สิริลักษณ์เผชิญชีพ

เมื่อสิริลักษณ์ อินทรวัลลภ มีอายุได้ ๑๕ ปีกว่าก็มีความเปลี่ยนแปลงใหญ่เกิดขึ้นในชีวิตหล่อน คือต้องจากบ้านคุณปู่คุณย่าที่จังหวัดปทุมธานี เข้ามาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ในพระนคร เพื่อศึกษาต่อในชั้นเตรียมอุดม

คุณปู่เป็นอาของคุณพ่อ ท่านชื่อ เวท คุณย่าชื่อ ประภา ท่านเป็นญาติเกี่ยวข้องทางสายโลหิตกับคุณปู่และคุณพ่อด้วย ตระกูลของสิริลักษณ์เป็นตระกูลขุนนางมีชื่อเสียงในราชการสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน คุณพ่อก็ได้มีตำแหน่งสูงในราชการอีก จนญาติมิตรทั้งหลายพากันปรารภว่า “เสียดายที่สมัยนี้เลิกบรรดาศักดิ์เสีย มิฉะนั้นพวกเราก็จะได้เป็นพระยากันอีกคน”

คุณพ่อชื่อ บุญไชย และคุณแม่ชื่อเปี่ยมศรี สิริลักษณ์ มีความเคารพรักเต็มเปี่ยมในหัวใจสำหรับท่านทั้งสอง นิยมรูปร่างท่าที นิยมชื่อเสียงและฐานะ สิริลักษณ์ได้นับวันคอยการย้ายเข้ามาอยู่เป็นสมาชิกในครอบครัวของท่านด้วยความตื่นเต้น หล่อนจะได้เป็นลูกสมบูรณ์เหมือนพี่น้องคนอื่น ๆ หล่อนจะมีชีวิตที่ตื่นเต้นในพระนคร ไม่เงียบเชียบเหมือนอยู่บ้านนอก การที่หล่อนต้องไปอยู่กับคุณปู่และคุณย่านั้นเป็นไปโดยบังเอิญ สิริลักษณ์เป็นลูกคนที่สี่แต่เป็นลูกหญิงคนที่สาม เมื่อหล่อนมีอายุได้ประมาณสองปี คุณพ่อก็ต้องย้ายไปรับราชการต่างจังหวัด ระหว่างนั้นคุณย่าประภากำลังเหงาเศร้าใจด้วยลูกคนหนึ่งของท่านเพิ่งตายไป สิริลักษณ์ก็กำลังเจ็บออดแอด และคุณย่าประภามีความเมตตารักหล่อน จึงขอเลี้ยงดูหล่อนชั่วระยะหนึ่ง ระยะนั้นก็ยาวออกไปทุกที เริ่มด้วยการที่สิริลักษณ์ติดคุณย่า ถ้าจากมาหลายวันก็มักเกิดอาการตัวร้อนบ้าง เจ็บไข้อย่างอื่นบ้าง แล้วสิริลักษณ์ก็เข้าโรงเรียนที่ปทุมธานี คุณย่าก็เห็นว่าไม่ควรย้ายไปจังหวัดอื่น ให้เรียนให้จบประโยคเสียก่อน และสิริลักษณ์เป็นที่รักของคุณปู่มาก เหตุการณ์จึงพามาจนกระทั่งในที่สุด สิริลักษณจึงได้ย้ายมาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ในตอนที่หล่อนขึ้นชั้นเรียนประโยคที่สูงขึ้นในตอนที่กล่าวถึงนี้

พอมีการตกลงกันว่า สิริลักษณ์จะย้ายมาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่แน่แล้ว สิริลักษณ์ก็สังเกตว่าคุณปู่กับคุณย่าแสดงความห่วงใยในหล่อนอย่างน่าประหลาดใจ ราวกับว่าท่านจะต้องส่งลูกสาวไปอยู่กับครอบครัวที่แปลกชาติแปลกสกุล ตามปรกติสิริลักษณ์รับประทานอาหารเย็นพร้อมด้วยคุณปู่คุณย่าทุกวันและทุกมื้อก็มีการคุยกันตามปรกติ คุณปู่ได้รับราชการอยู่ไม่นานนัก พอมีการเปลี่ยนระบอบการปกครอง ท่านก็ออกจากราชการ ท่านมีอาชีพเป็นทนายความแล้วเปลี่ยนเป็นการค้า จนกระทั่งมีอายุล่วงเข้ามาพอที่จะหาความสงบได้ จึงออกไปตั้งหลักฐานที่ปทุมธานี ท่านใฝ่ฝันอยากอยู่บ้านริมแม่น้ำ ท่านหาที่ได้สมหวัง จึงอยู่ที่บ้านของท่านอย่างเป็นสุข ท่านคงทำการค้าต่าง ๆ ติดต่อกับคนที่ทำธุรกิจต่างชนิด คุณย่าเป็นแม่บ้านที่มีความสามารถชอบพลิกแพลงการทำกับข้าว จัดดอกไม้ ทำสวน ครอบครัวของคุณปู่และคุณย่าจึงมีเรื่องราวที่จะเล่าสู่กันฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นไม่เว้นแต่ละวัน แต่ระหว่างระยะที่รอการย้ายจากของสิริลักษณ์ คุณปู่มีเรื่องคุยขำ ๆ อยู่เพียงเรื่องเดียวหรือสองเรื่อง คือคุยเรื่องครอบครัวของสิริลักษณ์

“จิ๋ว” คุณปู่เรียกหล่อน “จิ๋วไปอยู่กับพ่อแม่จิ๋วต้องระวังนะ อย่าไปทำทิ้งข้าวทิ้งของอย่างที่ย่าเขาต้องเตือนจิ๋วเสมอ ๆ นะ เสียชื่อปู่กับย่าแย่เชียวนะ”

“แล้วก็ไอ้เรื่องช่างซักอย่างหนึ่ง” คุณย่าพลอยสำทับ “ถ้าใครเขายังไม่อยากตอบ อย่าไปซักเอาให้ได้นะ” แล้วหันไปพ้อ “คุณปู่น่ะเลี้ยงเด็กให้เคยตัว”

คุณปู่พยักหน้าและยิ้มอย่างอารมณ์ดี ดูเหมือนคุณปู่กับคุณย่าจะห่วงใยในหล่อนกันไปคนละทาง คุณปู่เล่าต่อ “จิ๋ว คุณปู่แท้ ๆ ของจิ๋วชื่อจริงว่าอะไร แล้วมีคุณปู่ใหญ่อีกคน ชื่อจริงชื่อยศว่าอะไรจำได้หรือเปล่า”

สิริลักษณ์มีความจำดี หล่อนตอบถูกหมด เป็นอันว่าผ่านการทดสอบขั้นนี้ไปได้

“พี่ ๆ น้อง ๆ ต้องยอมเขาบ้างนะ อย่าไปเอาชนะเขาไปหมด ใครเขาเป็นพี่ใครเขาเป็นน้องต้องดูให้ดี เรามันเถียงเก่ง คุณปู่ชอบเลี้ยงหลานให้มันเถียง” คุณย่าเอ่ยขึ้นบ้าง

“ก็มันอยู่กับทนายความนี่นา” คุณปู่ว่า “เอ้อ อย่าไปเป็นเจ้าถ้อยหมอความกับพ่อกับแม่เขานะ” ท่านว่าหัวเราะ ๆ

“แล้วจะกลับมาบ้านเมื่อไหร่ละก็ เขียนจดหมายฝากนายสินเขามา หรือฝากคนเรือเมล์บริษัททวีทรัพย์มาก็ได้ แต่ถ้าไม่ขนเพื่อนมา ไม่ต้องบอกก็ได้”

สิริลักษณ์จับได้จากถ้อยคำและทีท่าอาการหลาย ๆ อย่างของท่านทั้งสอง ว่ามีความอาลัยและห่วงใยในตัวหล่อนเป็นอันมาก หล่อนจึงบอกว่า “จิ๋วคงกลับเดือนละหนค่ะ แล้วถ้าจะมีเพื่อนมาด้วย จิ๋วจะเรียนมาให้คุณปู่คุณย่าทราบ”

พอใกล้เวลาจะเปิดภาคเรียน สิริลักษณ์ก็ย้ายเข้ามาอยู่ในพระนคร วันแรกที่สิริลักษณ์กลับมาอยู่บ้าน คุณพ่อคุณแม่มีการเลี้ยงรับรองอย่างครึกครื้น คือทำอาหารพิเศษแล้วบอกกล่าวญาติสนิทอีกสองสามคนมารับประทานอาหารด้วย และมีเพื่อนที่รักใคร่ชอบพอของคุณพ่อคุณแม่มาด้วย

บ้านของคุณพ่อเป็นบ้านค่อนข้างใหม่ ปลูกเมื่อหลังสงครามมหาอาเซียบูรพานี่เอง แต่ว่าไม่ใหม่เอี่ยม มีต้นไม้ขึ้นสูงพองดงาม บริเวณไม่กว้างใหญ่เหมือนบ้านคุณปู่ที่ปทุมธานี ตำบลบ้านเป็นซอยเล็ก ๆ แยกออกไปจากถนนสุขุมวิท ในซอยนั้นมีเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกับคุณพ่อคุณแม่อยู่ ๒-๓ ครอบครัว

สิริลักษณ์ได้เคยมาพักอยู่ที่นี่หลายครั้งแล้ว หล่อนรู้จักมิตรสหายของคุณพ่อคุณแม่ทุกคน ที่มีอยู่ในวัยใกล้เคียงกับหล่อนที่เป็นสมาชิกในครอบครัวเหล่านั้นที่หล่อนสนใจอยู่ ๒-๓ คนในวันที่คุณพ่อเลี้ยงรับหล่อน หล่อนก็ได้พบทุกคน

สันทนาจะเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกับหล่อน เขาสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้เหมือนกับหล่อน สันทนาอยู่บ้านรั้วเดียวกันกับหล่อน บิดาของเขาเป็นข้าราชการเหมือนคุณพ่อ สันทนามีพี่สาวอายุแก่กว่าเขาปีหนึ่งชื่อแสงสกาว ผ่านการศึกษาขั้นเตรียมอุดมแล้ว ได้เข้าสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้รับความสำเร็จ แสงสกาวจะพยายามใหม่อีกในไม่ช้านี้ แต่ตามสายตาของสิริลักษณ์ แสงสกาวเป็นคนสวยสมชื่อ และการที่ร้อยโท ศุภรัศมิ์ แห่งกองพันทหารม้ารักษาพระองค์มีความสนใจในแสงสกาว สิริลักษณ์ก็เห็นว่าสมควร แต่รงคลักษณ์พี่สาวคน์รองจากสิริลักษณ์ได้ชี้ให้หล่อนสังเกตดูทีท่าของลูกพี่ลูกน้องทางฝ่ายมารดาคนหนึ่ง ชื่อพราวพร่าง ว่าแสดงอาการไม่พอใจกับสถานการณ์อย่างไร เพราะพราวพร่างได้ไปศึกษาที่ประเทศออสเตรเลียได้ปริญญากลับมาแล้ว พราวพร่างเห็นว่าร้อยโทศุภรัศมิ์น่าจะมีรสนิยมสูงเกินแสงสกาว และในวันนั้นเองสุมนัสพี่ชายของสิริลักษณ์ก็มากระซิบว่า เสาวลักษณ์พี่สาวใหญ่ของเขานั้นเอง ก็เป็นคู่แข่งอีกคนหนึ่งของแสงสกาว และมีหวังมากกว่าเพื่อน เพราะพราวพร่างนั้นแพ้เปรียบที่มิได้มีบ้านอยู่ในซอยเดียวกับศุภรัศมิ์ และแสงสกาวนั้น นอกจากสวยแล้ว ไม่มีอะไรจะสู้กับเสาวลักษณ์ได้เลย รู้จักนิสัยดีแล้วก็จะหย่อนความสนใจไป สิริลักษณ์มองดูคนที่มาร่วมรื่นเริงกับหล่อนอย่างครึกครื้นใจ เหมือนในเวลาที่หล่อนอ่านนวนิยายที่สนุก

สิริลักษณ์ได้เข้าเรียนต่อในระดับการศึกษาชั้นสูงตามที่หล่อนได้คาดหวังไว้ และตื่นเต้นในชีวิตใหม่อยู่ประมาณสองสัปดาห์ แล้วก็เริ่มประหลาดใจว่า หล่อนช่างมีความคิดถึงคุณปู่คุณย่าและบ้านที่ปทุมธานีเหลือเกิน หล่อนมีความรู้สึกแปลก ๆ จะว่าว้าเหว่ก็ไม่ใช่ เปล่าเปลี่ยวใจก็ไม่เชิง เพราะหล่อนได้รับความเมตตากรุณาอยู่รอบข้างเป็นอย่างดี แต่ก็ระงับความคิดถึงบ้านเก่าไม่ได้ จึงขออนุญาตกลับไปปทุมธานีปลายสัปดาห์ที่สองนั้น

“อ้าว ทำไม มาอยู่กับพ่อกับแม่ประเดี๋ยวเดียวคิดถึงคุณปู่คุณย่าเสียแล้ว” คุณแม่ถามเมื่อได้ยินคำขออนุญาต

“จิวคิดว่าคุณปู่คุณย่าคงเหงาค่ะ” สิริลักษณ์อธิบาย “เดี๋ยวจะว่าจิ๋วลืมท่านเสียเลย”

“ก็ตกลงกันแล้วไงว่าเดือนหนึ่งถึงจะไป” คุณแม่ว่า “แล้วจิ๋วจะไปคนเดียวได้รึ ก็ต้องมีคนไปส่งไปรับ”

“จิ๋วไปเรือบริษัททวีทรัพย์ได้ค่ะ คนเรือรู้จักกันหมดเลย นายสินแกเป็นคนของคุณปู่ไงคะ”

“คุณพ่อจะว่าไงก็ไม่รู้” คุณแม่ปรารภ “ไกลจากบ้านนี้จะตาย กว่าจะไปถึงท่าเรือ”

“ก็ให้รถไปส่งจิ๋วเท่านั้นแหละค่ะ” สิริลักษณ์เสนอแนะ “กะไปให้ได้เวลาเรือออก ไม่ลำบากอะไรนี่คะ”

“คุณพ่อจะใช้รถไหมก็ไม่รู้” คุณแม่ทำเสียงออดแอดต่อไป ทำให้สิริลักษณ์ประหลาดใจเป็นอันมาก เลยเกิดความคิดว่าจะต้องพยายามไปหาคุณปู่ให้ได้ปลายสัปดาห์นั้น ในเวลาอาหารเย็นวันนั้น หล่อนก็ปรารภความปรารถนากับคุณพ่อ คุณพ่อนิ่งตรึกตรองอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็ออกคำสั่ง ให้สุมนัสพี่ชายคนที่สองของหล่อนไปส่งหล่อนที่ท่าเรือตามเวลาที่หล่อนเสนอ สิริลักษณ์ก็ได้กลับไปบ้านเก่าสมปรารถนา

สิริลักษณ์กลับไปถึงบ้านที่ปทุมธานี พบว่าคุณปู่คุณย่ากำลังทำสวน ก็รีบตรงไปหา แล้วเข้าไปกอดรัดคุณปู่คุณย่าอย่างสมรัก และประหลาดใจตนเองที่ระหว่างที่กอดรัดท่านก็ปล่อยน้ำตาไหลรินไปด้วย ทำให้คุณปู่คุณย่าตกใจ ทั้งที่คุณย่าเองก็ทำกริยาอาการเหมือนกับหล่อน

“ร้องไห้ทำไม จิ๋ว” คุณปู่กับคุณย่าถามพร้อมกัน “มีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าค่ะ” สิริลักษณ์เช็ดน้ำตาพลางตอบและยิ้มไปด้วย “จิ๋วคิดถึงคุณปู่

คุณย่าเหลือเกินเท่านั้นเอง”

“เออ ไปหาอะไรให้หลานมันกินเถอะเธอ”

คุณปู่ว่า แล้วสามีภรรยาก็ละจากต้นไม้ที่ท่านกำลังชมเชยและเลี้ยงรักษา หันมาโอบตัวหลานพาเดินขึ้นเรือน พอขึ้นถึงเรือนคุณปู่ก็เอ่ยขึ้น “เออ จิ๋วมาวันนี้ก็ดี ปู่มีนกให้ดูสองตัว ปู่ได้มาเลี้ยงใหม่”

“นกอะไรคะ” คุณย่าถามอย่างไม่เข้าใจ

“อ้าว” คุณปู่ร้อง “เฮ้ย ใครอยู่ตรงนั้นมั่งวะ ลำใยหรือสงวน พาไอ้นกกระจาบนกกระจิบของข้าออกมาให้จิ๋วดูซิ”

“พุทโธ่” คุณย่าหัวเราะ แล้วภายในหนึ่งวินาที คนใช้คนหนึ่งก็พาเด็กอายุประมาณ 7 ขวบ จากส่วนหลังของเรือนออกมาที่หน้าเรือน เป็นเด็กผู้หญิงจากผิวพรรณที่ไม่ค่อยเกลี้ยงเกลาเต็มไปด้วยแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ และมีสีกร้านแดดลม สิริลักษณ์ก็รู้ว่าเป็นเด็กลูกชาวชนบท

“มา นกกระจาบ นกกระจิบ มาไหว้คุณพี่จิ๋ว” คุณปู่เรียก คุณย่าเข้าไปจูงมือเด็กทั้งสองซึ่งบัดนี้ สิริลักษณ์รู้แล้วว่าเป็นฝาแฝดให้เข้ามาหาหล่อน

“นี่คุณพี่ไปเรียนหนังสือ นาน ๆ กลับมาที ไอ้นกสองตัวนี้ต้องดูแลรับใช้คุณพี่นะ”

เด็กทั้งสองเข้ามาไหว้สิริลักษณ์ตามคำสั่งอย่างไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์นัก แล้วคุณย่าก็ให้กลับไปหลังเรือน แล้วหันมาอธิบายกับจิ๋ว “เมื่อสามวันนี้เอง พ่อแม่มันตายหมด แจวเรือมาถูกเรือเมล์ชนที่ตรงหน้าบ้านเรานี่เอง ปู่กับย่าอยู่ตรงหน้าบ้านพอดี คุณปู่บงการเลย นายสินเขาช่วยไว้ทัน พ่อแม่หัวโดนอะไรไม่รู้ไปตายที่โรงพยาบาลทั้งคู่ เราก็เลยรับมันไว้ นายอำเภอเขารู้จัก เขาว่าไม่มีญาติที่ไหนอีก แล้วคุณปู่ก็ฝรั่งจัดตามเคย ว่าเลี้ยงเด็กต้องเลี้ยงเป็นลูก เป็นหลานเป็นบ่าวไม่ได้ จิ๋วก็เลยมีน้องฝาแฝด ยังไม่รู้จะให้อาคนไหนเขารับเป็นพ่อแม่มัน เห็นจะต้องวานเจ้าลพสักคน ถ้าอา ๆ เขาไม่ยอมกัน เสียดายจิ๋วยังไม่โตพอ ไม่ยังงั้นจะให้มันเป็นลูกจิ๋ว เราจะได้เป็นทวด”

“ไม่ให้ใครเป็นทั้งนั้นละ” คุณปู่ว่า “เขาไม่ได้เลี้ยงมัน เขาก็ไม่รักมัน เอาพ่อแม่ที่มันตายนั่นละให้เป็นลูกหรือหลานเราขึ้นมา แล้วก็หวังเอาจิ๋วเป็นที่พึ่งของมันเผื่อปู่ย่าตายเสียก่อนมันเลี้ยงตัวได้” เว้นระยะแล้วพูดต่อ “ทำไมนะ ถ้าทำอะไรดีๆ จะต้องกะเกณฑ์ให้เป็นฝรั่ง คนไทยทำบุญจริง ๆ มั่งไม่ได้หรือไง”

“ใคร ๆ เขาต้องว่าพิลึกทั้งนั้นละ” คุณย่าว่า “คนอื่นเขาก็เลี้ยงแต่เพียงเอาบุญ นี่อะไรจะเลี้ยงถึงกับเป็นลูกเป็นหลาน มีแต่คุณเท่านั้นละ”

“เอาอีกแน่ะ” คุณปู่เถียง “ไปสบประมาทคนอื่น ๆ เขาอีก คนอื่นเขาก็รู้จักทำบุญให้มันจริงจังเหมือนกันน่ะ แต่ไอ้คนที่ไม่เข้าใจเรามันมีเยอะแยะน่ะ จะไปเอาใจใส่เขาทำไม ให้ลูกหลานเข้าใจก็พอแล้ว จริงไหม จิ๋ว” ท่านย้อนมาขอความเห็นจากสิริลักษณ์

สิริลักษณ์ยังไม่มีความเห็นจะตอบท่านว่าอย่างไร รู้แต่ว่าท่านต้องการจะให้หล่อนแสดงความเมตตากรุณาต่อเด็กสองคนที่ท่านได้รับเลี้ยง จึงเข้าไปกอดรัดแสดงความรักแก่ท่านเป็นคำตอบ แล้วก็พาท่านเดินเข้าไปในเรือน แล้วต่อจากนั้นก็ไปทำกิจการอื่น ๆ ที่หล่อนคิดไว้ว่าจะทำ เช่นเข้าครัว ออกความเห็นให้แม่ครัวทำกับข้าวอย่างโน้นอย่างนี้ตามที่คิดอยากรับประทาน ไปดูกระต่ายที่เลี้ยงไว้ ดูปลาทองในอ่าง และอื่น ๆ

ตลอดปลายสัปดาห์ที่สิริลักษณ์มาพักกับคุณปู่คุณย่า หล่อนก็ปฏิบัติดังกล่าวตลอดเวลา และคุณปู่คุณย่าก็ชวนคุยซักถามถึงโรงเรียนที่เข้าใหม่ ผลัดกันเล่าผลัดกันซักถามตามปรกติของคนที่จากกันไป แล้วกลับมาร่วมกัน และตลอดระยะเวลานั้น สิริลักษณ์ก็ได้แสดงความเมตตากรุณาต่อเด็กฝาแฝด ซึ่งหล่อนสังเกตว่าคุณปู่เอาใจใส่ เข้าลักษณะที่ว่าเห่อ กิจกรรมสำคัญที่คุณย่าวานให้สิริลักษณ์ทำให้เด็กคือ ให้ช่วยสำรวจว่าไข่เหาไม่มีแน่แล้ว และให้ดูร่องรอยว่าจะเป็นหิดหรือไม่ และดูแลความสะอาดอื่น ๆ สิริลักษณ์กลับไปบ้านคุณพ่อคุณแม่ด้วยความรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาของคุณปู่คุณย่า เมื่อสนทนากับพี่ ๆ น้อง ๆ ก็เล่าถึงเหตุการณ์ระหว่างปลายสัปดาห์อย่างสนุกสนาน

“เอ้อ จิ๋วมีน้องใหม่สองคนค่ะ คุณแม่ กลับบ้านคราวนี้” จิ๋วเล่าให้คุณแม่ฟังในตอนบ่ายวันรุ่งขึ้น ขณะที่นั่งรับประทานอาหารว่างเวลาบ่ายเมื่อกลับจากโรงเรียน “เป็นฝาแฝดชื่อ นกกระจาบ กับนกกระจิบ”

“ไปได้มาจากไหน” คุณแม่ถาม

“พ่อแม่มันโดนเรือเมล์ชนตาย” สิริลักษณ์บอก

พร้อมกันนั้น พี่สาวของสิริลักษณ์และมารดากล่าวขึ้นพร้อมกัน พี่สาว ชื่อ รงคลักษณ์ หัวเราะกิ๊ก ๆ พลางร้องขึ้นว่า

“อะไร ใครโดนเรือเมล์ชน”

มารดาถามขึ้นว่า “แล้วมาเป็นน้องจิ๋วได้ยังไง”

“อ้าว” สิริลักษณ์อธิบาย “พ่อแม่มันแจวเรือมา เรือเมล์ก็แล่นมากำลังแรง น้ำพัดยังไงไม่รู้เรือก็เลยวนไปแล้วล่ม แล้วคนเอะอะกัน ลุกขึ้นชะโงกกันบ้างอะไรกันบ้าง คนเรือเมล์เลยทำยังไงไม่ทราบไปชนเรือเล็กเข้าอีก เด็กสองคนนี่คุณปู่บงการให้คนที่บ้านช่วยไว้ได้ พ่อแม่ก็ขึ้นมาได้แต่ไปตายที่โรงพยาบาลถึงว่าเรือเมล์ชน”

“แหม อธิบายเสียใหญ่โต” รงคลักษณ์ว่า “เอาเป็นจริงเป็นจัง”

สิริลักษณ์เบิกตาดูพี่สาวซึ่งมีอายุแก่กว่าหล่อนปีครึ่งอย่างประหลาดใจ “เอ๊ ถามโดยไม่ต้องการคำอธิบายงั้นเหรอ” หล่อนถาม

“นี่อย่ามาเถียงกันเรื่องไม่เป็นเรื่อง” คุณแม่ดุ “ว่าแต่แล้วทำไมมาเป็นน้องจิ๋ว”

“ทำไมคุณแม่ว่าไม่เป็นเรื่องคะ” สิริลักษณ์ติดใจคำกล่าวของมารดา

“คุณปู่เทศนาตั้งยาวแน่ะ คุณปู่ว่าที่เกิดเรื่องยังงี้เพราะคนโดยสารไม่มีวินัย คนเรือก็ประมาท เห็นเป็นชาวบ้านนอกจะให้เป็นคนหลีกท่านเรือเมล์คนใหญ่คนโตเสียเรื่อย”

“นี่ จิ๋ว” คุณแม่ขึ้นเสียง “อย่ามาเจ้าคารี้สีคารมใส่แม่ ฉันไม่ใช่...” คุณแม่ยั้งเอาไว้ ไม่กล่าว ทำให้สิริลักษณ์อยากรู้มากว่าท่านยั้งอะไรไว้ “แม่ถามเรื่องว่า แล้วมันมาเป็นน้องจิ๋วได้อย่างไร”

“คุณปู่รับเอามาเลี้ยงค่ะ” สิริลักษณ์ตอบ ตาจ้องแน่วที่หน้ามารดา แล้วรู้สึกรำคาญมากที่มารดาหลบตาไปทางอื่น

คุณแม่พูดโดยไม่ดูตาสิริลักษณ์ “คุณปู่รับเลี้ยงแล้วทำไมจะต้องเป็นน้องจิ๋ว”

“คุณปู่ว่า เลี้ยงเด็กเป็นบ่าวไม่ได้ค่ะ เลี้ยงก็ให้เป็นลูกเป็นหลาน” สิริลักษณ์ตอบ “อยากทำบุญก็ช่วยเอาเงินให้มัน”

“อ้าว ถ้ายังงั้น คุณปู่มิจ้างเด็กรับใช้ในบ้านไม่ได้เรอะ” รงคลักษณ์ถาม น้ำเสียงแสดงความขบขันในคำอธิบาย

“จ้างมันคนละอย่างนี่คะ” สิริลักษณ์เถียง

“ฟังไม่เห็นรู้เรื่อง” คุณแม่ตัดสิน “แต่ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่น้องจิ๋ว ไอ้นกกระจอกกระแจกอะไรน่ะจะมาเป็นอินทรวัลลภยังไงได้” แล้วคุณแม่ก็สั่งเรื่องอื่นต่อไป และชักชวนสนทนาในเรื่องอื่น

สิริลักษณ์ยังเก็บข้อข้องใจไว้ในสมอง หล่อนอยากรู้เรื่องอย่างยิ่งว่า คำอธิบายของคุณปู่นั้นคืออะไรแน่ แต่สัปดาห์นั้นมีกิจธุระเกี่ยวกับการเรียนหลายอย่าง จึงค่อย ๆ ลืมเรื่องข้องใจนั้นไป

สิริลักษณ์ไปอยู่โรงเรียนสหศึกษา มีเพื่อนนักเรียนต่างเพศจำนวนมาก หล่อนได้รับคำสั่งสอนจากคุณปู่คุณย่ามาพอสมควรในเรื่องนี้ และคุณพ่อคุณแม่ก็ดูเหมือนไม่ค่อยจะห่วงใยนัก สิริลักษณ์จึงมีเพื่อนทั้งสองเพศที่หล่อนคบหาตามสบายใจ สันทนาเป็นบุตรชายของเพื่อนบ้าน จึงสนิทสนมกับสิริลักษณ์เร็วกว่าคนอื่น ๆ เมื่อมีอาหารรสแปลก หรือมีรายการโทรทัศน์ที่น่าสนใจ สันทนาก็มาชวนให้สิริลักษณ์ไปร่วมอร่อยร่วมสนุกที่บ้านของเขา หรือสิริลักษณ์ชวนเขามาที่บ้านของหล่อน หนุ่มสาววัยรุ่นทั้งสองต่างก็ชอบพอกัน และบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายก็ไม่แสดงว่าใครจะทักท้วงอย่างไร แต่เมื่อสิริลักษณ์เรียนที่โรงเรียนไปได้สองสามเดือนหล่อนก็มีสหายเพิ่มจำนวนขึ้น ในบรรดาเพื่อนที่หล่อนต้องอัธยาศัยมากมีเด็กชายรุ่นคนหนึ่งชื่อ วศิน และหญิงหนึ่งชื่ออนุจิตร ทั้งสองคนอยู่บ้านในซอยใกล้ ๆ กับบ้านของหล่อน

วศินเป็นกำพร้าบิดา มีแต่มารดาและน้องเล็กหญิงหนึ่งชายหนึ่ง บ้านของวศินเป็นบ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในซอย วศินต้องเดินออกมาขึ้นรถประจำทางที่ถนนใหญ่อันเป็นทางผ่านไปโรงเรียนของสิริลักษณ์ บางวันสิริลักษณ์ก็รับเขาขึ้นรถยนต์ไปด้วย และบางวันเขาก็อาศัยรถยนต์ของสันทนากลับบ้าน อนุจิตรมีภูมิลำเนาแท้ ๆ อยู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี อาศัยอยู่กับญาติเป็นเชื้อจีนและมั่งคั่ง บ้านของอนุจิตรอยู่ในซอยไกลลงไปจากซอยของสิริลักษณ์สามซอย เพราะฉะนั้นถ้าสิริลักษณ์ไปส่งอนุจิตรก็ทำให้รถเลยออกนอกทางไปบ้าง แต่ก็ไม่มีผู้ใดในครอบครัวคัดค้าน เพราะอนุจิตรก็ไม่ถือโอกาสที่จะรบกวนบ่อยครั้งนัก มักจะยินยอมมาในรถของสิริลักษณ์ก็ในเมื่อมีกิจกรรมทางโรงเรียนซึ่งทำให้ต้องกลับบ้านผิดเวลา หรือมีธุระจำเป็นอย่างอื่น

จนกระทั่งถึงวันเกิดของรงคลักษณ์ รงคลักษณ์มีการเลี้ยงอาหารว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เพื่อนนักศึกษา สิริลักษณ์จึงขออนุญาตชวนเพื่อนมาร่ามด้วยสองสามคน ในจำนวนนี้มีอนุจิตรและวศินด้วย เมื่อเพื่อนฝูงกลับไปหมดแล้ว ถึงเวลารับประทานอาหารค่ำ ทั้งครอบครัวอยู่พร้อมหน้ากัน พี่สาวคนใหญ่ของสิริลักษณ์มีชื่อว่าเสาวลักษณ์เอ่ยขึ้น “อนุจิตรนี้เห็นแต่งตัวนักเรียนก็ดี แต่วันนี้เห็นแต่งตัวธรรมดานี่ไม่ไหว แต่งตัวไม่เป็น”

“เป็นไง พี่เสาว่าแต่งไม่เป็นยังไง” รงคลักษณ์ถาม

“เกือกกับกระเป๋ากับเสื้อไปคนละทาง ไม่สังเกตเหรอ” เสาวลักษณ์ว่า

“รงค์สังเกตแต่ลิปสติกของแก มันมากเกินไป นี่ละเป็นเพราะโรงเรียนไม่ยอมให้ใช้ ที่นี้พอใช้ก็เลยเอาใหญ่” รงคลักษณ์ออกความเห็น

“ดูแกยังเปิ่น ๆ อยู่อีกหลายอย่าง” คุณแม่เสริม “เป็นไง จิ๋ว แกเป็นเด็กบ้านนอกใช่ไหม”

สิริลักษณ์มองดูผู้พูดทั้งสามนัยน์ตาขุ่น “จิ๋วไม่เคยไปสังเกตของพรรค์นั้น” หล่อนตอบ

“ไปว่าเพื่อนเขา เขาโกรธเอาแล้ว เห็นไหม” รงคลักษณ์ว่าพลางหัวเราะ เสาวลักษณ์และคุณแม่หัวเราะด้วย

“ไม่ใช่ยังงั้น” สิริลักษณ์แก้ “ไม่ใช่ว่าเพื่อนจิ๋วใครจะว่าไม่ได้”

“เลิกเถียงกันน่ะ” คุณพ่อเอ่ยขึ้น ทันทีพี่ทั้งสองของสิริลักษณ์ก็ก้มหน้าลงดูจานข้าว มารดาของหล่อนเมินไปทางอื่น

“ไม่ใช่เป็นการเถียงกันนี่คะ คุณพ่อ” สิริลักษณ์ว่า “จิ๋วไม่อยากให้เข้าใจผิดไป เพื่อนหรือตัวจิ๋ว ใครจะว่ายังไงจิ๋วไม่ว่าเลย แต่ว่าจิ๋วว่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องกระเป๋า เรื่องลิปสติก อนุน่ะภาษาไทยเขาเก่งที่หนึ่งเลยค่ะ แล้วก็ขยั้นขยัน จิ๋วชอบเขาเพราะอย่างงั้นต่างหาก”

คุณพ่อพยักหน้าแล้วไม่กล่าวต่อไป สิริลักษณ์หันไปสบตากับมารดา เห็นท่านมองดูหล่อนด้วยสายตาขุ่น แล้วท่านก็หลบตาไปจากทุกคน

ต่อจากนั้นไม่มีการสนทนากันต่อไป ทุกคนบริโภคอย่างเงียบ ๆ จนในที่สุดอาหารมื้อนั้นก็เสร็จสิ้นไป

เวลาเช้าวันรุ่งขึ้น สิริลักษณ์ได้รับความประหลาดใจและตกใจมาก ขณะที่หล่อนกำลังรับประทานอาหารเช้า อนุจิตรก็มาหา เข้ามาจูงมือออกไปจากโต๊ะอาหาร พอลับตาคนอื่น อนุจิตรก็ปล่อยให้น้ำตาพรูออกมาจากเบ้าตา บอกแก่หล่อนด้วยเสียงสั่นเครือว่า

“คุณจิ๋ว เธอเห็นไหม เมื่อวานนี้ฉันมาที่นี่ ไม่ได้วางกระเป๋าสตางค์ที่ไหนเลย นอกจากในห้องพี่รงค์ตอนเข้าห้องน้ำไปล้างมือ พอกลับไปถึงบ้านเปิดกระเป๋าออกดู เงินหายหมดเลย คุณแม่ส่งมาให้ ๔๐๐ จะเอาไปให้ค่าตัดเสื้อกับค่าหนังสือ” แล้วอนุจิตรก็เลยร้องไห้ต่อไป

สิริลักษณ์ตัวแข็ง “จุ๊ๆ อย่าพูดดังไป” หล่อนห้ามเพื่อนโดยยังไม่รู้ตัวว่าห้ามทำไม “เธอกลับบ้านกับใคร”

“กลับรถสันทนา เขาไปส่งฉันกับวศินด้วย” อนุจิตรตอบ

“ในรถเธอทำอะไรบ้าง” สิริลักษณ์ซัก

“ไม่ได้ทำอะไรเลย นั่งเฉย ๆ กระเป๋าก็อยู่กับมือ” เพื่อนหล่อนตอบอีก

“แล้วเวลาถึงบ้านแล้วล่ะ” สิริลักษณ์ซักต่อ

“พอถึงบ้านก็เข้าห้องนอน เปิดกระเป๋าจะเอาผ้าเช็ดหน้า ก็ไม่เห็นเงินเลยสักบาทเดียว”

“แล้วเธอทำยังไง”

“ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง จะบอกคุณป้าก็กลัว พี่ ๆ ก็นอนหลับกันหมดแล้ว เช้าขึ้นก็รีบมาหาเธอนี่และ”

สิริลักษณ์จ้องดูหน้าเพื่อนอย่างหมดปัญญา “เธอนั่งตรงไหนบ้าง” หล่อนซักอีก “เมื่อวานนี้น่ะ ที่บ้านนี้”

“ก็นั่งอยู่กับเธอตลอดเวลา” อนุจิตรตอบ “เธอจำไม่ได้เหรอ”

“จำไม่ได้หรอก” สิริลักษณ์ตอบ “ฉันวิ่งไปวิ่งมาช่วยหยิบโน่นหยิบนี่ ฉันรับแขกเพื่อน ๆ แล้วก็ช่วยรับแขกของพี่รงค์ด้วย”

อนุจิตรยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดหน้าพลางสะอื้น “แล้วเธอจะไม่ช่วยฉันเลยเทียวเรอะ”

สิริลักษณ์มองเห็นภาพของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดในบ้านหล่อน ถ้าหล่อนพยายามจะช่วยอนุจิตรตามที่อนุจิตรหวัง แต่ก็ถามว่า “เธอจะให้ช่วยอย่างไรล่ะ”

“ถามคุณพี่ ๆ ของเธอดูก่อนซี เผื่อใครจะเห็นบ้าง”

“ก็เธอบอกเธอไม่ได้ลุกไปไหนเลย นอกจากไปเข้าห้องน้ำ แล้วเวลาเธอเข้าไป ก็มีฉันอยู่ในห้องคนหนึ่งแล้วก็ดูเหมือนพี่รงค์ แล้วก็ไม่มีใคร เวลาเธอออกมา พบใครมั่งล่ะ จำได้ไหม”

“ก็พบพี่รงค์น่ะแหละ” อนุจิตรตอบ “เธอดูเหมือนจะออกไปก่อน”

“เธอออกมา กระเป๋าอยู่ตรงไหน” สิริลักษณ์พยายามให้เพื่อนคิดย้อนกลับไป

“ก็อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งน่ะแหละ”

“เธอเข้าห้องน้ำตอนมาถึงเลยทีเดียวใช่ไหม ใครก็ไม่รู้ว่า หน้าเธอเป็นอะไร หรือต้องล้างมือหรืออะไรน่ะแหละ”

“เธอน่ะแหละบอกว่า ขึ้นรถเมล์มา ก่อนกินอะไรต้องล้างมือเสียก่อน แล้วก็ให้ขึ้นไปผัดหน้าด้วย แล้วเธอจะให้ดูห้อง แล้วก็ไม่ได้ดู ใครมาเรียกเธอก็ไม่รู้”

สิริลักษณ์ยังอัดอั้นตันใจยิ่งขึ้น ในบ้านของหล่อนนอกจากพี่น้องและบิดามารดาของหล่อนแล้วมีแต่คนใช้เก่าแก่ของตระกูล เด็กคนใช้ที่รับใช้เบ็ดเตล็ดเล็กน้อย ก็เป็นลูกของแม่ครัว ซึ่งเป็นลูกของแม่ครัวเก่าตั้งแต่ครั้งเจ้าคุณปู่อีกชั้นหนึ่ง คนทำสวนก็เป็นลูกเขยของคนขับรถ ซึ่งก็เป็นลูกชายของทนายรับใช้คุณย่ามา ถ้าหากมีการซักถามหาเงินขึ้นในบ้านของหล่อน สิริลักษณ์รู้ดีว่า ตัวหล่อนเองจะกลายเป็นจำเลยในคดีหมิ่นประมาท ยิ่งอนุจิตรเป็นเจ้าทุกข์ ก็ยิ่งเป็นโอกาสที่จะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่าย แต่สิริลักษณ์ก็รู้ว่าอนุจิตรคงจะไม่เข้าใจเลย และหล่อนก็จะต้องเสียมิตรไปคนหนึ่ง

ปากไวกว่าความคิด สิริลักษณ์แนะขึ้นว่า “ฉันช่วยเธออย่างนี้ได้ไหม เธอเอาเงินของฉันไปร้อยนึงก็แล้วกัน”

อนุจิตรเกือบอ้าปาก มองดูหน้าสิริลักษณ์ด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง แล้วก็สั่นศีรษะ “ฉันต้องได้เงินอย่างน้อยสองร้อยห้าสิบ ไม่งั้นไม่มีให้ค่าหนังสือ คุณป้าออกไปให้แล้วฉันบอกให้คุณแม่ส่งมาใช้ ฉันกลัวคุณป้าจะโกรธแย่เลย”

สิริลักษณ์สะบัดหน้าอย่างขัดใจ แต่พอเห็นน้ำตาของอนุจิตรไหลพรากลงมาอีก หล่อนก็พูดออกไปโดยไม่ได้ยั้งคิดอีก “เอ้า ฉันจะหาให้เธอ” แล้วก็วิ่งขึ้นไปบนเรือน เปิดตู้หยิบเงินของหล่อนทั้งหมดที่มีลงมา ขณะนั้นพี่สาวและพี่ชายของหล่อนแต่งตัวและรับประทานอาหารเสร็จ และกำลังมายืนรอหล่อนอยู่ที่หน้าบันไดตึก เพื่อจะขึ้นรถออกจากบ้านพร้อมกัน สิริลักษณ์เกือบจะเช็ดน้ำตาแทนอนุจิตร หล่อนฉวยข้อมือเพื่อน ดันตัวให้ไปขึ้นรถของหล่อน ขึ้นนั่งรถอย่างเบียดเสียด ทำให้รงคลักษณ์หน้าบึ้งตลอดทางจนรถมาถึงมหาวิทยาลัย รงคลักษณ์ลงแล้วก็บุ้ยปากให้รถไปส่งอนุจิตรกับสิริลักษณ์ ทั้งสองเมื่อถึงโรงเรียน ก็รีบเดินเข้าประตูจนถึงที่ลับคนพอสมควร สิริลักษณ์ก็ส่งเงินให้แก่อนุจิตร หล่อนคิดว่าถ้าอนุจิตรแสดงความขอบใจมากนัก ก็จะยับยั้งเสียเพื่อกันรำคาญ แต่สิริลักษณ์ได้รับความพิศวงอย่างมาก ในเมื่ออนุจิตรรับเงินจากหล่อนแล้ว ก็รีบเดินก้มหน้าหนีไปโดยไม่กล่าวว่าอย่างไรสักคำเดียว สิริลักษณ์มองตามโดยปากอ้าเผยอ ไม่รู้ตัวว่าตัวทำกิริยาอย่างไร จนมีคนมาชนหล่อนเบา ๆ แล้วก็มีเสียงขอโทษ สิริลักษณ์จึงได้สติ หันมามองเจ้าของเสียงที่กล่าวคำขอโทษจึงเห็นว่าเป็นวศิน หล่อนหันไปบอกเขาทันที โดยมิได้สังเกตสีหน้าของเพื่อนหนุ่มให้ดี

“เอ้อ แปลกไหม” หล่อนบอกเขา “อนุจิตรเขาทำเงินหาย แล้วฉันเห็นเขาร้องห่มร้องไห้ ฉันก็เลยออกเงินของฉันให้ไปก่อน เขาไม่ขอบใจสักคำ แล้วยังเดินก้มหน้าหนีไป เธอเข้าใจไหม”

วศินไม่สู้ตาสิริลักษณ์ ตอบอ้อมแอ้มว่า “เขาคงกำลังกลุ้มใจน่ะเอง”

“กลุ้มใจให้แทบตายก็ควรรักษากิริยา” สิริลักษณ์ปรารภดัง ๆ แล้วพอดีระฆังเข้าห้องดังขึ้น หนุ่มน้อยและสาวน้อยก็แยกจากกันไป

สิริลักษณ์ได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมากจากการที่ได้อุทิศเงินให้อนุจิตรไป ทีแรกหล่อนคิดจะหาโอกาสเล่าให้คุณแม่ฟังเรื่องของอนุจิตร แล้วจะขอเงินคุณแม่ชดใช้ ถ้าคุณแม่ให้หล่อนทั้งสองร้อยห้าสิบบาท ก็แปลว่าเป็นโชคดี ถ้าคุณแม่ไม่กรุณาก็จะขอยืมเงินจำนวนนี้ก่อน แล้วก็จะประหยัดการใช้จ่ายในเดือนต่อๆ ไป และผ่อนใช้คุณแม่ทีละเล็กทีละน้อย แต่ในตอนเย็นวันนั้น พอสิริลักษณ์กลับถึงบ้าน หล่อนก็เห็นคุณปู่และคุณย่าเดินอยู่ที่สนามหญ้าหน้าตึกในบ้านของหล่อนนั้นเอง ไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากคนใช้ ซึ่งได้นำน้ำเย็นใส่ถ้วยแก้วลงมาต้อนรับท่านผู้ใหญ่ทั้งสอง ถูกต้องตามที่ได้เคยได้รับการฝึกหัดมา สิริลักษณ์เกือบกระโดดลงจากรถด้วยความดีใจ วิ่งตรงเข้าไปสวมกอดคุณปู่และคุณย่า ไม่ได้สังเกตอะไรนอกเหนือไปจากนั้น

คุณปู่เอ่ยขึ้น “จิ๋วไม่สังเกตอะไรเรอะ ดูให้ดี ๆ ซิ”

สิริลักษณ์มองไปโดยรอบ และรงคลักษณ์ผู้ซึ่งได้ลงจากรถเรียบร้อยและได้เข้ามาทำความเคารพญาติผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วก็มองไปด้วย รงคลักษณ์ร้อง “ว้าย” แล้วรีบวิ่งไปที่กอกุหลาบริมสนาม กำลังออกดอกสีชมพูสดเป็นช่อใหญ่ ที่นั้นมีเด็กผู้หญิงอายุประมาณ ๓ ขวบสองคน กำลังผลัดกันประคองดอกไม้ให้กันดมทีละดอก คุณย่าร้อง “ว้าย” ขึ้นพร้อมกับรงคลักษณ์ แล้วก็รีบเข้าไปจับมือเด็กออกมาเสียจากดอกไม้

“ไอ้นกสองตัวยังไม่ได้ไหว้กราบคุณพี่ ๆ” คุณปู่ว่า “มัวไปชมดอกไม้ มันชอบดอกไม้เสียจริง ราวกับไม่เคยพบเคยเห็น”

คุณย่าพาเด็กทั้งสองมาไหว้ทั้งรงคลักษณ์ และสิริลักษณ์ ระหว่างที่กำลังทักทายกันอยู่เสาวลักษณ์เดินเข้าบ้านมา คุณปู่จึงให้เด็กทั้งสองไหว้ “คุณพี่” อีกคนหนึ่งด้วย เสาวลักษณ์ถามว่า

“คุณปู่คุณย่าจะไปไหนหรือยังไงคะนี่”

“ฮึ” คุณปู่หัวเราะ “พาไอ้นกสองตัวของปู่มาให้หมอตรวจ มันเป็นวงอะไรขาวๆ ที่ก้นมัน หมอที่เมืองปทุมเขาไม่ไว้ใจ เขากลัวจะเป็นโรคเรื้อน เขาให้พามาให้หมอพิเศษตรวจ”

“อุ๊ยตาย” เสาวลักษณ์และรงคลักษณ์อุทานขึ้นพร้อมกัน

“เปล่า มันไม่ใช่หรอก” คุณปู่บอกอย่างอารมณ์ดี “มันเป็นโรคผิวหนังธรรมดานี่แหละ พุทโธ่เอ๊ย” คุณปู่เอามือจับผมเด็กทั้งสองคนลูบไล้ไปมา “แต่นี่มันจะค่ำแล้ว ปู่จะต้องไปละ แวะมาหาเดี๋ยวเดียว ไม่พบใคร”

“คุณปู่คุณย่าไม่ทานอะไรเสียก่อนแล้วถึงไปหรือคะ” สิริลักษณ์ถาม

“ไม่ล่ะ ปู่มารอครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว อาทิตย์นี้จิ๋วจะกลับบ้านไม่ใช่รึ” แล้วตามนิสัยใจเร็วของท่าน ท่านก็ต้อนเด็กสองคน พยักหน้ากับคุณย่า พาเดินออกจากบ้าน สิริลักษณ์ร้องขึ้นว่า

“ประเดี๋ยวค่ะ คุณปู่ไปรถไม่ดีหรือคะ ให้รถไปส่งที่ท่าเรือ”

“รถจะต้องไปรับคุณพ่อที่บ้านท่านรัฐมนตรี” รงคลักษณ์ขัดขึ้น “วันนี้คุณพ่อกลับมาแล้วต้องรีบแต่งตัวไปกินเลี้ยง”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงปู่ ปู่เดินไปเรียกแท็กซี่ที่ปากซอย” คุณปู่ตอบ

พลางออกเดิน สิริลักษณ์เดินตามไปส่งคุณปู่คุณย่าที่ปากซอย ระหว่างทางคุณปู่เล่าถึงความก้าวหน้าของเด็กทั้งสองอย่างภาคภูมิใจ เล่าถึงความฉลาดไหวพริบและแสดงความขบขันถึงนิสัยเด็กที่เคยชินกับสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่ง แล้วต้องมาเปลี่ยนเป็นอีกอย่างหนึ่ง จนถึงที่ปากซอย เรียกรถแท็กซี่ได้คันหนึ่งแล้วก็ลาจากกัน

สิริลักษณ์เดินบ้างวิ่งบ้างกลับเข้ามาที่บ้าน ในใจกำลังเบิกบานที่ได้พบคุณปู่คุณย่า และได้เห็นท่านมีความสุขกายสบายใจ หล่อนเห็นพี่สาวทั้งสองยังยืนอยู่ที่สนามหญ้าก็เดินเข้าไปใกล้ พอรงคลักษณ์เห็นหล่อนก็กล่าวว่า

“นี่ ดูไอ้เด็กขี้เรื้อนของคุณปู่ซิ ทำดอกไม้ของคุณพ่อหักไปดอกหนึ่ง เดี๋ยวก็เดือดร้อนกันหมดทั้งบ้าน”

“คุณแม่โกรธตายรู้ไหมนี่” เสาวลักษณ์เสริม “ฉันกลุ้มใจจังเลย ใครจะเป็นคนเรียนคุณแม่นี่”

“โธ่ ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้” สิริลักษณ์ว่า “จิ๋วเรียนเองก็ได้ คุณพ่อคงไม่ว่าอะไรหรอก”

รงคลักษณ์กับเสาวลักษณ์แลดูตากัน “จิ๋วเรียนคุณพ่อเองนะ ฉันไม่เอาหรอก เรียนคุณพ่อเลยนะไม่ต้องบอกคุณแม่ก่อน เดี๋ยวโดนสองหน เอาไว้ให้พร้อมกันเลย” เสาวลักษณ์ว่า แล้วก็ฉุดมือรงคลักษณ์ขึ้นเรือนไป

ค่ำวันนั้นคุณพ่อไม่กลับมารับประทานอาหารที่บ้านและไม่ได้กลับมาแต่งตัวตามที่รงคลักษณ์บอกไว้ สิริลักษณ์ลืมเรื่องดอกไม้แล้ว กำลังคิดเตรียมการจะเรียนปรึกษาคุณแม่เรื่องเงินที่ตนต้องการ เห็นคุณแม่นั่งอยู่ในห้องรับแขกซึ่งเปิดติดต่อกับห้องรับประทานอาหาร จึงเดินเข้าไปหา ก็พอดีได้ยินเสียงรงคลักษณ์ ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งบังมุมอยู่กล่าวแก่คุณแม่

“จิ๋วเขาว่าเขาจะเรียนคุณพ่อเอง รงค์กลุ้มจะตาย เขาว่าเราทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่”

สิริลักษณ์เดาเรื่องได้ว่ารงคลักษณ์พูดเรื่องเด็กสองคนทำดอกไม้หัก หล่อนเดินตรงเข้าไปหามารดาและพี่สาว นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง และกล่าวขึ้น

“โธ่ เรื่องดอกไม้อีกแล้ว จิ๋วบอกแล้วจิ๋วจะเรียนคุณพ่อเอง”

พี่สาวและมารดาหันมาค้อนหล่อนพร้อมกัน คุณแม่กล่าวว่า “หล่อนน่ะ เป็นลูกรักคนโปรดของคุณพ่อตั้งแต่เมื่อไร”

“เอ๊อ จิ๋วไม่ได้ว่าจิ๋วเป็นลูกรักลูกโปรดอะไรสักที” สิริลักษณ์ว่า “จิ๋วไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอะไร ดอกไม้มันก็ต้องหักบ้างซิคะ”

“มันไม่ได้หักเอง” รงคลักษณ์ว่า “ไอ้เด็กนั้นมันเข้าไปหัก”

“โธ่” สิริลักษณ์ร้องขึ้น “ก็เด็กมันตัวเท่านั้นมันจับอะไร มันก็ทำหักบ้างซิ มันแกล้งเมื่อไรล่ะ”

“แม่นึกออกแล้วละ” คุณแม่พูดขึ้น สีหน้าเปลี่ยนจากเคร่งเครียดเป็นแช่มชื่น “คุณพ่อไม่ได้นับหรอกว่ามีกี่ดอก วันที่คุณพ่อดูดอกตูมเล็กนี่มันยังไม่เป็นดอก คุณพ่อไม่รู้หรอก ไม่ต้องบอกก็ได้”

“โธ่ คุณแม่พูดราวกับคุณพ่อเป็นอะไรก็ไม่รู้” สิริลักษณ์ว่า “จิ๋วเรียนคุณพ่อได้ค่ะ จิ๋วไม่กลัวหรอกค่ะ ถึงคุณพ่อดุจิ๋วก็ไม่กลัวค่ะ”

คุณแม่หันมาจ้องหน้าสิริลักษณ์ด้วยดวงตาขุ่นเขียว “นี่จิ๋ว อยู่กับคุณปู่คุณย่าน่ะแบบนี้เสมอเรอะ พูดจาอวดดียังงี้ละเรอะ ฉันนึกแล้ว ให้ลูกไปให้คนอื่นเลี้ยงมันจะต้องเป็นยังงี้” คุณแม่ลงเสียงอย่างน้อยใจ “ฉันจะเอาคืน จะเอาคืนก็ยังโง้นละ ยังงี้ละ...”

“ใครยังโง้นยังงี้คะ” สิริลักษณ์ถาม เสียงแข็งและใจเต้นรัวแทบจะออกมาจากทรวงอก หล่อนจ้องตามารดาอย่างจะเรียกเอาคำตอบให้ได้

คุณแม่สะบัดหน้าและลุกจากที่นั่ง “ไปเอาเด็กขี้เรื้อนที่ไหนมาเลี้ยง แล้วจะมาเกณฑ์ให้เป็นลูกใครหลานใครน้องใคร แล้วเธอก็อย่าให้มันเกินไปนะ แหมจ้องตาเป๋ง ประเดี๋ยวไปทำกับคุณพ่อแบบนี้บ้างละก็เดือดร้อนกันทั้งบ้านละ”

สิริลักษณ์เกิดความรู้สึกประหลาด หล่อนเกิดความเข้าใจอะไรราง ๆ ใจหนึ่งไม่ยอมรับความเข้าใจนั้น ใจหนึ่งก็กระซิบบอกหล่อนว่า ไม่ใช่กาละไม่ใช่เทศะที่หล่อนจะกล่าวอะไรโต้ตอบกับมารดา หล่อนจึงหลบตาลง ระงับปากระงับใจ ลุกหนีไปเสียจากที่นั้นเข้าไปในห้องกินข้าว หล่อนเข้าไปนั่งรออยู่ครู่ใหญ่ มารดากับพี่สาวก็ยังไม่ตามเข้าไป จนหล่อนรู้สึกหิวจัด กำลังคิดพะว้าพะวังว่าควรออกไปเตือนมารดาให้เข้ามารับประทานอาหารหรือไม่ ก็พอดีเสาวลักษณ์เข้ามาในห้องนั้น ร้องขึ้นว่า “หิวจัง ยังไม่กินกันอีกหรือ” หล่อนจึงแนะให้ไปเชิญคุณแม่เข้ามา เสาวลักษณ์ออกไปเรียกมารดามารับประทานอาหาร คุณแม่และรงคลักษณ์จึงเข้ามา ระหว่างการรับประทานอาหาร คุณแม่เกือบไม่พูดอะไรเลย รงคลักษณ์ก็พลอยเงียบไปด้วย เสาวลักษณ์เป็นคนคุยคนเดียว แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคอยต่อปากคำก็เลยเงียบไปในที่สุด สุมนัสนั้นเมื่อคุณพ่อไม่อยู่บ้านก็ถือโอกาสไม่มารับประทานอาหารร่วมกับมารดาและพี่น้องผู้หญิง คุณแม่บ่นสองสามคำว่า “เป็นอย่างนี้เสมอ” แต่ก็ไม่จัดการประการใด รงคลักษณ์กับเสาวลักษณ์ รับประทานอิ่มแล้วก็ลุกจากโต๊ะอาหารไป เหลืออยู่แต่สิริลักษณ์กับคุณแม่ สิริลักษณ์รอจนคุณแม่รับประทานของหวานเสร็จเรียบร้อย แล้วลุกจากโต๊ะ แล้วหล่อนจึงไปยังห้อง ไม่มีกำลังใจจะทำการบ้านหรือดูหนังสือ ขึ้นเตียงสวดมนต์แล้วก็พยายามนอนให้หลับ ท่องคาถาที่คุณย่าเคยสอนให้ท่องสำหรับเวลาใจไม่เป็นสุขเป็นภาษามคธสั้น ๆ ซึ่งสิริลักษณ์มิได้เข้าใจความหมายแจ่มแจ้งนัก และในที่สุดก็หลับไป

ตลอดสัปดาห์นั้น สิริลักษณ์จึงไม่มีเงินใช้เลย หล่อนรู้จักว่าความหิวคืออะไรเป็นครั้งแรกในชีวิต วันที่หนึ่งและวันที่สอง สิริลักษณ์ซื้ออาหารกลางวันรับประทานด้วยเงินเชื่อ โดยบอกแก่คนขายอาหารที่โรงเรียนว่าลืมเอาเงินมา คนขายอาหารก็ยอมให้เชื่อ ครั้นถึงวันที่สาม สิริลักษณ์ก็ไม่กล้าสู้หน้าแม่ค้า จึงคิดลองไม่รับประทานอาหารกลางวัน ผลก็คือหล่อนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องเลย ความทุกข์ยากทำให้เกิดความฉลาด คือนึกขึ้นได้ว่า ถ้าหล่อนตื่นแต่เช้ากว่าพี่น้องอื่น ๆ รีบเข้าไปในครัว ตัดขนมปังชิ้นหนา ๆ สองขึ้น เอาเนยทาและหาปลาหรือเนื้อหรือไข่สอดเข้าเป็นแซนด์วิช ก็จะมีอาหารกลางวันกินได้โดยไม่ทำให้ใครในบ้านถามทัก และไม่มีผู้ใดทราบว่าหล่อนไม่มีเงินใช้ เพราะสิริลักษณ์แน่ใจว่าการกระทำของหล่อนนั้นจะไม่ได้รับความเห็นชอบของผู้ใดเลย หล่อนนับวันรอคอยให้สัปดาห์นั้นสิ้นสุดลงโดยเร็ว พอถึงปลายสัปดาห์ก็ลาบิดามารดาไปปทุมธานี

สิริลักษณ์เกือบเป็นปากเสียงกับรงคลักษณ์อีกครั้งหนึ่ง แต่หล่อนยับยั้งตนไว้ได้ทันท่วงที คือพอสิริลักษณ์บอกลาคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งนั่งอยู่ในห้องรับแขกด้วยกัน ว่าหล่อนใคร่จะไปหาคุณปู่คุณย่าทั้งที่ยังไม่ถึงกำหนดหนึ่งเดือนตามที่ตกลงกันไว้ รงคลักษณ์ก็เอ่ยขึ้น

“ทำไมนะ คุณปู่ถึงต้องพูดกับจิ๋วว่า กลับบ้าน กลับบ้าน ราวกับบ้านนี้ไม่ใช่บ้านของจิ๋ว”

สิริลักษณ์ก้มหน้าเสียไม่มองตาผู้ใด คุณพ่อเอ่ยขึ้น “ดีซี มีบ้านสองบ้าน ไม่เห็นเสียหายอะไร” รงคลักษณ์จึงไม่พูดต่อ แต่คุณพ่อถามว่า

“ทำไมถึงไปอาทิตย์นี้ล่ะ” สิริลักษณ์อึกอัก ไม่ทราบว่าจะอธิบายอย่างไร ในที่สุดก็บอกว่า “ดูเหมือนคุณปู่จะอยากให้ไปค่ะ วันนั้นสั่งไว้” แล้วคุณพ่อก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วอนุญาตให้ไปตามประสงค์

สิริลักษณ์ไปถึงบ้านที่ปทุมธานีก็พบว่าคุณย่าอยู่ในสวนตามเคยของท่าน หล่อนก็ตามลงไปในสวนตามปรกติของหล่อนเหมือนกัน เสียงคนใช้เรียกนกกระจิบกับนกกระจาบให้ออกมารับรองหล่อน เด็กฝาแฝดก็วิ่งออกมาจากในห้องตรงเข้ามากอดรัดอย่างสนิทสนม สิริลักษณ์พิศดูเห็นผิวพรรณของเด็กทั้งสองผ่องใส ผิดจากที่หล่อนได้เห็นครั้งก่อน ดวงตาแสดงความใคร่รู้ใคร่เรียน ทั้งสองแย่งกันชี้ชวนให้หล่อนดูต้นไม้และนกในสวน ด้วยสำเนียงแปร่งแบบชนบท ฟังน่าเอ็นดูและน่าขบขัน สิริลักษณ์รวบตัวเด็กทั้งสองไว้กับตัว และพาเดินเข้าไปกราบคุณย่า คุณย่าละจากต้นไม้ที่ท่านกำลังให้ปุ๋ยและเปลี่ยนดิน หันมายกมือกอดหล่อนไว้อย่างหลวม ๆ เพราะกลัวดินจะถูกร่างกายหล่อน แล้วก็บอกให้เด็กฝาแฝดพา “คุณพี่” ขึ้นเรือน ถือโอกาสใช้ให้เด็กทั้งสองทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าที่จะทำได้ เช่นให้ไปยกจานขนมในตู้ออกมาให้ “คุณพี่” และให้หานำให้ดื่ม

“ยกขนมให้คุณพี่แล้วอย่าลืม ต้องหาน้ำให้ด้วย รู้จักรินน้ำจากหม้อเย็นแล้วใช่ไหม นกกระจิบนกกระจาบ”

สิริลักษณ์ไปถึงบ้านเป็นเวลาสาย ๆ พอจวนเวลาอาหารกลางวัน คุณปู่ก็กลับมาจากไปธุระในเมือง คุณปู่มีเรื่องมาเล่ามากมายตามเคยของท่าน

“บาทหลวงแกมาคะยั้นคะยอปู่” ท่านว่า “แกจะให้ปู่เป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องสมาคมผู้ปกครอง ก็ว่าจะลองดูให้แกเห็นใจ บอกแกแล้วว่าน่ากลัวมันไปไม่รอด คนไทยเรายังไม่ค่อยรู้เรื่องกันเรื่องสมาคม”

คุณย่าซักถามเรื่องราวอย่างสนใจ คุณปู่ก็เล่าอย่างสนุกสนาน เรื่องที่คุณปู่เล่าดูเป็นเรื่องสนุกไปหมดสำหรับสิริลักษณ์ ซึ่งคุณปู่มีการแถมท้ายว่า “นี่เป็นปัญหาไทยใหม่นะจิ๋ว” คำที่คุณปู่ใช้นี้ คุณปู่อธิบายด้วยว่า “ศัพท์แสงสมัยใหม่นี่เขาก็ว่า ปัญหาสังคมปัจจุบันไงล่ะ แล้วจิ๋วโตขึ้นอีกหน่อยก็จะได้เรียน” แล้วคุณปู่ก็ยกตัวอย่าง “ยังงี้ไงจิ๋ว นี่ปู่จะว่าให้ฟังนะ เช่นไอ้นกกระจิบนกกระจาบนี่มันเป็นปัญหาสังคมรู้ไหม”

“ฮื้อ” คุณย่าขัดคอ “มันจะเกินไปละ ไอ้นกกระจิบกระจาบนี่ก็เกิดเป็นปัญหาสังคมอะไรขึ้นมาอีกล่ะ มันเป็นปัญหาของฉันละซี คุณไปเอามาให้ฉันน่ะไม่ว่า แก่แล้วยังต้องเลี้ยงเด็ก”

คุณปู่พยักหน้ากับสิริลักษณ์อย่างคนรู้ถึงกัน “ฟังว่า ฟังคุณย่าแกนะจิ๋ว เอาบุญเอาคุณ ที่แท้ตัวเองน่ะแหละเห่อจะตาย”

“ฮุ้ย ฉันเห็นคุณเห่อฉันก็เห่อตาม ดีซิ แก่แล้วเห่อเด็ก ดีกว่าไปเห่อไอ้ที่ไม่เด็ก” คุณย่าค้อนนิดหน่อย

“ดูซิ จนเป็นย่าเป็นยายคนแล้วยังมาค้อนกันอีก” คุณปู่ว่า “นี่ปู่จะยกตัวอย่างนะ ทำไมจะไม่ใช่ปัญหาสังคม แล้วจะว่าเป็นปัญหาคุณย่าก็ได้ คุณย่าละตัวแสดงปัญหาสังคมดีนักละ” คุณย่าค้อนอีกทีหนึ่ง คุณปู่พูดต่อไป “ก็ไอ้คนใช้บ้านเรา รวมทั้งนายสินทนายเก่า มันเคยเห็นไอ้เด็กสองคนนี้นั่งเรือมากับแม่มัน พ่อแม่มันพามาตกปลา ทอดแหตลอดแควตลอดคุ้งในคลองทางโน้น ๆ คนเขาก็รู้จักมัน เขาก็เลยเรียกมันไอ้นกบ้าง อีจิบอีจาบบ้าง ทีนี้มันมาเป็นหลานคุณย่า คุณย่าก็อยากให้เขาเรียกคุณกระจิบ คุณกระจาบ แล้วใครมันจะยอมเรียก”

“เอ้อ คุณปู่คะ” สิริลักษณ์กล่าวขึ้น “พี่รงค์เขาว่าคุณปู่เลี้ยงเด็กเป็นบ่าวไม่ได้ แล้วมิจ้างเด็กรับใช้มาไม่ได้รึ จิ๋วไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร”

“อ้าว มันคนละเรื่องกันนี่ลูก” คุณปู่ตอบ “ถ้าเด็กมันมีพ่อมีแม่ พ่อแม่ให้มันมารับจ้างเรา ความรับผิดชอบก็อยู่ที่พ่อแม่มัน แต่ถ้าเด็กไม่มีพ่อมีแม่ ใครจะรับผิดชอบให้มันเป็นลูกจ้าง ถ้าเราจะทำหน้าที่พ่อแม่แทน เราก็เลยต้องเป็นทั้งนายจ้าง และลูกจ้าง”

“พูดแบบหมอความอีกแล้ว” คุณย่าว่า “เรื่องของเราคือพอเห็นมันเข้าก็เวทนา ไหน ๆ จะเลี้ยงแล้ว จะทำใจครึ่ง ๆ กลาง ๆ ยังไงได้”

“เหตุผลของเธอกับเหตุผลของฉันไม่เหมือนกัน แต่ก็พออยู่ด้วยกันได้ แต่เป็นอันว่าคุณประภา อินทรวัลลภ จะต้องมีหลานเป็นไอ้นกกระจิบ ไอ้นกกระจาบ อีจิบอีจาบน่ะมันไม่เรียกกันแล้ว มันไปไหน ๆ กับเรา เป็นหลานคุณปู่คุณย่า เขาก็เลิกเรียกไป แต่ว่าจะให้เขาเรียกคุณน่ะ มันไม่สำเร็จหรอก เราทำใจของเราซิ นี่มันหลานเรา แต่ว่าชาวบ้านเขาก็ว่ามันลูกหลานของเขาเหมือนกัน เรากับชาวบ้านมีลูกหลานด้วยกันละทีนี้ พอมันโตเป็นสาว ขี้คร้านจะมีหนุ่มๆ มาเรียกคุณสกุณีคร้าบ คุณสกุณาคร้าบ” คุณปู่ลากเสียงทำเหมือนเสียงชายหนุ่มออดหญิงสาว

คุณย่าค้อนอีกทีหนึ่ง “ก็ฉันไปว่าอะไร ยังจะต้องเก็บไว้ฟ้องหลานสาว ฉันน่ะมันปัญหาสังคมละ ระวังเถอะอีกหน่อยมันจะเป็นปัญหาฌาปนกิจ”

“แหม คุณย่าอย่าพูดยังงี้ซิคะ จิ๋วไม่อยากได้ยินเลย” สิริลักษณ์พ้อขึ้น

“อ้าว ทำไมไม่อยากได้ยินล่ะ” คุณปู่ท้วง “ได้ยินไว้ซีจิ๋ว ปู่ย่านี่จะต้องตายวันหนึ่ง ถึงจิ๋วเองก็อาจตาย อาจตายก่อนปู่ย่าก็ยังได้นะลูกนะ”

“แหม แหม” สิริลักษณ์โบกมือไปมา “ไม่เอาค่ะ ไม่เอา จิ๋วยังไม่ยอมฟัง”

“จิ๋วจะหนีความจริงไปไม่พ้นหรอก” คุณปู่กล่าว พลางเอามือโอบตัวหลานสาวมากอดไว้ ปู่กับย่าคงไม่ตายพร้อมกันหรอกน่ะ แต่ เอ๊ะ สมัยนี้ก็ไม่ แน่” แล้วดูเหมือนคุณปู่เองก็ยังเข้มแข็งไม่พอที่จะพูดถึงเรื่องเศร้ามากนัก จึงเลยเล่าเรื่องอื่น ๆ ให้ภรรยาและหลานฟังต่อไป

สิริลักษณ์เล่นสนุกอยู่กับเด็กฝาแฝดตลอดบ่ายวันนั้น จนกระทั่งเวลาเย็นแดดอ่อน คุณย่าลงสวนอีกครั้งหนึ่ง หล่อนเห็นเป็นโอกาสจะได้อยู่ตามลำพัง จึงตามท่านลงไปในสวน แล้วก็ขอร้องให้ท่านหาที่นั่งฟังหล่อนพูดธุระ เมื่อหาที่นั่งบนเก้าอี้ใต้ต้นไม้ได้แล้ว สิริลักษณ์ก็เล่าเรื่องอนุจิตรทำเงินหาย และได้มาขอความช่วยเหลือหล่อน และหล่อนได้ให้เงินไป

“จิ๋วบอกคุณแม่หรือเปล่า” คุณย่าถาม

“ทีแรกจิ๋วก็ว่าจะเรียนคุณแม่ค่ะ แต่แล้ว..แต่แล้ว” สิริลักษณ์อึกอัก ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร “แล้วคุณแม่ท่าน...อื้อ...ท่านยังไงก็ไม่รู้ จิ๋วก็เลยไม่เรียนค่ะ”

“อือ” คุณย่าตรึกตรอง ทำให้สิริลักษณ์เกิดความน้อยใจจนน้ำตาเริ่มจะมาปริ่มที่เบ้าตา คุณย่าพูดต่อไป “เรื่องเด็กมีผู้ใหญ่สองบ้าน แล้วเกิดมีเรื่องขาดเงินขาดทอง แล้วผู้ใหญ่ทางนี้ก็ให้ ทางโน้นก็ให้น่ะ มันไม่ถูกเรื่องนะลูกนะ หันมามองหน้าหลานสาว เห็นตาแดงเรื่อขึ้นมา คุณย่าก็ว่า “เออนี่อะไร ทำไมมาทำใจน้อยอย่างนี้ จิ๋วโตแล้วน่ะ”

สิริลักษณ์ก้มหน้ากลืนน้ำตา แต่แล้วความน้อยใจก็ประดังขึ้นมาอีก ทำให้ระงับใจไม่ได้ น้ำตาไหลพรากลงมาแต่รีบเช็ดโดยเร็ว คุณย่าโอบตัวเข้าไปไว้กับตัวของท่าน

“ไม่ต้องตีตนก่อนไข้ ย่าขอปรึกษาคุณปู่ก่อนหน่อย ถึงยังไงปู่ย่าคงไม่ปล่อยให้จิ๋วหิวข้าวกลางวันอีกเป็นแน่”

พอดีคุณปู่เดินลงจากเรือนมา ทำท่าจะเดินไปดูต้นไม้ผลที่ในสวนลึกเข้าไป คุณย่าก็ตะโกนเรียก “คุณ คุณ มาทางนี้ก่อนเถอะ” คุณปู่เดินเข้ามาหาพอขยับปากจะเล่าเหตุการณ์อะไร คุณย่าก็รีบพูด

“ประเดี๋ยว ประเดี๋ยว จิ๋วมีธุระ มานั่งปรึกษากันก่อน”

คุณปู่ลงนั่งดูหน้าภรรยาแล้วก็หันมาดูหน้าหลาน “อะไรกัน ไอ้จิ๋ว ดุกันเรืองอะไรอีกเหรอ”

“เปล่าค่ะ” คุณย่าตอบ น้ำเสียงเรียบ ๆ แสดงว่าจะพูดธุระจริง ๆ คุณปู่จึงตั้งใจฟังอย่างสงบ คุณย่าเล่าเรื่องให้คุณปู่ฟังอย่างย่อ ๆ เมื่อจบแล้วก็เสริมว่า “ทีนี้ ที่จะปรึกษาก็คือ ถ้าเราให้เงินจิ๋วไป จะผิดไหม ควรให้พ่อแม่เขารู้ไหม”

คุณปู่นิ่งตรึกตรอง “ทำไมจิ๋วถึงไม่บอกพ่อแม่” ท่านตั้งกระทู้

พอได้ยินคำถามคุณปู่ สิริลักษณ์ก็เกิดความน้อยใจประดังขึ้นมาอีก แต่ด้วยนิสัยใจเร็วเหมือนคุณปู่ อึกอักอยู่ไม่ได้นานจึงตอบว่า “มีอะไรในตัวคุณแม่จิ๋วบอกไม่ถูก จิ๋วไม่บอกเรื่องนี้ค่ะ”

คุณย่าจ้องตาคุณปู่อย่างขอคำตอบ คุณปู่ถอนใจน้อย ๆ “อาจเป็นเพราะจิ๋วไม่คุ้นกับพ่อแม่นักก็เป็นได้”

“โธ่ ทำไมจิ๋วจะไม่คุ้นคะ จิ๋วก็ไปมาหาสู่ตลอดเวลาเป็นปี ๆ ไม่ใช่อยู่คนละบ้านละเมืองจนไม่ได้พบได้เห็นกัน”

“ไปมาหาสู่กับอยู่ร่วมบ้านกันเป็นเดือน ๆ มันไม่เหมือนกันหรอกลูก”

คุณปู่พูด “จิ๋วจะไม่ได้พยายามเข้าใจพ่อแม่กระมัง”

ไม่เข้าใจ จริง สิริลักษณ์ไม่เข้าใจเลย และบอกแก่ตัวเองก็ไม่ถูก แล้วจะบอกให้คุณปู่คุณย่าเข้าใจหล่อนหรือจะให้เข้าใจใครอย่างไรได้ สิริลักษณ์มีแต่ความหวาดหวั่น ความกลัวอะไรอย่างหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเคว้งคว้างอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อนที่จะได้ย้ายเข้าไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ เมื่ออยู่กับคุณปู่คุณย่า ศิริลักษณ์ไม่เคยรู้สึกว้าเหว่ในเรื่องใดเลย เมื่อถูกดุหรือถูกลงโทษ หล่อนก็เข้าใจว่าหล่อนถูกดุถูกลงโทษเพราะเหตุใด บางคราวหล่อนก็ไม่เห็นว่าคุณปู่คุณย่าเป็นฝ่ายถูก หล่อนคิดว่าตัวหล่อนไม่เป็นฝ่ายผิดก็เคยมี แต่หล่อนจะอธิบายได้ว่า คุณปู่คุณย่าคิดอย่างไร มีเหตุผลอย่างไร จึงดุหรือลงโทษหล่อน แต่ในเหตุการณ์ที่หล่อนกำลังประสบอยู่นี้ สิริลักษณ์จับต้นชนปลายไม่ถูก มีแต่สิ่งที่สงสัยกริ่งเกรงลึกลับอยู่ในใจ

คุณปู่กล่าวขึ้นอีก “ทำไม จิ๋วคิดว่าจิ๋วไปบอกคุณแม่ คุณแม่จะว่าจิ๋วทำผิดอย่างไร คุณแม่จะว่าจิ๋วทำไม่สมควรในข้อไหน ลองไตร่ตรองดูแล้วรึ”

สิริลักษณ์เริ่มร้องไห้อีก หล่อนใคร่จะตอบแต่ก็ไม่กล้า ไม่ใช่กลัวคุณปู่

แต่กลัวอะไรหล่อนบอกไม่ถูก รู้แต่คำพูดที่มารอตรงริมฝีปากนั้นหล่อนไม่กล้าเปล่งออกมา

“นี่แหละ แม่พ่อเขาจะว่าปู่ย่าเลี้ยงจิ๋วให้เสียเด็ก” คุณย่าเอ่ยขึ้น “จะพูดอะไรก็ไม่พูด เอาแต่ร้องไห้ แต่ก่อนจิ๋วไม่เคยเห็นเป็นอย่างนี้”

“ระงับอกระงับใจเสียประเดี๋ยวเถอะลูก” คุณปู่ปลอบ “เอ้า มันอยากร้องไห้ ร้องออกมาเสียให้หมดน้ำตา พอเบาหัวอกเสียหน่อยแล้วค่อยเล่ากันให้ฟัง”

“จิ๋วเล่าไม่ถูกหรอกค่ะ” สิริลักษณ์สะอื้นพลางตอบ “ถ้าคุณปู่ไม่ให้เงินจิ๋ว จิ๋วก็จะทนเอาจนถึงปลายเดือนจนได้เบี้ยเลี้ยงของจิ๋ว”

“นี่เขาว่าดื้อใส่ปู่ใส่ย่าละซี” คุณปู่ถอนใจใหญ่ พลางว่า “มันเป็นยังไง จะให้ปู่เดาเอาไหม จิ๋วไม่ไว้ใจแม่กลัวว่าถ้าเล่าให้ฟัง เขาจะไม่เข้าใจเหตุผลของจิ๋ว และจิ๋วจะเสียใจว่าแม่ไม่เข้าใจ”

สิริลักษณ์นึกเห็นช่องออกได้ทางหนึ่ง สิ่งที่จะกล่าวคงไม่รุนแรงนัก พอจะเอ่ยปากกล่าวได้ จึงรีบพูดขึ้น

“พี่รงค์พี่เสาเขาไม่ชอบอนุจิตร เขาว่าเป็นคนบ้านนอก ถ้าเขารู้เรื่องนี้ เขาก็จะปรักปรำอนุจิตรกัน จิ๋วสงสารเพื่อนจิ๋วค่ะ เดี๋ยวก็จะมาที่บ้านอีกไม่ได้”

คุณปู่คุณย่าพยักหน้าให้กัน เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มน้อย ๆ ได้ทั้งสองคน สิริลักษณ์รีบพูดต่อไปอีกอย่างเร็ว

แล้วคุณแม่เคยพูดผสมผเส จิ๋วก็เลยรู้สึกกลัว สำหรับคราวนี้จิ๋วไม่บอกแน่ค่ะ”

“ติดดื้อเข้าไว้หน่อย” คุณปู่ว่า “เอ้า ปู่จะประนีประนอม คราวนี้เป็นครั้งแรก จิ๋วยังใหม่กับพ่อกับแม่ คราวนี้ปู่จะให้ไปพอให้กินข้าวกลางวันจนสิ้นเดือน แต่คราวหน้า จิ๋วต้องพยายามเรียนรู้นิสัยใจคอพ่อแม่ พยายามปรึกษาหารือก่อนที่จะทำอะไรลงไป เรื่องสตางค์ปู่ไม่ใช่จะหวงไม่ให้จิ๋ว แต่ว่าถ้าขอทางโน้นก็ได้ทางนี้ก็ได้ จิ๋วก็จะเคยตัว ไม่รู้จักกะเงินทองที่จะใช้สอย เข้าใจไหมล่ะ”

เป็นอันว่าสิริลักษณ์ได้ชัยชนะไปคราวหนึ่ง ได้กลับไปบ้านในพระนครพร้อมด้วยเงิน ๒๐๐ บาท

แต่เรื่องราวเกี่ยวกับเงินของอนุจิตรที่หายมิได้จบลงเพียงแค่นั้น มีผลสืบเนื่องต่อไปอีก ในเย็นวันที่สิริลักษณ์กลับจากปทุมธานีมาถึงบ้านนั่นเอง หล่อนก็ได้รับความแปลกใจ คือพอรถที่หล่อนนั่งมากับนายสินคนของคุณปู่แล่นมาเกือบถึงประตูบ้าน หล่อนก็เห็นวศินยืนอยู่ที่ริมถนนใกล้ประตูบ้านหล่อน มีท่าทีรีรอ พอเห็นว่าหล่อนนั่งมาในรถยนต์ก็กระวีกระวาดเดินเข้ามาใกล้รถซึ่งกำลังชะลอเครื่องลง ทำสัญญาณให้หล่อนเข้าใจว่า เขาขอร้องให้หล่อนหยุด เมื่อรถหยุดตามที่สิริลักษณ์สั่ง เขาก็เข้ามายืนใกล้ตัวหล่อน และขอร้องให้ลงจากรถ จนสิริลักษณ์ขัดไม่ได้ หล่อนจึงให้นายสินกลับไปกับรถจ้างที่นั่งมา

“คุณจิ๋ว” เขาพูดกับหล่อนอย่างร้อนรนเมื่ออยู่ด้วยกันสองต่อสอง “ผมมีเรื่องพูดกับคุณ ผมได้ยินอนุจิตรเขาบอกว่าเงินเขาหาย แล้วคุณให้เงินเขาทดแทนไปสองร้อยห้าสิบ คุณคงไม่เดือดร้อนอะไรหรอก เพราะคุณร่ำรวย แต่ว่า...แต่ว่า” เขาอ้ำอึ้งอยู่สักครู่ แล้วดูเหมือนจะบังคับใจตนเองเต็มที่ เขาพูดต่อโดยไม่มองหน้าหล่อน “ผม...ผม ขอเอาเงินมาให้คุณ” แล้วเขาก็หยิบซองขาวออกมาจากกระเป๋ากางเกง ส่งให้หล่อน สิริลักษณ์มองเห็นทะลุซองว่าในซองมีธนบัตรสีแดง ๆ

“อะไรกัน วศิน คุณทำอะไรแปลก ๆ” สิริลักษณ์ยื่นของส่งกลับให้เขา แต่เขารีบวิ่งหนีไปจากหล่อน สิริลักษณ์วิ่งตามอย่างรวดเร็ว จนดึงตัวเขาไว้ได้

“อะไรนี่” หล่อนเขย่าแขนเขาอย่างแรง “ไหนอธิบายไปซิ” พูดพลางก็กวาดตาดูว่าจะมีใครเห็นหล่อนทำกิริยาน่าประหลาดหรือไม่

“ผมกราบคุณละ คุณจิ๋ว โปรดรับไว้เถอะ ถึงคุณไม่ใช้ก็เก็บเอาไว้ นึกว่ากรุณาแก่ผมเถอะ” เขาวิงวอน สิริลักษณ์มองดูเขา แลเห็นว่าน้ำตาคลอตา พอดีมีคนเดินออกมาจากบ้านหนึ่งใกล้ ๆ นั้น สิริลักษณ์จึงไม่กล้าขึ้นเสียง วศินเห็นเป็นโอกาสตีก็เลยรีบหนีไปจากหล่อนโดยเร็ว ขณะนั้นเขากับหล่อนเข้ามาในระยะใกล้ถนนใหญ่ เพราะซอยบ้านของหล่อนนั้นเป็นซอยตัน สิริลักษณ์ไม่กล้าวิ่งตามอีก จึงเดินกลับบ้านด้วยความพิศวงสงสัยอย่างที่สุด

วันรุ่งขึ้นหล่อนได้พบอนุจิตรที่โรงเรียน ตั้งแต่วันที่หล่อนให้เงินอนุจิตรไป อนุจิตรพยายามหลบเลี่ยงหล่อนเรื่อยมา วันนี้สิริลักษณ์ไม่ให้โอกาสอนุจิตรทำดังนั้นได้อีก หล่อนตรงเข้าไปเรียกเพื่อนมาพูดกับหล่อนที่มุมสนามโรงเรียน

“นี่เธอ มีเรื่องแปล๊กแปลก” สิริลักษณ์เริ่มเล่า แต่แล้วทันทีความคิดอะไรอันหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามาในสมอง แทนที่จะเล่าเรื่องตามที่เป็นจริง หล่อนกลับกล่าวเท็จขึ้นว่า “เมื่อวานฉันไปหาคุณปู่คุณย่า ไปขอเงินมาให้ ฉันเอามาให้เธออีก ให้ครบสี่ร้อยที่หายเลยนะ”

พูดแล้วสิริลักษณ์ก็หยิบเงินออกจากกระเป๋าใบเล็กของหล่อน ส่งให้อนุจิตรอีก ๑๕๐ บาท อนุจิตรรับไปโดยไม่พูดว่าอย่างไร ไม่ได้กล่าวขอบใจ กล่าวแต่ว่า “ฉันจะไปละ” แล้วก็ออกเดินไป ทิ้งให้สิริลักษณ์ยืนมองตามด้วยความพิศวงยิ่งขึ้นไปอีก

สิริลักษณ์จำเป็นต้องเก็บความพิศวงไว้ในใจหล่อนคนเดียว หลายครั้งหล่อนนึกจะเล่าให้เสาวลักษณ์ฟังพอระบายความอัดอั้นตันใจ แต่ไม่มีโอกาส ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่บ้านวันไหน เสาวลักษณ์ก็มักไม่อยู่บ้านด้วย หล่อนกำลังอยู่ในหมู่ม้านำในการแข่งขันเพื่อชิงความรักของร้อยโทศุภรัศมิ์จะหย่อนฝีเท้าไม่ได้ หล่อนจะต้องอยู่ในชุมนุมที่มีเขาอยู่ด้วย มีที่บ้านของเขาเอง ที่บ้านลูกพี่ลูกน้องของหล่อนคือพราวพร่าง และที่บ้านของแสงสกาว หรืออีกนัยหนึ่งบ้านของสันทนาเพื่อนของสิริลักษณ์นั่นเอง นอกจากนั้นแล้ว ยังมีอีกสองสามคราวที่เสาวลักษณ์และรงคลักษณ์กำลังคุยกันอยู่ และสิริลักษณ์เดินเข้าไปใกล้ พี่สาวทั้งสองของหล่อนก็หยุดพูดเรื่องที่กำลังสนใจกันอยู่นั้น แล้วเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น ทำให้สิริลักษณ์เข้าใจว่า หล่อนมิได้อยู่ในความไว้วางใจของพี่สาวของหล่อน

วันคืนล่วงไปโดยสิริลักษณ์ไม่ได้เข้าใจในสิ่งแวดล้อมของหล่อนแจ่มแจ้งขึ้น จนกระทั่งประมาณเดือนหนึ่งต่อมา เสาวลักษณ์กลับมาจากบ้านแสงสกาว เดินเข้าบ้านมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นบิดามารดาอยู่ในห้องข้างหน้าบ้าน ก็มาเรียกตัวสิริลักษณ์ซึ่งกำลังยืนค้นหาอะไรรับประทานอยู่ที่หน้าตู้เย็นหลังห้องรับประทานอาหารให้เข้าไปในห้องรับแขกด้วยกัน นั่งลงบนเก้าอี้แล้วก็พูดกับน้องสาว

“จิ๋วรู้ตัวไหม เพื่อนของจิ๋วที่จิ๋วว่าวิเศษน่ะ เขาว่าจิ๋วเป็นยังไง พี่ถูกว่าใส่หน้ามาเดี๋ยวนี้เอง”

“ใครคะ” สิริลักษณ์ถาม

“แม่อนุจิตร แม่คนที่จิ๋วว่าเก่งขยันอะไรน่ะแหละ เขาว่าจิ๋วขโมยเงินเขา แล้วพอเขามาทวง จิ๋วเกิดกลัวก็เลยคืนให้เขา แต่ไม่คืนทันที ค่อย ๆ คืนให้เขาทีละน้อย”

“อะไรกัน” สิริลักษณ์อุทาน ขนลุกไปทั้งตัวด้วยความแปลกใจและน้อยใจ “จิ๋วไม่เชื่อ”

“อ้าว ไปถามเพื่อนของตัวซี ถามสันทนา สันทนาเขาเล่าให้พี่สาวเขาฟัง สกาวเขาว่ากับพี่มาหยก ๆ”

“แล้วสันทนาเชื่อหรือคะ” สิริลักษณ์ถามเสียงแหลม รู้สึกปวดร้าวไปทั่วลำคอ พยายามจะไม่ร้องไห้ออกมาในขณะนั้น

“บอกแล้วว่า อย่าไปคบคนอะไรพรรค์นั้น ไม่เชื่อเห็นไหมล่ะ” สิริลักษณ์สำทับต่อไป “ไปจัดการพูดเองซี พี่จะเถียงก็ไม่รู้เรื่อง”

สิริลักษณ์ก้าวเท้าออกจากห้อง ลงจากตึกเดินออกจากบ้านรวดเร็วดุจกำลังพายุร้าย หล่อนเดินตรงเข้าไปในบ้านสันทนา ถามหาเขาแล้วก็เดินตรงเข้าไปในตัวเรือน พบสันทนากำลังลงบันไดจากชั้นบนมาชั้นล่าง ก็เข้าไปดึงแขนเขาออกไปนั่งพูดกันที่สนามบนม้าหินที่สำหรับนั่งเล่นของบ้านนั้น

“เล่าไปซิ สันทนา” สิริลักษณ์เริ่ม “อนุจิตรเขาว่าฉันว่าไงนะ เขาว่าฉันขขโมยเงินเขารึ” พอพูดจบน้ำตาก็ไหลพราก บังคับตัวไว้ไม่ได้ต่อไป

“เอ้อ” สันทนาถอนใจ “พี่แสงเชียว รู้งี้ไม่เล่าให้ฟังหรอก”

“นี่ ทำไมเธอพูดยังงี้” สิริลักษณ์ถามเสียงสั่นด้วยความโกรธ “เธอเห็นของยังงี้เป็นของเล่น ๆ รึ เธอรู้แล้วกลับนิ่งเสีย เธอไม่ยุติธรรมเลย แล้วยังจะมาบอกว่า “รู้งี้ไม่เล่าอีก”

“ก็ฉันไม่รู้เรื่องจริงนี่” สันทนาแก้

“ทำไมเธอไม่ถามล่ะ เธอเชื่อซิ เธอถึงไม่ถาม” สิริลักษณ์พ้อ

“ผมก็ไม่ได้เชื่อ แต่ไม่รู้จะทำยังไงนี่” สันทนาแก้ตัวเสียงอ่อย ๆ

“อนุจิตรเขามาเล่าให้เธอฟังตั้งแต่เมื่อไหร่” สิริลักษณ์ซัก

“เขาเล่ามาหลายวันแล้ว” สันทนาว่า “ผมเห็นว่าอนุจิตรก็ได้เงินคืนแล้ว ไม่มีใครเดือดร้อนอะไร แล้วผมก็ไม่กล้าเล่าให้คุณจิ๋วฟัง เดี๋ยวก็จะโกรธกันเสียเปล่า ๆ”

“โกรธกันเปล่า ๆ” สิริลักษณ์ทวนคำ “แปลว่าไม่ควรโกรธกันยังงั้นรึ” พอจบแล้วสิริลักษณ์ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความน้อยใจอย่างสุดที่จะระงับไว้ แล้วหล่อนก็หมดกำลังใจที่จะพูดอย่างไรต่อไปจึงลุกออกจากบ้านสันทนา กลับมาบ้านไม่ดูหน้าใครทั้งสิ้น ตรงเข้าห้องนอนร้องไห้อยู่คนเดียว และปฏิเสธไม่ยอมให้ผู้ใดเข้ามาปลอบหรือพูดทับถมอนุจิตรให้หล่อนเพิ่มความเจ็บใจขึ้นไปอีก

ในวันรุ่งขึ้น สิริลักษณ์ก็ไม่ยอมลงไปพบหน้ามารดาหรือพี่สาวที่โต๊ะรับประทานอาหารเช้า และตั้งใจจะไม่ไปโรงเรียน แต่บังเอิญมีโทรศัพท์มาจากอาจารย์ประจำชั้นเตือนสิริลักษณ์ว่ามิให้ลืมนำนิตยสารภาษาอังกฤษไปส่ง ซึ่งอาจารย์ได้ให้สิริลักษณ์ขอยืมมา เพราะจะต้องใช้เป็นอุปกรณ์การสอน สิริลักษณ์มิได้นำหนังสือมาบ้านได้ลืมไว้ในโต๊ะเรียน หล่อนก็กลัวว่าจะมีใครมาหยิบไปจากโต๊ะอีกต่อหนึ่ง จึงจำใจลุกขึ้นแต่งตัวไปโรงเรียน ระหว่างที่นั่งมาในรถรงคลักษณ์ก็บ่นว่าอนุจิตร ชี้ให้เห็นว่าสิริลักษณ์จะต้องเลิกคบกับเพื่อนผู้นั้นอย่างเด็ดขาด

พอไปถึงโรงเรียน สิริลักษณ์คิดว่าจะหลีกเลี่ยงทั้งสันทนาและอนุจิตร แต่ก่อนจะเข้าห้องเรียนสันทนาได้เข้ามาหา ส่งกระดาษให้ขึ้นหนึ่ง มีข้อความว่าเขาจะต้องขอพบหล่อนให้ได้เมื่อเลิกเรียน ทำให้สิริลักษณ์เรียนวิชาทุกวิชาไปอย่างใจคอไม่เป็นสุข ไม่สามารถรับฟังคำอธิบายอะไรได้เลย และได้ถูกอาจารย์ต่อว่าหลายครั้ง

พอถึงเวลารับประทานอาหาร สันทนาก็เดินเที่ยวหาสิริลักษณ์จนพบ แล้วก็หาที่นั่งพูดกับหล่อนจนได้

“คุณจิ๋ว เกิดเรื่องใหญ่แล้วละ เรื่องที่อนุจิตรเขาว่าคุณขโมย กลายไปทำให้คุณศุภรัศมิ์กับพี่แสงแตกกัน พี่แสงเลยโกรธผมไปใหญ่เลย ทั้งที่เป็นความผิดของพี่แสงตลอด”

“เอ๊ มันเกี่ยวพันไปยังไง” สิริลักษณ์ถาม

“ผมก็ไม่เข้าใจ” สันทนากล่าว “พี่แสงเขาว่าคุณเสาวลักษณ์ยั่วเขาให้โมโหบ่อย ๆ ยั่วนิด ๆ หน่อย ๆ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน คุณเสามีวิธีทำให้พี่แสงสู้คุณเสาไม่ได้ ไม่ใช่คนในสังคม ดีแต่สวย พี่แสงก็เลยโพล่งเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังไป”

“แล้วยังไง ฉันยังไม่เห็นรู้เรื่อง” สิริลักษณ์ชักเสียงขุ่น

“ผมก็มาเล่าให้คุณจิ๋วฟังน่ะซี” สันทนาว่า “ผมก็เดือดร้อนเหมือนกัน ไม่ใช่แต่คุณคนเดียว เดือดร้อนอย่างไม่ยุติธรรมด้วย คุณศุภรัศมิ์น่ะเขารักพี่แสงรู้ไหม แล้วคุณเสาวลักษณ์ไปทำให้เขาโกรธกัน”

“ทำไมคุณศุภรัศมิ์ถึงจะโกรธเรื่องเกี่ยวกับฉันล่ะ” สิริลักษณ์ถามอย่างงงที่สุด

“พอคุณศุภรัศมิ์เขารู้เรื่องนี้ เขาว่าพี่แสงน่ะเหลวไหลไม่เป็นผู้ใหญ่ เขาไม่แต่งงานด้วยหรอก” สันทนาว่า

สิริลักษณ์กล่าวขึ้นทันทีโดยไม่รั้งรอ “ก็ดีแล้วซิ ก็จริงของเขาใช่ไหมล่ะ”

“แต่ว่า แต่เขาก็ไม่รักคุณเสานะ” สันทนาว่า “ไม่มีประโยชน์หรอก บอกพี่ของคุณเสีย พี่แสงเขาทะเลาะกันแล้วคุณศุภรัศมิ์เขาก็ว่า เขาไม่ต้องการทั้งนั้นแหละ ทั้งคุณเสาทั้งพี่แสง แต่ว่าที่จริงน่ะเขารักพี่แสง”

“ฉันว่าเธอน่ะแหละ ไม่ได้ความยิ่งกว่าใครทั้งนั้น” สิริลักษณ์พูดอย่างโกรธจัด “ตั้งแต่พูดมานี้ฉันยังไม่รู้เรื่องเลย”

“แล้วกัน” สันทนาว่า “ที่ผมพูดนี่ก็อยากจะให้คุณเข้าใจว่า ผมไม่โกรธคุณ คุณอย่าโกรธผมเลย ถึงพี่เราจะโกรธกัน ผมไม่ได้เชื่อเลยว่าคุณจะขโมยเงินอนุจิตร”

ขณะนั้น อาจารย์ประจำชั้นของสิริลักษณ์ก็เดินมาถึงตรงนั้น และจะเป็นด้วยเหตุใดสิริลักษณ์ก็ไม่เข้าใจ อาจารย์หยุดยืนทำท่ามองไปทางโน้นทางนี้ไม่เดินเลยไป สันทนาเกิดกลัวว่าจะถูกหาว่านั่งคุยกับนักเรียนหญิงก็เลยลุกไปจากที่นั้นแล้วอาจารย์ก็เดินเลยไป

ค่ำวันนั้นที่บ้าน สิริลักษณ์ต้องอดทนต่อการซักถามของคุณแม่ และฟังการติเตียนอนุจิตรตลอดเวลารับประทานอาหาร เมื่อหล่อนขอร้องอย่าให้มารดาและพี่สาวพูดต่อไป รงคลักษณ์ก็กลับถามว่าหล่อนยังคงใยดีต่อมิตรภาพของอนุจิตรอยู่อีกหรือ สิริลักษณ์ก็เลยเคืองพี่สาวมาก ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารวิ่งหนีเข้าห้องไป ได้ยินเสียงรงคลักษณ์กล่าวตามหลังมาว่า “พิลึกเด็กคนนี้ ยังไงไม่รู้ ไม่เข้าใจ”

ปลายสัปดาห์นั้น สิริลักษณ์อยากจะไปหาคุณปู่คุณย่าอย่างยิ่ง แต่คุณพ่อได้เชิญแขกชาวต่างประเทศมาเลี้ยงอาหาร ลูก ๆ ทุกคนจึงต้องช่วยกันทำความสะอาดบ้านเรือน จัดดอกไม้ และตระเตรียมการเลี้ยง น้องชายคนเล็กของสิริลักษณ์ก็กลับจากโรงเรียนประจำมาเยี่ยมบ้าน สิริลักษณ์รู้ว่าถ้าหล่อนขออนุญาตไปปทุมธานี จะต้องถูกคุณแม่โกรธเป็นแน่ จึงต้องอดใจทนอยู่ แต่เคราะห์ดีที่คุณพ่ออยู่บ้านตลอดวัน ไม่มีใครหาญพอจะเล่าเรื่องให้คุณพ่อฟัง สิริลักษณ์จึงไม่ต้องอดทนเท่าที่เตรียมใจไว้ว่าจะต้องทน ต่อจากนั้นทั้งเสาวลักษณ์และรงคลักษณ์ก็ค่อย ๆ ลืมเรื่องราวไป สิริลักษณ์จึงไม่ต้องทนทุกข์ในเรื่องนี้ไปหลายวัน

แต่ความสงบชั่วคราวนั้นในที่สุดก็ถูกทำลาย ประมาณ ๑ สัปดาห์ต่อจากวันที่สันทนาได้สนทนากับสิริลักษณ์ในเวลาเข้าก่อนเข้าเรียน สิริลักษณ์ก็ได้รับแผ่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ อีก แต่คราวนี้ผู้เขียน คือวศิน เขียนเป็นใจความขอร้องให้หล่อนพยายามพบกับเขาให้ได้ระหว่างเวลาพักกลางวัน สิริลักษณ์อยากรู้ว่าเขาจะมีเรื่องสำคัญอะไรบอกแก่หล่อน หล่อนเดาได้ด้วยความรู้สึกลึกลับอะไรอย่างหนึ่งว่าจะมีอะไรเกี่ยวโยงกับเรื่องเงินของอนุจิตร แต่ก็ไม่ได้คิดว่าหล่อนจะได้รับทราบเรื่องน่าตกใจเท่าที่วศินบอกหล่อน

สิริลักษณ์กับวศินไปนั่งพูดกันที่ม้านั่งริมสนาม ตรงที่เดียวกับที่ได้นั่งพูดกับสันทนา แม้จะมีอาจารย์เดินมาหยุดใกล้ ๆ หล่อนก็ไม่เอาใจใส่ หล่อนบอกให้วศินบอกเรื่องที่เขาจะให้หล่อนทราบโดยไม่รั้งรอ

“ผมอยากได้พูดกับคุณจิ๋วที่เงียบ ๆ สักหน่อย” วศินปรารภ ดวงหน้าของเขาแดงก่ำ ขอบตาช้ำเหมือนกับว่าได้ร้องไห้มาแล้ว

“บอกสั้น ๆ ก่อนก็แล้วกัน” สิริลักษณ์เร่ง “อยากรู้ รู้สึกว่าจะตายถ้าไม่รู้”

วศินไม่ดูหน้าหล่อน เขาก้มหน้าและพูดเสียงเหมือนออกมาจากใต้ดิน “คุณจิ๋ว เงินของอนุจิตรน่ะ ผมเอาไปเองแหละ ผมหมั่นไส้เขา เขาชอบอวดมั่งมี ผมไม่นึกเลยว่ามันจะเดือดร้อนถึงคุณจิ๋ว ตั้งแต่ผมรู้ว่าอนุจิตรเขาว่าคุณ ผมก็กลุ้มใจจังเลย ผมเอาไปใช้เสียด้วยซี ทีแรกว่าจะไม่ใช้แล้วพอรู้ว่าเรื่องไปกันใหญ่ถึงทำให้พี่ของสันทนาโกรธกับแฟนของเขา ผมก็เลยบอกแม่ผม ปลายเดือนนี้ ผมจะเอามาคืนให้คุณจิ๋วให้ครบ”

สิริลักษณ์อ้าปากค้าง “จริง ๆ หรือนี่ จริง ๆ รึ ทำไม ทำไมทำอย่างนั้นล่ะ วศิน”

“ผมก็ไม่รู้ตัวว่าทำไมทำไปได้” วศินตอบ “แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจะใช้เลย อยากแกล้งสักพักเท่านั้น แต่ผมเสียใจมากเพราะแม่เสียใจร้องไห้ใหญ่ แล้วแม่บอกว่า ถ้าคุณไม่กรุณาผม คุณจะเอาโทษผมก็ต้องเสียคน อาจถูกไล่ออกจากโรงเรียนก็ได้”

“โธ่ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับโรงเรียนเลย” สิริลักษณ์พูดเป็นเชิงปลอบ “เอาเถอะ ถ้าคุณเอาเงินมาคืน จิ๋วจะจัดการเอง ไม่ให้ใครรู้ทั้งนั้นแหละ”

“ผมต้องบอกอนุจิตรซี แม่ว่าอย่างนั้น” วศินค้าน “ไม่งั้นเขาก็ยิ่งจะว่าคุณจิ๋วขโมยเขาอีกแน่ไปเลย”

“จิ๋วจะจัดการเอง จิ๋วจะบอกเอง แต่ก่อนบอกจิ๋วจะเอาสัญญาเสียก่อนว่ารู้แล้วอนุจิตรต้องเก็บเป็นความลับ”

มีเพื่อนร่วมห้องเรียนคนหนึ่งวิ่งมาบอกแก่สิริลักษณ์ว่า อาจารย์ประจำชั้นต้องการพบตัวเพื่อปรึกษาเรื่องกีฬา สิริลักษณ์เดาได้ว่าอาจารย์คงไม่อยากเห็นหล่อนนั่งพูดกับนักเรียนชาย เพราะอาจารย์ได้อบรมนักเรียนหญิงเรื่องนี้เมื่อปลายสัปดาห์ก่อนนั้นเอง

แต่วศินหาได้ทำตามที่สิริลักษณ์แนะไม่ เขาคงรู้สึกว่าเขาไม่ได้ทำโทษตนเองพอเพียง ถ้าเขาจะให้สิริลักษณ์จัดการตามที่หล่อนเสนอ เขาจึงไปสารภาพต่ออนุจิตร อนุจิตรจึงไปเล่าให้สันทนาฟัง แล้วแสงสกาวจึงนำมาเล่าให้เสาวลักษณ์ฟังอีกต่อหนึ่ง เพราะปรากฏว่า แสงสกาวและเสาวลักษณ์บัดนี้เป็นสหายร่วมแพ้ในการแข่งขันชิงความรักของร้อยโทศุภรัศมิ์ คือร้อยโทหนุ่มนั้นได้มีความอุตสาหะถีบจักรยานไปไกลจากซอยที่ตั้งบ้านถึง ๑๐ ซอย เพื่อไปติดต่อกับพราวพร่างหลังจากที่ได้รับคำยืนยันจากผู้ใหญ่ของพราวพร่างว่าการที่เขายังไม่มีรถยนต์ ไม่เป็นข้อที่ลดหย่อนความนิยมของท่านไปแม้แต่น้อย

เมื่อมารดาของเสาวลักษณ์ทราบเรื่องราวเท่าที่เสาวลักษณ์ทราบ ก็ออกปากห้ามสิริลักษณ์มิให้คบหาสมาคมกับทั้งอนุจิตรและวศินอีกต่อไป

“เอ จิ๋วว่าไม่ยุติธรรมซีคะ วศินกับอนุจิตรเปรียบกันไม่ได้ วศินเป็นคนดี ดีมากทีเดียว” สิริลักษณ์ค้านทันที

“เอ จิ๋วนี่ยังไงนะ” เสาวลักษณ์ดุแทนมารดา “คุณแม่ว่ากลับเถียง”

“แล้วก็ใครอย่าไปเผลอเล่าให้คุณพ่อรู้ล่ะ” คุณแม่เตือน “ตายทีเดียว ฉันตายแน่”

สิริลักษณ์รู้สึกอึดอัดที่สุด หล่อนพยายามจะหาช่องทางแก้ไขสถานการณ์ซึ่งหล่อนเห็นว่าหล่อนจะยอมรับมิได้ ประมาณ ๒ วันต่อมา หล่อนเห็นคุณพ่อนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวที่โต๊ะเขียนหนังสือจึงเดินเข้าไปใกล้ หวังจะเลียบเคียงฟังครามนึกคิดของคุณพ่อ แต่พอคุณพ่อเหลือบตาขึ้นเห็นหล่อนค่อยเขยิบเข้ามาใกล้อย่างขลาด ๆ ท่านก็พูดขึ้นว่า “จิ๋วจะมาขออนุญาตไปหาคุณปู่ใช่ไหม ขัดใจกับคุณแม่อะไรอยู่ไม่ใช่รึ อย่ามากวนพ่อตอนนี้ พ่อยุ่งงานของพ่อจังเลย จะไปไหนก็ไปเถอะ”

สิริลักษณ์จึงถอยออกมาอย่างเสียน้ำใจ แต่ไม่เพียงเท่านั้น คุณแม่ได้ทราบว่าหล่อนพยายามจะเข้าไปพูดกับคุณพ่อก็เลยมีความโกรธเคืองถึงขนาดไม่พูดกับหล่อน เมื่อรับประทานอาหารร่วมกัน ท่านก็ทำเมินไปดูที่อื่นไม่ดูหน้าหล่อนและหลบเลี่ยงหล่อนในเวลาอื่น

สิริลักษณ์มีความทุกข์ ซึ่งหล่อนคิดว่าไม่มีใครทุกข์เท่าในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ จะมีเว้นคนเดียวก็คือวศิน ผู้ซึ่งกำลังได้รับความอยุติธรรมเท่าหล่อนหรือมากกว่าเสียอีก

สิริลักษณ์จะทนต่อสภาพการณ์นั้นต่อไปได้หรือไม่ ไม่มีผู้ใดสามารถกล่าว เพราะเมื่อถึงวันเสาร์ปลายสัปดาห์นั้น ระหว่างที่สิริลักษณ์กำลังคิดกลับไปกลับมาว่าหล่อนจะหนีภาวะทางบ้านในพระนครไปหาความร่มเย็นที่ปทุมธานีดีหรือไม่ เพราะคุณพ่อก็ได้อนุญาตโดยหล่อนไม่ได้ขอ แต่ยังกลัวว่าอาจเป็นเหตุให้คุณแม่โกรธมากขึ้นและนานออกไป ก็พอดีในเวลาเช้าของวันเสาร์นั้น คุณปู่คุณย่าก็พานกกระจิบและนกกระจาบมายังบ้านที่หล่อนอยู่อีกครั้งหนึ่ง

สิริลักษณ์กำลังอยู่ในห้องนอนเมื่อคุณปู่คุณย่ามาถึง คุณพ่อคุณแม่อยู่ชั้นล่าง สิริลักษณ์ได้ยินเสียงคุณพ่อเรียกหล่อนแล้วเสียงคุณพ่อถาม “คุณอามารับหลานสาวเองเชียวรึ วันนี้” แล้วได้ยินเสียงคุณปู่แนะนำเด็กฝาแฝดให้ทำความเคารพ “คุณลุง” และ “คุณป้า” หล่อนรีบเร่งเก็บของในห้องให้เรียบร้อยเพื่อจะได้ลงมาพบกับคุณปู่คุณย่าโดยไม่ให้เสียเวลา ก็พอดีได้ยินเสียงรงคลักษณ์พูดพลางหัวเราะกิ๊ก ๆ อยู่ที่ตรงหน้าประตูห้องหล่อน

“พี่เสาแน่ะ คุณปู่ของจิ๋วเขาเอาไอ้เด็กขี้เรื้อนสองคนนั้นมาอีกแล้ว เสียงให้กราบคุณลุงคุณป้าแน่ะ”

เสียงเสาวลักษณ์พูดว่า “โธ่ ไปเอาเรื่องอะไรนะรงค์ คุณปู่เวทน่ะใครเขาไปเอาเรื่องกับท่านเมื่อไหร่กัน” แล้วก็มีเสียงฝีเท้าลงบันได แล้วเสียงพูดก็เงียบไปหมด สิริลักษณ์ตัวสั่นไปหมด มือก็สั่น เก็บของเข้าตู้ผิด ๆ ถูก ๆ แล้วก็รีบลงบันไดตามพี่สาวทั้งสอง

คุณพ่อแต่งตัวสำหรับออกนอกบ้าน ยืนอยู่ที่หน้าตึกรถยนต์จอดคอยอยู่แล้ว คุณแม่ไม่ได้อยู่ที่หน้าตึกด้วย รงคลักษณ์และเสาวลักษณ์อยู่ในห้องอาหาร กำลังแบ่งอาหารเข้าใส่จานของตน คุณปู่และคุณย่ายังยืนอยู่ที่พื้นซิเมนต์หน้าบันไดตึก เด็กฝาแฝดยืนเกาะขาคุณปู่อยู่คนละข้าง พอสิริลักษณ์ลงไปถึงห้องกลางที่เปิดถึงบันไดหน้าห้องรับแขกและห้องอาหาร คุณพ่อก็หันมาเห็นหล่อน คุณพ่อพูดว่า

“นั่นไงครับ หลานสาวคุณอาถ้าจะกลัวหายไป”

“อาพาเด็กมาหาหมอ เห็นเป็นวันเสาร์ก็เลยแวะมาเสียเลย” คุณปู่ตอบ แต่ยังไม่ทันจบประโยคคุณพ่อก็ขึ้นไปนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว คนขับเดินเครื่องและรถก็แล่นออกไปจากที่ผ่านตัวคุณปู่ไป คุณพ่อยกมือไหว้คุณปู่ทีหนึ่งคุณย่าทีหนึ่ง แล้วรถก็พาท่านออกจากบ้านไป

สิริลักษณ์เข้าไปกราบคุณปู่คุณย่าและจับต้องตัวเด็กฝาแฝดทักทายตามมรรยาทธรรมดา เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นมารดาหรือพี่น้องคนใดมาต้อนรับคุณปู่คุณย่าเลย ราวกับหล่อนมีหน้าที่ต้อนรับแต่คนเดียว คุณปู่ไม่แสดงว่ามีอะไรผิดสังเกต เดินขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องรับแขก คุณย่าเดินไปชมต้นไม้ นกกระจิบละจากคุณปู่วิ่งตามคุณย่าไป นกกระจาบก็ออกวิ่งตาม ในทันใดรงคลักษณ์ก็โผล่ออกมาจากห้องกินข้าวพอดี ร้องขึ้นวา “ตาย ตาย อย่าไปเด็ดดอกไม้อีกนะ” เสาวลักษณ์โผล่ออกมาจากห้องอีกคนหนึ่งฉวยตัวนกกระจาบไว้ นกกระจาบดิ้นแต่ไม่หลุด และทำท่าจะร้องไห้ คุณปู่ลุกออกมาดู สิริลักษณ์มัวตกตะลึงไม่ได้ขยับเขยื้อนคุณปู่ร้องว่า “เฮ้ย ไม่ต้องร้องไห้โว้ย เอ้าไม่ต้องตามคุณย่าไปหรอกอยู่กับพี่จิ๋วที่นี่ละ” สิริลักษณ์หันตัวมองไปทางเสาวลักษณ์ก็พบว่า เสาวลักษณ์กำลังเอาผ้าเช็ดหน้ายกขึ้นอุดปากกลั้นหัวเราะ แต่กลั้นไว้ไม่อยู่ต้องหลบเข้าไปหัวเราะอยู่คนเดียวที่มุมห้องอาหาร ความรู้สึกของสิริลักษณ์ก็แล่นปลาบยิงกว่าสายฟ้า หันมาบอกคุณปู่ “คุณปู่คะ จิ๋วกลับบ้านด้วยนะคะ” แล้วก็วิ่งขึ้นบันไดทีละสองขั้น เข้าห้องฉวยกระเป๋าเสื้อผ้าได้ใบหนึ่ง หล่อนเก็บเสื้อผ้าทั้งหมดที่พอจะเข้าไปบรรจุลงในกระเป๋านั้นได้ ปิดกระเป๋าอย่างไม่คำนึงถึงของข้างในนั้น ฉวยกระเป๋าได้ก็วิ่งลงบันไดมา พอมาถึงที่คุณปู่ยืนอยู่ที่หน้าบันไดมีอาการเหมือนรอดูหล่อน หล่อนก็ฉวยข้อมือคณปู่ข้างหนึ่งเอาขาดันตัวนกกระจาบซึ่งยืนอยู่ใกล้คุณปู่เบา ๆ แล้วก็เดินตรงออกประตูบ้าน คุณย่าหันมาเห็นสิริลักษณ์จวนจะออกประตูแล้วถามขึ้นว่า “อ้าว นั่นจะไปกันละหรือ แหมเร็วจริง” สิริลักษณ์ได้ยินเสียงคุณปู่ว่า “เอ้า จะมาก็มาเถอะ” สิริลักษณ์มิได้รอคอย ออกเดินอย่างไม่ลดฝีเท้าไปทางปากซอย พอถึงปากซอยมีรถแท็กซี่แล่นมาคันหนึ่ง สิริลักษณ์เรียกให้รถหยุด เปิดประตูแล้วขึ้นนั่งโดยไม่ถามราคา

คุณปู่ คุณย่า นกกระจิบและนกกระจาบขึ้นนั่งตามสิริลักษณ์ คุณปู่บอกให้คนขับพาไปส่งยังสำนักงานแพทย์ที่ปทุมวัน

ตลอดเวลาในรถยนต์ สิริลักษณ์ไม่มีโอกาสพูดกับคุณปู่ว่าอะไร เพราะคุณปู่จองกรรมสิทธิ์พูดเสียคนเดียว คุณปู่เล่าเรื่องสมาคมผู้ปกครองที่ท่านพยายามจัดตั้งขึ้น เล่าถึงเรื่องเพื่อนบ้านและคนรู้จักตลอดคุ้งน้ำ เล่าถึงเรื่องนกกระจิบและนกกระจาบ และอะไรต่ออะไรอีกหลายเรื่อง จนมาถึงที่ทำงานแพทย์ ออกจากที่นั้นคุณปู่ก็ไปซื้อของหลายสิ่งหลายอย่าง ซื้อสิ่งนั้นไปฝากคนนั้นสิ่งนี้ฝากคนนี้ ซื้อไส้กรอก หมูแฮม ขนมปังเค็ม ขนมปังจืด ขนมหวานทั้งฝรั่งทั้งไทย ลูกกวาดช็อกโกเลต และเครื่องใช้จิปาถะ คุณย่าพูดน้อยที่สุด คุณปู่สั่งให้ทำอะไรท่านก็ทำ ดูกลายเป็นภรรยาที่อยู่ในโอวาทสามีอย่างเคร่งครัด แล้วทั้งคณะก็มาถึงท่าเรือ เมื่อถึงแล้วก็ชึลมุนขนของลงเรือด้วยความช่วยเหลือของคนเรือหลายคนที่คุ้นเคยกับคุณปู่ ดูเหมือนคุณปู่จะเลือกเรือลำที่แน่นที่สุดเสียด้วย เสียงเครื่องยนต์ของเรือ เสียงผู้โดยสาร เสียงคุณปู่ เสียงแสดงความตื่นเต้น เสียงทะเลาะกันของเด็กฝาแฝด ก้องหูสิริลักษณ์ไปหมด จนกระทั่งถึงท่าหน้าบ้าน เมื่อถึงบ้านแล้วก็มีการขนของอีก คุณย่าดึงมือสิริลักษณ์ขึ้นเรือนไปก่อน บอกให้ไปอาบน้ำ สิริลักษณ์จึงทำตาม พออาบน้ำเสร็จก็ได้รับทราบว่าคุณปู่และคุณย่าเพลีย เข้านอนพักผ่อน สิริลักษณ์จึงได้มีโอกาสพบกับท่านในเวลาเย็นในสวน ท่านกำลังนั่งอยู่ด้วยกันที่เก้าอี้ไต้ต้นมะม่วง สิริลักษณ์จึงรีบเข้าไปนั่งด้วย

“คุณปู่คะ” สิริลักษณ์พูดเสียงเศร้า ๆ เพราะเวลาหลายชั่วโมงได้เกลื่อนความเคียดแค้นในใจให้เบาบางลงได้มาก จึงได้พูดเรียบ ๆ “จิ๋วสอบเสร็จแล้ว จิ๋วจะกลับมาอยู่กับคุณปู่คุณย่านะคะ ปีหน้าจะขอเรียนชั้นเตรียมปีสองที่ปทุมธานี ที่นี่เขาก็มีชั้นแล้วค่ะ”

คุณปู่กับคุณย่าสบตากัน “ไหนเล่าไปซิลูกมันเป็นยังไง อยู่กับพ่อกับแม่มันไม่ถูกใจจิ๋วอย่างไร”

สิริลักษณ์จึงเริ่มเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับอนุจิตร วศิน สันทนา และแสงสกาว ตามความรู้สึกของหล่อน “จิ๋วไม่มีความสุขค่ะ จิ๋วอยู่กับคนอยุติธรรมไม่ได้ คนที่ไม่ได้ความคือสันทนากับแสงสกาว คุณแม่ไม่เห็นว่าอะไร คุณแม่ก็มาโกรธจิ๋ว ทำไมจะให้จิ๋วเลิกคบกับวศิน ให้เลิกคบกับอนุจิตรน่ะถูกซีคะ จิ๋วก็ไม่เอาด้วยละค่ะ แล้วจิ๋วก็ยังไม่ได้คบวศินหรือเลิกคบ คุณแม่ก็มาโกรธ จิ๋วเข้าไปหาคุณพ่อ ทั้งที่ยังไม่ได้พูดกับคุณพ่อสักคำ คุณพ่อก็ไม่ยอมพูดกับจิ๋ว แล้วคุณพ่อไปบอกคุณแม่ว่าอย่างไรไม่รู้ จิ๋วทนไม่ได้หรอกค่ะ” พูดพลางน้ำตาก็ไหลพราก แล้วก็สะอึกสะอื้นตามมาด้วย

“เพียงเท่านั้นจิ๋วจะถึงกับทิ้งโอกาสได้เรียนโรงเรียนที่ดี ๆ มาเรียนโรงเรียนบ้านนอกบ้านนาทีเดียวรึ” คุณปู่ถาม “จะทนเอาถึงเรียนจบเสียก่อนไม่ได้รี”

“ทนกี่ปีคะ แล้วเผื่อต้องอยู่มหาวิทยาลัยอีก” สิริลักษณ์ย้อนถาม “จิ๋วว่าจิ๋วกลุ้มใจเรียนหนังสือไม่ได้เสียก่อน มาอยู่บ้านแล้วเวลาไปมหาวิทยาลัยก็ไปอยู่หอดีกว่า ไหน ๆ คุณแม่ก็โกรธแล้ว ถึงอยู่ก็โกรธไม่อยู่ก็โกรธ จิ๋วจะทนให้ช้ำใจทำไมเดี๋ยวสอบชั้นเตรียมตกก็ยิ่งแย่ใหญ่ จิ๋วได้ยินใคร ๆ เขาพูดกันว่าเดี๋ยวนี้โรงเรียนบ้านนอกเขาก็ดี ๆ แต่ผู้ปกครองไม่สนับสนุน เอานักเรียนดี ๆ ออกเสียหมด จิ๋วกลับมาอยู่โรงเรียนเก่าของจิ๋ว จิ๋วจะได้ทำชื่อเสียงให้โรงเรียนจิ๋วด้วย”

คุณปู่กับคุณย่าสบตากันอีก คุณปู่พูด

“เอาละ ถ้าเหตุผลที่จะกลับมาอยู่บ้านของจิ๋วคือจะช่วยชื่อเสียงของโรงเรียนเก่าละก็ ปู่ก็อาจรับฟังได้ ที่จริงปู่ก็ไม่อยากให้จิ๋วไปเลย ปู่กับย่าเปล่าเปลี่ยวจะตาย จิ๋วกลับมาปู่ย่าก็ต้องดีใจวันยังค่ำ แต่พ่อกับแม่เขาให้กำเนิดจิ๋วมา จิ๋วโกรธเขาว่าเขาอยุติธรรมแล้วจิ๋วก็จะมาเสีย เขาก็จะต้องเสียใจมาก”

“โอ๊ย ไม่จริงเลยค่ะ” สิริลักษณ์สะอื้นพลางค้าน “จิ๋วมาแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่เสียใจเลย คุณแม่คงจะโกรธ แต่ไม่เสียใจ” เสียงสิริลักษณ์ขาดหายลงไปพร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้น “จิ๋วอยู่ที่นั้นจิ๋วเป็นคนอื่น จิ๋วไม่เป็นคนในหมู่เขา แต่ว่าขี้อิจฉา เผลอพูดว่ากลับบ้านก็ไม่ได้ พี่รงค์เขาว่าทำไมจะต้องพูดว่ากลับบ้าน” แล้วสิริลักษณ์ก็สะอื้นต่อไป

“เขาอิจฉาก็เพราะเขารักจิ๋ว ถ้าเขาไม่รักเขาจะอิจฉาทำไม” คุณปู่ท้วง

“แล้วก็ไม่เพียงแต่ขี้อิจฉา คุณแม่ชอบทำให้คุณพ่อเป็นอะไรไม่รู้ อะไรนิดหน่อยก็ยกคุณพ่อมาขู่ เดี๋ยวจะเดือดร้อน เดี๋ยวคุณพ่อจะโกรธ ฟังดูเหมือนคุณพ่อเป็นยักษ์เป็นมาร แล้วก็หลอกคุณพ่อ ไม่พูดอะไรจริง ๆ กับคุณพ่อ เหมือนจะจงใจให้ลูก ๆ เกลียดคุณพ่อ” สิริลักษณ์เล่าพลางก็ร้องไห้ต่อไป

“จิ๋วยังไม่คุ้นอะไรต่ออะไรของหมู่น่ะลูก” คุณปู่ปลอบ

“โอ๊ย จิ๋วไม่มีวันจะคุ้นได้” สิริลักษณ์ค้านโดยเร็ว แล้วเสียงสะอื้นก็ดังขึ้นพลางบอกออกมาอย่างชอกช้ำ

“จิ๋วอยู่กับเขาไม่ได้หรอกค่ะที่บ้านนั้น เขา...เขา...ไม่...ไม่ชอบ.....คุณปู่” เสียงพูดหายไปมีแต่เสียงสะอื้นจากส่วนลึกมาแทนที่

เสียงคุณปู่หัวเราะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ทำให้สิริลักษณ์หยุดร้องไห้ จ้องหน้าคุณปู่ด้วยความประหลาดใจ คุณย่าหัวเราะน้อย ๆ พลางพูด

“ก็คุณปู่ของเรามันนอกกรอบ ใครเขาจะชอบสักกี่คน แต่ย่ายังไม่ค่อยจะชอบ”

คุณปู่เอาแขนโอบรอบตัวหล่อน ดึงตัวเข้าไปจนศีรษะจซบกับบ่าท่าน ลูบผมและลูบหลัง นิ่งกันอยู่สักครู่ แล้วคุณย่าพูด “พูดกับเด็กเสียให้รู้เรื่องเถอะ” คุณปู่ก็เอาหน้าของท่านลงแนบกับศีรษะสิริลักษณ์แล้วก็พูดขึ้น

“นี่จิ๋ว ปู่จะว่าให้ฟัง ใครเป็นคนตั้งชื่อให้จิ๋ว รู้ไหม ปู่เป็นคนตั้ง ปู่เห็นจิ๋วเมื่อเด็ก ๆ เมื่อมาอยู่กับปู่ใหม่ ๆ เห็นว่าฉลาด ใจดี แต่หัวแข็งและหัวดื้อ” ท่านหยุดหัวเราะหึ ๆ “ปู่ว่าทั้งหมดนี้เป็นลักษณะดีปู่ถึงให้ชื่อว่าสิริลักษณ์ ลักษณะทั้งสี่อย่างนี้น่ะ ถ้าระวังให้ดีมันก็ดีมาก ถ้าไม่ระวังให้ดีมันก็อาจเสียมาก ปู่ถึงจะให้มันดีเสีย ทีนี้ก็มาถึงตอนจิ๋วโต แล้วก็ต้องไปเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ ปู่เห็นว่าจิ๋วควรไปอยู่กับพ่อกับแม่ แต่ปู่ก็รู้ว่าจิ๋วจะต้องลำบากใจบ้างเป็นแน่ เพราะจิ๋วมีนิสัยหัวแข็งและหัวดื้อ คนหัวแข็งดี เพราะไม่มีใครข่มขู่ได้ง่าย ๆ คนหัวดื้อก็ดีเพราะไม่เปลี่ยนความคิดตามใครง่าย ๆ แต่ถ้าใครมีสองอย่างนี้แล้วต้องมีอะไรช่วยถึงจะอยู่ในโลกได้ อะไรที่ช่วยนี่ก็คือความเห็นใจยอมให้คนอื่นเขาไม่เหมือนเรา

“จิ๋วลำบากใจมากตอนนี้ เพราะจิ๋วรักพ่อรักแม่ แล้วพ่อแม่ก็ทำให้จิ๋วผิดหวัง จิ๋วก็ตั้งใจมาทีเดียวว่าจิ๋วช้ำใจเหลือเกิน ทนไม่ได้ แต่จิ๋วจะต้องคิดด้วยว่าถ้าจิ๋วไม่ทนพ่อทนแม่แล้วจิ๋วจะทนใครได้ เรารักใครเราก็ต้องรักทั้งที่ดีและที่ไม่ดีของเขา ดูย่าซิ ปู่มีอะไรไม่ดีตั้งแยะ เขาก็รักได้ แล้วก็คิดว่า เอาดีเพียงเท่านั้นเถอะเท่านี้เถอะ จะให้ถูกใจไปทุกอย่างไม่ได้”

คุณปู่หยุดลูบผมและตบหัวเบา ๆ สองสามหนแล้วพูดต่อ

“แม่จิ๋วเป็นคนดี ดีมากพอใช้ทีเดียว เป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี เป็นภรรยาที่ดี มีเสียหน่อยหนึ่งก็คือไม่ใช่นักปกครองคน อย่างนี้ไม่ใช่จะเสียหายอะไรนัก คนดี ๆ มีมากที่ไม่ใช่นักปกครอง คือเป็นคนขี้กลัว กลัวการเข้าใกล้คน กลัวการต่อปากต่อคำ กลัวการโต้เถียง

“ทีนี้คุณแม่ต้องปกครองดูแลลูก จะทำยังไง คุณแม่กลัวลูกจะเถียง กลัวจะไม่เชื่อฟัง ก็ต้องหาที่พึ่ง ใครล่ะจะเป็นที่พึ่งของคุณแม่ ก็ต้องอาศัยบารมีคุณพ่อ เมื่อคุณแม่ทำให้ลูก ๆ กลัวคุณพ่อเสียคนหนึ่งแล้ว คุณแม่ก็ได้อาศัยความกลัวนั้นเป็นเครื่องช่วยคุณแม่

“ทีนี้เกิดมีจิ๋วคนหนึ่งที่ไม่เคยกลัวปู่กลัวย่า จิ๋วก็เลยไม่กลัวคุณพ่อ คุณแม่ก็เลยกลุ้มใจ คุณแม่ก็เลยพะว้าพะวังรู้สึกเหมือนสิ่งที่เคยยึดเคยเกาะจะหลุดลอยไป คุณแม่ก็ไม่รู้เท่าตัวเอง คุณแม่จึงได้แต่โกรธ แท้จริงนั้นคุณแม่หวาดกลัว”

“เราจะอยู่กับคนที่เรารักแต่ขี้กลัวได้อย่างไร เราต้องไม่ทำให้เขากลัว ต้องทำให้เขารู้สึกสบายขึ้น สำหรับคุณแม่ถ้าจิ๋วจะอยู่กับแม่ จิ๋วต้องทำเป็นคนหัวอ่อน จิ๋วต้องไม่โต้เถียงคุณแม่ คุณแม่ว่าอะไรจิ๋วก็รับฟังโดยสงบ จิ๋วจะต้องทำให้คุณแม่รู้สึกว่าปกครองจิ๋วนั้นง่าย จนกว่าคุณแม่จะรู้สึกว่าจิ๋วพ้นความรับผิดชอบแล้ว จิ๋วจะต้องกลายเป็นปกป้องคุณแม่ไม่ให้คุณแม่ต้องเผชิญกับใครต่อไป”

“ทีนี้พ่อล่ะ พ่อน่ะเวลานี้เขายังไม่รู้จักจิ๋ว รู้จักเท่าที่คุณแม่บอก จิ๋วจะเข้าหาพ่อก็ยาก เพราะคุณแม่ไม่อยากให้เข้า จิ๋วจะทำยังไง จิ๋วก็ต้องค่อยๆ หาโอกาสให้คุณพ่อรู้จักจิ๋วให้ได้ ค่อย ๆ ไปทีละน้อย นั่งรถไปด้วยกัน ไปเที่ยวไหนกับคุณพ่อ มีโอกาสก็พูดโน่นพูดนี่ให้ฟัง ขอความเห็นคุณพ่อ จิ๋วว่าอย่างนี้ถูกไหมคะ คุณปู่เคยว่าอย่างนี้จะถูกไหม คุณพ่อจะเห็นด้วยไหม จะเอาเร็วด่วนได้ โกรธกับพ่อแม่นั้นไม่ได้ จะกลายเป็นปู่ให้ท้าย ไม่รู้จักบุญคุณเขาไป”

“บุญคุณใครยังไงคะ จิ๋วไม่เข้าใจ” สิริลักษณ์ถาม

“บุญคุณพ่อแม่ที่เขาอุตส่าห์ให้จิ๋วมาอยู่กับปู่กับย่า ได้เป็นเพื่อนชื่นอกชื่นใจตั้งหลายปีไงลูก” คุณปู่ตอบ “จิ๋วรักปู่รักย่าก็ต้องนึกถึงบุญคุณข้อนี้เหมือนกัน ไม่งั้นจิ๋วจะมีปู่มีย่ารึ” หยุดดูหน้าหลานสาว เห็นมีสีหน้าตรึกตรองเพราะเป็นความคิดใหม่แท้ ไม่เคยได้ยินมาก่อน

สิริลักษณ์ตรึกตรองอยู่สักครู่ก็ถามขึ้น “แล้วคุณพ่อคุณแม่ล่ะคะ ไม่ต้องนึกถึงบุญคุณคุณปู่รี ที่ช่วยเลี้ยงจิ๋วมาให้”

“ปู่ว่าพ่อเขานึกมากทีเดียว ไม่เชื่อจิ๋วลองนึกหาโอกาสถามเขาดูซิ” คุณปู่ตอบ “ที่จิ๋วว่าบ้านนั้นเขาไม่ชอบปู่น่ะไม่จริงหรอก ย่าเขาก็ผสมไปยังงั้นเอง ที่จริงน่ะเขาไม่เข้าใจ ปู่กับแม่จิ๋วไม่เคยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเลย แม่จิ๋วเคยชินกับอะไร ก็นิยมชมชอบสิ่งที่เคยชิน คนเป็นอย่างนี้กันโดยมาก ลูก ๆ ที่แม่เลี้ยงมาก็คิดเห็นตามแม่ ส่วนจิ๋วมาแสดงแปลกไป เขาก็ไม่เข้าใจ ปู่ว่าจิ๋วควรจะลองดูอีกสักที ไม่ไหวจริง ๆ ถึงค่อยคิดกันใหม่จะดีไหม”

“แล้วเพื่อนจิ๋วล่ะคะ จิ๋วจะต้องเลิกคบกับวศินงั้นหรือ”

“ตอนนี้จิ๋วก็ทำให้เขาเข้าใจว่าจิ๋วกำลังยุ่ง หรือสอบ หรืออะไร บอกเขาว่าอย่าเพิ่งคิดน้อยใจ จิ๋วจะห่างเหินไปสักหน่อย แล้วจิ๋วก็หาโอกาสพูดกับคุณพ่อให้ช่วยจิ๋ว พ่อเขาทำราชการงานเมืองตำแหน่งสูง เขาคงจะต้องเข้าใจอะไรต่ออะไรดี แล้วเขาก็เป็นอินทรวัลลภคนหนึ่ง มันก็ไม่ไปไหนเสีย จิ๋วเชื่อไว้ในทางดีก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยมาปรึกษากันใหม่”

ตอนสุดท้ายของคำพูด คุณปู่ช้อนตาขึ้นไปสู่ฟ้าเล็กน้อย เหมือนกับภาวนาอธิษฐานอะไรแก่ตนไปพลางด้วย

ในกลางคืนวันนั้น เมื่อถึงเวลาที่สิริลักษณ์เข้านอนคุณย่าเข้ามานั่งในห้อง พูดปลอบโยนต่อจากที่คุณปู่พูดแล้วในเวลาบ่าย ในที่สุดสิริลักษณ์ยอมรับว่าจะพยายามทำความเข้าใจกับบิดามารดา เมื่อถึงเวลาเย็นวันอาทิตย์ สิริลักษณ์จึงกลับไปบ้านในพระนครตามปกติ

สิริลักษณ์รู้สึกหวั่นหวาด กลุ้มกังวล แต่เมื่อได้รับปากคุณปู่คุณย่าว่าจะพยายาม ความมานะของหล่อนก็แรงกล้าพอที่จะเอาชนะตนเอง จึงบังคับตัวให้อดทนต่อคำพูดและกิริยาท่าทางของพี่ ๆ และมารดาได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อมา โอกาสที่สิริลักษณ์รอคอยก็มาถึง คุณแม่จะไปหาคุณตาคือบิดาของคุณแม่ ท่านชวนรงคลักษณ์กับเสาวลักษณ์ไปด้วย สิริลักษณ์หลบเข้าไปอยู่ในห้องแต่งตัวของคุณพ่อ ซึ่งเป็นที่ที่ไม่มีลูกคนใดเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย ที่ที่จะหลบตัวมีน้อย เพราะสิริลักษณ์ไม่ยอมไปที่บ้านของสันทนาอีก รงคลักษณ์ได้แสดงความประหลาดใจในเรื่องนี้ ว่าเสาวลักษณ์ซึ่งมีเหตุผลควรโกรธแสงสกาวสิไม่โกรธ แต่สิริลักษณ์ผู้ได้รับความหวังดีจากสันทนากลับดีตัวห่างเหินจากชายหนุ่มนั้น สิริลักษณ์ยังอิ่มเอิบในใจไม่หายที่หล่อนควบคุมตนสำเร็จ คือได้กล่าวชี้แจงแก่พี่สาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า หล่อนมิได้โกรธเคืองผู้ใดเป็นแต่ยังไม่นึกสนุกที่จะไปมาหาสู่ในระยะนี้ รงคลักษณ์มองดูหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อ สิริลักษณ์ก็วางหน้าเฉยได้ รงคลักษณ์จึงต่อเรื่องไปไม่ได้

วันที่คุณแม่ไปหาคุณตาวันนี้ สิริลักษณ์ได้ยินคุณพ่อสั่งคนรถให้ไปรับท่านจากบ้านท่านรัฐมนตรี หลังจากที่ไปส่งคุณแม่ที่บ้านคุณตาแล้ว คุณพ่อจะกลับมาอาบน้ำแล้วจะแต่งตัวไปงานรับรอง แล้วจึงจะให้รถไปรับคุณแม่| ที่บ้านคุณตา เมื่อคุณแม่ไม่เห็นตัวสิริลักษณ์ก็ไม่ติดตามหา เพราะยังไม่เคยชินกับการมีลูกสาวสามคนนัก เมื่อชวนครบสองคนแล้วท่านก็ออกจากบ้านไปเป็นการสมหวังแก่สิริลักษณ์

อีกประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มีเสียงรถยนต์เข้าบ้านมา สิริลักษณ์รีบวิ่งไปรอที่หน้าตึก พอคุณพ่อลงจากรถ สิริลักษณ์ก็วิ่งเข้าไปรับหนังสือและแฟ้มเอกสารจากมือท่าน พอท่านเดินขึ้นบันไดเข้าไปที่ห้องกลาง สิริลักษณ์ก็รีบพูดขึ้น

“คุณพ่อคะ จิ๋วมีเรื่องต้องปรึกษาคุณพ่อค่ะ คุณพ่อค่อยว่างเมื่อไหร่คุณพ่อบอกจิ๋วนะคะ จิ๋วอยากพูดกับคุณพ่อ เพราะจิ๋วว่าคุณพ่อคงเข้าใจ คุณย่อยังยุ่งงานก็ไม่เป็นไร เมื่อไหร่ ๆ ก็ได้ค่ะ”

คุณพ่อมองหน้าสิริลักษณ์อย่างสนใจ ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่คุณพ่อเคยเห็นหน้าทั้งหน้าของลูกสาวเต็มตา คุณพ่อทำงานเสร็จมาใหม่ ๆ กำลังทำอารมณ์ให้ดีสำหรับจะไปงานสโมสร จึงยิ้มกับหล่อนพลางว่า

“เรื่องทะเลาะกับแม่หรือเปล่า ถ้าเรื่องทะเลาะกับแม่พ่อยุ่งด้วยไม่ได้ พ่อถือว่าแบ่งหน้าที่กัน”

“โธ่ จิ๋วจะไปทะเลาะกับคุณแม่ยังไงได้คะ” สิริลักษณ์ว่า พยายามไม่ให้เสียงสั่น หล่อนรู้สึกเศร้าในใจที่หล่อนต้องใช้วิธีการต่าง ๆ ที่จะได้พูดกับคุณพ่อ แทนที่จะวิ่งไปตะโกนเรียก คุณปู่ขา คุณปู่ขา เหมือนเวลาที่หล่อนอยู่กับคุณปู่

“เอ้า พูดเดี๋ยวนี้ก็ได้” คุณพ่อว่า “จะไปนั่งที่ไหนล่ะ”

“คุณพ่อไม่อาบน้ำเสียก่อนหรือคะ คุณพ่อรับประทานน้ำชามาแล้วหรือยังคะ” สิริลักษณ์ใช้วิธีการทูตต่อไป

“กินมาแล้ว ไปนั่งที่สนามแน่ะ พ่อจะชมดอกไม้สักประเดี๋ยว ประเดี๋ยวก็จะต้องไปอีกแล้ว” คุณพ่อแนะ

สองพ่อลูกเดินไปนั่งที่เก้าอี้มุมสนาม ใกล้กอกุหลาบที่นกกระจิบเคยทำดอกหัก สิริลักษณ์ยังเสียวแปลบปลาบอยู่ในใจแต่ข่มสติเต็มที่แล้วถามขึ้น

“คุณพ่อคะ คุณพ่อทำไมให้จิ๋วไปอยู่กับคุณปู่คะ”

“พ่อกำลังต้องถูกย้ายไปต่างจังหวัด แม่ก็ลูกอ่อน ตาจ้อยกำลังตัวแดง ๆ จิ๋วก็เจ็บออดแอด คุณย่าท่านอยากเลี้ยงพ่อก็เลยให้ท่าน ท่านก็มีพระคุณกับพ่อแม่และจิ๋วมาก”

สิริลักษณ์ลอบถอนใจด้วยความโล่งอก หล่อนได้ประสบผลสำเร็จในการเจรจาขั้นเริ่มต้นแล้ว

“จิ๋วรักคุณปู่คุณย่ามากค่ะ” สิริลักษณ์ว่า “คุณปู่คุณย่ารักใคร จิ๋วก็รักด้วย”

“นั่นแน่ จะมาต่อว่าพ่อเรื่องไม่อยู่รับรองคุณปู่วันนั้นละซี” คุณพ่อเอ่ยขึ้น ทำให้สิริลักษณ์ใจหายวาบ แต่สีหน้าคุณพ่อยิ้มหล่อนจึงจ้องหน้าท่านอย่างขอคำอธิบาย “พ่อยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย วันนั้นใจลอยเพราะงานมันกำลังยุ่ง ท่านต่อว่าจิ๋วเหรอ ท่านทวงบุญคุณเอาเหรอ”

“เปล่าค่ะ ท่านกลับว่า จิ๋วรักปู่รักย่าก็ต้องคิดถึงบุญคุณพ่อแม่ที่ให้จิ๋วมาอยู่กับปู่กับย่าตั้งหลายปี ไม่งั้นจะมีปู่มีย่ารึ”

“คุณปู่ท่านเป็นทนายความตัวยง ถูกฟ้องการเมืองยังรอดออกมาได้ด้วยฝีปากเลย” คุณพ่อว่า “นั่นแหละท่านด่าพ่อทางอ้อมละ ท่านฝากให้จิ๋วมาต่อว่าพ่อแบบท่าน รู้ไหม”

“เปล่าค่ะ เปล่าจริง ๆ ค่ะ” สิริลักษณ์ยืนยันแล้วตามวัยของหล่อนก็เกิดความไว้วางใจและอุ่นใจในความกรุณา และความเข้าใจของคุณพ่อขึ้นมาอย่างเต็มที่ สิริลักษณ์จึงกล่าวต่อไป “คุณปู่ว่าจิ๋วจากคุณพ่อคุณแม่ไปนาน จิ๋วยังไม่คุ้นอะไร ๆ ต้องค่อย ๆ ถามค่อยซัก แต่ท่านว่าให้ถามคุณพ่อ เพราะคุณพ่อจะเข้าใจดี คุณแม่เป็นคนชอบแต่ของที่เคยที่ชิน จิ๋วซักดีไม่ดีเดี๋ยวท่านจะโกรธเอา มีอะไร ๆ ให้ซักถามคุณพ่อไปก่อน คุณแม่นั้นว่าอะไร จิ๋วต้องฟังทุกอย่าง ไปโต้เถียงไม่ได้”

คุณพ่อหัวเราะเบา ๆ อย่างพอใจ “แล้วจิ๋วมีอะไรจะซักล่ะ”

ลัญชาตญาณของสตรีกระซิบแก่สิริลักษณ์ว่า “พอแล้ว พอแล้ว รอเวลาไว้ก่อน รอเวลา อย่าเร่ง” สิริลักษณ์เริ่มมีความเข้าใจในชีวิตราง ๆ ถ้าเราจะเอาชัยชนะ เราต้องรอเวลาอันสมควร สิริลักษณ์จึงตอบคุณพ่อว่า

“จิ๋วยังไม่กวนคุณพ่อตอนนี้ละค่ะ”

คุณพ่อตบศีรษะสิริลักษณ์เบา ๆ สิริลักษณ์ฉวยแขนท่านมากอดไว้ตามนิสัยไม่ซ่อนเร้นความรู้สึกของหล่อน คุณพ่อดึงตัวสิริลักษณ์ขึ้นจากเก้าอี้แล้วก็เดินขึ้นตึก บอกว่าจะไปอานน้ำ สีหน้าของคุณพ่อแช่มชื่น มีอาการยิ้มอย่างเห็นอะไรขบขันอยู่ด้วย

วันต่อมา เวลาค่ำ คุณแม่ไปบ้านเพื่อนคนหนึ่งในตรอกนั้น สิริลักษณ์ประหลาดใจมากที่คุณพ่อมายืนอยู่ที่หน้าห้องหล่อน แล้วเมื่อหล่อนโผล่หน้าออกมาจากห้อง ท่านก็เรียกให้ลงไปที่สนาม

ท่านไปนั่งที่เดิมที่นั่งเมื่อวานนี้ แล้วพอหล่อนลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งตรงหน้าท่าน ท่านก็กล่าวขึ้น

“พ่อมีเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ไม่มีใครอยู่บ้าน ประเดี๋ยวพ่อก็จะไปเหมือนกัน แม่เขาก็ยังไม่มา จิ๋วอยากพูดกับพ่อเรื่องอะไร จะพูดเสียเลยได้ไหม”

มือเท้าของสิริลักษณ์เย็นเฉียบ ไม่รู้จะท่องคาถาอะไรดี แต่นิสัยใจเร็วทำให้รั้งรอไม่เป็น ก็เลยเล่าเรื่องที่วศินเอาเงินอนุจิตรไป แล้วมาสารภาพต่อหล่อนให้คุณพ่อฟังอย่างย่อ ๆ เล่าไปเสียงก็ชักสั่นและน้ำตาก็คลอตา แต่หล่อนบังคับตัวไม่ให้ร้องไห้ได้

“จิ๋วสงสารวศิน” หล่อนรีบเสริมเมื่อเล่าเรื่องจบ “ถ้าเขาเฉย ๆ เสียก็ไม่มีใครจะจับเขาได้ แต่เขาอุตส่าห์มาช่วยไม่ให้ชื่อเสียงจิ๋วเสียไป จิ๋วโกรธอนุจิตร ว่าเขาช่างคิดไปแปลก ๆ ได้ แต่วศินจิ๋วคิดโกรธไม่ได้เลย จิ๋วขอแค่เพียงให้จิ๋วได้พูดจากับเขาบ้างพอไม่ให้เขาเสียใจเท่านั้น แต่นี่คุณแม่ยื่นคำขาดไม่ให้จิ๋วคบด้วยเลย จิ๋วจะแอบคบเขาจิ๋วก็ไม่อยากทำ จิ๋วอยากให้คุณแม่เห็นใจจิ๋วนิดหน่อยเท่านั้น”

คุณพ่อพยักหน้าขำ ๆ “จิ๋วรู้ไหม คนรักความยุติธรรมนี่ต้องต่อสู้ไปเรื่อย ๆ ในชีวิต เพราะชีวิตไม่ใช่เปิดโอกาสให้มีความยุติธรรมเสมอไป” คุณพ่อกล่าว แล้วคุณพ่อนิ่งไปนาน ท่านก้มหน้ามองดูสนามเหมือนตรึกตรองอะไรจนเพลิน จิ๋วได้แต่จ้องดูผมของท่าน เห็นว่าเริ่มบางตามส่วนของศีรษะ รู้สึกรักส่วนนั้นอย่างมาก ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด แล้วคุณพ่อเงยหน้าขึ้น พูดว่า

“เอาเถอะ พ่อจะหาโอกาสพูดกับคุณแม่”

“คุณพ่ออย่าให้คุณแม่รู้ว่าจิ๋วมาพูดกับคุณพ่อได้ไหมคะ” สิริลักษณ์พูดขึ้นอย่างร้อนรน

“เอ ต้องยังงั้นด้วยรึ” คุณพ่อถาม

“จิ๋วกราบคุณพ่อค่ะ สำหรับคราวนี้ สำหรับคราวต่อ ๆ ไป คุณพ่อจะบอกก็ได้ แต่คราวนี้จิ๋วกลัวคุณแม่จะเสียใจราวกับจิ๋วมาฟ้องค่ะ”

คุณพ่อจ้องดูหน้าลูกสาวอยู่สักครู่ แล้วในที่สุดเหมือนกับว่าท่านเกิดความเข้าใจอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง ท่านจึงตอบว่า

“เอ้าตกลง เป็นอันว่าจิ๋วกับพ่อมีความลับกัน ทีนี้คุณปู่คงไม่ด่าฝากมาอีกละ จิ๋วอย่าลืมเรียนท่านว่า พ่อคิดถึงบุญคุณท่านเสมอ แล้วอย่าลืมว่าพ่อรับราชการ พยายามทำงานเต็มกำลังไอ้หน้าที่พ่อแม่มันก็คงบกพร่องไปบ้าง แต่พ่อแม่น่ะความรักลูกไม่มีอะไรจะมาเทียบได้หรอกลูก”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ