เสน่ห์จวัก
ผจงจิต ยืนอยู่ข้างหน้าต่างห้องรับแขกชั้นล่าง มองดูรถของประพนธ์สามีขับลดเลี้ยวตามทางในเขตไร่แล่นลับสายตาไปแล้ว ก็วิ่งขึ้นไปยังห้องนอน ปิดประตูขัดกลอน แล้วก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนซบหน้าลงบนหมอนและร้องไห้อย่างไม่อดกลั้น อย่างที่อยากทำมาหลายเดือน แต่มีอะไรมาสกัดกั้นอาการกิริยานี้เสียทุกครั้งมา
เมื่อร้องไห้จนมีความรู้สึกเบาในอกขึ้นมาบ้างแล้ว หล่อนก็ไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ดึงกระจกที่มีบานพับลง เปลี่ยนโต๊ะนั้นให้กลายเป็นโต๊ะเขียนหนังสือได้ ดึงกระดาษออกมาจากลิ้นชักแล้วก็ลงมือเขียนจดหมาย
“กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ที่รักอย่างสุดซึ้งของลูก
จดหมายฉบับนี้ ลูกได้ลงมือเขียนหลายหนแล้วแต่ไม่จบ ลูกฉีกทิ้งไปเสีย ไม่ได้ส่งมาถึงคุณพ่อคุณแม่ แต่บัดนี้ความอดทนของลูกถึงที่สุดแล้ว ลูกจะทนอยู่กับประพนธ์ต่อไปไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเข้ากันไม่ได้เลย และไม่มีทางทำความเข้าใจกันได้เลย ลูกจึงขอเรียนมาให้คุณพ่อคุณแม่ทราบ และขอเรียนด้วยว่า ลูกไม่ถือว่าคุณพ่อคุณแม่มีความผิด คุณพ่อคุณแม่คงจะมีความตั้งใจดีอย่างที่สุด แต่เป็นกรรมของลูกเอง แต่ลูกไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจ คุณพ่อขา คุณแม่ขา ลูกไม่เข้าใจเลย...”
ผจงจิตเขียนต่อไปไม่ได้ น้ำตาไหลพรากออกมา ทำให้หล่อนมองไม่เห็นหน้ากระดาษและตัวหนังสือ ความกลัดกลุ้มเกิดขึ้นมาใหม่ ที่คิดว่าได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว กลับกลายเป็นความอัดอั้นตันใจอีก หล่อนไม่เข้าใจประพนธ์ และใครจะทำให้หล่อนเข้าใจได้ หล่อนได้รับคำสั่งสอนมาจากคุณพ่อคุณแม่อย่างดีที่สุด หล่อนเชื่อแน่ว่า หล่อนได้พยายามทำตามอย่างที่สุดอย่างเต็มความสามารถแล้ว คิดไม่เห็นความบกพร่องตรงไหนเลย และได้ถามประพนธ์แล้วด้วย เขาก็บอกว่าผจงจิตมิได้บกพร่องในหน้าที่เลย แล้วทำไมเขาจึงไม่รักหล่อน และทำไมทำกิริยาเหมือนรักและบอกว่ารัก ในเมื่อหล่อนแน่ใจว่าเขาไม่รัก เขาแกล้งทำรักทำไม เขาแต่งงานกับหล่อนเพื่ออะไร เขาไม่ได้ขาดอะไรเลย เงิน วิชา รูปร่าง แม้ตระกูลซึ่งไม่สำคัญอะไรนักในสมัยนี้ ประพนธ์ก็มี หากจะว่าเขากับผจงจิตได้รับการอบรมมาคนละอย่างก็ว่าไม่ได้ เพราะเกิดมาในตระกูลที่มีวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน แบบแผนต่าง ๆ ก็คล้ายคลึงกัน การศึกษา...นี่กระมัง...นี่กระมัง พอคิดมาถึงตรงนี้ น้ำตาไหลพรากลงมาอีก เป็นไปได้ไหมว่าผจงจิตมีการศึกษาน้อยไป จึงมิได้เป็นเมียรักสุดซึ้งของประพนธ์ ถ้าเช่นนั้น คุณพ่อคุณแม่ของผจงจิตก็เป็นผู้ผิด เพราะเมื่อผจงจิตเรียนจบการศึกษาชั้นมัธยม ได้มีการถกเถียงกันในข้อที่ว่า ผจงจิตควรเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่ คุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ตัดสินด้วยความแน่ใจว่า ผจงจิตไม่ควรเข้าศึกษาต่อชั้นมหาวิทยาลัย ควรศึกษาเกี่ยวกับงานของลูกผู้หญิง การเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี คุณพ่อคุณแม่พูดเสมอ พูดให้ญาติพี่น้องทุกคนได้ยิน พูดให้ผจงจิตได้ยินเองหลายครั้งหลายหน “เสน่ห์จวัก ผัวรักจนตาย”
แล้วผจงจิตก็ได้พยายามศึกษาเล่าเรียนทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ให้เรียน จากคุณพ่อคุณแม่เอง จากครูทุกคนที่คุณพ่อคุณแม่หามาสอน จนกระทั่งผจงจิตมีชื่อเสียงว่า เป็นแม่บ้านที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด เพราะผจงจิตได้เรียนทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่บ้านชาวตะวันตกควรรู้ควรทำได้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่บ้านไทยควรรู้ควรทำได้ ยิ่งกว่านั้นยังได้เล่าเรียนสิ่งที่แม่บ้านควรรู้ควรทำได้สำหรับคนไทยทุกชั้นวรรณะ คือเรียนเป็นแม่บ้านของคนจน เรียนเป็นแม่บ้านของคนรวย เรียนเป็นแม่บ้านในเมือง แม่บ้านในชนบท หล่อนมีชื่อเสียงว่าทำกับข้าวอร่อย เย็บดอกไม้ประณีต และเต็มไปด้วยความคิดแปลกๆ ใหม่ ๆ ไม่ซ้ำแบบใคร หล่อนคิดลายพวงมาลัยลายใหม่ คิดลายมะปรางริ้วใหม่ ๆ จัดดอกไม้รูปทรงใหม่ หล่อนแต่งกายทันสมัย งามและประหยัด รูปร่างสวย ดวงหน้าก็สวยพอใช้ ผิวก็งาม หล่อนมีชื่อเสียงว่า ผิวงามน่าลูบยิ่งกว่าหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน นิสัยใจคอก็ดี
ผจงจิตเริ่มมีความฉงนสนเท่ห์กับชีวิตเมื่อหล่อนอายุผ่านยี่สิบสี่ เข้าวัยยี่สิบห้า เพื่อน ๆ เริ่มล้อผจงจิตว่า เป็นสาวทึมทึก ลูกพี่ลูกน้องของผจงจิต ๒-๓ คนเคยอยู่ประเทศฝรั่งเศสมาตั้งแต่เล็ก ๆ เขาชอบมาเล่าให้ผจงจิตฟังว่า มีธรรมเนียมของฝรั่งเศสอันหนึ่ง คือหญิงที่ตั้งใจจะไม่แต่งงาน แต่ก็ไม่บวชให้เป็นนางชีนั้น เขาสวมหมวกชนิดหนึ่ง เรียกว่าเป็นหมวกของเซนต์คัธริน ผู้ซึ่งเป็นสาวแก่พรหมจารี ได้ทำคุณงามความดีไว้มากในหมู่ชนที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และในหมู่หญิงฝรั่งเศส ถ้าเพื่อนคนใดไม่ได้แต่งงานจนอายุยี่สิบห้าปี ก็จะมีการเย้ากันโดยส่งหมวกแบบของเซนต์คัธรินไปให้ในวันเกิดครบอายุยี่สิบห้า ผจงจิตเริ่มกลัวว่าพี่น้องของหล่อนจะเย้าหล่อนดังนั้นบ้าง และเมื่อหล่อนอายุยี่สิบห้าบริบูรณ์ หล่อนรีบหาทางหนีไปเยี่ยมญาตินอกเขตพระนครเสียหลายวัน ไม่ได้ทำบุญอายุหรือมีการเชิญเพื่อนฝูงพี่น้องมาเลี้ยงอาหาร ซึ่งหล่อนเคยปรุงอย่างประณีตน่ารับประทนเป็นพิเศษเหมือนทุก ๆ ปี ผู้ชายหนุ่ม ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่และญาติผู้ใหญ่ของผจงจิต หมายตาจับจองจะให้เป็นคู่ชีวิตของผจงจิตก็แต่งงานไปเป็นรายๆ ประเดี๋ยวคุณอะไร ลูกเจ้าคุณอะไร หรือ ม.ร.ว. อะไร ก็จบการศึกษามาจากฝรั่งเศสหรืออเมริกา หรือคุณอะไรลูกคุณพระอะไร ก็ได้เป็นผู้พิพากษาแล้ว หรือนายอะไร ลูกนายอะไร แซ่อะไร เปลี่ยนนามสกุลเป็นอะไร ก็พร้อมที่จะแต่งงานกับคุณอะไรที่เป็นลูกเจ้าคุณอะไร หรือคุณพระอะไร แต่ชายหนุ่มเหล่านั้นก็ไม่มาติดต่อสู่ขอผจงจิต ชายที่มาติดต่อสู่ขอผจงจิตก็เป็นคนที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ปรารถนา คุณหลวงพิทักษ์ประชาเป็นทนายความมือเยี่ยม มีเงินสดในธนาคารหลายแสน มีที่ดินนับเป็นร้อย ๆไร่ แต่ว่าหัวแข็ง ไม่ชอบใจก็ลาออกจากราชการเสียเฉย ๆ ออกมาทำงานเป็นทนายความร่วมกับสำนักงานฝรั่ง เขาว่ามีความเห็นซ้ายจัด คุณแม่ไม่ไว้ใจว่า ลูกหญิงคนเดียวของท่านจะได้รับความสุขจากคนชนิดนี้หรือไม่ เวลานี้ผจงจิตอายุยี่สิบสามปี ยังมีเวลาเลือกอีกถมไป คุณแม่ไม่แน่ใจจึงไม่ตกลงรับหลวงพิทักษ์ฯเป็นลูกเขย และก็เคราะห์ดี เพราะต่อมาจากนั้นอีกไม่ถึงปีก็มีข่าวเซ็งแซ่ว่า หลวงพิทักษ์ฯ ตกเป็นจำเลยในคดีชู้สาวรายหนึ่ง ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสามีของหญิงคนหนึ่งเป็นเงินหลายหมื่นบาท หลวงพิทักษ์ฯได้ยอมเสียเงินให้ชายคนนั้นแล้ว ในที่สุดได้รับตัวหญิงคนนั้นมาเป็นภรรยา
หลวงพิทักษ์ฯได้มามีบทบาทในชีวิตของผจงจิตอีก ถึงแม้จะไม่ใช่บทบาทสำคัญอย่างที่ตัวหลวงพิทักษ์ฯเองได้เก็งไว้ แต่ก็ได้มามีบทบาทสำคัญพอใช้ คือได้ทำให้ผจงจิตกับประพนธ์เกือบทะเลาะกัน สำหรับผู้หญิงที่ได้รับการอบรมอย่างผจงจิต การทะเลาะกับสามีเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เป็นสิ่งที่จะไม่มีขึ้นในชีวิตของหล่อน แม้จะเลิกร้างกัน ทิ้งลูกเล็กอายุสามขวบไปแต่ตัว อย่างที่ผจงจิตกะแผนการไว้นี้ ผจงจิตกับประพนธ์ก็จะไม่ทะเลาะกัน เพราะผจงจิตจะไม่ทะเลาะกับสามี
เรื่องทะเลาะกันนี่ก็แปลกอีก ประพนธ์ไม่เข้าใจ ประพนธ์ซึ่งเป็นลูกผู้ดีเหมือนผจงจิต ไม่เห็นว่าการทะเลาะระหว่างสามีภรรยาเป็นเรื่องเสียหาย เมื่อผจงจิตบอกเขาว่า “เอาเถอะค่ะ เราอย่าทะเลาะกันเลย ดิฉันจะไม่ทะเลาะกับคุณ...” เขากลับพูดว่า
“ทำไมล่ะ เราผัวเมียกัน ก็ต้องทะเลาะกันซิ ไม่งั้นก็ผิดธรรมชาติไป”
แต่ผจงจิตก็ไม่ทะเลาะกับเขา หล่อนเก็บความผิดหวังเข้าไว้ในอก หล่อนไม่เข้าใจเขาหนักขึ้นทุกวัน
เรื่องหลวงพิทักษ์ฯเป็นเรื่องแรกที่ทำให้ผจงจิตขึ้นเสียงกับประพนธ์ เพราะหล่อนตกใจ แปลกใจจนเก็บความรู้สึกไม่อยู่
“หลวงพิทักษ์ประชากับคุณประพิณก็จะมาด้วย..”
ประพนธ์บอกกับภรรยาเมื่อแต่งงานกันได้ประมาณ ๑ ปี และกำลังเตรียมเลี้ยงอาหารเพื่อนร่วมโรงเรียน ในโอกาสที่อัจฉราเพื่อนผู้มีหน้าตาไม่สวยคนหนึ่ง ได้รับทุนการศึกษาไปเรียนวิชาชั้นสูงในต่างประเทศ เพื่อน ๆ ผู้ได้รับความสำเร็จในชีวิตคือได้แต่งงาน มีบ้านอันสวยงามน่าอยู่ มีรถยนต์เป็นพาหนะ ฯลฯ รู้สึกว่าจะต้องให้อัจฉราเห็นว่าเพื่อนมิได้ทอดทิ้งอัจฉรา เพราะเหตุที่อัจฉราเป็นคนไม่ได้รับความสำเร็จคือไม่ได้แต่งงาน และเพื่อน ๆ มีความยินดีที่อัจฉราได้รับความสำเร็จอย่างหนึ่งซึ่งอัจฉราพอใจ ทั้ง ๆ ที่เพื่อน ๆ คิดว่าทุนการศึกษาอันนี้ จะยิ่งทำให้อัจฉรามีโอกาสได้รับความสำเร็จเหมือนเพื่อน ๆ น้อยลงไปอีก
ถ้ามีโอกาสจะเลี้ยงอาหารเพื่อน ๆ ที่บ้านผจงจิต ทั้งผจงจิตและเพื่อน ๆ ก็ฉวยโอกาส เพราะผจงจิตยินดีที่จะได้แสดงฝีมือทำกับข้าว และเพื่อน ๆ กับสามีของเพื่อน ๆ ยินดีได้รับประทานอาหารฝีมือดีใส่ภาชนะงาม และได้รับประทานในสถานที่ที่จัดสวย และมีลมเย็น
ประพนธ์คนเดียวที่ไม่ค่อยตื่นเต้นกับฝีมือของผจงจิต ซึ่งผจงจิตได้สังเกตมาตั้งแต่หมั้นกันใหม่ ๆ และหล่อนรู้สึกแปลกใจอย่างเหลือเกิน หล่อนได้เคยพยายามจะหาโอกาสให้เขาได้แสดงความรู้สึกนึกคิดของเขาในเรื่องนี้ ด้วยวิธีการแนบเนียนต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
สำหรับเรื่องหลวงพิทักษ์ฯ ประพนธ์บอกกับหล่อนว่า เขาจะเป็นแขกของหล่อนในโอกาสเลี้ยงส่งอัจฉรา อย่างไม่ค่อยแยแสต่อความรู้สึกของหล่อน เขาบอกหล่อนแล้วก็ก้มหน้าลงค้นหนังสือเล่มหนึ่งในตะแกรงฝีมืองาม ซึ่งผจงจิตไปหามาใส่หนังสือเพื่อให้แปลกตา และเข้ากันกับเก้าอี้หวายในห้องนั่งเล่นอย่างดี
“พิทักษ์ไหนคะ?” ผจงจิตย้อนถาม เสียงของหล่อนสูงขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ
“พิทักษ์ประชา ก็คุณประพิณเขาโรงเรียนเดียวกับเธอไม่ใช่หรือ?”
“แต่...แต่ดิฉันไม่ได้เชิญเขานี่” เสียงของผจงจิตปร่าพิกล
“รู้แล้วละ แต่หวังว่าเธอคงไม่ถือว่าฉันทำอะไรโดยไม่ปรึกษาเธอ เพราะฉันจำเป็นต้องพบกับหลวงพิทักษ์ฯโดยเร็ว และการให้เขามากินอาหารที่บ้านเป็นโอกาสดี”
ผจงจิตนิ่งไปหลายวินาที หล่อนจำคำสั่งสอนของคุณแม่และของครูบางคนได้ “อย่าตั้งปัญหาถามกับผู้ชาย อย่าอยากรู้ในสิ่งที่สามีไม่บอกให้รู้ อย่าเอาหลักเกณฑ์อะไรกับผู้ชาย เราต้องการให้เขาอยู่กินเป็นสุข ให้เขาเป็นสามีที่เลี้ยงดูยกย่องเราและรักเรา”
แต่ผจงจิตอยากรู้จนไม่สามารถยับยั้งได้ หล่อนถามออกไปทั้งที่หัวสมองบอกว่าไม่สมควรถาม
“คุณไม่รังเกียจหลวงพิทักษ์ฯ กับคุณประพิณหรอกหรือคะ หล่อนจำได้แจ่มชัดเหลือเกิน ประพนธ์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ส่ายหน้าแล้วตอบสิ่งที่หล่อนไม่นึกฝันเลยว่าเขาจะตอบ “ไม่ใช่ธุระของเรา” เพราะความแปลกใจ ผจงจิตขึ้นเสียงแหลม
“หมายความว่าอะไรคะ ไม่ใช่ธุระของเรา?”
“หมายความว่าอย่างนั้นละ ตรง ๆ เผง ๆ ไม่ยักเยื้อง ไม่ใช่ธุระของเรา” เมื่อเห็นหล่อนยังจ้องอยู่เขาก็เสริมว่า “เรา ผจงจิตและประพนธ์ไม่รังเกียจใครด้วยเหตุที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา”
“ยังไม่เข้าใจค่ะ” ผจงจิตเสียงแข็งอีก รู้สึกมีเลือดวิ่งขึ้นหน้าร้อนผ่าว
“เออ จะให้เล็กเชอร์วิชาจิตวิทยาสังคมหรือดาร์ลิ่ง” แล้วเขาก็หัวเราะ และว่า “พูดภาษาอังกฤษทีไรรู้สึกเปิ๊นเปิ่น แต่เพราะรักเมียต้องพูดให้ได้”
ผจงจิตเรียกสติได้แล้ว หล่อนกล่าวเสียงอ่อนหวานว่า “ยังไม่เคยให้คุณพูดอังกฤษด้วยสักที”
“แต่ถ้าผมจะเรียกคุณว่า ดวงใจ หรือยอดรัก คุณคงว่าบ้า ใช่ไหม?” ประพนธ์พูดกับหล่อนปน ๆ กันอย่างนั้นเสมอ บางทีเขาก็พูด ฉัน-เธอ ผจงจิตเคยลองพูด น้อง-พี่ แล้วไม่สำเร็จ มีบางสิ่งบางอย่างในท่าทีของประพนธ์ทำให้หล่อนเลิกไป
“ภาษาฝรั่งเศสล่ะ ผู้ชายพูดกับเมียเขาอย่างไร?”
แล้วประพนธ์ก็สร้างปัญหาให้ผจงจิตต่อไป เขาตอบว่า “แต่ฉันไม่ใช่ฝรั่งเศส ฉันเป็นผู้ชายไทย”
ผจงจิตอยากจะเถียงเขาว่า แล้วจะต้องพูด “ดาร์ลิ่ง” ทำไม
แต่จำคำสั่งสอนว่าไม่ให้เถียงกับสามีได้จึงนิ่งเสีย
แต่ประพนธ์ดูเหมือนจะเดาความคิดของหล่อนได้เขากล่าวขึ้นว่า ที่เรียกคุณว่าดาร์ลิ่ง เพราะอยากให้เข้าสมัยเหมือนเพื่อน ๆ ของเธอ เห็นผัวเมียเขาดาร์ลิ่งกันทั้งนั้น แต่ขออย่างเดียว อย่าหนู ๆ พี่ ๆ เลยทนไม่ไหว”
ผจงจิตเลิกเอาใจใส่กับเรื่องใช้ภาษาอังกฤษ ทั้งที่ใจคิดไปถึงเรื่องนี้ เมื่อครั้งประพนธ์กับหล่อนเป็นคู่หมั้นกัน เพราะมีความเอาใจใส่กับเรื่องหลวงพิทักษ์ฯ กับภรรยามาก ความเอาใจใส่ในเรื่องนั้นมีมากอย่างยิ่ง พอที่จะทำให้หล่อนลืมคติของภรรยาตามแบบฉบับของหล่อน และได้ถามสามีว่า
“คุณประพนธ์คะ การมีชู้ กับการเป็นชู้กับเมียเขานี่ คุณไม่ถือว่าเป็นความประพฤติไม่ดีหรือคะ?”
“การมีชู้และการเป็นชู้ เป็นเรื่องเฉพาะ ๆ ไปแล้วแต่คู่ แล้วแต่เรื่อง บางทีเป็นความประพฤติชั่วบางคราวก็เป็นความประพฤติดี”
แลเห็นหน้าของประพนธ์เปลี่ยนจากความอดทนเรื่อย ๆ เย็น ๆ เป็นหน้าแสดงความเอาใจใส่ นัยน์ตาก็วาวขึ้นเหมือนว่ายินดีจะโต้ตอบกับหล่อน ผจงจิตจึงกล้าถามต่อไป
“เป็นไปได้หรือคะ ที่จะเป็นความประพฤติดี”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้” ประพนธ์ว่า “ถ้าเขารักกันอย่างบริสุทธิ์ ก็เรียกว่าประพฤติดี”
“ใครคะ รักกันอย่างบริสุทธิ์ เป็นชู้กันจะเรียกว่าบริสุทธิ์ได้หรือคะ” ผจงจิตเถียง
“ก็บางที มันมาพบเนื้อคู่แท้ผิดเวลาไป เขาเป็นคนมีผัวเสียแล้วจะทำอย่างไร”
ผจงจิตรู้สึกโกรธอาย เลือดวิ่งพล่านทำให้ร้อนไปทั้งตัว
“คุณพูดเล่นหรือคะ?”
“พูดจริงซิ พูดจริง ๆ ทีเดียว..”
“แปลว่า คุณอาจเป็นชู้กับเมียใครก็ได้หรือคะ?”
“อ้อ ฉันไม่จำเป็นต้องเป็นชู้กับใคร ฉันพบเนื้อคู่ที่แท้ของฉันแล้ว”
ประพนธ์ยิ้มกับหล่อนนัยน์ตาเป็นประกาย
“แล้วถ้าเผื่อ, ถ้าเผื่อ ดิฉันเกิดไปรักผู้ชายอื่น..” ผจงจิตจำได้ว่าเสียงของหล่อนไม่มั่นคง “แล้วไปมีชู้จะว่าอย่างไร?”
“ฉันอาจฆ่าคนที่เธอบอกว่าเธอรักเสียก็ได้ เพราะฉันไม่เชื่อว่าเธอจะรักใคร เธอรักฉัน จริงหรือไม่จริงล่ะ?” เขาจ้องหน้าหล่อนเขม็ง เหมือนจะมองลอดเข้าไปถึงหัวใจส่วนลึกของหล่อน
ผจงจิตรู้สึกประหม่าพิกล “ก็แล้วหลวงพิทักษ์ฯล่ะคะ หลวงพิทักษ์ฯไปแย่งเมียเขา จนถูกฟ้องร้องแพ้ความ คนอย่างนี้จะเรียกว่าคนดีได้หรือคะ?”
“ฉันไม่รู้เรื่องหลวงพิทักษ์ฯทั้งหมด เพราะเมื่อเกิดคดีฉันไม่ได้อยู่เมืองไทย แต่ถึงอยู่ก็คงไม่รู้เรื่องตลอด จึงไม่มีสิทธิ์จะตัดสินว่า หลวงพิทักษ์กับเมีย เป็นคนดีหรือคนเลว แต่เท่าที่ฉันรู้จักคุณประพิน เห็นว่าแกเป็นภรรยาที่ดีของหลวงพิทักษ์ฯ และเป็นแม่ที่ดีของลูกกับสามีเก่า และที่มีกับสามีใหม่”
“ลูกหลวงพิทักษ์ฯนี่แหละ ท้องตั้งแต่ยังไม่ได้เลิกกับสามีเก่า” ผจงจิตพูดเสียงค่อนข้างกร้าว
“แต่ไม่ได้หมายความว่าประพินเป็นคนชั่วเพราะเหตุนั้น อาจมีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้ต้องท้องก่อนเลิกกับผัวเก่า” เขาจ้องดูหล่อน นัยน์ตาเหมือนจะชวนเชิญให้หล่อนเถียงเขาต่อไป
เห็นสายตาเขาผจงจิตก็ได้สติ หล่อนไม่มีหน้าที่จะเถียงทะเลาะกับสามีในเรื่องเช่นนี้ แต่หล่อนก็ผิดหวังในตัวเขามาก อดกลั้นไว้ไม่ได้จึงพูดว่า
“เอาละค่ะ ไม่เถียงกันละ เดี๋ยวทะเลาะกัน แต่ก็เป็นห่วงไม่รู้ว่าเพื่อนเขาจะว่าอย่างไร โดยเฉพาะแขกคนสำคัญคืออัจฉรา เขาเป็นคนถือหลักการอะไรต่ออะไรมาก”
ประพนธ์ทำท่าไม่พอใจคำพูดของภรรยาเขาว่า ทำไมล่ะ เราผัวเมียกันก็ต้องทะเลาะกันซิ”
แต่ไม่ทะเลาะกับเขา เขายังรักหล่อนน้อยอย่างนี้ ถ้าทะเลาะกัน เขาคงทิ้งหล่อนไปมีภรรยาใหม่แล้ว เวลานี้หล่อนแน่ใจว่า สายสัมพันธ์ระหว่างเขากับหล่อนก็คือลูกชาย ซึ่งเขารักประดุจชีวิตเท่านั้น
ความคิดของผจงจิตแล่นต่อไป รวดเร็วประดุจสายฟ้า เรื่องราวต่างๆในชีวิตของหล่อนกลับเข้ามาในความทรงจำแจ่มชัดทุกคราว
หล่อนหวนกลับไปถึงชีวิตก่อนที่ประพนธ์จะมาขอแต่งงานกับหล่อน วันเวลาผ่านไป ชายที่พึงปรารถนาก็ผ่านไป เขาแต่งงานกับเพื่อน กับญาติของผจงจิต หรือกับผู้ที่ผจงจิตรู้จักแต่ชื่อเสียง และมีบางคนแต่งงานกับผู้ที่ผจงจิตไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเลย พอมีชายหนุ่มที่มีทรัพย์พอสมควร เป็นลูกเต้าเชื้อแถวของคนที่อยู่ในวงสังคมเดียวกับผจงจิต สำเร็จการศึกษากลับมาจากต่างประเทศ หรือได้ตำแหน่งเป็นที่พึงพอใจตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในประเทศไทย ญาติผู้ใหญ่ก็จะมากระซิบกับคุณแม่ของหล่อน แล้วคุณแม่ก็กระซิบกับคุณพ่อ บางรายคุณแม่พอใจแต่คุณพ่อไม่พอใจ บางรายก็กลับกัน บางรายชายหนุ่มเหล่านั้นก็แสดงความไม่พอใจในตัวผจงจิต มีท่านชายองค์หนึ่งบอกว่า หล่อนมีร่างสูงเกินไป มีนายร้อยเอกนักเรียนแซนด์เฮอรสต์คนหนึ่งกล่าวว่า หล่อนเต้นรำไม่เก่งและไม่ช่างคุย มีนายแพทย์นักเรียนอเมริกันคนหนึ่งว่า คุณพ่อคุณแม่เจ้ายศ แล้วมีนายแพทย์นักเรียนอเมริกันอีกคนหนึ่งส่งคนมาทาบทามสู่ขอ นับเป็นคนที่สองจากหลวงพิทักษ์ฯ ที่มาถึงขั้นสู่ขอ แต่ผจงจิตไม่พอใจเอง เพราะกิริยามารยาทของเขาเป็นสมัยใหม่เกินไป อายุผจงจิตล่วงไปทุกปี ๆ คุณแม่เริ่มให้โหรพิเคราะห์ดวงชาตาของหล่อนถี่ขึ้น เป็นการไม่น่าเชื่อที่ลูกคนเดียวของท่าน ซึ่งท่านได้ให้การศึกษาอบรมดีที่สุด มีทรัพย์สมบัติพอสมควรกับฐานะ มีรูปสมบัติ ไม่ด้อยกว่าใครในวงศ์ญาติมิตร จะหาสามีไม่ได้ และพอมาถึงขั้นที่ตัวผจงจิตเองก็เริ่มสนใจในโหรแลดวงชาตา นายประพนธ์ บุณยลักษณ์ ก็กลับมาจากต่างประเทศ เวลานั้นผจงจิตอายุเต็มยี่สิบแปดปี ย่างเข้ายี่สิบเก้า อีกปีเดียวก็จะมีอายุสามสิบ นับอย่างไทยจะหลีกเลี่ยงหลอกตนเองว่า ไม่ใช่สาวแก่ไปไม่ได้แล้ว
ประพนธ์กลับมาประเทศเกิดเมื่ออายุเกือบ ๓๕ ปีแล้ว เขาไปอยู่ต่างประเทศมาหลายประเทศ ไปเรียนหนังสือที่สวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส แล้วไปรับราชการที่อิตาลี ไปประชุมที่ประเทศอังกฤษและไปติดสงครามอยู่ที่อเมริกัน แต่เขาไม่ได้กลับมาโดยมีภรรยาชาวต่างประเทศเข้ามาด้วยเหมือนคนที่ไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานานมักจะทำกัน ญาติและมิตรชั้นผู้ใหญ่ และเพื่อน ๆ รุ่นราวคราวเดียวกับผจงจิตล้วนแต่เป็นผู้มีความปรารถนาดี ได้พยายามเต็มที่ที่จะให้ประพนธ์ได้วิสาสะกับผจงจิต และพยายามเต็มที่ที่จะให้เขาได้รับทราบถึงความดีงามของผจงจิตทุกประการ พร้อมกับพยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้หญิงอ่อนวัยกว่าผจงจิต ได้มีโอกาสแย่งความเอาใจใส่ของประพนธ์ไป
ในระยะเริ่มโครงการผจงจิต-ประพนธ์ ผจงจิตจำได้ว่าคุณลุงพี่ชายใหญ่ของคุณพ่อ ซึ่งรักหล่อนมาก เป็นประธานกรรมการดำเนินงาน ขั้นวางนโยบายคงจะมีคุณป้าเป็นประธานกรรมการ มีคุณลุงเป็นรองประธาน และกรรมการร่วมคิดคงจะมีกันหลายท่าน คุณลุงได้เริ่มดำเนินงานโดยมาหาคุณพ่อ แล้วกระซิบว่า
“หลานท่านผู้หญิงกลับมาแล้ว ไม่มีเมียแหม่ม ท่านอยากจะให้ใครช่วยท่าน ขอให้หาเมียดี ๆ ให้ทีเถอะ แม่พวกสมัยใหม่ท่านไม่อยากได้”
“พวกนี้เราไม่เคยรู้จักมาเลย” คุณพ่อว่า
“เขาว่าเจ้ายศที่สุด” คุณลุงบอก “และไม่ค่อยร่ำรวยเท่าไหร่ แต่ว่าก็ไม่ถึงกับจน แต่แม่หนูก็อายุมากแล้ว และนี่เป็นโสด หายาก หายากอย่างนี้”
ผจงจิตทราบว่า ความมีอายุ ๓๕ ของนายประพนธ์ มิได้ทำให้เขาเสียราคาไปเลยในตลาดสมรสของราชธานีไทย เพราะความมีอายุ ทำให้ตำแหน่งราชการสูงขึ้นได้สัดส่วนกัน แต่ความพยายามของญาติมิตรของผจงจิตกฌประสบความสำเร็จ ญาติผู้ใหญ่ของประพนธ์ ก็ได้มาทำการสู่ขอผจงจิตจากคุณพ่อคุณแม่
ตลอดเวลาที่ทำความรู้จักกันก่อนหมั้นก็ดี หลังจากการสู่ขอจนกระทั่งหมั้นกัน ประพนธ์ไม่ได้ทำให้ผจงจิตหวั่นไหวในทางหนึ่งทางใด หล่อนแน่ใจว่าหล่อนต้องได้รับความสำเร็จในชีวิตสมรส เพราะญาติผู้ใหญ่เกือบทุกคนได้บอกให้หล่อนได้ยิน คุณลุงมักพูดว่า “ใครได้แม่หนูไป มันต้องหลงแน่ ๆ ฝีมือผัดหมี่อย่างนี้” ญาติที่เป็นผู้ใหญ่รอง ๆ ก็เคยพูดว่า “ผจงจิตแกคงเลี้ยงลูกไม่ให้ใครว่าได้เลย” และญาติที่เป็นเขยก็มักชมผจงจิต ในสิ่งที่ภรรยาของเขาบกพร่องไป ประพนธ์เอง พอได้โอกาสได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ก่อนที่จะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอประมาณสองสัปดาห์ ได้บอกกับหล่อนว่า
“คุณสวยจริง คุณผจงจิต ไม่ว่าจะดูด้านไหนสวยหมด”
แต่พอตกลงกันว่าผจงจิตกับประพนธ์จะแต่งงานกันแน่ ผจงจิตก็เริ่มสั่นคลอน เริ่มเสียความมั่นใจในตนเอง
ก่อนที่จะทำพิธีหมั้น คุณพ่อคุณแม่ได้เชิญให้ประพนธ์มารับประทานอาหารเย็นที่บ้านเฉพาะตัวเขาคนเดียว รับประทานด้วยกัน ๔ คน คุณพ่อ คุณแม่ ประพนธ์ และผจงจิต ผจงจิตได้บรรจงทำกับข้าว ทำของหวาน จัดโต๊ะอาหาร จัดห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ระเบียง ขลิบต้นไม้ในสวน ทำทุกอย่างเพื่อให้บ้านเป็นสถานที่เจริญตาเจริญใจ แล้วก็บรรจงแต่งตัวโดยไม่ให้สวยเกินโอกาส แต่ก็สวยไม่มีที่ติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผจงจิตทำมักงามแนบเนียน มองดูผาด ๆ ก็งาม ยิ่งพิศก็ยิ่งเห็นความเหมาะสม ในคืนวันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมาะสมตามควรแก่โอกาส
ระหว่างรับประทานอาหาร ประพนธ์ก็ชมกับข้าวและขนมว่าอร่อยทุกอย่าง ชมดอกไม้ว่าจัดสวย และเมื่อมีโอกาสก็กระซิบให้หล่อนทราบว่าหล่อนแต่งตัวสวย แต่เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้ว ทั้งสี่คนได้ออกมานั่งเล่นที่ระเบียงเรือน คุณแม่ได้เข้าไปในห้องก่อน แล้วก็มาเรียกให้หล่อนตามเข้าไป และบอกว่าให้ปล่อยคุณพ่อได้อยู่กับประพนธ์ตามลำพังให้ได้เวลาอันสมควร พอได้เวลาแล้วคุณแม่ก็ออกไปที่ระเบียง แล้วก็เรียกเตือนหล่อนว่าทำไมหายไปนานนัก พอหล่อนออกมาได้ประเดี๋ยวหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่ก็เลี่ยงไป ปล่อยให้หล่อนอยู่กับประพนธ์สองคน ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านไม่เคยทำให้เห็นชัด ๆ ประพนธ์ต้องคอยหาโอกาสให้ดี ถึงจะได้อยู่กับหล่อนตามลำพัง
ระหว่างที่หล่อนได้อยู่กับเขาสองต่อสองเป็นเวลานานเป็นครั้งแรกนั่นเอง ผจงจิตเริ่มมีความประหลาดใจในตัวประพนธ์
เขาสนทนากับหล่อนด้วยเรื่องธรรมดาก่อน เรื่องภาพยนตร์ เรื่องหนังสืออ่านเล่น เรื่องงานสโมสรสันนิบาตที่หล่อนกับเขาเคยไปร่วมด้วยกัน แล้วตอนหนึ่งเขาก็พูดเรื่องชีวิตแต่งงาน
“คุณกับผมก็เห็นจะไม่ต้องสุภาพกันไป สุภาพกันมากอีกแล้ว เป็นที่รู้กันแล้วว่าเราจะแต่งงานกัน แต่เรายังไม่ได้ทำอะไรผูกมัดกันจริง ๆ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะผูกมัดกัน ผมก็อยากทราบว่า คุณมีความนึกคิดอย่างไรในเรื่องนี้ จะมีอะไรขัดแย้งกันบ้างไหม”
“จะมีอะไรคะ ที่จะขัดแย้งกัน” ผจงจิตถามด้วยความประหลาดใจที่สุด
“อ้าว ก็อาจมีได้ เช่น...เช่น คุณมีคติอย่างไรเกี่ยวกับการสมรส คุณเห็นว่าการหย่าร้างควรมีไหม”
“อี๋” ผจงจิตอุทานโดยไม่รู้ตัว “คุณหมายความว่า ผู้หญิงผู้ชายแต่งงานกันแล้วควรหย่ากันไหม งั้นหรือคะ”
เอาละ ตั้งต้นด้วยเรื่องนั้นก็ได้” เขาว่า
“ก็ไม่ควรหย่ากันซิคะ” หล่อนตอบ
“ไม่ควรหย่ากันเลยงั้นหรือ การหย่าร้างเป็นการไม่ควรทำเลยงั้นหรือ”
“เอ สำหรับบางคู่มันก็จำเป็นค่ะ” ผจงจิตตอบ
เขายิ้มอย่างพอใจทันที “แปลว่าบางคู่หย่าได้บางคู่ไม่ควรหย่าใช่ไหม”
ผจงจิตไม่เห็นว่าเป็นปัญหาควรถามอย่างไร แต่เมื่อเขายิ้มย่องผ่องใส หล่อนก็ยิ้มด้วย
“เอาละ” เขาว่า “ความเห็นอันนี้ตรงกัน ทีนี้สำหรับตัวคุณ ถ้าคุณแต่งงาน คุณตั้งใจจะหย่ากับสามีไหม”
“เอ๊ะ ทำไมจะไปตั้งใจอย่างนั้นล่ะคะ”
“ไม่ใช่ ผมพูดไม่ชัดเจน ผมหมายความว่า คุณถือว่าสำหรับตัวคุณ ถ้าสามีของคุณเป็นคนเสียหาย เป็นคนไม่ดี คือถ้าคุณไปรู้ทีหลังนะ คุณจะหย่าไหม”
ผจงจิตจ้องดูเขาอย่างงุนงง หล่อนมองดูหน้าประพนธ์แล้วหลบสายตา เขากำลังจะสารภาพอะไร หัวใจหล่อนเริ่มเต้นแรง เขาจะสารภาพว่าเขามีเมียแหม่มใช่ไหม มีลูกซ่อนอยู่เมืองฝรั่ง?
เขามองหน้าหล่อนเฉยเหมือนไม่มีอะไรสำคัญเกิดขึ้น หล่อนแข็งใจจ้องตาเขา “คุณจะไปทำอะไรล่ะคะ หรือเคยไปทำอะไรไว้”
“เอาละ” เขากล่าวอย่างพอใจ “ตอบอย่างนี้เป็นอันเข้าใจแล้ว” แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่องสนทนาไปเล่าเรื่องการเดินทาง เรื่องบ้านที่คิดว่าจะปลูกขึ้น และเรื่องที่ไม่สลักสำคัญสำหรับผจงจิต ทิ้งให้หล่อนพะวงพะวังอยู่กับคำพูดของเขาตลอดเวลา จนเขาลาไป
พอคิดมาถึงตรงนี้ ผจงจิตก็เริ่มร้องไห้อีก จึงย้ายจากโต๊ะเครื่องแป้งไปนอนบนเตียง แต่ก็หยุดคิดต่อไม่ได้
หลังจากที่ได้พูดกันเรื่องหย่าร้างแล้ว ไม่ถึงสัปดาห์โครงการผจงจิต-ประพนธ์ ก็เป็นรูปร่างที่เห็นแจ่มชัด คือ ได้มีการประกอบพิธีหมั้น และในคืนที่ทำพิธีหมั้น ผจงจิตก็เผชิญกับความงุนงงในตัวประพนธ์อีกตามเคย ใครได้มารับประทานอาหารที่บ้านผจงจิต ก็ต้องติดใจชมเชยกันไปต่าง ๆ นานา แต่พอมีคนแสดงความยินดีกับประพนธ์ในเรื่องที่เขากำลังจะแต่งงานกับแม่บ้านแม่เรือนชั้นเอก ประพนธ์ก็พูดอย่างจริงจังว่า “ขอให้เป็นที่เข้าใจว่า ผมมิได้แต่งงานกับคุณผจงจิตเพราะเธอเป็นแม่ครัวฝีมือเอก ถ้าผมอยากกินกับข้าวอร่อย ๆ ผมก็ไปจ้างแม่ครัวเก่ง ๆ มาได้ ไม่จำเป็นต้องลงทุนถึงเท่านี้”
เมื่อหาโอกาสได้อยู่กันตามลำพัง ผจงจิตก็ฉวยโอกาสถาม
“ขอประทานโทษนะคะ อยากเข้าใจคำว่าลงทุนนั่นจริง ๆ”
“พุโธ่พุถัง” เขาว่าหัวเราะ ๆ “ไม่เห็นหรือ เรือนหอเอย แหวนหมั้นเอย แต่งงานก็ต้องเลี้ยงโต๊ะเจ๊ก เพราะไม่อย่างนั้นเจ้าสาวก็จะไปสาละวนกับกับข้าวเสีย จะลืมเจ้าบ่าวไป”
“แล้วที่ว่าไปจ้างแม่ครัวมาได้ล่ะคะ”
“แต่จ้างคนมาเป็นศรีภรรยาไม่ได้หรอกคุณ” เขาแย้งหัวเราะ ๆ อีก ประพนธ์ได้ทำความหวั่นไหวไปในทางดีให้แก่คู่หมั้นเมื่อประมาณ ๒ สัปดาห์ หลังจากทำพิธีหมั้น คืนนั้นเดือนหงาย แสงจันทร์สาดแลดูขาวไปทั่วสวน แต่ใต้ร่มลำดวนใหญ่ ต้นเก่าแก่ ปลูกไว้ตั้งแต่ครั้งคุณทวด ภายใต้เงานั้นดำมะเมื่อมเพราะความสว่างในที่อื่นโดยรอบ ประพนธ์ได้รวบตัวผจงจิตเข้ามาไว้ในวงแขน และถามโดยเร็วไม่ให้หล่อนตอบว่า “ผมขอจูบคุณ จะเป็นการผิดประเพณีมากไหม”
แล้วเขาก็ทำอย่างที่พูดโดยไม่รั้งรอ
ผจงจิตสั่นไปทั้งตัวเหมือนลูกสัตว์น้อย ๆ ได้พบสัตว์แปลกไปจากแม่ของตนเป็นครั้งแรก หล่อนแปลกใจตัวเองว่าหล่อนมีความรู้สึกชื่นชมอย่างบอกไม่ถูก แต่การอบรมทำให้หล่อนแข็งใจตอบว่า
“อย่าให้ผิดบ่อย ๆ จะดีกระมังคะ”
ประพนธ์รู้ว่าการกระทำของเขาทำให้หล่อนพะว้าพะวังมาก และเขาก็ไม่ค่อยทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกนั้นบ่อยเกินไป แต่ยิ่งวันสมรสใกล้เข้ามา ผจงจิตค่อย ๆ เปลี่ยนความรู้สึกกลัว ปล่อยให้ความรู้สึกชื่นใจเข้ามาแทนที่ทีละน้อยๆ
จนวันหนึ่งก่อนวันสมรสประมาณ ๑ เดือน ประพนธ์เอ่ยขึ้นว่า
“ใคร ๆ บอกผมว่า ผมจะแต่งงานกับนางฟ้า แต่แท้ที่จริงคุณเป็นผู้หญิงธรรมดานี่เองใช่ไหม”
ผจงจิตใจหายวาบ เอาอีกแล้ว เขาพูดอะไรที่หล่อนไม่เข้าใจอีกแล้ว
“หมายความว่าอะไรคะ”
“เออ เอาความหมายอีกแล้ว คุณช่างซักเสียจริง ๆ จะให้เฟ้นถ้อยคำพูดให้เหมาะเผงไปเสียทุกอย่าง ก็หมายความว่าคุณเป็นที่ชื่นใจของประพนธ์ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตของประพนธ์น่ะซี”
เอ้อ ไม่ทำให้หล่อนสว่างขึ้นกี่มากน้อยเลย แต่พอเดาเอาได้ว่า ถ้าเป็นนางฟ้าคงอยู่เกินเอื้อมของเขา และนี่ไม่เกินเอื้อม กำลังชื่นใจพอดี ๆ เมื่อความหมายเป็นไปในทางพึงพอใจ ผจงจิตก็ไม่เซ้าซี้ เพราะหล่อนจำคำสั่งสอนได้ว่า อย่าทำให้ผู้ชายเบื่อเพราะการโต้เถียง ผู้ชายไม่ต้องการโต้เถียงกับผู้หญิงที่เขารัก ถ้าเขาอยากโต้เถียงเพื่อเจริญสติปัญญาหรืออะไรก็ตาม เขาจะไปหาเพื่อนชายของเขา ผู้หญิงเป็นผู้ให้ความสุข เวลาเขามาหาผู้หญิง เขามาเพื่อให้ได้รับความสุข
แต่วันหนึ่งประมาณสองเดือนหลังจากวันหมั้น ผจงจิตคิดย้อนกลับไป เขาได้ทำให้หล่อนหวาดหวั่นในใจ ทำให้หล่อนเสียความมั่นใจในการที่จะยึดความรักของเขาไม่น้อย เขากับหล่อนไปในงานเลี้ยงอาหารกลางวันที่บ้านญาติผู้หนึ่งของเขา เธอผู้นั้นเป็นผู้มีอัธยาศัยดี ต้อนรับผจงจิตอย่างจริงใจ พูดจาน่าเอ็นดู แต่กับข้าวข้าวแช่ของเธอไม่อร่อยเลย ผจงจิตพยายามกลืนลงไปด้วยความยากลำบาก ถ้าผจงจิตเลี้ยงข้าวแช่ ข้าวของหล่อนจะต้องแช่น้ำแข็งเย็นเจี๊ยบ กับข้าวจะต้องร้อนมาจากเตาใหม่ ๆ ฝอยที่โรยกับข้าวจะต้องกรอบ รสของกับข้าว เช่นกะปิหรือไส้พริก ไส้หัวหอม จะต้องกลมกล่อม ผักจะต้องสลักและจัดอย่างสวย และยังจะต้องแปลกตาจากที่โดยมากจัดกัน แต่นี่กับข้าวอุ่น ๆ ไม่ถึงกับเย็น ฝอยไม่กรอบ รสไม่ดี แต่หล่อนก็เห็นประพนธ์รับประทานได้อย่างสบาย ได้ปริมาณพอสมควรแล้ว ก็ชมกับเจ้าของบ้านว่ากับข้าวอร่อยทุกอย่าง ด้วยหน้าตาท่าทีเหมือนกับเวลาที่เขาชมกับข้าวของหล่อน
ในคืนวันนั้น ระหว่างที่คุยกันหลังรับประทานอาหารเย็น ซึ่งกลายเป็นกิจประจำวันของผจงจิตและประพนธ์หลังจากที่ได้หมั้นกันมา พอได้โอกาสเหมาะหล่อนก็ถามเขา
“คุณประพันธ์คะ กับข้าววันนี้คุณรับประทานได้จริง ๆ หรือคะ เห็นชมว่าอร่อย หรือแกล้งชม”
“จะว่าแกล้งชมเห็นจะไม่ได้” เขาตอบ “เพราะชมด้วยความตั้งใจจะให้เจ้าของบ้านสบายใจ”
“แปลว่า คุณรับประทานอะไร ถึงไม่อร่อยก็ชม อย่างนั้นหรือคะ”
“ถ้าใครเขาเชิญเราไปกินข้าวบ้านเขา เราก็ชมเพราะว่าเรารู้สึกบุญคุณของเขาที่เขาเชิญเรา เขามีใจดีต่อเรา ไม่ได้ชมฝีมือทำกับข้าว ฝีมือน่ะมันแล้วแต่ใจของใคร ๆ แล้วแต่ปากแล้วแต่ลิ้น ถ้าถูกปากถูกลิ้นก็เรียกว่าฝีมือดี”
“แล้วเวลาคุณรับประทานกับข้าวที่นี่ ถึงไม่อร่อยคุณก็ชมหรือคะ”
“ที่บ้านนี่ไม่มีอะไรไม่อร่อย เวลาอยู่กับผจงจิตอะไร ๆ ก็อร่อย”
ผจงจิตไม่กล้าเซ้าซี้ให้เกินกว่านั้น หล่อนพูดเรื่องอื่น ๆ ต่อไป แต่ระหว่างการลาก่อนเขาจะจากไปในคืนนั้น หล่อนมายืนเกาะรถของเขา เขาเปิดไฟและติดเครื่องแล้วก็ดึงมือหล่อนไปจุมพิต และลูบไล้แขนอันเรียวกลมของหล่อน มองดูตาหล่อนพลางกล่าวว่า “ผจงจิต อย่าไปเอาใจใส่เรื่องอาหารการกินให้มากนัก มันไม่ใช่ของสำคัญที่สุดในชีวิต” แล้วเขาก็ปล่อยมือหล่อน แล้วเคลื่อนรถออกไป
ผจงจิตครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนที่หล่อนจะหลับไปในคืนนั้น เขาหมายความว่าอะไร คำสั่งสอนและคำกล่าวของผู้ใหญ่ของญาติของมิตรทุก ๆ คนที่หล่อนเคยรู้จัก ผิดไปหมดเช่นนั้นหรือ หรือว่าหล่อนไม่มีฝีมืออะไรเลย คำชมทั้งหลายเป็นคำแสดงความรู้สึกถึงความอารีเท่านั้น
หล่อนมีความรู้สึกว่า สำหรับประพนธ์ หล่อนมีอะไรขาดไป ซึ่งเขาพยายามจะต่อให้เต็มขึ้นมา แต่หล่อนจับไม่ได้แน่ชัด เพราะทุกครั้งที่หล่อนถามจะเอาความจริง คำตอบของเขาเป็นคำตอบแสดงความรักในตัวหล่อน ไม่ตรงกับข้อที่หล่อนอยากรู้
ระหว่างที่ทำความรู้จักกันก่อนหมั้น หล่อนสังเกตว่า เขามีความผิดหวังว่าหล่อนไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสซึ่งเขาชำนาญ แต่แล้วเขาก็แสดงความพอใจว่าหล่อนรู้ภาษาอังกฤษดีพอที่จะต้อนรับแขกชาวต่างประเทศได้ และอ่านหนังสืออ่านเล่นภาษาอังกฤษได้ เขาถามหล่อนว่า หล่อนอ่านหนังสืออะไรบ้าง เมื่อทราบว่าหล่อนอ่านหนังสืออะไร เขาก็หาไปอ่านบ้าง แล้วเขาก็หาหนังสือมาให้หล่อนอ่าน แต่หนังสือที่เขาหามาหล่อนมักไม่ชอบใจ เช่นเรื่องของซอเมอร์เซต มอห์ม หล่อนบอกเขาว่าไม่มีศีลธรรม เป็นเรื่องสนับสนุนกามารมณ์
“อี้ เราโตแล้ว ต้องรู้ความจริงของชีวิตซิ”
“ความจริงที่ทำให้คนดีมีถมไป” หล่อนตอบ
เขาหาหนังสืออื่นมาให้หล่อนอ่าน แสดงความเลวร้ายของชีวิตยิ่งไปกว่าหนังสือของ ซอเมอร์เซต มอห์ม หล่อนอ่านไม่จบ และบอกเขาว่า หล่อนไม่ต้องการทราบถึงความเลวร้ายของชีวิตถึงปานนั้น เขาถามหล่อนว่าชอบหนังสือของ ชาร์ลส์ ดิกเคินส์ไหม หล่อนบอกว่าชอบ เขาบอกว่าจะพยายามไปอ่านใหม่ แล้วจะได้มาคุยกัน แล้วเขาก็ถามหล่อนว่า หล่อนเข้าใจปัญหาสังคมจากหนังสือของชาร์ลส์ ดิกเคินส์ ว่าอย่างไร ผจงจิตบอกให้เขาอธิบายให้หล่อนฟังดีกว่า เพราะหล่อนจำคำสั่งสอนที่เคยได้รับว่า ให้ผู้ชายเป็นฝ่ายสอน เขาจะพอใจในฐานะนั้นของเขานัก ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะประพนธ์ได้อธิบายปัญหาสังคมในยุโรปให้หล่อนฟังอย่างยืดยาว และดูเหมือนจะพอใจในบทบาทเป็นผู้บรรยายมาก
แล้วเขาก็หาหนังสือของ เพิร์ล บัค มาให้หล่อนอ่าน แล้วก็ฟังคำวิจารณ์จากหล่อน เมื่อหล่อนบอกให้เขาเป็นฝ่ายวิจารณ์ เขาไม่ยอม เขาบอกว่าปัญหาของ เพิร์ล บัค เป็นปัญหาของผู้หญิง หล่อนจะต้องวิจารณ์ให้เขาฟัง แต่เมื่อหล่อนแสดงทรรศนะของหล่อนออกไป หล่อนจับได้ว่าเขาผิดหวัง
ผจงจิตมีความสะทกสะท้านในใจของหล่อนอย่างอธิบายไม่ถูก มีอะไรในตัวหล่อนที่ไม่จุใจประพนธ์ หล่อนคิดค้นอยู่คนเดียว ไม่กล้าจะพูดกับใคร ถ้าพูดกับคุณพ่อคุณแม่ และถูกถามว่าเขาแสดงอาการอย่างไร หล่อนจะบอกว่า เขาไม่ชอบคำวิจารณ์หนังสือของ เพิร์ล บัค ของหล่อนอย่างไรได้ ใคร ๆ คงว่าเหลวไหลเต็มที่ หล่อนลองติดต่อกับเพื่อน ๆ ที่ได้เรียนอักษรศาสตร์ ขอทราบทรรศนะของเขาเกี่ยวกับหนังสือของซอเมอร์เซต มอห์ม และ เพิร์ล บัค คำตอบที่ได้รับก็เป็นทำนองนี้
“มอห์มเหรอ อึ เมื่ออยู่จุฬาฯ ต้องเรียน ก็ไม่เห็นมีอะไร อาจารย์ว่าเรื่องสั้นละก็ดี นอเวิลละก็ไม่สู้ดี เพิร์ล บัคเรอะ เขาว่าไม่รู้จะให้เป็นวรรณคดีอเมริกันหรือวรรณคดีจีนกันแน่ มันเรื่องจีนเขียนเป็นภาษาอังกฤษพิลึก ๆ ละ”
แล้วการสนทนาก็ดำเนินต่อไปในทำนองนี้
“แหม่ ฉันกำลังแย่เธอ จะได้ชั้นโทไหมก็ไม่รู้เลย...”
“แหม เบื่อจัง นายห้างแกกำลังยุ่งเรื่องการประมูล แกเอารายงานของฉันไปเก็บเสียตั้งนาน...”
“เออ อยากเป็นเหมือนเธอจัง มีรถยนต์ขี่ มีคุณพ่อ คุณแม่ มีคุณประพนธ์ ดูฉันซิ นี่พี่ชายเขาขอให้เอาลูกของเขามาเรียนกรุงเทพฯด้วย แล้วในที่สุดเราก็ต้องออกสตางค์ละ เรารู้อยู่แก่ใจ..”
และอะไรต่ออะไร ล้วนแล้วแต่แสดงความเดือดร้อนของคนแต่ละคน ๆ ส่วนเพื่อน ๆ ที่ได้แต่งงานกับคนมีฐานะการเงินดี ๆ ไม่ค่อยมีเรื่องร้อนใจในเรื่องนี้ ก็มักเป็นผู้ที่แต่งงานอายุน้อย ๆ ความสนใจอยู่กับลูกที่กำลังรีบฉวยโอกาสกำเนิดตาม ๆ กันมา แล้วก็รีบเติบโต รีบสร้างปัญหาของวัยเด็กให้แก่พ่อหนุ่มแม่สาว
เมื่อใกล้วันวิวาห์เข้ามา ผจงจิตก็ยิ่งรู้สึกเคว้งคว้าง แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะปรึกษาใคร เพราะหล่อนรู้ดีว่าหล่อนจะกล่าวถ้อยคำที่แจ่มแจ้งมิได้ เพราะเหตุการณ์ไม่ใช่เหตุการณ์ที่แจ่มแจ้ง แต่วันหนึ่งหล่อนได้โอกาสที่จะถามประพนธ์ตรง ๆ “ประพนธ์คะ ผจงจิตนี่ขาดอะไรสำหรับคุณบ้างคะ”
เขาแสดงความรักใคร่ในตัวหล่อนอย่างรุนแรง และตอบว่า “ใครๆ ก็ต้องขาดอะไรกันบ้างทั้งนั้น ขออย่าให้ขาดของสำคัญก็แล้วกัน”
“? ? ?”
เมื่อแต่งงานกันใหม่ ๆ ความคิดงุนงงสงสัยก็หมดไปชั่วคราว เพราะมัวแต่แสดงความรักใคร่ดูดดื่มต่อกัน แต่เรื่องอาหารการกินคงเป็นเรื่องไม่ค่อยสำคัญสำหรับประพนธ์ตามเดิม ประพนธ์มักแสดงความคิดตื่นเต้นในเรื่องที่ผจงจิตไม่เห็นสำคัญ เช่นวันหนึ่ง ทั้งสองได้ไปเที่ยวตากอากาศที่สมุทรปราการ ได้พบเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ได้ฟังเขาเล่าเรื่องการเกณฑ์เด็กนักเรียนให้มาเรียนหนังสือในจังหวัดนั้น ประพนธ์ก็คุยเรื่องนั้นมาตลอดทางที่กลับบ้าน ซึ่งผจงจิตยอมปล่อยให้คุยและเออ ๆ คะ ๆ ซักถามบ้างพอสมควรตามกฎของภรรยาดี
แต่ยิ่งวันคืนผ่านไป ผจงจิตจับได้ว่าประพนธ์ไม่มีความรู้สึกนิยมชมชื่นเต็มที่ในตัวหล่อน เขามีอาการว่าเขาพอใจในสิ่งที่เขามี เขามีโชคดีอย่างคนธรรมดาคนหนึ่ง เขาเป็นสามีที่ละมุนละม่อมพยายามเอาใจภรรยาของเขาเป็นครั้งคราว
เขาเบื่อตั้งแต่แต่งงานกันไม่ถึงหนึ่งปี ผจงจิตร้องบอกตัวเองในใจ หล่อนขาดอะไร ไม่ขาดของสำคัญที่จะทำให้เขาไม่ขอหล่อนมาเป็นภรรยา แต่ขาดของสำคัญที่ทำให้เขาต้องทนอยู่กับหล่อนอย่างน่าเบื่อ มีบางครั้งที่เขาทำตามใจหล่อนโดยทำให้หล่อนกระทบกระเทือนใจเสียยิ่งกว่าที่เขาจะขัดใจ เช่นเรื่องการเชิญหลวงพิทักษ์ฯ และภรรยามาบ้าน เขาได้ไปจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดทำให้หลวงพิทักษ์ฯ ไม่มาในคืนนั้น เมื่อหล่อนถามถึงแขกคู่นี้เขาตอบเนือย ๆ ว่า “ฉันไปจัดการไม่ให้เขามาแล้วละ พูดอะไรโยๆ เยๆ สามสี่คำ เขาก็บอกว่า เขานึกขึ้นมาได้ว่าไม่ว่างคืนนั้นเหมือนกัน”
“ทำไมถึงไปพูดอะไรโย ๆ เย ๆ ล่ะคะ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจจะขัดขวาง ถ้าประพนธ์จะเชิญใครมาบ้านดิฉันก็ต้องรับรองเต็มที่”
“อย่าทำให้เพื่อน ๆ ของเธอเขาลำบากใจดีกว่า ฉันลืมคิดเรื่องนั้นไป ฉันลืมสนิทเรื่องเบื้องหลังของหลวงพิทักษ์ฯกับคุณประพิณ” ในขณะที่เขากล่าวคำนี้ สีหน้าของเขาหม่นหมอง พอพูดแล้วก็เบือนหน้าไปเสียจากหล่อน
เวลาที่อยู่ในงานสโมสรกับเพื่อน ๆ ของผจงจิต ประพนธ์มีอาการเบื่อจนผจงจิตเห็นได้ชัดเสมอ จนหล่อนต้องบอกแก่เขาว่า “สังเกตดูประพนธ์ไม่ค่อยสนุกงานพวกนี้นัก ถ้าไม่อยากไปก็อย่าไปเลยค่ะ ดิฉันไม่ว่าอะไรหรอก”
“งานเหล่านี้มันงานต้องไป เพราะเราอยู่ในโลกกับคนอื่น จะไม่คบค้าสมาคมกับใครเลยนั้นไม่ได้” เขาว่า “เขาสนุกเราก็ต้องร่วมสนุก เขาเศร้าโศกเราก็ต้องร่วมเศร้าโศก”
“แต่ว่าประพนธ์เบื่อนี่คะ”
“ขอบใจที่เตือน จะต้องประพฤติตัวให้ดีกว่านี้ขึ้นอีกสักหน่อย เพราะนี่มันก็ปัญหาสังคมเหมือนกัน”
ตั้งแต่นั้นมา ประพนธ์ก็แสดงความสนุกสนานในงานสังคมทั้งหลาย คือกลายเป็นผู้แสดง แทนที่จะเป็นผู้ดู เช่น ถ้ามีงานสโมสรสันนิบาตเนื่องในวันเกิด เขาก็รับหน้าที่จัดงาน พิมพ์บัตร ทำบัญชีแขก วิ่งส่งบัตร ฯลฯ และถ้าเป็นงานศพ เขาก็ยิ่งทำตนเป็นประโยชน์แก่เจ้าภาพเต็มที่ จนเป็นที่กล่าวกันทั่วไปว่า ผจงจิตมีสามีน่ารักเหลือเกิน แต่วันหนึ่งหล่อนกลั้นความอยากรู้ไว้ไม่ไหวจึงถามขึ้นว่า “ที่ประพนธ์เที่ยววิ่งเต้นช่วยเหลือใคร ๆ นี่ เพราะอะไรคะ”
“แก้เบื่อ ดีกว่าต้องไปนั่งทนเบื่อ แล้วยังได้บุญคุณอีก ยังขอบใจเธอเสมอที่เดือนสติวันนั้น”
ผจงจิตรู้สึกปลาบปลื้ม ความรู้สึกของหล่อนเหมือนได้กลิ่นดอกไม้หอมโชยมาตามลมในเวลากลางคืนเงียบสงัด แต่แล้วหล่อนถามต่อไปว่า “ที่บ้านนี้มีอะไรที่ประพนธ์เบื่อบ้าง”
“ก็เบื่อชีวิตของพวกเรา ๆ” เขาตอบ ความรู้สึกของผจงจิตเปลี่ยนไป เหมือนนอนอยู่คนเดียวในยามดึก และได้ยินเหมือนคนย่องขึ้นบันได
“คือใคร และยังไงคะ” หล่อนถามโดยเร็วเกือบไม่ได้คิดเลย
“พวกเราผู้ดีไทย ที่เราเรียกตัวของเราว่าพวกผู้ดี” ประพนธ์ตอบ “ฉันไม่ขอให้ใครเป็นยังไง แต่ขอให้เป็นอะไรสักอย่าง”
“แหม อยากฟังคำอธิบายค่ะ” ผจงจิตเสียงแหลมขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว ทั้งที่หล่อนพยายามระงับอารมณ์ไม่ให้เกิดมากเกินไป
“พวกเราน่ะ...” เขาเปลี่ยนไปเหมือนจะเกิดความสนใจพิเศษขึ้นมาทันที “พวกเราน่ะ จะเป็นคนรวยถึงขนาดทำอะไรใหญ่โตได้ก็ไม่ถึง จะทำอะไรอย่างเศรษฐีเจ๊กหรือฝรั่งก็ไม่ได้ แต่ไม่เคยจน จนถึงได้รู้ว่าชีวิตในโลกเป็นอย่างไร แต่ว่าเป็นชีวิตที่อยู่ดีกินดี...”
ผจงจิตลืมคำสั่งสอนที่ว่าภรรยาดี ย่อมไม่ขัดคอสามีให้เขารู้สึตัวเสียสนิท “ประเดี๋ยวค่ะ คุณเห็นว่าในโลกนี้ไม่ควรมีคนอยู่ดีกินดี ควรจะมีแต่คนรวยมาก ๆ และจนมาก ๆ หรือคะ”
น่าประหลาดใจนัก สีหน้าของสามีหล่อนเหมือนคนเล่นกีฬากำลังสนุกขณะที่เขาตอบหล่อน “อ้า ได้การ ได้การ ฉันไม่ได้ว่าอย่างนั้น” เขามีอาการยิ้มน้อย ๆ “ฉันว่าพวกผู้ดีไทยน่ะ เหมือนคนชั้นกลางในประเทศอื่น รักษาสตาตุสโคว๑ แต่ไม่ได้ว่ามีความหมายไม่ดีอย่างไรหรอก คนชั้นกลางจะว่าเป็นกระดูกสันหลังของสังคมก็ได้ ถ้าไม่มีคนชั้นกลาง การงานทุกอย่างก็ไม่มีขึ้นได้ แต่เป็นคนชั้นกลางมันก็ต้องเบื่อน่ะแหละ”
หล่อนเสียใจในการตอบของเขาจนไม่สามารถซักถามอะไรต่ออะไร อย่างที่หนึ่งก็คือ เขาใช้คำที่หล่อนไม่เข้าใจ และอย่างที่สองพูดอะไรที่หล่อนไม่เข้าใจ
“เอ้า ว่าไปอีกซิ” เขาว่า
แต่หล่อนฝืนยิ้มและเอาหน้าซบกับแขนของเขาแทนที่จะตอบ เขาก็กอดตระกองหล่อนอย่างทะนุถนอม แล้วพูดว่า “เวลานี้ฉันยังทำอะไรที่อยากทำไม่ได้ เพราะคุณย่าแก่เต็มทีแล้ว ขืนทำอะไรแปลก ๆ ท่านจะตายเร็วขึ้น จะบาปมากไป แต่เมื่อวันนั้นมาถึง ผจงจิตอย่าให้ประพนธ์ผิดหวังในเธอนะจ๊ะ”
ผจงจิตหวาดหวั่นอย่างยิ่งตั้งแต่ได้ยินเขาพูดดังนั้น และเมื่อคุณย่าของประพนธ์เจ็บ หล่อนได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ที่จะพยาบาลรักษาให้ท่านมีชีวิตยืนนานต่อไป จนกว่าหล่อนจะเข้าใจประพนธ์ได้ดีกว่านี้ เขาจะทำอะไร ทำไมเขาพูดอะไรน่าสนเท่ห์ดังนั้น เขาพูดถึงคนมีคนจนราวกับคอมมิวนิสต์ แต่คอมมิวนิสต์คงจะไม่มีความกตัญญูต่อคุณย่าอย่างนั้น...
ความพยายามของผจงจิตไม่บรรลุผล คุณย่าของประพนธ์สิ้นชีพไป และยังความประหลาดใจให้ลูกหลานทั้งหมด โดยยกทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของท่านให้ประพนธ์แต่ผู้เดียว
ผจงจิตเฝ้าพินิจพิจารณาเหตุการณ์อย่างใจเต้นใจแขวน ประพนธ์กลายเป็นเศรษฐีน้อย ๆ ขึ้นมาแล้ว เพราะทรัพย์สมบัติของคุณย่าเป็นของเขาคนเดียว ไม่ต้องแยกไม่ต้องแบ่งให้ใคร
แต่ประพนธ์ทำความประหลาดใจให้หล่อนอีก พอทำศพคุณย่าเรียบร้อยแล้ว เขาก็จัดการแบ่งทรัพย์สมบัติให้ญาติพี่น้องทุกคนที่มีส่วนช่วยให้คุณย่าดำรงชีวิตมาด้วยความสุข คุณอาผู้หญิงสองคนที่ไม่ได้แต่งงาน หลานยายของคุณย่าสองคนที่เป็นกำพร้าและอาผู้หญิงได้อุปการะมา คนใช้เก่า ๓ คน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ผจงจิตเฝ้าดูต่อไป เขาจะทำอะไร จะขอให้หล่อนทำอะไรหรือสละอะไร
แต่พอถึงกาละอันสำคัญที่ประพนธ์มาบอกหล่อนถึงความใฝ่ฝันของเขา ผจงจิตก็โล่งอก หล่อนแทบจะหัวเราะก้องออกมา หล่อนรู้แล้วว่าหล่อนเป็นคนโง่เพียงใด สมควรให้ประพนธ์เบื่อหล่อนเป็นบางเวลา
ที่ประพนธ์ขอร้องก็คือ หล่อนจะไปอยู่บ้านนอกได้ไหม เขาจะขอย้ายไปรับราชการต่างจังหวัดเพราะอยากทำไร่ อยากมีที่โล่ง ๆ ทำอะไรที่เกี่ยวกับดินกับทราย จะทิ้งราชการเสียเลยก็ไม่แน่ใจว่าตัวจะได้รับความสำเร็จหรือไม่ในงานกสิกรรม และก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำเป็นอาชีพ อยากค่อยเรียนค่อยทำไปก่อน ถ้ามีความรู้ความสามารถจริง ๆ ก็อาจเปลี่ยนไปเป็นกสิกร
ผจงจิตยินยอมด้วยความยินดี หล่อนจะได้มีโอกาสแสดงความสามารถอันแท้จริง แสดงให้ประพนธ์เห็นว่าหล่อนไม่ใช่เจ้าสาวหยิบโหย่ง เป็นแม่หนูของคุณลุงคุณป้า คุณพ่อคุณแม่ หล่อนเป็นแม่บ้านได้หลายแบบ หล่อนจะเป็นแม่บ้านที่ดีของกสิกร หล่อนไม่อยู่ดีกินดีไปอย่างเบื่อ ๆ เท่านี้เองหรือความใฝ่ฝันของประพนธ์
เพื่อนร่วมงานของประพนธ์ และผู้บังคับบัญชาต่างแสดงความยินดีในการที่ประพนธ์อยากออกต่างจังหวัด เพราะหาคนที่มีความรู้ขนาดเขาออกไปยาก และสัญญาว่า จะทำให้เขาก้าวหน้าในทางราชการได้เร็วยิ่งขึ้นกว่าที่จะอยู่ในกรุงเทพฯ โดยไม่ออกไปนอกพระนครเลย มีแต่ญาติมิตรของผจงจิตที่คัดค้านซึ่งเขามิได้เอาใจใส่
ผจงจิตและประพนธ์และ “ไอ้หนู” จึงได้อพยพครอบครัวมาอยู่ในจังหวัดนี้ ประพนธ์หาที่ดินทำไร่ได้โดยง่าย เพราะเขารู้วิธีที่จะติดต่อกับคนทุกชั้นทุกวัย เขาซื้อรถยนต์ทนถนน แล้วก็มาปลูกบ้านอยู่นอกเมือง ไกลจากที่ตั้งจังหวัดประมาณ ๗ กิโลเมตร แต่ก็ไม่ใช่ที่เปลี่ยวนัก
ปีแรกที่มามีชีวิตที่บ้านนอก ผจงจิตมีความสุขขึ้นมาก ถึงแม้ว่าจะคิดถึงคุณพ่อคุณแม่และเพื่อนฝูงอย่างที่สุด แต่ใจของหล่อนจดจ่ออยู่ที่สามี หล่อนได้รับการศึกษาอบรมมามากมาย เพื่อความมุ่งหมายอันเดียว คือจะต้องเป็นแม่บ้าน และไม่มีใครเคยคิดฝันถึงการเป็นแม่บ้านโดยไม่มีพ่อบ้าน แต่แล้วการเป็นแม่บ้านของหล่อนก็จะต้องล้มเหลว หล่อนจึงนึกสงสารตนเองนัก อนิจจา จะหาใครเป็นที่ปรึกษาก็ไม่มี หล่อนไม่รู้ที่จะเอ่ยปากอย่างไร บอกใครว่า หล่อนไม่ใช่เมียรักของประพนธ์ และถึงหล่อนสามารถพูดได้ก็จะไม่มีใครเชื่อ เพราะหล่อนได้ยินคำชมเชยอยู่ทั่วไป พร้อมกับการแสดงความอิจฉาจากเพื่อนฝูงญาติมิตร ที่หล่อนโชคดีมีสามีเช่นประพนธ์ แต่เมื่อมาอยู่ด้วยกันนอกพระนคร หล่อนได้มีโอกาสแสดงความรักภักดีต่อเขาอย่างเต็มที่ และเขาก็มีกิริยาอาการแสดงถึงความรักซาบซึ้ง ทุกเช้าและทุกค่ำเขากับหล่อนก็จะนั่งปรึกษากันเรื่องบ้านที่ปลูกใหม่ ทำอย่างไรจึงจะเป็นตัวอย่างอันดีแก่คนทั้งปวงที่จะมาเยือนมาเห็น ทำอย่างไรจึงจะสบายอย่างประหยัด อย่างเหมาะกับภูมิประเทศ ถูกสุขลักษณะ โดยไม่หมดเปลืองมากเกินไป เราจะมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเล็ก ๆ เราจะทำประปาเล็ก ๆ ในบ้าน เราไม่ต้องใช้ส้วมชักน้ำ ใช้ส้วมซึมก็ได้ เราจะนั่งกินข้าวที่ระเบียง เราจะเขียนหนังสือที่นั่น อ่านหนังสือหรือฟังวิทยุที่นี่ เราจะเก็บถนอมอาหารอย่างไร ถ้าคนงานเจ็บเราจะรักษาอย่างไร เราจะให้ค่าแรงงานเขาเท่าไหร่ จะเลี้ยงน้ำใจเขาอย่างไร
เขาและหล่อนร่วมมือกันใกล้ชิดทุกอย่าง ผจงจิตเพลินกับชีวิต หล่อนมีงานที่หล่อนถนัดทำ หล่อนทำอะไรประพนธ์ต้องชม และชมด้วยใจจริง มิใช่ชมด้วยความสุภาพเท่านั้น และฝีมือทำกับข้าวของหล่อนก็ได้แสดงอย่างเต็มที่ หล่อนรู้จักใช้ผักและเนื้อสัตว์ในท้องที่ ทำอาหารแปลกรสแปลกตา และประพนธ์ก็รับประทานได้อย่างอร่อย และแขกของประพนธ์ก็มีมาบ่อย ๆ เวลาแขกชาวจังหวัดนั้นชมกับข้าวของผจงจิต ประพนธ์ก็มีความยินดี เห็นได้ชัดว่าเป็นความยินดีจริงไม่ใช่แสร้งทำ เพราะเขาเชื่อว่าชาวจังหวัดนั้นมีความตื่นเต้นกับของแปลกใหม่จริง ๆ มิได้แสร้งทำ
แต่แล้วชีวิตของผจงจิต และประพนธ์ก็ค่อย ๆ เข้าสู่แบบแผน มีระบบและระเบียบเกิดขึ้น ความตื่นเต้นต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ หายไป ผจงจิตก็เริ่มรู้สึกเบื่อเพื่อนฝูงไม่กี่คนที่พบซ้ำ ๆ หน้าในจังหวัด และเหตุการณ์ในราชการของประพนธ์เมื่อเขานำมาเล่าให้ฟัง ก็เป็นเรื่องที่หล่อนไม่แลเห็นว่าน่าตื่นเต้น หล่อนสังเกตุดูประพนธ์ก็ดูเหมือนจะเริ่มเบื่อเหมือนกัน เวลาที่เขาอยู่กับหล่อนสองต่อสองในเวลาค่ำ เขาก็ฟังวิทยุหรืออ่านหนังสือ และเขาก็พูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ข่าวและเรื่องที่ได้ฟังหรือได้อ่าน หล่อนเป็นคนฟัง ซักถามบ้างเล็กน้อยเพื่อแสดงความสนใจและเห็นคล้อยตามกับเขาโดยมาก แต่หล่อนสังเกตว่าเขาวิพากษ์วิจารณ์น้อยลงไปทุกที และบางทีก็บ่นว่า เห็นจะต้องหัดเป็นนักเขียนเสียบ้าง
ครั้นแล้ว จาริณีก็เข้ามาในชีวิตของประพนธ์และผจงจิต พอจาริณีเข้ามามีบทบาทในชีวิต ความคับแค้นในใจก็เริ่มเกิดแก่ผจงจิต อย่างที่หล่อนพรรณนาไม่ได้ เพราะหล่อนเห็นได้ชัดแจ้งแจ่มแก่ใจว่า ประพนธ์เปลี่ยนไปอย่างไร เขายังคงมีความประพฤติเยี่ยงสามีที่ดีทุกประการ แม้ในที่และเวลามิดชิดเร้นลับเฉพาะสามีภรรยา เขาก็มิได้เปลี่ยนไป แต่ผจงจิตก็ต้องเห็นว่าประพนธ์ได้เปลี่ยนไป ตั้งแต่ได้สร้างมิตรภาพขึ้นระหว่างเขาและจาริณี ความเปลี่ยนแปลงนี้ คือความสุขที่เกิดขึ้นเป็นเงาตามมา ประพนธ์เป็นคนมีความสุข สามีของผจงจิตมีความสุข ไม่ใช่เพราะเสน่ห์จวักของผจงจิต แต่เพราะผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่สวยกว่า (นอกจากนัยน์ตาของประพนธ์จะแปลกจากสามัญชนทั้งปวง) ไม่มีคุณสมบัติพิเศษ (นอกจากทรรศนะของประพนธ์จะผิดจากสามัญชนทั้งปวง) และไม่สาวกว่าผจงจิต (คำนวณโดยวัน เดือน ปี จาริณีมีอายุอ่อนกว่าผจงจิตสองปี) โดยความตั่งเต่งเคร่งครัดอย่างใด เพราะจาริณีเป็นคนผิวซีด ๆ และถ้าพูดถึงศิลปะในการแต่งกาย ถ้ามีคะแนนเต็มเป็นร้อย จาริณีก็อยู่ใน ทศวรรค ที่ต่ำมาก
“ทศวรรค เป็นศัพท์ของจาริณีเอง หมายถึงขั้นคะแนนขั้นละสิบ จาริณีชอบคิดศัพท์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ขึ้นใช้ ซึ่งประพนธ์ชอบจำเอามาพูดและหัวเราะขบขันด้วยกันกับจาริณีหรือขบขันคนเดียว เพราะผจงจิตไม่ขันด้วย ผจงจิตมองดูความสัมพันธ์ระหว่างจาริณีและสามีด้วยความฉงนสนเท่ห์ในตอนแรกๆ ด้วยความสะดุ้งหวาดกลัว อันเปลี่ยนไปเป็นความเคียดแค้นเจ็บใจในตอนกลาง ๆ และด้วยความสิ้นหวังในตอนสุดท้าย
ผจงจิตเป็นคนนำจาริณีเข้ามาในชีวิตของประพนธ์เอง จาริณีเป็นลูกเรียงพี่เรียงน้องของอัจฉรา พอจาริณีย้ายมาอยู่เป็นครูที่จังหวัดได้สักสองสามเดือน อัจฉราซึ่งไม่ค่อยเขียนจดหมายถึงเพื่อน ๆ ก็เขียนจดหมายมาถึงผจงจิตจากต่างประเทศซึ่งอัจฉรายังศึกษาอยู่ ขอฝากจาริณี “...แกคงเหงาพิลึก ฉันเป็นคนสนับสนุนให้แกออกหัวเมือง เธอช่วยเป็นเพื่อนกับแกด้วย แกเป็นเด็กเปิดเผยและเป็นคนสนุก เธอก็จะหายเหงาไปด้วย”
จาริณีเป็นคนสนุกจริง จาริณีมองเห็นแง่ที่ขบขันของทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พบ และแง่ขันของจาริณีนั้น ประพนธ์มักเห็นขันด้วย ซึ่งผจงจิตมองไม่เห็นว่าขบขันอย่างไร จาริณีประพฤติทุกอย่างที่ผจงจิตได้รับคำสั่งสอนไม่ให้ประพฤติ เมื่อคุยกับใครในเรื่องอะไร ถ้าจาริณีไม่เห็นด้วย จาริณีแสดงความไม่เห็นด้วยนั้นออกมา ยิ่งถ้าคนที่คุยด้วยเป็นผู้ขาย จาริณียิ่ง “ขัดคอ” อย่างไม่เกรงใจ และจาริณีชอบคุยกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้ชายที่ยังไม่ได้แต่งงาน ซึ่งไม่มีกี่คนในจังหวัดนั้น ที่จะมีการศึกษาหรือฐานะที่คุยกับจาริณีได้ มักไม่ค่อยชอบคุยกับจาริณี แต่ผู้ชายที่แต่งงานแล้วมักชอบคุย โดยเฉพาะประพนธ์ และจาริณีชอบคุยกับประพนธ์โดยเฉพาะมากกว่าผู้ชายอื่น
กับผจงจิต จาริณีแสดงความเคารพฐานพี่ จาริณีไม่เคยขัดคอผจงจิตเลย และประพนธ์เคยกล่าวว่า “ใครไม่ถูกจาริณีขัดคอ แปลว่าไม่ถึงขนาดให้แกขัดคอนั่นเอง”
ผจงจิตเก็บความรู้สึกไว้หลายวัน ในที่สุดอดไว้ไม่ไหวจึงหาโอกาสบอกกับประพนธ์ว่า จาริณีไม่เคยขัดคอหล่อน
“ยังงั้นเรอะ” เขาถาม “เธอเป็นคนที่แกเกรงใจ และดูเหมือนจะเคารพด้วยใจจริง”
“อ้าว คุณเคยว่า ถ้าจาริณีไม่ขัดคอใคร เป็นเพราะแกไม่เห็นว่าถึงขนาด หรือได้มาตรฐานหรืออะไรอย่างนั้น” ความจริงประพนธ์ใช้ภาษาอังกฤษว่า “ไม่ worth๒ การขัดคอของแก”
“จำได้ละ” เขาว่า สีหน้ารื่นเริง “แต่สำหรับเธอคงไม่คุยเรื่องที่แกจะต้องขัดคอ”
“แกจะต้องขัดคอคนในเรื่องอะไร”
“เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องส่วนตัว จาริณีแกเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ เวลาคุยกับจาริณี ฉันรู้สึกเป็นหนุ่มขึ้นเป็นกอง เวลาคุยกับเพื่อน ๆ ของเราที่กรุงเทพฯ ฉันรู้สึกว่าแก๊แก่ จนในที่สุดเลิกคุย”
“ดิฉันเห็นคุณคุยกับใคร ๆ ทุกแห่ง ไม่ว่าจะงานไหน” แล้วรู้สึกตัวว่านี่เป็นการขัดคอสามี ซึ่งผจงจิตจะไม่ทำโดยเฉพาะ เพราะจะกลายเป็นเหมือนจาริณีไป ซึ่งก่อนรู้จักกับจาริณี หล่อนไม่ขัดคอเพราะถือว่าไม่ใช่ลักษณะของภรรยาดี หล่อนจึงเสริมด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า “ใช่ไหมคะ ประพนธ์”
“ที่กรุงเทพฯ นะหรือ ฉันสนทนากับใคร ๆ ทั้งนั้นแต่ไม่ค่อยคุย มีคนที่ฉันคุยด้วยไม่กี่คน คนหนึ่งก็คือหลวงพิทักษ์ฯ แต่ฉันเห็นเธอไม่สบายใจในการที่จะคบกับเขา ฉันก็เลยไม่ชวนมาที่บ้าน ไปพบกันที่ไหนถึงจะคุยกัน”
ผจงจิตรู้สึกว่าหน้าหล่อนร้อนผ่าว “ยังไม่ได้บอกว่าเรื่องที่จาริณีชอบขัดคอน่ะเรื่องอะไร” เสียงหล่อนเริ่มแข็งขึ้นทั้งที่พยายามข่มสติเต็มที่
“แกชอบคุยเรื่องสังคม แปลกมาก ผู้ชายไทยก็ไม่ค่อยมีกี่คนที่เอาใจใส่กับชีวิตของสังคม แต่จาริณีเป็นผู้หญิงที่เอาใจใส่เรื่องกว้าง ๆ อย่างนั้น”๓
ผจงจิตอยากซักต่อไป แต่ไม่กล้าเพราะรู้ว่าจะควบคุมเสียงให้ปรกติไม่ได้ ด้วยหล่อนกำลังรู้สึกเจ็บปวดตามบริเวณลูกกระเดือก หล่อนจึงเสไปตักข้าวใส่จานให้สามี และหยิบอะไรต่ออะไรบนโต๊ะแทนที่ เพราะคนใช้ได้ยกอาหารเข้ามาวางที่โต๊ะ ณ ระเบียงที่หล่อนใช้เป็นที่ “สนทนา” กับสามี
ผจงจิตเก็บความรู้สึกไว้หลายวัน จนกระทั่งเห็นโอกาสที่จะซักสามีโดยไม่เป็นการเซ้าซี้ จึงค่อย ๆ และเลียม “เออ ประพนธ์คะ ที่คุณเรียกว่าเรื่องสังคมน่ะ อะไรบ้างคะ เป็นคำใหม่ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก” คำถามอย่างนี้ถูกลักษณะของภรรยาดีเผง ภรรยาดีควรทำตนให้เป็นคนมีความรู้น้อยกว่าสามีเสมอ ให้สามีได้มีโอกาสเป็นครู และตนเป็นลูกศิษย์
ประพนธ์มีสีหน้าแปลกไปทันที นัยน์ตาของเขาวาวขึ้นและน้ำเสียงที่ตอบก็เต็มไปด้วยกังวานที่ผจงจิตไม่เข้าใจ “เธอสนใจรึ เอาซี คุยกันสักวันหนึ่ง สังคมคืออะไร”
“วันนี้ไงล่ะคะ” ผจงจิตว่า
“เอายายจาริณีมาด้วยก็จะดี” ประพนธ์ว่า “พรุ่งนี้เป็นวันแกมากินข้าว ลองสอบไล่แกดูซิ จะตอบว่าอย่างไร”
ผจงจิตกลั่นน้ำตาไว้โดยยาก หล่อนก้มหน้าลงเย็บผ้าซึ่งกำลังเป็นงานในมือ แล้วไม่ว่าอะไรต่อไป ส่วนประพนธ์หันไปเปิดวิทยุฟังข่าว ดูเหมือนเขาไม่ได้สังเกตความผิดปรกติของหล่อน
วันรุ่งขึ้น เมื่อประพนธ์กลับจากทำราชการในตอนเย็นเขาก็พาจาริณีนั่งรถมาด้วย ซึ่งเป็นเหตุการณ์สัปดาห์หนึ่งประมาณ ๒ ครั้ง ผจงจิตต้อนรับจาริณีด้วยมารยาทของผู้ดีตามเคย ซ่อนความกระวนกระวายไว้ไนใจ เพราะหล่อนรู้ดีว่า วิธีจะทำให้สามีนอกใจเร็วที่สุดก็คือ การแสดงความหึงหวง
การสนทนาเวลาก่อนรับประทานอาหาร ระหว่างรับประทาน และหลังการรับประทาน ดำเนินไปเหมือนเคย จาริณีมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเด็กนักเรียน เรื่องความซุกซนของเด็กชั้นเล็ก ๆ ความหัวแข็งของเด็กชั้นกลาง ๆ ความกระดากประหม่า ความผิดพลาดในการวินิจฉัยของเด็กชั้นสูง ๆ ประพนธ์ฟังด้วยความสนใจตามเคย แล้วก็คุยกันต่อไปถึงพ่อแม่ของเด็กนักเรียน อะไรเป็นเหตุให้เด็กคนนั้นเป็นคนขี้กระดาก อะไรทำให้เขาหัวดื้อไม่ใช้เหตุผล แล้วในที่สุดประพนธ์เอ่ยขึ้น
“เออ จาริณี พี่สาวเธอเขาจะสอบไล่เธอแน่ะ หรือเขาจะสอบไล่ผมก็ไม่รู้ เขาถามว่าสังคมน่ะคืออะไร”
พอได้ยิน ผจงจิตรู้สึกน้อยใจ จนต้องลุกขึ้นไปเสียจากที่ที่นั่งอยู่คือที่ระเบียง ทำไมเขาจะต้องเยาะเย้ยหล่อนดังนั้นเขาจะต้องให้หล่อนรู้ด้วยวิธีนี้ด้วยหรือ ว่าหล่อนโง่กว่าเขามากมาย หล่อนไม่เคยทำตัวเสมอเขาเลยในเรื่องความรู้ หล่อนไม่ใช่หญิงที่พยายามทำตัวให้เป็นคนรู้อะไรแข่งกับสามี หล่อนยอมตัวเป็นศิษย์ของเขา ในสิ่งที่หล่อนไม่รู้ทุกอย่าง ถ้าหล่อนโง่เกินที่จะเป็นภรรยาของเขา ก็เห็นจะถึงบทจบของชีวิตสมรสกระมัง
ผจงจิตได้ยินเสียงจาริณีตอบเขาตามหลังหล่อนไป
“โธ่ พี่ผจงจิต ถามอะไรก็ไม่รู้ ดิฉันน่ะตอบไม่ได้หรอกค่ะ คุณประพนธ์จะตอบว่าอย่างไรเล่าคะ”
“จะให้ตอบตามหลักวิชาไหมล่ะ” ประพนธ์ว่า “ตอบรวมแล้ว.....” ผจงจิตไม่ได้ยินต่อไป เพราะหล่อนวิ่งเข้าห้องนอนและปิดประตูขัดกลอนเสีย
หล่อนนอนอยู่บนเตียงประมาณครึ่งชั่วโมง ได้ยินเสียงประพนธ์พูดว่า “อ้าว ผจงจิตไปไหนเสียล่ะ” แล้วเสียงจาริณีกับเขาโต้ตอบคุยกันต่อไป หล่อนเรียกความบังคับตัวทั้งหมดที่มีในตัวหล่อน ข่มใจข่มอารมณ์ทุกประเภททุกชั้นที่เกิดขึ้น แล้วก็เปิดประตูออกมานั่งคุย หรือที่ถูกนั่งฟังทั้งสองคนคุยกันต่อไปโดยดุษณีภาพ
พอได้เวลาสมควร ประพนธ์ก็เตรียมตัวไปส่งจาริณีในเมืองตามเคย ทุกคราวผจงจิตเคยนั่งไปด้วย แต่คราวนี้ผจงจิตบอกว่าไม่ค่อยสบาย ขอตัวเข้านอน
“โธ่ พี่คะ เดือนหงายน่านั่งรถออกค่ะ” จาริณีว่า “นั่งไปก็จะได้หายปวดศีรษะ” ประพนธ์ก็ร่วมอ้อนวอนด้วยแต่ผจงจิตก็ไม่ไป จาริณีพูดว่า “ขากลับคุณประพนธ์นั่งมาคนเดียวเหงาแย่”
ประพนธ์กลับมาภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงซึ่งผจงจิตแปลกใจมาก แต่หล่อนรีบทำหลับเสียทันทีที่ได้ยินฝีเท้าเขาขึ้นบันไดมา
พอรุ่งสาง ได้เวลาที่เขาเคยตื่นขึ้นไปดูไร่ ประพนธ์ก็ได้เข้ามานอนแนบกับผจงจิต พอหล่อนลืมตาเขาก็บรรจงจูบหล่อนเบา ๆ แล้วถามว่า “เมื่อคืนนี้เธอโกรธอะไรหรือจ๊ะดาร์ลิ่ง”
ผจงจิตหลับตาลงโดยเร็ว คำดาร์ลิ่ง บาดหูหล่อนที่สุด เพราะเป็นคำที่ประพนธ์เคยบอกหล่อนว่า เขาต้องพยายามใช้โดยเขาเองไม่เห็นเป็นการสมควร หล่อนพยายามแกะมือของเขาออกจากตัวหล่อน “เวลาเธอโกรธอย่างนี้นะ แม่หนูจ๋าเธอน่ารักขึ้นแยะเชียว” ประพนธ์ว่า
ผจงจิตยิ่งมีความรู้สึกเสียใจจนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หล่อนรู้แล้ว เขาเห็นว่าหล่อนเป็นคนแบบที่คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงมาเป็นแม่หนู ไม่ใช่คนที่เป็นผู้ใหญ่เข้าใจโลกแบบจาริณี หล่อนจึงนอนตัวแข็งทื่อไม่แกะมือเขาอีกต่อไป
สักชั่วอึดใจ ประพนธ์ก็ลุกขึ้นนั่ง เสียงเขาเป็นการงาน “ผจงจิต” เขาเรียก “คุณผจงจิต นี่เรามาพูดอะไรกันหน่อยจะดีไหม” ผจงจิตแข็งใจลุกขึ้นนั่งบ้าง หล่อนรวบรวมกำลังประสาททั้งหมดที่มีในตัวหล่อน มองสบตาเขาและจ้องหน้าเขานิ่งอยู่ หล่อนต้องการให้เขาเห็นว่า หล่อนก็เป็นผู้ใหญ่ได้เหมือนกัน ประพนธ์ทำหน้าเศร้า ๆ เมื่อเห็นกิริยาท่าทีของหล่อน “ผจงจิต เธอไม่ชอบจาริณีหรือ เพราะเหตุใด เพราะฉันทำให้เธอไม่ชอบเขา หรือเธอไม่ชอบเอง”
“ดิฉันไม่มีความรู้สึกอย่างไรต่อจาริณี” ผจงจิตตอบ
“จาริณีชอบเธอ เขานับถือเธอ เธออย่าดูเขาให้ผิดไปและที่ฉันพูดกับเธออย่างนี้ก็เพราะฉันนับถือเธอ”
ผจงจิตสะบัดหน้าลุกไปจากเตียงโดยไม่ทันมีสติบังคับตัว หล่อนไม่ต้องการความนับถือของเขา นี่อย่างไรกัน ประเดี๋ยวหล่อนก็เป็นเด็กเกินไป ประเดี๋ยวก็กลายเป็นที่นับถือไปแล้ว
ประพนธ์ถอนใจใหญ่ดังจนหล่อนได้ยิน “เออฉันนี่ต้องเป็นผัวเลวมาก ทำอย่างไรผมจะทำตัวให้เป็นสามีที่ดีได้ นอกเสียจากการทำตัวเหมือนคุณๆ ผู้ไม่มีมันสมองทั้งหลายในกรุงเทพฯ”
ผจงจิตหันมาทันที หล่อนลืมคำสั่งสอนที่ได้รับมาเกือบหมด “ดิฉันซิ อยากรู้ว่าจะเป็นภรรยาที่ดีของคุณได้อย่างไร”
“คุณเป็นภรรยาที่ดีที่สุดที่จะหาได้” ประพนธ์ตอบ แต่ผจงจิตได้สังเกตเห็นว่า เขาขยับจะต่อความจากคำว่าที่จะหาได้ แต่แล้วยั้งเสีย
“ทำไมคุณไม่พูดให้จบคะ ให้จบที่อยากจะพูด” หล่อนว่า
“จบแล้ว” เขาตอบ แล้วก็ลุกมารวบตัวหล่อนกอดไว้โดยเร็วจนหล่อนหนีไม่ทัน “เธอจ๋า เธอไม่รู้ใจผัวเลยหรือจ๊ะ” เขาถาม
ผจงจิตอยากตอบว่า ไม่รู้เลย ไม่รู้เลยจริง ๆ และอยากเล่าความฉงนสนเท่ห์ทั้งหมดให้เขาฟัง ตั้งแต่ได้วิสาสะกันมาจน “ไอ้หนู” ยอดที่รักของเขาอายุ ๓ ขวบแล้ว แต่หล่อนพ่ายแพ้กับตัวของหล่อนเมื่อแนบอยู่กับเนื้อเขา ความรักของหล่อนที่มีในตัวเขาก็ชนะความนึกคิดความรู้สึกของหล่อน หล่อนจึงคงเป็นเมียที่ไม่เข้าใจเขาต่อไป
ประพนธ์ได้ห่างเหินจากจาริณีไปทีละน้อยนับแต่วันนั้นมา เขาวุ่นกับงานปรับปรุงไร่มากขึ้น เอาใจใส่กับลูกถึงแก่อาบน้ำให้เอง และเวลาลูกกินข้าว เขาก็ไปนั่งควบคุมและพูดคุยเล่นด้วย
ตามปรกติของภรรยา ผจงจิตควรจะพอใจมาก แต่มีอะไรบางอย่างในแววตาของประพนธ์ เวลาที่เขามองเหม่อชมต้นไม้ใบหญ้าในบ้าน โดยเขาไม่รู้ตัวว่าผจงจิตกำลังจับจ้องเขา ที่ทำให้ผจงจิตรู้สึกว่ามีอันตรายคุกคามฐานะภรรยาของหล่อน
แล้ววันหนึ่งจาริณีก็ออกมาหาหล่อน โดยอาศัยรถยนต์ของคนรู้จักกันผู้หนึ่งมา เพื่อบอกลาว่าจะย้ายไปรับราชการที่จังหวัดอื่น
“เราจะต้องคิดถึงเธอแย่” ประพนธ์กล่าวขึ้นทันทีพลางแลดูตาผจงจิต เหมือนจะวิงวอนให้หล่อนสนับสนุน ผจงจิตยิ้มออกมาได้นิดหนึ่ง “ทำไมจะไปเสียล่ะ” หล่อนถาม
“ไปให้มันแปลก ๆ ค่ะ” จาริณีตอบ แล้วเหมือนกับว่าประพนธ์กับจาริณีจะบังคับตัวไม่ไหว เขามองดูตากันอย่างเศร้า ๆ ผจงจิตฝืนตัวพูดจาอย่างสุภาพต่อไปอีกสองสามประโยค แล้วจาริณีก็ลาไป
“ถ้าเรื่องแล้วไปแล้ว อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ” ผจงจิตกำชับตัวเองนับเป็นสิบ ๆ ครั้ง ในระยะเวลาหนึ่งที่อยู่กับสามีสองคน จาริณีไปแล้ว คู่แข่งของหล่อนไปแล้ว ภัยอันตรายหมดไปแล้ว ผู้ชายก็เป็นอย่างนี้ทุกคน แต่หล่อนก็ชนะแล้ว “อย่าไปคุ้ยเขี่ยอะไรขึ้นมา” คิดพลางก็ชำเลืองดูสามีนอนเหยียดยาวบนเก้าอี้นอนหน้าวิทยุ มีสีหน้าอาการบอกแสดงความเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่กับหล่อนสองคนอย่างที่สุด
“จะชวนไปกรุงเทพฯ เขาก็เบื่อ” หล่อนรำพึงต่อไป “อยู่จังหวัดนี้เขาก็เบื่อ เขาเบื่อเรานั่นเอง เวลาจาริณีมา เขามีกิริยากระปรี้กระเปร่า สนุกขบขันไปหมดทุกอย่าง” หล่อนข่มใจข่มสติ “ทำเฉย ๆ เสียแล้วเขาก็จะลืมไป ผู้ชายไม่แน่นแฟ้นอะไรนัก เขารักลูกก็ดีแล้ว เขาอยู่กับเราเพราะรักลูก ผู้หญิงอื่นนั้นห่างเข้าก็จืดจางไปเอง”
แต่ผจงจิตรู้ว่า ในส่วนลึกของหัวใจ คำว่า “ก็ดีแล้ว” ไม่เพียงพอเลย หล่อนเป็นภรรยาที่ไม่สามารถให้ความสุขแก่สามี และไม่ใช่เรื่องลึกลับภายในที่ธรรมชาติเสกสรรมา เป็นเรื่องเส้นผมบังภูเขาอะไรอย่างหนึ่ง แต่ทำไมหล่อนจะรู้ได้เข้าใจได้ หล่อนเคยถามตรง ๆ เขาก็ไม่ทำให้หล่อนสว่างขึ้นเลย
ครั้นแล้ววันหนึ่ง คือเมื่อคืนก่อนนี้เอง เรื่องก็เกิดโดยผจงจิตไม่ได้เป็นฝ่ายก่อ ประพนธ์นอนเหยียดยาวอยู่บนเก้าอี้หน้าเครื่องวิทยุตามเคย หลังอาหารค่ำ ผจงจิตนั่งถักเสื้อไหมพรมให้ลูก เขา “สนทนา” กับหล่อนเรื่องคนงานเรื่องพืชในไร่ เรื่องลูก แล้วก็เลิกสนทนาตามเคย เปิดวิทยุฟังข่าว พอจบข่าว เขาก็ปิดวิทยุแล้วก็บิดขี้เกียจพร้อมกับถอนหายใจใหญ่ดังและยาว
ผจงจิตเหลือบตาขึ้นดูเขา และกำลังข่มใจไม่ให้ถามสิ่งที่หล่อนอยากถาม คือเรื่องเบื่อหล่อนและเรื่องคิดถึงจาริณีก็พอดีประพนธ์พูดขึ้น “เรากลับไปอยู่กรุงเทพฯ กันดีไหม” ผจงจิตใจหายวาบ หล่อนไม่ทราบจะยินดีหรือกลัว จึงใช้วิธีผัดผ่อนเวลากล่าวว่า “ตามใจซิคะ” ประพนธ์ถอนใจเบา ๆ “ที่จริง สำหรับคนเบื่อโลก อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน”
“ใครคะ คนเบื่อโลก” หัวใจผจงจิตเริ่มเต้นไม่ได้จังหวะ
“ผมซี แต่ที่จริงพูดว่าเบื่อโลกก็ไม่ถูก ควรจะเบื่อตัวเองมากกว่า”
ผจงจิตพยายามมาหลายครั้งแล้วที่จะจับให้ได้ว่า ในอารมณ์อย่างไรเขาพูดผม-คุณ และอารมณ์อย่างไรเขาจึงพูดฉัน-เธอ แต่สำหรับคราวนี้หล่อนไม่มีเวลา หล่อนตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เอากันละ ให้มันรู้เท็จจริงกันเสียที หล่อนกล่าวขึ้น “คุณควรอธิบายด้วยว่าทำไมถึงเบื่อตัวเอง”
“ผมขอสิ่งที่มีไม่ได้” เขาตอบ “ผมจะให้เมืองไทยเป็นอย่างเมืองไทยเป็นไม่ได้ และจะให้โลกเป็นอย่างที่มันเป็นไปไม่ได้” เห็นหล่อนจับจ้องตาเขาด้วยความสนใจ เขาก็พูดต่อ “ผมอยู่เมืองฝรั่งนานเกินไป และเห็นเสียหลายแห่งเลยไม่พอใจกับอะไรเลย”
“อะไร ๆ ที่คุณมี คุณไม่พอใจเลยยังงั้นหรือคะ”
“ยังงั้น” เขาว่า “แต่ว่าเราต้องแก้ที่ตัวของเรา จะไปแก้ที่คนอื่นเขาไม่ได้”
“ถ้าจะแก้ จะให้เป็นอย่างไรบ้างคะ” หล่อนหวังจะได้รับความสว่างสำหรับตัวเองบ้าง
“ใคร คนอื่นหรือตัวเอง”
“คนอื่นค่ะ” หล่อนคิดในใจ ตัวของประพนธ์นั้น หล่อนไม่ได้อยากให้เปลี่ยนไปเลย นอกจากจะให้เขารักหล่อนจริง ๆ ไม่เฉพาะแต่คำที่พูดเท่านั้น
“เปลี่ยนคนอื่นหรือ” เขาหัวเราะน้อย ๆ “เอาละซีก็จะต้องเล็กเช่อร์กันยาว ๆ มีคนเขาว่าผมน่ะ แก่เล็กเชอร์ คนเขาทนกันไม่ไหว จะมีทนได้ก็ไม่กี่คน”
“คนที่ว่านี้คือจาริณีใช่ไหมคะ” คำพูดหลุดจากปากผจงจิตโดยไม่ได้ตั้งใจ “และคนที่ทนได้คนหนึ่งก็คือตัวเขาเอง”
“ใช่” ประพนธ์ตอบ น้ำเสียงของเขาหล่อนอ่านไม่ออกว่าแสดงความรู้สึกชนิดใด ภาคภูมิใจหรือเคืองหรือรำคาญ หล่อนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองดูเขา ต้องก้มหน้านิ่ง ตามตัวทั่วไปมีความรู้สึกร้อนแล้วก็เย็นแล้วก็ร้อน และเย็นสลับกันไป แต่พอเห็นเขาขยับจะหมุนปุ่มเปิดวิทยุ หล่อนก็ถามขึ้น “ถ้าคุณทำได้ตามใจ คุณจะทำอะไร”
“คนที่มีลูกมีเมียแล้วทำอะไรตามใจตัวไม่ได้” เขาตอบ “คนที่มีเสรีภาพที่สุดคือคนที่ไม่มีอะไรเลยคือพระ” พูดจบประโยคเขาก็พลิกตัวหันหน้าเข้าหาเครื่องรับวิทยุ แต่ภายในอึดใจเขาก็ผินหน้ากลับมา ยืดคอขึ้นพอพูดให้หล่อนได้ยิน “แต่ขออย่าถือคำพูดของฉันให้จริงจังเกินไป จาริณีแกเคยว่าเหมือนกันว่า ฉันพูดอะไรเป็นเกณฑ์กว้างเกินไปจนคนฟังไม่รู้เรื่อง”
ผจงจิตไม่ต้องการคิดอะไรต่อไปแล้ว ที่จริงเขาไม่จำเป็นพูดประโยคหลังด้วยซ้ำ ตลอดคืนนั้น ระหว่างที่นอนอยู่บนเตียงคู่กันกับเตียงของเขา ตลอดกลางวันต่อมาคือเมื่อวานหล่อนคิดอยู่อย่างเดียว จะใช้สมองไปทางไหน พยายามให้ความคิดนึกติดต่อกันเป็นเส้นเป็นแนว จนกระทั่งความคิดวิ่งวกวนไปมา แล้วก็พยายามคิดย้อนหลังไปในอดีต คิดต่อไปถึงอนาคต คิดแล้วก็กลับมาจุดเดิม เขาไม่มีอิสรภาพเพราะมีลูก เพราะลูกของเขา เขาจึงเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ได้ ความคิดอันนี้ยิ่งแน่วแน่ลึกลงในสมองหล่อน เมื่อเห็นประพนธ์เล่นกับลูกก่อนเขาไปทำงาน เมื่อกลับมาจากทำงาน และตลอดเวลาเย็นวันวาน และเมื่อเช้านี้ด้วย เขายกขึ้นทูนหัวทูนเกล้า ลงคลานทำเป็นม้าให้ขี่เมื่อ “ไอ้หนู” ขอร้องแล้วก็ลงนั่งคุยกัน เขามีเรื่องคุยกับ “ไอ้หนู” เสมอ เขาตอบคำถามทุกคำที่ “ไอ้หนู” ถาม แล้วก็หัวเราะกันเอิ้กอ้าก กิริยาอาการที่เวลาประพนธ์ “คุย” กับลูกเหมือนเวลาที่เขา “คุย” กับจาริณีไม่มีผิด สำหรับผจงจิต เขาได้แต่สนทนาเท่านั้น
ผัวเมียอยู่ด้วยกันเพื่ออะไร เพื่อมีลูกออกมาด้วยกันเท่านั้นรึ เขาไม่ทิ้งเราเพราะเขารักลูก เป็นการเพียงพอแล้วรึ ถ้าหล่อนจะเลิกเสียกับประพนธ์ให้ไปหาความสุข ให้ไปแต่งงานกับจาริณี คุณพ่อคุณแม่ญาติทุกคนและที่เกือบเป็นเพื่อน ๆ คงจะไม่มีใครเห็นดีด้วยเลย ทุกคนจะต้องว่าหล่อนไม่มีความอดทน ผู้ชายทุกคนต้องเป็นอย่างนี้ ผู้ชายทุกคนจะต้องเอาใจออกห่างจากภรรยาเป็นครั้งเป็นคราว แต่เขาก็ดีแสนดี จะไปหาที่ไหนได้อีก นั่นซิ เขาดีแสนดี แต่หล่อนกับเขาพูดกันไม่รู้เรื่อง เขาสารภาพออกมาแล้วว่าความสุขของเขาอยู่ที่ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แต่เขารู้หน้าที่ของเขา หน้าที่ของหัวหน้าครอบครัว เขาเสียสละความสุขให้แก่หน้าที่ เขาเคยบอกว่า คนบางคนก็พบเนื้อคู่ผิดเวลาไป แต่เพราะเขารักลูกมากเหลือเกินเขาจึงเสียสละได้ คนทุกคนที่จะพากันตำหนิหล่อนนั้น เขาเคยหรือ เขาเคยตกอยู่ในภาวะเช่นที่หล่อนตกอยู่หรือ เขาเคยเป็นภรรยาที่ต้องทนนั่งดูหน้าเศร้า ๆ เบื่อ ๆ ของสามีตลอดเวลา ๕ ปี หรือ และเขาไม่ได้เศร้าหรือเบื่อเพราะเขารักจาริณีเท่านั้น เขาเบื่อมาก่อนแล้ว เขาเบื่อหล่อนก่อนพบจาริณี เขาเบื่อทุกอย่างที่นับเนื่องในตัวหล่อน ทุกอย่างที่ทำให้ตัวหล่อนเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ เบื่อคุณพ่อคุณแม่ เบื่อคุณป้า คุณอา คุณลุง เบื่อเพื่อน ๆ และสามีที่เรียกกันหนู ๆ พี่ ๆ หรือเรียกกันดาร์ลิ่ง เบื่อชีวิตเพราะเขาขาดสิ่งที่ทุกคนปรารถนา คืออิสรภาพ
ผจงจิตตัดสินใจในเช้าตรู่วันนี้ วันที่หล่อนยืนดูประพนธ์ขับรถออกจากบ้านไป แล้วหล่อนก็ขึ้นมาเขียนจดหมายถึงคุณพ่อคุณแม่ ขณะที่หล่อนจับตาดูท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเปลี่ยนสีขาวนวลไปเป็นชมพูระเรื่อแล้วค่อย ๆ แปรไปเป็นสีส้มและสีทอง หล่อนมองดูต้นยางสูงริมไร่ลู่ยอดไปมาในสายลมเวลาเช้า มองดูภาพที่หล่อนรักหล่อนชอบเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่ประพนธ์นอนหันหน้าเข้าฝาผินหลังให้หล่อน ทีท่านั้นเองช่วยให้หล่อนตัดสินใจ การสนทนาระหว่างเขากับหล่อนจบลงในลักษณะนั้นเสมอ ไม่เขาก็หล่อนต้องหันหน้าเสียจากกัน หล่อนจะทนอยู่กับสามีอย่างนี้เสมอไปหรือหันหน้าหนีกันตลอดชีวิตหรือ
ถ้าหล่อนจากเขาไปเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะง่ายสำหรับ “ไอ้หนู” เด็กผู้ชายชินกับแม่เลี้ยงง่าย ยิ่งได้ให้เลี้ยงดูกันตั้งแต่เล็กเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น จะเป็นด้วยเหตุใดก็ตามหล่อนแน่ใจว่า จาริณีกับ “ไอ้หนู” จะเป็นมิตรต่อกัน เพราะจาริณีเป็นคนหนึ่งที่ “คุย” กับ “ไอ้หนู” ได้นาน และเล่นกันอย่างสนุกสนาน แต่หล่อนจะไม่บอกเหตุผลอันแท้จริงให้ผู้ใดทราบเลย หล่อนจะกลับไปบ้านเสียเฉย ๆ ทำเป็นว่าไปพักผ่อนชั่วคราว แล้วหล่อนก็จะอยู่ไปจนคนทั้งหลายแลเห็นว่า หล่อนเป็นลูกทูนหัวทูนเกล้า คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยขัดใจ มิใยใครจะว่าอย่างไร หล่อนก็จะเฉยเสีย แต่ขออย่าให้เขาทราบความจริงที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้เลย เพราะหล่อนจะทนความเซ้าซี้ขอคำอธิบายไม่ได้ คำตำหนิว่าหล่อนไม่ดีจริง ไม่สมกับที่ใครคาดหมายไว้นั้น หล่อนไม่เอาใจใส่เลย เพราะหล่อนแพ้ชีวิตแล้ว คนแพ้นั้น ถึงจะแพ้น้อยแพ้มากก็แพ้เหมือนกัน ขอแต่อย่าให้ใครมาเซ้าซี้เรื่องเร้นลับระหว่างหล่อนกับประพนธ์เท่านั้น
ประพนธ์คงจะตามไปวิงวอนให้หล่อนกลับบ้านเพื่อเป็นกิริยา แต่หล่อนจะรีบบอกความจริงแก่เขาคนเดียว เพื่อว่าเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากอิสรภาพของเขาเร็วที่สุด หล่อนแน่ใจว่า ถ้าหล่อนขอร้องให้เขาเก็บเรื่องใดเป็นความลับ เขาก็จะไม่แพร่งพราย เพราะตามปกติวิสัยของเขาก็เป็นคนไม่โวยวายในเรื่องใด ๆ อยู่แล้ว
สำหรับคุณพ่อคุณแม่นั้น ผจงจิตตั้งใจว่า จะค่อย ๆ ให้ท่านรู้ความจริงทีละน้อย ๆ แต่เพราะเหตุว่าหล่อนกับท่านเคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาตลอดชีวิต ไม่เคยปิดบังอะไรกันเลย พอหล่อนเขียนจดหมายถึงท่าน ความจริงก็พรั่งพรูลงไปในหน้าจดหมาย
เมื่อได้สติ ผจงจิตบอกตัวเองว่า เขียนอย่างนี้ไม่มีประโยชน์ คุณพ่อคุณแม่ช่วยอะไรไม่ได้ ท่านไม่เคยอยู่กับคนอย่างประพนธ์ ถูกแล้ว เขาไปอยู่ต่างประเทศนานเกินไป แต่นี่ก็อีกนั้นแหละ ถ้าหล่อนบอกกับใครว่าประพนธ์มีความรู้สึกนึกคิดไม่เป็นแบบไทย ก็จะไม่มีใครเชื่อหล่อน ใคร ๆ ก็จะว่า โธ่ พ่อประพนธ์แก่น่าเอ็นดูจะตาย แกพยาบาลคุณย่าแกดูแลอา แกชอบอยู่บ้านนอก แกเป็นฝรั่งมังค่าที่ไหนกัน คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้มีโอกาสเห็นแววตาของประพนธ์ ไม่ได้มีโอกาสได้ยินเสียงถอนใจใหญ่ของเขา
พอคิดมาถึงตอนนี้ หล่อนก็ผวา ใจเต้นระทึก เสียงคนตะโกน เสียงคนร้องเรียกกัน แล้วมีเสียงคนวิ่งขึ้นบันได และมีเสียงตะโกนจากข้างล่าง “คุณนาย คุณครับ คุณนาย คุณ...คุณนาย”
หล่อนลุกทะลึ่งออกไปโผล่หน้าต่าง เห็นนายบุญช่วยหัวหน้าคนงานของไร่ อุ้มเด็กอายุประมาณ ๓ ขวบ เลือดสาดไปทั่วแขน “อะไรกัน เป็นอะไร” หล่อนร้องเรียกเสียงแหลม กลัวว่าเด็กคนนั้นจะเป็นลูกชาย “นั่นใคร เป็นอะไร”
“ไอ้จั่นครับ ไอ้จั่นถูกหมาตาแดงฟัด ไปเล่นลูกของมันหรืออย่างไรไม่ทราบ ต้องเอาไปโรงพยาบาล”
“รถจี๊ปไปไหน” มีเสียงคนถามขึ้น บัดนี้มีคนงานมาออกันอยู่ประมาณ ๑๐ คน แล้วมีเสียงร้องตอบ “รถจี๊ปไปขนไม้”
ผจงจิตออกจากห้อง เดินลงบันไดมาอย่างรีบร้อน พอมาถึงหน้าเรือนก็พยักหน้าให้นายบุญช่วยอุ้มเด็กตามหล่อนไปทั้งไร่นั้น นอกจากประพนธ์และคนขับรถประจำรถจี๊ปแล้ว มีคนขับรถได้คนเดียวคือตัวหล่อนเอง หล่อนมองหน้าเด็กเห็นซีดขาว เพราะความตกใจและเพราะโลหิตออกมาก ตามบริเวณขาแขนมีบาดแผลและรอยช้ำ เป็นอันว่าจะรักษาเองไม่ได้เพราะเสี่ยงภัยมากเกินไป หล่อนตะโกนให้คนเลี้ยงลูกดูแลเด็กให้ดี สั่งคนงานที่ไว้วางใจสองคนให้ไปช่วยกันจับหมาผูกไว้ ถ้าสงสัยว่าเป็นหมาบ้าก็ให้ยิงเสีย แต่มีคนบอกว่าไม่บ้าแน่ เป็นหมาแม่ลูกอ่อน หล่อนวางใจได้แล้วในเรื่องนั้นจึงรีบไปที่รถยนต์คันเก่า สำหรับใช้เวลามีเหตุฉุกเฉิน ให้นายบุญช่วยอุ้มเด็กขึ้น แล้วก็ขับเข้าไปในเมือง
หล่อนไม่ได้เสียเวลามากนัก ภายในประมาณ ๔๕ นาที ก็กลับมาถึงบ้าน แต่พอเข้าใกล้ตัวเรือนก็ใจหายวาบ รถของประพนธ์จอดอยู่ข้างเรือน หล่อนรีบกระวีกระวาดทิ้งข้าวของหล่อนไว้ใต้ร่มไม้ รีบขึ้นไปบนเรือน เข้าห้องนอน ประพนธ์นอนอยู่ที่นอน พอเห็นหล่อนเข้าเขาก็ยิ้มอย่างเบิกบาน
“คุณกลับมาทำไม” ผจงจิตกรรโชกถาม
“กลับมาหาเมีย” เขาตอบ แล้วเขาก็ลุกขึ้นมารวบตัวหล่อนอย่างทะมัดทะแมง และบังคับให้นอนลงบนที่นอนแล้วก็หยิบกระดาษขาว ๆ ออกมาจากใต้หมอน เพื่อให้หล่อนรู้ว่าเขาได้เห็นจดหมายของหล่อนซึ่งเขียนค้างไว้แล้ว เขาก้มลงกอดหล่อนไว้แน่น ผจงจิตไม่ได้ขัดขืนเพราะมัวแต่ประหลาดใจสีหน้าเบิกบานของเขา
“แม่หนูจ๋า” เขาเรียกหล่อนและหัวเราะน้อย ๆ ไปพลาง “ใครว่าฉันแต่งงานกับนางกฤษณา แท้จริงฉันก็แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่ฉันรักนั่นเอง จริงไหมจ๊ะเมีย เมียรักของฉัน”
“คุณพูดอะไรให้เข้าใจกันหน่อยก็จะดี” ผจงจิตพูดอย่างโกรธ เวลานี้ความรู้สึกหล่อนเป็นความโกรธอย่างเดียว หล่อนอึดอัดที่เขากอดไว้ และอึดอัดที่หล่อนไม่ได้ทำตามความประสงค์ และโกรธที่เขาทำให้หล่อนมืดแปดด้าน
“ฉันบอกแล้ว เวลาเธอโกรธ เธอน่ารักจริง ๆ” สามีหล่อนว่า “พูดซี พูดให้เข้าใจกันเสียที ทำไมจะต้องเขียนหนังสือไปฟ้องคุณพ่อคุณแม่ ทำไมไม่ถาม ทำไมไม่กรรโชกเอาเหมือนเมื่อตะกี๊”
“คุณพูดไทยเหมือนคนโบราณ ๆ” ผจงจิตพูดขึ้น “เมื่อตะกี๊ ไม่เห็นใครเขาพูดเลย”
“แต่บังเอิญฉันเป็นคนสมัยใหม่เต็มที่” เขาโต้กับหล่อน “นี่แน่ พูดกันเสียที เอ้า เธอไม่เข้าใจอะไรว่าไปถ้าเธอทนฟังฉันได้ ฉันจะตอบให้หมดทุกอย่าง”
“ขึ้นต้นก็เวลานี้แหละ” ผจงจิตพูดห้วน ๆ “ทำไมถึงดูยินดีปรีดา คุณเห็นเป็นเรื่องเล่น ๆ หรือที่ฉันตัดสินใจจะกลับบ้าน”
“สำหรับฉันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลย” เขาตอบ “ฉันดีใจจริงที่นายเล็กบังเอิญเข้าไปในเมือง บอกว่าไอ้จั่นถูกหมาฟัด ฉันเกิดนึกเป็นห่วงไอ้หนู ก็เลยแล่นรถมา คงสวนกับเธอมาคนละทาง นายเล็กเขาบอกว่าพอดีเขาจะไปขึ้นรถเมล์ก็พอดีได้ยินเสียงเอะอะกัน” เขาหยุดจ้องหน้าหล่อน “ฉันยินดีเพราะฉันได้รู้ว่าเมียฉันอยากเข้าใจฉัน และเสียใจอัดใจที่ไม่เข้าใจ แต่ก่อนฉันนึกว่าเธอไม่สนใจที่จะเข้าใจกัน แต่ว่าถ้าจะพูดกัน เธอก็ต้องทนฟังความจริงบ้างนะ”
“ดิฉันอยากฟังเหลือเกินความจริงน่ะ” ผจงจิตตอบในที่สุดหล่อนเขยิบตัวออก ลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าเขาได้
“ตั้งต้นด้วยตัวฉันเถอะ ฉันโง่จังเลย ไม่เข้าใจเมียเลย เพิ่งเข้าใจเมื่อเห็นจดหมาย จากถ้อยคำในจดหมาย ฉันเข้าใจอะไรได้หลายอย่าง”
“อะไรบ้าง?” ผจงจิตพูดอย่างมะนาวไม่มีน้ำ
“ฉันนึกออกแล้วว่า ทำไมฉันถึงรักเธอ” เขาว่า “ทีแรกฉันไม่เข้าใจตัวเอง เวลาฉันอัดใจทีท่าของเธอ ฉันพิศวงตัวเองทุกที ทำมั้ย ถึงไปรักผู้หญิงคนนี้ ตัวเรานี่ก็ไม่แปลกกว่าใครเลยหรือ พอเห็นผู้หญิงก็หลงรัก แล้วพอไม่ถูกใจก็โทษเขาว่า เขาไม่ทำให้เราถูกใจ แต่เมื่อก่อนจะรัก ทำไมไม่ดูให้แน่ ๆ ว่าเขาจะถูกใจ”
“เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าไงล่ะคะ” ผจงจิตค่อยมีสติพอที่จะกลับเป็นคนสุภาพได้บ้างแล้ว
“ฉันรักเธอเพราะเป็นคนมีคติอะไรอย่างหนึ่งเรียกว่าอุดมคติก็ได้” เขาตอบ “อย่างน้อยเธอก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเป็นแม่เรือนชั้นที่ ๑ เธอศึกษาและปฏิบัติตามความเชื่อถือของเธอ”
“ซึ่งสำหรับคุณไม่มีความสำคัญอะไรเลย” ผจงจิตทำเสียงว่าประโยคจบแค่นี้
“อย่าเข้าใจผิด” เขาตอบ “ฉันเห็นเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ฉันเคยบอกเธอแล้วว่า ไม่ใช่เรื่องสำคัญชั้นที่หนึ่งของชีวิต”
“แล้วอะไรเป็นเรื่องสำคัญชั้นที่หนึ่งของชีวิต”
“ก่อนอื่นต้องพูดว่าชีวิตของใคร” เขาย้อน “สำหรับฉัน เออ เธอคงงงไม่น้อย ฉันเคยบอกกับเธอเหมือนกัน ผัวเมียนี่น่ะ มันต้องทะเลาะกันได้ ใครเป็นคนสั่งสอนเธอว่าไม่ให้ทะเลาะกับฉัน พอฉันอ่านจดหมายของเธอฉันถึงเข้าใจ คือฉันย้อนไปคิดถึงคุณพ่อของเธอพูดกับฉันเมื่อก่อนจะไปหมั้น ทีแรกฉันไม่เข้าใจเลย และไม่สนใจ ฉันจะแต่งงานกับเธอ ฉันไม่จำเป็นต้องเข้าใจท่าน แต่เดี๋ยวนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันผิด ฉันแต่งงานกับเธอ ก็แปลว่า ฉันแต่งงานกับคุณพ่อของเธอ คุณแม่ คุณลุง คุณป้า ครู ๆ ของเธอ พี่เลี้ยง นางนม คนใช้บ่าวไพร่ อุบ๊ะ ฉันแต่งงานกับเขาทั้งนั้นแหละ และเธอแต่งงานกับฉันก็เหมือนกัน เธอแต่งงานกับเมืองฝรั่งหลายเมืองที่ฉันเคยไปอยู่ แต่งงานกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง แต่งงานกับไอ้เพื่อนฝรั่งที่ฉันไปเที่ยวคุยกับมันมา กับหนังสือที่อ่านมาหลายร้อยเล่ม” ผจงจิตจ้องจะขัดจังหวะอยู่นานก็ไม่ได้ขัด พอประพนธ์หยุดนานพอที่จะสอดได้หล่อนก็ว่า
“คุณพ่อคุณแม่ดิฉันท่านไม่ได้มาสอนอะไรเป็นคำ ๆ ท่านสอนโดยทำให้ดู สอนด้วยแสดงอาการทีละเล็กทีละน้อย ด้วยการหาครูคนนั้นคนนี้ให้ ด้วยการหาไปหาพี่คนนั้นน้องคนนี้ ท่านไม่เคยมาบอกว่าไม่ให้ทะเลาะ แต่ดิฉันโตพอที่จะเข้าใจ...”
“เธอยังไม่ได้โตกี่มากน้อยหรอก” เขาขัดขึ้น “เธอไม่ค่อยใช้ความนึกคิดของเธอเอง หลายหนที่ฉันสังเกต ซึ่งแต่ก่อนฉันไม่เข้าใจ เดี๋ยวนี้ฉันเข้าใจแล้ว เธอสงสัยอะไรอยากซักฉัน อยากเถียงและฉันเปิดท่าให้เธอหลายหนแล้ว ฉันก็สังเกตว่า เธอชะงักเอาไว้ เธอคิดอะไรขึ้นมาได้ คิดถึงอะไร ฉันบอกแล้วว่าฉันเพิ่งนึกได้ คุณพ่อเธอท่านบอกฉันวันนั้น ท่านว่าเธอเป็นลูกที่ดีเหลือเกิน อยู่ในถ้อยในคำทุกอย่าง พยายามที่จะทำอะไรให้ดีที่สุดเสมอ แล้วเธอก็ไม่เข้าใจท่านดีพอด้วยซ้ำ เธอคิดหรือว่าคุณพ่อคุณแม่ของเธอนะไม่ทะเลาะกัน ไม่ยังงั้นเขาไม่รักกันมาตั้ง ๓๐ กว่าปีหรอก เฮ้อ แต่นี่มันก็ผิดทฤษฎีของฉันเอง”
“เธอพูดอะไรให้คนโง่ ๆ อย่างดิฉันเข้าใจกว่านี้จะดีไหม” ผจงจิตขัดขึ้นโดยแน่ใจว่า ถึงคนชั้นมหาบัณฑิตก็คงไม่เข้าใจที่ประพนธ์กล่าวอย่างนี้ เป็นครั้งแรกที่หล่อนใช้สรรพนาม “เธอ” เมื่อพูดกับเขาแต่หล่อนไม่รู้ตัว
“ขอโทษ ฉันพูดไม่ค่อยเป็นและไม่ค่อยถูกกาละเทศะเสมอ” เขาว่า “คืออย่างนี้ เธอทำความเข้าใจในเรื่องนี้เสียก็คงดีเหมือนกัน คือว่าคนเราน่ะ สมมติว่า มีหลักเกณฑ์อะไรอย่างหนึ่งขึ้นมา มันถูกสำหรับ ๙๙ คน แต่มันเอาไปใช้ไม่ได้สำหรับคนเดียว บังเอิญคน ๆ นั้นเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา มันก็ยุ่งกันใหญ่ คุณพ่อคุณแม่เธออาจไม่ทะเลาะกัน แต่ท่านก็เป็นคู่แปลก เป็นข้อยกเว้นหรือว่าเป็นธรรมดาใครจะรู้ แต่สำหรับฉันผัวเมียต้องเป็นกันเอง เธอได้รับคำสั่งสอนมา ฉันรู้แล้วจับปะติดปะต่อเข้าใจแล้วละ เธอจะเป็นนางกฤษณา ใคร ๆ เขาล้อก่อนฉันแต่งงาน และแม้แต่แต่งงานแล้วนี่ เขาก็ว่าบ่อย ๆ เธอก็เคยได้ยินและฉันเห็นเธอไม่ค่อยพอใจ แต่จริง เธอพยายามทำตัวให้เป็นเมียที่ดี เธอยังเคยถามฉันว่าเธอบกพร่องอย่างไรไหม แล้วฉันยังตอบเธอว่า เธอไม่บกพร่อง แต่แท้จริงฉันก็พูดผิดเหมือนกัน ฉันไม่เป็นตัวของฉัน ฉันไปตอบตามทฤษฎีของเธอไป ฉันควรต้องตอบว่า เธอบกพร่องสำหรับฉัน เพราะฉันไม่ต้องการภรรยาที่เป็นแม่บ้านชั้นที่หนึ่ง เป็นคนเลี้ยงลูกชั้นเอก ฉันต้องการคู่ชีวิต ต้องการคนเป็นเพื่อนคุยกันเล่นกัน อย่างอื่นตามมาทีหลัง แต่เธอไปเข้าใจว่าผู้ชายก็ต้องเอาแต่กินแต่นอน เธอดูถูกผู้ขายมากเกินไป
“อะไร้” ผจงจิตอุทาน
“นั้นซี เธอไม่รู้ตัว คนโดยมากก็ไม่รู้ตัว” เขาย้อนตอบ “ฉันนึกออกแล้ว ฉันเคยได้ยินเหมือนกัน เสน่ห์จวัก ผัวรักจนตาย เพราะอย่างนั้นเธอถึงตกใจทุกทีเวลาฉันบอกว่าเรื่องกินไม่สำคัญ เธอคิดว่าผัวจะรักเมียที่ทำกับข้าวเก่งเสมอไปหรือ ไม่ใช่เลย ผู้ชายร้อยคนก็ร้อยอย่าง ฉันว่า”
เห็นหล่อนยังจ้องเขาด้วยความสนใจ เขาก็พูดต่อ “เวลาฉันพูดอะไรยาว ๆ ฉันกระดากยังไงพิกล และก็พูดซ้ำซาก ฉันก็เห็นโลกมามากพอสมควร ผู้ขายส่วนมากก็ชอบกินอร่อย นอนสบาย นั่นก็ถูก แต่มีที่เห็นแก่ความใคร่ก็มี ผู้ชายบางคนรักผู้หญิงเพื่อของอย่างเดียว และยอมทำให้หมดทุกอย่าง แม่เจ้าประคุณจะเหยียบย่ำอย่างไร ๆ ก็ยอม แล้วมีคนบางคนอย่างฉัน ที่ชอบกินอร่อยนอนสบายแล้วยังอยากยิ่งไปกว่านั้น แปลว่าออกจะโลภมากหน่อย คืออยากให้เมียพูดด้วย ฉันมีปัญหาเยอะแยะ อยากถามอยากซักคน และทนฟังฉันได้ ปมด้อยของฉันอยู่ตรงนี้ เวลาฉันพูดอะไรไม่มีใครเขาทนฟังฉันได้ ถ้ามีเมียที่ทนฟังฉันได้ก็ดี แต่ไม่ใช่ทนฟัง เพื่อเอาอกเอาใจ ทนฟังเพราะฉันเป็นสามีก็ต้องทนไปตามหน้าที่ ฉันอยากให้ทนฟังฉันได้เพราะเรื่องที่ฉันพูดนั้นมันน่าสนใจ แต่เมื่อเธอไม่สนใจ ฉันก็ไม่ลงโทษเธอ เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่ทนฟังฉันไม่ได้เท่านั้นเอง”
ผจงจิตไม่ค่อยได้ฟังเขาตลอดทุกคำในตอนปลายเพราะหล่อนยังแก้นิสัยแกล้งฟังเพื่อเอาใจไม่ได้ทันที แต่หล่อนได้ยินพอกับความต้องการของหล่อนแล้ว หล่อนอยากเข้าไปกอดเขาไว้ให้แน่นแต่ก็กระดาก หล่อนอยากบอกเขาว่าหล่อนทนฟังได้ตลอดชีวิต แต่พอเห็นเขาลุกขึ้นยืน ทำท่าเหมือนจะหันหนีไปอีกเหมือนอย่างที่เคยทำมา หล่อนจึงดึงมือเขาไว้
“ประพนธ์ว่าประพนธ์มีปมด้อยหรือคะ?” หล่อนพูดขึ้น “ดิฉันก็คงเหมือนกัน”
“ทีแรกเธอมีปมเขื่อง เธอแน่ใจว่าผู้ขายต้องรักเมียที่เป็นแม่เรือนดี” เขาว่า “แต่พอเธอสังเกตว่าฉันยังไม่จุใจ เธอถึงเริ่มมีปมต้อย เธอช่างสังเกต เพราะเธอเป็นคนฉลาด...”
ประพนธ์และผจงจิตไม่มีโอกาสได้อภิปรายเรื่องปมชนิดต่างๆ ในชีวิตต่อไป เพราะมีมือเล็ก ๆ มาทุบประตูห้องนอน แล้วเสียงเล็ก ๆ บอกว่า “พ่อฮับแม่ฮับ จั่นกลับมาแล้วฮับ จั่นมีผ้าขาว ๆ ด้วยฮับ จั่นเขาไม่ร้องไห้ด้วยฮับ”
“เออ ไอ้จั่น” ประพนธ์ว่า “ดูซิเธอเห็นไหม ใครจะไปคิดถึงหรือว่าไอ้เด็กคนนี้จะมามีความสำคัญในชีวิตเราถึงเพียงนี้ แต่นี้จะต้องตั้งทุน จั่นศึกษาสงเคราะห์ เป็นการตอบแทนบุญคุณ”
แล้วเขาก็เปิดประตูห้อง เพื่อรับเอาเด็กที่มีความสำคัญในชีวิตของเขาทั้งสองยิ่งกว่าเข้ามา