กรุแก้วเรียนเรื่องรัก

กรุแก้วลงจากรถประจำทาง ที่ปากซอยที่จะเข้าบ้านพร้อมๆ กับที่จรรยา น้าคนเล็กของหล่อนกำลังจะเดินเข้าบ้าน พอเห็นท่าทีของจรรยาอันเต็มไปด้วยความพอใจในชีวิต กรุแก้วก็รู้สึกคลายความขุ่นใจซึ่งมักจะมี ในวันที่อากาศร้อนมาก ๆ และผู้โดยสารบนรถประจำทางแน่นมาก กรุแก้วยังไม่ชินกับการขึ้นรถประจำทางไปมา ระหว่างมหาวิทยาลัยกับบ้านของหล่อน เพราะหล่อนเคยอยู่โรงเรียนประจำ ไม่เคยตรากตรำในการเดินทางระหว่างที่อยู่กับที่เรียน ในวันที่อากาศร้อน กรุแก้วยังอดที่จะนึกน้อยใจในโชคชะตาชีวิตไม่ได้ เพราะเพื่อนร่วมโรงเรียนของกรุแก้วที่เข้ามหาวิทยาลัยได้พร้อมกัน ต่างก็มีรถยนต์ส่วนตัวสำหรับรับส่งกันทั้งนั้น อย่างไรก็ตามความน้อยใจมักจะหายไปเมื่อกลับมาถึงบ้าน ได้พบมารดาและน้า ๆ คุยเล่าถึงเรื่องต่าง ๆ น้าจรรยาโดยเฉพาะทำให้กรุแก้วรับเอาภาวะของชีวิตหล่อนได้ดี เพราะน้าคนนี้มีวัยใกล้เคียงกับหล่อน ต้องไปศึกษาเล่าเรียนในสถานศึกษาที่มีฐานะด้อยกว่ากรุแก้วในสายตาของคนทั่วไป ต้องตรากตรำเท่ากรุแก้วในเรื่องทุกอย่าง แต่จรรยาก็รับเอาภาวะเหล่านั้นโดยไม่ดิ้นรนเร่าร้อนแต่ประการใด

กรุแก้วรีบวิ่งให้ทันน้า แล้วก็เดินเคียงกันเข้าบ้าน น้าอีกคนหนึ่ง ชื่อบรรเจิด ยืนยิ้มอยู่ที่บันได

“อ้อ กลับมากันแล้วหรือ?” บรรเจิดทัก “แม่คุณยังไม่กลับมาเลย”

กรุแก้วเรียกมารดาของหล่อนว่า แม่คุณ นามจริงของแม่คุณคือ จามรี เป็นนามที่ตัวเองไม่พอใจนักหนา และได้ตั้งปณิธานว่า ตัวมีบุตรก็จะให้ชื่อไทยง่าย ๆ แต่ให้แปลกจากคนอื่น จามรีจึงตั้งชื่อของบุตรของหล่อนไม่ให้คล้องหรือคล้ายกับตน

จากคำทักของบรรเจิดจะเห็นได้ว่า ในบ้านที่หล่อนอยู่ร่วมกับมารดาและน้า กรุแก้วเป็นคนสำคัญที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างมารวมอยู่ที่แม่คุณและกรุแก้ว คนอื่น ๆ มีความสำคัญรองลงไป กรุแก้วสำนึกในข้อนี้ดีโดยไม่มีใครต้องบอกเล่าและหล่อนไม่แลเห็นเป็นความอยุติธรรมอันใด เพราะหล่อนเคยชินต่อคติอันนั้น แต่กรุแก้วก็ได้รับการอบรมจากมารดาให้แสดงความเคารพต่อน้าจรรยาเป็นอย่างดี ทั้งที่อายุใกล้เคียงกันมาก และจรรยาเป็นคนมีความสามารถน้อยกว่ากรุแก้วแต่ไหนแต่ไรมา

จรรยาเดินยิ้มขึ้นบันไดไป ส่วนกรุแก้วเข้าไปไหว้คุณน้าตามมารยาทที่ได้รับการอบรม บรรเจิดเอามือโอบกอดหลานด้วยความรักใคร่ซึ่งเป็นกิริยาที่หล่อนแสดงทุกวัน ในเวลาที่หลานกลับจากสถานที่เรียน พร้อมกันนั้นก็บอกถึงอาหาร และเครื่องดื่มที่หล่อนได้เตรียมหาไว้ให้สำหรับบรรเทาความกระหาย และความเหน็ดเหนื่อยของผู้ที่อาศัยความเอื้ออารีของหล่อน เพราะบรรเจิดทำหน้าที่แม่บ้านให้แก่พี่สาว น้องสาว และหลาน ซึ่งต้องออกไปนอกบ้านทุกวันเพื่อหารายได้ และศึกษาเพื่อหารายได้ต่อไป

กรุแก้วไปอาบน้ำ รับประทานอาหารว่าง รู้สึกคลายความร้อนและเหนื่อยแล้ว อารมณ์ก็กลับดีขึ้น แท้จริงวันนี้กรุแก้วมีพื้นอารมณ์ซับซ้อนอยู่สักหน่อยเมื่อก่อนจะขึ้นรถประจำทาง ครั้นถูกร้อนและเบียดจึงรู้สึกขุ่นใจ แต่พอสบายแล้วส่วนดีก็กลับเด่นขึ้นมา

ก่อนจะออกจากประตูมหาวิทยาลัยในวันนี้ หล่อนพบกับกิตติมาน เขาขับรถสปอร์ตทันสมัยสีเขียวสดเลี้ยวเข้าประตูใหญ่ที่กรุแก้วกำลังเลี้ยวออก เขาหยุดรถทันที ทำให้เกิดเสียงยางล้อรถสีกับถนนดังยาวยืด นิสิตหลายสิบคนหันมาดูกรุแก้วเป็นสายตาเดียวกัน เมื่อกิตติมานร้องทักขึ้น “กรุแก้ว กรุแก้วนั่นเอง กำลังจะกลับบ้านหรือ”

กิตติมานเป็นชายชื่อเด่นในสังคม เป็นคนหนุ่มที่หญิงในสังคมปองปรารถนากันมาก เพราะเขาเป็นคนสุภาพและมีความรู้ดี เขาเป็นคนหนึ่งที่เคยแสดงความสนใจในเปรมวดี เพื่อนรักสนิทของกรุแก้ว แต่เปรมวดีเลือกเอาการไปศึกษาต่อในประเทศอังกฤษแทนที่จะรีบแต่งงาน การติดต่อระหว่างเขา และเจ้าหล่อนผู้นั้นจึงไม่ก้าวหน้าไปไกลกว่าความสนใจ “แหม ตั้งแต่เปรมไปเมืองนอกแล้ว ไม่ได้พบกันเลย ได้รับจดหมายบ้างหรือเปล่า?” เขาถามหล่อนแสดงอาการสนิทสนม

“ได้รับเหมือนกันค่ะ” กรุแก้วตอบ “แต่หมู่นี้เงียบไป”

“ผมได้รับจดหมายจากจุฑาเหมือนกัน” กิตติมานบอก “เขาได้พบกับเปรม ๒-๓ เดือนหนหนึ่งเขาอยู่กันคนละเมือง นี่คุณจะกลับบ้านเรอะ?”

เมื่อกรุแก้วรับคำเขาก็กล่าวต่อว่า “หวังว่าจะได้พบกันอีกนะครับ ผมมารับน้องบ่อย ๆ” แล้วเขาก็ออกรถและลาไป

กรุแก้วรู้สึกยินดีที่ได้พบกับกิตติมาน จะเป็นเพราะเหตุใดหล่อนยังไม่ทราบ แต่ขณะเดียวกันหล่อนก็รู้สึกไม่พึงพอใจในความเป็นอยู่มากขึ้น ด้วยเมื่อพบเขา หล่อนรู้สึกความร้อนและความเบียดเสียดของรถประจำทางมากขึ้น ใครหนอเป็นน้องของเขาที่เขามารับบ่อย ๆ ทำไมหล่อนจึงไม่มีคนขับรถยนต์มารับบ้าง แล้วกรุแก้วก็รำพึงต่อไปว่า ถ้าหากหล่อนไม่กำพร้าบิดา หล่อนจะมีโอกาสได้นั่งรถยนต์ไปเรียนหนังสือ แทนที่จะต้องขึ้นรถประจำทางทุกวันหรือไม่ ต้องทนกลิ่นเหงื่อไคลของคนที่เหน็ดเหนื่อย ทนความรีบร้อนของคนที่จำเป็นต้องรีบร้อน เพราะภาวะทางเศรษฐกิจบังคับ ทนความเร่อร่าความไม่ถูกจังหวะต่าง ๆ ของคนที่อ่อนด้วยปัญญา ที่หล่อนต้องเสียดสีด้วยกระทบกระแทกด้วย เพราะความไม่ระวัง ความเหม่อความประมาทต่าง ๆ ของเขาทุกเช้าและทุกบ่าย

ค่ำวันนั้น เมื่อเสร็จธุระประจำวัน มีเวลาว่างได้อยู่กับมารดาตามลำพังเล็กน้อย กรุแก้วจึงกล่าวขึ้น “แม่คุณคะทำไมแก้วไม่ชินกับรถเมล์จนแล้วจนรอด เวลาร้อน ๆ มีคนเบียดกัน แล้วอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าคุณพ่อไม่ตายเสีย เราจะมีรถยนต์นั่งเหมือนใคร ๆ เขาไหม”

แม่คุณกำลังอ่านหนังสืออ่านเล่น เมื่อได้ยินบุตรีก็ถอนใจน้อยๆ “เออ แม่ก็ตอบไม่ได้ ไอ้เรื่อง “ถ้า” นี่มันตอบกันยาก สมัยนี้คนมีรถยนต์ขี่นี่ไม่กี่คนหรอกลูก ในมหาวิทยาลัยน่ะ นอกจากเพื่อนโรงเรียนของแล้วแล้วก็ไม่มีอีกกี่คนใช่ไหม”

“จริงค่ะ” กรุแก้วรับ “แต่เรามันชอบเทียบกับเพื่อนของเราเท่านั้น” หล่อนต่อ

“นั้นซี ถ้าแก้วไม่ได้ไปอยู่โรงเรียนประจำ แก้วก็คงไม่เทียบกับเพื่อนชุดนี้ ถ้าเทียบกับคนอื่น ๆ ทั่วไปมันก็คล้าย ๆ กัน”

กรุแก้วไม่ต่อการสนทนากับมารดา ในเรื่องนี้หล่อนมีไหวพริบดีมาก พอที่จะเดาได้ว่ามารดาจะไม่พอใจ ถ้าหล่อนรำพึงรำพันความย่อท้อของหล่อน หล่อนหันไปสนใจกับหนังสือเรียน พอจับหนังสือกรุแก้วก็ลืมความไม่พอใจต่าง ๆ หมดเพราะกรุแก้วมีความสามารถในทางเรียนหนังสือมาก และความพยายามอันหนึ่งของหล่อนก็คือ จะต้องพยายามเล่าเรียนเพื่อสอบชิงทุนการศึกษาไปต่างประเทศให้ได้

แต่หลังจากวันนั้นมา หล่อนก็ได้พบกับกิตติมานอีกหลายครั้งที่มหาวิทยาลัย กิตติมานไปรับญาติหญิงคนหนึ่งเป็นนิสิตอยู่คณะรัฐศาสตร์ บางวันเขาต้องเข้ามารับญาตินั้นในบริเวณใหญ่ของมหาวิทยาลัย แต่โดยมากเขาไม่ต้องเข้ามา กรุแก้วไม่ได้มีโอกาสจะซักไซ้ไล่เรียงกิจส่วนตัวของเขา จนกระทั่งวันหนึ่งมีการบรรยายพิเศษในหอประชุม กรุแก้วรู้สึกเบื่อต่อการบรรยายอันไม่น่าสนใจสำหรับหล่อน จึงเลี่ยงออกมาก่อนการบรรยายจะจบลง ก็บังเอิญพบกิตติมานนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่บนรถของเขา ซึ่งจอดอยู่ห่างจากหอประชุมไปทางด้านตะวันตก อยู่ในทางที่กรุแก้วจะต้องเดินผ่านเพื่อไปขึ้นรถกลับบ้าน

พอเขาเห็นหล่อนเขาก็กระวีกระวาดวางหนังสือแล้วรีบทัก “แหมดีจริง วันนี้ผมตั้งใจไว้ว่าถ้าพบคุณ จะขออนุญาตไปส่งบ้านสักหน่อย จะได้รู้จักบ้านบ้าง ค่ำอย่างนี้ไปคนเดียวไม่ค่อยสะดวกใช่ไหม แล้วอยากให้คุณได้รู้จักกับนิด นี่ทำไมคุณออกมาก่อนล่ะ”

“กลัวค่ำค่ะ” ภรันกัวติอนตามความจริงครึ่งเดียวพลางคิดตามตนเอง ถ้าเขาชวนหล่อนขึ้นรถเพื่อไปส่งบ้านจริง ๆ หล่อนจะรับความช่วยเหลือหรือไม่

“รอประเดี๋ยวได้ไหม” กิตติมานถาม “รอให้นิดออกมา แล้วผมจะไปส่งคุณ แล้วก็ขออย่าอิดเอื้อนเลยครับ เรากันเองนะครับ”

กรุแก้วแปลกใจมากที่กิตติมานใช้ถ้อยคำนั้น หล่อนไม่เคยคิดว่ากิตติมานกับหล่อนเป็นกันเองเลย เขากับหล่อนอยู่กันคนละโลก จริงอยู่เขาเกือบจะได้เป็นคู่หมั้นกับเปรมวดีเพื่อนสนิทของหล่อน แต่ตัวเปรมวดีเองก็ไม่เคยถือเอาว่าเขาเป็นคนสนิทสนมกับหล่อน เปรมวดีทำตัวเหินห่างกับชายหนุ่มทุกคนที่มาติดต่อกับหล่อนโดยผ่านทางผู้ใหญ่ และเปรมวดีไม่เคยทำให้เพื่อนคนใดถือว่าชายหนุ่มเหล่านั้นเป็นเพื่อนร่วมความสนิทสนมด้วยเลย อย่างไรก็ตาม กรุแก้วก็มีความสนใจในตัวกิตติมานมาก กรุแก้วได้ร่วมสมาคมกับคนที่มีฐานะอย่างกิตติมานหลายคน กรุแก้วสนใจกับคนเหล่านั้นทั้งสิ้น เมื่อใดที่หล่อนก้าวเข้าไปในเคหสถานของคนฐานะนั้น หล่อนรู้สึกเบาตัวเบาใจ พรรณวดีมารดาของเปรมวดีเคยกล่าวชมเชยกรุแก้วว่า “เด็กคนนี้แกมีรสนิยมสูง แม่เขาคิดถูก อุตส่าห์ให้ลูกอยู่โรงเรียนเสียสตางค์แพง ๆ จะได้เข้าสมาคมกับคนดี ๆ แกชอบของสวยงาม รู้ค่าของอะไรที่สวยที่ดี ไม่นิยมของถูก ๆ เลว ๆ” แม่คุณเองก็เคยชมกรุแก้วในเรื่องนี้ ว่ากรุแก้วรู้จักของดีของเลวมี ลูกนัยน์ตา ซึ่งแปลว่ารสนิยมนั่นเอง กรุแก้วชอบบ้านที่ใช้เครื่องเรือนงาม ๆ อยู่ในสภาพที่ซ่อมแต่งให้สดใส ไม่ใช่มีสีกะเทาะที่ตรงนั้น มีรอยต่างตรงนี้ ชอบเก้าอี้ที่บุด้วยแพรหรือผ้าเนื้อดี เครื่องแต่งห้องที่ทำด้วยวัตถุมีค่า เล็ก ๆ น้อย ๆ งามกะทัดรัด กรุแก้วสังเกตุหมดทุกอย่างเมื่อหล่อนเข้าไปในบ้านเพื่อนที่มีฐานะการเงินดีแต่มีการศึกษาน้อย มักจะใช้ของไม่เข้ากัน เช่นเอาจานแก้วเจียระไนราคาสูงวางรองด้วยแผ่นปลาสติก กรุแก้วจะรู้สึกวัดระดับความสามารถของแม่บ้านอยู่ในใจ บ้านเปรมวดีเป็นบ้านที่กรุแก้วชอบมาก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างถูกนัยน์ตาไปหมด ส่วนบ้านของลินดาเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านที่มีฐานะการเงินไม่แพ้เปรมวดี กรุแก้วต้องรำคาญตาหลายสิ่งหลายอย่าง บ้านของหล่อนเองหล่อนก็รำคาญ แต่ก็ต้องหักใจที่ความขาดแคลนเงิน ทำให้ต้องอดทนกับความบกพร่องในทางความสวยงาม แต่ในบ้านที่ฐานะการเงินดีแต่เจ้าของขาดลูกนัยน์ตา กรุแก้วไม่อภัยให้ง่าย ๆ

ส่วนกิตติมานเป็นชายหนุ่มที่กรุแก้วไม่เคยรำคาญอะไรเลย กิตติมานเป็นชายหนุ่มที่มีมารยาทเรียบร้อยประจำอยู่ในตัว จะเรียกว่าอยู่ในสายเลือดก็ได้ เขาไม่เคยเผลอเรื่องมารยาทไม่ว่าในกรณีใด กรุแก้วไม่เคยเห็นหน้าบึ้งหรือเหม่อใจลอยเมื่อนั่งร่วมอยู่กับใคร นัยน์ตาของเขาจับตาผู้พูดตลอดเวลาที่เป็นผู้ฟัง และเปรมวดีเคยเล่าว่าเปรมวดีไม่สามารถทำให้เขารักได้ ด้วยกิตติมานชอบคนช่างคุยเพราะเขาเป็นคนชอบฟัง ทำให้กรุแก้วสนใจกับเขาอย่างยิ่ง เพราะกรุแก้วมีชื่อเสียงในหมู่เพื่อนฝูงว่าเป็นคนคุยสนุก กรุแก้วเคยนึกฝันในบางเวลาว่า ถ้าหล่อนอยู่ในฐานะของเปรมวดีมีชายหนุ่มมาติดต่อด้วย และอยากให้แสดงความสามารถในทางสนทนา หล่อนจะทำให้เขาปลงใจรักหล่อนได้หรือไม่ แต่กรุแก้วเคยได้รับความสนใจจากหนุ่มในวัยศึกษาทั้งสิ้น หาคนที่อยู่ในวัยที่เข้าสังคมไม่ได้เลย กรุแก้วไม่ให้ความสนใจตอบชายหนุ่มเหล่านั้นเลยสักคนเดียว

เมื่อกรุแก้วมีความสนใจในกิตติมานเป็นทุนเดิมอยู่มากดังนี้ หล่อนจึงไม่สามารถปฏิเสธความอารีของเขาได้ หล่อนพยักหน้ารับคำเชิญชวนของเขา เขาก็เปิดประตูรถให้หล่อนขึ้นไปพักบนรถนั้น

“ว่าไง กรุแก้ว คุณได้ข่าวเปรมว่าอย่างไรบ้าง เล่าให้ฟังบ้างซิ” เขาชวนคุย

“เขาเล่าแต่เรื่องการเรียนค่ะ” กรุแก้วตอบเรียบ ๆ

“เขาเล่าถึงจุฑาบ้างหรือเปล่า” กิตติมานถาม จุฑาเป็นชายหนุ่มที่เคยสนใจในเปรมวดีพร้อม ๆ กันกับเขา และได้กลับไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ในระยะใกล้ ๆ กันกับเปรมวดีได้ไป

กรุแก้วนึกในใจ “เอ นี่ยังไม่เลิกสนใจกับเปรมหรือนี่” พลางตอบ

“ไม่เห็นเล่าเลยค่ะ นอกจากว่าเคยพบกันที่ไหนที่หนึ่งดิฉันจำไม่ได้ ไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้

“จริงนะ ชื่ออะไรที่เราไม่เคยได้ยิน เราจำไม่ค่อยได้ คนเล่าก็ไม่ค่อยนึกไปถึง” กิตติมานปรารภ “แล้วคุณล่ะคุณเล่าอะไรไปให้เปรมฟังบ้าง”

“ก็เล่าแต่เรื่องการเรียนเหมือนกัน ไม่เห็นมีเรื่องอะไรจะเล่านี่คะ” กรุแก้วตอบ

“แล้วกัน” เขาแสดงความผิดหวัง “โธ่คุณ คนอยู่เมืองไกล อะไร ๆ เรื่องในประเทศเรา ก็น่าสนใจทั้งนั้น”

“เป็นต้นว่าอย่างไรคะ” กรุแก้วถาม

“แหม ผมมันเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง” กิตติมานว่า “จะให้อธิบายอะไรไม่ค่อยถูก ก็มีข่าวสารการเมือง เรื่องคนที่เรารู้จัก เรื่องอะไรต่อมิอะไรร้อยเรื่องพันเรื่อง”

“ก็ดิฉันไม่เคยไปต่างประเทศ ดิฉันจะรู้ได้อย่างไรล่ะคะว่าเรื่องชนิดไหนคนที่ไปจะสนใจ” ความน้อยใจอยู่ในน้ำเสียงของกรุแก้วซึ่งหล่อนซ่อนไม่สนิททำให้กิตติมานชำเลืองดูหล่อนอย่างสงสัย

“นั่นซี ผมมันอธิบายไม่เก่ง” เขาว่า “เรื่องเพื่อน ๆ ทุกคน ใครหมั้นกับใคร รักกับใคร หย่ากันหรือเลิกกันอย่างนั้นผู้หญิงก็น่าจะสนใจ”

“เปรมไม่ค่อยสนใจค่ะ” กรุแก้วเถียง “เรื่องแฟชั่นเปรมก็ไม่ค่อยสนใจ ดิฉันถามไปเรื่องแฟชั่นที่อังกฤษไม่เห็นเล่ามาเลย”

“พุทโธ่ แฟชั่นที่อังกฤษ มันไม่น่าสนใจนี่คุณ” กิตติมานว่า “คุณลองถามคนเขาอยู่ปารีสซิ เขาต้องมีเรื่องเล่าแยะทีเดียว สำหรับนักเรียนในอังกฤษก็แต่งตัวเหมือนกันตลอดปี” แล้วเขาหัวเราะหึ ๆ

กรุแก้วรู้สึกฉิวที่เขาหัวเราะ หล่อนกล่าวว่า “นั่นแหละค่ะ เป็นความรู้สำหรับดิฉันทั้งนั้น เปรมไม่เห็นให้ความรู้อะไรบ้าง เล่าแต่เรื่องทุกข์ว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เปรมไปตั้งปีกว่าแล้ว ยังไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย”

“เข้ายากครับที่อังกฤษ” กิตติมานว่า “ถ้าคนเขามีเงินเขามักไปอเมริกากัน เข้าง่ายกว่ามาก”

“เป็นเพราะเหตุใดคะ” กรุแก้วซัก

“เห็นจะเป็นเพราะจำนวนมหาวิทยาลัยเทียบกับจำนวนพลเมือง” กิตติมานตอบ

กรุแก้วจ้องหน้าเขาเพื่อจะให้เขาพูดต่อ แต่เขายิ้มจ้องหน้าหล่อนเฉยอยู่ หล่อนรำคาญจึงต้องซักว่า

“แล้วยังไงอีกล่ะคะ”

“เรื่องเข้ามหาวิทยาลัยรึครับ”

“เรื่องนั้นและเรื่องอื่นอีกค่ะ” กรุแก้วว่า

“เรื่องเข้ามหาวิทยาลัยก็เห็นจะมีเท่านั้น ทีนี้เรื่องอื่นน่ะเรื่องอะไร”

“เราพูดถึงเรื่องคนไปต่างประเทศ สนใจเรื่องอะไร ๆ อยู่” กรุแก้วบอก

สายตาที่จับหน้าหล่อนเป็นสายตาแสดงความพอใจในหล่อน กรุแก้วไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ กิตติมานยิ้มพลางว่า “เอ้อ ผมจะพยายาม แหม ได้คุณเป็นเพื่อนรอยายนิดนี่ดีจริง” เขาหยุดนิดหนึ่งแล้วกล่าว “คนที่อยู่ไกล เห็นจะสนใจเรื่องบ้านเมืองมาก พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไหน สมเด็จพระราชินีทำอะไร รัฐมนตรีคนไหนจะตาย คนไหนจะออก แล้วก็เรื่องภาษีอากร”

“นั่นมันจะเรื่องของผู้ชายกระมังคะ” กรุแก้วขัดขึ้น “นอกจากเรื่องพระเจ้าอยู่หัวกับพระราชินี”

“ผู้หญิงเขาก็สนใจคุณ” กิตติมานชี้แจง “อ้อเรื่องข่าวต่างประเทศที่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับเมืองไทย คนอยู่ต่างประเทศต้องการจะรู้นะครับว่า คนไทยเขาว่ากันว่าอย่างไร แต่คุณอาจไม่มีอะไรจะเล่าเพราะคนไทยเขาไม่ว่าอะไรกันเท่านั้น”

“อ้อ ดิฉันมีเล่าได้ค่ะ ถ้าใครสนใจจะฟัง” กรุแก้วตอบ “คุณตาเทศนาเป็นนิจศีล แล้วเวลาคุณตาพูดมันน่าสนใจไงไม่รู้ค่ะ ดิฉันว่าจะไม่ฟัง อดไม่ได้สักที จริงและ แล้วเปรมเขาก็เป็นแฟนคุณตา เขาคงสนใจแน่ว่าคุณตาว่ายังไงเรื่องอะไรต่ออะไร ทำไมไม่เคยคิดจะเขียนเล่าเลย”

“คุณลองดูซิ ผมว่าเปรมจะต้องรีบตอบคุณสำหรับจะเอาเรื่องต่อไป เพราะมันจะทำให้แกมีเรื่องคุยกับเพื่อนฝรั่งใคร ๆ ว่าเปรมเป็นเด็ก.....” เขากำลังจะใช้คำ ๆ หนึ่งแต่แล้วยั้งไว้ทัน และกล่าวต่อไป “หงิม ๆ หงอย ๆ แต่แกอาจเป็นพวกน้ำนิ่งไหลลึกก็ได้”

กรุแก้วชำเลืองดูเขานิดหนึ่งด้วยความสงสัย แต่หล่อนยังไม่ทันจะกล่าวว่าอย่างใดต่อไปก็พอดีมีเสียงคนจำนวนมากหลั่งไหลกันออกมาจากสถานที่ประชุม กิตติมานหันไปดูทางหอประชุม แล้วก็ชะเง้อคอขึ้นมองดูนิสิตที่เดินตามกันออกมาเป็นหมู่ใหญ่ เขาเที่ยวมองหาน้องสาวอยู่ได้สักครู่ก็ร้องว่าเขาได้เห็นแล้ว และอีกไม่ถึงนาทีต่อมา กรุแก้วก็ได้ยินเขาเรียก “นิด นิด ทางนี้ ทางนี้” แล้วก็มีหญิงสาวในเครื่องแบบของมหาวิทยาลัยเหมือนกรุแก้ว วิ่งเข้ามาที่รถพร้อมกันนั้นมีเพื่อนหญิงอีกคนตามเข้ามาด้วย

ก่อนที่กิตติมานจะได้แนะนำกรุแก้ว หญิงที่เขาเรียกว่านิดก็กล่าวอย่างร้อนใจและร่าเริงผสมกัน “พี่กิตติคะ น้องชวนสุจริตมาด้วย พี่กิตติไปส่งเขาหน่อยได้ไหมคะ มีธุระที่ไหนหรือเปล่า สุเขาอยู่ประตูน้ำแค่นี้เองนะคะ”

“ได้” กิตติมานรับคำน้องสาวอย่างเต็มใจ “นี่กรุแก้วที่พี่เล่าให้นิดฟัง แล้วนิดว่ายังไม่รู้จักกัน พี่ชวนกรุแก้ว พี่จะเอาไปส่งบ้านด้วย กรุแก้วอยู่ฝั่งธน”

นิดยิ้มกับกรุแก้วอย่างอ่อนหวาน “เอ้า พี่กิตติจะไปส่งใครก่อนคะ แต่นิดน่ะเข้าไปนั่งข้างในละ เพราะนิดลงทีหลัง”

เมื่อตกลงกันได้เรื่องที่นั่งและหนทางที่จะไปแล้ว คนทั้งสี่ก็เข้านั่งที่แล้วผู้ขับก็ออกรถไป สุจริตอยากไปถึงบ้านเร็ว จึงเป็นผู้นั่งข้างหน้าไปกับกิตติมาน กรุแก้วกับนิดนั่งไปข้างหลังแล้วไปเปลี่ยนที่นั่งข้างหน้าด้วยกันทั้งสามคนเมื่อส่งสุจริตลงใกล้บ้านแล้ว

ในวันนั้น กรุแก้วได้เรียนรู้เรื่องญาติของกิตติมานว่า มีฐานันดรศักดิ์คล้ายกับเขา ชื่อจริงว่านิตยคุณ แต่ไม่มีใครเรียกชื่อนั้นเลย เรียกกันแต่ชื่อเล่น หล่อนเป็นนิสิตชั้นเดียวกับกรุแก้ว กรุแก้วพิศดูไม่เห็นว่าอยู่ในชั้นเป็นคนสวย แต่สีหน้าของนิดอ่อนหวานน่ารักอยู่ตลอดเวลา หล่อนเป็นญาติสนิทกันมากกับกิตติมาน บิดาของกิตติมานกับมารดาของนิดเป็นพี่น้องร่วมบิดากัน และบังเอิญบิดาของนิดก็เป็นน้องร่วมบิดาของมารดากิตติมานด้วย

เมื่อมาถึงบ้านแล้ว กรุแก้วก็อำลาผู้ขับรถและเข้าบ้านไปโดยไม่ได้เชื้อเชิญให้เข้าไปในบ้านเพราะเป็นเวลาค่ำมากแล้วอย่างหนึ่ง และเป็นเพราะกรุแก้วไม่แน่ใจว่าหล่อนควรจะเชิญกิตติมานเข้าไปในบ้านหรือไม่อย่างหนึ่ง กิตติมานก็อำลาไปพร้อมกับน้องสาว

กรุแก้วเดินเข้าบ้านพลางถามตัวเองอยู่ในใจว่า ควรหรือไม่ที่จะบอกมารดาว่ากิตติมานมาส่ง แต่แล้วด้วยเหตุผลที่หล่อนเองก็ไม่รู้ถึง หล่อนก็ตัดสินใจว่า สำหรับคราวนี้หล่อนจะยังไม่บอกใคร แต่ตลอดเวลาค่ำวันนั้นกรุแก้วรู้สึกครึกครื้นในใจ และหล่อนรู้ดีว่าอะไรทำให้หล่อนรู้สึกเช่นนั้น

อีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ หล่อนก็ได้พบกับกิตติมานอีก คราวนี้หล่อนนั่งอยู่บนรถของลินดา เพื่อนร่วมโรงเรียนเก่า ซึ่งได้มาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยด้วยกัน และเป็นเพื่อนสนิทมากของหล่อน รถของลินดาจอดอยู่ที่หน้าตึกเรียนของหล่อน คุณนายผิวทองมารดาของลินดามีธุระจะไปทางธนบุรีจึงชวนให้กรุแก้วไปด้วยกันแล้วจะแวะส่งบ้าน กิติมานขับรถเข้ามาในบริเวณนั้น พอเห็นกรุแก้วกับลินดา ก็เข้ามาปราศรัยกับหญิงสาวทั้งสองและกับคุณนายผิวทองอย่างสุภาพตามลักษณะของเขา เขาถามกรุแก้วว่า “ลินดาจะไปส่งกรุแก้วเหรอ” ลินดาตอบรับคำ เขาก็พยักหน้าแล้วกล่าวคำอำลาไป กรุแก้วนึกไม่พอใจในโชคที่บังเอิญให้หล่อนตกลงไปกับลินดาเสียก่อน ด้วยหล่อนใคร่จะรู้ว่ากิตติมานจะอาสาไปส่งหล่อนที่บ้านอีกหรือไม่

และอีก ๓-๔ วันต่อมาหล่อนก็พบเขาอีก เขาขับรถไปที่ห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัย กรุแก้วยืนอยู่บนระเบียงตึก หล่อนเห็นเขาลงจากรถก็เดินลงมาหาเขา

“อ้าว ดีจริง พบกันอีกแล้ว” เขาทักหล่อน “วันนี้ว่างด้วยซี ผมไปส่งคุณที่บ้านอีกก็ได้ ไปแวะกินไอศกริมตามทางสักหน่อยได้ยิ่งดี”

กรุแก้วรู้ดีว่า ขณะนั้นสายตาของเพื่อนนิสิตหลายคนจับอยู่ที่หล่อน บางคนก็ถึงกับผินหลังเหลียวมาดูหล่อนกับกิตติมานโดยลืมมารยาท แต่หล่อนก็ไม่ให้ความเอาใจใส่กับอะไรเช่นนั้นมาก หล่อนยิ้มรับคำชวนของเขาด้วยสีหน้าเบิกบาน และอาการยิ้มด้วยความเบิกบานใจของกรุแก้วนั้น คุณตาผู้ซึ่งเป็นนักประพันธ์เคยใช้คำว่า “ยายแก้ว บางทีเวลาแกยิ้มเหมือนเวลาพระจันทร์เต็มดวงโผล่ออกจากเมฆ”

กิตติมานมองดูหน้ากรุแก้ว และยิ้มตอบหล่อนด้วยความพึงพอใจดุจกัน เขาบอกให้หล่อนคอยเขาขณะที่เขาเข้าไปขอยืมหนังสือ แล้วเขาก็กลับมาพาหล่อนขึ้นรถ และขับไปที่ร้านขายขนมทันสมัยที่สี่แยกราชประสงค์

เมื่อนั่งลงที่โต๊ะและสั่งของรับประทานเรียบร้อยแล้ว กิตติมานก็เอ่ยขึ้น

“ตั้งแต่คุยกันวันนั้นแล้ว ได้ข่าวอะไรจากเปรมอีกไหม”

กรุแก้วรู้ดีว่าเขาหมายถึงวันไหน แต่แสร้งถามว่า “วันไหนคะ”

“เออ วันไหนล่ะ” กิตติมานพยายามเรียกความจำ “อ้อ วันที่คอยนิด เรื่องที่คุณจะเขียนจดหมายถึงเปรม”

“อ้อ ไม่ได้ค่ะ แต่ดิฉันเขียนไปถึงเขา” กรุแก้วตอบแล้วโดยเรียกสติไม่ทัน หล่อนถามออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “แหม เมืองนอกนี่ ค่าไปรษณีย์มันแพงเหมือนเมืองไทยเราไหมคะ”

กิตติมานกำลังตักขนมใส่ปาก เขาสั่นศีรษะน้อย ๆ แล้วเมื่อเคี้ยวกลืนแล้วก็กล่าวต่อไปว่า “ดีจริง มีคนบ่นค่าไปรษณีย์เมืองไทยให้ฟังเสียที แพงเป็นบ้าเลยเมื่อเทียบกับราคาอะไรทั่ว ๆ ไป คือยังงี้ถ้าคิดเป็นเงินไทยออกมามันก็เท่ากัน แต่สำหรับเราค่าทิ้งจดหมายไปเมืองนอกทีหนึ่ง มันแปลว่าอาหารกลางวันมื้อหนึ่งเกือบได้ เวลาผมอยู่เมืองนอก น้อยใจเพื่อนฝูงเหลือเกินที่เขาไม่ค่อยเขียนจดหมายถึงเรา จนห่างเหินกันไปหมด แต่พอกลับมาแล้วถึงรู้ว่าค่าแสตมป์บ้านเรานี่มันแพง นิดบ่นเรื่อยเหมือนกัน เพราะแกจะเขียนจดหมายถึงพี่ชายแกที แกต้องเสียสละไอศกริมหนึ่งถ้วย แกว่า”

กรุแก้วหัวเราะออกมาได้ หล่อนไม่ต้องการให้กิตติมานรู้ว่า ฐานะการเงินของหล่อนฝืดเคืองแค่ไหน และหล่อนต้องประหยัดระมัดระวังเพียงใดในการใช้จ่าย แล้วเกิดอยากรู้ถึงความรู้สึกของเขาขึ้นมาจึงถามขึ้น “คุณกิตติเคยเขียนจดหมายถึงเปรมบ้างไหมคะ” ก่อนที่หล่อนจะตัดสินใจเรียกเขาอย่างไรหล่อนได้คิดทบทวนเป็นเวลานาน จนกระทั่งวันหนึ่ง หล่อนได้ยินคุณตาคุยกับคุณแม่ว่า “คนสมัยนี้จะยกย่องใคร ทำไมมันเรียกคุณไม่ได้ ต้องเรียกตำแหน่งกันหัวกอง หัวแหนก อะไรของมันไม่รู้ แล้วใครเป็นหม่อมหลวงหม่อมราชวงศ์ก็ต้องเรียกหม่อม ที่จริงมันก็ควรเรียกคุณนั้นคุณนี่เท่านั้น”

กิตติมานทำท่าตรึกตรองก่อนตอบคำถามของหล่อน ในที่สุดเขาตอบ “เคย เคยเขียนหนหนึ่ง แต่ไม่ได้รับตอบ ก็เลยไม่กล้าเขียนอีก เธอเคยทราบเรื่องผู้ใหญ่ของเปรมกับของผม เขามั่นหมายให้เราแต่งกันใช่ไหม”

กรุแก้วแปลกใจในคำถามจนเกือบสำลักไอศกริม หล่อนไม่มีทางตอบอย่างอื่นจึงได้แต่ผงกศีรษะ และก้มหน้าด้วยความกระดาก

“คนไทยเรานี่กำลังเป็นไงไม่รู้ ครึ่งเก่าครึ่งใหม่ รีๆ ขวางๆ เรื่องเปรมกับผมนี่ผมยังขัดใจไม่หาย แทนที่จะได้เป็นเพื่อนกันดีๆ เลยเสียไปหมด เปรมเลยตัวแข็งเป็นปลาห้องเย็นเวลาพบผม”

กรุแก้วหายใจโล่งอก ทำไมอะไรต่ออะไรจึงเปลี่ยนจากยากเป็นง่ายได้ถึงขนาดนี้ อะไรๆ ที่เป็นปัญหาสำหรับหล่อนกลายเป็นไม่ใช่ปัญหาไปเลย ต่อจากนี้หล่อนกับเขา ก็จะได้คบกันฉันเพื่อนอย่างสะดวกใจ

“เปรมไม่ค่อยขยันเขียนจดหมายเลย” กรุแก้วกล่าว “ทีแรกดิฉันต้องเขียนสองฉบับถึงจะตอบฉบับหนึ่ง ทีหลังดิฉันบอกไปเรื่องแสตมป์แพง ถึงได้ตอบกันทุกฉบับ แต่ก็นาน ๆ เขียนไปตั้งเดือนถึงจะได้ตอบ แล้วก็ไม่ช่างคุยเสียเลย”

“เออ แล้วคุณล่ะ” ประเดี๋ยวเขาก็พูดคุณประเดี๋ยวก็พูดเธอ แต่กรุแก้วไม่รู้สึกรำคาญเขาเลย

“คุณเขียนไปว่าไงบ้างล่ะ ขอโทษ ถ้าไม่ควรถามก็ไม่ต้องตอบนะ”

กรุแก้วหัวเราะน้อย ๆ เสียงเป็นกังวานเย็นราวกับกระดิ่งใบโพธิ์ที่ห้อยจากหลังคาพระอุโบสถในวัด กิตติมานมองดูหน้าอันงามของหล่อนด้วยความพึงพอใจ

“ดิฉันลองทำตามคำแนะนำของคุณกิตติมาน” หล่อนตอบ “ดิฉันเก็บขี้ปากของคุณตาเล่าเรื่องข่าวสารการเมืองไปให้ฟัง”

“คุณตาของคุณที่คุณพูดถึงนี่ผมสนใจจริง เล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมว่าเป็นใครยังไง”

กรุแก้วยินดีที่สุด หล่อนเล่าประวัติคุณตาผู้เป็นน้าและมิตร และเพื่อนคุยของมารดาให้เขาฟังอย่างน่าสนใจ เมื่อจะจบเรื่องหล่อนก็บอกว่า คุณตาของหล่อนใช้นามปากกาว่า “ชาวกระลา”

“อ๋อ ชาวกระลานี่เองรึเป็นตาน้อยของกรุแก้ว” เขาว่าพลางหัวเราะอย่างพอใจ “เมื่อเด็ก ๆ ผมเป็นแฟนท่าน เออ ต้องไปหาหนังสือมาอ่านอีก ดูซิจะชอบเหมือนเมื่อเป็นเด็ก ๆ ไหม แหมหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง แต่นี่แล้วผมไปพบต้นเรื่องของมันในภาษาอังกฤษนะ แต่ผมก็ชมว่า ชาวกระลา ดัดแปลงเสียเป็นไทยได้จริง ๆ เออ แต่ว่า ท่านหมายความถึงอะไรนะ นามปากกาท่านน่ะ”

“หมายถึงว่า ท่านไม่ได้ไปเมืองนอกเมืองนาเหมือนเพื่อนฝูงท่านบางคนค่ะ โลกกระลาฟ้าครอบท่านว่า”

ทั้งสองคนหัวเราะน้อย ๆ อย่างพอใจในการสนทนาด้วยกัน กิตติมานคุยต่อไปเรื่องหนังสือของชาวกระลาอีกนิดหน่อย กรุแก้วอธิบายเรื่องคติของท่านว่าต้องแสดงมารยาทอย่างไรบ้างเวลาขอยืมเค้าเรื่องมาจากหนังสือภาษาต่างประเทศ กิตติมานฟังอย่างสนใจและแสดงความเห็นด้วยเป็นอย่างดี

ในที่สุดก็ได้เวลาพอสมควรที่จะออกจากสถานที่นั้น กิตติมานขับรถไปส่งหล่อนที่บ้าน คราวนี้หล่อนเชิญให้เขาเข้าบ้าน ทั้งที่ในใจยังไม่อยากให้เขารับเชิญ แต่เขาขอตัวอ้างว่าต้องกลับถึงบ้านภายในเวลาที่นัดไว้ แต่ก่อนเขาจะจากไป เขากล่าวแก่หล่อนว่า “ต้องคุยกันอีกนะ กรุแก้ว”

กรุแก้วตั้งใจว่าคราวนี้ หล่อนจะไม่หลีกเลี่ยงการแจ้งให้มารดาทราบว่า กิตติมานพาหล่อนมาส่งที่บ้าน แต่บังเอิญวันนั้น น้าคนรองคนหนึ่ง ชื่อเบญจางค์ ไม่สบาย แม่คุณและน้าบรรเจิดต้องว้าวุ่นในเรื่องนั้น หล่อนก็เลยไม่มีโอกาลบอกเล่าเรื่องของหล่อนเพราะดูก็ไม่ค่อยจะสำคัญอย่างใดนัก

ตั้งแต่นั้นมา กรุแก้วกับกิตติมานก็ได้พบกันอีกหลายครั้ง ถ้าวันใดกิตติมานไม่มีธุระจำเป็นคอยอยู่ เขาก็จะหาโอกาสชวนกรุแก้วไปรับประทานขนมด้วยกัน ครั้งหนึ่งเขาเข้ามาในบริเวณใหญ่ของมหาวิทยาลัยพร้อมกับนิด เวลาใกล้อาหารกลางวัน เขาก็หยุดรถเชิญกรุแก้วผู้ซึ่งกำลังเดินอยู่ตามทางเท้าให้ขึ้นรถ แล้วพาไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารมีชื่อแห่งหนึ่ง ทุกครั้งการสนทนาระหว่างเขากับหล่อนออกรสครึกครึ้นขึ้นทุกที

ในการพบปะกันระหว่างกิตติมานกับกรุแก้วนี้ บางครั้งก็มีนิดร่วมด้วย บางครั้งก็ไม่มี เกือบทุกครั้งที่กรุแก้วพบกิตติมานพร้อมกับนิด จะต้องมีเพื่อนนิสิตหญิงของนิดคนใดคนหนึ่งร่วมอยู่ด้วย นิดขอร้องให้กิตติมานไปส่งเพื่อนที่กลางทาง เพื่อจะได้ย่นระยะการเดินทางบ้าง ขอให้ไปส่งถึงบ้านบ้าง ขอให้ไปส่งที่หนึ่งที่ใดเพื่อทำกิจธุระบ้าง กิตติมานจะรับทำให้โดยมาก บางคราวเมื่อเขามีนัดหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงจะปฏิเสธอย่างสุภาพและเห็นอกเห็นใจ กรุแก้วรำพึงในใจ

“แต่กับลูกพี่ลูกน้องของเขา เขายังดีถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นหญิงที่เขารัก เขาจะดีสักเพียงไหนหนอ”

กรุแก้วมีเพื่อนชายที่สนใจในหล่อนหลายคน บางคนก็เป็นนิสิตร่วมชั้น บ้างก็ร่วมคณะ บ้างก็เป็นนักศึกษามาจากสำนักอื่น บ้างก็เคยมาหาส่งถึงที่บ้าน บ้างก็ยังไม่ได้ไปกรุแก้วรับรองและให้ความสนิทสนมเสมอกัน มีอยู่สองคนที่มีความรู้สึกไกลไปจากความสนใจ คนหนึ่งชอบมากจนกระทั่งไม่เคยขาดการมาเยี่ยมในวันเสาร์หรืออาทิตย์ จะต้องไปที่บ้านในสุดสัปดาห์มิวันใดก็วันหนึ่ง อีกคนหนึ่งเคยสารภาพรักและแจ้งว่า ถ้าเขาต้องตัดใจจากหล่อนเมื่อใด ชีวิตของเขาก็จะหมดความหมายลงไปทันที กรุแก้วได้บอกกล่าวให้แม่คุณทราบเรื่องนี้ ตามความตกลงที่มีต่อกันระหว่างแม่คุณกับหล่อนว่าจะไม่ปิดบังกันในเรื่องที่สำคัญแก่ชีวิตถึงขั้นนี้ แม่คุณยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าวแก่หล่อนว่า

“ถ้าแก้วไม่อยากตัดสินใจ ก็บอกกะเขาไปก่อนว่ายังตัดสินไม่ได้ ถ้าตัดสินว่าไม่เอาแน่ก็บอกได้เลย”

“แล้วเผื่อเขาเสียใจมากจนไปทำอะไรบ้า ๆ จะทำยังไงคะ” กรุแก้วถาม

“เช่นอะไรบ้าง”

“เช่นไปกินยาตายหรืออะไรยังงั้น” กรุแก้วพูดอย่างซื่อ

“ถ้าถึงกับไปกินยาตาย ก็แปลว่าเราตัดสินใจถูกมาก” แม่คุณตอบ “เพราะคนบ้าขนาดรักผู้หญิงไม่สมรักแล้วไปฆ่าตัวตาย เราเอาเป็นที่พึ่งในชีวิตเราไม่ได้ แต่ถ้าเสียใจขนาดเรียนหนังสือหนังหาไม่ได้ ก็คงค่อย ๆ หายไป เพราะคนหนุ่ม ๆ ไม่มีความรู้สึกยั่งยืนอะไรนัก แต่ก็ใช้อุบายหน่อยซีลูก อย่าหักหาญนักซี ค่อย ๆ บอกทีละน้อย ๆ ลูกต้องหาวิธีได้ เป็นผู้หญิงต้องฉลาดพูด ถ้าไม่ยังงั้น ที่ว่ากันว่าผู้หญิงสมัยนี้รักษาตัวได้ก็ไม่จริง รักษาตัวได้แปลว่ารู้จักปฏิเสธผู้ชายที่เราต้องปฏิเสธอย่างนุ่มนวลด้วย”

“แก้วว่ายากเอาการ” กรุแก้วรำพึงดัง ๆ “แต่แก้วจะพยายามค่อยๆให้แกรู้”

“ต้องใช้เวลาหน่อยซี อย่าฮวบฮาบ” มารดาหล่อนว่า “ข้อสำคัญ แก้วต้องไม่หลอกเขา อย่าทำให้เขาหวังแล้วก็วันหนึ่งก็ไปบอกว่า ฉันไม่เคยรักเธอสักที บาปหนา ผู้หญิงที่เล่นกับผู้ชายแบบนั้นน่ะวันหนึ่งจะโดนดี”

เกี่ยวกับกิตติมาน กรุแก้วได้หาวิธีให้มารดารู้ถึงความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างเขากับหล่อนได้โดยไม่ยากใจ โดยเล่าถึงความอารีของเขาให้มารดาฟัง แต่ไม่แสดงความยินดียินร้ายต่อความอารีนั้นมากนัก มารดาหล่อนก็ไม่แสดงความเห็นอย่างใดให้หล่อนทราบ

จนกระทั่งวันหนึ่ง ลินดามีงานเลี้ยงอาหารที่บ้านในวันเกิดของพี่ชาย ลินดาได้เชิญให้กรุแก้วไปร่วมงานด้วย ในงานนั้นกิตติมานก็ไปด้วย พอเห็นกิตติมานเข้าบ้านมากรุแก้วผู้ซึ่งยืนอยู่ใกล้ลินดาก็อดใจไว้ไม่ได้ถามเพื่อนทันที “คุณกิตติมานเป็นแขกของใครน่ะ”

“ฉันบอกให้เฮียเขาเชิญเองแหละ” ลินดาตอบแล้วก็ชำเลืองดูกรุแก้วและยิ้มอย่างมีนัย “เฮียเขาเคยไปเล่นบิลเลียดด้วยกัน”

กิริยาอาการของลินดาทำให้กรุแก้วเกิดความรู้สึกตะขิตตะขวงใจโดยที่หล่อนก็ไม่รู้เหตุ จึงเลี่ยงไปเสียจากที่ ๆ ยืนอยู่ ไม่รอให้กิตติมานเข้ามาพบ หล่อนไม่ได้เห็นเขาอีกเลยจนกระทั่งเวลารับประทานอาหาร กรุแก้วนั่งรับประทานอยู่กับเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเดิมคนหนึ่ง มีญาติของเพื่อนคนนั้นร่วมอยู่ด้วยที่โต๊ะเดียวกัน ระหว่างรับประทานก็ได้ยินเสียงคนเรียก “นั่นแน่ะ คุณกิตติมาน” หลายเสียงและหลายครั้งเสียงร้องเชิญชวนให้เขาเข้าไปร่วมโต๊ะด้วยมาจากแขกหลายกลุ่ม กรุแก้วไม่เงยหน้าและไม่หันไปดูเขาตามเสียงเรียก แต่ในเวลาไม่กี่วินาที หล่อนก็รู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังหล่อนแล้วเสียงกิตติมานดังขึ้น “ผมขอนั่งที่นี่ด้วยคนได้ไหม” แล้วก็ได้ยินกิตติมานทักทายเพื่อนร่วมโต๊ะของหล่อนอย่ างคุ้นเคยและเสียงเพื่อนร่วมโต๊ะของหล่อนแสดงความพอใจที่กิตติมานเข้ามาร่วมด้วย เป็นอย่างที่อาจเรียกได้ว่าครึกครื้นทั่วกันไปหมด

ในงานเลี้ยงวันนั้น กรุแก้วต้องยอมรับความจริงว่า กิตติมานเป็นบุคคลที่สังคมในเมืองไทยต้องการคบหาจริง ๆ และต้องยอมรับความจริงว่า ทั้งที่คนที่ไปร่วมงานเกือบทั้งหมด ต้องการตัวเขาให้เขาร่วมเล่นเจรจาใกล้ชิด กิตติมานก็เลือกที่จะอยู่ใกล้หล่อนตลอดเวลา มากกว่าที่จะไปความเพลิดเพลินจากคนอื่น

เขากล่าวขึ้นทันทีที่หาที่นั่งได้ใกล้หล่อน “นึกแล้วเทียวว่ามาวันนี้คงได้พบกรุแก้ว รู้ว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทของลินดา เออ ได้ข่าวเปรมวดีอีกบ้างไหม”

“ได้ค่ะ” กรุแก้วตอบ “ที่คุณกิตติมานแนะนำได้ผลเหลือเกิน เปรมขอบอกขอบใจทุกที แล้วก็เลยซักจะมีเรื่องเล่าให้เพื่อนฟังมากขึ้นค่ะ” แล้วเพื่อจะแสดงความมีน้ำใจหล่อนถามว่า “นิดไม่มาด้วยหรือคะ”

“เปล่าครับ” แล้วลดเสียงให้เบาลง “แท้ที่จริงไม่ได้รู้จักกันคุ้นเคยอะไร แต่ทำไมเขาใจดีมาเชิญผมก็ไม่ทราบ”

“คุณกิตติรับเชิญทุกรายที่เขาใจดีหรือคะ” กรุแก้วถามเสียงเบาอย่างเดียวกัน

“แหม กรุแก้วนี่ถามอะไรฉลาด ๆ เสมอ” กิตติมานตอบ “แต่วันนี้พูดจริงๆ ผมคิดถึงว่าคงได้พบกรุแก้ว แล้วผมก็จำได้ว่าลินดาเป็นน้องของเจ้าของงานและเป็นเพื่อนสนิทของเปรมวดี”

ต่อจากนั้น ทั้งกรุแก้วและกิตติมานก็เข้าร่วมสนทนากับคนอื่น ๆ ได้รับความสนุกสนานเบิกบานใจทั้งสองคนจนได้เวลาที่สมควรลา กิตติมานถามกรุแก้วว่ามีคนไปส่งบ้านแล้วหรือ กรุแก้วตอบว่ามีแล้ว เพราะหล่อนได้บอกแก่มารดาไว้ว่า ลินดาจะให้รถของลินดาไปส่ง และไม่อยากให้ลินดาทึกทักเอาว่ากิตติมานกับหล่อนมีความสัมพันธ์กันเกินกว่าที่เป็นจริง

อีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อจากวันนั้น กรุแก้วพบนิดที่ตึกเรียนของหล่อน นิดได้มาหาหล่อนด้วยเจตนา แจ้งว่า กิตติมานสั่งให้มาเชิญไปงานเลี้ยงวันเกิดของมารดาของเขา และเชิญลินดาด้วย ถ้ากรุแก้วไม่รังเกียจ ขอให้ไปแต่งตัวที่บ้านลินดาแทนที่จะกลับไปแต่งตัวที่บ้านที่ธนบุรี แล้วกิตติมานจะไปรับลินดาและกรุแก้วที่บ้านของลินดาไปยังบ้านของเขา กรุแก้วรับจะบอกลินดาแล้วจะแจ้งให้นิดทราบคำตอบที่แน่นอน

แต่พอลินดาได้ฟังข้อเสนอของกิตติมานจากกรุแก้ว ลินดาก็ว่า “ที่จริงน่ะ ไปรถฉันก็ได้ แต่ดีแล้วจะได้นั่งรถพระเอกรูปหล่อเสียบ้าง” ครั้นกรุแก้วหลบตาไม่ตอบว่าอย่างไร ลินดาก็เสริมว่า “ถูกใจแก้วซินะ” กรุแก้วก็ไม่กล้าสู้ตาเพื่อน ทำเป็นอ่านหนังสือตำราเล่มหนึ่งเพลินไป เหมือนกับว่าไม่ได้ตั้งใจฟังจึงไม่ได้ยินและไม่โต้ตอบ

ครั้นถึงวันงาน ลินดาเกิดเป็นหวัดอย่างแรงจนไม่อาจแข็งใจไปร่วมงานได้ กิตติมานจึงมารับกรุแก้วไปจากบ้านลินดาแต่คนเดียว กิตติมานได้แนะให้กรุแก้วขออนุญาตมารดาให้เขาไปส่งหล่อนที่บ้าน เพราะไม่ใช่งานกลางคืน ที่ต้องกลับบ้านในยามสงัด งานเริ่มเวลา ๑๗.๐๐ นาฬิกา มีการออกร้านพี่ ๆ น้อง ๆ รับประทานอาหารว่างบ้าง อาหารหนักบ้างตามที่แขกต้องการ ระหว่างที่นั่งมากับกรุแก้วในรถ กิตติมานก็อธิบายลักษณะงานไปพลาง

“ไมใช่งานหรูหราอะไรนะกรุแก้ว” เขาว่า “มีแต่พี่ ๆ น้องๆ กับเพื่อนสนิท ๆ กันเท่านั้น ไม่ใช่งานซายิดหรืออะไร ของกินก็ไม่ใช่ของดี แต่คุณแม่ท่านเกิดนึกสนุก ท่านไปได้สตางค์ค่าอะไรของท่านก็ไม่รู้ ก็เลยบอกให้ทำอะไรเลี้ยงกัน แล้วที่ผมเชิญกรุแก้วไปนี่ เพราะผมจะให้ไปเฝ้าท่านลุงน่ะ แต่อยากให้สนุกด้วย ได้กินอาหารแปลก ๆ ด้วย เพราะลำพังผม ไม่มีปัญญาจะเลี้ยงเพื่อนหรอก” แล้วเมื่อถามกรุแก้วถึงมารดาของหล่อน และได้ทราบว่าอนุญาตให้เขาไปส่งหล่อนที่บ้านได้ เขาก็เสริมว่า “คุณแม่ อ้อ แม่คุณของกรุแก้วนี่ ผมว่าเป็นคน reasonable ใช้เหตุผลอย่างพอเหมาะพอควรจังเลย ผมก็ไม่ชอบธรรมเนียมให้ใครๆ ไปส่งลูกเต้าเวลาดึกดื่น รับรองว่าไม่ให้เกินยามหนึ่ง เป็นถึงบ้านแน่”

เมื่อไปถึงบ้านกิตติมาน กรุแก้วได้เห็นแขกแต่งตัวเรียบ ๆ เป็นจำนวนประมาณ ๓๐ ถึง ๔๐ คน ล้วนแต่เรียกกันคุณป้า คุณน้า คุณพี่ คุณน้อง พี่กลาง พี่ใหญ่ และลำดับญาติกันต่าง ๆ เป็นความจริงตามที่กิตติมานบอกไว้ มีคนหนึ่งที่ไม่ใช่ญาติและที่กรุแก้วรู้จัก ก็คือคุณแม่ของเปรมวดี เมื่อเห็นกรุแก้วลงจากรถของกิตติมาน คุณแม่ของแปรมวดีจ้องดูอย่างสนใจ กรุแก้วเข้าไปทำความเคารพ คุณแม่ของเปรมวดีก็ทักทายอย่างสุภาพ แต่เมื่อกิตติมานมาดึงตัวกรุแก้วไปจากท่าน กรุแก้วผินหน้ากลับมาดูท่านนิดหนึ่งก็ได้พบว่าท่านมองตามมาอย่างสนใจอีก

กิตติมานพากรุแก้วไปแนะนำแก่มารดา แล้วไม่ทันที่กรุแก้วจะได้เจรจากับท่านพอเพียงที่จะรู้ว่าท่านเป็นคนอย่างไร เขาก็ดึงตัวหล่อน ลัดหลีกญาติอื่น ๆ ที่กำลังจัดอาหารบ้าง เตรียมตัวรับประทานอาหารบ้าง พาหล่อนไปยังเรือนเล็กหลังหนึ่ง อยู่ในบริเวณสวนด้านหลังของบ้าน นิดมายืนรอรับกรุแก้วและกิตติมานอยู่ที่เชิงบันได

ทั้งสองพี่น้องพากรุแก้วเข้าไปนั่งในห้องเล็กในเรือนน้อยนั้น กรุแก้วสังเกตว่าเป็นเรือนไม้สร้างอย่างเรียบ ๆ ในห้องนั้นเกือบไม่มีเครื่องเรือนอะไรเลยนอกจากตู้หนังสือ และเก้าอี้นั่งอย่างธรรมดา ๔ ตัว ตั้งรอบโต๊ะไม้เล็กตัวหนึ่งอยู่ใกล้หน้าต่างบานหนึ่ง ทางด้านยาวของห้องอีกด้านหน้ามีเก้าอี้บุหนัง เป็นเก้าอี้ยาวสำหรับนอนเล่นเวลากลางวัน กรุแก้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งรอบโต๊ะเล็กนั้น กำลังคิดพิศวงว่า หล่อนจะได้พบอะไร ก็พอดีได้ยินเสียงคนเรียก “นิด ๆ มาได้แล้ว” นิดกระวีกระวาดออกจากห้องหายเข้าไปทางด้านหลังของเรือน แล้วอีกประเดี๋ยวหนึ่ง ก็มีชายชราคนหนึ่งเข้ามาในห้องที่หล่อนนั่งอยู่ โดยเคลื่อนเข้ามาบนเก้าอี้ล้อเลื่อนสำหรับคนขาพิการ กรุแก้วรู้ทันทีว่านี่คือท่านลุง จึงลงจากเก้าอี้หมอบกราบกับพื้นห้อง

“นี่กรุแก้วค่ะ ท่านลุง” ทั้งสองพี่น้องช่วยกันแนะนำ “ที่เคยทูลไว้ ว่าเป็นหลานของชาวกระลา”

“เออ ได้พบเสียที” ท่านลุงรับสั่งแก่แขกและหลาน “ไม่ยังงั้นได้ยินแต่กรุแก้ว กรุแก้ววันยังค่ำ คุณตาเป็นอย่างไร สบายดีหรือ เคยรู้จักกันเหมือนกัน”

กรุแก้วทูลตอบไปตามธรรมเนียม แล้วสองพี่น้องก็ผลัดกันเล่า ผลัดกันทูลญาติชรานั้นอย่างที่เห็นได้ชัดว่าพยายามเอาอกเอาใจจะไม่ให้เกิดความว้าเหว่ เพราะเหตุความพิการของท่าน ประมาณ ๑๐ นาที ท่านผู้ชราก็เตือนขึ้นว่า “นี่พาเพื่อนกลับไปที่งานของแม่เขาเสียที กิตติมาน แล้ววันหลังค่อยพามาหาลุงใหม่ วันนี้มันงานของแม่เขา” แล้วท่านก็แสดงอาการให้หนุ่มสาวทั้งสามเข้าใจว่า ท่านจะพักผ่อนอยู่คนเดียว

เหตุการณ์ในงานวันนั้นไม่มีอะไรควรแก่ที่ใครจะทักหรือสังเกตเป็นพิเศษ เกี่ยวกับกิติมานและกรุแก้ว เพราะในเวลาค่ำพอสมควรแก่เวลาที่จะลากลับ กิตติมานก็เรียกกรุแก้วพร้อมด้วยเพื่อนหญิงเพื่อนชายของนิดอีกหลายคนขึ้นมาบนรถยนต์ของเขา แล้วเขาก็เที่ยวพาไปส่งที่บ้านตามที่สะดวกตามระยะทาง กรุแก้วไม่ใช่คนสุดท้าย เพราะมีนิสิตหนุ่มอีกคนหนึ่งอยู่ไกลกว่ากรุแก้ว แต่ระหว่างทางกิตติมานก็มีเวลาเล่าให้หล่อนฟังถึงท่านลุงพอสมควร

“ผมต้องการให้มีคนไปเฝ้า คุยกับท่าน ไม่ให้ท่านเหงา ผมเห็นว่ากรุแก้วคนหนึ่งละจะชอบ เพราะท่านโปรดคุยกับเด็กฉลาด ท่านรักบ้านรักเมืองเหลือเกิน ท่านว่าบ้านเมืองมันจะอยู่ในมือคนหนุ่ม ๆ สาว ๆ ท่านอยากรู้จักไว้ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้างตามกำลัง แต่ไม่มีเพื่อนนิด หรือเพื่อนผมกี่คนที่เขาจะทนฟังท่าน หรือทูลอะไร ๆ ท่านได้ ใคร ๆ เขาก็มีเรื่องของเขาเท่าที่เขาสนใจอยู่”

กรุแก้วระลึกถึงท่านลุง ดวงหน้าของท่านเป็นดวงหน้างามตามวัย นัยน์ตามีแววฉลาด หล่อนคิดว่าหล่อนจะทำตัวเป็นประโยชน์แก่ท่านได้ตามที่กิตติมานปรารถนา และหล่อนก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานกับภาพที่หล่อนมองเห็นในใจหล่อน

กรุแก้วได้พบกับกิตติมานประมาณสัปดาห์ละครั้งนับตั้งแต่วันนั้นมา บางทีเขาก็ขับรถเข้ามารับนิดที่ห้องสมุดกลาง บางทีเขาก็พบที่ตึกเรียนของหล่อนโดยจงใจ บางทีเขาก็เอาหนังสือมาฝาก เป็นภาษาอังกฤษบ้าง ภาษาไทยบ้าง และมีครั้งหนึ่งที่เขาโทรศัพท์ไปที่บ้านลินดา ขอร้องให้ลินดาช่วยนัดให้กรุแก้วไปพบกับเขาที่ร้านขายอาหารแห่งหนึ่งที่สี่แยกราชประสงค์ ลินดาแสดงอาการล้อเลียนกรุแก้วอย่างเห็นชัดระหว่างที่แจ้งเรื่องแก่กรุแก้วตามที่กิตติมานขอร้อง การที่กิตติมานต้องอาศัยลินดาเช่นนี้ ก็เพราะเป็นทางที่เขาแน่ใจที่สุดว่าหล่อน จะได้รับทราบเวลาและสถานที่นัด เพราะไม่มีทางอื่นที่เขาจะติดต่อกับหล่อนทางโทรศัพท์ได้ดีกว่านี้

เมื่อกรุแก้วไปตามนัด ก็พบกิตติมานคนเดียวรอรับรองหล่อน เขาบอกว่าเขาต้องการให้เพื่อนชาวต่างประเทศของเขาคนหนึ่งวิสาสะกับหล่อน แต่บังเอิญเพื่อนคนนั้นไม่สามารถมาได้ตามนัด

“ผมสั่งอาหารกินกันสองคน กรุแก้วไม่ถือไม่ใช่หรือ บอกแม่คุณเสียก็แล้วกัน” เขาว่า แล้วหล่อนกับเขาก็รับประทานอาหารด้วยกัน และสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน แล้วเมื่อสมควรแก่เวลา เขาก็พาหล่อนมาส่งที่มหาวิทยาลัย

หลังจากนั้นอีกห้าวัน กรุแก้วได้พบกิตติมานสองต่อสองอีก คราวนี้เป็นคราวสำคัญมากในชีวิตของกรุแก้ว วันนั้นเป็นเวลาเย็น กรุแก้วเลิกเรียนชั่วโมงกว่าแล้ว แต่มีธุระเกี่ยวกับกิจการของคณะ จึงไม่ได้กลับบ้าน พอหล่อนเดินลงมาถึงหน้าตึก ก็เห็นกิตติมานเดินเข้าประตูมหาวิทยาลัยด้านหลัง เขาเดินตรงเข้ามาหาหล่อน

“โอ โชคดีจริง กรุแก้วยังไม่กลับ” เขากล่าวอย่างยินดี “รีบกลับไหม ผมมารอนิด แกติดประชุมอยู่ อัดใจเลยเดินมาหากรุแก้ว ไปหาที่คุยกันสองคนที่ไหนได้ไหม”

กรุแก้วยินยอมด้วยความยินดี หล่อนกับเขาไปนั่งที่สนามหญ้าหน้าตึกเรียน กิตติมานมองไปโดยรอบ แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในระยะที่จะได้ยินแล้วเขาก็พูดขึ้น “กลุ้มใจจังกรุแก้ว เธอเห็นว่า ผู้ชายที่แต่งงานกับผู้หญิงเพราะเขารวยนี่ เลวมากไหม”

กรุแก้วอ้าปากจ้องเขาอย่างพิศวง “ใครคะ” หล่อนถาม

“แล้วกัน กรุแก้วเคยเป็นคนฉลาดแท้ ๆ” เขาพูดอย่างผิดหวัง “ไม่ใช่ใครทั้งนั้น ทั่ว ๆ ไป”

“เกี่ยวกับแก้วไหมคะ” หล่อนมีความสนิทสนมกับกิตติมานมากแล้ว จึงเรียกชื่อตนเองเวลาที่พูดกับเขาเหมือนกับเวลาที่หล่อนพูดกับญาติและเพื่อนสนิท

“สมมติว่าเกี่ยว” เขาตอบ

“เอ สมมติว่าแก้วเป็นผู้หญิงรวยหรือคะ” กรุแก้วว่าอย่างงง

“เอ้า สมมติก็ได้” กิตติมานตอบ เขาเอามือแกะต้นหญ้าไปมา แสดงอาการว่ามีอารมณ์ไม่ปรกติ ก้มหน้าดูสนามหญ้าแล้วเงยหน้าขึ้นจ้องตาหล่อนสลับกันไป กรุแก้วรู้สึกประหลาดใจในอาการของเขาอย่างยิ่ง

“แล้วถ้ามีผู้ชายมารัก แล้วรู้ว่าเขามารักเพราะเขาอยากได้ทรัพย์สมบัติของเรางั้นหรือคะ”

“งั้นก็ได้ เอ้า” เขาว่า

“แล้วแก้วจะมีความรู้สึกอย่างไร ใช่ไหมคะ” กรุแก้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี เพื่อจะทำให้กิตติมานหายกระวนกระวาย

เขาพยักหน้ารับ ดึงต้นหญ้าขึ้นมาต้นหนึ่งและเอาใส่ปากเคี้ยวเล่นอยู่ไปมา เป็นกิริยาที่แปลกอย่างยิ่งสำหรับเขา เพราะตามปรกติกิตติมานมีทีท่าสงบและสุภาพเป็นนิสัยประจำตัว

“ถ้าผู้ชายรักจริง ก็ไม่เห็นจะเป็นยังไง” กรุแก้วตอบหลังจากที่ตรึกตรองเล็กน้อย “เห็นจะสำคัญตรงรักไม่รักกระมัง”

“แต่ถ้าไม่รัก แล้วไปขอแต่งงานเพราะจะเอาเงินเขาก็ใช้ไม่ได้ใช่ไหม” กิตติมานถาม

“เห็นจะใช้ไม่ได้กระมัง” กรุแก้วว่า ใจหล่อนเริ่มเต้นนิด ๆ

กิตติมานมองเหม่อไปข้างหน้า “แต่เงินสำคัญสำหรับชีวิต ใช่ไหม” เขาถาม

กรุแก้วใจเต้นแรงขึ้นอีก หล่อนพยักหน้า ไม่ตอบเป็นถ้อยคำ

“ถ้าไม่มีเงิน ความดีบางอย่างก็ทำไม่ได้ ใช่ไหม” กิตติมานถามอีก

กรุแก้วพยักหน้ารับอีก ใจหล่อนเต้นแรงขึ้นเป็นลำดับ เพราะเดาไม่ถูกเลยว่ากิตติมานกำลังจะพาเรื่องสนทนาไปในทางร้ายหรือดี

“เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่มีสตางค์ของเราเองพอที่จะทำความดีบางอย่าง เราจะแต่งงานกับผู้หญิงรวยก็พอใช้ได้อย่างงั้นใช่ไหม”

“แก้วว่า นานไปแล้ว เราจะไม่มีความสุขน่ะซิคะ” กรุแก้วพูดเสียงอ่อน ๆ เหมือนกับกลัวว่าคำพูดของหล่อนจะทำให้เกิดอันตรายอะไรอย่างหนึ่ง

กิตติมานถอนใจอย่างแรง “ทีนี้ความสุขมันเกิดจากอะไร” เขาว่า “ฉันเห็นใคร ๆ ดูเขาหาความสุขกันได้ง่าย ๆ เราเป็นอะไรมา ถึงหาความสุขเหมือนใคร ๆ เขาไม่ได้”

“ถ้ามีเงินด้วย มันก็ดีค่ะ” กรุแก้วกล่าวเสียงอ่อน ๆ เช่นครั้งก่อน

“ด้วยกับอะไร” เขาถาม

“เอ้อ เอ้อ ด้วยกับความรัก” กรุแก้วตอบโดยไม่มองดูหน้าเขา

“ทีนี้มันเอาไม่ได้ทั้งสองอย่าง จะทำอย่างไร” กิตติมานพูดเหมือนปรารภดังๆ “กรุแก้ว” เขาเรียกชื่อหล่อน กรุแก้วเหลือบตาขึ้นดูเขา “เธอคิดว่าผู้ชายไทยสมัยนี้ ไม่สามารถทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียอย่างนี้หรือเปล่า”

“ใครว่าล่ะคะ แก้วยังไม่เคยคิดอะไรอย่างงั้นเลย” กรุแก้วตอบ หล่อนชำเลืองตาขึ้นดูหน้าเขาเห็นเขาเหม่อมองไปข้างหน้าหล่อนก็จ้องจับดูสีหน้าของเขา

“อย่างกรุแก้ว ถ้าผู้ชายที่รักเธอมีแต่เงินเดือน แล้วเธอก็ทำงานช่วยเขาหาบ้าง ก็พออยู่กันโดยความสุขได้ใช่ไหม” ในที่สุดเขาถามขึ้น

กรุแก้วใจหายวาบ “ได้ค่ะ ได้แน่” หล่อนแข็งใจตอบ ทั้งที่มีความรู้สึกพิกล ใจหนึ่งใคร่จะหัวเราะ ใจหนึ่งใคร่จะร้องไห้

หล่อนเห็นเขายิ้มออกมาจนหน้าเขาเปลี่ยนจากอาการหมกมุ่นไปเป็นสีหน้าอันร่าเริงตามปรกติของเขา เขากำลังจะเอ่ยปากตอบว่าอะไรอย่างหนึ่งก็พอดีมีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาใกล้มุมสนาม แล้วนิดเปิดประตูรถยนต์คันนั้นลงมายืนยิ้มอยู่ใกล้บันไดรถ พอกิตติมานแลเห็น เขาก็ตะโกนเรียก “อ้าว เสร็จแล้วรึนิด มานี่ประเดี๋ยวซิ”

นิดเดินยิ้มเข้ามาหาพี่ชายและเพื่อนหญิงของเขาพลางก็บอกว่า “อาจารย์พินิจจะไปส่งเราค่ะ” หมายถึงเจ้าของรถยนต์ที่ขับพาหล่อนมา

กิตติมานลุกขึ้นยืน เขาพูดว่า “นิดรู้ว่าพี่คุยกับกรุแก้วเรื่องอะไรจะแปลกใจมาก” แล้วเขาหันมาฉุดมือกรุแก้วขึ้นจากที่นั่งบนสนามตามธรรมเนียมของสุภาพบุรุษ “เราคงจะได้คุยกันต่อนะ กรุแก้ว เสียใจวันนี้ไม่มีรถมา ไปส่งไม่ได้” แล้วเขาก็ลาหล่อนและเดินไปขึ้นรถคันที่พานิดมา

กรุแก้วเดินออกไปช้า ๆ ตามถนนในบริเวณมหาวิทยาลัยเพื่อจะไปขึ้นรถประจำทางกลับบ้าน กิตติมานหันมาโบกมือกับหล่อนเมื่อรถที่เขานั่งเลี้ยวหัวมุมไป หัวใจของกรุแก้วยังเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่หล่อนเดินไปยังที่จอดรถประจำทางโดยไม่มีอาการผิดปรกติ กำลังจะออกจากประตูมหาวิทยาลัย ได้ยินเสียงเพื่อนนิสิตคนหนึ่งทักว่า “โอ้โฮ กรุแก้วกลับบ้านเย็นเชียว จะเอาเอ. หมดทุกวิชาหรือ” หล่อนได้ยินแล้วยังไม่เข้าใจความหมาย ต่อขึ้นไปนั่งบนรถประจำทางแล้วจึงคิดได้ว่า อีกสัปดาห์หนึ่งจะถึงเวลาสอบกลางปี

หล่อนคิดว่าจะได้พบกับกิตติมานอีกในเร็ววัน แต่วันหนึ่งล่วงไป วันที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ล่วงไปแล้วเขายังไม่ได้ใช้ความพยายามที่จะพบหล่อน จนกระทั่งถึงวันศุกร์ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในสัปดาห์เรียนของกรุแก้ว หล่อนก็ไปเรียนหนังสือตามปรกติ พอหล่อนเข้าไปถึงห้องที่เคยฟังการบรรยาย ลินดาก็ลุกขึ้นจากที่นั่งออกจากห้องเรียนมาดึงแขนหล่อนไปจากห้องนั้น กรุแก้วเดินตามลินดาไปโดยไม่ทราบวาลินดามีความประสงค์อย่างไร จนไปถึงห้องหนึ่งว่าง ไม่มีนิสิตหรืออาจารย์ใช้ ลินดาก็ดึงตัวหล่อนลงนั่ง

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะ แก้ว” ลินดาถาม “เธอกับคุณกิตติมานโกรธกันเรื่องอะไร”

“อะไร” กรุแก้วทวนถามอย่างที่เรียกว่ามืดแปดด้าน “ใครบอกเธอ”

“อ้าว แล้วที่เริงสัปดาห์ลง” ลินดาหมายถึงนิตยสารฉบับหนึ่ง “ก็ไม่จริงน่ะซี”

“ลงว่าไง” กรุแก้วถาม ใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ

“ลงว่า คุณกิตติมานกับคุณนิตยคุณเขาหมั้นกันแล้ว”

กรุแก้วยิ้มออกมาได้ “โธ่ นิดนะรึ นั่นน้องเขาต่างหาก”

“ใคร ๆ เขาซุบซิบกันทั้งตึก” ลินดาว่า “เขาว่าเธอคงอกหัก”

กรุแก้วยิ้มอย่างใจเย็น ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วก็ออกเดินมาที่ห้องเรียนพลางพูดว่า “เร็ว ๆ เถอะเดียวอาจารย์จะเข้าห้องก่อนเราหรอก”

เมื่อกรุแก้วย่างเข้าไปในห้องเรียน หล่อนเชื่อว่าหล่อนไม่ได้เข้าใจผิดในความหมายของสายตาของเพื่อนนิสิตหลายคู่ที่ชำเลืองมาดูหล่อน ความสนใจอย่างมากแสดงออกมาทางสายตานั้น บางคนก็ชำเลืองดูหลายครั้ง คล้ายกับไม่เข้าใจอะไรอย่างหนึ่ง

วันนั้นเป็นวันที่กรุแก้วมีชั่วโมงเรียนติดกันหลายชั่วโมง แต่หล่อนมีเวลาว่างในตอนบ่าย จึงถือโอกาสออกไปหาซื้อนิตยสารที่ลินดาออกชื่อ และเอาเข้าไปนั่งอ่านที่มุมหนึ่งในห้องสมุด หล่อนเห็นว่าข่าวหมั้นของกิตติมานและนิด มีอยู่สองบรรทัดในคอลัมน์สังคมของนิตยสารนั้น “สองพี่น้องราชตระกูลได้ประกาศหมั้นแล้ว กิตติมาน หนุ่มรูปหล่อ และคุณนิตยคุณผู้น่ารัก ข่าวนี้ทำให้มิตรสหายทั้งหลายตื่นเต้นยินดี ขอให้ทั้งสองผู้สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก จงเสวยสุขสมอารมณ์รักตลอดชีวิต...”

“ใช้สำนวนบ้า ๆ” กรุแก้วนึกในใจ “คุณตาคงมีเรื่องคุยไปหลายนาที” แล้วหล่อนก็เปิดหน้าอื่นดู ถึงหน้ากลางซึ่งมีภาพเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ก็มีรูปกิตติมานกับนิดยืนอยู่ใกล้ ๆ กัน ใต้ภาพนั้นมีคำว่า “ด้วยความเอื้อเฟื้อของคุณสุจริต เสรีกิจ นักถ่ายภาพสตรีผู้ซึ่งจะมีชื่อไปในอนาคตอันใกล้” ซึ่งกรุแก้วรู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมคณะของนิด และได้เคยอาศัยรถของกิตติมานพร้อมกับหล่อนหลายครั้ง

กรุแก้วพลิกดูนิตยสารนั้นไปมา หล่อนมีความรู้สึกแปลกอย่างที่ตนเองก็แปลไม่ออก ประเดี๋ยวก็รู้สึกร้อน ประเดี๋ยวหนาว ขบขันหรือกลัวหรือโกรธก็บอกไม่ถูก แต่ความรู้สึกภาคภูมิใจก็ระคนปนไปกับความรู้สึกอื่น ๆ ด้วย เพราะบัดนี้เป็นที่ปรากฏแล้วว่า เพื่อนฝูงของหล่อนเดาความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับกิตติมานไปในทางว่า เขากับหล่อนรักกัน

กรุแก้วคิดว่า อย่างไรเสียกิตติมานก็จะต้องติดต่อมาถึงหล่อนภายในวันสองวันนี้ เขาอาจรีบไปหาหล่อนที่บ้าน เพราะรุ่งขึ้นและวันต่อไปเป็นวันหยุดราชการและหยุดเรียน

แต่วันเสาร์และวันอาทิตย์ก็ผ่านไปโดยกิตติมานมิได้เยี่ยมกรายไปให้หล่อนพบ ในเวลาเช้าวันจันทร์ กรุแก้วไปเรียนหนังสือด้วยความรู้สึกหมกมุ่นและหวาดกลัว แต่ก็พยายามไม่แสดงอาการให้เพื่อนคนหนึ่งคนใดเห็นแปลกตาไป หล่อนสังเกตเห็นสายตาที่มองดูด้วยความสงสารก็มี แต่ที่ดูอย่างไม่เข้าใจก็มี จนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียน หล่อนก็ไม่กลับบ้าน คอยให้ถึงเวลาเย็นเลยเวลาราชการ จนกระทั่ง ๑๗.๐๐ นาฬิกาหล่อนเห็นว่า เกินเวลาที่กิตติมานเคยมาที่มหาวิทยาลัย หล่อนจึงเดินออกมาทางด้านถนนสนามม้า เพราะเขามักเข้าประตูด้านนั้น ก็พอดีเห็นนิดยืนอยู่ที่ที่หยุดรถประจำทาง กรุแก้วสาวเท้าเข้าไปหานิด พอนิดเห็นก็ผินหน้ามายิ้มอย่างอ่อนหวานตามเคยของหล่อน พอดีรถประจำทางมาถึงนิดก็ขึ้นรถประจำทาง กรุแก้วก็ขึ้นไปด้วยทั้งที่ไม่ใช่รถคันที่หล่อนจะกลับไปบ้าน เผอิญมีที่นั่งใกล้นิด กรุแก้วจึงเข้าไปนั่งที่ตรงนั้น

“ทำไมกลับรถเมล์ล่ะคะ” กรุแก้วถาม

นิดยิ้มตอบ “พี่กิตติขายรถแล้วค่ะ”

“อ้าว ทำไมขายเสียล่ะคะ” กรุแก้วถาม แล้วก็ต่อไป “เออ คุณเห็นรูปในหนังสือเริงสัปดาห์แล้วเรอะ”

นิดถอนใจใหญ่ “เห็นแล้วค่ะ แหม สุจริตทีเดียวทำให้เกิดเรื่องใหญ่ เขาเห่อถ่ายรูปส่งหนังสือพิมพ์ พี่เขาเป็นบรรณาธิการค่ะ แหม นิดกลุ้มแทบตาย”

“กลุ้มว่าไงคะ” กรุแก้วถาม เพื่อต่อการสนทนา

“คุณป้าท่านด่านิดเสียไม่มีละค่ะ ท่านตาเลยกริ้ว เลยประชวรไปเลย ท่านมีเรื่องอะไรกระทบกระเทือนพระทัยไม่ได้นี่คะ แล้วพี่กิตติก็เลยโกรธกับคุณป้า” พอนิดกล่าวถึงตรงนี้ รถประจำทางก็หยุดลงที่ที่หยุด นิดหันมาบอกว่า “นิดต้องลงตรงนี้แหละค่ะ นิดจะไปพบกับหมอ พี่กิตติยังพูดกับนิดถึงกรุแก้วว่า มีกรุแก้วคนหนึ่งเข้าใจเราแน่” แล้วนิดก็ลงจากรถประจำทางไป

กรุแก้วรู้สึกว่าหน้าของหล่อนมืดแทบจะมองอะไรไม่เห็น และสมองก็หมุนติ้ว คำพูดของนิดก็ไม่ได้บอกอะไรลงไปแน่ชัด แต่ว่านิดก็ไม่ปฏิเสธว่าเป็นข่าวผิด กรุแก้วนั่งรถคันนั้นมาจนถึงที่หยุดอีกแห่งหนึ่ง หล่อนก็ลงแล้วก็ขึ้นอีกคันหนึ่ง จนกระทั่งพาตัวมาถึงบ้านจนได้ แต่ตลอดเวลาหล่อนมีความรู้สึกเหมือนกับว่าแผ่นดินที่หล่อนเหยียบนั้นไม่มั่นคง ราวกับมีแผ่นดินไหวอยู่น้อยๆ ตลอดเวลา พอย่างเข้าบ้านก็ได้ยินเสียงต้อนรับอย่างตกใจระคนกัน เสียงถามว่า “หายไปไหนมา ไม่เห็นบอกว่าจะกลับค่ำ” ถามกันหลายเสียง กรุแก้วรีบบอกแก่น้าๆ และมารดาว่าไม่ค่อยสบาย รีบเข้าครัว ตักอาหารใส่จานทำเป็นรับประทาน แล้วก็ลาเข้าห้อง เพราะหล่อนไม่อยากจะสู้หน้าผู้ใด และไม่สามารถจะควบคุมอารมณ์อันหวั่นไหวเอาไว้ภายใน ไม่ให้เป็นที่สังเกตได้

คืนนั้นกรุแก้วนอนไม่หลับกระสับกระส่าย จนรู้สึกว่าการนอนนั้นช่างเป็นงานใหญ่ ทำให้เหน็ดเหนื่อยอย่างไม่รู้จะเทียบกับสิ่งใด เมื่อถึงเวลาดึกสงัดรู้สึกว่าตัวเป็นคน ๆ เดียวในโลกอันอ้างว้าง มีความรู้สึกเหมือนกับว่าจะเป็นบ้า หล่อนลุกขึ้นเปิดไฟ หยิบหนังสือมาอ่าน แต่ก็อ่านไม่รู้เรื่องเลย ใจของหล่อนกระซิบว่า “คอยฟัง คอยฟังก่อน” แล้วก็มีเสียงกระซิบต่อว่า “ไม่มีหวังแล้ว ไม่มีหวังแล้ว”

ประมาณ ๔ นาฬิกาหลังจากที่กรุแก้วหลับไปบ้าง และผวาตื่นบ้างหลายครั้ง แม่คุณมายืนที่หน้าห้องเคาะประตู และเรียกชื่อหล่อน “แก้วเป็นอะไรไป แม่ได้ยินเสียงกุกกัก ๆ หลายหนตลอดคืน”

กรุแก้วทำเสียงงัวเงียตอบ “เปล่าค่ะ มันนอนไม่ค่อยหลับ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร”

“จะกินอะไรไหม กินนมอุ่น ๆ ไหมลูก แม่จะได้ไปชงให้”

กรุแก้วอึกอักอยู่หลายอึดใ จ แล้วตอบว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ นอนอีกประเดี๋ยว แล้วตื่นขึ้นอาบน้ำเลย”

แม่คุณกลับไปจากประตูห้อง กรุแก้วจึงเข้านอนใหม่ คราวนี้ความอ่อนเพลียช่วยให้หล่อนนอนหลับไปจนสาย หล่อนตื่นขึ้นเห็นมารดาแต่งตัวสำหรับจะออกไปทำงานเรียบร้อยแล้ว หล่อนก็รีบเข้าห้องน้ำ ภาวะแวดล้อมกรุแก้วช่วยให้หล่อนต้องบังคับตัว ทำอาการกิริยาให้ปรกติ หล่อนต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยตามเคยไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงได้

ในวันนั้น อาจารย์หกคนก็ตักเตือนนิสิตถึงความสำคัญของการสอบกลางปี เพื่อน ๆ ทุกคนก็ออกความเห็นล้วนแต่ที่เกี่ยวกับเรื่องการสอบ แต่ลินดาก็สังเกตจนได้ว่ากรุแก้วขอบตาดำเขียว “เป็นอะไรไปล่ะแก้ว เดี๋ยวเถอะ เกิดสอบไม่ได้คะแนนดี ใคร ๆ เขาคงว่าเธออกหักแน่”

การที่มีเพื่อนที่ไม่มีศิลปะในการพูดจาอย่างลินดานั้น เป็นประโยชน์แก่กรุแก้วอย่างยิ่ง หล่อนขบกรามโดยไม่รู้สึกตัว “เธอละอย่าพูดบ้า ๆ หน่อยเลย” หล่อนแข็งใจพูด “ฉันไม่เห็นจะตายเลย” แล้วก็อาศัยหนังสือเอามาเปิดดูเป็นการทบทวนข้อความต่าง ๆ ที่ต้องเรียน

พอหมดเวลาเรียน กรุแก้วรีบออกจากมหาวิทยาลัย หล่อนไปยังร้านขายยาแห่งหนึ่งที่สี่แยกราชเทวี หล่อนสังเกตเห็นป้ายร้านนี้มาหลายครั้ง โดยไม่คิดว่าจะต้องเข้าไปซื้อยาในร้านนั้น แต่หล่อนคิดว่า หล่อนจะต้องนอนหลับให้ได้ในคืนนี้ ถ้าหล่อนจะขอยานอนหลับจากคุณแม่ ก็อาจถูกซักถามจนหล่อนเก็บความรู้สึกไว้ไม่ได้ หล่อนจึงต้องเข้าไปซื้อยาระงับประสาท ถ้าไม่หลับด้วยยาปริมาณน้อย หล่อนจะกินเพิ่มก็จะได้ไม่มีผู้ใดซักถามให้เดือดร้อนใจ

หล่อนเข้าไปในร้าน เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาแสดงว่ามีเชื้อจีนยืนอยู่ที่ตู้ยา หล่อนก็เข้าไปบอกความประสงค์ เด็กหนุ่มนั้นตีหน้าเซ่อ ถามว่ายาชื่ออะไร หล่อนจึงตอบว่า “ชื่ออะไรก็ได้ เป็นยาทำให้นอนหลับก็แล้วกัน” พอดีกับที่หล่อนตอบเด็กหนุ่มนั้น ก็มีชายกลางคนออกมายืนตรงประตูที่จะเข้าไปด้านใน เป็นคนหน้าตาเป็นเชื้อจีน ใส่แว่นตากรอบทอง แต่งกายสะอาด ชายคนนี้เดินเข้ามาถามความประสงค์ของหล่อน หล่อนก็ตอบอย่างที่ตอบไปแล้วแก่เด็กหนุ่ม

ชายนั้นทำกิริยารีรอ จ้องดูหน้าหล่อนอย่างตรึกตรอง ในที่สุดกล่าวขึ้นมีสำเนียงพูดไทยไม่ขัด “คุณหลู คุณหลูขึ้นไปหาหมอก่อนไม่ลีเหลอ ให้หมอบอกว่าอะลาย”

กรุแก้วสะบัดหน้า “ไม่ต้องหรอก ไม่ได้เป็นอะไร”

“ไม่ต้องเสียเงิงหลอก” ชายนั้นว่า “หมอคงนี้อีใจลี ไม่ต้องเสียเงิงก็ล่าย แต่ถ้าอั๊วขายยานอนหลับไม่บอกแก แกโกด คุณหลูขึ้นไปนิดเดียว ปูเหลียวเลียวแล้วอั๊วขายให้”

กรุแก้วสั่นศีรษะ “ไม่เอาละ งั้นไปซื้อที่อื่น”

แย่ อั๊วต้องแย่แน่” ชายนั้นรำพัน “หมอคนนี้อีจะทำให้อั๊วเจ๊งแน่”

กรุแก้วเห็นสายตาวิงวอนของชายเจ้าของร้านแล้วก็นึกรำคาญใจ คิดว่าถ้าจะไปที่อื่นก็จะต้องออกนอกทางไปอีก จึงบอกว่าหล่อนตกลงจะขึ้นไปหาหมอ

ชายนั้นพาหล่อนขึ้นไปชั้นบน ท่าทางเขายินดีมาก “หมอกำลังไม่มีคนไข้” เขาบอกหล่อน แล้วก็เปิดบังตาห้องตรวจโรค และดันตัวหล่อนเข้าไปข้างในเบา ๆ

นายแพทย์เป็นคนมีอายุ กรุแก้วคะเนว่าแก่กว่ามารดาหล่อนมาก เขาวางหนังสือที่กำลังอ่าน แล้วเงยหน้าขึ้นดูหล่อน มือหนึ่งหยิบบัตรสีขาวใบกว้างยาวพอประมาณออกมาจากที่หนึ่ง ปากก็ถามว่า “เอ้อ ชื่ออะไร และเป็นยังไง”

กรุแก้วรีบตอบ “ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ มาขอซื้อยานอนหลับ แต่เจ้าของร้านไม่ยอมขาย บอกว่าให้ขึ้นมาหาหมอเสียก่อนถึงจะยอมขายให้”

เขายิ้มอย่างใจดี “ทำไมต้องกินยานอนหลับ” เขาถามเสียงอ่อน ๆ “อายุเท่านี้ทำไมนอนไม่หลับ มีเรื่องกลุ้มใจอะไรรึ”

กรุแก้วเคืองเหตุการณ์เหลือเกิน ทำไมหล่อนเผอิญมาเข้าร้านขายยาอย่างนี้ก็ไม่รู้ น่ารำคาญจริง ๆ

“ไม่มีอะไรค่ะ จะซื้อเอาไปไว้เท่านั้น”

“นั่งลงก่อนซิ” นายแพทย์นั้นว่า ทำไมขอบตาถึงเขียวอย่างนั้น ท้องไม่ดีหรือ หรือปวดศีรษะหรือยังไง”

มีอะไรในสายตานายแพทย์คนนั้นทำให้กรุแก้วใจอ่อนลงไปทันใด หล่อนเกิดหวนคิดถึงความที่หล่อนเป็นกำพร้า บิดาตายเสียตั้งแต่หล่อนยังเล็ก หล่อนจึงมีฐานะไม่เทียมทันเพื่อน เพราะมีแต่มารดาเป็นผู้หาเลี้ยงโดยกำลังผู้หญิงแต่ฝ่ายเดียว มิฉะนั้นหล่อนก็คงเป็นหญิงในวงสังคมเดียวกับกิตติมาน เขาคงไม่สลัดหล่อนเสียง่าย ๆ เพื่อไปแต่งงานกับคนที่เทียมทันกับเขา น้ำตากรุแก้วไหลพรากลงมาที่หน้าโดยหล่อนไม่ทันรู้ตัง

“มีอะไรเล่าให้หมอฟังก็ได้” กรุแก้วได้ยินนายแพทย์กล่าว “เล่าให้ใครฟังบ้างแล้วหรือยัง”

กรุแก้วก้มหน้าร้องไห้พลางสั่นศีรษะ “เปล่าค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร เป็นแต่คิดถึงคุณพ่อขึ้นมา”

“เรียนหนังสือที่จุฬาฯ ใช่ไหม” เขาถามน้ำเสียงนุ่มนวล “เรียนเป็นยังไง กลุ้มเรื่องการเรียนหรือเรื่องเพื่อน หรือเรื่องอะไร”

“ที่จริงไม่ได้กลุ้มอะไร” กรุแก้วตอบ “แต่เมื่อคืนนอนไม่หลับเท่านั้นค่ะ”

นายแพยย์จ้องดูหล่อนอยู่ครู่ใหญ่ แล้วเขากล่าวขึ้น “เอ้า หมอจะให้ยานอนหลับไปสองเม็ด อย่ากินยาอื่นนะ เดี๋ยวจะเป็นอันตราย แล้วพรุ่งนี้มาหาหมอใหม่” เมื่อเห็นกรุแก้วจ้องหน้าเขา เขาก็เสริมว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงินหรอก”

เขาหยิบยาเม็ดเล็ก ๆ สีขาว ๆ ใส่ซองส่งให้หล่อน แล้วกำชับว่า “รับคำเสียซี พรุ่งนี้มาหาหมออีกนะ”

กรุแก้วรับยา พนมมือไหว้แล้วรับคำ “ค่ะ” แล้วก็ลุกมา ก่อนออกจากห้อง หล่อนชำเลืองดูเขา เห็นสายตาเขามองหล่อนอย่างห่วงใย หล่อนก็รู้สึกว่าน้ำตาออกมาคลอตา หล่อนรีบก้มลงเช็ดแล้วก็รีบลงบันไดมา และรีบออกจากร้านโดยไม่ให้ต้องดูหน้าคนอื่นอีก

หล่อนมายืนรอรถประจำทางคันที่จะพาหล่อนไปถึงบ้านโดยไม่ต้องเปลี่ยนเกินกว่าหนึ่งครั้ง รถคันนั้นก็บังเอิญมาถึงทันใจ ขึ้นนั่งรถประจำทางแล้วหล่อนจึงระลึกขึ้นมาได้ถึงคำของนิด ที่ว่า “นิดถูกคุณป้าด่าเสียไม่มีละ” กรุแก้วก็หวนคิดวนไปเวียนมาจนรถแล่นเกินที่ไป ๒ ระยะ จึงได้สติ ลงจากรถเดินย้อนมาจนถึงที่ต้องขึ้นอีกคันหนึ่ง ตลอดเวลาหล่อนเห็นหน้านายแพทย์ที่ให้ยาหล่อนสองเม็ด และกำชับไม่ให้กินยาอื่น ภาพนายแพทย์ระคนปนกับภาพสีหน้าของนิดซึ่งดูทุกข์โศกไม่ร่าเริง ทำให้กรุแก้วงุนงงแล้วก็คิดถึงคำของลินดาที่ว่า ถ้าหากหล่อนได้คะแนนไม่ดี เพื่อน ๆ ก็จะว่าเพราะอกหัก เกิดความมุมานะอย่างแรงกล้า หล่อนจะต้องทำให้ทุก ๆ คนเห็นว่า ขึ้นชื่อว่ากรุแก้วแล้ว จะไม่ยอมให้ใครประมาทหน้าได้ หล่อนจะต้องเป็นกรุแก้ว ผู้ที่เคยเด่นในวิชาการ เด่นในบุคลิกลักษณะ เป็นผู้นำของชั้น เป็นผู้นำในกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน และเป็นผู้นำในคณะของหล่อน กรุแก้วไม่เคยอยู่หลังผู้ใดในเรื่องความสามารถ หล่อนระลึกถึงเปรมวดี ระลึกถึงคุณแม่ของเปรมวดีผู้เด่นในสังคม กรุแก้วเคยได้รับคำยกย่องจากคุณแม่ของเปรมวดี “ลูกสาวคนสวยของฉัน” กรุแก้วผู้มากความสามารถ กรุแก้วคนสวย กรุแก้วผู้มีรสนิยมสูง

หล่อนมาถึงบ้านล่าช้ากว่าที่เคย แม่คุณกลับมาถึงก่อน อาบน้ำและแต่งกายสำหรับอยู่บ้านแล้ว หน้าตาผ่องใส พอกรุแก้วเข้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงเรียกรับรองอย่างยินดี น้าๆ ทุกคนก็รีบเข้ามาจับต้องเนื้อตัว “ตัวเหนียวจะตาย ไปอาบน้ำเสียก่อนไปหลาน” “นี่ น้าทำส้มลอยแก้วไว้ให้แน่ะ ค่ำนี้คุณตาก็จะมา แก้วต้องดูหนังสือสอบใช่ไหม รีบเข้านอนนะ จะได้ลุกขึ้นดูหนังสือตอนเช้า” “ที่นอนน้าปูให้แล้ว แก้จะได้ไม่ต้องปูเอง มุ้งก็เอาลงให้แล้ว อาบน้ำแล้วมากินเข้าวนะ”

กรุแก้วรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องฝืนใจมากนัก กำลังรับประทานอาหารคุณตาก็มา พอรับประทานอาหารอิ่มก็ต้องมาห้อมล้อมคุณตากันตามเคย คุณตากล่าวแก่กรุแก้วว่า “ได้ยินว่าอีกสองวันหลานจะสอบ ตาต้องมาอวยชัยให้พร นอนให้หลับ กินให้อิ่มนะหลานนะ แก้วได้ปริญญาเมื่อไรแม่เขาคงจะเหมือนขึ้นสวรรค์ แต่ไม่ต้องไปเพ่งเล็งจะไปเมืองนอกเมืองนาหรอกหลาน เดี๋ยวจะเจ็บไข้เสียก่อน บุญมีมันก็มาเอง รู้จักเดินสายกลางนะหลานนะ

คุณตาอยู่ไม่นาน พอพูดจากันได้รู้สึกสบายอกสบายใจ ท่านนักประพันธ์อาวุโสก็ลากลับไปบ้านของท่าน คุณตาไปแล้ว คุณแม่ก็เข้ามาโอบตัวแก้วไปกอด “ดูหนังสือแต่พอสมควรนะลูกนะ เชื่อคุณตาท่าน ท่านเห็นชีวิตมามาก รักษาตัวไว้ให้ได้ปริญญาเสียก่อน เรื่องจะทำคะแนนไปเมืองนอกอะไรน่ะค่อยคิดค่อยไป มันไม่ใช่ของที่เราเจาะจงเอาได้ ไม่ต้องไปแข่งกับใคร ทำอะไรทำทีละขั้น แล้วอะไรๆ มันค่อยได้มาเอง” คุณแม่ลูบผมกรุแก้วไปมา “ลูกฉันใส่น้ำอบอะไรนะ หอมชื่นใจ” เสียงน้าบรรเจิดหัวเราะอยู่ใกล้ๆ “ก็น้ำอบขวดเดียวกับที่คุณแม่ใส่น่ะแหละ ลูกใส่เข้ามันช่างหอมเหิมขึ้นมาเทียว” แท้ที่จริงกรุแก้วใส่น้ำอบวันนี้เพราะหล่อนรู้สึกเพลียละเหี่ยใจคล้ายจะเป็นลม จึงต้องอาศัยน้ำหอมบำรุงหัวใจ ตามปกติหล่อนก็ไม่เคยใส่น้ำอบเลย เพราะครอบครัวหล่อนต้องประหยัดรายจ่ายทุกวิถีทางที่จะทำได้

ก่อนเข้านอนคืนนั้น กรุแก้วเอายาสองเม็ดที่หมอให้มาใส่ในมือแล้วชั่งน้ำหนักไปมา “ขอให้นอนหลับเจ้าประคุณ” กรุแก้วขอร้องโดยไม่ทราบว่าขอร้องแก่ใคร “หมอก็ไม่ยอมให้มากกว่า ๒ เม็ด แกคงกลัวเรากินจนไม่ตื่นหรืออย่างไร หน้าตาเรามันบอกเหตุว่าอาจกินยาตายหรืออย่างไรนะ ทำไมตาเจ๊กคนนั้นแกถึงทำประหลาดอย่างนั้น ไม่เคยได้ยินใครเขาเล่ากันอย่างนี้เลย”

ยา ๒ เม็ดนั้น บวกกับสุขภาพของคนที่อยู่ในวัยเจริญอย่างกรุแก้ว ทำให้หล่อนนอนหลับสนิทจนถึงเวลา ๖ นาฬิกาและตื่นขึ้นอย่างแจ่มใส ถึงแม้ชื่อกิตติมานจะเข้ามาในสมองหล่อนก่อนสิ่งอื่น แต่กรุแก้วก็สามารถดูหนังสือสำหรับการสอบได้ประมาณครึ่งชั่วโมง โดยใจไม่ว่อกแว่กจนจับใจความอะไรไม่ได้ หล่อนไปมหาวิทยาลัยตามเคยวันนั้น อาจารย์ทุกคนก็ทบทวนความรู้ให้นักเรียนเหมือนวันก่อน ไม่ค่อยมีใครสนใจกับกรุแก้วนัก พอหมดเวลาเรียนแล้วกรุแก้วก็รีบออกจากมหาวิทยาลัย นึกว่าจะรีบกลับบ้าน แต่คิดขึ้นมาได้ว่าตนได้รับปากกับนายแพทย์ที่ร้านขายยาไว้ว่าจะกลับไปหา จึงต้องไปตามสัญญา

นายแพทย์ทักทายหล่อนอย่างปรกติ คราวนี้เขาถามชื่อและบันทึกลงในบัตร แล้วก็ให้ยาอีก ๒ เม็ด โดยกำชับว่าไม่ให้กินยาอื่น และให้มาหาอีกภายใน ๒-๓ วัน

“ถ้าไม่จำเป็นอย่ากิน” เขาสั่ง “ถ้าเห็นว่าทำท่าจะไม่หลับจริง ๆ ถึงค่อยกิน และไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษา ได้ปริญญาแล้วเมื่อไหร่ถึงค่อยมาใช้ก็ได้”

กรุแก้วไหว้เขาแล้วก็ลามา คำพูดของเขาก้องอยู่ในหูของหล่อน “ปริญญา” ช่างเป็นเรื่องสำคัญเหลือเกิน คุณตาก็พูดเรื่องนี้ หมอคนนี้ก็มาพูดอีก ระหว่างที่นั่งในรถประจำทาง กรุแก้วก็ตัดสินใจว่าหล่อนจะต้องสู้รบกับใจของตน พยายามไม่ให้สอบไล่ตก อย่างทีหนึ่ง หล่อนจะต้องไม่ให้ใครว่าหล่อนสอบตกเพราะถูกผู้ชายคนหนึ่งสลัดไป อย่างที่สอง มารดา น้าๆ และคุณตา จะผิดหวังอย่างเหลือเกิน และนายแพทย์คนนั้น เขาเป็นคนแปลกหน้าแท้ๆ เขาเป็นคนแปลกหน้าแท้ๆ เขาก็ยังห่วงใยในความสำเร็จของหล่อน คำพูดของใครคนหนึ่งเคยกลาวแก่หล่อน จำไม่ได้ว่าใคร แต่ถ้อยคำนั้นหล่อนจำได้แม่นยำ “เธอเป็นคนโชคดีนะ กรุแก้ว ขอให้รู้จักของดีของตัว”

กรุแก้วจะเข้าใจเหตุผลของนายแพทย์ และเจ้าของร้านขายยาดี ถ้าหล่อนอาจได้ยินคำพูดของเขาหลังจากที่หล่อนลงบันไดจากชั้นบนของร้านขายยานั้นมาแล้ว เจ้าของร้านก็ขึ้นไปหาหมอประจำร้านของเขา พอเห็นหน้าเขานายแพทย์ก็บอกว่า “เห็นจะไม่เป็นไรหรอก มาวันนี้พูดแจ่มใสขึ้น”

เจ้าของร้านนั้นส่ายหน้า “ลูปล่างพรรณนี้มาซื้อยานอนหลับ ผมกัวแทบตาย กัวเหมือนลายก่องที่ข้างบ้านผง อีกินเข้าไปหมดขวดเลย”

“คุณได้กุศลแยะ” หมอว่า “ที่ให้แกขึ้นมาหาผมเสียได้ เห็นขอบตาแกเขียว ตากลวงโบ๋ คิดว่าเอาอีกรายหนึ่งแล้ว”

กรุแก้วทำศึกกับตนเองอย่างฉกาจฉกรรจ์ตลอดเวลาทีเตรียมตัวสอบและระหว่างสอบ หล่อนดูหนังสือแต่จำอะไรไม่ได้ อ่านหนังสือประเดี๋ยวเดียวก็ปวดหัวมึนศีรษะและตาลาย แต่หล่อนก็กัดฟันพยายาม พยายามไล่ชื่อกิตติมานดวงหน้าของกิตติมานออกไปจากสมองจากมโนภาพ หล่อนรู้ดีแล้วว่า หล่อนหมดหวังในความรักของเขา เพราะถ้าเขารักหล่อน คงไม่หายหน้าไปจากหล่อนเป็นเวลานาน วันดังนั้น

วันที่หล่อนสอบเสร็จนั่นเอง หล่อนก็ได้พบเขา เขายืนอยู่ที่ที่จอดรถประจำทางด้านถนนพญาไท ซึ่งเป็นที่กรุแก้วมักจะไปขึ้นรถประจำทางกลับบ้านหล่อน พอเห็นเขากรุแก้วก็คิดจะหลบหน้า แต่ไม่ทัน เขาเห็นหล่อนและร้องทัก “กรุแก้ว แหม ตายจริง วันนี้โชคดีอะไรอย่างนี้ มารับนิด นิดก็กลับบ้านไปเสียตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ อยากไปรับประทานอะไรเล่น อยากได้เพื่อนอยู่ทีเดียว กรุแก้วไปด้วยได้ไหม”

กรุแก้วแทบจะอ้าปากไม่ออก นัยน์ตาของหล่อนพร่าพราง “อย่างนี้เอง หล่อนคือเพื่อนเล่นของเขานั่นเอง” ใจหล่อนเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่แล้วกิตติมานก็กล่าวขึ้น “ที่จริง อยากเล่าอะไรให้กรุแก้วฟังด้วย แต่มันไปไหนต่อไหนยากตั้งแต่ไม่มีรถ แล้วก็ซวยเหลือเกิน กรุแก้วรู้เรื่องว่าท่านลุงประชวรแล้วใช่ไหม”

กรุแก้วเกิดความรู้สึกวูบวาบในทรวงอก ความหวังที่หล่อนได้พยายามขับไล่ไสส่งออกไปจากใจ เพราะมันทำให้หล่อนเร่าร้อน ประเดี๋ยวหนาวเยือกในใจ ประเดี๋ยวก็รู้สึกร้อนเหมือนคนไข้ ความหวังกำลังคุกคามจะเข้ามายึดครองใจหล่อนอีกแล้ว หล่อนอยากปฏิเสธแต่ก็ไม่มีกำลังใจพอที่จะทำได้ พอกิตติมานชวนซ้ำ “ไปร้านเก่าของเรานะกรุแก้ว” หล่อนก็พยักหน้ารับแล้วก็ขึ้นรถประจำทางไปด้วยกันกับเขา

“กรุแก้วก็เซียวไปเหมือนกัน เป็นอะไรไปหรือ” เขาว่าระหว่างที่นั่งอยู่บนรถประจำทางด้วยกัน

หล่อนสั่นศีรษะแทนคำตอบ หล่อนกลัวน้ำเสียงของหล่อนจะเป็นตัวการขยายความลับในใจหล่อนออกมา

“แทบเป็นบ้าตายนะ ผมน่ะ” เขากล่าวแก่หล่อนต่อไป “แต่ตอนนี้ ท่านลุงค่อยยังชั่วแล้วอะไร ๆ ก็ชักจะค่อยยังชั่วสำหรับเรา”

“ท่านประชวรเป็นอะไรไปคะ” กรุแก้วถามเพื่อไม่ให้เสียกิริยา

“ประเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง” เขากล่าว “นี่ลงตรงนี้ซิ ไปต่อรถคันโน้น แหมผมก็ไม่ชำนาญต่อรถเมล์กรุแก้วก็ไม่ชำนาญ เดี๋ยวได้หลงไปไหนต่อไหนกันใหญ่ ผมต้องอาศัยนิดเรื่อย”

หล่อนและเขาไปขึ้นรถประจำทางอีกคันหนึ่ง ไม่กี่นาทีก็ไปถึงร้านขายขนมต่าง ๆ ที่สี่แยกราชประสงค์ เขากับหล่อนลงจากรถแล้วก็เข้าไปนั่งที่โต๊ะเล็กที่มุมห้อง

“กรุแก้วถามว่าท่านลุงประชวรเป็นอะไร ผมอยากเล่าให้ใครฟังสักคนหนึ่งเหมือนกัน ผมว่ากรุแก้วคงจะเข้าใจได้ดี” เขากล่าวเมื่อได้สั่งขนมกับไอศกริมมาแล้ว ทั้งที่กรุแก้วรู้ว่าหล่อนคงรับประทานไม่ได้กี่คำ แต่ก็ต้องจำสั่งด้วย

“แก้วอยากรู้เรื่องทั้งหมด” หล่อนรวบรวมสติได้แล้วก็กล่าวแก่เขา “เรื่องคุณกิตติกับนิดกับอะไร ๆ ทั้งหมด”

กิตติมานมีสีหน้าเศร้าไปสักครู่ แล้วเขาก็ตอบว่า “เรื่องผมกับนิดนี่ยาวเทียวคุณ แต่ผมก็อยากเล่าให้เพื่อนที่ดีฟังสักคน เรื่องมันแปลกมาก คนทั่วๆ ไปเขาก็ไม่แลเห็นเลย”

พอได้ขนมกับไอศกริมเรียบร้อย เห็นว่าจะไม่ถูกรบกวนจากผู้รับใช้ในร้านขนมแล้ว กิตติมานก็เล่าให้กรุแก้วฟัง เขาเล่าทบทวนไปมา หยุดบ้าง คอยถามกรุแก้วว่า “เบื่อหรือเปล่า” บ้าง แต่ในที่สุดก็รวบรวมได้เป็นเรื่องราวดังนี้

“ผมเป็นคนพิลึก พี่ ๆ น้อง ๆ เขาก็ว่ากันบ่อย ๆ พ่อแม่ไม่ค่อยรัก ไปรักแต่ท่านลุงละมากกว่าใครหมด เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ที่ผมรักท่านลุงก็เพราะผมรู้สึกว่า ท่านมีความเข้าใจกับผมดีกว่าญาติผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ยิ่งคุณแม่กันผมแล้วไม่ค่อยเข้าใจกันเลย แต่คุณแม่ท่านก็ว่า ที่ผมกับท่านไม่ค่อยเข้าใจกันก็เพราะท่านลุงท่านทำผมเสีย

“คุณแม่เป็นคนเจ้าระเบียบแบบชาววัง ท่านลุงก็เจ้าระเบียบเหมือนกัน แต่เจ้าระเบียบอย่างฝรั่ง ท่านเป็นนักเรียนเยอรมันรุ่นเก่า พ่อกับท่านลุงก็เข้ากันไม่ค่อยได้ เพราะเหตุนี้ พ่อว่าท่านโปรดเยอรมันเกินไป แต่แท้ที่จริงท่านลุงไม่ได้โปรดเยอรมัน ท่านโปรดอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราวสมัยฮิลเล่อร์ ท่านลุงเกลียดมันราวกับของเน่า”

เขาหยุดดูหน้ากรุแก้ว เห็นนัยน์ตาหล่อนจ้องจับอยู่ที่เขาอย่างสนใจจึงเล่าต่อไป

“พ่อผมไม่ค่อยมีสมบัติ แต่งงานกับคุณแม่แล้วถึงได้ตั้งเนื้อตั้งตัวได้ พอเปลี่ยนการปกครองทั้งท่านลุงทั้งพ่อก็ต้องออกจากราชการ พ่ออาศัยทรัพย์สมบัติของคุณแม่ไปทำการค้าขาย และได้ผลดีพอใช้ แต่คุณแม่ก็เป็นเหมือนหัวหน้าครอบครัวนั่นเอง”

“ท่านลุงไปทำงานกับฝรั่งอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วมีคนมาชวนท่านให้ไปร่วมกันทำการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง พวกของท่านแพ้ ท่านก็ถูกจับไปใส่คุก แต่แล้วเขาปล่อยท่านออกมา ท่านออกมาทำงานกับฝรั่งอีกเพราะท่านมีเพื่อนฝรั่งมาก แต่แล้วท่านก็ถูกจับอีก

“ท่านลุงบอกว่า คราวหลังท่านไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย แต่ใครเข้าใจผิดหรือจะแกล้งกันก็ไม่รู้ แต่คุณแม่ไม่ยอมยกโทษให้เลย ท่านบอกว่าท่านลุงทำความเดือดร้อนให้พี่น้องมาก ผมยังเด็กมากตอนนั้น แต่ผมก็เชื่อท่านลุงยิ่งกว่าใครหมด พอมีเวลาหรือสตางค์ผมเป็นต้องหาโอกาสไปเยี่ยมท่านจนได้”

“ท่านลุงท่านคุยกับผม พูดเรื่องอะไร ๆ กับผมเหมือนพูดกับผู้ใหญ่ ผมรักท่านจริง ๆ ไม่รู้ยังไง ยิ่งท่านถูกนินทา ผมยิ่งรักท่านมากขึ้นเรื่อย ๆ”

เขาหยุดสังเกตอาการกิริยาของหญิงสาวอีก ยังคงเห็นความสนใจในหน้าของหล่อน เขาก็เล่าต่อ

“ในที่สุดท่านลุงก็ถูกปล่อยตัวกลับบ้าน ก็เป็นธรรมดา ท่านก็หมดเนื้อหมดตัว พ่อก็เป็นน้องชายแท้ ๆ ก็ต้องดูแลท่าน คุณแม่ก็ไม่ชอบใจเลย เพราะลูกก็หลายคน คุณแม่ต้องการให้ลูกเจริญก้าวหน้า เมื่อมีใครมาเป็นภาระ ท่านก็ไม่พอใจ นั่นก็เป็นธรรมดา”

“แต่ที่คุณแม่ไม่พอใจท่านลุงมากที่สุดก็คือ ท่านไม่ยอมรับผิด แล้วก็ชอบพูดเรื่องการเมืองบ่อย ๆ เสียด้วย แต่คุณแม่ก็เป็นผู้ดี ก็ต้องอดใจไม่โครมครามอะไรมากนัก แต่สายตาไม่กินกันเลย แต่ผมนั้นรักท่านลุงเรื่อย ลูกท่านก็ไม่มี เมียก็ตายระหว่างที่ติดคุก ผมก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าท่านมีผมคนเดียวที่จะชื่นชม ผมกับคุณแม่ก็เลยไม่ค่อยถูกใจกันมาเรื่อย ๆ”

“ระหว่างที่ท่านลุงไม่มีงานทำ ตัวอาศัยอยู่กับพ่อ ท่านก็เอาผมไปสอนภาษาอังกฤษพิเศษให้ สอนคำนวณ สอนประวัติศาสตร์ และอะไรต่าง ๆ ผมก็ไม่ใช่ว่าจะขยันนัก แต่ถ้าไม่ให้ท่านสอน ก็ไม่รู้จะนั่งอยู่กับท่านได้อย่างไรนาน ๆ ก็เลยเรียนกับท่าน ผลก็คือ ไอ้สมองที่มันไม่ค่อยดีอะไรอย่างของผม มันก็เลยกลายเป็นคนรอบรู้อะไร ๆ มากหน่อย แล้วภาษาอังกฤษมันก็เก่งกว่าเพื่อนในชั้นหน่อย ผมก็เลยสอบชิงทุนหลวงได้ ก็เลยได้ไปเมืองนอก”

“ระหว่างที่ผมไปเมืองนอก ท่านลุงก็ไปทำไร่อยู่ทางศรีราชา ผมกลับมาท่านก็พอรักษาตัวรอดบ้างแล้ว แต่แล้วท่านก็เกิดแอ๊กซินเดนท์ ถูกรถชน ต้องตัดขาทั้งสองข้าง”

“ทีนี้คุณก็ต้องเห็นแล้วซิว่า ผมทิ้งท่านลุงไม่ได้เด็ดขาด ผมก็อ้อนวอนพ่อขอให้ปลูกเรือนให้ท่านอยู่ ที่กรุแก้วไปวันนั้นละ พ่อก็ปลูกให้ คุณแม่ก็ไม่พอใจมาก แต่ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร”

“ทีนี้ก็มาถึงเรื่องนิด คุณแม่ก็เป็นธรรมดา ท่านก็อยากให้ผมได้เมียดีที่เขามีหน้ามีตา ท่านก็พยายามให้ผมติดต่อกับเปรมวดี คุณก็รู้อยู่แล้ว ผมก็ชอบเปรมมาก ผมรู้สึกเชื่อว่าผู้หญิงอย่างเปรมจะเป็นเพื่อนกับลุงได้ดี แต่แล้วมันก็ไม่สำเร็จ คุณแม่ก็พยายามจะให้ติดต่อกับใครต่อใครที่ฐานะดีๆ อีกหลายคน ผมก็ติดต่อไปเรื่อย ก็ไม่เห็นขัดข้อง มันก็เพลิดเพลินดี แต่เท่าที่ติดต่อกันมา ก็ไม่เห็นใครจะทนนั่งกับคุณลุงได้นานสักคน”

“แล้วมาตอนหลังนี้ ท่านก็ประชวรกระเสาะกระแสะ ต้องมีคนพยาบาลเอาใจให้ดี เพราะประสาทมันเล่นงาน คิดดูเถิดคุณ คนที่เคราะห์ร้ายมากี่หนต่อกี่หนในชีวิต จะให้เข้มแข็งได้สักเท่าไหร่กัน”

“มาเมื่อปีกลายนี้ นิดก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แล้วก็ต้องหาที่อยู่ใกล้ๆ หน่อย เพราะพ่อแม่แกอยู่ปากน้ำ แกเป็นหลานแท้ ๆ ของพ่อ แกก็ต้องมาอยู่บ้านเรา คุณแม่ไม่ชอบแม่ของนิดมานานแล้ว เพราะหลักของคุณแม่ว ผู้หญิงต้องแต่งงานกับคนมียศสูงกว่าตัว หรืออย่างน้อยก็เท่ากัน แต่คุณแม่ก็ไม่แสดงออกมานอกหน้า ถึงอย่างไรท่านก็ต้องให้นิดอยู่ที่บ้าน”

“บังเอิญนิดเกิดถูกกับท่านลุงอย่างมาก แกเป็นนางพยาบาลประจำท่านลุงไปเลย คุณเม่ก็ชักจะพอใจ จนกระทั่ง...”

กรุแก้วอยากจะปิดหูเสีย เพราะไม่ต้องการได้ยินเรื่องต่อไป หล่อนเดาได้หมดแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน อำนาจประหลาดอะไรอย่างหนึ่งก็ทำให้หล่อนกล่าวว่า

“จนกระทั่งอะไรคะ”

“จนกระทั่งเมื่อสองสามวันก่อนที่ผมจะพบกับกรุแก้วที่มหาวิทยาลัยน่ะแหละ คุณแม่เตือนให้ผมตกลงใจหมั้นกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมมาตรึกตรองดูก็รู้สึกว่าผมไม่ได้รักเขาเลย เป็นแต่ชอบ ๆ แล้วก็รู้ว่าเขามีฐานะดี คิดแล้วก็รู้สึกอายพิลึก แต่คิดดูอีกที ถ้าผมมีเงินผมก็คงให้ความสุขท่านลุงได้ แต่มาคิดอีกที เราจะต้องอาศัยเงินเมียเขาเลี้ยงลุงพิการของเรา ก็ดูยังไง ๆ อยู่ พอผมปรึกษาท่านลุง ท่านก็ว่า ถ้าถามท่าน ๆ ก็ต้องว่าไม่เห็นด้วย แต่ท่านก็ล้าสมัยเหลือเกิน เดี๋ยวนี้คนที่ว่าตัวเป็นผู้ดี ก็ไม่เห็นมีอะไรดีกว่าคนที่เราว่าเขาไม่ใช่ผู้ดี ผมก็มีความเห็นเหมือนท่านลุงอีก ทั้งที่พยายามอยากเห็นตามคุณแม่”

“แล้วพอผมมาพูดกับกรุแก้ว ผมก็เลยเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า คนตั้งแยะเขาหาความสุขได้โดยไม่ต้องมีเงิน เปรมเคยพูดแย้ม ๆ กับผมว่า ครอบครัวของกรุแก้วมีความสุขเหลือเกิน เพราะพี่น้องรักกัน ผมก็มาได้คิดว่า ที่ผมไม่มีความสุขก็เพราะคุณแม่ไม่ชอบท่านลุงเท่านั้น ถ้าผมมีเมียที่รักกันและที่รักท่านลุง แล้วผมไม่ต้องยุ่งกับคุณแม่ ไม่แคร์กับสมบัติของท่านเสีย ผมก็มีความสุข แล้วผมก็เลยรู้ตัวขึ้นมาว่า ถึงผมจะแต่งงานกับใคร ผมก็คงไม่รักเขาเท่าผมรักนิด ผมก็เลยตกลงใจว่าผมจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่คุณแม่หาให้ แล้วผมก็บอกกับนิดว่า ผมจะคอยจนนิดเรียนจบแล้วก็จะแต่งงานกันดีกว่า นิดเป็นเพื่อนรักกับสุจริต ยายสุจริตดันเอาไปลงหนังสือพิมพ์ คุณแม่เลยด่าว่าเป็นอุบายของนิด ที่พยาบาลท่านลุงก็เพราะจะมัดหัวใจผม แล้วก็เอาเรื่องไปลงหนังสือพิมพ์ ก็เพื่อจะไม่ให้ผมมีโอกาสเปลี่ยนใจ เลยยุ่งกันใหญ่ ท่านลุงรู้เข้าก็กริ้วเหลือเกินแล้วก็เลยประชวรเสียแทบจะไม่รอด แต่นี่พ้นอันตรายแล้ว พ่อผมเกิดมีจิตใจเข้มแข็งขึ้นมา พูดกับคุณแม่เด็ดขาดไปเลย ท่านลุงรู้ว่าน้องชายเข้ากับท่านเลยชื่นอกชื่นใจเลยค่อยยังชั่ว คนเรานี่ก็แปลกเสียจริง ๆ เราแก่เข้าจะเป็นอย่างนี้ไหม คุณว่าไง กรุแก้ว” กิตติมานทิ้งคำถามในที่สุด

ความรู้สึกใต้สำนึกของกรุแก้วทำให้หล่อนถามต่อไปว่า “แล้วทำไมต้องขายรถล่ะคะ”

“รถนั้นเพื่อนฝรั่งของท่านลุง เขาไปเมืองนอกเขาฝากขาย ที่จริงเขาก็ตั้งใจให้ท่านลุงใช้ ให้ผมพาท่านไปไหน ๆ แต่พอมีเรื่องกับคุณแม่ ผมก็เลยคิดไปถึงว่าธุระอะไรจะต้องไปง้อรถฝรั่งใช้ ขายให้เขาได้เงินไป แล้วเรามีปัญญาหาเอาเองได้ก็จะหา หาไม่ได้ก็ไม่ต้องขี่มัน ขี่รถเก่า ๆ สักคันพอให้ไปไหนมาไหนได้ธุระก็พอ แต่ก็ยังไม่มีเงินซื้อเลย”

กรุแก้วแอบถอนหายใจยาว เออ ชีวิตคน ทำไมเต็มไปด้วยปัญหาร้อยแปดพันประการ ทำไมไม่เป็นอย่างที่น่าจะเป็น ใครควรอิจฉาใครกัน ใครควรอยากเหมือนใคร กิตติมานบอกว่าชีวิตหล่อนเป็นสุข เพราะมีญาติที่รักกัน หล่อนเคยคิดว่ากิตติมานมีชีวิตรุ่งโรจน์ แต่กลายเป็นว่าเขามีชีวิตเศร้า และที่เศร้าก็เพราะเขาไม่เลือกชีวิตอย่างที่บางคนจะเลือก ชีวิตของนิดผู้ซึ่งกรุแก้วคิดว่าเป็นชีวิตที่สดใส ก็กลายเป็นเป็นชีวิตที่เศร้าเหมือนกัน แต่เมื่อคิดไปอีกทีหนึ่ง ชีวิตของนิดร่วมกับกิตติมาน ก็จะมีภาวะใดในโลกที่น่าจะเป็นสุขยิ่งกว่าเล่า

หวนกลับมาคิดถึงชีวิตของหล่อนอีก ก็จริงหล่อนก็โชคดี อะไรทำให้หล่อนได้ไปพบกับนายแพทย์คนนั้นในวันนั้น ทำให้หล่อนมีกำลังดูหนังสือ ทำให้หล่อนต้องควบคุมสติจนผ่านการสอบไปได้ ถ้าหล่อนปล่อยให้อารมณ์เป็นนายเหนือสมอง ถ้าหล่อนสอบไล่ตก ผลจะเป็นอย่างไร นอกจากความอายของตนเอง แล้วก็จะต้องสร้างความผิดหวังให้คนอื่นที่รักหล่อนอีกหลายคน

แล้วกรุแก้วก็คิดต่อไปว่า หล่อนนั้นไม่มีห้องไม่มีช่องมีมุมในความรักของนิดกับกิตติมานเลย สองคนนั้นรักกัน เพราะเขาร่วมกันในความเสียสละ ส่วนหล่อนรักกิตติมานหรือ หรือว่ารักฐานะและรูปโฉมและชื่ออันหอมกระฉ่อนของเขา ความรักของหล่อนกับของนิด ถ้าหล่อนเป็นชายอย่างกิตติมาน หล่อนจะเลือกเอาอย่างไหน หากว่าเขาจะมีญาณหยั่งรู้ถึงความจริง แน่นอนเหลือเกินเขาจะต้องเลือกนิด ความรักของนิดเป็นความรักที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งภายนอกเลย เป็นความรักที่ค่อย ๆ ฟักตัวตามธรรมชาติ คนอย่างนิดกับคนอย่างกิตติมาน เมื่อมาใกล้กันเข้าแล้วย่อมหนีกันไม่พ้น

กรุแก้วกับกิตติมาน ลาจากกันที่มุมถนนราชประสงค์ กรุแก้วอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา หลั่งเพื่อลาชีวิตระยะหนึ่งของหล่อน แต่กิตติมานอ่านไปว่าหล่อนร้องไห้ด้วยความสงสารเขา เขาหัวเราะน้อย ๆ แก้เก้อ พลางปลอบหล่อนว่าเขาไม่ค่อยรู้สึกเสียใจกี่มากน้อยแล้ว และเอาคำมั่นสัญญากับหล่อนว่า จะต้องพยายามรักษามิตรภาพระหว่างกันไว้ แล้วหล่อนกับเขาก็ลาจากกันไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ