๒๑

ฝ่ายหวยหงอเจ้าเมืองยงอิว คิดแต่ที่จะใคร่ตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่มิได้ขาด จึงให้หาตัวปันปิวเป็นขุนนางมีสติปัญญาเข้ามาปรึกษาว่า ครั้งเมื่อแผ่นดินจิวบุนอ๋องได้เป็นกษัตริย์บำรุงราษฎรหัวเมืองอยู่เย็นเป็นสุขมาช้านาน ครั้นสิ้นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าจิวบุนอ๋องแล้ว ทั้งเจ็ดหัวเมืองรบพุ่งชิงกันจะเป็นใหญ่ ทำศึกเคี่ยวเข็ญขาดทางพระราชไมตรีกันมาช้านาน ยังมีขุนนางผู้หนึ่งชื่อโซจิ๋นเป็นสานุศิษย์กุยก๊กซินแส โซจิ๋นมีสติปัญญาฉลาดในโวหาร ว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมให้เจ้าเมืองเจ๋หนึ่ง เจ้าเมืองเตียวหนึ่ง เจ้าเมืองหันหนึ่ง เจ้าเมืองฌ้อหนึ่ง เจ้าเมืองเอี๋ยนหนึ่ง เจ้าเมืองงุยหนึ่งทั้งหกหัวเมืองเป็นราชไมตรีต่อกัน แล้วให้สำคัญแก่กันว่า ถ้ากองทัพเมืองจิ๋นยกมารบเมืองใด ให้ห้าหัวเมืองใหญ่ยกไปช่วย แม้นเมืองใดเสียความสัตย์มิมาช่วยกัน ก็ให้สี่หัวเมืองตีชิงเก็บริบเอาสมบัติแล้วให้จับตัวเจ้าเมืองนั้นฆ่าเสีย หกหัวเมืองทำตามคำโซจิ๋นให้สัตย์สัญญาต่อกันเป็นสิทธิ์ขาด กองทัพเมืองจิ๋นมิอาจยกมายํ่ายีแผ่นดินว่างศึกมาหลายปี ยังมีจีนคนหนึ่งชื่อเตียวหงีเป็นสานุศิษย์อาจารย์เดียวกันกับโซจิ๋น เจ้าเมืองจิ๋นตั้งให้เป็นขุนนาง เตียวหงีอาสาไปว่ากล่าวยุยงให้หกหัวเมืองเคืองกัน ครั้นอยู่มาครั้งเมื่อพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ราชสมบัติเป็นกษัตริย์ครองเมืองจิ๋น ลิปุดอุยซึ่งเป็นเสียงก๊กจงฮูจัดให้เจียงหำเป็นแม่ทัพไปปราบหกหัวเมืองมาขึ้นแก่เมืองจิ๋นเปลี่ยนนามเมืองชื่อห้ำเอี๋ยง พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ไม่อยู่ในยุติธรรม ราษฎรได้รับความเดือดร้อนอพยพครอบครัวหนีเข้าป่าเป็นโจรผู้ร้ายตั้งซ่องสุมอยู่หลายตำบล ครั้นพระเจ้ายี่ซีฮ่องเต้ได้ราชสมบัติ ห้างอี๋กับเล่าปังเกลี้ยกล่อมทแกล้วทหารเป็นอันมาก เข้ารบเอาเมืองห้ำเอี๋ยงได้ ห้างอี๋กับเล่าปังชิงกันเป็นใหญ่ทำศึกอยู่ห้าปี เล่าปังมีชัยชนะได้เป็นกษัตริย์ทรงพระนามพระเจ้าฮั่นโกโจ สืบเชื้อพระวงศ์มาเท่าถึงพระเจ้าเปงเต้ แผ่นดินเกิดวิบัติด้วยอองมังเป็นกบฏ บัดนี้ฮั่นกองบู๊ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า หัวเมืองทั้งปวงยังไม่ราบคาบ เราคิดจะให้เหมือนอย่างโซจิ๋นเกลี้ยกล่อมหัวเมืองให้นิยมยินดียอมเข้าด้วย แล้วจึงจะคิดการกำจัดพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ ท่านจะเห็นประการใด ปันปิวจึงว่าอันเชื้อวงศ์พระเจ้าฮั่นโกโจนั้นเป็นที่รักของราษฎรหัวเมืองทั้งปวง ด้วยถ้อยคำผู้วิเศษทำนายไว้ว่าแผ่นดินพระเจ้าฮั่นโกโจล่มแล้วจะมีเชื้อพระวงศ์มาคิดการก่อกู้ให้คงคืนขึ้นใหม่ เล่าสิ้วบุนซกเป็นเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ผู้มีบุญญาธิการ ผู้มีสติปัญญายอมสามิภักดิ์เข้าพึ่งอยู่ด้วยเป็นอันมาก เล่าสิ้วบุนซกซึ่งเป็นพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้มีอาชญาสิทธิ์ หัวเมืองทั้งปวงอยู่ในอำนาจ ทแกล้วทหารล้วนมีฝีมือกล้าแข็งองอาจในการสงคราม ซึ่งท่านจะคิดกำจัดพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ ข้าพเจ้าเห็นการจะไม่สำเร็จ หวยหงอได้ฟังก็โกรธจึงขับปันปิวออกไปเสีย ปันปิวเห็นหวยหงอขัดเคืองจึงออกมาอยู่บ้านประมาณสองวัน จึงแต่งเรื่องราวว่ากล่าวทัดทานหวยหงอมิให้คิดการกบฏต่อพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ ให้คนผู้หนึ่งนำเข้าไปให้แก่หวยหงอเป็นหลายครั้ง หวยหงอไม่เชื่อฉีกผนีกทิ้งเสีย แล้วว่าปันปิวเป็นพวกพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้กลับพาลเอาผิด ปันปิวจึงคิดว่า เราห้ามปรามทั้งนี้ด้วยความกตัญญู หวยหงอเชื่อฟังแต่ผู้โลภเห็นแต่จะได้ฝ่ายเสียไม่ตรึกตรอง จำจะหนีไปอยู่เมืองอื่นให้พ้นภัย ปันปิวจึงอพยพครอบครัวหนีออกจากเมืองยงอิว ไปถึงเมืองโฮไส จึงให้นายประตูเข้าไปแจ้งความแก่โปถัง

ฝ่ายโปถังรู้ว่าปันปิวมา จึงออกมารับเข้าเมืองเชิญนั่งที่สมควร ทั้งสองคำนับกันตามธรรมเนียม โปถังจึงถามว่าท่านอุตส่าห์เดินทางกันดารแต่เมืองยงอิวมาถึงเมืองเราวันนี้ ดูหน้าไม่ปรกติทุกข์ธุระกังวลประการใด ปันปิวจึงว่าหวยหงอจะคิดกบฏต่อพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ผู้ครองเมืองลกเอี๋ยง ข้าพเจ้าเห็นหวยหงอจะทำการใหญ่ไปมิตลอดจึงทัดทานไว้ หวยหงอมิได้เชื่อฟังกลับโกรธ ข้าพเจ้าจึงอพยพหนีมาจะช่วยคิดการบำรุงเมืองท่านให้อยู่เย็นเป็นสุข โปถังจึงว่าทุกวันนี้ผู้ซึ่งตั้งตัวเป็นเจ้าอยู่หลายตำบล บุญญาธิการไม่ถึงจะเป็นใหญ่ย่อมถึงแก่อันตราย พาพรรคพวกตายเราได้เห็นอยู่เนืองๆ อันพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้เชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นโกโจเป็นผู้มีบุญ ต้องคำผู้วิเศษทำนายไว้ หัวเมืองทั้งปวงไปอ่อนน้อมยอมสามิภักดิ์เป็นอันมาก เราก็คิดอยู่จะไปพึ่งบุญเจ้าเมืองลกเอี๋ยง แต่กันดารด้วยหนทางจะไปลำบากยิ่งนัก ซึ่งท่านมาอยู่ด้วยเราครั้งนี้จะได้เป็นที่ปรึกษากันสืบไป ปันปิวจึงว่าอันเกิดมาเป็นชายพึงตรึกตรอง เห็นช่องชอบอุตส่าห์ประกอบด้วยความเพียร อย่าคิดวนเวียนเป็นใจสองเหมือนอย่างฮุยอ๋องครั้งแผ่นดินเลียดก๊ก ฮุยอ๋องคิดจะใคร่เชิญของจูซึ่งเป็นอาจารย์ แต่ทางกันดารไกลถึงหมื่นเส้น ฮุยอ๋องอุตส่าห์พยายามด้วยความเพียรไปเชิญอาจารย์มาเมืองได้สมความคิด ซึ่งท่านเห็นว่าพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้จะเป็นที่พึ่งได้ แม้นมาตรว่าทางไกลก็ไม่ถึงหมื่นเส้น จงอุตส่าห์ไปพึ่งบุญพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ เมืองท่านจะอยู่เย็นเป็นสุขพ้นภัยอันตราย โปถังเห็นชอบมีความยินดีนัก จึงจัดแจงที่อยู่ให้ปันปิวอาศัยได้อยู่เย็นเป็นสุข

ฝ่ายหวยหงอครั้นรู้ว่าปันปิวหนีไปแล้วมิได้คิดตาม จึงให้หาเตียวเหียนเข้ามาว่า ท่านมีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมเห็นจะไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองได้อยู่ จงอาสาเราไปว่ากล่าวชักชวนหัวเมืองให้มายอมเข้าด้วย สมความคิดเราได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินแล้วจะปูนบำเหน็จท่านให้ถึงขนาด เตียวเหียนจึงว่าสติปัญญาข้าพเจ้าไม่เหมือนโซจิ๋นซึ่งเกลี้ยกล่อมหกหัวเมืองแต่ก่อน แต่ท่านให้ไปแล้วขัดมิได้จะไปว่ากล่าวตามคำท่าน เตียวเหียนคำนับลาออกมาขึ้นม้าพาคนใช้สิบคนออกจากเมืองยงอิว ไปหลายวันถึงเมืองโฮไส เตียวเหียนจึงคิดว่าเมืองโฮไสมีเขตแดนกว้าง ไพร่พลเมืองมั่งมีทรัพย์เงินทองข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ยิ่งนัก อนึ่งเมืองโฮไสยังมิได้ขึ้นแก่พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ ถ้าเจ้าเมืองโฮไสยอมเข้าด้วยเจ้าเมืองยงอิวแล้ว เมืองยงอิวมีเขตแดนกว้างเห็นพอจะตั้งมั่นรับกองทัพเมืองลกเอี๋ยงได้ถนัด เตียวเหียนคิดแล้วลงจากม้าจารึกชื่อลงกระดาษแดงส่งให้นายประตูเข้าไปแจ้งแก่โปถัง

ฝ่ายโปถังรู้ว่าเตียวเหียนขุนนางเมืองยงอิวมาถึง จึงให้นายประตูกลับไปรับเตียวเหียนเข้ามานั่งที่สมควรแล้วถามว่าท่านมาด้วยกิจธุระประการใด เตียวเหียนจึงบอกว่า หวยหงอให้ข้าพเจ้ามาปรึกษาท่าน ด้วยเล่าสิ้วบุนซกเกลี้ยกล่อมทแกล้วทหารเป็นอันมาก เที่ยวย่ำยีตีเมืองน้อยใหญ่ได้เป็นพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ เจ้าเมืองยงอิวเกรงพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้จะย่ำยีจึงไปยอมสามิภักดิ์ พอรวบรวมทหารและหัวเมืองตั้งด่านทางมั่นคงแล้ว จะแข็งเมืองคิดการศึกกำจัดพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ท่านจะเห็นประการใด โปถังจึงตอบว่าอันพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้นั้น มีทแกล้วทหารแต่ล้วนฝีมือชำนาญการศึก ซึ่งเจ้าเมืองยงอิวให้มาปรึกษาทั้งนี้ ข้าพเจ้าสติปัญญาน้อยคิดไปมิถึง เตียวเหียนจึงว่าเจ้าเมืองยงอิวคิดจะทำการตามเรื่องพงศาวดาร ครั้งแผ่นดินเลียดก๊ก หกหัวเมืองใหญ่ได้ความเดือดร้อนด้วยเจ้าเมืองจิ๋นยกทัพไปย่ำยีเนืองๆ ราษฎรมิเป็นอันทำมาหากิน โซจิ๋นจึงคิดว่ากล่าวชักชวนหกหัวเมืองประชุมพร้อมใจช่วยกันรักษาเขตแดนไว้ เจ้าเมืองจิ๋นแต่เมืองเดียวมิอาจที่จะย่ำยี ครั้งนี้เจ้าเมืองยงอิวเห็นว่าถ้าท่านกับเมืองเซซกพร้อมใจกันตั้งมั่นรักษาเขตแดนไว้ประจันรับทัพใหญ่เมืองลกเอี๋ยงให้เข็ดขยาดฝีมือ แล้วจึงแต่งกองทัพเที่ยวตีเมืองน้อยใหญ่ได้เขตแดนกว้าง มีทแกล้วทหารมากขึ้น ยกไปกำจัดพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ได้สมความคิด ท่านกับเจ้าเมืองยงอิวก็จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน โปถังได้ฟังนิ่งนึกตรึกตรองอยู่ประมาณครู่หนึ่ง จึงว่าการทั้งนี้เป็นการใหญ่ จะขอปรึกษาขุนนางให้พร้อมใจกันก่อน โปถังจึงให้เตียวเหียนออกไปอาศัยอยู่ ณ กงก๋วน แล้วจึงให้คนใช้ไปหาขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งรักษาเมืองทั้งห้าตำบลมาปรึกษาตามคำเตียวเหียน ขุนนางทั้งปวงจึงว่าทุกวันนี้ผู้ซึ่งมีพรรคพวกมาก ต่างคนตั้งตัวเป็นเจ้ามิได้ไปอ่อนน้อมต่อเจ้าเมืองลกเอี๋ยงตั้งทำการศึกสู้รบ พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ให้นายทหารยกไปปราบราบคาบทั้งสี่ทิศ อนึ่งพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้เป็นเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ต้องคำทำนายผู้วิเศษ ราษฎรหัวเมืองสรรเสริญเกียรติยศเป็นผู้มีบุญ จะบำรุงแผ่นดินสืบเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ไปภายหน้าหาสงสัยมิได้ อันหวยหงอคนนี้ครั้งเมื่อพระเจ้าเกงซีฮ่องเต้นั้นได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองเตียงอั๋น คิดการกบฏไม่สำเร็จหนีพระเจ้าเกงซีฮ่องเต้มาอยู่เมืองยงอิว บัดนี้จะมาชักชวนท่านคิดกบฏต่อพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ จะพาไพร่พลเมืองท่านพลอยฉิบหายเสีย ขอท่านจงไปยอมสามิภักดิ์พึ่งบุญพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ ข้าพเจ้าทั้งปวงจึงจะอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป โปถังได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงว่าตั้งแต่วันนี้ไปภายหน้าผู้ใดจะกล่าวเกลี้ยกล่อมเราไม่เชื่อฟัง ซึ่งหวยหงอใช้ให้เตียวเหียนมาชักชวน ถ้ารู้ว่าเราไม่ยอมเข้าด้วย เห็นจะแต่งกองทัพมาย่ำยี จำจะไปหาที่พึ่งจึงจะควร โปถังจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งกับสิ่งของเครื่องบรรณาการ ให้เล่ากิ๋นไปยอมเป็นเมืองขึ้นพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ เล่ากิ๋นคำนับรับหนังสือคุมสิ่งของออกมาบรรทุกเกวียนออกจากเมืองโฮไสไปตามทางเมืองลกเอี๋ยง

ฝ่ายพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้เวลาเช้าเสด็จออกว่าราชการ จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า แต่เราทำการศึกสงครามปราบปรามโจรผู้ร้ายซึ่งเป็นเสี้ยนศัตรูแผ่นดินราบคาบ หัวเมืองน้อยใหญ่มาอ่อนน้อมยอมสามิภักดิ์ แต่เมืองเซงโต๋หนึ่ง เมืองเซซกหนึ่ง เมืองโฮไสหนึ่ง ทั้งสามเมืองยังตั้งแข็งเมืองอยู่ อันเมืองโฮไสด่านต่อปลายแดนเมืองเราบริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร ผู้ซึ่งเป็นเศรษฐมีทรัพย์ก็มั่งคั่งทั้งผู้คนก็มาก เขตแดนฝ่ายตะวันออกแดนเมืองยงอิวต่อแดนเมืองเซงโต๋ ควรจะแต่งหนังสือให้ทูตถือไปเกลี้ยกล่อมให้ยอมสามิภักดิ์โดยดี ถ้าขัดแข็งอยู่จึงจะยกทัพใหญ่ไปปราบให้ราบคาบ ขุนนางผู้ใหญ่จึงกราบทูลว่า ซึ่งตรัสทั้งนี้ต้องด้วยขนบธรรมเนียมราชประเพณีกษัตริย์แต่ก่อน ขอให้ซุดไซผู้ฉลาดในโวหารถือพระราชสาส์นไปเจรจาความเมืองจึงจะควร พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้จึงตรัสสั่งขุนนางพนักงานแต่งราชสาส์นเสร็จแล้วส่งให้ซุดไซ ซุดไซรับราชสาส์นคำนับลาออกมาจัดเสบียงอาหารและคนใช้ออกจากเมืองลกเอี๋ยง เดินตามทางไปเมืองโฮไส

ฝ่ายเล่ากิ๋นคุมเครื่องบรรณาการล่วงด่านเข้ามาถึงเมืองลกเอี๋ยง พอพบขุนนางชาวเมืองลกเอี๋ยงขี่ม้าสวนทางมา ขุนนางผู้นั้นจึงลงจากม้าเข้าไปไต่ถาม เล่ากิ๋นจึงบอกว่าเจ้าเมืองโฮไสให้ข้าพเจ้าคุมสิ่งของเครื่องบรรณาการมาถวาย ตัวข้าพเจ้าเป็นขุนนางต่างประเทศจะเข้าไปเมืองหลวง ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมคิดขามใจอยู่ ขอท่านได้กรุณานำข้าพเจ้ากลับไปเฝ้าพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ จะได้ถวายเครื่องราชบรรณาการทั้งปวง ซุดไซได้ฟังดังนั้นดีใจนัก จึงว่าพระเจ้าเมืองหลวงมีรับสั่งใช้ให้ข้าพเจ้าถือราชสาส์นไปถึงเจ้าเมืองโฮไส ด้วยเห็นว่าเจ้าเมืองโฮไสไม่มีที่พึ่ง เกรงเกลือกศัตรูหมู่ข้าศึกจะย่ำยีด้วยไม่มีที่เกรงขาม จึงเอาพระทัยโอบอ้อมแผ่เผื่อไป หวังจะบำรุงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งเจ้าเมืองโฮไสมีใจจงรักภักดีโดยสุจริต ให้ท่านคุมเครื่องราชบรรณาการมา เราจะพาเข้าไปเฝ้าช่วยเพ็ดทูลทำนุบำรุงท่านอย่าวิตกเลย ซุดไซจึงพาเล่ากิ๋นกลับมาเมืองลกเอี๋ยง เข้าหาขุนนางผู้ใหญ่ให้นำเข้าเฝ้าทูลแจ้งความทุกประการ พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้มีพระทัยยินดีด้วยโปถังมาสามิภักดิ์ จึงตรัสสั่งให้ขุนนางแต่งหนังสือไปตั้งให้โปถังเป็นที่เกียวจิวบกให้บังคับทหาร รักษาด่านปลายแดนเมืองลกเอี๋ยง แล้วพระราชทานทองคำหนักสองร้อยชั่ง สั่งให้ซุดไซถือหนังสือรับสั่งไปเมืองโฮไส ซุดไซกับเล่ากิ๋นออกจากที่เฝ้า ขนทองสองร้อยชั่งบรรทุกเกวียนออกจากเมืองหลวงไปเมืองโฮไส เล่ากิ๋นจึงให้ซุดไซผู้ถือหนังสือรับสั่งหยุดอยู่นอกเมือง เล่ากิ๋นเข้าไปคำนับแจ้งความแก่โปถังทุกประการ โปถังได้ฟังยินดีนัก จึงจัดเครื่องคำนับออกไปเชิญหนังสือรับสั่งเข้าเมือง ให้ประชุมขุนนางเมืองขึ้นพร้อมกัน ซุดไซจึงเชิญหนังสือรับสั่งอ่านให้โปถังและขุนนางฟังแต่ต้นจนปลาย โปถังจึงคุกเข่าลงถวายบังคมรับที่จิวบก แล้วให้เจ้าพนักงานขนทองของพระราชทานเข้าไว้ในคลัง สั่งคนใช้ให้ยกโต๊ะมาตั้งเลี้ยงผู้ถือรับสั่งกับขุนนางทั้งปวง นั่งกินโต๊ะเสพสุราสนทนาปราศรัยกันเป็นที่สบาย โปถังจึงแต่งเครื่องคำนับกับหนังสือฉบับหนึ่ง ในหนังสือนั้นว่า เดิมหวยหงอเจ้าเมืองยงอิวเป็นคนชอบอัชฌาสัย ราษฎรชาวเมืองไปมาค้าขายถึงกันอยู่มิได้ขาด บัดนี้หวยหงอใช้ให้ขุนนางมาชักชวนไปเข้าด้วย หวยหงอเจ้าเมืองยงอิวจะคิดการกบฏ ข้าพเจ้าไม่ยอมเข้าด้วยจึงมายอมสามิภักดิ์เป็นเมืองขึ้นพึ่งบุญญาธิการพระเจ้าเมืองหลวงกว่าจะสิ้นชีวิต ซึ่งจะคิดเป็นสองใจเหมือนหวยหงอนั้นหามิได้ ครั้นแต่งหนังสือแล้วส่งให้เล่ากิ๋นกลับไปเมืองหลวงกับซุดไซ เล่าอี๋นกับซุดไซคำนับลากลับไปเมืองลกเอี๋ยงจึงเข้าหาขุนนางผู้ใหญ่ให้นำเฝ้า เล่ากิ๋นถวายหนังสือต่อพระหัตถ์ พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ทรงอ่านแจ้งความแล้ว เห็นว่าโปถังมีใจจงรักภักดีโดยสุจริต จึงสั่งให้มีหนังสือตอบเป็นใจความว่า หวยหงอคิดการกบฏประทุษร้ายต่อเรา เจ้าเมืองโฮไสไม่เข้าร่วมคิดด้วย เห็นหวยหงอจะมาย่ำยีเมืองโฮไส ให้จิวบกโปถังจัดแจงทแกล้วทหารกำชับตรวจตระเวนด่านทางป้องกันกองทัพหวยหงอไว้ท่ากว่ากองทัพใหญ่จะยกไปถึง จะได้สมทบทัพยกไปจับหวยหงอ สำเร็จราชการเมืองยงอิวแล้วชาวเมืองโฮไสจึงจะอยู่เย็นเป็นสุข เล่ากิ๋นรับหนังสือคำนับลาขึ้นม้ากลับมาเมืองโฮไส เข้าไปส่งให้จิวบกโปถัง แล้วเล่าความให้ฟังทุกประการ โปถังอ่านหนังสือแจ้งความแล้วมีความยินดีนัก จึงผินหน้าต่อเมืองลกเอี๋ยงแล้วคุกเข่าลงถวายบังคม ออกปากสรรเสริญพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ว่าทรงพระปัญญาลึกซึ้ง เห็นการล่วงหน้าไปไกลถึงสิบหมื่นเส้น พระทัยโอบอ้อมอารีมีความกรุณาแก่ราษฎรและหัวเมืองยิ่งนัก เป็นกษัตริย์ผู้มีบุญญาธิการโดยแท้หาสงสัยมิได้ สมควรที่จะเป็นข้าขอบขัณฑสีมาไปกว่าจะสิ้นชีวิต โปถังจึงว่าหวยหงอซึ่งคิดครั้งนี้เพราะเชื่อคำคนยุยง จำจะมีหนังสือไปห้ามปรามเตือนสติสักครั้งหนึ่ง โปถังจึงแต่งหนังสือเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าโปถังเจ้าเมืองโฮไสขอคำนับมายังท่านผู้ครองเมืองยงอิว ด้วยข้าพเจ้าแจ้งข่าวว่าท่านยอมสามิภักดิ์ด้วยพระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้ ให้บุตรชายไปเป็นข้าเฝ้าแทนตัวอยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยง ข้าพเจ้าพลอยยินดีด้วย บัดนี้ใช้ให้เตียวเหียนมาชักชวนข้าพเจ้าเข้าร่วมคิดแข็งเมืองเป็นกบฏต่อพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ผู้มีบุญญาธิการนั้นไม่ชอบ จะพาทแกล้วทหารล้มตายฉิบหายเสีย ขอท่านจงตรึกตรองให้รอบคอบอย่าเชื่อฟังคนยุยง จงถอยหลังคิดหาความชอบประกอบการดีโดยสุจริต อย่าคิดเป็นสองใจ จึงจะมีความสุขพ้นภัยอันตราย โปถังจึงให้หาเตียวเหียนเข้ามาส่งหนังสือให้เตียวเหียน

ฝ่ายเตียวเหียนมาเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองโฮไสไม่สมความคิด รับหนังสือคำนับลากลับมาเมืองยงอิว เข้าไปคำนับส่งหนังสือให้แล้วเล่าความให้หวยหงอฟังแต่ต้นจนปลาย หวยหงอได้ฟังดังนั้นจึงอ่านหนังสือ เห็นเป็นคำห้ามปรามมามิชอบใจจึงฉีกหนังสือทิ้งเสีย แล้วปรึกษาอองงวนเสียงว่า เดิมเราคิดจะชักชวนเจ้าเมืองโฮไสและหัวเมืองทั้งปวงพร้อมใจกันจะคิดการใหญ่ บัดนี้เจ้าเมืองโฮไสกลับยอมเข้าด้วยเจ้าเมืองลกเอี๋ยงเสียอีกเล่า ท่านจะคิดประการใดการใหญ่จึงจะสำเร็จ อองงวนเสียงจึงว่าเมืองยงอิวนี้แต่ครั้งแผ่นดินไซ่ฮั่นชื่อเมืองโปต๋ง เป็นที่ชัยภูมิ มีภูเขารอบเป็นขอบกั้นแดนหนทางช่องแคบสำหรับซุ่มทัพรบข้าศึกเป็นหลายแห่ง ครั้งเมื่อเล่าปังจะคิดการกำจัดพระเจ้าฌ้อปาอ๋องผู้ทรงกำลังดังจะถอนภูเขาขึ้นได้นั้น เล่าปังมาซุ่มหัดทหารอยู่ในเมืองนี้ ใช้ฮั่นสินผู้มีสติปัญญาเป็นแม่ทัพยกไปทำศึกกับพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง พระเจ้าฌ้อปาอ๋องพ่ายแพ้สำเร็จราชการแล้ว เล่าปังได้เป็นต้นกษัตริย์บำรุงแผ่นดินสืบมา ซึ่งท่านจะคิดครั้งนี้ถึงมาตรว่าเจ้าเมืองโฮไสไม่เข้าด้วยโดยดี ขอให้ยกกองทัพไปตีชิงเอาเมืองโฮไสไว้เป็นที่มั่นกันกองทัพฝ่ายตะวันตกแล้วยกไปตีเมืองสำเภาข้างทิศตะวันออก ตั้งด่านใหญ่ไว้แห่งหนึ่ง จึงยกมาตีด่านห้ำก๊กก๋วนฝ่ายทิศใต้ ให้ทหารมีฝีมือรักษาด่านไว้ให้มั่นคง ฝ่ายเหนือจงไปตีเมืองเสียงกูนตั้งเป็นด่านใหญ่แห่งหนึ่ง ถ้าท่านคิดตั้งด่านทั้งสี่ตำบลมั่นคงแล้วตั้งเกลี้ยกล่อมฝึกปรือทหารให้ชำนาญการศึก ยกไปตีเมืองน้อยใหญ่แผ่แผ่นดินเขตแดนให้กว้าง ถ้าเสียทียกหนีถอยเข้าตั้งรับอยู่ในค่ายใหญ่ ถึงข้าศึกจะมีทหารร้อยหมื่นก็กระทำมิถนัดด้วยเป็นทางช่องแคบ ท่านจะทำการตั้งตัวเป็นใหญ่ คิดให้ลึกซึ้งเหมือนคำข้าพเจ้าว่าฉะนี้แล้ว สมบัติท่านจะตั้งอยู่เป็นสุขถึงหมื่นปีหาผู้จะย่ำยีได้ไม่ หวยหงอได้ฟังมีความยินดีนัก จึงสรรเสริญอองงวนเสียงว่า ท่านมีสติปัญญาคิดการลึกซึ้งควรจะทำตามคำท่าน

ฝ่ายขุนนางผู้มีสติปัญญาได้ยินอองงวนเสียงว่ากล่าวยุยงให้หวยหงอกำเริบใจ ครั้นจะเข้าไปทัดทานก็เกรงหวยหงอจะพาลเอาโทษ ต่างคนหนีไปอาศัยอยู่เมืองอื่นเป็นหลายคน

ฝ่ายปังอี้ปราบโจรผู้ร้าย ณ เมืองเตียงอั๋นราบคาบลงหลายตำบลแล้ว จึงแต่งหนังสือบอกให้ม้าใช้ไปแจ้งข้อราชการ ณ เมืองลกเอี๋ยง

ฝ่ายพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ พอขุนนางนำหนังสือบอกปังอี้เข้ามาแจ้งความว่า ปังอี้ยกไปปราบโจร ณ เมืองเตียงอั๋นราบคาบเลิกทัพกลับมา พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้จึงสั่งขุนนางเจ้าพนักงานแต่งหนังสือรับสั่งเป็นใจความว่า ซึ่งปังอี้ปราบผู้ร้ายเมืองเตียงอั๋นพึ่งราบคาบจะเลิกทัพกลับมานั้น เกลือกโจรผู้ร้ายกำเริบขึ้นภายหลังด้วยไม่มีที่กลัวเกรง จะต้องยกทัพไปปราบเป็นสองครั้งสามครั้งลำบากแก่ทแกล้วทหาร ให้ปังอี้ตั้งกองทัพอยู่รักษาเมืองเตียงอั๋นเอาใจโอบอ้อมแผ่เผื่อตัดสินถ้อยความสุขทุกข์ของราษฎรโดยยุติธรรม ให้ทหารออกสอดแนมสืบจับโจรผู้ร้ายมาปรับโทษตามกฎหมายแผ่นดิน ระงับโจรให้สงบ ไพร่พลเมืองจะได้ทำไร่นาหาเลี้ยงชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข ขุนนางพนักงานจารึกข้อรับสั่งคำนับลาออกมาแต่งหนังสือเข้าผนึก ส่งให้ทหารม้าใช้กลับไปเมืองเตียงอั๋น

ฝ่ายปังอี้คอยม้าใช้ถือหนังสือไปเป็นหลายวันยังไม่มา พอม้าใช้กลับมาถึงจึงรับหนังสือมาอ่านดูแจ้งความแล้ว จัดทหารออกลาดตระเวนสอดแนมสืบจับตัวผู้ร้ายมาลงโทษตามกฎหมายสำหรับเมือง มิให้คบพวกปล้นฉกชิงฉ้อตระบัดเอาทรัพย์สิ่งของราษฎรในเมืองนอกเมือง แต่นั้นมาชาวเมืองเตียงอั๋นทำไร่นาค้าขายอยู่เป็นสุขหาโจรผู้ร้ายจะย่ำยีมิได้ อยู่มามีผู้ทำเรื่องราวทูลกล่าวโทษว่า ปังอี้ตั้งอยู่เมืองเตียงอั๋นราษฎรทั้งปวงเกรงกลัวอำนาจ ปังอี้ตั้งตัวเป็นห้ำเอี๋ยงอ๋องเกลี้ยกล่อมได้ทแกล้วทหารเป็นอันมาก เห็นจะมีใจกำเริบคิดการกบฏต่อแผ่นดิน พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ทราบความมิได้ตรัสประการใด ทรงตรึกตรองโดยรอบคอบเห็นว่าปังอี้เป็นคนสัตย์ซื่อจงรักภักดีโดยสุจริตเป็นที่วางใจมาแต่ก่อน ครั้งนี้ปังอี้จะคิดกบฏประทุษร้ายเหมือนคำผู้มาว่านั้นเป็นความข้อใหญ่ จะประมาณใจให้เห็นความจริงโดยแท้เป็นอันยาก พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้จึงตรัสสั่งขุนนางผู้มีสติปัญญาให้ถือหนังสือเรื่องราวนั้นไปให้ปังอี้ ณ เมืองเตียงอั๋นหวังจะทราบในกิริยาปังอี้ ขุนนางรับเรื่องราวออกจากเฝ้า ขึ้นม้ารีบไปตามระยะทางถึงเมืองเตียงอั๋น เข้าไปคำนับส่งหนังสือให้แก่ปังอี้

ฝ่ายปังอี้รับเรื่องราวมาอ่านแจ้งความดังนั้น ตกใจหน้าซีดสลดลงเหงื่อไหลโซมตัวตกตะลึงนิ่งไปเป็นครู่ จึงคิดว่าเสียแรงทำความชอบมาหมายจะไว้ชื่อให้ปรากฏในแผ่นดิน อุตส่าห์รักษาตัวกลัวความผิด หวังจะรักษาความชอบซึ่งได้ทำไว้มิให้มีมลทิน ด้วยใจกตัญญูต่อพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้โดยสุจริต มีผู้กล่าวโทษเป็นข้อใหญ่ฉะนี้เสียใจนัก ปังอี้จึงเขียนหนังสือเป็นเรื่องราวกราบทูลว่า เดิมข้าพเจ้าเป็นชาวป่าหายศศักดิ์มิได้ พระองค์กรุณาชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้บังคับทหารมีผู้ยำเกรง ซึ่งข้าพเจ้าทำความชอบมาแต่หลัง ยังหาสมกับพระคุณซึ่งโปรดชุบเลี้ยงไม่ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าคิดแต่จะทำการอาสาไปกว่าจะสิ้นชีวิต ซึ่งจะคิดทรยศกบฏต่อเจ้าแผ่นดินเหมือนถ้อยคำผู้ทำเรื่องราวกล่าวโทษนั้น หามิได้เป็นความสัตย์ความจริง อนึ่งข้าพเจ้าก็ได้เป็นข้าเก่าพระองค์ได้ใช้เห็นนํ้าใจมาแต่ก่อน ขอจงทรงตรึกตรองให้เห็นเท็จและจริงโดยแท้ ถ้าเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนทรยศคิดกบฏต่อแผ่นดินแล้ว จะให้ประหารชีวิตก็จะยอมตายตามรับสั่ง ปังอี้จึงเลี้ยงโต๊ะขุนนางผู้ถือหนังสือแล้วว่า แต่เราอาสามาทำศึกด้วยพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ปราบศัตรูแผ่นดินโดยน้ำใจสุจริต คิดแต่ที่จะทำนุบำรุงให้พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ได้เป็นเจ้าแผ่นดินสืบเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ หมายจะฝากชื่อเป็นความชอบ ถ้าใจเราเป็นคนทรยศ ก็จะคิดกบฏต่อบ้านเมืองยังไม่ปรกติ ครั้งนี้แผ่นดินราบคาบแล้ว มีผู้มาทำเรื่องราวกล่าวโทษว่าเราตั้งตัวเป็นเจ้า หวังจะให้พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้แคลงใจเรา ซึ่งมีรับสั่งโปรดให้ท่านถือหนังสือมาบอกให้ได้แจ้งความทั้งนี้พระคุณหาที่สุดมิได้ ท่านจงนำเรื่องราวเราฉบับนี้ไปกราบทูลให้ทราบ ช่วยบ่ายเบี่ยงคัดข้อความออกจงจะแจ้ง ให้พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ทราบในความสัตย์สุจริตเราด้วย ข้าหลวงรับหนังสือคำนับลากลับมาเมืองลกเอี๋ยง จึงลงจากม้าเข้าไปเฝ้าถวายหนังสือแล้วทูลแจ้งความทุกประการ พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ได้ฟังแจ้งในกิริยาปังอี้ แล้วทรงอ่านเรื่องราวแต่ต้นจนปลายก็ทราบความโดยสติปัญญาตรึกตรองลึกซึ้งรอบคอบ เห็นว่าปังอี้มีใจซื่อตรงสุจริตมิได้คิดประทุษร้าย จึงสั่งขุนนางผู้ใหญ่ให้แต่งหนังสือไปว่ากล่าวเอาน้ำใจปังอี้ให้เป็นปรกติดังเก่า ขุนนางก็แต่งหนังสือไปให้ปังอี้ตามรับสั่ง ครั้นอยู่มา ณ เดือนแปดเป็นเทศกาลฝน พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้จึงสั่งให้ขุนนางแต่งหนังสือรับสั่งไปเมืองเตียงอั๋น ให้หาตัวปังอี้มาเฝ้า ขุนนางพนักงานรับสั่งแล้วแต่งหนังสือส่งให้ม้าใช้ไปเมืองเตียงอั๋น

ฝ่ายปังอี้ตั้งแต่ถวายเรื่องราวให้ขุนนางไปทูลยังมิได้รู้ความว่าร้ายดี ทุกข์ใจคอยฟังข่าวอยู่ พอม้าใช้นำหนังสือมาส่งให้อ่านแจ้งความว่า พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้มิได้ระแวงพระทัยมีความยินดีนัก คิดจะใคร่ไปเฝ้ากลัวอาญาด้วยไม่มีรับสั่งให้หา ครั้นอยู่เวลาวันหนึ่ง ปังอี้ออกว่าราชการนายทัพนายกองพร้อมกัน พอม้าใช้ถือหนังสือมาแต่เมืองลกเอี๋ยงบอกว่ามีรับสั่งให้หา ปังอี้แจ้งความตามหนังสือแล้วมีใจยินดีนัก จึงสั่งนายทัพนายกองให้อยู่รักษาเมืองปราบพวกโจรผู้ร้ายอย่าให้กำเริบ ปังอี้จึงขึ้นม้าพาทหารคนสนิทร้อยเศษรีบไปถึงเมืองหลวง พอเวลาเสด็จออก ปังอี้กับขุนนางทั้งปวงเข้าไปเฝ้า พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้จึงตรัสสรรเสริญปังอี้ต่อหน้าขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยว่า ครั้งเมื่อแรกเราจะคิดการกำจัดอองมังแต่ยังไม่มีทแกล้วทหารนั้น เราได้ปังอี้เป็นที่ปรึกษา เราถึงที่อับจนหลายครั้ง ปังอี้ช่วยแก้ไขได้รอดชีวิต ปังอี้มีใจจงรักภักดีอาสาปราบศัตรูหมู่โจรผู้ร้ายราบคาบตราบเท่าได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้จึงรับสั่งชาวพระคลัง จัดเสื้อผ้าอย่างดีกับเงินทองแก้วแหวนสิ่งของวิเศษมีราคาพระราชทาน แล้วตรัสว่า สิ่งของทั้งนี้เราสนองคุณท่านเมื่อครั้งเสียทีถอยทัพหนีอองลังจือ เราอดอาหารตัวท่านไปขอข้าวสาลีชาวบ้านมาสู่ให้เรากินพอระงับความกระวนกระวาย ความชอบท่านครั้งนั้นเรายังไม่ลืม ปังอี้จึงทูลว่าซึ่งพระองค์ไม่ลืมผู้ทำความชอบทั้งนี้ ต้องอย่างกษัตริย์ผู้มีบุญญาธิการแต่โบราณราชสืบมา ซึ่งมีพระทัยกรุณาชุบเลี้ยงพระราชทานสิ่งของครั้งนี้พระคุณหาที่สุดมิได้ พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้จึงตรัสว่าราชการฝ่ายตะวันออกยังหาราบคาบไม่ จะต้องยกทัพไปปราบให้สิ้นเสี้ยนหนาม อันเมืองเตียงอั๋นเป็นเมืองใหญ่บังเกิดโจรผู้ร้ายเนืองๆ อยู่ ท่านจงยกครอบครัวไปรักษาเมืองเตียงอั๋น ระงับโจรผู้ร้ายบำรุงราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข เมื่อเราได้ยกกองทัพไปปราบหัวเมืองตะวันออก จึงจะมีหนังสือไปถึงท่าน ปังอี้รับสั่งแล้วคำนับขนสิ่งของเครื่องพระราชทานออกไปบ้าน ปังอี้อยู่จัดแจงทแกล้วทหารหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเกณฑ์กระบวนทัพหลวงจะเสด็จไปปราบโจรฝ่ายตะวันออกช้าอยู่ถึงสิบวัน ปังอี้จึงทูลลายกครอบครัวกลับไปอยู่เมืองเตียงอั๋น

ฝ่ายพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ ครั้นปังอี้ไปแล้วคิดถึงเงียมจูเหลง ตั้งแต่พาม้าอ้วนมาช่วยการศึกครั้งกิบูป้า ณ เมืองคุนเอี๋ยงนั้น ครั้นมีชัยชนะแล้วหนีไปมิได้พบเป็นช้านาน จำจะสืบหาตัวอาจารย์เงียมจูเหลงมาตั้งเป็นขุนนางผู้เฒ่าสนองคุณให้ถึงขนาด ถ้าเงียมจูเหลงมาอยู่ด้วยจะได้ช่วยคิดป้องกันข้าศึกศัตรูหมู่โจรร้ายให้ราบคาบ ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจะอยู่เย็นเป็นสุขไปภายหน้า พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้จึงเสด็จออกตรัสถามขุนนางทั้งปวงว่า ผู้ใดพบเงียมจูเหลงและรู้ว่าอยู่แห่งใด เราจะให้ไปเชิญมาตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ขุนนางทั้งปวงต่างคนนิ่งอยู่มิได้ทูลประการใด พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้เขียนรูปเงียมจูเหลง มีกฎหมายแจกไปทุกหัวเมือง ถ้าผู้ใดรู้จักตำแหน่งที่อยู่เงียมจูเหลงจะให้บำเหน็จตามสมควร อนึ่งเราได้ยินกิตติศัพท์ลือมาว่า ยังมีผู้เฒ่าคนหนึ่งชื่อจิวตั๋ง เป็นผู้วิเศษอาศัยอยู่ป่าในแดนเมืองไทหงวน จิวตั้งคนนี้มีสติปัญญารู้จักจัดการแผ่นดิน จงเชิญตัวมาเราจะตั้งเป็นขุนนางผู้เฒ่า ช่วยคิดการบำรุงราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข ขุนนางพนักงานรับสั่งออกมาจารึกรูปเงียมจูเหลง แต่งกฎหมายแจกไปแก่หัวเมืองทั้งสี่ทิศตามรับสั่ง

ฝ่ายขุนนางหัวเมืองหมายจะเอาความชอบ ต่างคนเที่ยวเสาะสืบหามิได้พบเงียมจูเหลง พบแต่จิวตั๋งและผู้วิเศษเป็นหลายคนหลบหนีไป ได้แต่ตัวจิวตั๋งเข้ามาเมืองหลวง ขุนนางพนักงานจึงทูลพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ว่าไม่พบเงียมจูเหลงได้แต่จิวตั๋งเข้ามาเฝ้า พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้จึงเชิญจิวตั๋งนั่งที่สมควรแล้วตรัสว่า ราษฎรหัวเมืองสรรเสริญว่าท่านมีสติปัญญา ให้ไปเชิญตัวมาจะตั้งแต่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ช่วยคิดการบำรุงแผ่นดินไปภายหน้า ท่านจะเห็นประการใด จิวตั๋งได้ฟังจึงคิดว่าขุนนางผู้มีสติปัญญาเข้ามาอยู่เป็นข้าเฝ้า อาสาผู้มีบุญทำการปราบศัตรูแผ่นดินราบคาบถึงสองส่วนยังไม่ปรกติแต่ส่วนเดียว จะเข้ามารับที่ขุนนางด้วยหาความชอบมิได้ฉะนี้ ผู้ซึ่งมีความชอบมาแต่ก่อนจะมีใจอิจฉาพยาบาท คิดแล้วจึงทูลว่าข้าพเจ้าเป็นชาวบ้านป่า ฝ่ายทหารไม่ชำนาญเพลงอาวุธ จะจัดแจงการในเมืองหลวงเล่าก็ไม่เข้าใจในกฎหมายขนบธรรมเนียม ทั้งสติปัญญาฟั่นเฟือนเคลิ้มเขลามักหลงลืมไม่เหมือนแต่ก่อนด้วยความชราภาพ จะขอพึ่งบุญญาธิการอยู่เป็นข้าแผ่นดินพอได้ทำมาหากินเลี้ยงชีวิตกว่าจะตาย พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ได้ฟังเห็นจิวตั๋งว่ากล่าวบิดเบือนไม่ยอมรับที่ขุนนาง จึงสั่งชาวคลังจัดแพรสี่สิบพับพระราชทานจิวตั๋งกลับไปบ้าน

ฝ่ายฮวนเสงจึงทูลว่า ผู้วิเศษพวกจิวตั๋งนั้นมีอยู่เป็นหลายคน ข้าพเจ้าให้ไปเชิญถึงสามครั้งสี่ครั้งมิได้มา พากันหลบหลีกเข้าป่าไปสิ้นไม่ได้ตัว จึงมิได้กราบทูลให้ทราบ พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้จึงตรัสว่า กษัตริย์แต่ก่อนย่อมสืบหาผู้มีสติปัญญามาชุบเลี้ยงเป็นขุนนาง ผู้มีสติปัญญาเห็นว่าแผ่นดินราบคาบแล้ว ไม่ยอมรับที่ยศศักดิ์รักแต่ความสุข ผู้มีบุญญาธิการย่อมโปรดให้ไปอยู่โดยชอบอัชฌาสัย ซึ่งเราให้จิวตั๋งกลับไปบ้านทั้งนี้ เพราะจะทำให้ต้องตามราชประเพณี แต่เงียมจูเหลงนั้นได้มาช่วยคิดอุบายได้ชนะศึกใหญ่มีความชอบอยู่ครั้งหนึ่ง เรามีใจคิดถึงมิได้ขาด จะใคร่พบตัวสนองคุณซึ่งได้ทำความชอบไว้แต่ก่อน พอมีขุนนางผู้หนึ่งเข้ามาทูลว่า มีชายชาวเมืองเจ๋มาบอกว่ารู้จักตัวและตำแหน่งที่อยู่เงียมจูเหลง พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ได้ทรงฟังมีพระทัยยินดีนัก จึงรับสั่งให้หาตัวชายผู้นั้นเข้ามาพระราชทานเงินสี่สิบตำลึงเป็นรางวัล จึงใช้ขุนนางแต่งรถให้ชายผู้นั้นนำไปรับเงียมจูเหลง ขุนนางนายทหารรับสั่งคำนับลาออกมาเทียมรถพร้อมด้วยทหารคู่แห่ ให้ชายนั้นนำทางไปหลายวันถึงที่ตำบลหนึ่ง เป็นที่สงัดรโหฐานแสนสนุกยิ่งนัก ที่ตำบลนั้นเป็นแดนเมืองเจ๋ ชายผู้นั้นจึงพาขุนนางนายทหารเข้าไปคำนับแล้วบอกเงียมจูเหลงว่า พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไปเมืองลกเอี๋ยงจะปรึกษาด้วยราชการแผ่นดิน เงียมจูเหลงได้ยินดังนั้นจึงคิดว่าทหารซึ่งเกิดสำหรับบุญก็ไปประชุมพร้อมกันทั้งยี่สิบแปดคน ช่วยพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ปราบศัตรูแผ่นดิน แผ่นดินนับวันแต่จะราบคาบราษฎรจะได้อยู่เย็นเป็นสุขทุกทิศ ซึ่งจะหาไปเมืองลกเอี๋ยงครั้งนี้พิจารณาดูมิได้เห็นธุรกิจการสิ่งใด เงียมจูเหลงคิดแล้วนิ่งตรึกตรองอยู่ ขุนนางผู้รับสั่งจึงถือเครื่องคำนับเชิญอีกถึงสามครั้ง เงียมจูเหลงจึงคิดว่าแต่จากพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้มาช้านานหลายปีมิได้ไปเยี่ยมเยียน บัดนี้ได้เป็นเจ้าแผ่นดินแล้วให้เอารถมารับจำจะไปจึงจะควร คิดแล้วรับเครื่องคำนับ ขุนนางผู้รับสั่งเชิญเงียมจูเหลงขึ้นรถกลับคืนไปเมืองลกเอี๋ยง

ฝ่ายพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ ตั้งแต่ใช้ให้ขุนนางไปเชิญเงียมจูเหลง ตั้งพระทัยนับวันคอยฟังข่าวอยู่ทุกเวลามิได้ขาด อยู่วันหนึ่งเวลาเช้าเสด็จออกว่าราชการ พอขุนนางพนักงานซึ่งได้กำกับรักษาประตูเมืองเข้ามาแจ้งความว่าเงียมจูเหลงมาถึงแล้ว จึงเสด็จทรงรถไปรับเงียมจูเหลงนอกประตูเมืองพร้อมด้วยขุนนางทั้งปวง พอเงียมจูเหลงถึงจึงพาเข้าพระราชวังเชิญนั่งที่สมควร พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ยินดีพระทัยนัก จึงตรัสเล่าความซึ่งทำศึกได้ความลำบากแต่หลังให้เงียมจูเหลงฟังแต่ต้นจนปลาย แล้วตรัสว่าตั้งแต่ท่านมาช่วยข้าพเจ้าคิดกลอุบายชนะทัพร้อยหมื่น ณ เมืองคุนเอี๋ยง ข้าพเจ้ามิได้พบท่านช้านาน แต่ใช้ทหารเที่ยวหามิได้พบ ซึ่งท่านมาได้เห็นหน้าวันนี้ข้าพเจ้ายินดีนัก เงียมจูเหลงได้ฟังจึงว่าข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นว่าไต้อ๋องมีบุญญาธิการหาผู้เสมอมิได้ จะปราบศัตรูแผ่นดินไปภายหน้าไม่มีผู้ใดจะต่อสู้ ข้าพเจ้าจึงเที่ยวไปอาศัยที่เงียบสงัดอยู่ตามสบาย ครั้นสืบรู้ว่าไต้อ๋องได้เป็นเจ้าแผ่นดิน มีผู้สรรเสริญจำเริญเกียรติยศ มีอาญาแผ่ไปดังแสงพระอาทิตย์ส่องสว่างโลกหาพระโรคโรคาพยาธิมิได้ ข้าพเจ้าจึงยับยั้งฟังข่าวอยู่ในเมืองเจ๋ พอขุนนางในไต้อ๋องไปเชิญขัดมิได้จึงมาเยี่ยมเยียน พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ได้ฟังมีพระทัยยินดีนัก จึงเรียกเครื่องเสวยมาให้เงียมจูเหลงกินเป็นที่สบาย แล้วตรัสว่าครั้งนี้แผ่นดินยังไม่ราบคาบจะต้องปราบหลายตำบล ข้าพเจ้าจะเชิญท่านไว้เป็นที่กุนสือขุนนางผู้ใหญ่ จะได้เป็นที่ปรึกษาการบำรุงแผ่นดินไปภายหน้าท่านจะเห็นประการใด เงียมจูเหลงจึงว่าข้าพเจ้าเป็นวิสัยชาวป่า ซึ่งจะมาเป็นขุนนางในเมืองหลวงนั้น  ใจข้าพเจ้าไม่ยินดีในที่ยศศักดิ์ เปรียบเหมือนเจาฮูครั้งแผ่นดินเงี้ยวเต้ พระเจ้าเงี้ยวเต้เห็นว่าเจาฮูมีสติปัญญาลึกซึ้งจะบำรุงราษฎรได้ จึงตรัสว่าจะมอบสมบัติให้เจาฮู

ฝ่ายเจาฮูได้ยินจึงลุกไปหยิบขันนํ้าเทรดล้างหูทั้งสองโดยด่วน พระเจ้าเงี้ยวเต้สงสัยพระทัยไม่แจ้งความ จึงตรัสถามเจาฮู เจาฮูทูลว่าหูข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินและมาได้ยินคำซึ่งตรัสว่าจะยกสมบติให้ไม่ชอบใจ จึงชำระหูทั้งสองเสียให้หมดมลทิน ซึ่งข้าพเจ้าไม่ยินดีในที่ยศศักดิ์ดังนี้เหมือนเจาฮู จะขออยู่หาเลี้ยงชีวิตในป่ากว่าจะตาย พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ได้ฟังเสียดายเงียมจูเหลงยิ่งนัก จึงตรัสเกลี้ยกล่อมเงียมจูเหลงอยู่จนเวลาค่ำลง จึงจูงมือเงียมจูเหลงเข้าที่ข้างใน ให้เงียมจูเหลงนอนร่วมที่บรรทม ตรัสสนทนากับเงียมจูเหลงจนเวลาดึก พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้บรรทมหลับ เงียมจูเหลงจึงคิดว่าขุนนางในพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ซึ่งรู้ดูนักขัตฤกษ์จะมีบ้างหรือประการใด เงียมจูเหลงแกล้งนอนทำเสียกิริยา พลิกตัวกลับเอาเข่าพิงทับเพลาพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้

ฝ่ายพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ฟื้นบรรทม รู้ว่าเงียมจูเหลงนอนเสียกิริยา ครั้นจะพลิกพระองค์หนีก็เกรงเงียมจูเหลงจะตื่น จึงบรรทมนิ่งอยู่เป็นปกติ

ฝ่ายไทซู้ขุนนางซึ่งเป็นพนักงานดูดาวขัตฤกษ์ ครั้นเวลาเที่ยงคืนจึงพิจารณาดูดาวพระมหากษัตริย์ เห็นดาวแขกโคจรเข้าไปชิดมณฑลดาวซึ่งประจำพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ก็ตกใจ เกรงศัตรูจะลอบลักเข้ามาทำอันตราย ครั้นพิเคราะห์ดูเป็นดาวนพเคราะห์เห็นหาอันตรายมิได้

ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ ทูลตามเหตุซึ่งมีในเวลากลางคืนนั้น พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ได้ทรงฟังจึงตรัสว่า เวลาคืนนี้เรากับเงียมจูเหลงนอนอยู่ด้วยกัน เราหาอันตรายมิได้ เงียมจูเหลงได้ยินไทซู้กราบทูลพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ดังนั้นก็รู้ว่าไทซู้มีวิชาในฤกษ์บน เห็นว่าพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้มีบุญได้คนดีมีสติปัญญาประกอบวิชาพร้อมบริบูรณ์ จะรักษาแผ่นดินสืบกษัตริย์ไปภายหน้าโดยแท้ เงียมจูเหลงจึงทูลพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ว่า ทแกล้วทหารประกอบผู้มีสติปัญญา ประกอบคุณวิชาทั้งปวงก็พร้อมบริบูรณ์ทุกพนักงานแล้ว แผ่นดินท่านนับวันแต่จะอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป ข้าพเจ้าก็ชราภาพท่านจะหน่วงไว้ให้เป็นขุนนางประกอบด้วยธุระเป็นอันมาก ข้าพเจ้าหาความสบายมิได้จะขอลาไปบ้านเก่าทำไร่สวนพอเลี้ยงชีวิต แม้นมีกิจธุระประการใดใช้คนไปหา ข้าพเจ้าจะมาช่วยทำนุบำรุงตามสติกำลัง พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้เกลี้ยกล่อมเงียมจูเหลงเป็นหลายครั้ง เห็นว่าเงียมจูเหลงไม่รับที่ยศศักดิ์ รักแต่ที่เงียบสงัดเป็นนิสัยชาวป่า พระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้ก็ตามใจมิให้ขัดเคือง จึงให้ชาวคลังจัดสิ่งของบรรทุกเกวียนห้าเล่มกับทองคำสองร้อยตำลึงพระราชทานเงียมจูเหลง เงียมจูเหลงจึงถวายแพรและทองคืนเข้าคลังดังเก่า แล้วลาพระเจ้าฮั่นกองบู๊ฮ่องเต้กลับไปที่อยู่เขาฮูฉุน ทำไร่สร้างสวนเลี้ยงชีวิตเป็นสุข อายุได้แปดสิบเศษเงียมจูเหลงก็ตาย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ