เปรมวดีผู้ถูกอิจฉา

กรุแก้วและลินดายืนจ้องดูรถยนต์คาลิแลกคันใหญ่สีงาช้างแล่นช้า ๆ พาเปรมวดีออกไปจากประตูโรงเรียนด้วยความอิจฉารุ่มร้อนอยู่ในอก

ทำไมหนอ พระเจ้าหรือธรรมชาติจึงไม่รู้จักสัดส่วนที่เหมาะสมเสียเลย นี่คือความคิดของกรุแก้ว เปรมวดีผู้ซึ่งไม่มีอะไรเด่นเลย สวยก็ไม่สวย เรียนก็ไม่เก่ง และก็ไม่ค่อยแยแสกับความโอ่อ่ากลับเป็นคนที่มีรถยนต์คันใหญ่ ๆ นั่ง ซึ่งเปรมวดีนั่งไปอย่างเหม่อ ๆ ตาลอย ๆ ไม่มีทรวดทรงท่าทางสง่าสมกับรถ เปรมวดีอยู่บ้านเป็นคฤหาสน์ใหญ่ ซึ่งเปรมวดีไม่ค่อยอยากจะกลับนักเวลาที่โรงเรียนหยุดวันหนึ่งหรือสองวัน เปรมวดีมีเครื่องเพชรอย่างที่หนึ่งใส่หลายชุด ซึ่งเวลาเปรมวดีใส่ก็ไม่ทำให้ตัวของเปรมวดีสวยเด่นอะไรขึ้นมา เปรมวดีมีคนคาดหมายว่าจะได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่เด่นที่สุดในสังคมในยุคนี้ และมีตัวบุคคลที่ติดต่อกับเปรมวดีถึงสองคน นอกจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ของเปรมวดีก็เป็นคนที่อยู่ในหมู่คนเด่นที่สุดในสังคมในยุคนี้อีกด้วย

กรุแก้วกับลินดายืนจ้องดูจนรถยนต์ของเปรมวดีแล่นลับตาไปแล้วก็สะบัดหน้าน้อย ๆ หันหลังกลับคิดจะไปยังห้องนอนของตน เพื่อทำธุระต่อ คือเก็บของบรรจุหีบสำหรับจะนำกลับบ้าน พอดีพบกับครูสุวรรณเดินเลี้ยวมุมตึกและตรงมาที่หล่อนทั้งสอง

“อ้าวดีทีเดียว พบทั้งสองคน” ครูสุวรรณว่าเมื่อเห็นกรุแก้วกับลินดา “กำลังมีอะไรอยากจะพูดกับเธอ เข้ามาในห้องครูหน่อยซิ”

กรุแก้วกับลินดาทำริมฝีปากยื่น ๆ ออกมา เป็นการแสดงความไม่ยินดีที่ได้รับคำเชิญจากครูผู้นี้ ลินดาทำหน้าหรือสีหน้าทุกอย่างที่กรุแก้วทำ เพราะไม่ว่ากรุแก้วจะทำหน้าอย่างใด หล่อนก็มองดูสวยน่าสนใจ ลินดาคิดว่าหล่อนคงสวยคล้าย ๆ กรุแก้วไปด้วย

สาวรุ่นทั้งสองเดินตามครูเข้าไปในห้องพักเล็ก ๆ ของครูสุวรรณ แต่เป็นห้องที่ครูสุวรรณใช้คนเดียวไม่เหมือนห้องพักครูอื่น ๆ ที่ใช้รวมกันหลายคน

ครูสุวรรณหยิบห่อของเล็ก ๆ ห่อด้วยกระดาษสีสวย และมีริบบิ้นรัดอย่างสวย ออกมาส่งให้ศิษย์สาวคนละห่อ แล้วบอกให้นั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของครู

“กรุแก้วกับลินดา เธอกำลังจะออกจากโรงเรียนไปเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ครูขอมอบของที่ระลึกให้แล้วก็ขอตักเตือนอะไรสักอย่างสองอย่างนะ”

สาวน้อยทั้งสองฟังโดยดุษณี ไม่แสดงอาการอย่างไร ครูสุวรรณพูดต่อไป

“กรุแก้ว ครูขอฝากกราบไปยังคุณตาน้อยของเธอ เธอเรียกคุณตาน้อยใช่ไหม คุณหลวงวิเศษอักษรน่ะ ครูเป็นแฟนของท่านมาตั้งแต่เป็นนักเรียนอายุเท่าๆ เธอแน่ะ” ครูสุวรรณกล่าวแก่กรุแก้ว “คุณตาของเธอเป็นรัตนะเม็ดหนึ่งของเมืองไทย คนที่เขียนภาษาไทยเก่ง ๆ อย่างท่านหายากเข้าทุกวัน”

กรุแก้วทำหน้าเฉย ๆ เรื่อย ๆ ยิ้มน้อย ๆ พอไม่เสียกิริยา เพราะหล่อนเบื่อทุกอย่างที่ครูสุวรรณพูด แต่ก็ต้องฟังต่อไป

“กรุแก้ว เธอรู้ไหมว่าเธอเป็นคนเคราะห์ดีที่สุดคนหนึ่งในเมืองไทย ฉันอยากจะว่าในโลกด้วยซ้ำไป” ครูสุวรรณพูดต่อไป ตอนนี้กรุแก้วสะบัดหน้าน้อย ๆ แต่หล่อนเข้าใจว่าครูสุวรรณคงไม่ทันสังเกตกิริยานั้น “เธอมีญาติที่น่ารัก คุณแม่ก็เป็นคนมีความคิดนึกดี คุณน้า ๆ ก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แล้วก็รักเธอกันเหลือเกิน ฉันขอโทษเถอะ แต่ฉันเห็นว่าเธอเรียนจบชั้นแล้ว ขอพูดกันอย่างผู้ใหญ่นะ คุณแม่กับคุณน้าต้องเสียสละความสุขส่วนตัวพอสมควรนะ ที่ให้เธอมาอยู่โรงเรียนอย่างนี้” ตอนนี้กรุแก้วก้มหน้า มีความร้อน ๆ หนาว ๆ เกิดขึ้นแก่หล่อน “ตอนนี้เธอเรียนจบแล้ว คุณแม่กับคุณน้าก็คงสบายขึ้นบ้างละ ที่นี้ก็เป็นหน้าที่ของเธอที่จะทำให้ท่านสุขสบายยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าเธอได้เข้ามหาวิทยาลัยคุณแม่ก็คงดีใจมาก อยากจะฝากเธอไปเพียงเท่านี้แหละว่าให้รู้จักของดีของตัว

“ทีนี้สำหรับลินดานะ เธอก็เป็นคนโชคดีมากเหมือนกัน คุณพ่อคุณแม่ก็รักราวกับดวงตา” ลินดาหัวเราะกิ๊ก ๆ ขึ้นมาทันที สำนวนโบราณอะไรไม่รู้ของครูสุวรรณ กรุแก้วสบตาเพื่อนพลางยิ้มด้วยความหมายที่เข้าใจกัน “เธอคงจะได้ไปเมืองนอก ถ้าไปเมืองนอกก็ขอให้เป็นเด็กดีให้สมใจท่าน อย่าไปเป็นผีเสื้อบินไปบินมา เรียนให้มันดีจริง ๆ เรียนอะไรที่มาทำประโยชน์แก่บ้านเมือง เพราะถ้าเธอพยายาม เธอก็เป็นคนมีสติปัญญาคนหนึ่ง พยายามให้ได้เข้ามหาวิทยาลัย เธอเป็นคนมีทรัพย์สมบัติ เธอจะทำประโยชน์ได้มากถ้ามีความรู้ควบไปด้วย”

ครูสุวรรณพยายามจับตาดูตาสาวน้อยศิษย์ทั้งสองเพื่อให้รับความคิดนึกที่ได้ไป แต่ลินดายังคงหัวเราะกิ๊ก ๆ และกรุแก้วก็ยังคงทำสีหน้ายิ้มเรื่อยๆ

“เอาละ ครูไม่มีอะไรพูดอีกแล้ว เพราะพูดกันมาทั้งปีแล้ว ขอให้เธอประสบความสำเร็จสมความปรารถนาทุกอย่าง”

กรุแก้วและลินดาลุกขึ้นจากที่นั่ง หยิบของที่ระลึกของครูออกมาไว้ในมือ ทำความเคารพตามธรรมเนียมแล้วก็ออกไปจากห้อง ครูสุวรรณมองตามหลังสาวน้อยทั้งสองพลางถอนใจใหญ่เบา ๆ ส่วนหล่อนทั้งสองพากันเดินไปตามระเบียงตึก เพื่อจะขึ้นไปยังห้องนอน ระหว่างที่เดินไปกรุแก้วเอ่ยขึ้น

“แกเอาอะไรเปิ่น ๆ มาให้เรานะ ฉันเดาว่าน้ำอบโอเดอโคโลญชนิดที่ไม่มีใครเขาใช้น่ะ” ลินดาหัวเราะกิ๊ก ๆ รับความเห็นของกรุแก้ว

ฝ่ายเปรมวดีนั่งรถออกจากโรงเรียนไปด้วยใจคอเหี่ยวแห้งที่สุด ในใจของหล่อนคิดวนไปเวียนมา แต่เนื้อความสำคัญของความคิดทั้งหลายก็คือ “เราไม่ได้กลับมาโรงเรียนอีกแล้ว ต่อจากนี้เราจะต้องอยู่บ้าน อยู่กับคุณแม่” หล่อนจะต้องทนสายตาของคุณแม่ ที่มองจับมายังหล่อนอันแสดงว่าหล่อนไม่ถึงใจท่าน ฟังคำพูดของท่านที่แสดงความคิดอย่างเดียวกันนั้น “โธ่เปรมใส่เสื้ออะไร ทำไมไม่ใส่ตัวสีแดง (หรือเหลืองหรือเขียว) แล้วทำไมเดินเหินเหมือนคนเบื่อโลก อย่างนี้คุณกิตติจะมาเอาใจใส่อะไร้ แล้วเมื่อคืนเห็นจุฑาเขามานั่งคุยด้วยสักสองนาทีแล้วเขาก็ลุกไป ทำไมจะทำให้เขาเอาใจใส่สักหน่อยไม่ได้เชียวรึ แม่จะแว้ดแป๊ดนั่นเขานั่งฉอเลาะกันตั้งชั่วโมง จุฑาน่ะเขาชอบแกมากกว่านา แต่ว่าแกมันเหลือรับจริง ๆ กิริยาท่าทางเหมือนหุ่น”

“เปรม ทำมั้ยไม่ทาปากให้มันเข้ากับหน้า ซื้อลิปสติกมาให้ก็ไม่รู้ไปเก็บไว้ไหน คุณกิตติมาพบพอดีหน้าเหมือนออกจากโรงพยาบาล”

“เปรม แกน่ะเป็นลูกแม่แต่ตัว ไม่เหมือนแม่เสียเลย ทำเหมือนไม่ยินดียินร้ายกับอะไรเลย เครื่องเพชรพอไปอยู่บนตัวยายเปรมแล้ว ก็กลายเป็นเหมือนไม่ใช่เพชร ไม่เววไม่วาม เพราะคนใส่ทำหน้าเชื่อง ๆ ชอบกล”

คุณแม่ไม่พอใจที่เปรมทำตัวเป็นคนไม่กระตือรือรันกับสิ่งทั้งหลายที่มีค่าราคาสูงสำหรับคนทั้งหลายทั้งปวง แต่ก็แปลกเหมือนกัน เมื่อมีคนชมเปรมวดีว่าสวย คุณแม่ก็ดูเหมือนจะไม่พอใจ เปรมวดีจำได้แม้จนกระทั่งน้ำเสียงและสายตา จับแน่นอยู่ในความทรงจำราวกับภาพถ่ายที่แจ่มชัดที่สุดปรากฏบนแผ่นกระดาษ ในวันงานซายิดคุณย่าเมื่อสามเดือนก่อนนี้เอง คุณหญิงอรรถวิชิตสุภาพสตรีสูงอายุและเป็นที่นับถือของญาติมิตรจำนวนมากของเปรมวดี กล่าวแก่คุณแม่ตอนที่เปรมวดีเข้าไปเชิญท่านให้เป็นคนแรกที่เข้าไปตักอาหารอันจัดไว้งดงามเรียงราย “แม่พรรณ” ท่านเรียกคุณแม่ตามที่เคยเรียกมาตั้งแต่คุณแม่ยังเป็นเด็ก ๆ “แม่เปรมนี่สวยทีเดียวนา เห็นแกเรื่อย ๆ เฉย ๆ ยังงั้นเถอะ ผิวละเอียดรูปโปร่ง สวยพิศนะเด็กคนนี้” เปรมวดียังไม่ทันจะปลื้มใจที่ได้ยินคำชม ซึ่งแปลกสำหรับเปรมวดี ก็พอดีสายตาหล่อนสบกับสายตาคุณแม่ นัยน์ตาคุณแม่ฉายวูบอย่างน่ากลัว คุณแม่ฝืนยิ้มเกือบไม่ได้และพูดอะไรตามประเพณีเมื่อได้ยินคนชมบุตรหลานของตนไม่ออก ได้แต่พยักหน้าแล้วก็รีบหลบตาคุณหญิงและหลบตาเปรมวดีด้วย

ตั้งแต่วันนั้นมา เปรมวดียิ่งงุนงงเรื่องคุณแม่มากขึ้น จนกระทั่งไม่อยากจะอยู่ใกล้คุณแม่เลย ก่อนหน้านี้เปรมวดีเข้าใจว่าหล่อนเป็นลูกที่ไม่น่าพอใจจริง ๆ อะไร ๆ ที่คุณแม่ใฝ่ฝันให้เปรมวดี หล่อนไม่ค่อยยินดียินร้ายจริงๆ แต่เมื่อรู้ว่าคุณแม่ไม่พอใจเปรมวดีก็พยายามทำให้ท่านเห็นว่าหล่อนพยายามจะทำให้ถูกใจท่าน อะไรคุณแม่รังเกียจ แต่เปรมวดีไม่รังเกียจ เปรมวดีพยายามหลีกเลี่ยง แต่ตั้งแต่วันซายิดคุณย่า เปรมวดีเกิดความขยาดกลัวทุกสิ่งและทุกคนในโลก เคราะห์ดีที่เป็นระยะใกล้การสอบไล่สำคัญคือชั้นประโยคเตรียมอุดมศึกษา หล่อนฉวยโอกาสบอกคุณย่าว่า ใกล้เวลาสอบแล้ว จำเป็นจะต้องอยู่กวดวิชาบ้าง อยู่ทบทวนความรู้ร่วมกับเพื่อน ๆ บ้าง จึงหลีกเลี่ยงไม่ต้องกลับไปบ้านได้เกือบสองเดือน แต่บัดนี้การสอบก็ลุล่วงไปแล้ว ไม่มีทางหลีกเลี่ยงอีกแล้ว และไม่มีโอกาสทำอะไรอย่างอื่น เพราะแกล้งทำสอบตกก็ไม่ได้ ถึงอย่างไรคุณแม่ก็ได้ยื่นคำขาดแล้วว่าจะไม่ให้กลับมาอยู่โรงเรียนประจำอีก เพราะต้องการจะอบรมให้เปรมวดีรู้อะไร ๆ หลายอย่างที่โรงเรียนไม่สอน เป็นต้นว่า วิธีทำให้กิติมาน หรือ จุฑา คนใดคนหนึ่งตัดสินใจขอแต่งงานด้วย

แต่ก่อนวันซายิดนี้ เปรมวดีพอเดาเข้าใจคุณแม่หลายอย่าง หล่อนเข้าใจดีว่าคุณแม่ต้องการให้หล่อนได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่มีหน้าตา เป็นที่ปรารถนาของหญิงสาวและมารดาของหญิงสาวในสังคมที่หล่อนร่วมอยู่ กิติมาน มีโลหิตของราชตระกูล รูปร่างหน้าตาก็ดีพอใช้ ทรัพย์สมบัติก็มีพอสมควร มีวิชา มีชื่อเสียงว่าเรียนดี ทำงานเก่ง กิริยาวาจาปราดเปรียวน่าสนใจ ล่วนจุฑานั้น ถึงเชื้อชาติตระกูลจะไม่สูงเท่ากิติมาน แต่เป็นลูกชายคนเดียวของพระยาเทพวิจักษ์ คุณหญิงเทพวิจักษ์เป็นเจ้าของที่ดินและตึกใหญ่ริมถนนสายใหญ่ ๆ ในพระนคร รวมกันแล้วมีความยาวไม่ต่ำกว่าหนึ่งกิโลเมตร จุฑาเป็นคนมีวิชาเท่ากิติมาน รูปร่างงามกว่า ผมหยักศก ผิวขาว นัยน์ตาคมเป็นประกาย แต่ไม่ค่อยช่างคุย มีนิสัยเป็นคนชอบฟัง จุฑาชอบผู้หญิงที่ช่างคุย และได้เคยพยายามคุยกับเปรมวดีหลายครั้งในงานเลี้ยงงานฉลองอะไรต่างๆที่เขากับหล่อนไปร่วมกัน แต่เปรมวดีไม่รู้จะคุยอะไรให้เขาฟัง เปรมวดีบังเอิญเป็นคนชอบฟังเหมือนกัน การสนทนาจึงดำเนินไปได้ไม่ถึงสองนาทีต่อครั้งที่เขาพยายามคุยกับหล่อน ส่วนกิติมานนั้นช่างคุย แต่ชอบคุยกับคนที่มีความคิดเห็นต่อล้อต่อเถียงกับเขา ซึ่งเปรมวดีก็ไม่สามารถทำต่อเขาเช่นกัน ดังนั้น การที่คุณแม่บ่นไม่พอใจ เปรมวดีจึงเห็นว่า ก็สมควรอยู่ที่ท่านจะไม่พอใจ

ก่อนวันซายิดนี้ ไม่เคยมีใครชมเปรมวดีว่าสวย นอกจากการชมตามพิธี เช่นถ้ามีงานที่โรงเรียน เมื่อนักเรียนรุ่นเดียวกันกับเปรมวดีได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีสันแปลกไปจากเครื่องแบบของโรงเรียน ต่างคนต่างก็ชมกันว่า “แหม สวยจริงนะ” หรือ “อ้อ นี่ก็สวยเหมือนกัน” กรุแก้วมักชมเปรมวดีเป็นพิเศษกว่าคนอื่น ๆ คือชมว่า “โอ้โฮ เสื้อของเปรมนี่ตัดที่ไหนกันนี่ คงหลายร้อยใช่ไหม ค่าตัด” และ “แหมสร้อยคอของเปรมเพชรสวยจริง ๆ ฝีมือสวยจัง ไหน ขอฉันลองเอาใส่มั่งได้ไหม ดูซิ อยู่บนคอฉันจะทำให้ฉันสวยเท่าเปรมไหม” ซึ่งกรุแก้วรู้ดีว่า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเพชรชิ้นใดอยู่บนผิวขาวผ่องอมชมพูของกรุแก้วแล้ว ย่อมงามกว่าเมื่ออยู่บนผิวนวลซีด ๆ ของเปรมวดีทุกชิ้น

และก่อนวันซายิดนี้ เปรมวดีรู้ดีว่าคุณแม่ไม่ชอบให้ใครชมเปรมวดี คุณแม่ไม่ยินดีเลยเมื่อได้ยินครูอาจารย์ของเปรมวดีชมว่าหล่อนเรียนวิทยาศาสตร์เก่ง คุณแม่บอกว่า ลูกผู้หญิงของคุณแม่ไม่จำเป็นเรียนวิทยาศาสตร์เก่ง คุณแม่อยากให้พูดอังกฤษเก่ง ๆ แต่เมื่อครู ๆ บอกว่าเปรมวดีออกสำเนียงภาษาอังกฤษได้ดี คุณแม่ก็มักกล่าวว่า “แต่ก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร ให้เล่นละครก็ไม่ยอมเล่น พบฝรั่งมังค่าก็ไม่เห็นพูดคุยกับเขา อย่างดีก็ตอบสองสามคำ เพื่อนของยายเปรมน่ะ ใครรู้ไหม” คำนี้คุณแม่พูดกับครูสุวรรณซึ่งเคยเป็นนักเรียนร่วมห้องกับคุณแม่ “ยายสาย ยายจันทร์ จำได้ไหมยายสายหยุดที่มาอยู่โรงเรียนกับเราสักเทอมหนึ่งหรือยังไงตอนมัธยมสี่น่ะ แล้วพ่อเขาตายก็เลยออกไป เดี๋ยวนี้เขามาอยู่กับคุณแม่ คุณแม่เอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่ครั้งนั้นละ” และโดยเฉพาะถ้าครูสุวรรณชมว่าเปรมวดีเป็นคนช่างอ่านหนังสือและช่างจำ คุณแม่ก็บอกแก่ครูสุวรรณว่า “นี่ เธออย่ามาทำให้ลูกฉันครึเหมือนเธอนะ” แล้วเมื่อมีโอกาสคุณแม่ก็จะกล่าวแก่เปรมวดีว่า “เปรม ครูสุวรรณน่ะ ไม่ต้องไปพยายามเลียนแบบนะ ประเดี๋ยวก็จะต้องอยู่เฝ้าโรงเรียนไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันเหมือนแกหรอก”

ทั้งหมดนี้เปรมวดีเข้าใจดี คุณแม่ต้องการให้ลูกของท่านเด่นในสังคมสมกับที่เป็นลูกผู้มีความเด่นในสังคมอย่างไม่มีผู้ใดจะคัดค้านได้ เมื่อคุณแม่เดินเข้าไปในชุมนุมใด ณ ที่นั้นจะต้องมีคนเข้ามาแสดงความนิยมชมชื่นในความสวยของคุณแม่ เครื่องแต่งกายของคุณแม่จะต้องมีคนทักว่าแปลก เก๋ กระเป๋าถือ เข็มกลัดเสื้อ แพรห่ม จะต้องมีคนชมว่าช่างเลือกช่างหา แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแม่ต้องการให้เปรมวดีเป็นที่เชิดหน้าชูตาของคุณแม่และคุณย่ายิ่งกว่าน้องต่างมารดาของเปรมวดี ผู้ซึ่งกำลังเป็นดรุณีน้อยแรกรุ่นจำเริญวัย และซึ่งมีคนเผลอทักว่าเหมือนคุณแม่ โดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นลูกของคุณแม่

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเหตุว่าคุณพ่อกับคุณแม่เป็นพี่น้องกัน เมื่อคุณพ่อแต่งงานกับคุณแม่นั้น ญาติมิตรทั้งหลายกล่าวว่าจะเรียกว่าพี่น้องท้องเดียวกันแต่งงานกันก็ได้ เพราะคุณแม่ของเปรมวดีนั้น คุณย่าเลี้ยงมาเหมือนลูกของท่านเองแท้ ๆ นอกจากเลี้ยงแล้ว คุณย่ายังรักคุณแม่ของเปรมวดีมากเหลือเกิน อาจกล่าวได้ว่า รักมากกว่าลูกของท่านเองก็ได้ เมื่อคุณพ่อของเปรมวดีนอกใจคุณแม่ และเมื่อคุณแม่ยื่นคำขาดต่อคุณย่าว่า “ถ้านางนั่นอยู่ในบ้าน ลูกก็ไม่อยู่” คุณย่าก็เรียกคุณพ่อมาบอกว่า “พ่อเอก แม่พรรณเขาบอกว่าถ้าลูกไม่เลิกกับบังอรก็ให้ลูกออกไปเสียจากบ้านนี้ ไม่ยังงั้นเขาก็จะไป แม่ให้แม่พรรณไปไม่ได้ เพราะแม่สาบานกับพ่อของเขาไว้ว่า แม่จะเลี้ยงแม่พรรณเหมือนลูกของแม่เอง แม่ไล่ลูกผู้หญิงออกจากบ้านไม่ได้ ถ้าลูกจะเลี้ยงบังอร ลูกก็อยู่บ้านแม่ไม่ได้” คุณพ่อได้ขนของออกจากบ้านไปในคืนนั้นพร้อมกับภรรยาน้อย ซึ่งเป็นหลานห่าง ๆ คนหนึ่งของคุณปู่ของเปรมวดีผู้ล่วงลับไปนาน ตั้งแต่คุณพ่อยังศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ เรื่องคุณพ่อกับคุณแม่แตกกันนี้เปรมวดีไม่เคยทราบอะไรมากนัก นอกจากที่ได้ฟังจากอาสายกับอาจันทร์ญาติผู้ยากจนทั้งสองของเปรมวดี ได้ทำให้เปรมวดีรู้เรื่องราวอย่างคร่าวๆ โดยกล่าวแก่กันบ้าง หรือกล่าวแก่เปรมวดีบ้าง ในทำนองที่ทำให้เปรมวดีเข้าใจว่าความผิดทั้งหลายเป็นของหญิงที่ร่วมบ้านกับคุณพ่อในขณะนี้ “บังอรมันทำได้ มันคนเนรคุณไม่รู้จักคุณข้าวแดงแกงร้อน ท่านหรือเลี้ยงดูกรุณาได้เล่าได้เรียนสารพัด” “นั้นแหละท่านน่ะไม่รู้จักดูคน ไม่ควรให้มันเล่าเรียน มันก็เลยเห่อเหิม” “อือ ก็เขาเป็นหลานทางโน้น ท่านก็ต้องยกย่องเขาซิ” “ก็จริงหรอก แล้วที่จริง ถ้าเราเป็นคนชอบเรียนท่านก็คงให้เรียนเหมือนกัน ท่านเป็นคนใจอ่อน” “ฮึ จะว่าใจอ่อนยังไง ถึงทีลูกของท่านคนเดียวแท้ ๆ ท่านให้ออกจากบ้านไปได้” “ก็ท่านรักหลานท่านนี่” “ไม่ใช่เท่านั้นหรอก ท่านรักวาจาของท่านด้วย ท่านสาบานไว้กับคุณลุงหลวงนะ เวลาคุณลุงหลวงจะตาย คุณลุงหลวงพูดกับท่าน “โอ๊ย น้องชายของท่านคนนี้ท่านรักราวกับชีวิตของท่าน แม่ฉันเคยเล่าให้ฟัง คุณลุงหลวงพูดว่า คุณพี่ให้ผมตายตาหลับนะครับ ลูกแดงของผม พรรณวดีน่ะ แกกำพร้าแม่มาคนหนึ่งแล้ว แล้วนี่ผมก็คงไม่รอด คุณพี่เลี้ยงลูกผมด้วยนะครับ เลี้ยงให้เหมือนลูกของคุณพี่แท้ ๆ นะครับ” ท่านสาบานไว้กับน้องชายท่านเลยว่าท่านจะเลี้ยงเป็นลูกของท่านแท้ๆ คุณพรรณวดีน่ะ” คุณลุงหลวงที่อาสายและอาจันทร์ของเปรมวดีกล่าวถึงนี้คือคุณตาของเปรมวดีแท้ ๆ คุณตาแท้ ๆ ของเปรมวดีเป็นนายตำรวจหนุ่มกล้าหาญ รูปสวย เป็นที่รักและภูมิใจของวงศ์ญาติอย่างยิ่ง เมื่อท่านเสียชีวิตในราชการ ก็เป็นธรรมดาที่พี่สาวคนเดียวของท่านคือคุณย่าของเปรมวดีจะต้องเข้าโอบอุ้มเลี้ยงดูบุตรีที่ท่านฝากฝังไว้เป็นหนักหนา เปรมวดีจึงเป็นหลานสุดที่รักของคุณย่าของเปรมวดีมาตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ

เปรมวดีอายุได้ ๕ ขวบ เมื่อคุณพ่อออกจากบ้านคุณย่าไปแล้ว น้องสาวต่างมารดาของเปรมวดีเกิดหลังจากนั้นได้ ๓ เดือน ตั้งแต่อนุนาฏน้องของเปรมวดีเกิดมา เปรมวดีก็ได้รับฟังถึงเรื่องที่น้องสาวนั้นเหมือนคุณแม่บ่อย ๆ และได้รับฟังความผิดหวังของวงศ์ญาติในเรื่องที่หล่อนไม่สวยเหมือนคุณแม่บ่อยๆ “อู๊ย แม่พรรณเมื่อเล็ก ๆ น่ะ น่ารักเหลือเกิน เนื้อขาวเป็นปุย ผมหยิกหน้าแป้น นัยน์ตาแจ๋วแหวว ช่างพูดช่างฉอเลาะราวกับอะไรดี ยายหนูนี่ทำไมดูจ๋อยๆ” “เอ อย่าเพ่อพูดไปนะ” อีกคนหนึ่ง อาจเป็นญาติหรือมิตรคนใดคนหนึ่งกล่าวค้านเป็นบางคราว “ยายเปรมนี่แกมีเค้าคุณเอกนะ เขาก็พระเอกคนหนึ่งทีเดียว รูปหน้าแกก็ไม่เลว” “อือแต่นัยหูนัยน์ตาแกมันไม่แววไม่วาวเสียเลย ผู้หญิงน่ะมันสำคัญที่นัยน์ตานะ” คำกล่าวเหล่านี้ ผู้กล่าวไม่ค่อยจะพยายามปิดบังหลีกเลี่ยงไม่ให้เปรมวดีได้ยิน บางคนก็ทำเป็นพยายามไม่ให้ได้ยินแต่กล่าวโดยจงใจจะประจบคุณแม่ เปรมวดีเติบโตขึ้นด้วยความเข้าใจซาบซึ้งว่าตัวนั้นไม่มีอะไรจะสู้จะเปรียบกับคุณแม่เลย เปรมวดีจึงไม่ยินดีในการที่จะเหมือนคุณแม่ในเรื่องใดเลย แต่ก็ได้พยายามที่จะให้คุณแม่ต้องบ่นว่าค่อนขอดให้น้อยที่สุด

เปรมวดีไม่ค่อยมีโอกาสได้พบปะสนิทสนมกับคุณพ่อจึงไม่ค่อยมีความสนใจกับคุณพ่อนัก ปีหนึ่ง ๆ หล่อนจะได้พบคุณพ่อประมาณสองครั้ง เมื่อเปรมวดีไปอยู่โรงเรียนประจำใหม่ ๆ คุณพ่อพยายามมารับตัวไปจากโรงเรียนเพื่อให้ไปรู้จักกับน้อง ๆ แต่คุณแม่ได้ไปที่โรงเรียนซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของคุณแม่ คุณแม่คุ้นเคยรู้จักกับอาจารย์ใหญ่และคณะครูเกือบทุกคน และได้ยื่นคำขาดต่อคณะครูว่า ถ้าทางโรงเรียนอนุญาตให้คุณพ่อรับตัวเปรมวดีไป โดยไม่ได้รับอนุญาตจากคุณแม่ คุณแม่ก็จะเอาเปรมวดีออกจากโรงเรียน คุณพ่อจึงไม่พยายามไปรับเปรมวดีจากโรงเรียนอีกเลย แต่ทุกปีในวันเกิดของเปรมวดีครั้งหนึ่ง กับในวันเกิดของคุณย่าอีกครั้งหนึ่ง คุณพ่อจะมาบ้านโดยไม่ขาดไม่เว้น เปรมวดีจะได้พบกับคุณพ่อในวันนั้น ได้สนทนาปราศรัยกันประมาณครึ่งชั่วโมง เปรมวดีไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับคุณพ่อ คุณพ่อก็ไม่รู้จะสนทนาอะไรกับเปรมวดี ได้แต่ไต่ถามทุกข์สุขกัน ถามถึงการเรียนบ้าง ถามถึงญาติคนนั้นคนนี้บ้าง แล้วคุณพ่อก็ลากลับไป คุณแม่ไม่เคยถามเปรมวดีว่าคุณพ่อพูดกับเปรมวดีว่าอะไรบ้าง และเปรมวดีก็ไม่เคยเล่าให้ท่านว่าอย่างไร ในระยะปีหนึ่งหรือสองปีแรกที่คุณพ่อมาหาเปรมวดีในวันเกิด อาสายกับอาจันทร์มักจะไต่ถามไล่เลียง ขอดูของวันเกิด ขมเชยของขวัญถ้าถูกใจอาทั้งสอง หรือถ้าไม่ถูกใจก็ติเตียนว่าไม่เหมาะไม่งาม และซักถามว่าคุณพ่อกล่าวอะไรกับเปรมวดี แต่นิสัยไม่ช่างเล่าของเปรมวดีทำให้อาสายกับอาจันทร์คลายความสนใจ ในระยะหลัง ๆ แม้แต่อาสายกับอาจันทร์ ก็ไม่ค่อยสนใจไต่ถามเท่าใดนัก

ความสุขของเปรมวดีในบ้านของหล่อนขึ้นอยู่กับความกรุณาของคุณย่า ความทุกข์ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคุณแม่ ถ้าคุณแม่อารมณ์ดี คุณแม่ก็จะเฉย ๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่กับเปรมวดีเท่าใดนัก ซึ่งเปรมวดีพอใจมาก แต่ถ้าวันไหนคุณแม่อารมณ์ไม่ดี คุณแม่ก็มักจะตำหนิติเตียนความไม่เด่น ไม่ประเปรียวของเปรมวดี และแสดงความผิดหวังในตัวเปรมวดีเกี่ยวกับเรื่องการแต่งกาย การเลือกหาเครื่องประดับต่าง ๆ และคุณแม่ไม่ค่อยพอใจกับเปรมวดี เมื่อเห็นหล่อนหมกมุ่นกับหนังสือไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียนหรือหนังสืออ่านเล่น เพราะท่านว่ามันจะไม่ทำประโยชน์อะไรให้เปรมวดีนัก “ขอแต่อย่าถึงแก่สอบไล่ตกก็พอแล้ว ตัวก็เรียนเก่ง เป็นลูกศิษย์รักของยายสุวรรณแล้ว ยังจะท่องหนังสือไปอีกสักแค่ไหน ทีให้ไปบ้านคุณหญิงสงวน (หรือคุณป้านั้น คุณยายนี้ หรือท่านผู้หญิงโน้นแล้วแต่กรณี) ละก็ ทำท่าเชื่อง ๆ ไม่กระปรี้กระเปร่าเสียเลย”

คนสำคัญในบ้านสำหรับชีวิตของเปรมวดีอีกสองคนก็คืออาสายกับอาจันทร์ ทั้งสองนี้เป็นหลานของคุณย่า แต่ไม่ใช่หลานแท้ ๆ อาสายเป็นญาติสนิทกว่าอาจันทร์ แต่อาสายเป็นคนมีนิสัยขี้กลัวเกรงผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นใคร อาสายจึงไม่วางตัวเป็นหลานสนิทกว่าอาจันทร์ เมื่อทั้งสองยังเป็นเด็กในวัยเรียน คนใช้ในบ้านเรียกอาสายว่า คุณสายหยุด เรียกอาจันทร์ว่า แม่จันทร์ ต่อมาคนใช้บางคนก็เรียกอาสายว่าแม่สายเช่นเดียวกับที่เรียกอาจันทร์ ในขณะที่เปรมวดีกำลังเรียนจบชั้นเตรียมอุดมศึกษานี้ คนใช้ของคุณย่ามีอยู่ด้วยกันสามรุ่น จะได้รู้ว่าเป็นคนใช้รุ่นเก่า คือสมัยคุณแม่เป็นเด็กนักเรียน หรือรุ่นกลางคือสมัยคุณแม่เป็นสาวแต่งงานใหม่ ๆ กับรุ่นใหม่สมัยที่คนเก่ากระจัดพลัดพรากกันไปมากแล้วได้ โดยวิธีเรียกอาสายกับอาจันทร์ รุ่นเก่าเรียกคุณสายและแม่จันทร์ รุ่นกลางเรียกแม่สายและแม่จันทร์ และรุ่นใหม่เรียก คุณสายและคุณจันทร์

บริวารของคุณย่ามีมากมายในบ้าน ที่เป็นญาติของคุณย่าก็มี ญาติของคุณปู่ก็มีเหลืออยู่บ้างคนหนึ่งหรือสองคน และที่เป็นลูกหลานของข้าเก่าก็มี ที่คุณย่าเลี้ยงดูทุกสิ่งทุกอย่าง คือให้อยู่ในบ้าน ให้รับประทานอาหารจากครัวของท่าน และให้บุตรได้เล่าเรียนก็มี ที่ท่านเพียงให้อาศัยในบ้าน แต่เขาหุงหาเองก็มี ที่คุณย่าให้ค่าเล่าเรียนสำหรับลูกของเขาก็มี ที่อาศัยบ้านแล้วไปรับจ้างทำงานหรือราชการนอกบ้านก็มี ที่เป็นรุ่นหนุ่มมาอาศัยบ้านเพื่อไปศึกษาเล่าเรียนเพราะครอบครัวแท้ ๆ อยู่ต่างจังหวัดก็มี

พอคิดถึงตรงนี้ เปรมวดีก็หลับตาและครางออกมาเบา ๆ ความรู้สึกเจ็บแปลบปลาบในจิตใจเกิดขึ้นแก่หล่อน “เขา” เป็นอย่างไรบ้างนี่ เวลาสองเดือนที่หล่อนไม่ได้กลับมาบ้านได้ทำอะไรอย่างไรแก่ “เขา” บ้าง หล่อนสู้สายตา “เขา” ไหวไหม จะแพ้หรือจะชนะ “เขา” โอย เปรมวดีขยาดขลาดกลัวการกลับมาอยู่บ้าน อันกรุแก้วเรียกว่าคฤหาสน์ใหญ่ของหล่อนอย่างเหลือเกิน

รถคันใหญ่แล่นช้า ๆ เข้าประตูบ้านและเข้าไปจอดหน้าบันไดตึกใหญ่ บ้านของเปรมวดีเป็นคฤหาสน์ในสายตาของคนทั่ว ๆ ไป ไม่เพียงแต่ในสายตาของกรุแก้ว เนื้อที่เกือบสิบไร่ มีเรือนเล็กเรือนน้อยปลูกเป็นบริวารตึกใหญ่ มีสนามหญ้าข้างหน้าข้างหลังตึก มีต้นไม้ใหญ่ต้นไม้เล็ก ไม้พุ่มไม้กอไม้เลื้อยไม้แถวไม้แนวไม้รั้ว คนในบ้านคุณย่าอาศัยคุณย่าอยู่อย่างอุ่นใจ ไม่เปลี่ยวเปล่าว้าเหว่ ในขณะเดียวกันก็มีส่วนมีสัด สามารถจะหลีกเลี่ยงความรกหูรำคาญตาได้ ไม่ประเจิดประเจ้อต่อหน้าต่อตากันตลอดเวลา

พอรถจอดเทียบหน้าบันไดหินอ่อนใหญ่ อาสายกับอาจันทร์ก็วิ่งออกมารับ เข้ามากอดหน้ากอดหลังเปรมวดีพัลวัน “คุณหนู คุณหนูกลับมาแล้ว แหม ทำไมไม่กลับบ้านตั้งสองเดือน อาคิดถึงจะตาย” อาสายเข้ายกกระเป๋าใบหนึ่ง อาจันทร์ยกหีบใบหนึ่ง เรียกคนใช้มายกหีบอีกใบหนึ่ง “แหม ผอมซูบไป คุณหนูคงท่องหนังสือมากเกินไป เร้ว คุณย่าคอยมาตั้งแต่เช้า”

เปรมวดีกำลังจะขึ้นบันไดไปหาคุณย่ากับอาสายและอาจันทร์ ก็พบหนุ่มน้อยคนหนึ่งลงบันไดมา ตาต่อตาของเขากับหล่อนสบกัน เปรมวดีถือของอยู่ทั้งสองมือ จึงทำท่าก้มตัวนิดหนึ่ง และทักว่า “อ้อ พี่มน”

เขาก้มตัวลงน้อย ๆ และยิ้มนิดหนึ่ง แล้วก็เดินเลี่ยงไปทางหลังตึก ทันทีศึกในบ้านของเปรมวดีก็เริ่มขึ้น

“คุณหนู” อาสายว่า “ตายจริง ใครสั่งใครสอนให้เรียกพี่มน คุณแม่ได้ยินเข้าก็เกิดเรื่อง”

เปรมวดีกัดกรามโดยไม่รู้สึกตัว “ทำไมคะ” หล่อนถามเสียงค่อนข้างแข็ง

“ทำไม ถามได้” อาสายย้อน “คุณแม่คงไม่ต้องการให้คุณหนูเรียกนายมนพี่แน่ ถามได้ทำไม”

“ก็เขาก็เป็นพี่เปรมไม่ใช่หรือคะ” เปรมวดีไม่รู้ตัวว่าทำไมหล่อนจึงจะต้องเถียงกับอาสายในเรื่องนี้ เพราะตามปกติเปรมวดีไม่เถียงกับใครเลย

“อู๊ยคุณหนู พูดไปได้” อาสายพ้อ “มันคนละเรื่องนะจะมาถามกันอย่างนั้น แต่รู้ไว้เถอะ คุณแม่ไม่ให้เรียกแน่ว่าไงแม่จันทร์”

อาจันทร์ไม่ตอบ รีบดึงตัวเปรมวดีให้ขึ้นบันไดเร็ว ๆ

คุณย่านั่งอยู่บนเตียงไม้สักเตี้ย ๆ มีเบาะทำด้วยแพรอย่างดีรับตัวท่าน ท่านออกมานั่งที่ที่ท่านชอบมาก คือที่เฉลียงข้างตึกชั้นบน จากที่นั่นท่านมองเห็นบริเวณบ้านของท่านประมาณสองในสามส่วน เห็นสนามหญ้าใหญ่และสวนดอกไม้ และระเบียงเรือนบริวารบางหลัง กับหลังคาเรือนบริวารในบ้านของท่านหลายหลัง เปรมวดีตรงเข้าไปกราบที่ตักท่าน ท่านลูบศีรษะเปรมวดีแล้วจับหน้าของหล่อนขึ้นพิศดู แล้วท่านก็ยิ้มน้อย ๆ ไม่กล่าวว่าอย่างไร

ทุกคนนิ่งเงียบไปหลายวินาที ในที่สุดคุณย่าถามขึ้น “พบกับแม่เขาแล้วหรือ”

“ยังค่ะ” เปรมวดีตอบ แล้วทุกคนก็นิ่งไปอีก

อาสายเป็นคนพูดขึ้นตามธรรมเนียมของอาสาย อาสายเกรงกลัวคุณย่ามาก แต่อาสายทนนั่งนิ่งไม่ได้นาน ยิ่งอาสายไม่มีความสบายใจในที่ใด อาสายยิ่งต้องพูดอะไรสักหน่อย

“คุณหนูทานอะไรมาแล้วหรือคะ” ยังไม่ทันเปรมวดีจะตอบ อาสายก็แนะขึ้น “จะทานอะไรเล่นไหม อาสายมีมะม่วงจิ้มน้ำปลาหวาน ไปยกมาทานที่ตรงนี้ก็ได้”

พอสุดเสียงของอาสายก็มีเสียงกังวานไม่ต่ำไม่สูง ดังขึ้นใกล้ ๆ “เอาทีเดียว สายหยุด พอหลานสาวมาก็เริ่มพะนอกันทีเดียว” แล้วเจ้าของเสียงคือคุณแม่ก็โผล่จากห้องออกมาที่เฉลียง เปรมวดีหันไปกราบคุณแม่ลงไปกับตักของท่าน ช้อนตาขึ้นดูตาคุณแม่พลางในใจก็เต้นระทึก

“เปรมผอมไปนี่ลูก” คุณแม่พูดอย่างใจดี ทำให้เปรมวดีใจบานขึ้นเล็กน้อย ความหวาดกลัวหายไป วันนี้เป็นวันอารมณ์ดี คุณแม่กำลังพยายามจะเอาใจหล่อน “แต่อย่าปรนเปรอกันด้วยมะม่วงเปรี้ยวน้ำปลาหวานเลย ดูเถอะค่ะคุณแม่ ดูคุณอาสายท่านเถอะ พอหลานมาก็จะเอาของแสลงให้กิน เมื่อไรจะมีความคิดเสียบ้างก็ไม่รู้”

คุณย่าก้มหน้าลงไปดูตักท่าน คุณแม่พูดต่อไป “ประเดี๋ยวก็ถึงเวลากินข้าวกลางวัน ถ้าเปรมหิวก็ไปเร่งแม่ครัวเขาให้เร็วเข้าหน่อยสำหรับวันนี้ ไปซิยะ” ส่วนหลังคุณแม่กล่าวแก่อาสายเมื่อเห็นอาสายไม่ได้ขยับตัวจะเคลื่อนไหว “แล้วจันทร์ก็ไปช่วยเอาของใส่ตู้ให้ทีเถอะ ไอ้พวกเสื้อผ้านักเรียนอะไรน่ะ จัดแจงแจกจ่ายไปให้เด็ก ๆ ข้างล่างเสียเลย” คุณแม่หันมาพิศดูเปรมวดีครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อไป “เป็นไง ท่าจะดูหนังสือเสียใหญ่ ไม่ตกหรอกน่ะเปรมน่ะ อย่าตื่นไปเลย แม่พวกจบชั้นแปดสมัยนี้ ฉันไม่เห็นรู้อะไรก็ยังสอบกันได้เป็นแถว ต่อจากนี้ไปหาความสุขสนุกสบายของเราเถอะ บ่ายๆ วันนี้ไปเที่ยวกันไหมล่ะ เอารถวิ่งไปบางปูไหม”

เปรมวดีเหลือบตาขึ้นดูคุณย่า ใจของหล่อนอยากอยู่ใกล้ชิดคุณย่าให้สมใจที่ไม่ได้อยู่กับท่านมาตั้งสองเดือน แต่คุณย่าพูดขึ้นว่า “ไปกับแม่เขาซิลูก ชอบใครก็ชวนไปด้วยก็ได้”

เปรมวดีทำตัวเป็นคนว่าง่าย “ไปซิคะ คุณแม่” หล่อนว่า ทำให้คุณแม่ยิ้มอย่างพอใจ

เสน่ห์ของคุณแม่อยู่ที่หลายแห่ง อยู่ที่น้ำเสียงกังวานของคุณแม่ อยู่ที่ผิวขาวนวลและอมเลือดอมฝาดด้วย อยู่ที่นัยน์ตาที่เป็นมันขลับถึงแม้จะไม่ดำสนิท แต่ที่เป็นเสน่ห์อย่างยิ่งคือการยิ้มของคุณแม่ ถ้าคุณแม่ยิ้มจริง ๆ โดยไม่ได้ฝืนไม่ได้แกล้งแล้ว ดวงหน้าของคุณแม่ทั้งหน้ามีเสน่ห์อย่างประหลาด เพราะเหตุนี้เอง เมื่อคุณแม่ไม่พอใจอะไร ใคร ๆ ก็ทราบได้ง่าย เพราะนัยน์ตาของคุณแม่จะเป็นอย่างที่เรียกกันว่า “เขียวปั้ด” และถ้าใครสามารถทำให้คุณแม่พอใจแล้ว เขาก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจเพราะยิ้มของคุณแม่อย่างไม่น่าเชื่อ

ประมาณชั่วโมงหนึ่งหลังจากเปรมวดีออกจากโรงเรียนไปแล้ว ผู้ปกครองของกิ่งแก้วและของลินดาก็มาถึงโรงเรียนในเวลาไล่เลี่ยกัน รถที่มารับลินดาเป็นรถยี่ห้อเมอเซเดสเบนซ์ แต่รถที่มารับกรุแก้วเป็นรถเช่าไม่มีผู้สนใจยี่ห้อ มารดาของกรุแก้ว ซึ่งกรุแก้วเรียกว่า “แม่คุณ” มารับกรุแก้วด้วยตนเอง เพราะเป็นนักเรียนเก่าของโรงเรียน มีความประสงค์จะมาเยี่ยมเพื่อนเก่าบางคนที่เป็นครูของโรงเรียนอยู่ด้วย บังเอิญในเวลาที่แม่คุณมาถึงนั้นครูสุวรรณไปอยู่ที่ตึกอำนวยการ แม่คุณจึงได้พบแต่อาจารย์ใหญ่ และได้ยินคำชมเชยกรุแก้วตามเคยว่าเป็นคนเรียนเก่งและกว้างขวาง ในบรรดาคณะอาจารย์ มีครูสุวรรณคนเดียวที่มีเรื่องตักเตือนกรุแก้วแปลก ๆ เพราะฉะนั้นการที่แม่คุณไม่ได้พบกับครูสุวรรณจึงเป็นที่ถูกใจของหล่อน แม่คุณทักทายลินดาพอสมควรตามปรกติเมื่อพบลินดา ไม่เหมือนเวลาที่พบเปรมวดี แม่คุณจะลูบหน้าลูบหลังแสดงความเอาใจใส่ ซึ่งกรุแก้วตีความว่าเป็นเพราะฐานะทางสังคมของเปรมวดี น่าแปลกใจจริง ๆ กรุแก้วคิดอยู่บ่อย ๆ สำหรับทางการเงินนั้น ลินดาไม่ได้แพ้เปรมวดีเลย แต่ลินดาและคุณแม่คุณพ่อของลินดา มีคนเอาใจใส่น้อยกว่าเปรมวดี และคุณแม่ของเปรมวดีอย่างเห็นได้ชัด ถ้ามีงานโรงเรียนจะเป็นงานประชุมนักเรียนเก่า หรือวันฉลองอะไรก็ตาม คุณแม่ของลินดาก็จะแต่งกายด้วยของมีค่า เพชรพลอยแวววาว แต่จะมีคนแสดงความเอาใจใส่อย่างพอไม่เสียกิริยา หรือมิฉะนั้นก็ด้วยความเมตตาอารีกลัวจะเป็นการทอดทิ้ง ผิดกับคุณแม่ข่องเปรมวดี พอเดินเข้าโรงเรียนมาก็จะมีคนทักว่า “นั้นแน่ มาแล้ว คุณพรรณวดี แหม แต่งชุดนี้เรี่ยมจริง ๆ” ซึ่งถ้าพิจารณาแล้วก็จะเห็นว่าเสื้อผ้าของพรรณวดี ไม่ได้มีราคามากกว่าของคุณนายผิวทอง มารดาลินดาเลย แต่ว่าแน่ละ กิริยาท่าทางของพรรณวดีเต็มไปด้วยความมั่นใจว่า ในที่ประชุมนั้น ๆ หล่อนเดินอยู่ท่ามกลางสายตาของคนที่ไม่อาจตำหนิติเตียนได้ พรรณวดีไม่เคยประดับอาภรณ์ใดให้เกินไปเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ทุกชิ้นจะต้องมีความหมาย แหวนเข้ากับเข็มกลัด เข็มกลัดจะชูสีของโบว์ที่เอวเสื้อ โบว์ที่เอวเสื้อสำหรับชูรูปทรงอันกะทัดรัด สีเสื้อผ้าจะชูผิวของผู้แต่ง ผิวกายหล่อนย่อมจะอมเลือดฝาดรับกับแพรหรือผ้าที่ใช้ประกอบเครื่องแต่งกาย สายสร้อยที่ข้อมือจะชูพลอยหรือเพชรในเรือนแหวน กรุแก้วรู้สึกภูมิใจด้วยทุกทีเมื่อพรรณวดีเดินเข้าโรงเรียนมา หรือไปพบพรรณวดีในงานสันนิบาตสโมสรใดที่กรุแก้วไปร่วมกับเพื่อน ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีเปรมวดีกับลินดาอยู่ด้วย เพราะพรรณวดีย่อมจะชมกรุแก้วว่า “นั่นแน่ ลูกสาวคนสวยของฉัน” ถ้ามีแม่คุณของกรุแก้วอยู่ในที่ใกล้ ๆ พรรณวดีก็จะกล่าวว่า “ลูกสาวของฉันเหมือนกันนะคนนี้น่ะ ถามดูซิ ฉันเป็นคุณแม่ เธอน่ะเป็นแต่แม่คุณเท่านั้น” เพราะกรุแก้วเรียกพรรณวดีว่าคุณแม่ตามเปรมวดี

กรุแก้วขึ้นรถเช่าพร้อมด้วยของส่วนตัวที่ต้องขนจากโรงเรียนกลับบ้าน แล้วก็นั่งรถไปกับมารดา นั่งรถยนต์เช่าไปได้ประมาณ ๔๐ นาที รถแล่นข้ามสะพานกรุงเทพฯ สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างของพระนคร แล้วเลี้ยวย้อนมาทางขวา จึงถึงบ้านของกรุแก้วซึ่งอยู่ในซอยถนนเจริญนคร

ณ บ้านน้อย เรือนไม้เล็ก ๆ ล้อมรอบด้วยไม้พรรณต่างๆ ซึ่งเป็นสมบัติของบรรพบุรุษของกรุแก้ว ญาติหลายคนรอรับกรุแก้ว ต่างคนต่างทักด้วยความยินดี “เออ มาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ละนะคราวนี้ คุณน้าคนหนึ่งว่า “ทีนี้ฉันได้หลานมาอยู่บ้านด้วยแล้ว” อีกคนหนึ่งเสริม บ้านช่องจะหายเงียบเหงา คงจะครึกครื้นแน่ ๆ นะ” อีกคนหนึ่งออกความเห็น “กินอะไรมาแล้วหรือหลาน” “ของชอบส้มตำ แต่ไม่ได้หุงข้าวมัน” กรุแก้วรู้สึกยินดีในความต้อนรับนี้ เพราะเป็นการต้อนรับที่หล่อนได้รับทุกคราวที่กลับบ้าน และถ้าขาดการต้อนรับเช่นนี้ กรุแก้วก็จะรู้สึกแปลกใจและคงจะขัดใจไม่น้อย แต่หล่อนก็ไม่เคยได้ประสบเลย แล้วคุณน้าคนหนึ่งก็เข้าช่วยยกกระเป๋าใบหนึ่ง ให้หล่อนยกเองอีกใบหนึ่งขึ้นไปยังห้องนอนของหล่อน ซึ่งหล่อนอยู่ร่วมกับน้าคนเล็กที่สุดและมีอายุเสมอด้วยหล่อน น้าคนนี้ได้สอบชั้นเตรียมอุดมศึกษาแล้วเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีหวังที่จะเข้ามหาวิทยาลัยเพราะ “หัวไม่ค่อยดี”

วันนั้นมารดา น้า หลาน รับประทานอาหารกลางวันร่วมกันด้วยความชื่นบาน พอตกบ่าย ขณะที่กรุแก้วกำลังจัดห้องใหม่เพื่อให้ถูกใจหล่อน ก็มีเสียงเกรียวกราวอยู่ชั้นล่าง กรุแก้วเดาได้ทันทีว่า เสียงนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร จึงรีบลงมาข้างล่างและกระทำความเคารพชายสูงอายุผู้หนึ่งซึ่งหล่อนเรียกว่าคุณตาด้วย

“ตามารับหนูไง” คุณตาว่า “มาไม่ได้ตั้งแต่กลางวัน เพิ่งเสร็จธุระ”

“ธุระของคุณน้าก็ธุระของคนอื่นตามเคย ใช่ไหมคะ” คุณน้าคนหนึ่งของกรุแก้วถาม คุณตาคนนี้ของกรุแก้วเป็นน้าแท้ ๆ ของมารดาหล่อน

“มันก็ไม่เชิงหลาน ไอ้เรื่องจะว่าธุระของคนอื่นหรือของเรา ถ้าเป็นคนอื่นจริง ๆ เราคงไม่เข้าไปช่วยกระมัง นี่มันมักนึกว่า แท้จริงมันก็ธุระของเราเอง”

คุณแม่และคุณน้า ๆ หัวเราะรับวาจาของคุณตาเยี่ยงคนที่เคยสนุกในการต่อปากต่อคำด้วยกัน แล้วคุณตาก็นั่งลงสนทนาไต่ถามทุกข์สุขของกรุแก้ว มีคุณน้า ๆ แวดล้อมด้วยดวงหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันกับคุณแม่สองคนในห้องอาหารแล้วเปรมวดีก็ขอตัวขึ้นไปจัดของและจัดห้อง คุณแม่สั่งให้แต่งตัวให้เสร็จเวลาบ่ายสี่โมง เพื่อจะได้นั่งรถไปเที่ยวกับคุณแม่

เปรมวดีไม่มีโอกาสได้อยู่คนเดียวตามความปรารถนา เพราะอาสายกับอาจันทร์เข้ามาช่วยจัดของ และบอกให้หล่อนนอนพักเอาแรงเพื่อไปเที่ยวกับคุณแม่ เปรมวดีลงนอนหลับตาหันหน้าเข้าฝา เพราะหล่อนได้เคยแพ้ญาติผู้ภักดีทั้งสองมาหลายครั้งจนไม่มีแก่ใจขัดขืนต่อไปแล้ว ในเรื่องที่ญาติทั้งสองต้องการจะปรนนิบัติหล่อน และไม่อยากให้หล่อนลงมือทำอะไรเอง “คุณหนูอย่าดื้อหน่อยเลยทูนหัว อาจะทำให้ละก็ทำไมไม่ถูกใจงั้นเรอะ ไม่ถูกใจตรงไหนก็บอกซี” เปรมวดีบอกว่าหล่อนจะต้องค่อยคิดค่อยทำอะไรเอง อาสายกับอาจันทร์ก็จะกล่าวว่า “เห็นไหมล่ะ คุณหนูยังไม่รู้จะทำยังไงเลย” เปรมวดีไม่จัดเจนต่อธรรมชาติจิตใจของมนุษย์ ไม่เข้าใจว่า ในสายตาของอาสายและอาจันทร์นั้น เปรมวดีเป็นคนมีค่าที่สุดในบ้านใหญ่นั้น อันเป็นชุมชนเดียวที่หล่อนทั้งสองรู้จัก หล่อนจึงคิดว่าเป็นชุมชนที่มีความสำคัญที่สุดในมนุษยโลก และการที่หล่อนทั้งสองสามารถทำให้เปรมวดียอมแพ้ความนึกคิดของหล่อนได้ หล่อนได้ชัยซนะต่อชุมชนนั้นอย่างงดงาม ส่วนเปรมวดีเล่า หล่อนเห็นว่าในบรรดาญาติผู้ใหญ่ของหล่อน มีคุณย่า คุณแม่ อาสาย และอาจันทร์ อาทั้งสองนื้อยู่ในอำนาจกฎเกณฑ์ของคุณย่าและคุณแม่อย่างไม่มีทางสู้ หล่อนรู้สึกว่า วิธีเดียวที่จะให้อาทั้งสองได้รับความยุติธรรมจากชีวิตบ้างก็คือให้อาทั้งสองได้มีชัยชนะเหนือเปรมวดีบ้าง แต่ยิ่งนานวันไป เปรมวดีก็กลายเป็นแพ้อาทั้งสอง อาทั้งสองก็คงแพ้คุณย่า และคุณย่าก็ดูเหมือนไม่เคยชนะคุณแม่

ทั้งหมดนี้เปรมวดีเข้าใจอย่างเลือน ๆ ราง ๆ หล่อนยังจับความได้ไม่แจ่ม จึงมีแต่ความหวาดกลัว และกังวลใจ

เปรมวดีลงนอนบนเตียงตามคำอาสาย และอาจันทร์ เพราะหล่อนก็รู้สึกเพลียจริง ๆ ทั้งที่ไม่ได้ออกแรงอะไรเลย แต่ไม่สามารถจะทำให้เกิดการพักผ่อนได้ เพราะระหว่างที่อาสายช่วยกับอาจันทร์จัดของ อาทั้งสองก็สนทนากัน

“แหมฉันใจไม่ดีแล้วสิ แม่จันทร์ ตอนคุณถามคุณหนูว่าจะไปเที่ยวไหม แหมพอได้ยินว่าไปซีคะคุณแม่ แทบจะถอนใจใหญ่ออกมา”

“ทำไมถึงชอบดื้อกับคุณแม่ก็ไม่รู้นะ เอาใจตามใจคุณแม่เสียหน่อยเถอะ ตอนนี้ กำลังจะรักจะเห่อ”

“ถ้าทูนหัวของเราไม่ดื้อใส่นะ ไม่ไปไหนเสีย”

“พี่สายหมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความถึงคุณคนสวย แต่อีกคนฉันก็รักเหมือนกัน”

เปรมวดีรู้ว่าขณะนี้อาทั้งสองจะลอบมองดูหล่อน แต่เปรมวดีนอนหันหลังไปเสียจากด้านที่ญาติทั้งสองนั่งอยู่ จึงได้ยินแต่เสียงอาจันทร์หัวเราะหึ ๆ และอาสายหัวเราะคิก ๆ

“ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเชียวนะ” อาสายเย้าพลางหัวเราะคิก ๆ ต่อไป ครั้นเปรมวดียังคงนอนหลับตานิ่ง เสียงของญาติทั้งสองก็ค่อยเบาลงไป แล้วในที่สุดก็คุยกันอย่างค่อย ๆ โดยไม่ตั้งใจให้เปรมวดีได้ยิน หรือหากได้ยินก็เป็นการที่เปรมวดีแอบได้ยินเองโดยผู้พูดไม่ได้จงใจ

“เหมือนใครไม่รู้นะ เขาว่าเหมือนพ่อ”

“ไม่ใช่มั้ง พ่อเขาออกโผงผาง นี่เงียบ ๆ ยังไงไม่รู้”

“เป็นยังไงถึงดูไม่แยแสกับเขาเสียเลย เขาออกฮ้อมหอม เปรียบกับดอกอะไรก็ไม่ปาน”

“แต่ก็ดีเหมือนกันนะ ลูกผู้ดีนี่ ไม่เหมือนผู้หญิงสมัยใหม่นี่ ต้องค่อย ๆ ดู ค่อย ๆ ทำ”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซี ดูมันเฉยเลยนี่”

“ก็ผู้ชายก็ต้องอุตส่าห์หน่อยซี ของเรามันไม่มีจริตจะก้านนี่”

การสนทนาดำเนินไปในทำนองนี้ต่อไปจนกระทั่งเปรมวดีทนต่อไปไม่ได้ จึงลุกขึ้นทำเป็นว่าได้นอนหลับแล้วตื่นขึ้นไปเข้าห้องน้ำล้างหน้า ระหว่างที่เปรมวดีเข้าในห้องน้ำซึ่งอยู่ในห้องนอนของหล่อนนั้นเอง อาสายหรืออาจันทร์คนใดคนหนึ่งก็เข้าไปยืนชิดประตูแล้วถามว่า “คุณหนูคะ ผ้าเช็ดตัวมีในนั้นหรือเปล่า สบู่มีแล้วหรือคะ” และแสดงความเอาใจใส่อย่างอื่น แต่สิ่งของเครื่องใช้ก็มีครบบริบูรณ์เพราะอาสายและอาจันทร์ได้ดูแลให้เรียบร้อยมาตั้งแต่เช้าแล้วนั่นเอง ในที่สุดเปรมวดีก็เลยตัดสินใจอาบน้ำ แล้วก็ออกมาแต่งตัวเตรียมจะไปเที่ยวกับคุณแม่

เปรมวดีแต่งตัวเสร็จแล้วก็ลงมาข้างล่าง เห็นเครื่องน้ำชาตั้งอยู่ที่ลานตึกด้านหลังซึ่งยื่นลงไปในสวนอันร่มรื่นชื่นตา คุณแม่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง พอเปรมวดีเดินลงมาถึง คุณแม่ก็เหลือบตาขึ้นพิศดูเครื่องแต่งกายและตัวเปรมวดีจนทั่ว สายตาคุณแม่แสดงว่าคุณแม่ยังไม่พอใจนัก แต่ดูเหมือนว่าคุณแม่กำลังอารมณ์ดีพยายามจะเอาใจเปรมวดีจึงเพียงแต่กล่าวว่า “ทีหลังใส่เสื้อสีส้ม ๆ แสด ๆ อย่างนี้ละก็หาลิปสติกสีแสด ๆ ซี แต่นี่สีชมพูของเปรมวดีก็พอไปได้หรอก” แล้วพอดีมีเสียงกริ่งโทรศัพท์ คุณแม่นั่งฟังอยู่สักครู่อีกประเดี๋ยวหนึ่งสาวใช้ก็มารายงานว่าคุณหญิงจินดาอยากพูดกับคุณแม่ คุณแม่เข้าไปรับโทรศัพท์ เสียงคุณแม่พูดว่า “อย่างงั้นหรือคะ แหมก็ดีซิคะ ค่ะ ๆ ดิฉันจะรอค่ะ หรือเอาอย่างนี้ไม่ดีหรือคะคุณหญิงอยู่ทางล่างลงไปดิฉันนั่งรถนี่ไปบ้านคุณหญิงแล้วถึงไปนั่งรถคุณหญิงไป อ้อ งั้นหรือคะ เอาค่ะได้ค่ะ ถ้างั้นดิฉันจะรอนะคะ ขอบพระคุณค่ะ”

คุณแม่กลับออกมาบอกแก่เปรมวดีว่า “คุณหญิงเทพท่านจะมารับเราไปกับท่าน มีคนเขาเชิญท่านให้ไปเที่ยวบ้านเขา ที่บางปูน้ำกำลังขึ้น ท่านว่าบ้านเขายื่นออกไปในทะเลไม่เหม็นโคลน อย่าทานอะไรให้มากนักนะเปรม ประเดี๋ยวเขาเลี้ยงอะไรจะไปทำท่ากินไม่เข้าอีก”

อีกประมาณไม่ถึง ๑๐ นาที คุณหญิงเทพวิจักษ์กับนายจุฑาบุตรของท่านก็เข้ามาด้วยรถเมอร์ซีเดซเบนซ์คันใหญ่สีฟ้า แล้วเปรมวดีกับพรรณวดีก็ขึ้นรถไปกับท่าน

พอเวลาประมาณ ๑๙ นาฬิกากว่า ๆ เปรมวดีกับคุณแม่ก็กลับมาถึงบ้าน เปรมวดีลงจากรถก็เดินตรงขึ้นไปบนตึกเลี้ยวไปทางที่อยู่ของคุณย่า คุณแม่เดินตามขึ้นไปติด ๆ กัน เปรมวดีเข้าไปกราบคุณย่าแล้วเข้าไปนั่งแอบหลังท่านนิดหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่ต้องผู้หน้าคุณแม่ตรง ๆ

เปรมวดีคาดการณ์ไม่ผิด คุณแม่ลงนั่งบนพรมตรงหน้าเตียงของคุณย่าแล้วก็ถอนใจ

“คุณแม่คะ คุณแม่ต้องช่วยสอนยายเปรมด้วย ลูกน่ะไม่มีความสามารถ ทำยังไงถึงจะให้ช่างพูดกับเขาบ้าง อย่างนี้ไม่ทันใครเขาหรอก”

คุณย่าทำอาการฟังคุณแม่ต่อไปตามเคยของท่าน คุณแม่ก็พูดต่อไป “สมัยนี้ใครๆ เขาก็ชอบคนปราดเปรียว เซื่อง ๆ เชื่อง ๆ น่ะมันใช้ไม่ได้หรอก ไม่ได้เลี้ยงกักขังอะไรเล้ย แต่ทำไมเหมือนคนไม่เคยเข้าผู้เข้าคน”

เปรมวดีเคยชินกับคำปรารภแบบนี้ของคุณแม่ดีจึงนั่งฟังได้โดยสงบ คุณย่ากล่าวขึ้น “ที่จริงแม่คนโบราณ แม่ว่าปราดเปรียวนักท่าจะไม่ค่อยดีกระมัง” คุณย่ากล่าวอย่างเกรงใจ ทุกครั้งที่คุณย่าไม่คล้อยตามคุณแม่ ท่านมีความเกรงใจคุณแม่อย่างเหลือเกิน

“แต่ใคร ๆ เขามีวิธีทำไม่ให้มันเกินไปนี่คะ แต่ของเรานี่มันไม่มีเกินละค่ะ มันขาดเอามาก ๆ ทีเดียว” คุณแม่ท้วง

“ก็ช่างเขาเถอะลูก ถ้ามันไม่ได้ตามใจเรานึกก็ช่างมัน” คุณย่าพูดพลางก้มหน้า เปรมวดีเดาว่าท่านคงรำคาญทั้งคุณแม่และตัวเปรมวดี คุณแม่คงจะรู้สึกอย่างเดียวกันจึงขยับตัวลุกขึ้น และกล่าวชวนเปรมวดีให้ไปรับประทานข้าว

เหตุการณ์ในวันแรกของชีวิตอยู่บ้านของเปรมวดียังไม่หมดเพียงเท่านั้น หลังจากรับประทานอาหารแล้ว เปรมวดีนั่งดูโทรทัศน์กับคุณแม่จนจบรายการข่าวประจำวันแล้วก็ขอตัวไปนอน เปรมวดีไปจัดของเข้าที่ตามที่หล่อนต้องการแล้วก็หาหนังสือนอนอ่านเล่นได้สักครู่ แล้วก็ดับไฟจะนอนให้หลับ แต่พอดับไฟแล้วก็หารู้สึกง่วงไม่ ในที่สุดรู้สึกรำคาญมากขึ้น จึงออกไปยืนที่ระเบียงหน้าห้องมองลงไปในสวน

คืนนั้นพระจันทร์มีรัศมีอ่อน ๆ แต่พอเห็นอะไรอย่างไม่แจ่มใสนัก ข้างหลังตึกตรงกับที่เปรมวดียืนนั้นมีสระนำเล็ก ๆ ปลูกบัวสีต่าง ๆ และมีพุ่มไม้ขึ้นอยู่เป็นหย่อม ๆ ทั้งคุณย่าและคุณแม่เอาใจใส่กับต้นไม้ในบ้าน พยายามสอดส่องให้สดชื่นและอยู่ในลักษณะที่พอตาพอใจอยู่เสมอ สวนในบ้านเปรมวดีมีชื่อเสียงว่าเป็นสวนที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในพระนคร ที่ริมสระในขณะนี้มีคนยืนอยู่สองคน เป็นชายคนหนึ่งมีขนาดที่เปรมวดีเดาได้ว่าเป็นใคร อีกคนหนึ่งสูงกว่าเล็กน้อย ชายทั้งสองยืนคุยกันอย่างเอาใจใส่ในกันและกัน และเดินไปเดินมาบ้าง ระหว่างที่คุยกันท่าทางมีความสนิทสนมกันอย่างคนฐานะเดียวกัน

“ใครหนอเพื่อนสนิทของเขาจนกระทั่งมาเดินคุยกันในยามเช่นนี้” เปรมวดีนึก “ในบ้านนี้มีใคร ๆ มาอยู่ใหม่โดยเราไม่รู้รึ” หล่อนมองจ้องจับอยู่ที่ชายหนุ่มทั้งคู่ต่อไป แต่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นคนที่หล่อนไม่รู้จักนั้นก็เดินออกไปทางด้านหลังของบริเวณบ้าน เปรมวดีคงยืนมองตามเขาทั้งสองจนเขาเดินลับพุ่มไม้ไป ด้วยความรู้สึกอันเปรมวดีบอกไม่ถูก โดยไม่ยั้งคิดหล่อนลงบันไดตึกลงไปทางด้านหลังประตูปิดใส่กลอนแล้ว แต่เปรมวดีถอดกลอนอย่างว่องไว หล่อนเดินตามชายทั้งสองไปตามทางที่เขาไป แต่พอหล่อนไปถึงสระน้ำที่เขายืนอยู่เดิม ก็พบชายหนุ่มญาติของหล่อนคนเดียวที่เดินกลับมายังที่นั้น

เขาผงะเมื่อเห็นเปรมวดี “มาทำอะไรอยู่ที่ตรงนี้” เขาถามหล่อนอย่างร้อนรน

“ลงมาหาพี่มน” เปรมวดีตอบ

“มาหาผมทำไมกัน” เขาถามเสียงกระด้าง

“เห็นพี่มนคุยอยู่น่าสบ้ายสบาย” เปรมวดีตอบ “เปรมนอนไม่หลับก็เลยลงมาเดินเล่นบ้าง”

“คุณหนูลงมาอยู่ตรงนี้นานเท่าไรแล้ว” เขาถามอีก น้ำเสียงแสดงความร้อนใจ

“เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เองค่ะ” เปรมวดีตอบ “ใครคะคุยกับพี่มน”

“เพื่อนผม” เขาตอบ “ทำไมคุณหนูจะควบคุมผมรึ”

“เอ๊ะ เปรมจะควบคุมทำไมกันคะ ถามอย่างนั้นเอง เห็นคุยกันอย่างสนิทสนม ไม่ใช่คนในบ้าน ใช่ไหมคะ”

“เพื่อนผม ไม่ใช่คนในบ้าน” เขาตอบอีกอย่างกระด้าง “ผมจะไปนอนละ” เขาเสริมแล้วทำท่าจะออกเดินไป

“พี่มน” เปรมเรียกเขาเสียงเครือ “พี่มนก็เกลียดเปรมวดีเหมือนกันหรือคะ”

เขาชะงักทันที “เอ๊ะ ทำไมถามยังงั้น คุณหนู ใครเกลียดคุณหนุบ้าง”

“ใครๆ เขาก็เกลียดทั้งนั้นละค่ะ” เปรมวดีตอบ “แต่เปรมคิดว่าพี่มนจะไม่เกลียดสักคนหนึ่ง”

“พิลึกละ นายสุมนคนนี้มันมีอะไรนะ” เขาว่า “มีความสำคัญอย่างไรหรือไม่สำคัญอย่างไร คุณหนูทำให้ผมงงไปหมด ใครบ้างที่เกลียดคุณหนู”

เปรมวดีลงนั่งบนม้าหิน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้พุ่มไม้พุ่มหนึ่ง หล่อนหมดแรงที่จะพูดอะไรต่อไปอีก เพราะเหตุใดหล่อนจึงพูดกับสุมนได้อย่างที่พูดไป หล่อนเองก็ไม่รู้แต่ว่าเวลานี้หล่อนอยากจะร้องไห้ สุมนยืนมองดูหล่อนอย่างตรึกตรอง แล้วเขาพูดเหมือนกับรำพึงกับตัวเอง “คุณหนูเป็นเพชรอยู่ในเรือนทองคำขาวจ๊ะ ไม่ใช่เรือนธรรมดา ไม่ใช่เรือนทองธรรมดาด้วยซ้ำ”

แต่การแสดงบทชายหนุ่มหญิงสาวของเปรมวดีและสุมนได้จบลง โดยบุคคลที่อยู่เหนืออำนาจของหล่อนและเขา อาสายปรากฏตัวขึ้นโดยคนทั้งสองไม่รู้ตัว อาสายเข้าจับข้อมือเปรมวดี ดึงให้ลุกขึ้นจากที่นั่งพลางกล่าว “คุณหนูมาทำอะไรอยู่ที่นี่ นายมนมาทำอะไรอยู่ตรงนี้”

สายตาของสุมนที่มองมายังสายหยุดแสดงความดูหมิ่นอย่างเห็นได้ชัดแม้ในแสงเดือนอันสลัวนั้น ท่าทีของเขาทำให้เปรมวดีต้องรีบยืน และมองดูญาติผู้ใหญ่ผู้ไร้ทรัพย์ของหล่อนอย่างห่วงใย

“เปรมนอนไม่หลับ ลงมาเดินเล่นก็พบพี่มนค่ะ” เปรมวดีรีบอธิบาย อาสายบีบข้อมือเปรมวดีแน่นด้วยความขัดใจ นัยน์ตาจ้องจับอยู่ที่หน้าของสุมนอย่างท้าทาย สุมนมองตอบอย่างไม่เกรงกลัว ขยับจะกล่าวอะไรแล้วก็ไม่กล่าว หันหลังให้เปรมวดีกับสายหยุดแล้วก็ออกเดินห่างไป

สายหยุดดึงเปรมวดีไปทางตึก แต่เปรมวดีพยายามบิดแขนจนสายหยุดต้องปล่อย แล้วจึงเดินเข้าไปในตึก สายหยุดเดินตามติด ๆ เข้าไปกับตัวเปรมวดี จนกระทั่งถึงประตูห้องนอน เปรมวดีพยายามจะปิดประตูห้องของหล่อน แต่พยายามจะทำโดยละมุนละม่อมไม่ให้ถึงเสียกิริยา จึงไม่สามารถกั้นญาติไม่ให้เข้าห้อง เพราะสายหยุดตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเข้าไป

สายหยุดเป็นคนปิดประตูเอง แล้วเดินตามเข้าไปจนชิด เมื่อเปรมวดีนั่งลงบนเตียงของหล่อน สายหยุดก็นั่งลงติดกับเปรมวดี พลางเอื้อมมือไปรวบบั้นเอวไว้อย่างรักใคร่

“คุณหนูขา ทูนหัวของอา คุณหนูระวัง ๆ ตัวหน่อยนะ ถ้าคุณแม่เห็นเข้า จะเป็นยังไง

เปรมวดีรู้ว่า หล่อนไม่สามารถจะโต้ตอบได้โดยไม่ร้องไห้ด้วยความขัดเคือง นิสัยที่ได้อบรมให้แก่ตัวเองมาเป็นเวลานาน ไม่ให้เถียงไม่ให้ตอบ ให้ทนนิ่งเอา ๆ ทำให้เปรมวดีไม่สามารถอธิบายอะไรแก่ใครได้ในเมื่อหล่อนมีความขัดเคือง เปรมวดีจึงได้แต่นั่งนิ่งตัวแข็ง

อาสายกล่าวต่อไป “คุณหนู คุณหนูไม่อยากได้ดีเรอะ คุณหนูไม่อยากเชิดหน้าชูตาคุณแม่คุณย่า ไม่อยากแต่งงานแต่งการให้เป็นหลักเป็นฐานรึ”

ถึงตอนนี้เปรมวดีรู้ว่า ถ้าหล่อนไม่สามารถทำให้การสนทนาจบลงได้โดยทันที หล่อนคงจะถึงกับร้องกรี๊ดออกมา จึงใช้กลวิธีที่เคยใช้กับอาสายแล้วได้ผลเสมอ คือกล่าวขึ้น

“อาสายคะ เปรมกราบละค่ะ ขอให้เปรมอยู่คนเดียวเถอะค่ะ มิฉะนั้นเปรมต้องร้องกรี๊ดแน่ ๆ เปรมปวดศีรษะแทบจะแตกแล้วค่ะ” พอพูดจบก็ลงนอนหลับตาเอาหน้าซุกเข้าไปในหมอนทันที

“คุณหนูนี่มีวิธีดื้อแปลก ๆ” อาสายปรารภ “เหมือนคุณพ่อ คุณพี่เอกน่ะแบบนี้แท้ ๆ เอะอะก็ฉันปวดหัว ๆ” หยุดมองเปรมวดีนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอนใจ ไม่มีใครเขารักคุณหนูเท่ากับอาสายหรอกนะจะบอกให้ ยกเว้นคุณแม่กับคุณย่า คุณหนูฟังๆ อาบ้างนะ” หยุดอีกครู่หนึ่ง มองดูเปรมวดีเห็นไม่เคลื่อนไหวกระดุกกระดิกเลย สายหยุดถอนใจใหญ่แล้วก็ค่อย ๆ เดินออกจากห้องไป

เปรมวดีอยู่บ้านได้ประมาณ ๑๐ วัน ทุกวันหล่อนออกจากบ้าน ไปรับประทานน้ำชาที่บ้านคุณน้าโน้น คุณน้านี้ ซึ่งไม่ใช่ญาติ แต่เป็นคนร่วมสังคมกับคุณแม่ มีบ้านอยู่งดงามปานๆ กัน ถึงแม้จะไม่ใหญ่โตเท่า บางทีก็ไปร่วมงานสโมสรกับชาวต่างประเทศ คุณแม่ไม่ชอบอยู่ล้าหลังใคร สมัยนี้เป็นสมัยที่ผู้มีหน้ามีตา ย่อมจะมีส่วนในงานสังคมสงเคราะห์บางอย่าง คุณแม่ไปประชุมกรรมการนั้นบ้างนี้บ้าง เปรมวดีก็ไปกับท่าน คุณแม่อธิบายว่าพาไปด้วยก็เพื่อให้ได้รู้จักกับคนกว้างขวาง ในงานสังคมสงเคราะห์ใดที่คุณแม่เป็นกรรมการ คุณแม่ก็มักได้รับความยกย่องว่าเป็นคนมีความสามารถ มักแก้ปัญหาให้ลุล่วงได้เสมอ คุณแม่ไม่เสียดายในความหมดเปลืองเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นถ้ามีผู้ใดต้องการรถยนต์เพื่อจะรีบไปซื้อสิ่งของใดโดยด่วน คุณแม่ก็จะออกปากบอกให้ใช้โดยไม่รั้งรอ เปรมวดีก็มีส่วนช่วยเหลือบ้าง โดยบางทีก็เป็นผู้ไปซื้อสิ่งของเหล่านั้น หรือบางทีก็รับใช้เป็นเลขานุการของคุณแม่บ้าง

ในหมู่เพื่อนฝูงของเปรมวดีที่จบชั้นเตรียมอุดมศึกษามาด้วยกัน เปรมวดีมักได้ยินว่า คนนั้นคนนี้เตรียมตัวจะไปต่างประเทศ คนนั้นคนนี้ไปเรียนกวดวิชา เผื่อจะได้สอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยนั้นมหาวิทยาลัยนี้ แต่สำหรับเปรมวดีคุณแม่ไม่แสดงว่าเตรียมอนาคตเปรมวดีไว้อย่างไร เปรมวดีอยากจะถามก็กลัวว่าจะเป็นที่ขัดใจ แต่เมื่อนิ่งอยู่หลายวันความอยากรู้และความห่วงใยในอนาคตของตนกระตุ้นเตือนหนักขึ้น หล่อนจึงหาโอกาสเรียนถามคุณย่า

“คุณย่าคะ คุณย่ากับคุณแม่คิดจะให้เปรมเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ หรือจะให้ไปเมืองนอกคะ”

“โอ๊ เมืองนอกนี่เขาต้องรีบไปกันหรือหลาน ย่ายังไม่อยากให้ไปเลย ย่าคิดถึงเปรมจะตาย” คุณย่ากล่าว

“แต่เปรมเคยได้ยินคุณแม่พูดว่าจะไม่ให้เข้ามหาวิทยาลัยที่เมืองไทยนี่ แล้วเปรมจะทำยังไงคะ”

ในเวลาค่ำวันนั้น เมื่อมีโอกาส คุณย่าก็ถามคุณแม่

“มีลูกกับเขาคนหนึ่งก็โง้โง่” คุณแม่ว่าแล้วก็หันไปหยิบนิตยสารภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งที่อยู่ใกล้มือมาพลิกอ่านอย่างไม่แยแส

เปรมวดีอัดอั้นตันใจ จะพูดอะไรต่อไปก็นึกหาถ้อยคำไม่ออก ในที่สุดก็หันไปดูโทรทัศน์ พยายามซ่อนความน้อยใจอย่างยิ่งไว้ภายใน

เมื่อไม่รู้จะหาทางขจัดความกลุ้มใจได้อย่างไร เปรมวดีจึงขออนุญาตจากคุณแม่ไปเยี่ยมกรุแก้ว เผื่อหล่อนจะได้รับทราบอะไรแปลกไปจากที่หล่อนได้ยินได้ฟังจากเพื่อนอื่น ๆ บ้าง

กรุแก้ววิ่งออกมาจากบ้านหลังเล็กอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นรถคันใหญ่ของเปรมวดีแล่นมาจอดที่หน้าบ้าน ขณะนั้นคุณแม่และคุณน้ากำลังแวดล้อมคุณตาน้อย ผู้ซึ่งเป็นแขกประจำบ้านอยู่ พอเปรมวดีเห็นคุณตาน้อยของกรุแก้ว หล่อนมีสีหน้าเบิกบานขึ้นมาทันที หล่อนลงนั่งบนพื้นใกล้ที่แม่คุณและคุณน้านั่งอยู่ นัยน์ตาจับอยู่ที่หน้าของคุณหลวงวิเศษด้วยความตื่นเต้นและสนใจ

“เปรมเขาเป็นแฟนคุณตาค่ะ” กรุแก้วบอก “พอบอกว่าคุณตาอยู่ที่นี่ เขาดีอกดีใจใหญ่”

ตาก็มีแฟนสาว ๆ เหมือนกันนะ” คุณตาว่าพลางหัวเราะน้อย ๆ “มา คุณมานั่งกับตาทางนี้ ชื่ออะไรตาจำไม่ได้เสียแล้ว”

“เปรมไงคะ” เสียงแม่คุณหรือคุณน้ารีบแนะนำอย่างเต็มอกเต็มใจ “เปรมวดี หลานคุณหญิงนาฏไงคะคุณน้า”

“เออ ๆ นึกออกละ น้ารู้จักท่านเจ้าคุณดี ว่าไงคุณเรียนหนังสือจบแล้วเหรอ” คุณตายิ้มแย้มถาม

“ตามเคย” กรุแก้วคิดในใจ พอเอ่ยว่าเปรมวดีเป็นลูกหลานใคร ก็จะมีคนยิ้มแย้มทักทายด้วยความยินดีเสมอ

“เปรมเป็นแฟนของคุณตาจริงเหรอ” แม่คุณถาม “ไหนอ่านเรื่องอะไรบ้าง จำได้จริง ๆ เหรอ”

เปรมวดีแสดงความจำแม่นยำในเรื่องที่คุณตาแต่งและที่หล่อนได้อ่านมาเป็นอย่างดี ทำให้ผู้ใหญ่ในที่นั้นออกปากชมเชยกันด้วยความพอใจทั่วกัน คุณตาว่า “สำคัญ สำคัญ นาน ๆ จะพบคนที่บอกว่าเป็นแฟนแล้วช่างจำอย่างนี้ โดยมากมักจะบอกว่าชอบครับ แต่งอีกซิครับ แล้วก็มักว่า จำไม่ได้แล้วละ เรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็ช่างใคร เราก็หน้าด้านแต่งต่อไปเพราะเรามันอยากแต่งนั่นเอง” ทุกคนหัวเราะกันเฮฮาตามประสาคนพูดถูกใจกัน

เปรมวดีนั่งฟังคุณตาคุยอย่างเพลินและนานจนรู้สึกเมื่อย จึงนึกขึ้นได้ว่าหล่อนตั้งใจจะถามกรุแก้วเรื่องการเรียนกวดวิชา เมื่อได้รับคำตอบแล้ว ก็นั่งฟังคุณตาคุยกับคุณแม่และคุณน้าของกรุแก้ว และรับประทานอะไรเล่นนิดหน่อยแล้วจึงลากลับบ้าน

เปรมวดีพบคุณแม่ที่หน้าตึก คุณแม่ถาม “แหมทำไมไปเสียนานเทียวเปรม”

“เปรมไปพบ ชาวกระลา ค่ะ” เปรมวดีตอบ “เป็นตาของกรุแก้วไงคะ เลยฟังท่านคุยเพลินไป” ใจของหล่อนเริ่มเต้นนิดหน่อยเพราะไม่ทราบว่าคุณแม่จะแลเห็นว่าเป็นเหตุควรทำให้ไปอยู่นานที่บ้านเพื่อนหรือไม่

“อ้อ” คุณแม่อุทานเรื่อย ๆ แสดงว่าไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะตัดพ้อต่อว่า “ฮึ แกเขียนหนังสือดีพอใช้” คุณแม่เสริมแล้วยังต่อไปอีกว่า “เป็นไงกรุแก้ว แล้วแม่เขา เป็นไงบ้าง”

เปรมวดีได้โอกาส “กรุแก้วเขาจะไปเรียนกวดวิชาที่โรงเรียนอาจารย์ไพบูลย์ค่ะ เปรมก็อยากไปเรียนบ้าง”

คุณแม่สะบัดหน้าน้อย ๆ อย่างไม่พอใจ ทำให้เปรมวดีใจหายวาบ “เอ้อ ไปกวดเกิดเอาอะไรกัน กรุแก้วน่ะเขาอย่างหนึ่ง เรามันอย่างหนึ่ง”

“เปรมก็อยากเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนกันค่ะ” เปรมวดีแข็งใจตอบ

“แล้วก็ไม่ไปหัวหินเรอะ คุณหญิงเทพฯ ท่านมาชวนแล้ว คุณย่าก็จะไป คุณย่าบ้านแดงก็จะไป นาน ๆ คุณย่าจะได้ชื่นอกชื่นใจ ได้ไปเที่ยวพร้อมกับเพื่อนถูกใจท่าน แล้วก็ถ้าไม่มีแม่หลานสุดสวาทนี่ก็ไม่สนุกเต็มที่เท่านั้น อยากเข้ามหาวิทยาลัยก็เอาหนังสือของตัวเองไปดูไม่ได้รึ ตัวก็เรียนออกเก่งอยู่แล้ว”

เปรมวดีรู้ดีว่าตัวกับกรุแก้วนั้นคนละอย่างจริง ๆ ทั้งในทางการเรียนก็ไม่มีความสามารถเปรียบได้กับกรุแก้ว หล่อนได้แต่อาศัยความพากเพียรเท่านั้น จึงจะสอบได้ที่สูง ๆ ในชั้น ไม่เหมือนกรุแก้วผู้ซึ่งสามารถจะสอบได้ที่หนึ่งหรือที่สอง และในขณะเดียวกัน กรุแก้วก็เป็นกรรมการชุมนุมนั้นชุมนุมนี้ในโรงเรียนได้ด้วย เปรมวดีได้แต่เป็นผู้ช่วยกรุแก้วในการงานที่กรุแก้วรับมาจัดด้วยการใช้สมองของหล่อน จนกระทั่งเปรมวดีเคยมีสมญาว่าสาวใช้ของกรุแก้วอยู่พักหนึ่ง เพราะถ้ามีการแสดงละครในโรงเรียน และมีบทคนใช้ที่ไม่ค่อยมีความสำคัญในเรื่อง เพื่อน ๆ มักไม่ค่อยชอบรับแสดงบทนั้น แต่ถ้ากรุแก้วขอร้อง เปรมวดีก็ยินดีแสดงบทนั้น จนกระทั่งคราวหนึ่งเพื่อน ๆ ไปล้อเปรมวดีที่บ้านในเวลาที่ไปเยือนเปรมวดี อาสายได้ยินเข้า ก็บอกห้ามไม่ให้เปรมวดีรับแสดงบทเช่นนั้นอีก ถ้ามิฉะนั้นอาสายจะฟ้องคุณแม่ เปรมวดีก็เลยไม่กล้ารับแสดงอีก

ในเมื่อเปรมวดีมีนิสัยยอมแพ้เช่นนี้ เมื่อคุณแม่กล่าวพ้อโดยอ้างเอาความสุขของคุณย่า เปรมวดีก็จำนน

จะเป็นด้วยโชคหรือชาตากรรมก็ตามที ก่อนวันที่คุณย่าและคุณแม่จะออกเดินทางไปหัวหิน เปรมวดีเกิดเป็นหวัดอย่างแรง เป็นไข้ตัวร้อนจัด คุณแม่เห็นว่าเปรมวดีน่าจะนั่งไปในรถได้เพราะไม่ต้องออกแรงอย่างใด แต่คุณย่ากลัวว่าจะไม่สบายมากขึ้น มีการถกเถียงกันอยู่เล็กน้อย แล้วคุณย่าก็ตัดสินว่าให้อาสายอยู่ดูแลเปรมวดี ถ้าไข้ลดแล้วให้โทรเลขไปบอกที่หัวหินเพื่อจะได้ส่งรถมารับ

พอคุณแม่และคุณย่าเดินทางไปหัวหินแล้ว ไข้ของเปรมวดีก็ลดลงพอที่เปรมวดีจะเดินเล่นในบ้านได้ แต่เปรมวดีไม่บอกอาสายว่าหล่อนค่อยยังชั่วมากแล้ว เปรมวดีเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงนายแพทย์คนหนึ่งที่รู้จักกับคุณแม่ดี แล้วให้อาสายถือไปหานายแพทย์นั้นเอง โดยเปรมวดีรู้ดีว่านายแพทย์นั้นจะไม่มาที่บ้านตามคำเชิญ เปรมวดีกะให้อาสายไปหานายแพทย์นั้นเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาที่นายแพทย์คนนั้นจะยังไม่ถึงสำนักงานแพทย์ของเขา เมื่ออาสายออกจากบ้านไปแล้ว เปรมวดีก็ใส่เสื้อหนา ๆ เอาผ้าพันคอหนา ๆ แล้วก็ลงเดินเล่นในบริเวณบ้าน

เปรมวดีไปเยือนข้าเก่าและญาติผู้อาศัยบ้านคุณย่าหลายครอบครัว ยังผลให้เขาเหล่านั้นยินดีชื่นชมเรียกร้องให้นั่งให้รับประทาน เปรมวดีเดินอ้อมจากด้านหน้าของบ้านไปจนถึงประตูหลังบ้าน ซึ่งเป็นทางเดินเข้าออกของผู้อาศัยในบ้าน แทนที่จะใช้ประตูหน้าบ้าน อันจะเป็นการรบกวนเจ้าของบ้าน บนระเบียงเรือนเล็กหลังหนึ่ง หล่อนก็เห็นสุมนนั่งขัดรองเท้าของเขาอยู่บนพื้นระเบียงนั้น

บนเรือนนั้นผู้อาศัยมีข้าเก่าของคุณย่าครอบครัวหนึ่งและตัวสุมน แต่ขณะนั้นผู้อาศัยครอบครัวนั้นไม่มีผู้ใดอยู่บนเรือน มีแต่สุมนคนเดียว เขาหันมาเห็นเปรมวดีเดินเลียบรั้วประกอบด้วยต้นพู่ระหงส์ ที่เป็นเขตของบริเวณเรือนนั้น เขาเห็นหล่อนแล้ว เขาก็ก้มลงขัดรองเท้าต่อไป

เปรมวดีเข้าไปยืนติดกับระเบียงเรือนนั้น ใกล้ ๆ กับที่สุมนนั่งขัดรองเท้าอยู่ ใจหล่อนเต้นระทึก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด เมื่อยืนนิ่งอยู่นานพอสมควร เห็นเขาไม่กล่าววาจากับหล่อนว่าอย่างไร หล่อนก็กล่าวขึ้น

“ทำอะไรคะ พี่มน”

เขาเงยหน้าขึ้นมองดูหล่อน “ขัดรองเท้า” เขาตอบ

“แหม เปรมเดินมาเยี่ยมใคร ๆ ในบ้านวันนี้ เขาเรียกร้องเชิญชวนให้นั่งให้กินทั้งนั้น มีที่เรือนนี้เรือนเดียวไม่เชื้อเชิญเสียเลย”

“ถ้าคุณหนูจะขึ้นมา คุณหนูก็มีสิทธิ์ขึ้นมา บ้านนี้บ้านของคุณหนู” เขาตอบ

“ใครบอกพี่มนคะว่าเป็นบ้านเปรม”

เขายิ้มออกมาหน่อยหนึ่ง “คุณหนูรู้ดีว่าผมหมายความว่ายังไง”

เปรมวดีเดินขึ้นบันไดมา แล้วตรงเข้าไปเปิดประตูห้องของสุมน ย่างเท้าเข้าไปในห้องนั้น

“นั้น นั่นคุณหนูจะเข้าไปในห้องผมทำไม” สุมนร้องขึ้นทันที

“อ้าว นั่นยังไง ก็ไหนว่าเป็นบ้านของเปรม มีสิทธิ์จะทำอะไรทั้งนั้น” หล่อนหัวเราะน้อย ๆ

“ถ้ายังงั้นก็เชิญ” เขาว่า

เปรมวดีมองดูสภาพภายในห้องของสุมน หล่อนแปลกใจมากที่เห็นสภาพเป็นที่พอตาพอใจ เตียงนอนมีที่นอนบาง ๆ ปู มีผ้าปูที่นอนขาว ถึงไม่ขาวสะอาดอ่องเหมือนของหล่อนแต่ก็แสดงว่าเจ้าของไม่ปล่อยปละละเลยให้สกปรก ตรงข้ามกับเตียง ชิดกับผนังมีโต๊ะเขียนหนังสือขนาดพอดีกับขนาดห้อง ในห้องนั้นไม่มีตู้ใส่เสื้อผ้า แต่มีชั้นทำด้วยไม้อัดหลายชั้นติดอยู่กับผนังห้อง มีหนังสือเต็มทุกชั้น และชั้นหนึ่งวางเครื่องใช้กระจุกกระจิก เช่น ขวดใส่ครีมผม หวี กระจก ถ้วยแก้วน้ำ แปรงและยาสีฟัน มีหีบใส่อะไรเล็ก ๆ และกล่องและอับเล็ก ๆ สองสามใบ มีอยู่ตอนหนึ่งมีผ้าผลาสติกสีขาวห้อยคลุมเสื้อผ้า

หล่อนเปิดประตูห้องแล้วก็ออกมายืนที่ระเบียง แล้วถามเขา “จะให้นั่งไหมคะ ให้นั่งที่ไหน”

มีเก้าอี้เก่า ๆ ตัวหนึ่งตั้งอยู่ที่มุมระเบียงข้างหลังสุมนเขายกเก้าอี้ตัวนั้นไปวางใกล้ๆ กับที่หล่อนยืนอยู่ แต่เปรมวดีไม่นั่งบนเก้าอี้ หล่อนลงนั่งบนพื้นระเบียงใกล้กับที่เขานั่งอยู่ หล่อนมองดูเขาทำกิจของเขานิ่งอยู่สักครู่ แล้วหล่อนก็รวบรวมกำลังใจถาม

“พี่มน ขอถามหน่อยเถอะ ทำไมพี่มนต้องทำทีท่ากับเปรมอย่างนี้เสมอ ทำไมทำเหมือนไม่อยากพูดด้วย”

“คุณหนูไปถามอาสายกับอาจันทร์ของคุณหนูไป๊” เขาว่า

“ทำไมคะ อาสายกับอาจันทร์เคยว่าอะไรพี่มนรึ”

“เขาไม่ต้องมาว่าหรอก ผมรู้ว่าใครเขาคิดอะไรกันยังไง คนในบ้านนี้เขาพูดอะไร เขาลดเสียงกันเมื่อไหร่ แล้วประตูหน้าต่างมันก็ไม่ได้ปิดกันนะคุณหนู แต่ที่สำคัญที่สุดน่ะ แม่ผมแกกำชับมาหนักหนา ว่าผมมาอยู่ที่บ้านนี้ อย่าไปยุ่งไปเกี่ยวกับท่านบนตึก นอกจากท่านจะเรียกใช้ ผมกับคุณหนูน่ะมันคนละชั้นกัน”

เปรมวดีนิ่งอึ้งไปนาน หล่อนไม่สามารถจะท้วงติงอะไรได้ทั้งสิ้น แต่ลึกลงไปในใจของเปรมวดีนั้นมีความคิดเห็นอะไรอย่างหนึ่ง แต่หล่อนไม่สามารถกลั่นกรองออกมาเป็นถ้อยคำ หรือแม้แต่จะให้แจ่มแจ้งแก่ตัวของหล่อนเอง ในที่สุดหล่อนกล่าวเสียงอ่อย ๆ ว่า “เปรมไม่ได้คิดอย่างนั้น”

“ผมก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น” สุมนพูดขึ้น ทำให้เปรมวดีแปลกใจเป็นอันมาก “แต่ว่าเราอยู่กับสังคมบัดซบ เราก็ต้องพลอยบัดซบไปด้วย”

เปรมวดีรู้สึกใจเต้น หล่อนมีความไม่สบายใจมากเมื่อได้ยินผู้ใดกล่าวถึงผู้อื่นใดในทางไม่ดี ไม่ว่าในเรื่องเล็กน้อยอย่างใด หล่อนช้อนตาขึ้นสบตากับสุมน แต่เขาก้มหน้าแปรงรองเท้าอย่างแรงอยู่ หล่อนจึงถามอย่างไม่เต็มเสียงว่า “พี่มนหมายความว่ายังไงคะ”

แต่ยังไม่ทันที่สุมนจะตอบ ก็มีเสียงค่อนข้างแหลมดังขึ้นในบริเวณใกล้ ๆ คะเนว่าเจ้าของเสียงจะอยู่ใกล้รั้วพู่ระหงส์อันเป็นเขตที่อาศัยของสุมนไม่เกิน ๑๐ เมตร เสียงนั้นกล่าวว่า “ใครเห็นคุณหนูบ้าง เขาว่าเดินมาทางนี้” พอได้ยินเสียงนั้น ความเคยขินที่จะหลีกเลี่ยงความรำคาญใจทุกชนิดของเปรมวดีก็เป็นแรงขับให้เปรมวดีลุกขึ้นยืน ทันทีสุมนก็กล่าวขึ้น

“นั่นไหมล่ะ พอได้ยินเสียงคุณหนูก็เผ่น เห็นไหม ผมว่าแล้วไง” คำกล่าวของสุมนไม่ทันยับยั้งการเคลื่อนไหวของเปรมวดี เพราะความเคยชินมีอำนาจมากกว่า ตัวเปรมวดีลงไปอยู่ที่พื้นที่เชิงบันได แล้วก็เลี้ยวไปทางหลังเรือนของสุมน เปรมวดีทำตัวลีบพอที่จะเขยื้อนไประหว่างต้นมะม่วงกับกอไม้อ้อที่ปลูกไว้ระหว่างเรือนที่สุมนอาศัยกับริมสระน้ำแล้วหล่อนก็เลียบปากสระ เอารั้วพู่ระหงส์หน้าเรือนของสุมนเป็นเครื่องกำบังระหว่างตัวของญาติของหล่อน ในใจก็ภาวนาขออย่าให้มีใครแลเห็นหล่อนระหว่างที่ทำกิริยาอาการนั้น ในที่สุดเปรมวดีก็พาตัวไปนั่งบนม้านั่งริมสระอีกสระหนึ่ง หลังตึกใหญ่ซึ่งเป็นที่หล่อนได้พบกับสุมน เมื่อคืนที่หล่อนกลับมาบ้านในคืนแรก

เมื่อเห็นปลอดคน ไม่มีใครเห็นหล่อนนานพอสมควร เปรมวดีก็กลับขึ้นตึก เวลานั้นเป็นเวลาใกล้ค่ำเข้าไปแล้ว อากาศชักเย็นเล็กน้อยทั้งที่เป็นฤดูร้อน ด้วยเหตุที่เปรมวดีเป็นหวัดอยู่แล้ว หล่อนเข้าในห้องนอนของหล่อน หยิบหนังสือได้เล่มหนึ่งก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง พยายามระงับใจไม่ให้เต้นและพยายามอ่านหนังสือนั้น แต่อ่านไปได้ไม่นานก็รู้สึกปวดศีรษะ จึงเอาหนังสือทาบกลางทรวงอกแล้วนอนหลับตา อาสายเข้ามาพบเปรมวดีในอาการดังกล่าวนี้ สายหยุดเห็นหลานนอนหายใจถี่บ้างห่างบ้าง คิดว่าคงไม่สบายก็ไม่กล้ารบกวน จึงค่อย ๆ ถอยออกจากห้องไป ในที่สุดเปรมวดีก็หลับไปจริง ๆ ตื่นขึ้นเมื่อใกล้เวลารับประทานอาหารค่ำ

เมื่ออาสายขึ้นมาวัดปรอทก่อนนอน ปรากฏว่าเปรมวดียังคงมีไข้เล็กน้อย จึงพูดเล่นเจรจาให้ฟังแต่พอประมาณแล้วก็ลาไป คืนนั้นเปรมวดีนอนหลับโดยฝันได้ยินคำว่าบัดซบกับเสียงอาสายถามหาตัวสลับกันไป แต่เมื่อตื่นขึ้นในวันเวลารุ่งเช้า เมื่ออาสายมาวัดปรอท ปรากฏว่าไม่มีไข้ อาสายจึงกำหนดว่าจะรอดูอาการอีกวันหนึ่ง ถ้าไม่มีไข้ในวันต่อไปก็จะพาไปหัวหินในวันต่อไปอีกหนึ่งวัน “หาย ๆ เสียเถอะคุณหนู อาสายอยากให้คุณหนูได้ไปถึงคุณแม่คุณย่าเร็วๆ” อาสายว่า

เปรมวดีรู้สึกเหงาอย่างเหลือเกิน หล่อนคิดถึงกรุแก้ว อยากให้มาคุยอะไรให้ฟัง แต่ที่บ้านกรุแก้วไม่มีโทรศัพท์หล่อนจึงโทรศัพท์ไปที่บ้านลินดา ลินดาไปเรียนกวดวิชา ไม่อยู่บ้าน เปรมวดีจึงสั่งคนใช้ผู้รับโทรศัพท์ให้บอกลินดาว่าหล่อนยังคงอยู่ในกรุงเทพฯ พอตอนบ่ายลินดาก็โทรศัพท์มาถึงเปรมวดี เมื่อทราบว่าเพื่อนไม่สบายและเหงา ลินดาก็รับว่าจะมาหาทันที

ลินดามาหาและคุยเรื่องการเรียนกวดวิชาของหล่อนให้เปรมวดีฟัง เปรมวดีไม่รู้สึกครึกครื้นนักเพราะลินดาคุยช้า ๆ ไม่ค่อยมีแง่คิดหรือข้อสังเกตอะไรที่จะทำให้เรื่องขำคมเหมือนกรุแก้ว ลินดาเองก็รู้สึกตัวว่าการคุยกันระหว่างหล่อนกับเปรมวดีไม่ค่อยออกรสนัก เมื่อนั่งคุยกันประมาณ ๔๐ นาทีแล้วลินดาก็บอกลา เมื่อก่อนจะกลับไป ลินดากล่าวว่า

“อิจฉาเธอจัง เปรม เธอมีคุณแม่แสนดี เธอไม่ต้องไปเรียนกวดวิชา อีกหน่อยก็ไปเมืองนอกเลย”

เปรมวดีแอบถอนใจใหญ่น้อย ๆ ลินดากล่าวเสริมว่า “คุณแม่เห็นว่าเธอควรไปหัวหินกับพระเอกดีกว่าใช่ไหม แหมพระเอกก็มีให้เลือกถึงสองคน”

ถึงตรงนี้เปรมวดีสะบัดหน้า “พระเอกพระแอกอะไรกัน เขามาเห็นอะไรกับฉัน เขาก็สนใจเพราะเป็นลูกคุณแม่หลานคุณย่าละซิ”

“ก็นั่นนะซิ” ลินดารับ “นั่นแหละ เธอมีบุญ เธอมีคุณแม่มีคุณย่า”

“ก็แล้วเธอล่ะ” เปรมวดีย้อนถาม “เธอก็มีคุณแม่...”

“อื๋อ อย่าเปรียบกันเลย” ลินดาขัดขึ้น “คุณแม่ฉันกับคุณแม่เธอ จะเปรียบกันได้ยังไง คุณแม่ฉันท่านก็ดีหรอก แต่คุณกิตติมาน หรือคุณจุฑา เขาไม่มารักหรอก”

“แล้วเธอเรียกว่าความรักเหรอ อย่างนั้น รักเพราะเป็นลูกใครหลานใคร” เปรมวดีตั้งกระทู้เอาอีก

“เอ๋อ ตัวอย่ามาแบบนี้กับเราเลย” ลินดาว่า “อย่างนี้มันต้องกรุแก้ว เราเถียงไม่เก่ง พูดไม่ถูก ลาละ มีการบ้านทำแยะทีเดียว”

“พรุ่งนี้ออกจากโรงเรียนแล้ว เลยพาแก้วมานี่ซิ จะหาของกินไว้ให้สำราญเชียว” เปรมวดีกล่าว

เมื่อนัดแนะกันเป็นที่เข้าใจแล้ว ลินดาก็ลากลับไป

เปรมวดีคิดว่า หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว หล่อนจะอ่านหนังสือเล่นจนง่วง แต่เวลาล่วงไปจนเกือบถึง ๒๒ นาฬิกากว่าแล้ว เปรมวดีก็ยังไม่รู้สึกอยากนอน หล่อนจึงออกไปยืนที่ระเบียงหน้าห้อง แล้วเดินเลยไปจนถึงปลายระเบียงทางซ้ายมือของห้องนอน จนถึงหน้าห้องของอาสาย และอาจันทร์ เห็นประตูห้องปิดสนิทและสงัดเงียบ แสดงว่าเจ้าของห้องเข้านอนแล้ว หล่อนยืนอยู่ที่ปลายระเบียงนั้นครู่หนึ่ง สักประเดี๋ยวหล่อนก็สังเกตได้ว่า หล่อนสามารถจะมองเห็นเรือนของสุมนได้จากที่ที่ยืนอยู่ และสามารถมองเห็นได้ว่า นอกจากห้องของสุมนเองแล้วทั้งเรือนนั้นมืดสนิท กายเร็วเท่ากับใจ หล่อนกลับมายังห้อง เอาเสื้อหนาวสวมเข้า ผ้าพันคอหนาพันรอบคอ แพรสี่เหลี่ยมคลุมศีรษะ แล้วเปรมวดีก็ลงบันได เปิดประตูหลังตึกแล้วก็แอบเงาพุ่มไม้บ้าง รีบเดินตัดแสงไฟสนามอย่างรวดเร็วบ้าง จนกระทั่งไปถึงบันไดเรือนสุมน หล่อนขึ้นบันไดไปจนถึงชานหน้าห้องของเขา หยุดยืนอยู่สักครู่ ได้ยินเสียงคนกรนอยู่ในห้องอีกด้านหนึ่งของเรือน แสดงว่าคนที่ร่วมเรือนกับสุมนนั้นนอนหลับแล้ว มีเสียงกุกกักอยู่ในห้องของสุมนเองหล่อนจึงเข้าไปเคาะประตูห้องของเขาเบา ๆ

สุมนแง้มประตูออกมา พอเห็นว่าเป็นใคร เขาถามเกือบเป็นเสียงตวาด “มาที่นี่ทำไม คุณหนู”

“มะรืนนี้จะไปหัวหินแล้ว มีเวลาพบกันคืนนี้เท่านั้น พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสหรือไม่” หล่อนกระซิบตอบ และโดยไม่ทันรอฟังเขาหล่อนก็เปิดประตูออกกว้าง จึงเห็นว่าในห้องนั้นมีคนอยู่อีกคนหนึ่ง หล่อนไม่รู้จักแต่เดาว่าเป็นเพื่อนนิสิตร่วมมหาวิทยาลัยกับสุมน

เขาผู้นั้นลุกจากเตียงนอนของสุมนที่เขานั่งอยู่ กล่าวเบา ๆ ว่า “ผมจะกลับละ แล้วก็หลีกสุมนและเปรมวดีออกจากห้องไปอย่างสุภาพ

“เสียใจที่เปรมมาขัดความสำราญ” เปรมวดีกล่าวโดยไม่พยายามจะขยับเขยื้อนไปจากห้อง สุมนเดินไปนั่งลงบนเตียงแล้วถอนใจใหญ่ ไม่มองดูหน้าหล่อน

“คุณหนูลงมาทำไมดึกดื่นป่านนี้” เขากล่าวขึ้นหลังจากที่เงียบกันไปหลายวินาที

“เปรมอยากรู้ เปรมอยากเข้าใจ ที่พี่มนว่าคนที่เราอยู่ด้วยบัดซบน่ะพี่มนหมายถึงใคร และหมายความว่าอย่างไร”

“เออ” เขาถอนใจใหญ่ “ทำไมต้องมาอยากรู้เอาป่านนี้”

“ไม่มีเวลาแล้ว” เปรมวดีตอบ “ถ้าไม่พยายามพบพี่มนคืนนี้ ก็ไม่รู้จะได้พบกันอีกเมื่อไหร่”

“ก็นั่นแหละ ไม่บัดซบรี” เขากล่าวพลางหัวเราะหึ ๆ “ทำไมคุณหนูกับผมถึงต้องพบกันด้วยความยากลำบาก”

“พี่มนเองละซี่” เปรมวดีว่า “พี่มนช่วยให้มันลำบาก พี่มนไม่พูดไม่จากับใคร ทำท่าถือตัวราวกับอะไรดี เปรมคอยง้อเหมือนจะตาย”

“มาคอยง้อผมทำไม ผมเป็นอะไรกับคุณหนู” สุมนถาม

“เปรมอยากเข้าใจพี่มน” เปรมวดีตอบ “คนอื่น เปรมเข้าใจหมดทุกคน นอกจากพี่มน พี่มนทำไมทำท่าดูถูกคน พี่มนไม่ได้ดูถูกคนจริง ๆ พี่มนทำท่าเท่านั้น”

“ทำไมคุณหนูรู้ ทำไมคุณหนูว่าผมไม่ได้ถูกคน ผมดูถูกซิคนบัดซบทั้งนั้น โดยเฉพาะคนในบ้านนี้”

“บัดซบยังไง เปรมอยากเข้าใจจริง ๆ ใครบ้าง เปรมเอง อาสาย อาจันทร์ คุณแม่ คุณย่า”

“ชีวิตของคุณหนูก็มีแต่คนเหล่านี้ คิดถึงแต่คนเหล่านี้ นึกว่าสำคัญที่สุดในโลก นั้นก็บัดซบอย่างหนึ่ง”

เปรมวดีลงนั่งบนพื้นห้อง พิงฝาอย่างอ่อนใจ “พี่มน เปรมอยากรู้ว่าทีคนแก่ ๆ ในบ้าน เด็ก ๆ ลูกแม่ครัว ทำไมพี่มนไม่เห็นทำท่าดูถูก เขาไม่บัดซบงั้นเรอะ เปรมสังเกตตั้งแต่พี่มนมาอยู่ที่บ้านนี้ใหม่ ๆ ทีแรกพี่มนก็ดีกับอาสายอาจันทร์ เห็นยิ้มแย้มดี ทีหลังพี่มนก็เกือบไม่มองหน้า วันแรกที่พี่มนมากับป้ามะลิ พี่มนนั่งทำท่าภูมิ พี่มนไม่ทำท่าทางเหมือนเด็กบ้านนอก กิริยามารยาทอะไรพี่มนรู้ดีหมด แต่พี่มนไม่เข้าหาใคร ยิ่งคุณแม่ พี่มนเกือบไม่มองหน้าเลย”

“คุณหนู” สุมนเรียกหล่อนพลางหัวเราะเยาะน้อย ๆ “คุณหนูเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด” เขาจ้องมองตาหล่อนอยู่ขณะหนึ่ง แล้วก็เมินไปที่อื่นตามเคยของเขา เขาไม่ค่อยสู้สายตาหล่อนนาน

เปรมวดีจ้องตาตอบเมื่อเขาจ้องหล่อน และมองตามส่วนหลังของศีรษะเขา เมื่อเขาหันหน้าหนีหล่อน “พี่มน เปรมลงมาหาพี่มนเพราะอยากได้ยินคำนี้ ใคร ๆ เขาว่าเปรมน่าอิจฉาทั้งนั้น”

สุมนขยับริมฝีปาก ทำท่าเหมือนจะยิ้มเย้ย และในขณะเดียวกันก็มีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ เขานิ่งเงียบไม่พูดต่อไป ในที่สุดเปรมวดีเป็นคนพูดต่อ “เปรมวดีคิดว่า พี่มนจะเป็นคนที่เป็นเพื่อนของเปรมได้ในบ้านนี้ พี่มนดูเหมือนจะรู้ว่าเปรมเป็นยังไง”

สุมนนิ่งไปอีกนาน ในที่สุดดูเหมือนเขารวบรวมกำลังใจได้แล้วกล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์หรอกคุณหนู ทีแรกผมก็เห็นว่าเราคนอายุเท่า ๆ กัน วัยเดียวกัน คงมีหัว มีความคิดนึกเหมือน ๆ กัน แต่ผมรู้ว่าคุณหนูอ่อนแอ คุณหนูไม่สู้ คุณหนูทำอะไรไม่ได้ คุณหนูกลับขึ้นตึกเถิด ถ้าไม่ยังงั้น ผมอาจจะอยู่ในบ้านนี้ต่อไปไม่ได้”

เปรมวดีก้มหน้าลงชิดหัวเข่าของหล่อน เช็ดน้ำตากับกางเกงขายาวหลวมที่นุ่งอยู่ ทั้งสองเงียบกันไปอีกนาน แล้วสุมนพูดขึ้น “คุณหนู คุณหนูไปเสียจากห้องผม ไปเสียก่อนที่ผมจะเสียอะไร ๆ ไปหมด”

“เปรมยังคงไม่เข้าใจอะไร ๆ ของพี่มนอยู่นั้นเอง เพราะเปรมก็คงเป็นคนไม่มีราคาอะไรสำหรับใครด้วยตัวของเปรมเอง เปรมเป็นคนบัดซบสำหรับพี่มน เป็นคนขี้ขลาด ไม่สู้ไม่อะไร” เสียงของหล่อนค่อย ๆ เบาลงจนสุมนไม่ได้ยินตอนสุดท้าย “เปรมคิดว่าพี่มนจะสงสารเปรมบ้าง แต่ก็ไม่มีใครสงสารเปรมเลย”

“สงสารน่ะแสนจะสงสาร คุณหนู” สุมนกล่าว “แต่ยังไง ๆ คุณหนูก็ต้องรีบไปเสีย ประเดี๋ยวมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”

เปรมวดีค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้นห้องที่หล่อนนั่งอยู่ หล่อนมองดูสุมนอย่างอาลัย แต่ก็ค่อย ๆ ย่องออกจากห้องเขาแล้วก็ลงบันไดเรือน แฝงเงาพุ่มไม้ต้นไม้กลับมาที่ตึกใหญ่

พอหล่อนออกจากเงาไม้ต้นสุดท้าย เดินลัดทางเดินโรยกรวดข้างหลังตึก ขึ้นบันไดตึกและนึกโล่งใจว่าปลอดภัยจากคนเห็นแล้ว ร่างของอาสายก็ปรากฏที่ประตูหน้าบันไดนั้น อาสายเข้าคว้าข้อมือหล่อนอย่างแน่นทันที ตัวหล่อนจูงตัวหล่อนขึ้นบันไดตึกโดยหล่อนก็ไม่พยายามขัดขวาง ตรงเข้าห้องนอนของหล่อนซึ่งอยู่ไกลจากบันไดชั้นบนขั้นสุดท้ายไม่เกิน ๓ เมตร อาสายปล่อยมือให้เปรมวดีนั่งลงบนเตียงของหล่อน และยังไม่ทันอาสายจะนั่งลงบนที่เดียวกัน อาสายก็พูดเหมือนคนหอบ ด้วยเหตุที่อาสายต้องกลั้นไว้ไม่พูดอะไรเลยตลอดเวลาที่พาตัวเปรมวดีเดินขึ้นบันไดจนเข้าห้องได้

“คุณหนู คุณหนูไปไหนมา ไปไหนมา บอกอาซิ คุณหนูไปไหนมา”

“เปรมไปหาพี่มนมา” เปรมวดีตอบชัดถ้อยคำ มีความกล้าไม่สะทกสะท้านจนตัวหล่อนเองก็แปลกใจตัวเอง

อาสายลดตัวจากเตียงลงไปนั่งบนพื้น เอาหน้าซบกับที่นอนแล้วร้องไห้กระซิก ๆ ทำให้เปรมวดีแปลกใจอย่างที่สุด

“อาสายร้องไห้ทำไมคะ” เปรมวดีถาม ขณะนั้นเปรมวดีรู้สึกแปลกใจอย่างเดียวเท่านั้น

“โธ่ คุณหนู อาสายป้อนข้าวป้อนน้ำมา” อาสายสะอื้นตอบ “อาสายเสียดายเหลือเกิน ทำไมคุณหนูทำได้”

“เปรมลงไปหาพี่มน เพราะมีเรื่องจะต้องพูดกัน” เปรมวดีกล่าว “เป็นคววามผิดของอาสายเองที่เปรมต้องลงไปกลางคืนกลางค่ำอย่างนี้ ถ้าอาสายไม่กีดกัน ไม่ให้เปรมกับพี่มนพบกัน เปรมก็ไม่ต้องลงไปหาเขากลางคืนดึกดื่น”

“อาสายแย่เหลือเกิน มากลายเป็นความผิดของอาสายไป” สายหยุดพูดเหมือนคราง

“ไม่ใช่ความผิดของอาสายคนเดียวหรอก ความผิดของคนทั้งหมด” เปรมวดีตอบ “เปรมไม่เห็นอยากอยู่เลย อยากตาย ๆ เสียรู้แล้วรู้รอดไป”

อาสายเข้ากอดบั้นเอวเปรมวดีไว้แน่น เปรมวดีอยากจะสลัดให้กระเด็นไป แต่หล่อนใจแข็งไม่พอ ได้แต่ทำกิริยาแสดงความอึดอัด อาสายพูดว่า

“คุณหนู ความลับของคุณหนูก็เหมือนความลับของอาสาย ชีวิตของอาสายก็ให้แก่คุณหนูได้ ขอแต่ให้คุณหนูหยุดเพียงเท่านี้ อย่ารักใคร่กับนายมนต่อไปเลย ไม่คู่ควรกันหรอก โธ่ ใครเขาต้องอิจฉาคุณหนูกันทั้งนั้น คนอย่างคุณกิตติ คุณจุฑามาเร่อยู่ตรงหัวกะได เขาจะเอาลูกสาวบ้านไหนใครๆ ก็เอาใส่ถาดวางให้ทั้งนั้น ทำไมคุณหนูไม่ยักคิดจะรักดี”

เปรมวดีแกะมืออาสายออกจากเอวหล่อนจนได้ หล่อนไม่รู้ว่าความรู้สึกของหล่อนคือความรู้สึกโกรธหรือแค้น หรือดูหมิ่นหรืออะไร รู้แต่ว่าหล่อนอยากจะปิดหูเสียไม่อยากฟังต่อไปอีกเลยแม้แต่คำเดียว แต่หล่อนมีกำลังใจพอที่จะตอบด้วยเสียงอันสั่นด้วยความสะเทือนใจว่า “อาสาย โปรดอย่าใช้คำว่าเปรมรักกับพี่มนเลย เขาไม่ได้อาลัยไยดีอะไรกับเปรมเลย เขาว่าเปรมบัดซบ ขี้ขลาด ทำอะไรไม่ได้” พอจบประโยคเปรมวดีก็ซบหน้าลงสะอื้นอยู่บนหมอน

สายหยุดมองตูญาติน้อยอย่างตกตะลึง หล่อนไม่สามารถเข้าใจอะไรมากนัก นอกจากคำว่า “ไม่ได้รัก” ความยินดีในข้อนี้ครอบคลุมความรู้สึกอื่น ๆ เสียสิ้น แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรกับเปรมวดี จะเข้าไปปลอบก็ไม่กล้า จะกล่าวอะไรต่อไปก็รู้สึกกลัวว่า จะทำให้เกิดอะไรที่ไม่ดีกว่าเท่าที่เป็นอยู่นั้น นั่งจ้องดูเปรมวดีสะอื้นอยู่ครู่ใหญ่แล้ว ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นออกจากห้องไป เปรมวดีสะอื้นอยู่อีกสักครู่ จนรู้สึกค่อยสบายขึ้นเพราะได้ระบายความรู้สึกออกทางน้ำตาแล้ว ก็ลุกขึ้นไปปิดประตูห้อง แล้วก็ผลัดเสื้อผ้าเข้านอน

เช้าขึ้น ปรอทวัดความร้อนแสดงว่าเปรมวดีมีไข้ขึ้นอีก แต่สายหยุดได้ตัดสินใจเด็ดขาด หล่อนไม่รั้งรอ โทรเลขให้พรรณวดีส่งรถมารับเปรมวดีเร็วที่สุดที่จะมาได้

ตกบ่าย กรุแก้วกับลินดาก็มาเยี่ยมเปรมวดีทำใจของหล่อนให้กลับเข้าสภาพที่เคยเป็นมา คือพยายามทำใจไม่ให้หวาดกลัวคำชมเชยของเพื่อน ซึ่งล้วนแล้วไปด้วยความรู้สึกอิจฉาในความโชคดีของหล่อน

กรุแก้วกลับไปบ้านของตนโดยมีภาพสีสด ๆ งาม ๆ ทันสมัย ของเครื่องแต่งตัวสำหรับไปตากอากาศชายทะเลของเปรมวดี ติดตาไปนอนฝันเห็นตลอดคืน ส่วนเปรมวดีนอนหลับโดยมีคำว่า “คุณหนูไม่สู้ๆ ไม่มีประโยชน์อะไร สงสารน่ะแสนจะสงสาร คุณหนูออกไปเสียจากห้องผม คุณหนูเป็นภัยแก่ผม คุณหนูไม่มีความเข้าใจอะไร คุณหนูบัดซบ” วนไปเวียนมาอยู่ในสมองอันอ่อนต่อชีวิตอ่อนต่อโลก อ่อนต่อความจริงทั้งหลาย ไม่เข้าใจตัวเอง และไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งแวดล้อม อันเป็นสภาพของสมองอีกหลายสมองที่ล้อมรอบตัวของเปรมวดี และมีอำนาจเหนือชีวิตของหล่อน

เปรมวดีไปหัวหินด้วยใจที่พยายามจะปรับตัวให้เข้ากับสภาพชีวิตของหล่อนซึ่งหล่อนรู้ว่าหล่อนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ในเมื่อมารดาของหล่อนมีความประสงค์ให้หล่อนทำตนสนิทสนมกับชายหนุ่มสองคนที่ท่านเห็นว่าคู่ควรกับหล่อน หล่อนก็พยายามเท่าที่จะทำได้ การทำตัวเป็นลูกหลานที่เอาใจคนสูงอายุ ที่เป็นเพื่อนเป็นมิตรของคุณย่า และเป็นญาติผู้ใหญ่ของชายหนุ่มทั้งสอง เปรมวดีทำได้โดยไม่ต้องพยายาม มีแต่ความรู้สึกภายในที่หล่อนไม่สามารถบังคับควบคุมได้ คือหล่อนมักรู้สึกเปล่าเปลี่ยวใจหายวาบหวามโดยไม่รู้สึกตัวว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ก็พยายามให้มันหดหายเสียโดยเร็ว โดยเข้าไปหาคุณย่า ไปชวนท่านคุยบ้าง หรืออ่านหนังสือให้ฟังบ้าง หรือไปสนุกกับเพื่อนรุ่นเด็ก ๆ ที่ไม่ต้องกวดวิชา และได้ไปพักผ่อนในระหว่างโรงเรียนปิดภาคกันกับเปรมวดี

เปรมวดีได้ทำใจถึงเพียงนี้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกเหนือเกินความคาดฝันของผู้ใดทั้งสิ้น เกินที่เปรมวดีจะปรับตัวปรับใจรับได้ และเกินกว่าที่คนแวดล้อมเปรมวดีจะเรียกร้องให้ผู้ใดปรับตัวปรับใจรับได้ แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะชินต่อความยุ่งยากแห่งชีวิตมนุษย์มากกว่าเปรมวดี

พอเปรมวดีไปอยู่หัวหินได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ในเวลาค่ำวันหนึ่ง ลุงสิทธิ์ญาติผู้อาศัยในบ้านคุณย่าและมีหน้าที่รับผิดชอบในบ้านของคุณย่าระหว่างที่คุณย่าและคุณแม่ไม่อยู่บ้านก็มาปรากฏตัวที่หัวหินในค่ำวันหนึ่งโดยไม่มีผู้ใดรู้กำหนดว่ามา นายสิทธิ์แสดงความจำนงขอพบกับคุณแม่โดยมิให้คุณย่าทราบ เพื่อจะไม่ให้ท่านตกใจ แล้วลุงสิทธิ์กับคุณแม่ก็เลี่ยงไปเจรจากันในที่ลับหูคนคือที่ชายหาด เพราะที่ลับตาในบริเวณที่ตากอากาศนั้นหาได้ยาก รุ่งเช้าขึ้น คุณแม่กับลุงสิทธิ์ก็นั่งรถยนต์เข้าไปกรุงเทพฯ คุณย่าได้รับทราบว่าคุณแม่มีธุระเกี่ยวกับเรื่องเงินก้อนหนึ่ง แต่คุณแม่จะจัดการให้เรียบร้อยได้โดยเร็ว คุณย่าไม่ควรกังวล

๓ วันหลังจากนั้น คุณพ่อก็มาปรากฏตัวขึ้นที่บ้านตากอากาศที่หัวหิน ยังความประหลาดใจให้เปรมวดียิ่งกว่าที่ลุงสิทธิ์มาหลายเท่า คุณพ่อมาถึงที่บ้านพักนั้นแล้วก็รีบแจ้งให้เปรมวดีทราบว่าต้องการพบคุณย่า ทำให้เปรมวดีตื่นเต้นไปทางหวาดหวั่นอย่างยิ่ง คุณพ่อขอพูดกับคุณย่าคนเดียว พูดอยู่ด้วยกันประมาณ ๒๐ นาที ที่ระเบียงเล็กด้านตะวันตกอันเป็นที่สำราญของคุณย่า แล้วคุณพ่อก็ออกมาที่ระเบียงใหญ่หน้าบ้านที่หันหน้าสู่ชายทะเล อันเป็นที่รับประทานข้าวและทำกิจอื่นอีกหลายอย่างตามธรรมดาของการตากอากาศชายทะเล คณพ่อแจ้งกับเปรมวดีว่า คุณพ่อมาขออนุญาตรับเปรมวดีกลับไปกรุงเทพฯ คุณย่าทราบเรื่องแล้ว เข้าใจแล้ว และได้อนุญาตแล้ว พอเปรมวดีอ้าปากจะถามถึงคุณแม่ คุณพ่อก็บอกเสียก่อนที่เปรมวดีจะถามว่า “คุณแม่เปรมเขาก็ทราบแล้ว คืนนี้นอนแต่หัวค่ำให้สบาย ๆ พรุ่งนี้พ่อจะมารับแต่เช้า” แล้วคุณพ่อก็ลงจากเรือน บอกว่าจะไปนอนที่โฮเต็ล โดยไม่ให้โอกาสเปรมวดีถามว่าอย่างไรต่อไป

อาสายกับอาจันทร์ตามเปรมวดีเข้าไปในห้อง เปรมวดีเข้าไปนั่งห้อยเท้าบนเตียงนอน ในใจเปรมวดีรู้สึกหวาดหวั่นอย่างประหลาด ไม่สามารถฟังความหวังของญาติทั้งสองได้ “คุณพ่อกับคุณแม่จะดีกันหรือคุณหนู คงจะเป็นเพราะเห็นคุณหนูจะเป็นฝั่งเป็นฝากระมัง” อาสายแสดงความหวัง แต่ในใจของญาติอนาถาทั้งสองก็รู้สึกหวาดหวั่นเหมือนกัน เปรมวดีสั่นศีรษะ หล่อนเดาอะไรไม่ได้เลย อาจันทร์กล่าวขึ้นอย่างคนมีสติกว่าญาติอีกคนหนึ่งว่า “ยังไง ๆ ก็นอนเสียให้หลับสบาย ๆ เถอะ เดี๋ยวไม่สบายจะลำบากกัน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า” เปรมวดีพอใจที่จะอยู่คนเดียวอยู่แล้ว ก็รีบทำตามคำแนะนำทันที

เป็นครั้งแรกในชีวิต ๑๗ ปีกว่าของเปรมวดี ที่หล่อนต้องอยู่ตามลำพังกับคุณพ่อเป็นเวลานานถึง ๓ ชั่วโมงกว่า กำลังกังวลว่า จะทำให้คุณพ่อรำคาญใจกับความไม่รู้จักพูดคุยของตน และกังวลว่าตนจะต้องรำคาญคุณพ่อ อีกทั้งสงสัยกับธุระที่ทำให้คุณพ่อมาพาตัวหล่อนไปอย่างยิ่ง ก็พอดีคุณพ่อทำใจให้สบายขึ้นมาก โดยพูดขึ้นว่า “เปรมไม่ต้องห่วงคุณย่านะ พ่อกำชับอาสายกับอาจันทร์ไว้แล้ว พรุ่งนี้บางทีคุณแม่เขาก็จะกลับมาหัวหิน แล้วก็นอนให้หลับเสียอีกหน่อยในรถจะได้มีแรง เห็นว่าไม่สบายเพิ่งหายมาไม่ใช่รึ” แล้วคุณพ่อเองก็ไม่แสดงว่าอยากคุยกับเปรมวดี เพราะระหว่างที่นั่งรถยนต์เดินทางเข้าไปกรุงเทพฯ ด้วยกันจากหัวหิน คุณพ่ออ่านหนังสือเสียโดยมาก พอเบื่ออ่านหนังสือก็ไปขับรถเอง และระหว่างที่ทำหน้าที่ขับรถคุณพ่อก็เกือบไม่พูดอะไรเลย ตลอดการเดินทางในวันนั้น เปรมวดีจำวาจาของบิดาได้ที่เป็นสาระสำคัญก็คือ คุณพ่อถามว่าเปรมวดีอยากเรียนต่อชั้นอุดมศึกษาหรือไม่ เมื่อเปรมวดีตอบว่าอยากเรียน คุณพ่อก็บอกว่าเห็นด้วย และคุณพ่อถามว่าอยากไปเมืองนอกหรือไม่ เปรมวดีตอบว่าอยากไป คุณพ่อก็พยักหน้าทำอาการเห็นด้วยเช่นเดียวกัน

รถยนต์พาหนะของเปรมวดีกับคุณพ่อมาถึงบ้านของเปรมวดีก่อนเที่ยง รถเลี้ยวเข้าบ้านแล้วแล่นไปตามถนนโรยกรวดเข้าไปจอดหน้าบันไดหินอ่อน มองจากรถเข้าไปในห้องโถงตรงช่องบันได เปรมวดีเห็นคุณแม่นั่งอยู่บนเก้าอี้ บนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งมีบุรุษคนหนึ่งแต่งกายเรียบร้อยผูกเน็กไทและสวมเสื้อชั้นนอก เปรมวดีแปลกใจมากเมื่อเห็นคุณพ่อปราดเข้าไปถึงตัวชายผู้นั้นอย่างรีบร้อน จนแม้ประตูรถก็ไม่ปิดเสียก่อน พอเปรมวดีขึ้นบันไดเข้าไปใกล้ ก็ได้ยินคุณพ่อกล่าวว่า “เถอะครับ ผมขอความกรุณา ผมจะให้ความร่วมมือทุกอย่าง สองชั่วโมงคงไม่ทำให้เสียหายอย่างไรได้” ชายนั้นเถียงว่า “โธ่ คุณเอกชาติครับ คุณเห็นใจผมบ้างเถิดครับ” คุณพ่อตอบว่า “คุณก็เห็นใจผมบ้างเถิดครับ ผมรับรองครับ สองชั่วโมง สองชั่วโมง เท่านั้นครับ” ชายนั้นหันมาเห็นหล่อน เขาพิจารณาดูหน้าหล่อนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ส่ายหน้าน้อยๆ ก้มศีรษะคำนับคุณพ่อและคุณแม่แล้วก็เดินลงบันไดไป ก่อนลงบันไดเขาหันมากล่าว “สิบสี่นะครับ บ่ายสองโมงนะครับ” คุณพ่อรับ “ครับ ครับ” แล้วชายนั้นก็เดินออกจากบ้านไป

ต่อจากนั้นคุณพ่อกับคุณแม่ก็จ้องหน้ากัน นัยน์ตาคุณแม่แข็งกระด้าง เป็นอันว่าความใฝ่ฝันของอาสายไม่มีทางเป็นความจริงขึ้นมาได้ คุณพ่อกล่าวเป็นคำสั่งแต่พยายามให้น้ำเสียงละมุนละม่อมว่า “โปรดให้เปรมรับประทานอาหารแล้วก็พักผ่อนเสีย” แล้วคุณพ่อก็ถอยตัวห่างออกไปนิดหน่อย เปรมวดีเข้าไปกราบคุณแม่ที่ตัว คุณแม่หันหลังจากคุณพ่อ เดินนำเปรมวดีเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร บอกให้เปรมวดีรับประทานอาหาร ตลอดเวลาที่เปรมวดีทำตามคำสั่ง คุณแม่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ได้กล่าวถ้อยคำว่าอย่างใดเลย พอเปรมวดีรับประทานเสร็จ ซึ่งก็ไม่กินเวลามากนัก เพราะกินอาหารไม่ได้กี่คำในบรรยากาศที่ตึงเครียดนั้น คุณแม่ก็บอกว่า “ไปพักผ่อนหลับนอนเสียมีธุระถึงจะเรียก” แล้วคุณแม่ก็ออกจากห้องอาหารไป

ด้วยความเพลียเปรมวดีก็นอนหลับไปได้จริง ๆ พอตื่นขึ้นรู้สึกว่ามีกำลังกายกำลังใจมากขึ้นกว่าเมื่อเช้า กำลังบอกกับตัวเองว่า ถ้ามีอาสายกับอาจันทร์อยู่บ้านก็คงไม่มีโอกาสได้พักผ่อนอย่างนี้ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินกุกกักหน้าห้อง เปิดประตูออกมาดูเห็นแต่หลังของคุณแม่เดินลงบันไดไป เปรมวดีเข้าห้อง ทำความสะอาด หวีผมผัดหน้าแล้วก็ลงไปข้างล่างบ้าง พอเปรมวดีลงถึงบันไดขั้นล่างสุด หันหน้าไปทางด้านหน้าของตึก ก็เห็นคุณพ่อกับชายที่พบเมื่อเช้านี้เข้าประตูห้องโถงเข้ามา คุณพ่อตรงเข้ามาจับแขนหล่อน แล้วประคองพาไปหาชายผู้นั้น แต่ยังไม่ทันจะแนะนำชื่อเสียงกัน คุณแม่ก็เข้ามาจากระเบียงทางขวามือของตึก แล้วเชิญว่าให้เข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งอยู่ทางด้านหน้าของตึกใกล้บันได

คุณพ่อยังคงไม่วางแขนเปรมวดี พาตัวหล่อนเข้าไปในห้องรับแขกแล้วให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง คุณพ่อหันไปกล่าวกับชายที่เปรมวดียังไม่รู้จักว่า “คุณจรูญศักดิ์ครับ นี่ลูกผมเปรมวดี ผมตั้งใจจะพูดอะไรกับแกสักหน่อยก่อนที่คุณจะมา แต่คุณก็เร่งรัดเหลือเกิน” หยุดนิดหนึ่ง เมื่อเห็นชายที่เป็นแขกคุณแม่และเปรมวดีนั่งเรียบร้อยแล้ว คุณพ่อจึงนั่งลงบ้าง แล้วกล่าวว่า “เปรม พ่อคิดจะให้เปรมกินนอนเสียให้สบายก่อน แล้วจะบอกเปรม แต่คุณจรูญศักดิ์ก็ขอให้เห็นใจ ขอให้รีบ ๆ หน่อย เปรมไม่ต้องตกใจมากนัก ถึงคุณจรูญศักดิ์จะเป็นตำรวจ แต่ก็เป็นเพื่อนฝูงของพ่อ พูดกันฉันมิตรคือคุณจรูญศักดิ์มาค้นห้องสุมนลูกป้ามะลิที่มาอาศัยคุณย่าเรียนหนังสือ แล้วก็อยากให้ลูกช่วยชี้แจงอะไรนิดหน่อย เปรมไม่ต้องกลัวอะไร ไม่ต้องกลัวใคร รู้เท่าไหร่ก็พูดเท่านั้น”

ถ้าใครได้เห็นหน้าของเปรมวดีในขณะนั้น ก็จะเห็นว่าหน้าหล่อนไม่มีเลือดเลย ความรู้สึกเหมือนกับจะเป็นลมล้มพับลงไป เปรมวดีกลัวคนหลายคนและกลัวอะไรหลายอย่าง เหงื่อออกที่มือเย็นเฉียบ ตั้งตัวไว้ไม่ไหว ต้องเอาศีรษะพิงพนักเก้าอี้ไว้แล้วหลับตาลง

“เปรมเพิ่งหายจับไข้ใหม่ ๆ ผมบอกคุณจรูญศักดิ์แล้ว” คุณพ่อพูด หน้าของจรูญศักดิ์เองก็ซีดลงเมื่อเห็นอาการของเปรมวดี เขาจับตาดูหล่อนอย่างพินิจพิเคราะห์ เว้นระยะจนรู้สึกว่าหล่อนค่อยรวบรวมสติได้แล้วเขาก็กล่าว พยายามทำให้เสียงนุ่มนวล

“คุณพ่อของคุณพูดถูกแล้ว คุณไม่ต้องกลัวอะไร รู้แค่ไหนก็พูดแค่นั้น แต่ขอให้บอกความจริงแก่ผมเถิด ขอให้ช่วยเหลือผมและช่วยเหลือตัวเอง เป็นการช่วยเหลือเจ้าบ้านที่ให้นายสุมนอาศัยด้วย”

เปรมวดียึดแขนเก้าอี้ไว้แน่น จ้องดูหน้าชายแปลกหน้าอย่างจะขอความช่วยเหลือ เหลือบตาดูคุณแม่อย่างเกรงกลัวและชำเลืองดูหน้าคุณพ่ออย่างพยายามจะอ่านความคิด คุณพ่อผู้ซึ่งเปรมวดีเกือบไม่รู้จักเลยว่าเป็นคนชนิดใด นอกจากว่าเป็นเจ้าชู้เอาญาติในบ้านเป็นเมีย แล้วก็ทิ้งภรรยาที่เป็นเหมือนน้องแท้ๆ ของตัวไป กับอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นคนมีความรู้มีชื่อเสียงในราชการ บัดนี้ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งของเปรมวดี นี่หล่อนจะตกอยู่ในภาวะอย่างใด ในฐานะอะไร

นายตำรวจเอ่ยขึ้นอย่างฉลาด “ผมได้ทราบจากคุณแม่ของคุณว่า คุณไม่ได้สนิทสนมอะไรกับนายสุมนนัก คุณอยู่โรงเรียนประจำ เพิ่งจะกลับมาอยู่บ้าน คุณกับนายสุมนเป็นแต่เพียงคนร่วมบ้านกันใช่ไหม”

เปรมวดีนิ่งอึดไปชั่วขณะ แต่ความสุจริตใจอันเป็นเนื้อแท้ของอัธยาศัยของเปรมวดีทำให้หล่อนคิดว่า เวลานี้สุมนอยู่ในฐานะลำบาก เป็นฝ่ายเสียเปรียบ หน้าที่ของมิตรแท้คือต้องช่วยผดุงฐานะของกันและกัน เปรมวดีมองออกมาจากส่วนลึกของหัวใจว่า “เปรมสนใจกับเขามากค่ะ ดูเขาเป็นคนมีความคิดนึกตรึกตรอง เปรมชอบหาโอกาสคุยกับเขา แต่เขาก็ไม่ฉวยโอกาสค่ะ”

เปรมวดีสังเกตว่าคุณพ่อฟังอย่างไตร่ตรอง ส่วนคุณจรูญศักดิ์นั้นมีอาการเหมือนกับโล่งอก เปรมวดีไม่รู้ว่าสุมนเป็นคนมีความผิดหรือไม่ ความคิดของหล่อนมีอยู่อย่างเดียว แต่ว่าหล่อนจะต้องช่วยเขาให้มากที่สุดที่จะมากได้ นอกนั้นรอไว้ก่อนได้

“ผมขอถามคุณจริง ๆ คุณอย่ากลัวใครหรืออะไรทั้งนั้น” จรูญศักดิ์พูดต่อไป “คุณกับสุมนไม่ได้รักกันฉันคู่รักใช่ไหม” ระหว่างที่ถามนัยน์ตาของเขาจับอยู่ที่หน้าเปรมวดีอย่างเพ่งเล็ง ถึงคำพูดของเปรมวดีจะเป็นอย่างไร เขาก็จะรู้ความจริงจากดวงหน้าหล่อน

เปรมวดีตอบอย่างอาจหาญ “เปล่าเลยค่ะ เขาว่าเปรมเป็นคนไม่รู้จักต่อสู้อะไรค่ะ” วรรคสุดท้ายนี้มีเสียงสะท้อนในอกเจือออกมาด้วยโดยบังคับไว้ไม่ได้

นายจรูญศักดิ์ยิ้ม “อา เป็นอันว่าคุณกับนายสุมนไม่ใช่คู่รักกันแน่นะ” เขาคงจ้องมองหน้าหล่อนต่อไป และยังไม่ทันที่บิดาหรือมารดาของเปรมวดีจะช่วยกล่าวเสริมหรือสนับสนุนคำพูดของลูกสาวอย่างใด เขาก็ควักกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา คลี่ออกแล้วส่งให้เปรมวดี “คุณอ่านซิ อ่านกระดาษแผ่นนี้ซิ แล้วช่วยผมอธิบายอะไรบางอย่างหน่อย”

เปรมวดีรับมาอ่าน เลือดในผิวหน้าของหล่อนหนีไปหมดสิ้นจนหน้าหล่อนเป็นสีน้ำเงิน แต่เปรมวดีก็อ่านต่อไป อ่านต่อไป

“คุณหนูที่รัก

เมื่อคุณหนูได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ก็แปลว่าตัวผมไม่มีอยู่ในโลกมนุษย์แล้ว ผมทำความผิดเผอเรอมาก พาเอาพวกพ้องต้องลำบากกันหลายคน ผมอยู่ไม่ได้อีกต่อไป แต่ก่อนที่จะลาโลกไป ผมยังอดคิดถึงคุณหนูไม่ได้ ผมอยากให้คุณหนูรู้อะไรบางอย่าง จดหมายนี้มันจะถึงคุณหนูหรือไม่ก็ไม่รู้ ขอได้โปรดด้วยเถิด ท่านผู้ใดยังมีความสงสารเพื่อนมนุษย์อยู่บ้าง ไม่ใช่ประโยชน์ของผมแท้ ๆ หรอก หรือจะไม่ใช่ประโยชน์ของใครเลยก็ไม่รู้ อย่างไรก็ตาม เผื่อคุณหนูจะได้อ่าน ผมจึงขอพูดอะไรให้ฟัง

ผมควรจะรู้ตัวว่า ผมไม่เหมาะสมที่จะทำงานที่เขามอบหมายให้ผมทำตั้งแต่วันที่ผมเรียกคุณหนูว่าคุณหนูแล้ว คือผมได้เข้าเป็นสมาชิกสังคมอันบัดซบไปแล้วในวาระนั้น ผมควรจะเรียกคุณหนูว่า เปรมวดี เมื่อพบก็ควรเรียกคุณเปรมวดีเพื่อสุภาพ แต่เวลาผมอยู่คนเดียว ทำไมผมนึกถึงคุณหนูเสมอ และเวลาผมพบคุณหนู ผมก็เรียกอย่างอื่นไม่ได้ รู้ไหมผมตั้งต้นจดหมายนี้กี่หน ทีแรกผมเขียน คุณหนูของผม แล้วก็ คุณหนู แล้วก็คุณหนูที่รัก ในที่สุดก็มาเป็นอย่างนี้ คุณหนู ผมไม่แน่ใจว่าความรู้สึกของผมต่อคุณหนูมันเป็นความรักหรือเปล่า แต่มันทำให้ผมทรมานจริง ๆ ผมเกลียดคนทุกคนที่แวดล้อมคุณหนู ที่กีดกันไม่ให้ผมกับคุณหนูได้เป็นมิตรกัน ช่างไม่มีความจริงอะไรเสียเลย คนอื่นที่เขาไม่มีเลือดอะไรร่วมกันสักนิด ก็เป็นคุณป้า คุณน้า คุณอา กันได้ คบกันด้วยเงินแท้ ๆ ญาติแท้ ๆ แต่มันบ้านนอก มันมาอาศัยบ้าน กลับเป็นพี่น้องกันไม่ได้ แต่ถ้านึกถึงคุณหนูก็อดสงสารไม่ได้ ใคร ๆ เขาคงหัวเราะเมื่อได้ยิน แต่วันนั้นคุณหนูบอกกับผมเองว่า คุณหนูอยากได้ยินใครพูดอย่างนี้กับคุณหนูสักคน ผมนะไม่มาชักชวนคุณหนูให้ไปเข้าร่วมงานกับพวกผมหรอก คุณหนูประสาทอ่อน คุณหนูรักและสงสารคนไปหมดเหมือน “ท่าน” นั่นแหละ คน ๆ นี้ผมไม่รู้จะเรียกอย่างไร เพราะแท้จริงนับไปก็เป็นยายผม แต่เวลาผมนึกถึงผมมักเรียกในใจว่า คุณย่าของคุณหนู คุณหนูและเป็นตัวทำให้ผมไม่เป็นตัว จะทำอะไรคิดอะไรก็ไปเวียนวนที่คุณหนูไปหมด คุณหนูรู้ไหมถ้าผมจะทำเจ้าชู้กับคุณหนู จะถูกใจพวกพ้องผมอย่างยิ่ง ยิ่งทำให้กลายเป็นไม่ใช่คุณหนูก็จะยิ่งดีใหญ่ คุณหนูโตพอที่จะเข้าใจไหมที่ผมพูดอย่างนี้ ผมว่าคงเข้าใจนะ อย่าให้ผมต้องพูดตรงกว่านี้เลย ผมเข้าสังคมบัดซบไปแล้วเพราะคุณหนู ผมคิดถนอมคุณหนูอย่างแบบที่พ่อแม่สั่งสอน ผมอยากเห็นคุณหนูมีความสุขอย่างที่สังคมของคุณหนูเขาอยากให้มี ผมเป็นคนใช้ไม่ได้ในสายตาของผมเอง ผมไม่จริงต่ออุดมคติของผมเอง จะว่าเพราะผมรักคุณหนูหรือ ถ้ารักจริงก็ต้องอยากเอามาเป็นเหมือนผมทุกอย่างซิ แต่นี่ทำไมผมกลับโอนไปบัดซบเหมือนเขาทั้งหลายล่ะ อ้อ คุณหนูฟังสำบัดสำนวนของผมแล้ว อย่าไปใฝ่ฝันเอาว่าเป็นภาษาของใครเขาสอนให้ผมพูด เป็นสำนวนของผมเองทั้งนั้น ผมนี่มันยังไงก็ไม่รู้ ดูจะเข้ากับขุมชนไหนก็ไม่ได้สักแห่ง ผมจึงตัดสินลาโลกได้โดยไม่ค่อยเสียดายอะไรนัก แต่ผมเขียนจดหมายนี้ถึงคุณหนูก็เพราะคุณหนูว่าอยากให้ใครสงสาร ผมจึงต้องบอกมาว่าผมสงสารคุณหนูจริงๆ และคิดถึงคุณหนูเกือบทุกวินาที ผมสงสารคุณหนูเพราะคนอย่างคุณหนูน่ะ ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมชนิดใด ตามอุดมคติของใคร คนอย่างคุณหนู่ก็แย่ ในโลกนี้นะคุณหนู ถ้าเรายอมเขา เขาก็ไม่ยอมเราเข้าทุกที บางทีผมก็นึกจะยุคุณหนูให้ทำอะไรไม่ยอมใครเสียบ้าง แล้วผมก็โลเล ใจอ่อนไปบ้างไม่ไว้ใจคุณหนูบ้าง เพราะการไม่ยอมเขา ถ้าหากเขามีอำนาจ มันก็ต้องมีภัยอันตรายละ ผมก็เป็นห่วงไม่อยากให้คุณหนูเสี่ยงอันตรายอะไรเลย อ้อ แล้วคุณหนูยังว่าผมเกลียดคุณหนู จะเป็นไปได้อย่างไร ผมตอบกับตัวผมเองว่าผมรักคุณหนูหรือเปล่าไม่ได้ แต่เกลียดน่ะไม่เกลียดแน่ ผมนึกอยากอ้อมกอดคุณหนูไว้กับผมให้นาน ๆ ให้อิ่มใจสักที ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในนี้ ผมไม่อยากอะไรเท่าอยากกอดคุณหนูเลย ผมอยากเรียกคุณหนูของผมให้คุณหนุได้ยิน คุณหนูของพี่มน ถ้าผมรู้ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างนี้ ผมจะต้องฉวยโอกาสกอดคุณหนู จูบคุณหนู แทนที่จะไล่คุณหนูไปวันนั้น เวลานี้ผมเสียดายอยู่อย่างเดียวว่าผมไม่มีโอกาสนั้นแล้ว แต่ก็ดีเหมือนกัน คุณหนูจะได้มีคนรักที่เป็นคนแรกที่ได้คุณหนูไว้แนบกับอก แล้วถ้าเผื่อเขาถามว่าใครเคยกอดคุณหนูบ้างหรือเปล่า คุณหนูจะได้ตอบเขาอย่างเต็มปากว่าไม่เคย แล้วก็คน ๆ นั้น ผมขอให้เขารักคุณหนูด้วยใจจริง รักตัวของคุณหนูเอง ตามที่คุณหนูปรารถนา ทำไมผมเพ้อเจ้อมาถึงคุณหนู ไม่รู้ซี แต่ถ้าผมไม่ได้เขียนจดหมายฉบับนี้ ผมทำสิ่งที่ผมกะจะทำไม่ได้ อ้อ คุณหนู ถ้าคุณหนูสามารถจะทำได้ จะอย่างไรก็ตาม ถ้าให้แม่ผมแกเข้าใจว่าผมเป็นไข้ตาย หรือผิดอาหารหรืออะไรก็ได้ คุณหนูช่วยหน่อยเถอะ สำหรับแม่ผมนะ คุณหนูเป็นเทพธิดาเลย ไม่ใช่ผู้ใช่คนละ เพื่อแม่ผม ผมไม่อยากให้มีอะไรเปลี่ยนแปลงในสังคมจนกว่าแกจะตายไปเสียก่อน ดูซิ ผมจะอยู่ไปอย่างไรได้ ผมมันโลเลสารพัด ผมไม่ควรได้รับความไว้วางใจจากใครเลย แต่คุณหนูต้องไว้วางใจผมอย่างหนึ่ง ผมพูดจริง ๆ นะ ที่ผมว่าผมคิดถึงคุณหนูเกือบทุกลมหายใจ และผมก็จะไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงได้ เพราะโอกาสจะโลเลในเรื่องนี้ก็จะไม่มีแล้ว

ลานะ คุณหนูของผม คุณหนูของพี่มน คุณหนูผู้ซึ่งพี่มนจะไม่โลเลด้วยในความคิดถึงจนลมหายใจอันสุดท้าย ลาก่อน

สุมน

พอเปรมวดีอ่านจบ แผ่นกระดาษนั้นก็ปลิวจากมือเปรมวดีไปอยู่บนพรมปูพื้น ตัวของเปรมวดีเอนเอียงไปตามกระดาษม้วนลงมาเกือบจะตกจากเก้าอี้ หากแต่บิดาของหล่อนประคองตัวไว้ทัน เปรมวดีหมดสติ หน้าเขียว ตัวเขียวไปทั่ว จรูญศักดิ์ควักยาดมออกจากกระเป๋าราวกับว่าได้เตรียมมาพร้อม เขาเข้าทำปฐมพยาบาล เมื่อจับชีพจรรู้สึกว่ายังเดินอยู่เบา ๆ เขาก็พยักหน้ากับบิดาของสาวน้อยกล่าวว่า “เห็นจะต้องเอาไปนอนเสียก่อน” เอกชาติตรงเข้าช้อนร่างของบุตรี พรรณวดีเข้าช่วยยกตอนล่างของร่าง ทั้งสองจึงไม่มีโอกาสได้เห็นลักษณะอักษรในแผ่นกระดาษชิ้นที่ทำให้เปรมวดหมดสติได้ เพราะจรูญศักดิ์ได้เข้าไปหยิบแล้วเก็บใส่กระเป๋าตามเดิม เขายืนรออยู่ในห้องรับแขกคนเดียวประมาณ ๕ นาที ยังไม่เห็นเจ้าของบ้านกลับมา เขาก้มหน้าลงตรึกตรองอะไรอยู่สักครู่ แล้วก็สั่นหน้าพึมพำกับตัวเอง “คงไม่ได้เรื่องอะไร” แล้วก็เดินออกมาที่หน้าบันไดตึก พบกับคนใช้คนหนึ่งเดินมา เขาจึงเรียกมาสั่งว่าให้บอกลาเจ้าของบ้าน เพราะจะต้องรีบไปธุระที่อื่น แล้วก็เดินออกจากเขตคฤหาสน์อันใหญ่งามนั้นไป

ทั้งที่บิดามารดาได้รับนายแพทย์มาให้การรักษาพยาบาลอย่างดีที่สุดภายในเวลาเร็วที่สุด รุ่งขึ้นเช้าเปรมวดีก็ยังไม่ได้สติ มีแต่ไข้ขึ้นสูง นอนซมเอาศีรษะซบอยู่กับหมอน ไม่มีผู้ใดทำให้เปรมวดีรับอาหารได้มากกว่าหนึ่งหรือสองช้อน ถ้าเป็นอาหารที่ต้องเคี้ยว เปรมวดีก็อ้าปากรับไว้แล้วก็อมนิ่งอยู่ จนมีคนบอกให้คายออกมา ถ้าเป็นอาหารน้ำ เปรมวดีกลืนได้สักสองคำที่มีผู้ป้อนแล้วก็นิ่งหลับตา ไม่อ้าปากขึ้นรับอีก พรรณวดีจึงให้นายสิทธิ์ไปรับคุณย่าและบริวารกลับกรุงเทพฯทั้งหมด โดยแจ้งไปว่าเปรมวดีไม่สบายมาก และหมอยังไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร

การที่ทางการตำรวจเข้าเกี่ยวข้องกับชีวิตคนในคฤหาสน์ของคุณหญิงนาฏ ย่าของเปรมวดีนี้ บังเอิญเป็นพฤติการณ์ที่ทางราชการไม่ปรารถนาให้เป็นข่าวเกรียวกราว จึงไม่มีเรื่องลงหน้าหนังสือพิมพ์ ดังนั้นญาติมิตรของตระกูลนี้ จึงได้ทราบแต่เพียงว่าพรรณวดีมีเรื่องยุ่งยากเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติบางชิ้นซึ่งก็ไม่มีอะไรเป็นที่น่าวิตก และข่าวไข้ของเปรมวดีก็แพร่ไปแต่ว่าไม่สบายมาก อาจเป็นปอดบวมหรือโรคหัวใจ แต่จะเป็นด้วยเทพยดาดลใจหรืออย่างไร หลังจากที่เปรมวดีล้มเจ็บได้สามวัน ครูสุวรรณมีธุระกับมิตรคนหนึ่งอยู่ในซอยถัดจากที่บ้านของเปรมวดี ขากลับขึ้นรถประจำทางแล่นผ่านซอยของเปรมวดี ครูสุวรรณเกิดมีความระลึกถึงศิษย์คนโปรดขึ้นมาอย่างมาก ตามปรกติครูสุวรรณไม่มาที่บ้านพรรณวดีเลย ทั้งที่เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเมื่อสมัยเป็นนักเรียน แต่ในวันนั้นครูสุวรรณเกิดตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมเปรมวดี พอเดินเข้าเขตคฤหาสน์ก็พบสายหยุดกำลังจะเดินออกจากบ้าน สายหยุดรู้ดีว่าครูสุวรรณไม่ใช่บุคคลที่พรรณวดีสนใจคบค้าสนิทสนม ก็รีบบอกให้ทราบว่า พรรณวดีมีธุระยุ่ง แต่ครู่สุวรรณถามถึงเปรมวดี สายหยุดอึกอักอยู่คู่หนึ่งจึงบอกว่าเปรมวดีไม่สบายและหมอไม่อยากให้ใครรบกวน ครูสุวรรณไม่แยแสต่อทีท่าของสายหยุด เดินตรงขึ้นตึกไป เข้าไปยืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้องโถงอันใหญ่กว้าง แล้วก็ตัดสินใจขึ้นบันไดไปชั้นบน ไม่แลเห็นใครอยู่บนตึกชั้นบนเลย ยืนเคว้งคว้างอีกครู่ใหญ่จนมีสาวใช้เดินมาตามระเบียง ครูสุวรรณถามว่าห้องของเปรมวดีอยู่ไหน เมื่อสาวใช้ชี้ห้องให้ด้วยความที่ไม่เคยคิดจะระวังอะไร ครูสุวรรณก็เปิดประตูห้องนอนของเปรมวดีเข้าไปดื้อ ๆ

เปรมวดีนอนซมอยู่บนเตียงซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง จันทรนั่งอยู่บนพื้นห้องก้มหน้าอ่านหนังสือที่วางอยู่บนกระดานอันขัดเป็นมันสะอาดเอี่ยม ญาติผู้พยาบาลเปรมวดีเงยหน้าขึ้นแล้วอุทาน เพราะหล่อนไม่รู้จักครูสุวรรณ “นั่นจะไปไหน จะหาใคร”

ครูสุวรรณใจหายวาบ แต่แข็งใจตอบ “ดิฉันมาเยี่ยมเปรมวดี ดิฉันเป็นครูของเปรมวดี” แล้วตัดสินใจอย่างไม่รั้งรอตรงเข้าไปทรุดตัวลงตรงหน้าของเปรมวดี ซึ่งเวลานั้นหันหน้าไปจากทิศที่ครูสุวรรณเข้ามา เอามือลูบแขนเปรมวดีเบา ๆ พลางกระซิบเรียก “เปรม เปรม ครูมาหา ครูสุวรรณ”

เปรมวดีเบิกตาขึ้น สีหน้าไม่แสดงว่ามีความสำนึกในเรื่องใด ครูสุวรรณกล่าวเบาๆ ต่อไป “เปรมเป็นอะไรไป จำครูไม่ได้หรือ ครูสุวรรณ”

ทันใดนั้น ดวงตาเปรมวดีก็มีแสงแห่งความเข้าใจเกิดขึ้นทันที ประหนึ่งว่าหล่อนรอคอยคนใดคนหนึ่ง เช่นครูสุวรรณอยู่ เปรมวดีสะอื้นออกมาอย่างแรงพลางเรียก “ครูขา ครูมารึคะ” แล้วก็ดึงมือครูมาประทับไว้กับอก แล้วก็สะอึกสะอื้น หลั่งน้ำตาอย่างที่หล่อนไม่เคยหลั่งมาเลยเป็นเวลาหลายปี

“เปรมเป็นอะไรไป” ครูสุวรรณถามพลางลูบไล้ตามแขนและศีรษะของศิษย์ “เจ็บมากเทียวรึ ทำไมต้องร้องไห้ด้วย บอกครูซิ”

“เปรมอยากตาย” เปรมวดีสะอื้นตอบ “เปรมอยากตายค่ะ ครูขา”

“ตายจริง เป็นอะไรไปนี่” ครูสุวรรณหันไปหาจันทรอย่างขอคำอธิบาย แต่จันทรก็ได้แต่นั่งตะลึงฟังหลานสาวและแขกแปลกหน้าที่เพิ่งเข้ามาให้รู้จัก “เปรมเป็นอะไรไป คนฉลาดอย่างเปรมทำไมคิดอะไรอย่างนี้ล่ะ”

เปรมวดีสะอื้นต่อไปจนกระทั่งความรู้สึกที่เครียดมานานผ่อนคลายลงไปบ้าง เสียงสะอื้นค่อย ๆ เบาลง ครูสุวรรณปลอบถามอีก

“เปรม เปรมบอกครูได้ไหมรู้สึกเป็นอย่างไร” จับดูตามร่างกายของศิษย์พลางรำพึงดัง ๆ “ตัวร้อนจัด เป็นโรคอะไรนี่”

เปรมวดีมีสติพอที่จะดึงตัวครูสุวรรณขึ้นไปนั่งบนเตียงใกล้ตัวหล่อน แล้วก็ยกศีรษะจากหมอนมาซบอยู่ที่ตักครูแล้ววอน “ครูอย่าไปไหนนะคะ ครูอยู่กับเปรม อย่าทิ้งเปรมไปนะคะ”

ครูสุวรรณประคองตัวศิษย์ไว้กับอก จันทรเห็นได้โอกาสว่ามีคนทำให้เปรมวดีมีสติขึ้นมาได้ จึงคลานเข้ามาใกล้ “คุณให้รับประทานยาได้ไหมคะ ไม่ยอมกินเลยค่ะ”

ครูสุวรรณพยักหน้า “เปรมกินยาเสียก่อนซิครูจะได้อยู่ด้วยได้ ไม่กินยาตัวก็ร้อนเป็นไฟ ครูก็อยู่ไม่ได้ซิ”

จันทรรินยาใส่ถ้วยมาโดยเร็ว ครูสุวรรณเอารอที่ริมฝีปากของเปรมวดี เปรมวดีค่อย ๆ จิบยาจนเกือบหมดถ้วย แล้วก็หุบปากนิ่งเสียเหมือนหมดแรงที่จะอ้าต่อไป แล้วนัยน์ตาก็ค่อยหรี่ลง แล้วหายใจเป็นจังหวะยาวขึ้น ๆ แสดงว่าได้หลับไป เมื่อเห็นว่าคนไข้หลับแล้ว ไม่ใช่หมดสติ ครูสุวรรณก็ค่อย ๆ ประคองศีรษะไปวางไว้บนหมอน มองหาจันทรไม่เห็นอยู่ในห้องแล้ว นั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็เปิดประตูออกมาจากห้อง เห็นพรรณวดีเดินมาจากอีกด้านหนึ่งของตึก มีจันทรเดินตามมาข้างหลังแสดงว่าจันทรได้ไปรายงานอาการของคนไข้ให้มารดาทราบ พรรณวดีกับครูสุวรรณเดินเข้าไปหากัน พรรณวดีขยับจะกล่าวอะไร แต่ครูสุวรรณถามขึ้นก่อน “พรรณวดี เปรมเป็นอะไรไป ทำไมแกเพ้อหรืออะไร ใครรักษา”

“เพ้อว่ายังไง” มารดาของเปรมวดีถามเสียงแข็ง

ครูสุวรรณลดเสียงลง “แกเพ้อว่าอยากตายแล้วบอกว่าอย่าให้ฉันทิ้งแกไปไหน”

พรรณวดีหยุดยืนตัวแข็ง “แล้วเวลานี้เป็นยังไงใครอยู่ด้วย ทำไมทิ้งออกมาเสียล่ะ”

เมื่อพรรณวดีไปทำความแน่ใจว่าคนไข้หลับอยู่แล้ว ก็ออกมานอกห้อง เห็นครูสุวรรณยังยืนเก้กังอยู่ในห้องโถงจึงบอกว่า “นั่งลงซิ”

สองหญิงนั่งลงบนเก้าอึ้ ต่างนิ่งกันไปพักหนึ่ง พรรณวดีนังชูคอตามเคย แสดงกิริยาว่าไม่มีความกลัวเกรงในสิ่งใด ครูสุวรรณรู้ได้ด้วยเชาวน์ว่าโรคของเปรมวดีไม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บอย่างธรรมดา แต่ก็ไม่รู้จะว่ากล่าวแก่มารดาของเปรมวดีอย่างไร จึงจะไม่ฟังเป็นการตำหนิติเตียน แต่ในที่สุดก็ต้องพูดขึ้น

“เปรมวดีแกมีความเดือดร้อนเรื่องอะไร ทำไมถึงร้องไห้ร้องห่ม ไม่ใช่อาการโรคอย่างธรรมดา”

พรรณวดีชูคอสูงขึ้นอีก มองออกไปนอกตึก ในที่สุดก็พูดขึ้น “ฉันมันคนมีกรรม มีลูกก็ไม่เหมือนคนอื่นเขา”

“แกเป็นทุกข์เรื่องอะไร” ครูสุวรรณคงยืนคำถามเดิม

“เหลือที่จะรู้” พรรณวดีตอบ “ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นทุกข์เรื่องอะไร”

ครูสุวรรณถอนใจใหญ่ ถ้าเป็นผู้ปกครองนักเรียนคนอื่น หล่อนก็คงลองเลียบเคียงถามพอให้ได้ข้อเท็จจริงบางประการ แต่ครูสุวรรณรู้จักพรรณวดีเกินไป รู้ว่าหล่อนจะไม่ได้รับคำตอบตามที่ปรารถนา เลยกล่าวว่า “พรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่นะ”

พรรณวดีตอบเฉย ๆ ว่า “เชิญซี ฉันจะไปห้ามเธอได้รึ”

ครูสุวรรณลาจากพรรณวดีไป เดินตามถนนซอยออกไปสู่ถนนใหญ่เพื่อจับรถประจำทาง แต่พอไปถึงถนนใหญ่หล่อนก็ตัดสินใจเด็ดขาด เรียกแท็กซี่มาคันหนึ่ง บอกให้ขับไปยังบ้านของเอกชาติบิดาของเปรมวดี

เอกชาติได้เคยรู้จักครูสุวรรณทั้งในฐานะเพื่อนของพรรณวดีและในฐานะครูของเปรมวดี แต่ไม่เคยได้วิสาสะกันสนิทสนมนัก ครูสุวรรณจึงรู้สึกประหม่ามากเมื่อพบกับเขาในห้องรับแขกของบ้านน้อยที่เขามาอยู่กับภรรยาใหม่ แต่หล่อนได้ตัดสินใจแน่นอนมาแล้ว จึงเมื่อได้ปฏิสันถารกันตามธรรมเนียมเสร็จแล้ว หล่อนก็เล่าเหตุการณ์ที่ประสบให้เขาฟังทีเดียว

เอกชาติเล่าเรื่องที่เกิดมาแล้วเท่าที่เขารู้ให้ครูสุวรรณฟังอย่างไว้วางใจ “ผมไม่รู้จะปรึกษาใคร คุณครูมาก็ดีแล้ว ผมจะได้ปรึกษาคุณครู ลูกคนนี้กับผมเกือบไม่รู้จักกัน ผมพยายามทำดีที่สุด คือพยายามไม่ให้แกตกใจมากเกินไป คิดจะถามเองก่อนพบตำรวจว่าแกมีความสัมพันธ์กับนายสุมนอย่างไร แต่ก็ไม่ทันได้ถาม เพราะตำรวจเขาร้อนใจ เขาอยากถามอยากจับพิรุธเอาเอง ตามเรื่องเขาก็จะต้องไปสอบปากคำจากเปรมเอง เขาจะไปรับตัวมาเองจากหัวหิน แต่ผมอ้อนวอนและให้คำมั่นสัญญาแก่รองผู้บังคับการเขา เป็นเพื่อนกัน ว่าผมจะไปรับมาเอง และจะไม่เสี้ยมสอนอะไรทั้งสิ้น เขาก็เชื่อผม ผมเองก็ไม่รู้จะถามลูกว่าอย่างไร พูดกับพรรณวดีไม่ได้เรื่องอะไรเลย เขาบอกว่าเขาไม่เคยให้ติดต่อกันเลย ทำไมใครมาสงสัยลูกเขาว่ารักกับเด็กในบ้าน พูดกับตำรวจราวกับเขาเป็นบ่าวมาตั้งชั่วพ่อชั่วแม่ ตามลักษณะของเขาแหละครับ ไม่ได้ใช้ถ้อยคำหยาบคาย แต่ความดูถูกคนมันฉายแสงกราดไปหมด ถ้าไม่ใช่นายจรูญศักดิ์เป็นเจ้าของเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะเดือดร้อนกันไปกี่คน ผมก็เป็นห่วงคุณแม่ ไม่อยากให้ท่านตกอกตกใจโดยไม่จำเป็น แต่เหตุมันก็เกิดในบ้านท่าน ท่านเป็นเจ้าของบ้าน ท่านก็ต้องรับผิดชอบด้วย ผมวิ่งชี้แจงกับตำรวจเสียเกือบตาย ให้เขาเข้าใจว่าคุณแม่คงจะช่วยอะไรไม่ได้ ท่านคงไม่รู้เรื่องอะไรเลยเป็นแน่ ใครเข้าบ้านออกบ้านท่านจะไปรู้ได้อย่างไร คนไม่ใช่สองสามคนในบ้านท่าน”

“แล้วเขาก็เลยไม่รบกวนท่านใช่ไหมคะ แล้วเขาจะเอาอะไรกับเปรมคะ เขาถึงเอาตัวแกมาซักถาม”

“คือเขาไม่เชื่อพรรณวดีครับ ที่พรรณวดีบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เขาก็ไม่ได้บอกเราเสียด้วยว่าเขามีจดหมายฉบับนั้นอยู่ในมือ ผมก็เห็นใจเขา เขาต้องทำหน้าที่ของเขา ถ้าเขาบอกอะไร ๆ แก่เราหมด เขาก็เอาความจริงไม่ได้”

“แล้วท่านได้เห็นจดหมายฉบับนั้นไหมคะ” ครูสุวรรณถาม

“ผมได้เห็นในที่สุด ผมไปอ้อนวอนจนเขาให้ดู ตอนนี้เขาบอกว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องแล้ว ที่เขาอยากรู้นั้นใครไปหาสุมนบ้าง เพื่อนคนไหน แต่เปรมมาเจ็บลงอย่างนี้ก็เลยไม่เป็นประโยชน์อะไรสำหรับเขา จดหมายนั้นเขาก็ว่าเห็นจะไม่ให้ประโยชน์อะไรนัก แต่เขาก็ต้องเก็บไว้เป็นหลักฐานเท่านั้นเอง”

“จดหมายว่าอย่างไรคะ” ครูสุวรรณถามต่อไป เพราะเห็นเอกชาติกำลังมีอารมณ์ที่จะเล่า

“ผมอ่านแล้วก็งงไปหมดครับ เห็นจะเข้าใจกันระหว่างเปรมกับนายสุมนเท่านั้น” เอกชาติตอบ “แต่ก็ไม่ใช่คู่รักกัน แต่ดูเหมือนเขาเคยพูดแลกเปลี่ยนทรรศนะอะไรกัน พอยายเปรมอ่านจบแกก็เป็นลมม้วนลงไปทันที”

ครูสุวรรณนิ่งตรึกตรองอยู่หลายวินาที คิดทบทวนไปมาว่าที่หล่อนจะกล่าวต่อไปนี้จะสมควรกล่าวหรือไม่ แล้วก็ตัดสินว่าคนที่จะช่วยศิษย์มีคนเดียวคือบิดาของเด็กเอง เพราะมารดาของเด็กครูสุวรรณก็รู้จักเต็มอกเสียแล้ว จึงกล่าวว่า

“ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับนายสุมนเท่าที่เล่ามา ดิฉันว่าวันเวลาล่วงไป ก็คงจะค่อย ๆ จางไป ๆ แต่ดิฉันกลัวว่า ที่เปรมวดีว่าอยากตายนั้น มันไม่ใช่เรื่องนายสุมน มันจะมีอะไรลึกซึ้งกว่านั้น เพราะถ้าแกไม่ได้รักกับสุมน แกจะอยากตายเพราะสุมนเชียวรึ แล้วทำไมร้องขอให้ดิฉันอยู่ด้วย ไม่ให้ทิ้งแกไปไหน ตามธรรมดา เด็กไม่เรียกร้องขออย่างนี้จากครูหรอกค่ะ นอกเสียจากว่าแกรู้สึกว่าคนสำคัญ ๆ ในชีวิตของแกทอดทิ้งแก เช่นพ่อแม่”

เอกชาติทำหน้าเศร้า “ผมน่ะเห็นจะต้องรับผิดเต็มที่กระมังในเรื่องนี้” เขาพูดเสียงเรียบ ๆ “แต่เมื่อคุณมาหาผมและผมเชื่อในความสุจริตใจของคุณ ทั้งกำลังต้องการความช่วยเหลือ ผมก็อยากจะขอความช่วยเหลือคุณ ถ้าคุณทำได้ ผมอยากให้คุณทำให้เปรมเชื่อว่าผมรักแกเป็นห่วงแก ผมได้พยายามที่จะสนิทสนมกับแก แต่พรรณวดีไม่ให้โอกาสเลย ผมจะทำอะไรหักหาญกับพรรณวดีก็ไม่ได้ เพราะติดที่คุณแม่”

“ดิฉันขอทราบเรื่องราวของท่านสักหน่อยจะได้ไหม” ครูสุวรรณพูดอย่างเกรงใจแต่ไม่เกรงกลัวตำแหน่งหน้าที่ราชการสูงของเอกชาติ “ขอทราบแต่เพียงเตรียมพร้อมสำหรับอธิบายเผื่อถูกเด็กเถียง เพราะแกอาจรำพันว่า ไม่มีใครเห็นความสำคัญอะไรของแกทำนองนั้นก็ได้ ตามธรรมดาของเด็กวัยนี้”

“คุณเป็นคนรู้จักกับพรรณวดีดี” เอกชาติว่า “คุณพอจะเดาได้ไหมว่าทำไมผมถึงทิ้งเขามา”

ครูสุวรรณตั้งใจจะทำให้บิดาของเปรมวดีสะดวกใจในการที่จะปรึกษาเรื่องของเปรมวดีกับหล่อน จึงกล่าวว่า “เมื่อคุณเลิกกับพรรณวดี ดิฉันได้ฟังเรื่องร้อยแปด แต่ดิฉันเดาเอาว่า คุณก็คงหลงเสน่ห์พรรณวดีเหมือนคนทั่วไป แต่พออยู่ไปนิสัยก็คงไม่เหมาะกันก็เลยแตกกัน แต่ว่าจะมีเรื่องอะไรยังไงดิฉันก็ไม่ทราบ พรรณวดีเขาชอบว่าเสมอ ว่าคนอย่างดิฉันไม่รู้อะไรหรอกในเรื่องชีวิต เพราะแก่อยู่กับโรงเรียน”

เอกชาติยิ้มออกมานิดหนึ่ง ทำให้ครูสุวรรณสังเกตว่า เขากับศิษย์รักของหล่อนเหมือนกันไม่น้อยเลย

“พรรณวดีเขาก็ชอบอ้างว่าผมเจ้าชู้” เขาว่า “ก็อาจเป็นจริงก็ได้ แต่ผมเคยมาคิดทวนดูหลายหนเวลาที่สังเกตว่าเปรมแกดูหงอย ๆ จ๋อย ๆ ผมคิดว่าผมได้กับบังอรก็เพราะไม่มีทางจะไปรักใครที่ไหนได้อีก ผมหลงเสน่ห์พรรณวดีจริง แต่พออยู่กันไปก็ผิดหวังเข้าทุกที ๆ พรรณวดีไม่ยอมให้ใครดีกว่าตัวเลย หรือแม้แต่ดีเท่าตัวก็ไม่ได้ พรรณวดีคบกับใครก็เพราะประโยชน์ในทางที่จะทำให้ตัวเด่นขึ้นเท่านั้น และเขาพยายามทำให้ผมเห็นเด่นชัดว่าเขาจะไม่ยอมให้ผมทำให้เขาเด่นน้อยลงเลย เพราะยังงั้นจะเห็นว่า พรรณวดีไม่ทำตัวให้ใครสงสารว่าผัวทิ้งเลย เขาพยายามให้ทุกคนเห็นว่าผมทิ้งเขาเพราะผมเจ้าชู้อย่างแก้ไม่ได้ การที่ผมเป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมาในราชการ และการที่ผมอยู่กับครอบครัวใหม่ได้เรียบร้อย เป็นเรื่องที่พรรณวดีไม่อยากให้เป็นไปเลย จึงไม่ยอมที่จะให้ผมเข้าใกล้เปรมเป็นอันขาด แต่คราวนี้มีเรื่องกับตำรวจ จำเป็นต้องให้ผมเข้ามีส่วนด้วย แต่ผมก็ไม่มีความหมายสำหรับเปรมเลย ผมพยายามไปเยี่ยมแกทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ผลอะไร ถ้าคุณทำให้เปรมมมีสติขึ้นมาได้ ผมก็จะยินดีที่สุด”

“ถ้าเปรมจะค่อยยังชั่วขึ้น” ครูสุวรรณกล่าว “ท่านเห็นทางอย่างไรที่จะทำให้ชีวิตแกสดใสได้ไหม ให้แกได้เปลี่ยนชีวิตทางใดทางหนึ่ง ดิฉันใจหายยังไงก็ไม่ทราบ จะกลัวเกินเหตุหรือยังไงก็ไม่รู้ได้”

เอกชาติก้มหน้าตรึกตรองอยู่สักครู่แล้วก็กล่าวขึ้นว่า “ถ้าผมทำให้แกสามารถไปเมืองนอกได้ คุณจะช่วยพูดกับเปรมให้แกยอมไปได้ไหม”

“ดิฉันจะพยายาม แต่จะให้รับรองอะไรก็ไม่ได้” ครูสุวรรณตอบ

วันรุ่งขึ้น ครูสุวรรณก็ไปเยี่ยมเปรมวดีในเวลาเช้า เอกชาติก็ไปในเวลาไล่เลี่ยกัน เพราะได้นัดแนะกันไว้แล้ว ครูสุวรรณเดินตรงขึ้นไปถึงห้องเปรมวดี โดยไม่รอให้ใครบอกหรือกีดกัน เปรมวดีนอนลืมตา แต่มีแววเซื่องซึมไม่แลเห็นอะไร ครูสุวรรณตรงเข้าไปนั่งบนเตียงข้างตัวศิษย์ เอามือลูบไล้ไปมาแล้วก็พูดเบา ๆ

“เปรม ครูมาหาเปรมอีกแล้วยังไง วันนี้เป็นยังไงบ้าง”

ด้วยธรรมขาติของมนุษย์ที่อยู่ในวัยแห่งความเจริญเติบโต ไม่ใช่อยู่ในวัยที่จะเสื่อมโทรม เสียงของครูสุวรรณสำหรับเปรมวดี เปรียบได้กับน้ำฝนอันชะต้องพืชที่เหี่ยวแห้ง เพราะความแผดเผาของดวงอาทิตย์ เปรมวดีมีแววตาแสดงความสนใจขึ้นมาทันที ความสุขของเปรมวดีตลอด ๘ ปีที่แล้วมา คือการไปอยู่โรงเรียน ดังนั้นอะไรหรือคนใดมาจากโรงเรียน ย่อมเรียกให้หล่อนรำลึกถึงความสุขอันเคยได้รับ เปรมวดีช้อนตาขึ้นดูหน้าครูสุวรรณ แล้วก็เอื้อมมือมาดึงมือครูสุวรรณไปกุมไว้

สายหยุดเข้ามารับเวรพยาบาลแทนจันทร เมื่อเห็นครูสุวรรณอยู่ในอาการสนิทสนมกับศิษย์ ก็ฉวยโอกาสขอให้ช่วยให้ยา ครูสุวรรณอยู่พยาบาลเปรมวดีตลอดเช้า ส่วนบิดาของเปรมวดี เมื่อไต่ถามถึงอาการของบุตรีพอสมควร ทราบถึงความสำเร็จขั้นแรกของครูสุวรรณแล้วก็ลากลับไป

ครูสุวรรณไปพยาบาลเปรมวดีอยู่สามวัน ไข้ของเปรมวดีค่อย ๆ ลดลงตามลำดับ หล่อนต้องอดทนที่สุดเมื่อพบกับพรรณวดี เพราะพรรณวดีไม่ได้พยายามซ่อนเร้นความรู้สึกหมั่นไส้ครูสุวรรณเลย ครูสุวรรณนึกในใจว่า “เอาละ เอากันที เผื่อจะช่วยชีวิตเด็กไว้ได้ แม่เขาจะทำท่าคอแข็งยังไงก็ยอม อย่างน้อยพ่อเขาก็ดูเข้าใจดี ว่าเราไม่ได้บ้าผิดมนุษย์มนาอะไรหนักหนา อย่างน้อยเจ้าหล่อนเพื่อนร่วมชั้นคนสวยคนเด่นก็ต้องรักษามรรยาทผู้ดี อย่างน้อยแกก็ต้องเรียกเรากินของว่าง”

ไข้ของเปรมวดีค่อยๆ ลดลง จนกระทั่งปรอทปรกติ ถึงแม้สีหน้าและกิริยายังเชื่องซึมอยู่ แต่ก็ยังมีเวลายิ้มบ้างเป็นครั้งคราว และมรรยาผู้ดีของเปรมวดีก็กลับมาพอที่จะให้เปรมวดีไม่หันหน้าหนีสายหยุดและจันทร เวลาที่อาผู้ภักดีนำอาหารหรือรินยาให้รับประทาน แต่เปรมวดีจะพูดจะตอบเป็นคำพูดเฉพาะแต่กับครูสุวรรณเท่านั้น เมื่อคุณย่าเข้ามาเยี่ยม เปรมวดีมีสติพอที่ยกมือขึ้นพนมไหว้ท่าน แต่ไม่ยอมตอบคำถามอันแสดงความห่วงใยทั้งสิ้น ถ้ามารดาเข้ามาถามอาการ เปรมวดีหลับตานิ่งหรือทำปากหมุบหมิบเป็นทีว่าได้ตอบแล้ว เหมือนคนหมดแรงไม่สามารถทำอะไรยิ่งไปกว่านั้นได้

ในวันที่แปดนับจากวันที่เปรมวดีล้มเจ็บ และเมื่อได้รับฟังรายงานอาการทั้งหมดจากครูสุวรรณ เอกชาติผู้ซึ่งมาฟังอาการบุตรีทุกวัน แต่เข้าไปเยี่ยมแต่พอให้เปรมวดีรู้ว่าพ่อมาเยี่ยม โดยเขาไม่รบกวนให้ตอบให้พูดอะไรเลย ก็เข้าไปหามารดาของเขา และเรียนว่าเขาปรารถนาจะพูดธุระเฉพาะกับท่าน

เมื่อไต่ถามทุกข์สุขกันตามธรรมเนียมแล้ว เอกชาติก็เริ่มเรื่องที่เขาตั้งใจจะพูด

“คุณแม่ครับ คุณแม่ทราบอาการของเปรมทั้งหมดหรือเปล่าครับ”

สีหน้าของคุณหญิงนาฏหม่นหมอง ญาติมิตรที่มีวิจารณญาณย่อมเล็งรู้ได้อย่างดีว่าท่านสลดใจในความแตกร้าวระหว่างบุตรชายคนเดียวกับหลานสาวสุดที่รักอย่างไร แต่คนที่ไม่นิยมจะเพ่งเล็งในสิ่งใดย่อมจะมองไม่เห็นเลยว่าท่านมีความรู้สึกอย่างใด เพราะท่านไม่ทำความรำคาญให้แก่ใครด้วยการบ่นรำพัน มีแต่ชื่นชมความเป็นผู้ดีอ่อนหวานของท่านเท่านั้น เมื่อถูกลูกชายถามเอาตรง ๆ ดังกล่าว ท่านก็เตรียมใจว่าจะต้องทนฟังสิ่งที่ท่านเกลียดกลัวที่จะฟังเป็นแน่ และตอบเขาอย่างสงบเสงี่ยมว่า “ก็รู้เท่าที่แม่พรรณเล่า”

“เขาเล่าให้คุณแม่ฟังหรือเปล่าว่าเปรมไม่ยอมพูดกับใครนอกจากครูของแก”

“ก็เล่าเหมือนกัน” ท่านตอบสั้น ๆ

“คุณแม่ครับ” เอกชาติเริ่มกล่าวสิ่งที่เขาตั้งใจมาเจรจากับมารดา “ผมไม่เคยขออะไรคุณแม่ให้แก่ตัวผมเลย แต่คราวนี้ผมขอให้เปรม ผมขอให้คุณแม่ส่งเปรมไปเมืองนอก ถ้าแกยอมไป”

“แม่พรรณเขาก็เตรียมไว้ว่าจะให้ไปเหมือนกัน” คุณหญิงมารดาว่าด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

“ผมขอกราบคุณแม่ คราวนี้ผมขอให้คุณแม่ไม่ต้องฟังพรรณวดีจะว่าอย่างไร ถ้าเปรมจะไป ผมให้คุณแม่ออกคำขาดว่าให้แกไป” เอกชาติว่า “คุณแม่ครับ สำหรับตัวผม ผมขอรับผิดว่าผมทำให้คุณแม่เดือดร้อนใจมาก และผมเห็นว่าคุณแม่ได้ตัดสินถูกตลอดมา ผมไม่เคยน้อยใจเลยที่ผมต้องจากบ้านคุณแม่ไป ทั้งที่เดิมทีเดียวมันก็เป็นบ้านของคุณพ่อด้วย แต่ผมก็เห็นว่าผมมีส่วนผิด เพราะการที่ผมแต่งงานกับพรรณวดีนั้น ไม่มีใครกะเกณฑ์ ผมทำโดยสมัครใจของผมเอง แต่คุณแม่คงทราบดีว่าใครอยู่กับพรรณวดีก็ไม่มีความสุข ถึงคุณแม่ก็ไม่มีความสุขเต็มที่อย่างที่คุณแม่ควรจะมี เพราะคนที่ต้องการเด่นอยู่เสมอตลอดวันตลอดปีไม่สามารถจะหาความสุขได้ และคนที่ไม่มีความสุขไม่อาจทำให้คนที่อยู่ด้วยเป็นสุขได้ เราทุกคนต้องรับผิดชอบกับการที่เปรมไม่ใช่เด็กมีความสุข” เขากล่าวตอนนี้โดยพยายามทำเสียงให้ละมุนละม่อมที่สุด เพราะไม่อยากให้มารดาได้รับความกระทบกระเทือนใจเกินกว่าจำเป็น “เปรมเป็นเด็กรักเรียน ถ้าได้เรียนก็จะมีความสุข และเรายังมีบุญพอที่มีเงินทองพอที่จะให้แกหาความสุขได้ เด็กหน้าตาอย่างเปรมไม่จำเป็นต้องรีบหาสามีหรอกครับ แกคงหาได้วันหนึ่งในเมื่อแกสนใจที่จะหา ผมก็ไม่ได้ขออะไรมาก ทรัพย์สมบัติอะไร ผมจะไม่รบกวนคุณแม่เลย แต่ผมขออย่างเดียวว่า ถ้าแกยินดีจะไปเรียน ผมขอกราบเท้าคุณแม่ ขอให้ช่วยให้แกไปให้ได้”

คุณหญิงนาฏถอนใจเบา ๆ “แม่มองไปฟังไปแล้วก็งงไปหมด อะไร ๆ มันไม่เหมือนที่แม่เคยเชื่อเคยคิดเลยสักอย่างเดียว” ท่านรำพัน “แต่พ่อเอกพูดมาแม่ก็พอเข้าใจได้ลาง ๆ ถ้าแม่เปรมอยากไปเมืองนอกแม่ก็จะช่วยให้ไป” ท่านสัญญา ซึ่งเอกชาติรู้ว่าจะไม่มีอะไรในโลกนี้ทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงคำมั่นของท่านได้

เมื่อได้รับความมั่นใจทางมารดาแล้ว เอกชาติจึงแจ้งข่าวให้ครูสุวรรณทราบ พอมาถึงตอนนี้ ตอนที่จะเล้าโลมให้ศิษย์สาวน้อยตัดสินใจไปจากบ้าน ครูสุวรรณก็หมดปัญญา คงได้แต่รอให้เปรมวดีแข็งแรงขึ้นเสียก่อน เปรมวดีค่อยๆ มีแรงขึ้นทีละน้อยๆ จนลุกขึ้นนั่งเล่นบนเตียงได้บ้างแล้ว แต่ทุกคราวที่ครูสุวรรณมาเยี่ยม พอครูจะลากลับ เปรมวดีก็จะถามว่า “ครูขา แล้วพรุ่งนี้ครูจะมาไหม” จนกระทั่งวันหนึ่งที่เปรมวดีมีแรงขึ้นมาก นัยน์ตาแจ่มใสเกือบเป็นคนสุขภาพดีแล้ว พอครูสุวรรณกำลังคิดยินดีว่าเปรมวดีจะหายไข้ ก็สังเกตสีหน้าของสาวน้อยว่า กลับเหมือนก่อนที่จะล้มเจ็บ คือพอครูสุวรรณบอกลาเปรมวดีก็ทำสีหน้าสงบเสงี่ยม มีทีท่าอาการเดิมของเปรมวดี คือไม่อยากรบกวนผู้ใดเกินกว่าความจำเป็นจริงๆ ยกมือไหว้แล้วไม่ขอร้องให้มาอีก เหมือนอย่างที่เคยทำในระหว่างที่เป็นคนเจ็บมาก มีสติไม่เป็นปกติ ขาดการบังคับตนตามนิสัยของเปรมวดีเอง

ครูสุวรรณใจหายวาบทันทีที่เห็นสีหน้านั้น นึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเจรจาให้เปรมวดีไปจากบ้านตามแผนการที่ตนกะไว้ แต่ก็ยังไม่รู้จะเริ่มอย่างไร จนกระทั่งกลับมาบ้าน เห็นประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์ถึงวันสอบคัดเลือกเข้าเรียนในชั้นอุดมศึกษาของสถาบันอื่นๆ จึงคิดขึ้นได้ว่าจะต้องใช้กรุแก้วเป็นเครื่องมือ

ครูสุวรรณส่งจดหมายไปถึงกรุแก้วและลินดาที่สถานกวดวิชา บอกให้ทราบว่าเปรมวดีกำลังพักฟื้นและกำลังต้องการให้เพื่อนไปเยี่ยม คะเนว่าลินดาจะต้องพากรุแก้วไปแน่ ในตอนเลิกเรียนในวันที่ได้รับจดหมายนั้น เพราะรู้จักสาวน้อยเหล่านี้ดีพอที่จะเดาอะไรได้ถูกเกือบหมด เกี่ยวกับว่าเจ้าหล่อนเหล่านั้น ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างใดต่อสิ่งใด ครูสุวรรณนัดให้เอกชาติไปรอพบที่บ้านเปรมวดี ก่อนเวลาเลิกเรียนของลินดาและกรุแก้ว การณ์ก็เป็นไปตามที่คาดคะเนสมใจของหล่อน พอรถของลินดาเข้าประตูบ้านของเปรมวดี ครูสุวรรณผู้ซึ่งนั่งรออยุ่กับเอกชาติในห้องรับแขกหน้าตึก ก็เดินออกมารับ

“อ้อ ครูก็มาหรือคะ” กรุแก้วทักครูเก่าด้วยความแปลกใจและไม่ค่อยพอใจนัก กลัวว่าครูสุวรรณจะขัดความสำราญเป็นแน่ แต่พอมองไปพบบิดาของเปรมวดี เห็นร่างสูงระหงภาคภูมิซึ่งกรุแก้วนิยมนักหนา สีหน้าเปลี่ยนจากไม่ค่อยพอใจเป็นพอใจมากแต่ก็แปลกใจมากด้วย เพราะหล่อนไม่เคยพบเอกชาติที่บ้านนี้เลย

ครูสุวรรณช่วยฟื้นความจำให้เอกชาติเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวของลินดาและกรุแก้ว ว่าเป็นลูกใครหลานใคร มีความสัมพันธ์กับเปรมวดีอย่างไร เอกชาติแสดงความสนใจกับสาวรุ่นทั้งสองเป็นอย่างดีแล้วทั้งสี่คนก็ขึ้นไปเยี่ยมเปรมวดี

“เอ๊ะ นี่ยังไม่ได้กราบคุณแม่เลย” กรุแก้วนึกขึ้นได้ถึงพรรณวดีระหว่างที่ขึ้นบันได้ เอกชาติได้ยินก็เดินเลยไปสั่งจันทรให้แจ้งแก่พรรณวดีว่า เพื่อนของเปรมวดีมาเยี่ยมไข้หล่อน

ถ้ามีโอกาสจะเข้าไปอยู่กับลูกสาวในขณะที่บิดามาเยี่ยมได้ พรรณวดีย่อมจะมาอยู่ด้วยโดยไม่ให้ดูน่าเกลียดเกินไป จนเป็นที่เห็นชัดว่าหล่อนไม่ปรารถนาให้บุตรกับบิดาสนิทสนมกัน เมื่อได้รับบอกเล่าดังนี้พรรณวดีก็มาที่ห้องของเปรมวดีโดยเร็ว

เปรมวดีมีเลือดฝาดพอสมควรแล้ว และลุกนั่งได้บ้าง แต่ยังไม่ค่อยมีแรง เมื่อเห็นเพื่อนมาเยี่ยมก็ยิ้มต้อนรับได้อย่างเคย แต่พอกรุแก้วกับลินดาเล่าถึงการเรียนกวดวิชา และการคาดคะเนถึงผลในการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย เปรมวดีก็มีสีหน้าสลดลงทันที

ครูสุวรรณจ้องดูว่าเมื่อใดที่จะได้พูดสิ่งที่ใคร่พูด พอลินดาเล่าความรู้สึกของหล่อน ว่ามีหวังน้อยกว่ากรุแก้วมากในการที่จะได้เข้ามหาวิทยาลัย ครูสุวรรณก็ถามขึ้น

“ลินดาเมื่อไหร่เธอจะไปเมืองนอก จะเข้ามหาวิทยาลัยเมืองไทยได้แล้วถึงจะไปอย่างนั้นรึ”

“หนูไม่ค่อยนึกอยากไปเองละค่ะ” ลินดาตอบ “หนูคิดถึงเพื่อน”

“แก้วเชียร์เขาแล้วเขาก็ไม่เอาค่ะ” กรุแก้วว่า “ถ้าเธอจะรอฉัน เธอจะแก่ตายเสียก่อนได้ไป”

“อยากลองฝีมือดูบ้างเหมือนกันละ” ลินดาว่า “ไม่งั้นกรุแก้วก็ว่า คนรวยไปเมืองนอก แต่คนเก่งอยู่เมืองไทย”

“กรุแก้วเขาเข้าใจคิดเข้าใจพูด” พรรณวดีเอ่ยขึ้น “แต่ว่าคนที่ไปเมืองนอกเขาไม่ได้ไปเพราะไม่เก่ง เขาไปเพื่อเหตุอื่นก็มี”

เอกชาติรีบพูดขึ้นทันที “เปรมล่ะ ถ้าคุณย่าจะส่งไปเมืองนอก เปรมจะไปไหม”

เปรมวดีหน้าซีดลงทันที เหลือบตาไปดูหน้ามารดา แล้วเอาศีรษะซบลงบนหมอน ส่ายหน้าและพึมพำว่า “เปรมไม่รู้หรอกค่ะ”

“เปรมต้องรู้ อยู่ที่เปรมเอง ถ้าเปรมอยากจะไป คุณย่าจะให้ไป”

พรรณวดีหันไปดูหน้าสามีในอดีตด้วยดวงตาที่มีสีประหลาดหน้าของหล่อนแดงจนเห็นชัด เปรมวดีเหลือบดูหน้ามารดาหลายครั้ง อยากจะฟังว่ามารดาจะตอบบิดาว่าอย่างไร แต่พรรณวดีก็ติดขัดอยู่ที่กรุแก้วกับลินดาอยู่ในที่นั้น หล่อนไม่อาจกล่าวอะไรที่แสดงความรู้สึกขัดเคืองต่อหน้าเพื่อนของลูกได้โดยไม่ทำให้ค่าของตนตกไปในสายตาสาวน้อยทั้งสอง

ครูสุวรรณรีบฉวยโอกาสอีก “ถ้าเปรมไปลินดาก็คงอยากไปใช่ไหม กรุแก้วน่ะ เขาคงได้ทุนอะไรมิอะไรอย่างหนึ่งแน่ละ แต่จะช้าหน่อยเร็วนิดอย่างไรไม่แน่เท่านั้น”

“มีโอกาสไปเมืองนอกแล้วไม่ไปก็โง่เต็มที” กรุแก้วว่า “คนอยากไปก็ไม่มีทางไป ท่านที่จะไปได้ท่านก็เล่นตัวกัน โลกมันเป็นอย่างนี้แหละ”

“จริงๆ นะเปรม พ่อไม่ได้พูดเล่น” เอกชาติกล่าวขึ้นอีก “ไม่เชื่อก็ถามคุณย่าเองซิ”

“ไปซิ เปรม” กรุแก้วสนับสนุน “คุณย่าท่านวางกฎเกณฑ์อย่างไรหรือเปล่าคะ” หล่อนหันไปถามบิดาของเพื่อนโดยซื่อ “ท่านว่าต้องเข้ามหาวิทยาลัยได้เสียก่อนหรือเปล่า”

“ท่านว่าทุกอย่างแล้วแต่เปรม” เอกชาติตอบ

เปรมวดีเริ่มจะจับได้ว่าบิดาของหล่อนมีแผนการอะไร ไม่ใช่พูดไปตามที่เพิ่งนึกคิดขึ้นมา หล่อนมองดูหน้ามารดาทีหนึ่ง บิดาทีหนึ่ง ในที่สุดก็จับตาดูหน้าครูอย่างวิงวอนขอความช่วยเหลือ ครูสุวรรณพยักหน้านิดหนึ่ง ทำทีให้รู้ว่าไว้โอกาสอื่นจึงค่อยพูดกัน กรุแก้วกับลินดาคุยต่อไป พรรณวดีค่อยเลี่ยงออกไปข้างนอก แล้วเอกชาติก็ตามออกไป แต่เขารีบออกจากบ้านโดยไม่ให้โอกาสพบกับภรรยาเดิม ครูและศิษย์คุยกันอยู่จนเห็นสมควรแก่เวลาในการเยี่ยมคนไข้ แล้วครูสุวรรณก็แนะให้กรุแก้วกับลินดามาใหม่ในวันหน้า ทั้งสองก็ลากลับไป

ครูสุวรรณเขยิบเข้าไปหาเปรมวดีทันทีที่กรุแก้วกับลินดาออกจากห้องไป และกล่าวว่า “เปรม เปรมจะอนุญาตให้ครูพูดอะไรกับเปรมเหมือนญาติสนิทเลยได้ไหม เพราะครูหวังดีแท้ ๆ ไม่มีความประสงค์อะไรอื่นเลย”

เปรมวดีดึงมือครูมากำไว้แน่น น้ำตาคลอตา แสดงอาการอนุญาตโดยไม่ใช้วาจา

“เปรม” ครูสุวรรณขึ้นต้น “ครูอยากบอกเปรมสั้น ๆ ที่สุด แต่ขอให้เปรมเชื่อครู ไม่มีใครหวังร้ายต่อเปรมเลย คุณพ่อของเปรมก็รักเปรม ห่วงเปรมที่สุด คนในโลกนี้ทำอะไรผิดพลาดกันไปบ้างอะไรบ้างทุกคน ไม่ใช่ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วจะทำอะไรถูกทุกอย่าง เด็กก็ควรอภัยให้ผู้ใหญ่เหมือนกับที่อยากให้ผู้ใหญ่อภัยแก่ตัวเหมือนกัน คุณพ่อหวังดีที่สุด ได้เจรจากับคุณย่าแล้วว่าขอให้เปรมไปเมืองนอก คุณย่าก็ยอมจะให้ไป ครูขอร้องให้เปรมไป ไปเปลี่ยนชีวิตเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ชีวิตของเปรมยังมีข้างหน้าอีกมากนัก เรื่องที่เกิดแล้วนั้นเมื่อเปรมมีอายุมากขึ้น เปรมก็จะเอามาเป็นบทเรียนสอนเรื่องชีวิตมนุษย์ได้เป็นอย่างดี อาจทำประโยชน์แก่คนอื่นได้มาก เพราะเปรมได้ผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่มีประโยชน์เลยที่จะรื้อฟื้นเรื่องที่เราแก้ไขไม่ได้มาเป็นทุกข์ คุณแม่ก็รักเปรม และการที่เปรมได้อยู่ห่างคุณแม่ เปรมจะได้เป็นตัวของเปรมได้ดี และจะทำความเข้าใจกันได้ดีขึ้น ในโลกนี้คุณแม่ก็ไม่มีใครนอกจากเปรม ถ้าเปรมได้เรียนดีมีชื่อเสียง คุณแม่ก็คงจะภูมิใจในที่สุด เพราะฉะนั้นครูขอร้องเปรม ขอให้ตัดสินใจไปเมืองนอกตามที่คุณย่าได้ตกลงกับคุณพ่อว่าจะให้เปรมไป

เปรมวดีรีบก้มลงร้องไห้กระซิก ๆ แทนคำตอบ แต่ครูสุวรรณรู้ว่าบทบาทของหล่อนในชีวิตเปรมวดีจบลงแล้วด้วยดี

วันที่เปรมวดีออกเดินทางไปต่างประเทศ ที่ท่าอากาศยานคึกคักไปด้วยญาติมิตรของพรรณวดี จุฑากับกิตติมานก็มาส่ง และอวยพรให้เปรมวดีเดินทางไปโดยสวัสดิภาพ จุฑากระซิบกับเปรมวดีว่าเขาจะได้พบกับหล่อนที่ประเทศอังกฤษ เพราะได้ตกลงใจจะไปศึกษาต่อเพื่อให้ได้ปริญญาที่สูงขึ้นไป พรรณวดีผู้ซึ่งเลือกวิถีทางตกบันไดพลอยโจน ก็ทำหน้าให้ยิ้มแย้มและเศร้าสร้อยเล็กน้อยพอให้เหมาะแก่โอกาส เปรมวดีขอบตาแดงช้ำจากการร้องไห้ก่อนจะออกจากบ้าน เพราะอาจันทร์กับอาสายได้ผลัดกันร้องไห้และกอดรัดแสดงความอาลัย จนกระทั่งเปรมวดีต้องร้องไห้อีกเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน คุณหญิงนาฏก็มาส่งหลานสุดสวาทด้วย ท่านพยายามจะให้น้ำตาท่านหยุดไหลริน แต่ก็จำเป็นต้องเช็ดอยู่เป็นระยะ ๆ กรุแก้วกับลินดาผู้ซึ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วทั้งสองคนก็ได้ลาอาจารย์มาส่งเพื่อนพร้อมด้วยมารดาและน้าๆ ของกรุแก้ว โดยอาศัยพาหนะของลินดา เอกชาติพาครูสุวรรณและบุตรีคนรองจากเปรมวดีมาส่งที่ท่าอากาศยานด้วย เสียงญาติมิตรกระซิบกันให้ดูอนุนาฏ บุตรีคนรองของเขาว่าเหมือนพรรณวดีราวกับเป็นลูกแท้ ๆ บางคนก็หัวเราะคิกคักโดยจงใจให้พรรณวดีได้ยิน เพราะเป็นของสนุกสำหรับเขาเหล่านั้น บางคนก็ขยิบตาบุ้ยใบ้ให้รู้ว่าพรรณวดีอยู่ในที่ใกล้ที่อาจได้ยินบางคนก็เข้าไปพะเน้าพะนอคุณหญิงนาฏ บางคนก็ถามว่า ท่านเห็นหลานย่าคนนั้นหรือไม่ว่า เหมือนแม่เลี้ยงราวกับแกะออกมา บางคนก็ถอนใจใหญ่เบาๆ เมื่อแลเห็นพฤติกรรมของเพื่อนร่วมสังคม

ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เปรมวดีต้องอำลาบิดามารดา ญาติผู้ใหญ่และมิตรเพื่อไปศึกษายังถิ่นแปลกและไกล ระหว่างที่ยืนรอดูเครื่องบิน ที่จะพาเปรมวดีจากไป แล่นไปตามพื้นดินเพื่อออกไปยังลานวิ่ง และยืนฟังเสียงเครื่องยนต์สำแดงเสียงสนั่นสะท้านอากาศ กรุแก้วยืนอยู่ข้างมารดาของตนมองดูเครื่องบินด้วยความรู้สึกระคนปนกันหลายประการ ทั้งยินดีกับเพื่อนที่มีโชคดี ทั้งรู้สึกน้อยใจในความอยุติธรรมของชีวิต ก็ได้ยินเสียงมารดาของตัวกล่าวแก่ครูสุวรรณ และน้าของหล่อนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

“สุวรรณ รุ่นเรานี่มีอะไรแปลก ๆ กันนะ”

“มนุษย์มันก็แปลกทั้งนั้นแหละเธอ” ครูสุวรรณตอบ

“แต่รุ่นเรานี่มันมีหลายชนิดจัง” มารดากรุแก้วกล่าวต่อไป “พรรณวดีก็ชนิดหนึ่ง แล้วรจิตก็ชนิดหนึ่ง ฉันก็ชนิดหนึ่งไปเลย”

เธอน่ะเป็นไง” ครูสุวรรณถาม ชำเลืองตามองกรุแก้วแวบหนึ่ง เห็นกำลังตั้งใจฟังมารดา

“ฉันน่ะเรอะ ก็เป็นหม้ายแต่สาว ๆ ได้น้อง ๆ แล้วก็เพื่อนอย่างเธอช่วยกันแทบตาย แต่ก็ชักจะเห็นธงไชยละ เพราะลูกได้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว”

“แล้วพรรณวดีล่ะ เป็นไง อย่างเธอกับพรรณวดีเป็นยังไงกัน”

“ไม่ต้องพูดหรอกน่า ฉันสงสารแกจะตาย” มารดากรุแก้วตอบ “วันนี้เขาพยายามจะทำน่ารักเป็นพิเศษนะ ทักทายปราศรัยทั่วถึง แต่สำหรับฉันเขาดีเสมอนะที่จริงน่ะ”

ครูสุวรรณหัวเราะหึ ๆ มารดากรุแก้วพูดต่อไป “เป็นหม้ายพร้อม ๆ กันนี่ เราผัวตาย เขาถูกผัวทิ้งแล้วฉันก็ไม่ได้ไปเทียมไปเทียบกับเขาได้เลย เราก็ต้องทำมาหากินแทบตาย เขาก็อยู่อย่างของเขา แต่มาตอนยายแก้วเป็นเพื่อนกับเปรม เขาก็ดี ชมเชยลูกเราอยู่เสมอ แต่เรามันบ้านะ ดันไปสงสารเขา ถ้าพูดกับคนอื่นเขาต้องว่าบ้าแน่ นี่พูดกับคนบ้าด้วยกันถึงพูดได้”

ไม่มีใครตอบว่าอย่างไร แต่ดูเหมือนแม่คุณจะกำลังอยู่ในอารมณ์ที่จะระบายความในใจ จึงกล่าวต่อไปอีก “ตอนพ่อของแก้วตายใหม่ ๆ ฉันทนดูใครเขามีผัวมีเมียไม่ได้ไปหมด พอพรรณวดีเขาเลิกกับคุณเอก ใคร ๆ พูดว่าสงสาร ฉันโกร๊ธโกรธ ฉันคิดว่าถึงจะมีเมียใหม่สัก ๕ คน ก็ขอให้อยู่ให้ได้เห็นหน้ากันเถิด มาทีหลังถึงได้คิดว่าเขาน่าสงสารกว่าเราอีก ยิ่งคนอย่างพรรณวดีถูกผัวทิ้งนี่ ผัวตายดีกว่า แหมคงเหนื่อยพิลึกละ ต้องตีหน้าต่าง ๆ แม้แต่กับลูกของตัวเอง แม้แต่กับแม่ผัวซึ่งเหมือนกับแม่ตัว”

“ฟังเธอแล้วดูเหมือนต้องตัดสินใจว่าบ้าจริง ๆ” ครูสุวรรณว่า กรุแก่วเหลือบตาดูหน้ามารดา ทุกครั้งที่ครูสุวรรณพบกับแม่คุณ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องว่าอีกฝ่ายหนึ่ง “บ้า” เสมอ แต่กรุแก้วไม่เคยสนใจเลย เพิ่งจะรู้สึกว่ามีความหมายอะไรอยู่ในคำ ๆ นี้ในคราวนี้เท่านั้น

พอดีมีการเคลื่อนไหวใหญ่เกิดขึ้น เครื่องบินได้ขึ้นสู่อากาศแล้ว คนทั้งหลายกำลังละจากที่ที่ยืนออกไปยังพาหนะของตน ครูสุวรรณก็ส่ายตาหาเอกชาติด้วยกลัวว่าเสร็จธุระของเขาแล้ว เขาอาจลืมผู้โดยสารรถของเขาเสียคนหนึ่งก็ได้ ระหว่างนี้กรุแก้วได้ยินมารดากล่าวแก่ครูสุวรรณว่า “นี่ ยังไม่ได้บอกเธอ รจิตเจ็บเป็นมะเร็งอยู่โรงพยาบาล ดูเถอะ พอลูกผัวจะดีก็จะตายเสียแล้ว แต่ก่อนก็ทุกข์ทรมาน เงินเป็นโอ่งเป็นไหไม่ได้เรื่องเสียเลย”

พอดีลินดามาเรียกกรุแก้วและแม่คุณ ให้ไปขึ้นรถ กรุแก้วจึงต้องละจากที่นั้น แล้วครูสุวรรณกับคณะของหล่อนก็แยกทางกัน ต่างคนก็ต่างกลับเข้ากรุง

ระหว่างทาง กรุแก้วถามมารดาว่า “แม่คุณคะ รจิตที่กำลังจะตายน่ะ รจิตไหนคะ”

“ก็รจิตที่แก้วเคยถูกใคร ๆ สอนให้เรียกว่าน้าซินเดอเรลลายังไงล่ะ” แม่คุณตอบ “เขาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับแม่ กับครูสุวรรณ กับพรรณวดี เขาเป็นลูกกำพร้า อาจารย์ใหญ่เอามาเลี้ยงไว้ พอเรียนจบก็มีท่านสามีนี่แหละ แสนจะหนุ่มหล่อรวยมารักขอแต่งงานด้วย เพื่อนรุ่นแม่ตื่นเต้นกันจะตาย เรียกกันว่าซินเดอเรลลา แต่พอแต่งงานกันไม่กี่ปี ท่านสามีท่านก็มีเมียน้อยไป มีไป ไม่รู้ว่ากี่คน แล้วลูกก็ไม่ได้เรื่อง ไปเมืองนอกก็ไปถูกส่งกลับทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่มาตอนหลังเร็ว ๆ นี้ ท่านสามีกลับมาอยู่บ้านอยู่ช่อง ลูกชายกลับตัว ที่เคยกินเหล้าก็เลิกกิน ไปทำงานกับฝรั่งเขาก็ว่าตั้งอกตั้งใจดี ลูกผู้หญิงก็กำลังจะแต่งงาน แต่นั่นแหละ มนุษย์เรามันมีอะไรกันมาแปลก ๆ รจิตเกิดล้มเจ็บ เป็นมะเร็งจะตายภายในไม่กี่เดือน สงสารแกจริงๆ เมื่อตอนพ่อแก้วตายใหม่ ๆ แม่นึกว่าตัวเป็นคนน่าสงสารที่สุดในโลก เดี๋ยวนี้ดู ๆ ไปเห็นคนน่าสงสารกว่าเรามากเหลือเกิน ยิ่งตั้งแต่แก้วเข้ามหาวิทยาลัยได้ แม่เลยนึกว่าเป็นคนมีบุญไปแล้ว มีลูกเป็นที่ระลึกของคนที่เรารักไว้คนเดียวก็ได้สมใจทุกอย่าง แล้วแม่คุณก็ตบศีรษะเป็นเชิงล้อเล่นแก้กระดากเบา ๆ

“เปรมไปถึงไหนแล้วนะ” กรุแก้วเอ่ยขึ้นเหมือนกับว่า เรื่องที่มารดากล่าว ทำให้หล่อนรำลึกอะไรที่สำคัญขึ้นมาอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเปรมวดีและตัวหล่อน

“ป่านนี้คงไปถึงพม่าถึงมอญไปแล้วกระมัง” น้าของกรุแก้วตอบคำปรารภ

“ดีใจจริงที่แกไปเสียได้” แม่คุณว่า “น่าสงสารด้วยกันทั้งนั้น คุณหญิงก็น่าสงสาร ยายเปรมก็น่าสงสาร ถึงพรรณวดีก็น่าสงสาร”

สงสารเขาทำไมกันคะ แม่คุณ” กรุแก้วถาม รู้สึกว่าตัวมีอาการใจเต้นพิกล

“คนที่ผูกใจเจ็บเรื่องอะไร น่าสงสารทั้งนั้นแหละลูก” แม่คุณตอบ “พรรณวดีเขาผูกใจเจ็บเรื่องคุณพ่อเปรมทิ้งไปไม่รู้จักหาย ที่แกขอดค่อนยายเปรมต่าง ๆ ก็เพราะ...เออ เพราะอะไรแม่ก็ไม่รู้ แม่ก็ไม่ใช่นักจิตวิทยาหรืออะไร รู้แต่ว่าความสวยความงาม เกียรติยศเงินทองไม่ทำให้แกมีความสุขเลย แล้วแกก็เลยทำให้ลูกแกไม่มีความสุขไปด้วย แม่ก็ไม่ค่อยรู้ตื้นลึกหนาบางของเขานัก แม่มัวแต่ต้องทำมาหากิน แต่แม่สังเกตว่าเวลายายเปรมแกได้มาบ้านเราทีหนึ่ง ๆ ดูแกรื่นเริงผิดกับเวลาแกใส่เครื่องเพชรชั้นหนึ่ง ไปเข้าสังคมกับแม่แก แม่อาจจะเป็นคนเข้ากับตัวเองอย่างมากก็ได้ แต่แม่กำลังรู้สึกว่าแม่มีบุญจริง ๆ นาน ๆ แม่ก็ฝันถึงคุณพ่อว่ามาคุยกัน รักกัน แม่มีความสุขตลอดคืนไปเลย ตื่นขึ้นไปทำงานก็ยิ้มไปเรื่อย จะบ้าอย่างที่ครูสุวรรณเขาว่าหรือยังไงก็ไม่รู้”

กรุแก้วกับลินดา นั่งตรึกตรองมาตลอดทางที่รถแล่นเข้ากรุงเทพฯ สมองของสาวน้อยทั้งสองเต็มไปด้วยปัญหาชีวิต มองเห็นเป็นแสงขาว ๆ บ้าง แสงรุ้งพรายงดงามบ้าง เงาเทา ๆ บ้าง แต่ความเร่าร้อนด้วยความอิจฉาในโชคของเปรมวดี จางหายจากใจของเจ้าหล่อนทั้งสองไปหมดสิ้น

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ