นากพระโขนงที่สอง

ท่านทั้งหลายบางทีจะได้ทราบบ้างบางท่านว่าเมื่อไม่สู้นานมานักแล้วเกิดมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นเรื่องหนึ่ง แต่เพราะเป็นข่าวเล่าลือกันนอกๆ ไม่ได้ลงหนังสือพิมพ์จึงทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า คงจะมีอยู่หลายท่านที่ไม่ได้ทราบเรื่องนี้เลย หรือทราบแล้วลืมเสีย เพราะฉะนั้นถ้าข้าพเจ้าจะเล่าซ้ำอีกคงจะไม่เป็นการขัดข้องอันใด อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า มีคนน้อยคนที่ทราบเรื่องราวตลอด การที่เกิดมีนางนากพระโขนงขึ้นใหม่อีกคนหนึ่ง และปิศาจนั้นดุเพียงใดบางทีจะมีผู้ทราบอยู่หลายคน แต่ที่ทราบว่าทำไมปิศาจนั้นจึงสงบไปนั้นคงจะไม่มีกี่คน ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้ทราบเรื่องราวตลอดผู้หนึ่ง เพราะฉะนั้นจะขอเล่าให้ท่านดังต่อไปนี้

เมื่อสองสามปีมานี้แล้ว มีข่าวเล่าลือกันขึ้นว่าเกิดมีปิศาจดุขึ้นใหม่ที่บางพระโขนง บางปากก็กล่าวว่าปิศาจนี้คือตัวนางนากที่ขึ้นชื่อลือนามมากมากแล้วนั้นกลับมาเที่ยวหลอกหลอนคนใหม่ บางปากก็กล่าวว่าเป็นปิศาจใหม่ชื่อนากเหมือนกัน แต่ภายหลังได้ความว่าปิศาจนี้มีผู้เห็นตามใกล้ๆ บ้านของพันโชติกำนัน พันโชตินั้นเป็นคนมีเงินอยู่บ้างมีภรรยาชื่อนาก ภรรยานั้นถึงแก่กรรมลงได้แล้วประมาณปีเศษ มีบุตรชายอยู่สองคน พันโชติมีความคิดจะหาภรรยาใหม่ แต่ไม่มีหญิงใดกล้าเป็นภรรยาพันโชติ โดยเหตุที่ทราบข่าวอยู่แล้วว่ามีปิศาจที่บ้านนั้น นากภรรยาเก่าของพันโชตินั้น คนแถวนั้นทราบอยู่ทั่วกันว่า เมื่อเวลามีชีวิตอยู่นั้นเป็นผู้หึงมาก และเมื่อจะถึงแก่กรรมได้กล่าวไว้ว่าถ้าผัวมีภรรยาใหม่จะเป็นปิศาจมาหลอก เพราะฉะนั้นคนทั้งหลายจึงลงใจเห็นกันหมดว่าปิศาจนั้นคงจะเป็นปิศาจของนากแน่ ปิศาจนั้นทำประโยชน์ให้แก่พันโชติมาก เวลากลางคืนมีผู้เห็นเที่ยวเดินอยู่ริมคอกกระบือของพันโชติเนืองๆ และครั้งหนึ่งเมื่อมีผู้ร้ายจะมาลักกระบือปิศาจนั้นก็ได้กระทำให้ผู้ร้ายนั้นต้องหนีไป เพราะได้ยินเสียงร้องอึงขึ้นที่ริมคอก และช่วยตักน้ำให้พันโชติเต็มๆ ตุ่มทุกคืน

ในเวลานั้นผู้ที่ทราบเรื่องนี้แล้วมีอยู่สองจำพวก พวกหนึ่งเชื่อว่าเป็นปิศาจจริง อีกพวกหนึ่งไม่ออกความเห็นเลย ฟังแล้วก็ลืมนิ่งไป มีคนอยู่คนเดียวที่ข้าพเจ้าทราบแน่ว่าไม่อยู่ในจำพวกทั้งสองซึ่งกล่าวแล้วนั้น คือมิตรของข้าพเจ้าผู้หนึ่ง ซึ่งในที่นี้ข้าพเจ้าจะเรียกว่านายทองอิน นายทองอินนี้เป็นคนมีสติปัญญาไหวพริบมาก ทั้งมีความรู้ดีด้วย ซึ่งทำให้ผู้ซึ่งรู้จักเขาประหลาดใจมากว่าไม่ทำราชการในกระทรวงหนึ่งกระทรวงใดเลย อีกประการหนึ่งมีผู้ไม่ทราบอยู่โดยมากว่านายทองอินทำการหาเลี้ยงชีพอย่างไร เขาไม่ได้ค้าขาย ไม่ได้เป็นหมอความ และดูเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ก็มีบ้านอยู่สบายและมีเงินใช้พอเสมอ ข้าพเจ้าขอขยายความลับในข้อนี้ให้ท่านฟัง (ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตของนายทองอินแล้วให้ขยาย) นายทองอินนั้นทำการคล้ายพลตระเวนลับ คือเป็นผู้สืบข่าวต่างๆ โดยทางเงียบๆ บรรดานักเลงสำคัญๆ นายทองอินไม่รู้จักนั้นน้อย แต่นักเลงเหล่านั้นไม่ใคร่จะรู้จักนายทองอิน เพราะเขาชำนาญในการปลอมตน ข้าพเจ้าเองได้เคยเห็นเขาปลอมตนหลายครั้งจึงรู้ได้ว่าปลอมดีอย่างไร ถ้าลงได้ปลอมตนแล้วเป็นไม่มีผิดของจริงเลย เขาได้เคยช่วยราชการกองตระเวนลับมาหลายครั้งแล้ว ครั้งหนึ่งเขาปลอมเป็นญวนเข้าไปในบ้านญวนสามเสน เพื่อจับผู้ต้มสุราเถื่อน พวกญวนไม่ได้สงสัยเลย ถ้าพลตระเวนไม่ขาดนัดเสียครั้งนั้นก็คงจะจับผู้ต้มสุราเถื่อนได้หลายคน อีกครั้งหนึ่งเขาปลอมเป็นจีนเข้าไปในที่ประชุมอั้งยี่ ณ สำเพ็งได้ความสำคัญๆ มาให้กองตระเวนมาก แต่ที่ข้าพเจ้ากล่าวทั้งสองเรื่องนี้ถึงสำคัญน่าฟังก็จริงแต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องปิศาจพระโขนง เพราะฉะนั้นต้องงดไว้ที

พอข้าพเจ้ายินข่าวเรื่องนางนากพระโขนงที่เกิดขึ้นใหม่นั้นข้าพเจ้าก็ไปหานายทองอิน แต่พอนั่งลงยังไม่ทันได้เอ่ยขึ้นนายทองอินก็ชิงพูดขึ้น

“จริง! จริง! ฉันไม่เชื่อว่าผีเหมือนกันและ อะไรผีจะมาทำได้อย่างนั้น”

ข้าพเจ้ายิ้มแล้วพูดว่า “แหม! ทายใจแม่นจริง ฉันตั้งใจมาจะเล่าเรื่องอีนากพระโขนงที่เกิดขึ้นใหม่นี้ให้แกฟังทีเดียว”

นายทองอินก็ตอบว่า “ฉันทายใจแกถูกน่ะซิฉันจึงชิงพูดขึ้นเสียก่อน”

ข้าพเจ้าหัวเราะแล้วถามว่า “ก็ถ้ามันไม่ใช่ผีมันเป็นอะไรเล่า”

“มันก็คนน่ะซิ พ่อวัด”

“ก็อ้ายคนนั้นมันมีประสงค์อะไรล่ะ”

“นี่แหละฉันยังไม่ได้สืบสวนให้ถ้วนถี่จะบอกแกเห็นจะยังไม่ได้ แต่มีของแน่อยู่อย่างหนึ่งคือ เจ้าคนที่ทำผีหลอกนั้นไม่ได้ประสงค์ขโมยพันโชติ”

“ทำไมแกถึงรู้เล่า”

นายทองอินแลดูหน้าข้าพเจ้า แล้วยิ้มแลถอนใจใหญ่

“พ่อวัดนี่เมื่อไหร่แกถึงจะรู้จักฉันดีเสียสักทีหนอ ก็ฉันจะไปรู้อย่างไรได้นอกจากฟังตามคนเขาพูดกัน แกก็คงรู้ในเรื่องนี้เท่ากับฉันเหมือนกันแต่ไม่ได้ตริตรองเท่านั้นเอง คิดดูเถอะ เจ้าผีนี่มีผู้เห็นมาหลายวันแล้วเห็นอยู่ใกล้ๆ บ้านพันโชติเสมอ ตามที่เล่ากันนั้นตัวพันโชติเองก็เชื่อว่าเป็นผีของเมียแกที่ตาย คนอื่นก็เชื่อเช่นนี้ทุกคน ก็ถ้าเจ้าคนที่ทำหลอกนั่นมันตั้งใจขโมยพันโชติมันมิขโมยเสียนานแล้วหรือ เพราะคนคงไม่คิดจับ มัวกลัวผีกันเสียหมด แล้วครั้งหนึ่งมีคนจะไปขโมยกระบือเจ้าผีนั้นยังร้องเอะอะขึ้นจนอ้ายขโมยต้องหนีไป”

“ก็ถ้าเจ้าขโมยนั่นจะทำกลอุบายแกล้งร้องขึ้นเสียเองทีหนึ่งก่อน สำหรับให้พันโชติวางใจว่ามีผีเฝ้ากระบือ จะได้ไม่รักษาให้กวดขันเช่นนี้ไม่ได้หรือ”

นายทองอินพยักหน้ายิ้ม แล้วตอบว่า “ถูก!ถูก! เออ ใช้ความคิดบ้างอย่างนี้ถึงจะดี ตัวฉันนี้ถ้าไม่มีผู้เถียงไว้บ้างก็จะเลยเชื่อตัวและความฉลาดของตัวจนเกินไป บางทีจะทำให้เสียการได้ ที่พ่อวัดทักขึ้นครั้งนี้ถูกทีเดียว อ้ายขโมยมันอาจจะแกล้งทำกลอุบายได้ แต่ว่ามีอยู่อย่างหนึ่ง คือตั้งแต่เจ้าผีได้ไล่ขโมยไปแล้วยังไม่มีใครคิดขโมยกระบือของพันโชติอีกเลย การก็หลายวันมาแล้วเกือบครึ่งเดือนได้ เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าน่ากลัวจะไม่ใช่ขโมยเสียแล้ว”

ข้าพเจ้าจึงถามขึ้นว่า “ก็พวกโปลิศเขาว่ากระไรกันเล่า แกรู้ไหม”

นายทองอินตอบว่า “ฉันสืบดูแล้ว ได้ความว่าคุณฝรั่งเจ้ากรมท่านไม่เห็นมีเหตุสำคัญพอที่ท่านจะใช้มันสมองของท่าน อีกประการหนึ่งเวลานี้ท่านกำลังมีธุระมาก ทหารหมิ่นประมาทท่านร่ำไป ประเดี๋ยวคิดจะแทงท่าน ประเดี๋ยวคิดปล้นโรงพยาบาลพลตระเวน ประเดี๋ยวยิงกับพลตระเวน โอ๊ย อ้ายทหารละหมู่นี้มันช่างวุ่นเสียจริงๆ มันช่างไม่รู้จักกลัวเกรงใต้เท้ากรุณาเจ้าเลย” ข้าพเจ้าได้ฟังนึกหัวเราะไม่ได้ เพราะทราบดีอยู่แล้วว่านายทองอินไม่ชอบท่านเจ้ากรมกองตระเวนเพียงเท่าใด แต่ข้าพเจ้าแกล้งพูดขึ้นว่า “ถึงอย่างนั้นก็เถอะถ้าแกเห็นเป็นการสำคัญจริงๆ แกควรจะไปตักเตือนท่านปลัดกรมให้นำความขึ้นเสนอท่านเจ้ากรมลองดูสักที ดูทีหรือว่ากรมกองตระเวนจะมีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้”

นายทองอินหัวเราะเป็นทีเยาะๆ แล้วตอบว่า “จะต้องไปบอกเล่าเขาให้เสียเวลาทำไม ฉันก็รู้แล้วท่านเจ้ากรมจะว่ากระไร ท่านเจ้าประคุณคงนั่งเคาะโต๊ะกักๆ อยู่สักครู่หนึ่งแล้วพูดเหมือนได้เล็งทิพยเนตรสอดส่องเห็นตลอดแล้วว่า ไม่มีคนอื่นละ อ้ายพวกทหารคิดทำร้ายพลตระเวน คิดปล้นกำนันผู้ใหญ่บ้าน แล้วก็มีคำสั่งให้จับใครๆ ไม่ว่าสุดแท้แต่จะจับได้ พอให้เป็นตัวแมงใส่ยุนิฟอร์มก็แล้วกัน มันจะเดินอยู่ไหนๆ ก็ได้จับมันเข้าคนหนึ่งก็แล้วกัน แล้วยุทธนาเขาก็ไปชำระกันเองแหละ เมื่ออ้ายนั่นพิรุธก็เคราะห์ของมัน ถ้าเขาปล่อยมันๆ ไม่มีความผิดก็แล้วไป เราจับสงสัยต่างหาก แบบสำคัญของพลตระเวนมีอยู่อย่างหนึ่ง คือถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นจับทหารไว้ก่อนเป็นดี ถ้าพลาดท่าไม่มีทหารอยู่ใกล้ๆ ก็ทุบเจ๊กเสียสักสองสามคนพอเป็นขวัญมือ”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ก็ถ้าอย่างนั้นแกจะทำอะไรเล่า แกจะนิ่งเสียไม่ทำอะไรเลยหรือ”

นายทองอินนิ่งตรองอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งแล้วตอบว่า “ถ้าจะว่าไปโดยจริง เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวฉัน แต่เวลานี้ว่างงานอยู่ลงไปบางพระโขนง ไปสืบกันเล่นสนุกๆ ก็ได้ แกจะไปด้วยหรือ”

ข้าพเจ้าก็รับโดยทันที เพราะข้าพเจ้าได้เคยไปกับนายทองอินบ้างแล้วบางคราวในเวลาเขาไปสืบการต่างๆ และบางทีก็ได้ช่วยเขาบ้างตามสติกำลังของข้าพเจ้า แต่อย่างไรๆ ก็ดี นายทองอินเป็นเชื่อได้แน่ว่าข้าพเจ้าไม่เป็นคนปากพล่อย สิ่งใดเขายังไม่อนุญาตให้ขยายเป็นไม่ขยายเป็นอันขาด

พอได้ตกลงกันว่าจะไปบางพระโขนงแล้ว รุ่งขึ้นนายทองอินกับข้าพเจ้าก็พากันขึ้นรถไฟเช้าไป เมื่อถึงบางพระโขนงแล้ว นายทองอินก็ยังหาตรงไปบ้านพันโชติไม่แต่ไปเที่ยวสนทนากับชาวบ้านในเรื่องนี้มาก สังเกตดูคนตามเหล่านั้นเชื่อแน่ว่าเป็นปิศาจของนากภรรยาพันโชติทั้งสิ้นไม่มีผู้ใดสงสัยเลยว่าจะเป็นผู้ร้าย การที่สืบสวนตามชาวบ้านนั้นก็ไม่ได้เรื่องราวอะไรมากมายขึ้นไปกว่าที่เราทราบอยู่แล้ว มีอยู่อย่างหนึ่งซึ่งตัวข้าพเจ้าเองไม่เห็นเป็นข้อสำคัญคือ

เพื่อนบ้านของพันโชติผู้หนึ่งชื่อ นายเปรม กล่าวว่า ครั้งหนึ่งพันโชติได้รับหนังสือมีความว่า ในการที่มาครั้งนี้ไม่มีความประสงค์อย่างอื่นนอกจากจะทำประโยชน์ให้พันโชติ เพราะฉะนั้นพันโชติและบุตรพันโชติทั้ง ๒ คนไม่ต้องกลัวเกรงอะไรเลย คงจะไม่ทำร้ายคนทั้งสามนั้นแต่ถ้าพันโชติคิดมีภรรยาใหม่คงได้เห็นดีกัน ในท้ายหนังสือนั้นลงนาม “นากภรรยา” นายทองอินเมื่อได้ฟังนายเปรมเล่าเช่นนี้แสดงกิริยาให้ข้าพเจ้าเห็นได้ว่า เขาเห็นเรื่องนี้เป็นข้อสำคัญอย่างหนึ่ง เขาถามนายเปรมว่า “หนังสือฉบับนั้นแกได้เห็นหรือเปล่า”

นายเปรมตอบว่า “ได้เห็น”

“แกจำลายมือได้หรือ?”

“ผมจำไม่ได้ขอรับ”

“ก็แกได้รู้จักกับนากหรือเปล่า?”

“รู้จัก ขอรับ ผมไปมาหาพันโชติอยู่บ่อยๆ”

“แกรู้หรือไม่รู้ ว่านากนั้นเขียนหนังสือเป็นหรือไม่เป็น?”

“ผมไม่แน่ แต่เข้าใจว่าเขียนไม่เป็น ผมไม่เคยเห็นเขาเขียนเลย”

“คนในบ้านพันโชติใครเขียนหนังสือเป็นบ้าง?”

“ตัวพันโชติเองเขาก็เขียนได้บ้างนิดหน่อย แต่เขามักอาศัยพ่อชม”

“พ่อชม น่ะใคร?”

“พ่อชมคือลูกคนใหญ่พันโชติ ขอรับ”

“อือ ก็ลายมือในหนังสือนั้นเหมือนลายมือพ่อชมไหม?”

นายเปรมนึกอยู่ประเดี๋ยวแล้วตอบว่า

“ผมไม่ได้ตั้งใจสังเกต”

“ก็มีใครเขียนหนังสือได้อีกบ้างไหม?”

“พ่อชื่นน้องพ่อชมเขาก็เขียนได้บ้างนิดหน่อย ขอรับ”

“แกรู้ไหมว่าหนังสือนั้นพันโชติยังเก็บไว้หรือเปล่า?”

“ผมไม่ทราบ”

“เออ เจ้าชมน่ะ อายุเท่าไร?”

“เห็นจะได้สัก ๑๕-๑๖ ขอรับ พ่อชื่นอ่อนกว่าพ่อชม ๒ ปี”

“ในเรื่องที่พันโชติจะมีเมียใหม่นั้นเจ้าลูก ๒ คนว่ากระไรบ้าง?”

“ผมได้ยินพ่อชมพูดอยู่ว่า ไม่อยากให้พ่อมีเมียใหม่ เขากลัวเรื่องทรัพย์สมบัติ ขอรับ เมื่อวานซืนนี้เอง เขายังพูดกับเจ้าปริกลูกกระผมว่าเขาดีใจนักที่แม่มาทำหลอกอยู่ยังงี้ ผู้หญิงจะได้กลัวไม่อาจมาเป็นเมียพ่อ แล้วก็ชวนเจ้าปริกให้ไปดูผีด้วยกันขอรับ”

“เมื่อชวนกันน่ะเวลาไร แกจำได้ไหม?”

“เวลาพลบค่ำ ขอรับ แต่เจ้าปริกก็ไม่ได้ไปทันที พ่อชมเขาบอกว่าแล้วเขาถึงจะมารับ พอตอนกลางคืนเมื่อผมจะเข้าไปนอน เจ้าสองคนจึงได้พากันไป”

“แล้วเมื่อไรถึงได้กลับ?”

“ดึกขอรับ ผมไม่ทราบแน่ว่ากี่ทุ่มกี่โมง”

“เจ้าปริกเคยไปกับเจ้าชมหลายหนหรือ?”

“ที่ผมทราบเห็นมีสัก ๒ หน หรือ ๓ หน แต่จะไปด้วยกันอีกกี่หนแน่ผมก็ไม่ทราบ เจ้าปริกของกระผมนี่ ผมบ่นๆ อยู่ว่าน่ากลัวจะเสียคน ดูชอบเที่ยวกลางคืนนัก ผมสงสัยว่าจะไปติดผู้หญิงที่ไหนเป็นแน่ แต่ถ้าเพียงเท่านั้นผมก็ไม่ว่า ผมกลัวมันจะไปคบเพื่อนฝูงเสเพล จะพลอยให้ความเสียมาถึงกระผมด้วย”

นายทองอินพยักหน้าแล้วก็สนทนากับนายเปรมเรื่องอื่นๆ ต่อไปอีกตามสมควร พอไม่ให้เกิดความสงสัยแล้วก็ลุกลงจากเรือน เมื่อออกนอกรั้วบ้านนายเปรมแล้ว นายทองอินยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อวัด.........ท่าทางเห็นจะชอบกลนา เราคิดอ่านไปหาตาพันโชติเองเห็นจะดี”

เดินไปไม่ช้านักก็ถึงบ้านพันโชติ ก่อนเข้าไปหาตัวเจ้าของบ้าน นายทองอินเที่ยวเดินดูตามข้างนอกเสียก่อนจนรอบ ที่นั้นก็ไม่มีอะไรมากนัก มีเรือนฝากระดานสองหลัง รั้วกั้นสามด้าน รั้วนั้นจดถนน หลังเรือนมีคูแต่ไม่มีรั้ว ต่อคูออกไปอีกสี่ห้าก้าวถึงคอกกระบือ ผู้ที่จะออกไปจากเรือนไปคอกกระบือ ต้องข้ามสะพานไม้ท่อนเดียว ต่อคอกกระบือออกไปเป็นทุ่งนา มีโรงนาอยู่ปลายเขตของพันโชติโรงหนึ่ง บ่าวของพันโชติอาศัยอยู่ เมื่อตรวจนอกบ้านเสร็จแล้วจึงพากันเข้าไปในบ้าน นายทองอินตรงขึ้นไปขอน้ำรับประทาน พันโชติก็เชิญนายทองอินกับข้าพเจ้าขึ้นไปบนเรือน ยกเชี่ยนหมากออกมาตั้งให้ แล้วก็เข้าไปเพื่อหาน้ำมาให้รับประทน นายทองอินมองดูรอบๆ ตัวสักครู่หนึ่งแล้วพูดกับข้าพเจ้าว่า

“ยังไงพ่อวัดบ้านแกก็สบายดอกนะ”

ข้าพเจ้าพยักหน้า นายทองอินถามข้าพเจ้าว่า “แกเห็นอะไรประหลาดในนี้บ้างไหม?” ข้าพเจ้ารับว่าข้าพเจ้าไม่เห็น นายทองอินยิ้มแล้วก็ชี้มือไปทางมุมห้องที่นั่งกันอยู่ในเวลานั้น ข้าพเจ้าแลตามไปจึงแลเห็นกระทงสองสามกระทง มีของกินและขนมกับก้านธูปปักอยู่ด้วย ข้าพเจ้ากำลังจะถามนายทองอินว่าแปลว่ากระไรกัน พอเวลานั้นพันโชติกับนายชมบุตรก็ออกมา นายทองอินก็สนทนากับพันโชติเรื่องไร่นาและอื่นๆ แล้วค่อยๆ ชักมาถึงเรื่องปิศาจ สังเกตดูหน้าพันโชติดูออกเบื่อในเรื่องนี้มาก เมื่อถามอะไรแกก็ตอบไปโดยขัดไม่ได้ และเมื่อแรกแกก็ไม่ได้เล่าอะไรซึ่งเรายังไม่ทราบเลย จนนายทองอินแกวนเวียนไปมาหนักเข้าจึงได้ความต่อไปอีก คำถามคำตอบกันในครั้งนั้นข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ถนัด แต่เขียนลงให้อย่างใกล้ที่สุดได้ดังนี้

นายทองอิน “คนในบ้านแกมีกี่คน”

พันโชติ “มีผมเองกับบุตรสองคน”

ทองอิน “บ่าวมีกี่คน”

พันโชติ “แต่แรกมีสองสามคน เดี๋ยวนี้มีเหลือแต่คนครัวคนเดียว”

ทองอิน; “ทำไมถึงอย่างนั้นล่ะ”

พันโชติ; “ตั้งแต่เกิด-นี่แหละขอรับ”

ทองอิน “อ้อ บ่าวมันกลัวผีหรือ”

พันโชติ “ขอรับ มันหนีไปอยู่กะท่านสมภารเสียหมดขอรับ ผมก็ขี้เกียจไปตามมันมา เจ้าลูกผมเขาก็ช่วยๆ อยู่มั่งดอกขอรับไม่ลำบากอะไร”

ทองอิน “ก็ผีช่วยแกทำงานจริงหรือ”

พันโชติ “น้ำผมไม่ต้องตักเองเลยขอรับ หมู่นี้พอเช้าเป็นมีเต็มตุ่มอยู่เสมอขอรับ อีกอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้ไม่ต้องร้อนใจเรื่องควายเลยขอรับ เป็นไม่มีใครกล้าเข้าใกล้คอกเทียว”

ทองอิน “ผีนั้นมีคนเห็นมากหรือ”

พันโชติ “เห็นกันหลายคนแล้วขอรับ เมื่อวานซืนนี้พระท่านมาสวดมนต์เมื่อกลับไปวัดท่านก็ได้ยินเสียงแกรกกราก”

ทองอิน “ได้ยินที่ไหน”

พันโชติ “ที่ต้นมะขามหลังเรือนขอรับ ผมก็ได้ยิน อ้ายลูกผมมันก็ได้ยินทั้งสองคนแลขอรับ อ้ายชมลูกคนใหญ่ผมมันรีบวิ่งออกไปดูก็ไม่เห็นมีอะไร แต่ไพล่ไปเขย่าคอกควายอยู่ขอรับ ผมตามออกไปดูที่นั่นก็ไม่เห็นมีใคร เห็นแต่เป็นเงาๆ หายแวบไป”

ทองอิน “เออแล้วยังไรต่อไป”

พันโชติ “คืนนั้นเองแหละขอรับ อ้ายชมไปปลุกผมขึ้นเอากระดาษส่งให้แผ่นหนึ่ง ผมคลี่ออกดูเห็นเป็นหนังสือถึงผม เซ็นชื่อเมียผมที่ตาย”

ทองอิน “เจ้าชมได้บอกหรือเปล่าว่ามันได้หนังสือมาจากไหน”

พันโชติ “มันบอกว่ามันนอนอยู่แต่ยังไม่หลับเสียงดังกรอกแกรกที่หลังคา แล้วหนังสือนี้ตกลงมาข้างที่นอนขอรับ”

พันโชติ “อ้อ แล้วยังมีอีกขอรับวันหนึ่งค่อนข้างดึกแล้วผมได้ยินเสียงกรอบแกรบข้างหลังเรือน ผมก็ลุกไปเยี่ยมหน้าต่างดู เห็นผู้หญิงห่มผ้าคาดอกกำลังจ้วงตักน้ำในคูอยู่เทียวขอรับ ผมเห็นว่าได้การแน่ผมก็ค่อย ๆ ย่องออกจากห้องลงบันไดย่องไปหลังเรือน เห็นผู้หญิงกำลังเดินหิ้วปีบตักน้ำมาที่ตุ่ม ผมก็เดินตรงเข้าไปหายังไม่ทันถึงเลยขอรับ ผู้หญิงนั้นหลบหายเข้าไปใต้ถุนเรือน ผมตามเข้าไปไม่เห็นอะไร แต่เข้าไปไม่ทันถึงไหน ผมได้ยินเสียงพิลึกแท้ ๆ ขอรับ เสียงฮือ ๆ ชอบกลแต่ไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ เสียงเหมือนอยู่ข้ามคูออกไปอีกที ผมก็ออกมาจากใต้ถุน ดูตรงออกไปเห็นผู้หญิงออกไปทางคอกควายแล้วก็หายไป ผมยังยืนตะลึงอยู่ พอมีใครมาจับแขนผมเข้าสะดุ้งโหยงทั้งตัวเทียวนึกว่าผีมาจับ แต่กลายเป็นเจ้าชมไปขอรับ มันบอกผมว่ามันลงมาคิดจะจับผีเหมือนกันแหละขอรับ”

ทองอิน “แกได้สังเกตหรือเปล่าว่าผู้หญิงสองคนนั้นแต่งตัวเหมือนกันหรือไม่เหมือน”

พันโชติ “เหมือนกันขอรับ ผมจำได้แม่นเทียว นุ่งผ้าสีแก่ๆ เกือบดำ ห่มผ้าสีนวล เหมือนกันไม่มีผิดเทียวขอรับ ไม่เชื่อถามอ้ายชมดูซีขอรับ”

ทองอิน “แกเชื่อแน่ว่าได้เห็นผีหรือ”

พันโชติ “ขอรับ อะไรคนจะไปอยู่ได้สองแห่งพร้อมกันดูไม่มี”

ทองอิน “ก็ถ้าคน ๆ เดียวมันจะข้ามคูไปให้แกเห็นเป็นสองครั้งไม่ได้หรือ”

พันโชติ “ไม่ได้แน่ละขอรับ ทางข้ามที่ใกล้ที่สุดก็ทางสะพานไม้ลำเดียว ถ้าข้ามผมก็คงเห็นเพราะต้องผ่านผมถึงจะไปที่สะพานได้ จริงดอกขอรับถ้ามันจะอ้อมไปเข้าทางถนนก็ได้ แต่นี่มันไม่ทันเป็นแน่พอมันหายแวบไปทางนี้ มันก็ไปครางฮือ ๆ อยู่ฟากข้างโน้นแล้วนี่ขอรับ”

ทองอิน “ชอบกล ชอบกล”

ทองอิน “แกกับลูกไม่ได้นอนด้วยกันดอกหรือ”

พันโชติ “เปล่าขอรับ ผมนอนห้องกลาง ลูกสองคนนอนห้องในข้างหลัง”

ทองอิน “ก็ห้องนอกนี่ไม่มีใครนอนหรือ”

พันโชติ “เมื่อแรกบ่าวมันนอนขอรับ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครนอน”

ทองอิน “แกเชื่อหรือว่าผีเมียแกมาอยู่จริง ๆ”

พันโชติ “นี่แหละขอรับ ผมก็ไม่อยากเชื่อ ท่านสมภารท่านว่าไม่ควรเชื่อเพราะผีไม่มี แต่มันก็ชอบกลอยู่ มันทำอะไรหลายอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าคนจะทำได้”

ทองอิน “คืออะไรเป็นตัวอย่าง”

พันโชติ “ในหนังสือนั้นมีสั่งให้หาของไว้ให้กินขอรับ ผมก็จัดหาวางไว้ แล้วให้บ่าวผมสองคนนอนขวางประตูไว้ รุ่งขึ้นเช้าของกินนั่นเป็นรอยได้แตะต้องแล้วแท้ๆ เทียวขอรับ ผมไม่ปดนายหรอก ผมซักถามอ้ายบ่าวดูว่ารู้สึกมีคนเข้าในห้องหรือเปล่ามันบอกว่าไม่รู้สึก อ้ายสองคนนั้นมันนอนขวางประตูอยู่เทียวนี่ขอรับ ถ้าใครเข้ามาคงต้องรู้สึกเพราะมันเป็นคนนอนไวทั้งสองคน พอถูกเข้ายังงั้นติดๆ กันสองหรือสามคืนก็หนีเทียวขอรับ”

ทองอิน “อือ ก็ชอบกลอยู่”

พันโชติ “ชอบกลจริงขอรับ นายเห็นยังไง ผมจะทำอย่างไงดีถึงจะพ้นทุกข์ได้ พระก็นิมนต์มาสวดมาประน้ำมนต์แล้ว หมอผีก็เอามาแล้ว ไม่เห็นมันไป”

ทองอิน “ถ้าอย่างนั้นบางทีเพื่อนฉันคนนี้จะช่วยแกได้ เขามีความรู้ในทางผีสางเทวดาอยู่มั่งนะ”

ข้าพเจ้าไม่ทันรู้ตัว เมื่อถูกซัดว่าเป็นหมอปิศาจเฉยๆ เช่นนั้นก็ตั้งท่าจะเถียง แต่แลเห็นหน้านายทองอินจึงเข้าใจว่าเขาอยากให้ข้าพเจ้ารับเอาตามเขาว่า ข้าพเจ้าก็ทำยิ้มนิ่งอยู่ พันโชติแสดงกิริยาท่าทางยินดียกมือไหว้ข้าพเจ้าแล้วพูดว่า “ถ้านายโปรดได้จะดีมากเทียวขอรับ ถ้านายจะต้องประสงค์อะไรบอกผม ผมจะได้ไปหามาให้”

ข้าพเจ้าออกอึดอัดในใจ นึกไม่ออกว่าจะตอบพันโชติว่ากระไร ในเวลานั้นก็นึกไม่ออกว่าธรรมดาหมอปิศาจต้องใช้อะไรบ้างในการพิธีไล่ปิศาจ นึกออกเคืองนายทองอินว่ามาแกล้งทำเพื่อนกันเสียเช่นนี้ จริงอยู่ข้าพเจ้าได้เคยเห็นนายทองอินทำอะไรประหลาดๆ หลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นทำอะไรเปล่าๆ เลย เคยมีเหตุเสมอ แต่ครั้งนี้ข้าพเจ้าตรองไม่ออกเลย ว่าทำไมนายทองอินจึงไปบอกพันโชติว่าข้าพเจ้าเป็นหมอปิศาจ เมื่อไม่ทราบความประสงค์ของนายทองอินเลยเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็หมดปัญญาที่จะทำประการใด

ข้าพเจ้าจึงนิ่งตรองอยู่ว่าจะตอบพันโชติอย่างไรดี นายทองอินเห็นข้าพเจ้าอึดอัดเต็มทีเช่นนั้นจึงชิงพูดขึ้นว่า

“ก็พ่อวัดทำเหมือนครั้งไล่ผีบ้านฉันก็แล้วกัน ลองดูบางทีจะสำเร็จ ครั้งนั้นแกเรียกเอาน้ำกลางแม่น้ำจอกหนึ่ง เทียนขี้ผึ้งขอจากพระเล่มหนึ่ง สายสิญจน์กลุ่มหนึ่ง หญ้าคากำมือหนึ่งดูเหมือนเท่านั้นไม่ใช่หรือ”

ข้าพเจ้าตอบว่า “เท่านั้นก็พอ”

พันโชติจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นผมรับหามาให้นายได้ง่ายๆ เทียว จะช้าอยู่ก็ที่น้ำกลางแม่น้ำนั้นแหละขอรับ น้ำท้องคลองไม่ได้หรือขอรับ”

ข้าพเจ้าแลดูตานายทองอินแล้วก็เข้าใจจึงตอบว่า “ไม่ได้น้ำต้องตักกลางแม่น้ำถึงจะขลัง ยิ่งตักหน้าวัดยิ่งดี”

พันโชติก็รับว่าจะไปหาของซึ่งนายทองอินกล่าวว่าข้าพเจ้าอยากได้นั้น บุตรแกทั้งสองคนแกให้ขอเทียนกับสายสิญจน์จากท่านสมภาร ส่วนตัวแกเองนั้นลงไปตักน้ำกลางแม่น้ำ ตามนายทองอินว่า สังเกตดูท่าทางพันโชตินั้นยินดีมาก ที่จะพ้นทุกข์ไม่ต้องถูกปิศาจรบกวน แต่นายชมบุตรนั้น สังเกตตามสีหน้าเห็นได้ว่ามีกลัวปนอวดเก่งอยู่พอเท่าๆ กัน

เมื่อพันโชติกับบุตรลงเรือนไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงถามนายทองอินว่า “นี่แกเล่นตลกอะไร ฉันยังไม่เข้าใจ มาเกณฑ์ให้ฉันเป็นหมอผีหมอสางทำไม”

นายทองอินหัวเราะแล้วตอบว่า “แกหละมันคอยจะไม่เข้าใจเสียเสมอแหละ ฉันใช้ตาพันโชติกับลูกแกไปเสียสำหรับเราจะได้มีเวลาตรวจในเรือนแกสักหน่อย มาเถอะอย่าเสียเวลาเลย”

ว่าแล้วก็พากันเข้าไปตรวจในเรือน ในนั้นมีห้องรวม ๕ ห้อง ห้องใหญ่ที่สุดก็คือหอนั่ง ต่อนั้นเข้าไปเป็นห้องที่พันโชตินอน ข้างห้องพันโชตินอนเป็นห้องไว้ของ ในเข้าไปอีกมีอีกสองห้องคือห้องนอนบุตรสองคนห้องหนึ่ง กับห้องซึ่งนากภรรยาพันโชติเคยอยู่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ห้องหนึ่ง ห้องนี้กับห้องเก็บของตรงกัน ปิดลั่นกุญแจทั้งสองห้อง ห้องบุตรนั้นตรงกับห้องพันโชติ เข้าออกต้องผ่านห้องพันโชติ เมื่อนายทองอินเห็นเช่นนี้ก็พูดเป็นเชิงบ่นๆ ว่า ไม่ได้ออกทางนี้แน่ ข้าพเจ้าถามว่า ใครไม่ได้ออก นายทองอินหาตอบว่ากระไรไม่ เดินตรงรี่เข้าไปในห้องบุตรตรวจดูรอบแล้วก็มองออกไปทางหน้าต่าง มองอยู่สักครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะขิกๆ และพูดว่า “เก่งอยู่ๆ พ่อวัดมาดูอะไรนี่หน่อยเถอะ”

ข้าพเจ้าชะโงกออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นของประหลาดจริง ข้างนอกหน้าต่างมีไม้ทำเป็นเพิงติดอยู่ตลอดพอคนเดินได้ นายทองอินหัวเราะอีกแล้วถามข้าพเจ้า “ยังไง แกมีความคิดอย่างไรบ้าง”

ข้าพเจ้าตอบว่า “ฉันยังแลไม่เห็น”

นายทองอินยิ้มแล้วว่า “นั่นแหละทางผีเดินละพ่อวัด ผีเดินออกจากห้องนี้ไปกินเครื่องเซ่นในหอนั่นยังไงล่ะ นี่อ้ายชมมันพอใช้จริง ฉันเองยังนึกเสียแทบตาย ว่ามันไปขยำเครื่องเซ่นยังไงไม่ให้พันโชติกับเจ้าบ่าวสองคนรู้ได้”

พอข้าพเจ้าได้ยินนายทองอินพูดดังนี้ ก็เข้าใจและเห็นจริงด้วยว่าเจ้าชมนั้นเองเป็นผี แต่ก็ยังไม่เข้าใจแท้ในเรื่องผู้หญิงที่พันโชติเห็นอยู่ ๒ แห่งนั้น ข้าพเจ้าถามนายทองอินว่า เขาจะอธิบายเรื่องนั้นอย่างไร นายทองอินตอบว่า แกจำคำตาเปรมไม่ได้หรือ เจ้าปริกลูกแกหมู่นี้หายไปบ่อยๆ จำไม่ได้หรือ ข้าพเจ้าก็เข้าใจแจ่มแจ้งทีเดียวคราวนี้ ส่วนนายทองอินนั้นกรุ้มกริ่มมาก เมื่อเวลาเดินกลับออกมาหอนั่งเขาพูดว่า พ่อวัด คราวนี้แหละแกจะได้ชื่อเสียงเป็นหมอผีสำคัญละ ตั้งแต่คืนนี้ไปผีเป็นไม่หลอกพันโชติอีกละ

นั่งคอยกันอยู่ในหอนั่งนานกว่าพันโชติกับบุตรจะกลับ พอได้ของต่างๆ มาพร้อมแล้วข้าพเจ้ากับนายทองอินก็ตั้งพิธีวงสายสิญจน์และน้ำมนต์บ่นพึมพำไปตามที พอเสร็จพิธีแล้ว ข้าพเจ้าก็พูดกับพันโชติ (ตามที่นายทองอินสอนไว้) ว่าคืนวันนี้ขอให้ฉันกับเพื่อนอยู่ในหอนั่ง ตัวแกเองกับลูกไม่ต้องวุ่นวายอะไร และถ้าได้ยินเสียงอะไรก็อย่าออกจากห้องแกเป็นอันขาดนอนนิ่งเฉยเสียทีเดียว มาเถอะมารดน้ำมนต์เสียทั้งสามคนแหละ พันโชติกับบุตรก็เข้ามารับน้ำมนต์ทั้งสามคน พอรับประทานข้าวปลากันเสร็จแล้วข้าพเจ้าก็ไล่พันโชติกับบุตรให้ไปนอนเสีย แล้วนายทองอินจึงพูดกับข้าพเจ้าว่า

ฉันจะลงไปคอยอยู่ใต้ถุนริมโอ่งน้ำ แกคอยอยู่บนนี้จนได้ยินเสียงตักน้ำ พอตักน้ำแกต้องลงไปทีเดียว เจ้าผีพอรู้ว่าแกลงไปคงหนีเข้าใต้ถุน เจ้าพวกพ้องฟากข้างโน้นพอเห็นจะเสียทีคงครางขึ้น แกต้องทำเป็นตกใจเหลียวไป แล้วแกเดินให้ใกล้คูเข้าไปทุกที พอถึงสะพานแกวิ่งตื๋อทีเดียว จับเจ้าผีฟากโน้นให้ได้ เจ้าผีฟากนี้ปล่อยไว้ให้ฉันเถอะ

ข้าพเจ้าคัดค้านขึ้นว่า “ไอ้เรื่องไม้ท่อนเดียวนี่ฉันไต่ไม่ได้เร็วนะ กว่าฉันจะไต่ข้ามไปได้เจ้าผีก็จะหนีเสียนี่”

นายทองอินตอบว่า “แกอย่าทุกข์เลย ฉันจะจัดการให้แกข้ามสบายทีเดียว”

เวลานั้นยังหัวค่ำอยู่เพราะฉะนั้นนายทองอินกับข้าพเจ้าสนทนากันเสียก่อน จนเวลาซึ่งกะว่าพันโชติพอจะหลับแล้ว นายทองอินจึงลงไปก่อนจะลงไปนั้นนายทองอินปิดหน้าต่างหอนั่งซึ่งอยู่ข้างเดียวกับหน้าต่างห้องเจ้าชมนั้น เพื่อกันไม่ให้ปิศาจถูกต้องของเครื่องเซ่นได้ ข้าพเจ้านั่งคอยอยู่นานรู้สึกออกง่วงนอนหนักหลังตาพอนึกๆ อยู่ว่าน่ากลัวจะไม่สำเร็จประสงค์ก็ได้ยินเสียงเทน้ำซ่าๆ ข้าพเจ้าไม่ได้รั้งรอเลยรีบลงเรือนไปทางโอ่งน้ำ เห็นผู้หญิงแต่งตัวอย่างที่พันโชติเล่า กำลังหิ้วปีบน้ำเดินมาจากคู ข้าพเจ้าเดินตรงเข้าไป ผู้หญิงนั้นพอเห็นข้าพเจ้าก็ทิ้งปีบรีบเดินหนีเข้าไปทางใต้ถุนเรือน ทันใดนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงครางฮือๆ อยู่ทางฟากโน้นของคู และอีกประเดี๋ยวหนึ่งก็เห็นผู้หญิงรูปร่างคล้ายกับคนที่ข้าพเจ้าเห็นอยู่เมื่อสักครู่หนึ่งก่อนนั้น ทั้งแต่งตัวก็เหมือนกันไม่มีผิด ข้าพเจ้าต้องรับว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้รู้แน่นอนแล้วว่าเป็นคน ข้าพเจ้าก็คงจะเชื่อว่าได้เห็นปิศาจแล้วครั้งนั้น แต่เพราะทราบอยู่แล้วว่าเป็นคน ข้าพเจ้าจึงไม่รอช้ารีบวิ่งข้ามสะพาน (นายทองอินได้จัดการหากระดานไปทอดไว้แล้วสามแผ่น) กวดเจ้าปิศาจจี๋ทีเดียว ส่วนเจ้าปิศาจนั้น โดยเหตุที่ประมาทว่าข้าพเจ้าจะไม่กล้าไล่ไป จึงไม่ได้ออกวิ่งเต็มฝีเท้าจนข้าพเจ้าเข้าไปเกือบถึงตัวแล้ว เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจับได้โดยง่าย ข้าพเจ้าก็จูงข้ามสะพานกลับเข้ามา พบนายทองอินนั่งอยู่ริมโอ่งน้ำกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ผู้หญิงนั้นพอข้าพเจ้าเข้าไปมองดูใกล้ก็จำหน้าได้คือตัวเจ้าชมนั้นเอง นายทองอินหัวเราะแล้วพูดว่า

“ได้ทั้งสองตัวสิ ไหนเอาตัวของแกมาดูหน้าทีหรือ เองมันลูกนายเปรมไม่ใช่หรือ”

นางผู้หญิงของข้าพเจ้าก็รับว่าตนเป็นลูกนายเปรมและว่าตนชื่อปริก นายทองอินพยักหน้าแล้วก็ชวนกันขึ้นไปบนหอนั่งด้วยกันทั้ง ๔ คน แล้วนายทองอินก็ซักเจ้าชมดังต่อไปนี้

ทองอิน “ทำไมเจ้าถึงคิดทำผีหลอกพ่อ”

ชม “ผมอยากกินขนม”

ทองอิน “ทำไมจะขอพ่อเขากินไม่ได้หรือ”

ชม “ก็ได้ แต่อยากสนุกด้วย”

ทองอิน “พูดกันจริงๆ นะ ถ้าอยากแต่จะเล่นสนุก ทำไมต้องพากเพียรทำเพิงสำหรับเดินนอกหน้าต่าง แล้วทำไมถึงจะต้องหาผู้ช่วยด้วย ตอบกันจริงๆ นะ”

ชม “ผมไม่อยากให้พ่อแกมีเมียใหม่ขอรับ เป็นความสัตย์ความจริงแท้ๆ ทีเดียวขอรับ”

ทองอิน “เออถ้าเจ้าบอกกันเสียดีๆ ก็แล้วกัน ฉันก็เห็นใจหรอก นี่แน่มาสัญญากันเสียเถอะ ฉันสัญญาจะไม่บอกพ่อเจ้าว่าเจ้าทำหลอกแก แต่เจ้าต้องทำสัญญาว่าเจ้าจะไม่ทำผีหลอกพ่ออีกต่อไป”

ชม “ผมสัญญาขอรับ”

ทองอิน “ถ้าเจ้าทำผีหลอกอีกเมื่อไร ฉันจะต้องบอกพ่อให้ทราบความจริง เข้าใจนะ”

ชม “เข้าใจขอรับ”

ทองอิน “เจ้าปริกก็เหมือนกัน ถ้าเจ้าทำหลอกพันโชติอีกฉันจะต้องฟ้องนายเปรม ถ้าไม่ทำก็ไม่ฟ้อง เข้าใจนะ”

ปริก “เข้าใจขอรับ ผมสัญญาตามนายว่า ขอรับ”

ทองอิน “เออดีละ ปริกเจ้าไปบ้านเสียเถอะ ชมเจ้าก็ไปนอนเสีย”

เด็กทั้งสองไหว้นายทองอินกับข้าพเจ้าแล้วก็ต่างคนต่างไปนอน ส่วนนายทองอินกับข้าพเจ้าก็เลยอาศัยพันโชตินอนอยู่จนรุ่งเช้าจึงกลับ

ตั้งแต่คืนนั้นมาพันโชติก็มิได้ถูกปิศาจภรรยารบกวนอีกต่อไป ข้าพเจ้าคอยฟังอยู่ว่าแกจะมีภรรยาใหม่หรือไม่ ก็ได้ความว่ายังไม่มีจนทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นหวังใจว่าคนในบ้านนั้นอยู่กินเป็นผาสุกทั่วกัน ส่วนตัวข้าพเจ้านี้ก็ยังมีชื่อเสียงเป็นหมอปิศาจวิเศษอยู่

นายแก้ว

นายขวัญ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ