะตาขึ้น ควรจะได้ที่ยศศักดิ์จึงได้เป็นขุนนาง แม้นชะตาตกต่ำช้า ถึงจะรู้วิชาและติดสอยบนบานให้มีผู้ช่วยทำนุบำรุงประการใด ก็ไม่สะดวกเพราะชะตายังไม่ขึ้น เผอิญขัดเป็นวิบัติไปต่างๆ ขอท่านจงไปหาหมอให้ดู ถ้าชะตาขึ้นไปจะได้เป็นขุนนางโดยง่าย ถ้าชะตาตกอยู่ยังไม่ควรจะได้ที่ยศศักดิ์ไม่สมความคิด จะป่วยการทำกินเสียเปล่า เตียวงวนซกเห็นชอบ จึงไปหาหมอจะให้ดูชะตา

ฝ่ายซินแสผู้รู้ดูลักษณะคำนวณชันษาตามตำราแล้ว ให้เตียวงวนซกเปลื้องเสื้อห่มออกจากตัว จึงพิจารณาดูลักษณะราศี แล้วทำนายว่าลักษณะอันเกิดมีในตัวท่าน จะเป็นแต่ไพร่พลเมืองหากินพอเลี้ยงชีวิตด้วยกำลังฝีมือของตน ทุกวันนี้เป็นคราวชะตาตก คิดสิ่งใดมิได้สมความปรารถนา เตียวงวนซกฟังมิได้ชอบใจ ไม่เชื่อคำซินแสมุ่งหมายแต่จะไปเป็นขุนนาง จึงคิดเบี้ยค่าจ้างให้ซินแซแล้วกลับไปถึงบ้าน แกล้งบอกความจะให้ภรรยาดีใจว่า หมอดูชันษาเราจะได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่มียศศักดิ์ เจ้าจงจัดแจงเสบียงอาหารใส่หาบให้เราจะเข้าไปในเมืองหลวง นางผู้ภรรยาได้ฟังดีใจ ตกแต่งขนมของกินเสบียงอาหารให้แก่เตียวงวนซกผู้ผัว ครั้นเวลาเช้าเตียวงวนซกยกหาบขึ้นบ่า ออกจากบ้านเดินตามระยะทางมาห้าวันถึงเมืองหลวง จึงเช่าร้านอาศัยพอหายเหนื่อยพัก สืบถามเจ้าของร้านรู้ว่าอวนหองเป็นผู้รับสั่ง ได้จัดแจงตั้งขุนนางผู้สามิภักดิ์สมัครเข้ามาใหม่ เตียวงวนซกจึงไปหาอวนหองพร้อมกันกับผู้ซึ่งมาสมัครใหม่ประมาณสองร้อยคน

ฝ่ายอวนหองออกมาจากตึกนั่งอยู่บนเก้าอี้ บรรดาผู้ซึ่งมาประชุมต่างคนคำนับอวนหอง แต่เตียวงวนซกนั้นถือตัวว่าเป็นผู้รู้หนังสือลึกซึ้ง แกล้งยืนอยู่มิได้คำนับ อวนหองเห็นดังนั้นจึงว่า บรรดาผู้ซึ่งเข้ามาประชุมอยู่ทั้งนี้ แต่ล้วนมีคุณวิชาต่าง ๆ กัน เห็นว่าเราเป็นขุนนางผู้ใหญ่คำนับยำเกรงเราทุกคน ตัวท่านเข้ามาอยู่ในที่ประชุมผู้มีสติปัญญา เหตุใดจึงไม่ทำตามอย่างธรรมเนียม เตียวงวนซกจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้ดูหนังสือเรื่องราชพงศาวดารครั้งแผ่นดินไซ่ฮั่น พระเจ้าฮั่นอ๋องเกลี้ยกล่อมผู้มีสติปัญญาทำศึกกำจัดฌ้อปาอ๋องนั้น หลีเสงรู้ว่าฮั่นอ๋องจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน หลีเสงเข้าไปสามิภักดิ์มิได้คำนับฮั่นอ๋อง ต่อภายหลังฮั่นอ๋องรู้ว่าหลีเสงเป็นผู้มีสติปัญญา หลีเสงจึงถวายบังคมพระเจ้าฮั่นอ๋อง ข้าพเจ้าทำทั้งนี้ตามอย่างหลีเสงผู้มีสติปัญญาแต่ก่อน อวนหองได้ฟังจึงคิดว่าชายผู้นี้เป็นคนรู้หนังสือลึกซึ้งแต่มีมานะกระด้าง มิได้ยำเกรงเราเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ถ้าได้เป็นขุนนางจะมีใจกำเริบมากขึ้น อวนหองจึงให้เสมียนจดหมายชื่อเตียวงวนซกไว้ แล้วสั่งว่าเวลาเช้าเย็นจงมาเตรียมอยู่ ได้ช่องมีรับสั่งถามเราจะทูลให้ได้เป็นขุนนางตามสมควรพร้อมกันทั้งสองร้อยคน เตียวงวนซกได้ฟังก็ดีใจ สำคัญว่าอวนหองจะทูลตั้งให้ตัวได้เป็นขุนนาง จึงลากลับไปอยู่ที่ร้านเคยอาศัย แต่เวียนมาหาอวนหองทุกเช้าเย็นมิได้ขาด ครั้นอยู่มารู้ว่าอวนหองทูลตั้งแต่งคนสองร้อยเป็นขุนนาง เตียวงวนซกมิได้เป็นขุนนาง มีความน้อยใจนัก จึงไปบ้านโฮหลำอี๋นขุนนางผู้ใหญ่ นายประตูห้ามมิให้เข้าไป เตียวงวนซกไม่ฟังดื้อดึงขึ้นไปบนตึกรับแขก แล้วร้องไห้เสียงอื้ออึง

ฝ่ายโฮหลำอิ่นอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงร้องไห้จึงออกมาไต่ถาม เตียวงวนซกบอกความว่า ข้าพเจ้ามีใจสามิภักดิ์เข้ามาทำราชการ อวนหองทูลตั้งแต่งผู้อื่น ส่วนตัวข้าพเจ้านี้อวนหองมิได้จัดแจงแกล้งบิดเบือนอยู่ ข้าพเจ้ามาหาหวังจะให้ท่านช่วยทำนุบำรุงให้ได้เป็นขุนนางข้าเฝ้าในพระเจ้าเมืองหลวง โฮหลำอี๋นได้ยินจึงคิดว่าชายผู้นี้กิริยามิได้เรียบร้อย ถ้อยคำเจรจาหาอัชฌาสัยมิได้ อวนหองเป็นผู้จัดแจงมิได้ตั้งแต่งเป็นขุนนางนั้นจะมีที่ขัดข้องเป็นมั่นคง ครั้นจะว่ากล่าวตัดรอนให้เด็ดขาด เห็นจะเสียใจจะมีความนินทาว่าเป็นขุนนางผู้ใหญ่ไม่รับธุระ โฮหลำอี๋นจึงว่าเราจะช่วยเตือนอวนหองผู้รับสั่งให้ทูลจัดแจงตั้งแต่งท่านเป็นขุนนาง ต่อเวลาอื่นจงมาหาเรา เตียวงวนซกได้ฟังก็ดีใจ จึงลากลับไปที่อาศัย แต่เวียนมาหาโฮหลำอี๋นเป็นหลายครั้งไม่ได้เป็นขุนนาง พอเสบียงอาหารสิ้นลง เตียวงวนซกจึงคิดว่า ซินแสทายไว้เมื่อจะมาว่าชะตาไม่ถึงที่ยศศักดิ์ พิเคราะห์ดูสารพัดจะขัดไปทุกประการ เห็นจะไม่ได้เป็นขุนนางโดยแท้ ซินแสดูแน่นักควรเชื่อฟัง เตียวงวนซกจึงออกจากเมืองลกเอี๋ยงกลับไปบ้าน ตั้งแต่นั้นมามิได้คิดที่จะเป็นขุนนาง สองคนกับภรรยาทำไร่นาหาเลี้ยงชีวิต

ฝ่ายผู้รักษาเมืองด่านสืบรู้ว่าเตียวงวนซกรู้หนังสือลึกซึ้ง จึงแต่งหนังสือบอกเข้าไปในเมืองหลวงให้กราบทูลพระเจ้าเจียงเต้ พระเจ้าเจียงเต้จึงสั่งให้ขุนนางไปเชิญมา เตียวงวนซกรู้ข่าวคิดอายใจด้วยครั้งก่อนไม่ได้เป็นขุนนาง จึงพาภรรยาอพยพเข้าป่าทำไร่สร้างสวนหาเลี้ยงชีวิตอยู่ในซอกห้วยธารเขา ฝ่ายขุนนางซึ่งไปเชิญเตียวงวนซกนั้น เที่ยวสืบถามชาวบ้าน มิได้รู้ว่าเตียวซวนซกจะไปอยู่ตำบลใด จึงกลับมาเมืองหลวง

ฝ่ายพระเจ้าเจียงเต้เสวยราชสมบัติโดยยุติธรรม บำรุงไพร่ฟ้าข้าขอบขัณฑสีมาอยู่เย็นเป็นสุข พระชันษาสามสิบเอ็ดปีเสด็จสู่สวรรคต ณ เดือนสามขึ้นค่ำหนึ่ง ขุนนางทั้งปวงประชุมพร้อมกันทำการฝังพระศพแล้ว ครั้นถึงวันฤกษ์ดี จึงเชิญไทจูปิดพระราชบุตรมีพระชันษาสิบขวบเสวยราชสมบัติ ทรงพระนามพระเจ้าโฮเต้ โปไทเฮาซึ่งเป็นพระราชมารดา เห็นว่าพระเจ้าโฮเต้เป็นราชบุตรยังทรงพระเยาว์อยู่ จึงเสด็จนั่งอยู่ในมูลี่กำกับพระราชบุตรว่าราชการแผ่นดิน

ฝ่ายตัวอี๋เจ้าเมืองยงเหนารู้กิตติศัพท์ว่าพระเจ้าเจียงเต้สวรรคตแล้ว จึงเกณฑ์กองทัพยกเหยียบแดนเมืองลกเอี๋ยงเข้าไป ปล้นตีบ้านเมืองปลายด่านเก็บริบเอาสิ่งของราษฎรเป็นอันมาก แล้วยกกลับไปเมืองยงเหนา ฝ่ายหัวเมืองฝ่ายเหนือบอกข้อราชการเข้ามาเมืองหลวง ขุนนางทูลข้อความตามหนังสือบอกมาทุกประการ พระเจ้าโฮเต้จึงสั่งให้ยกทัพไปรบยงเหนา ขุนนางจะจัดแจงแม่ทัพมิได้ตกลงกัน โปไทเฮาได้ยินดังนั้นจึงตรัสว่า แต่ก่อนพวกยงเหนานั้นนายทัพนายกองล้วนมีฝืมือเข้มแข็งชำนาญการสงคราม ทหารรบมากกว่าร้อยหมื่นพร้อมมือพร้อมใจกัน หัวเมืองใหญ่น้อยเข็ดขยาดยงเหนาทั้งแผ่นดิน ครั้งพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ให้ก่อกำแพงกั้นแดนไว้ ครั้งแผ่นดินพระเจ้าฮั่นโกโจดำริเห็นว่ายงเหนากำลังศึกกล้า จึงเอาดีต่อขอเป็นทางราชไมตรี แผ่นดินจีนอยู่เย็นเป็นสุขมาช้านาน เจ้าเมืองยงเหนาคนเก่าตายแล้ว ยังแต่ลูกหลานต่อมาคุมเท่าทุกวันนี้ ทแกล้วทหารฝีมืออ่อน แต่ยกทัพมาในแดนเราครั้งใดทหารเราตีแตกไปทุกครั้ง ควรจะยกทัพใหญ่ไปปราบยงเหนาให้ราบคาบ แผ่นดินเมืองจีนจึงจะอยู่เย็นเป็นสุข โปไทเฮาจึงให้โปเหี้ยนขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหารเป็นแม่ทัพหลวง ตั้งให้ปันก่อเป็นปลัดทัพ ถิวเทียนเป็นแม่ทัพหน้า ทหารเอกทหารเลวสามหมื่นเกณฑ์กองทัพหัวเมืองสมทบยกไปรบยงเหนา โปเหี้ยนรับสั่งพาถิวเทียนกับปันก่อออกมา พาทหารออกจากเมืองหลวงไปเกณฑ์ทหารหัวเมืองทั้งปวงเข้ากระบวนทัพเป็นทหารสามสิบหมื่น ยกทัพตามระยะทางไปหลายวันเข้าถึงแดนยงเหนา ให้ตั้งค่ายมั่นพักทแกล้วทหารพอมีกำลัง แล้วโปเหี้ยนจึงสั่งปันก่อกับถิวเทียนว่าตำบลเขาซุนลกไทสานเป็นต้นทางร่วม ท่านทั้งสองจงคุมทหารไปซุ่มทัพอยู่แทบทางริมเชิงเขา แล้วให้ทหารขึ้นไปคอยอยู่บนยอดเขาสูง ถ้าพวกยงเหนายกทัพมาให้โบกธงสัญญาแล้วยกออกสกัดช่องแคบ กองทัพเราจะออกรบ ถ้ายงเหนาเสียทีจะหนีลงทางริมเชิงเขาซุนลกไทสาน ท่านจงตีประจันหน้าไว้ล้อมจับเจ้าเมืองยงเหนาให้จงได้ ถ้าพวกยงเหนารบกับกองทัพเราติดพันกันอยู่ ท่านจงตีท้ายทัพเราจะรบรับประจันไว้ พวกยงเหนาต้องกลอุบายตกอยู่ในระหว่างศึกกระหนาบ เห็นจะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง สองนายคำนับรับคำพากันออกมาจัดทหารสองหมื่นยกไปซุ่มทัพตามสั่ง

ฝ่ายตัวอี๋เจ้าเมืองยงเหนารู้ข่าวว่ากองทัพเมืองลกเอี๋ยงยกมาถึง จึงเกณฑ์ทหารสามสิบหมื่นยกเป็นกระบวนทัพใหญ่ออกจากเมือง เดินตามทางริมเชิงเขาซุนลกไทสานมาเห็นค่ายใหญ่ตั้งอยู่ จึงขับม้าฝ่าทหารขึ้นไปร้องว่า ผู้ใดเป็นแม่ทัพเร่งออกมาต่อสู้กับเราให้ถึงแพ้และชนะ

ฝ่ายโปเหี้ยนแม่ทัพแจ้งว่า ตัวอี๋เจ้าเมืองยงเหนายกทัพมาถึงหน้าค่าย ร้องว่ากล่าวท้าทายมิได้โต้ตอบ จึงแต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าถืออาวุธ ขับทหารออกจากค่ายตีทัพตัวอี๋ ทหารทั้งสองฝ่ายรบกันเป็นตะลุมบอน ตัวอี๋ขับม้ารำทวนเข้าต่อสู้โปเหี้ยนได้สิบเพลง ต้านทานโปเหี้ยนมิได้ชักม้าถอยกลับเข้ากองทัพ อุนหงูอ๋องแม่ทัพหน้าชักม้ารำอาวุธออกป้องกันรบกับโปเหี้ยนได้สามเพลง โปเหี้ยนทำเสียที อุนหงูอ๋องเอาทวนแทง โปเหี้ยนหลบทันฟันด้วยง้าวถูกอุนหงูอ๋องตัวขาดทั้งคนทั้งม้าตาย ตัวอี๋เสียทีรอรบไปตามทาง

ฝ่ายปันก่อขึ้นอยู่บนเขาสูง แลเห็นกองทัพยงเหนาหนีกลับมา จึงโบกธงสัญญากองทัพ แล้วรีบลงมาจากยอดเขาเข้าสมทบกับถิวเทียน ขับทหารออกสกัดต้นทางที่ช่องแคบ ฝ่ายเฮาสุยอ๋องปลัดกองตัวอี๋ขี่ม้านำทหารมา เห็นทหารเมืองลกเอี๋ยงตั้งสกัดทางอยู่ จึงขับม้ารำทวนเข้าต่อสู้กับถิวเทียน ถ้อยทีหนีทีไล่หลบหลีกป้องปัดอาวุธกันเป็นหลายเพลง เฮาสุยอ๋องเสียทีม้าถลำซวนไปยั้งตัวมิทัน ถิวเทียนฟันด้วยง้าวถูกเฮาสุยอ๋องคอขาดตกม้าตาย ตัวอี๋เห็นทหารเมืองลกเอี๋ยงมีฝีมือเข้มแข็งนักจะหักออกไปมิได้ จึงชักม้าพาทหารกลับจะออกโดยทางอื่น พอทัพโปเหี้ยนตามทันตีกระทบเข้ามา ทหารถูกอาวุธป่วยตายแตกระส่ำระสายเสียกระบวน ตัวอี๋ตกใจนัก ชักม้าพาทหารข้ามคลองน้ำสูปกเถ

ฝ่ายโปเหี้ยนขับทหารติดตามฆ่าฟันทหารยงเหนาตายประมาณหมื่นเศษ อาสภทับกันเกลื่อนกลาดไปตามลำคลอง ตัวอี๋หนีไปจับตัวมิได้ พอเวลาจวนเย็นจึงให้ตีม้าล่อประชุมทหาร ตั้งค่ายอยู่เนินเขาเอี๋ยนเยียนสาน ฝ่ายตัวอี๋แตกทัพหนีกลับไปถึงเมืองยงเหนา คิดเกรงกองทัพเมืองลกเอี๋ยงจะติดตามไปล้อมเมือง ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงจัดขุนนางคุมสิ่งของออกไปหาโปเหี้ยนแม่ทัพ ยอมถวายดอกไม้เงินทองแก่พระเจ้าเมืองหลวง โปเหี้ยนจึงคิดว่า ตัวอี๋เสียทีแก่เราควรที่จะปราบให้ราบคาบ แต่ครั้งนี้ทหารในกองทัพน้อยตัวไม่มีทัพหนุน ครั้นจะยกล่วงถลำเข้าไปได้สู้รบติดพัน เสบียงอาหารส่งมิทันจะเสียที อนึ่งตัวอี๋มีเมืองขึ้นแปดสิบเอ็ดเมือง ทหารประมาณแปดสิบหมื่นเศษซึ่งยงเหนายอมเป็นเมืองขึ้นนั้น เพราะเข็ดขยาดฝีมือกองทัพเรา จำจะรับสิ่งของไว้เป็นฤกษ์มีชัยชนะครั้งหนึ่ง โปเหี้ยนคิดแล้วจึงว่า ตัวอี๋ซึ่งเป็นนายท่านยกทัพล่วงแดนเมืองหลวงเข้าไป ปล้นตีชิงทรัพย์สิ่งของราษฎรเนืองๆ พระเจ้าเมืองหลวงจึงให้เรายกทัพมาปราบนายท่านให้ราบคาบ ซึ่งตัวอี๋รู้จักโทษตัว ขอเป็นเมืองขึ้นเราจะช่วยกราบทูลทำนุบำรุง แต่อย่าให้นายท่านทำการให้ราษฎรได้ความเดือดร้อนเหมือนดังหนหลัง ขุนนางยงเหนารับคำแล้วคำนับลาไปแจ้งความแก่ตัวอี๋ตามคำโปเหี้ยนทุกประการ

ฝ่ายโปเหี้ยนครั้นขุนนางยงเหนากลับไปแล้ว จึงให้ทหารปักหลักศิลาจารึกอักษรไว้ว่า พระเจ้าโฮเต้ได้เสวยราชสมบัติในเมืองลกเอี๋ยง ให้โปเหี้ยนขุนนางผู้ใหญ่เป็นแม่ทัพหลวง ปันก่อเป็นปลัดทัพ ถิวเทียนเป็นแม่ทัพหน้า คุมทหารยกมาทำศึกกับตัวอี๋ เจ้าเมืองยงเหนายอมสามิภักดิ์ถวายดอกไม้เงินทอง ขอเป็นเมืองขึ้นแก่พระเจ้าโฮเต้ ครั้นจารึกอักษรแล้วโปเหี้ยนเลิกทัพกลับคืนเข้าเมืองหลวง พานายทัพนายกองทั้งปวงขึ้นเฝ้า ทูลแจ้งความซึ่งคิดกลศึกมีชัยชนะ ตัวอี๋ยอมเป็นเมืองขึ้นถวายดอกไม้เงินทองให้พระเจ้าโฮเต้ฟังทุกประการ พระเจ้าโฮเต้มีพระทัยยินดีนัก จึงพระราชทานบ้านส่วยให้โปเหี้ยนสองหมื่นครัว ถิวเทียนกับปันก่อคนละหกพันครัว บรรดาทหารซึ่งมีความชอบให้เสื้อผ้าเงินทองตามสมควร โปเหี้ยนจึงทูลว่า ตัวอี๋เจ้าเมืองยงเหนาซึ่งอ่อนน้อมยอมสามิภักดิ์นั้น จะสุจริตหรือจะคิดเป็นอุบายประการใดมิได้แจ้ง ข้าพเจ้าขอลาออกไปจัดแจงเมืองเกียจิ๋วพร้อมทแกล้วทหารไว้ดูท่วงทีก่อน ถ้าตัวอี๋มิได้มาถวายดอกไม้เงินทอง จะขอยกกองทัพไปปราบยงเหนาให้ราบคาบ ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจึงจะได้ทำมาหากินอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป พระเจ้าโฮเต้เห็นชอบ จึงสั่งให้โปเหี้ยนกับถิวเทียนปันก่อนายทัพนายกองทั้งปวงยกไปตั้งอยู่เมืองเกียจิ๋ว

ขณะเมื่อศักราชพระเจ้าโฮเต้เสวยราชสมบัติได้สองปี โปเหี้ยนไปอยู่เมืองเกียจิ๋ว มิได้เห็นตัวอี๋เจ้าเมืองยงเหนามาถวายดอกไม้เงินทองตามสัญญา จึงประชุมขุนนางนายทหารพร้อมกันเกณฑ์กองทัพ ตั้งถิวเอี๋ยนเป็นแม่ทัพ เตียวทวนเป็นปลัดทัพ ยิมเสียงเป็นแม่ทัพหน้า ทหารสามสิบหมื่นยกไปเมืองยงเหนา สามนายคำนับลาพาทหารออกจากเมืองเกียจิ๋ว เดินทัพตามระยะทางถึงที่ตำบลหนึ่งปลายด่านต่อแดนยงเหนา ถิวเอี๋ยนจึงให้ตั้งค่ายมั่นพักทหาร ฝ่ายชาวด่านยงเหนารู้ว่ากองทัพเมืองลกเอี๋ยงยกมา ต่างคนตกใจรีบไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองยงเหนาทุกประการ

ฝ่ายตัวอี๋กินโต๊ะเสพสุราอยู่กับขุนนางนายทหารทั้งปวง แจ้งว่ากองทัพเมืองลกเอี๋ยงยกมาก็ตกใจ มิทันจัดเตรียมทแกล้วทหาร จัดแต่ทหารในเมืองสามหมื่นยกออกจากเมืองยงเหนา ไปถึงตำบลเขาคิมซุดสานแลเห็นค่ายตั้งอยู่ ตัวอี๋เข้าไปยืนม้าอยู่หน้าค่ายแล้วร้องว่า นายทหารผู้ใดซึ่งเป็นแม่ทัพ จงเร่งออกมาเจรจากับเราโดยดีก่อน

ฝ่ายถิวเอี๋ยนรู้ว่าเจ้าเมืองยงเหนามาถึง จึงแต่งตัวใส่เกราะจะออกรบ ยิมเสียงจึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาออกรบกับตัวอี๋เอาชัยชนะ ขอท่านจงดูเล่นให้เป็นสุข ว่าแล้วขึ้นม้าพาทหารออกมาหน้าค่าย ตัวอี๋จึงร้องถามว่า ตัวเราได้ยอมสามิภักดิ์เป็นเมืองขึ้นแก่พระเจ้าเมืองลกเอี๋ยงแล้ว เหตุใดจึงยกทัพมาย่ำยีเราอีกเล่า ยิมเสียงจึงตอบว่า ตัวเป็นศัตรูแผ่นดิน ทำให้ราษฎรในแดนเมืองลกเอี๋ยงได้ความเดือดร้อน พระเจ้าเมืองหลวงตรัสใช้ให้โปเหี้ยนเป็นแม่ทัพมาครั้งก่อน ตัวให้ผู้นำเครื่องบรรณาการมายอมถวายดอกไม้เงินทอง กองทัพจึงยกทัพกลับไปถึงสองปีเศษ แล้วตัวมิได้ไปถวายดอกไม้เงินทองตามประเพณีเมืองขึ้น ตัวมิได้ตั้งอยู่ในสัตยานุสัจ เรามาหมายจะตัดศีรษะตัวไปถวายแก่พระเจ้าเมืองหลวง ตัวจงลงจากหลังม้ายอมให้ทหารจับโดยดี ตัวอี๋ได้ยินก็โกรธ ชักม้ารำทวนออกสู้รบกับยิมเสียงถ้อยทีชำนาญเพลงอาวุธ

ฝ่ายถิวเอี๋ยนแม่ทัพยืนม้าอยู่กับเตียวทวน เห็นยิมเสียงสู้รบกับตัวอี๋มิได้แพ้ชนะแก่กัน จึงให้เตียวทวนตีโอบขึ้นข้างซ้าย ถิวเอี๋ยนขับทหารตีโอบขึ้นข้างขวา ทหารพุ่งซัดอาวุธตีกระหนาบเข้าไปเป็นสามด้าน ตัวอี๋ต่อสู้อยู่กับยิมเสียงได้ยี่สิบเพลงทวน เห็นทหารเมืองลกเอี๋ยงตีโอบขึ้นมาจะวกหุ้มข้างหลัง ทั้งทหารต้องอาวุธป่วยเจ็บล้มตายเป็นอันมากจะต้านทานมิได้ จึงชักม้าพาทหารกลับไปเมืองยงเหนา ถิวเอี๋ยนขับทหารติดตามฆ่าฟันทหารยงเหนาไปจนเวลาพลบค่ำลง จึงให้ตีม้าล่อประชุมทหารกลับเข้าค่าย ครั้นรุ่งเช้าเลิกทัพไปเมืองเกียจิ๋ว ถิวเอี๋ยนกับยิมเสียงเตียวทวนเข้าไปคำนับแจ้งความตามซึ่งได้รบมีชัยชนะแก่ตัวอี๋ให้โปเหี้ยนฟังทุกประการ โปเหี้ยนจึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงถิวเอี๋ยนนายทัพนายกองทั้งปวง แล้วยกไปเมืองหลวง พานายทัพนายกองทั้งปวงขึ้นเฝ้าทูลความตามซึ่งให้ถิวเอี๋ยนไปทำการศึกชนะตัวอี๋ให้พระเจ้าโฮเต้ฟังทุกประการ พระเจ้าโฮเต้จึงพระราชทานที่ยศศักดิ์ทรัพย์เงินทองเสื้อผ้าแก่โปเหี้ยนนายทัพนายกองผู้มีความชอบแล้วเสด็จขึ้น

ฝ่ายขุนนางข้าราชการเห็นว่าโปเหี้ยนเชี่ยวชาญการศึก จะเพ็ดทูลสิ่งใดพระเจ้าโฮเต้เชื่อฟัง ต่างคนเกรงกลัวเข้าฝากตัวอยู่ด้วยโปเหี้ยนเป็นอันมาก โปเหี้ยนจึงตั้งถิวเอี๋ยนกับยิมเสียงเป็นปลัดซ้ายขวา เตงลุยกับโกเยียบเป็นที่ปรึกษา ปันก่อเป็นขุนนางพนักงานรับหนังสือบอกหัวเมือง และกำกับตราซึ่งสำหรับตีประจำหนังสือเกณฑ์กองทัพ โปเหี้ยนชักชวนผู้มีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็งในการศึกมาตั้งเป็นขุนนางคนสนิท ขุนนางซึ่งต้องโทษอยู่เวรจำนั้น โปเหี้ยนแกล้งทูลซํ้าเติมเอาโทษเบาให้เป็นหนัก มิได้มีความกรุณาเก็บริบเอาบุตรหญิงและภรรยามาใช้ในเรือน ขุนนางข้าเฝ้าซึ่งเป็นคนเก่าต่างคนเกรงอำนาจมิอาจเพ็ดทูล

ฝ่ายขุนนางคนสนิทของโปเหี้ยนเป็นคนโลภใจหยาบช้าฉ้อตระบัด ข่มเหงเก็บริบเอาทรัพย์สิ่งของราษฎร ชาวเมืองได้ความเดือดร้อนมาว่ากล่าวแก่โปเหี้ยน โปเหี้ยนเข้าด้วยบ่าวของตัว กลับว่ากล่าวพาลเอาผิดให้โบยตีแล้วขับผู้มาร้องฟ้องนั้นเสีย โปเหี้ยนกำเริบใจมัวเมาในอิสริยยศถือตัวว่าเป็นพี่ชายของฮ่องไทเฮา จะตั้งแต่งขุนนางและทำการสิ่งใดแต่อำเภอใจ มิได้เพ็ดทูลขุนนางซึ่งมิใช่พรรคพวกโปเหี้ยน และราษฎรชาวเมืองพากันนินทาโปเหี้ยน รู้เข้าไปถึงโปไทเฮาซึ่งเป็นพระราชมารดาพระเจ้าโฮเต้

ฝ่ายโปไทเฮาแจ้งความว่าโปเหี้ยนผู้พี่ทำการหยาบช้า จึงให้หาตัวไปว่ากล่าวห้ามปรามเป็นหลายครั้ง โปเหี้ยนไม่เชื่อฟังคำ โปเหี้ยนสืบรู้ว่าผู้ใดมีเงินทองมาก คิดโลภจะใคร่ได้ทรัพย์จึงกระซิบสั่งทหารคนสนิทไปล้อมบ้านเวลากลางคืน เข้าปล้นตีชิงเอาทรัพย์สิ่งของทำการดังนี้เนืองๆ โปเหี้ยนคิดเกรงโปไทเฮาผู้น้องจะว่ากล่าว ความจะทราบถึงพระเจ้าโฮเต้ โปเหี้ยนจึงให้โปไทเฮาออกจากวังไปอยู่ตำหนัก ณ งุยกูน โปไทเฮาเห็นโปเหี้ยนทำการหยาบช้า ว่ากล่าวห้ามปรามมิฟังขัดเคืองนัก แต่มิรู้ที่จะทำประการใด ด้วยโปเหี้ยนเป็นพี่ชาย จึงยักย้ายออกจากวังไปอยู่ตำหนักใหม่ที่โปเหี้ยนปลูกให้นั้น กิตติศัพท์ซึ่งโปเหี้ยนทำการหยาบช้าทราบถึงพระเจ้าโฮเต้ พระเจ้าโฮเต้ระแวงพระทัยเคืองโปเหี้ยนเกรงจะคิดกบฎ จึงให้หาเตงจ้วงเข้ามาที่ข้างในแล้วตรัสว่า โปเหี้ยนมีความชอบชนะศึกยงเหนา เราชุบเลี้ยงเป็นขุนนางผู้ใหญ่ มีใจกำเริบข่มเหงเอาบุตรภรรยาขุนนางซึ่งต้องโทษระแวงผิดโดยราชการ โปเหี้ยนถอดขุนนางคนเก่า เอาญาติพรรคพวกตั้งขึ้นเป็นขุนนางทุกตำแหน่งมิได้ปรึกษา เราเห็นว่าจะคิดเป็นศัตรูราชสมบัติ ทุกวันนี้ขุนนางซึ่งโปเหี้ยนตั้งแต่งไว้เป็นอันมาก ขุนนางคนเก่าซึ่งจะช่วยเจ็บร้อนด้วยเรานั้นน้อยตัว อนึ่งตราสำหรับเกณฑ์กองทัพก็ตกอยู่กับโปเหี้ยน ถ้าโปเหี้ยนรู้ว่าเราจะจับ เห็นจะเกิดการศึกใหญ่ขึ้นในเมืองเราคิดเกรงกริ่งนัก เตงจ้วงจึงกระซิบทูลว่า ซึ่งจะคิดคืนเอาตราเกณฑ์กองทัพและจะจับโปเหี้ยนมิให้สะดุ้งสะเทือนนั้น ขอให้เลื่อนที่โปเหี้ยนขึ้นเป็นกุนเหา ตำแหน่งได้บังคับว่ากล่าวขุนนางผู้ใหญ่ทั้งพลเรือนและทหาร ชุบเลี้ยงโปเหี้ยนให้เกินตำแหน่งที่ถือตราเกณฑ์ทัพ เมื่อจะจับโปเหี้ยนนั้น เชิญเสด็จออกไปประทับ ณ ตำหนักที่ประพาสนอกเมือง จัดเอาแต่ขุนนางคนเก่าออกไปพร้อมกัน จับโปเหี้ยนอย่าให้ฮ่องไทเฮาทราบความ การซึ่งทรงคิดไว้จะสำเร็จโดยง่าย พระเจ้าโฮเต้เห็นชอบ ครั้นเวลาเย็นจึงเสด็จออกขุนนางเห็นโปเหี้ยนเข้ามาเฝ้า จึงตรัสสั่งให้เลื่อนที่โปเหี้ยนเป็นเคากุนเหา แล้วตรัสว่า ที่ขุนนางทหารสำหรับถือตราเกณฑ์ทัพว่างเปล่าอยู่ ท่านจงเอาตรามาคืนเรา จะจัดหาขุนนางสัตย์ซื่อมีสติปัญญาฝีมือกล้าแข็ง ควรจะเป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่บังคับทหารแทนที่ท่านได้ จึงมอบตราให้ว่ากล่าวตามตำแหน่ง โปเหี้ยนรับที่ขุนนางผู้ใหญ่ ได้บังคับขุนนางทั้งพลเรือนทหารมีความยินดีนัก จึงเอาตราเกณฑ์กองทัพสำหรับที่ทหารถวายคืน พระเจ้าโฮเต้จึงตรัสสั่งเตงจ้วงว่า เวลารุ่งพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวเล่นนอกเมือง จงจัดขุนนางและทหารไปตามพนักงาน เตงจ้วงรับสั่งออกมาเกณฑ์ขุนนางนายทหาร ซึ่งมิได้เป็นพรรคพวกโปเหี้ยนเตรียมไว้คอยเสด็จ

ฝ่ายพระเจ้าโฮเต้ ครั้นเวลารุ่งเช้าทรงเครื่องสำหรับกษัตริย์ ทรงม้าพระที่นั่งพร้อมด้วยขุนนางตามเสด็จ เที่ยวประพาสชมสวนแล้วลงจากม้าพระที่นั่ง เสด็จประทับ ณ ตำหนักห้างกลางสวน ขุนนางคนสนิททั้งปวงเฝ้าพร้อมกัน จึงตรัสสั่งเตงจ้วงกับทหารให้จับตัวโปเหี้ยนไปคุมไว้ โปเหี้ยนตกใจนักจึงทูลว่า ข้าพเจ้าตั้งใจทำราชการโดยสุจริต ครั้งเมื่อยงเหนายกทัพมาเหยียบแดนเข้ามาหาผู้จะอาสามิได้ แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวคุมทหารไปทำการศึกมีชัยชนะหลายครั้ง ซึ่งให้จับข้าพเจ้าครั้งนี้มีโทษผิดประการใดมิได้แจ้ง พระเจ้าโฮเต้จึงตรัสสั่งว่า ความชอบของท่านทำไว้เรามิได้ลืม แต่โทษผิดท่านทำเป็นหลายข้อ พระเจ้าโฮเต้จึงให้เตงจ้วงแต่งกระทู้หลวงซักถามโปเหี้ยนต่อหน้าพระที่นั่งว่า ตัวมีความชอบในแผ่นดิน พระเจ้าเมืองหลวงชุบเลี้ยงเป็นถึงที่เคากุนเหาขุนนางผู้ใหญ่ ได้ว่ากล่าวทั้งทหารพลเรือน พระราชทานบ้านส่วยมีทรัพย์สมบัติยศศักดิ์เป็นอันมาก ควรที่จะตั้งใจจงรักภักดี ช่วยทำนุบำรุงราษฎรหัวเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข ตัวเป็นใจให้พรรคพวกไปปล้นตีชิงเอาทรัพย์สิ่งของราษฎรได้ความเดือดร้อน แล้วแกล้งพาลเอาโทษขุนนางผู้หาความผิดมิได้ให้เป็นความผิดถอดเสียจากที่ แล้วข่มเหงบุตรภรรยาไปเป็นภรรยาของตัว และตัวคิดคัดขุนนางเก่าออกเสีย เอาพรรคพวกพี่น้องของตัวตั้งเป็นขุนนางไว้ทุกตำแหน่ง มิได้กราบทูลให้ทราบฉะนี้ ตัวจะคิดเป็นกบฏหรือประการใด โปเหี้ยนได้ยินกระทู้ซักก็รับสารภาพแล้วให้กราบทูลว่า ซึ่งทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงข้าพเจ้าเป็นขุนนางผู้ใหญ่พระคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าทำการล่วงเกินอาญาโทษถึงสิ้นชีวิต แต่จะคิดกบฏประทุษร้ายนั้นหามิได้ เตงจ้วงจดหมายคำให้การกราบทูล พระเจ้าโฮเต้ตรัสสั่งให้ปรึกษาใส่ด้วยกฎหมายสำหรับแผ่นดินเห็นว่าโทษถึงตายแล้ว จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า โปเหี้ยนขุนนางผู้ใหญ่ได้ทำความชอบ กลับทำความชั่วทำลายความชอบของตัวเสีย ครั้นจะให้ทหารเอาไปประหารชีวิตตามกฎหมายนั้นไม่ควร พระเจ้าโฮเต้จึงพระราชทานดาบให้เตงห้วงแล้วตรัสสั่งว่า ท่านจงเอาดาบไปให้โปเหี้ยนเชือดคอตายเสียตามโทษ ถ้าโปเหี้ยนไม่ทำตามบังคับ ให้จับเอาบุตรภรรยาญาติมาฆ่าเสียจงสิ้น เตงจ้วงรับดาบออกไปส่งให้โปเหี้ยนแล้วบอกความตามรับสั่ง โปเหี้ยนเห็นว่าพระเจ้าโฮเต้ไม่เลี้ยงแล้ว กลัวญาติพี่น้องบุตรภรรยาจะเป็นโทษ จึงรับดาบเตงจ้วงมาเชือดคอตาย พระเจ้าโฮเต้จึงสั่งให้เอาปันก่อซึ่งร่วมคิดกับโปเหี้ยนไปใส่ตรุไว้ บรรดาพรรคพวกโปเหี้ยนตั้งเป็นขุนนางให้ถอดเสียเป็นไพร่ แล้วเสด็จกลับเข้าพระราชวัง ตั้งแต่นั้นมาขุนนางและราษฎรชาวเมืองอยู่เย็นเป็นสุขปราศจากความเดือดร้อน พระเจ้าโฮเต้จึงให้ไปรับนางเลียงกุยหยินผู้บุตรเลี้ยง ทรงมาตั้งเป็นพระมเหสี ได้บังคับว่ากล่าวการฝ่ายใน พระเจ้าโฮเต้ตั้งน้องชายนางเลียงกุยหยินเป็นขุนนางผู้ใหญ่สิ้นทั้งสามคน บรรดาญาติพี่น้องวงศาของพระมเหสีได้เป็นขุนนางเป็นอันมาก

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ