- คำนำ อธิบดีกรมศิลปากร
- นิทานเรื่องพระศรีเมือง
- นิทานเรื่องพระศรีเมืองต่อจากบทละคอน
- ตอนที่ ๑ พระศรีเมืองเรียนวิชา
- ตอนที่ ๒ หงส์อาสาหาคู่ให้พระศรีเมือง
- ตอนที่ ๓ พระศรีเมืองเข้าเมืองยโสธร
- ตอนที่ ๔ พระศรีเมืองได้นางสุวรรณเกสร
- ตอนที่ ๕ ท้าวพินทุทัตให้ธิดาเสี่ยงคู่
- ตอนที่ ๖ อภิเษกพระศรีเมือง
- ตอนที่ ๗ ท้าวโขมพัสตร์ให้ไปรับพระศรีเมือง
- ตอนที่ ๘ พระศรีเมืองชมสวน
- ตอนที่ ๙ พระศรีเมืองทูลลาท้าวพินทุทัต
- ตอนที่ ๑๐ พระศรีเมืองรบกับพระยาจันทร
ตอนที่ ๑ พระศรีเมืองเรียนวิชา
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงไทโขมพัสตร์นาถา |
ได้ผ่านกรุงโขมราฐพารา | ลํ้าจักรพัตราสุริย์วงศ์ |
ยิ่งยศปรากฏนัคเรศ | ดังองค์กมเลศครรไลหงส์ |
มีอัครชายาโฉมยง | ทรงนามสุวรรณอำไพ |
พระสนมถ้วนหมื่นหกพัน | สิบสองพระกำนัลน้อยใหญ่ |
แต่ละองค์ทรงลักษณ์วิไล | แวดล้อมภูวไนยเป็นนิรันดร์ |
ย่อมเชื้อนางกษัตริย์สุริย์วงศ์ | ดังอนงค์นางในสรวงสวรรค์ |
บำเรอบาทนรนาถทรงธรรม์ | เกษมสันต์เบิกบานสำราญองค์ |
สมสุขด้วยพระมเหสี | อันมีลักขณานวลหง |
อันปราสาททั้งสามบรรจง | เสด็จทรงอยู่ตามฤดูกาล ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ แต่ละองค์อลงกตต่างกัน | ด้วยเป็นสุวรรณรัชฎามุกดาหาร |
สูงเยี่ยมเทียมเมฆชัชวาล | ดังชะลอวิมานมาตั้งไว้ |
มีมุขทุกชั้นบันแถลง | ยอดแซงสลับไม่นับได้ |
มุขเด็จเจ็ดชั้นเป็นหลั่นไป | พระโรงในหน้าหลังรจนา |
ช่อฟ้าบราลีหางหงส์ | ลำยองยงจำรัสพระเวหา |
บัลลังก์ตั้งพรหมพักตรา | ทุกยอดมหาปราสาทชัย |
อันในห้องแลท้องพระโรงรัตน์ | ดังแสงสูรย์จำรูญจำรัสแขไข |
ด้วยแสงอัจกลับประดับใน | สว่างไปทั้งทิวาราตรี |
มีพระปรัศว์ทั้งซ้ายขวา | รจนาดังวิมานโกสีย์ |
เรือนทองห้องสนมนารี | ล้วนมณีเนาวรัตน์ชัชวาล |
ท้องฉนวนล้วนแล้วศิลาทอง | ผนังรองเรืองรัตน์มุกดาหาร |
กำแพงแก้วแก้วเก็จเจ็ดประการ | หน้าพระลานเลียนลาดศิลาลาย ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ ทิมดาบตำรวจในซ้ายขวา | โรงเครื่องรจนาหลากหลาย |
โรงรถไว้รถพรรณราย | เพริศพรายด้วยแก้วแววไว |
โรงช้างมีช้างชนะงา | แกล้วกล้าชำนาญศึกใหญ่ |
โรงม้ามีม้าอาชาไนย | ฝึกไว้ชำนาญในการรบ |
สนามชัยในหน้าจักรวรรดิ | ซ้อมหัดทวยหาญเจนจบ |
จัตุรงค์องอาจเลิศลบ | ทั่วทุกพิภพก็ลือชา |
เมืองกว้างร้อยโยชน์มณฑล | แถวถนนดาษพื้นแผ่นผา |
ตึกกว้านบ้านเรือนเสนา | รวดริมรัถยาเรียงรัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ อาณาประชาราษฎร์ทั้งหลาย | แสนสบายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ด้วยพระองค์ผู้ทรงทศธรรม์ | อันตรายสิ่งใดมิได้มี |
กษัตริย์ร้อยเอ็ดพารา | ย่อมมาประณตบทศรี |
ถวายทิพย์สุวรรณมาลี | ทุกบุรีมาพึ่งบทมาลย์ |
พระเสวยโภไคยมไหศูรย์ | ไพบูลย์กว่ากษัตริย์มหาศาล |
เป็นสุขด้วยสนมบริพาร | พระภูมีสำราญทุกราตรี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสุวรรณอำไพโฉมศรี |
ทูลบาทพระราชสามี | มิได้นิราศคลาดคลา |
ด้วยความจำนงจงรัก | ภักดีในความเสนหา |
อยู่จำเนียรกาลนานมา | องค์อัครชายาก็ทรงครรภ์ |
นวลละอองผ่องผิวผุดผาด | ดังสุวรรณนพมาศเฉิดฉัน |
พระพักตร์เปล่งปลั่งดังดวงจันทร์ | เมื่อวันเพ็ญหมดเมฆเมฆา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นถ้วนกำหนดทศมาส | จะประสูติพระราชโอรสา |
ลมกรรมัชวาตก็พัดพา | กัลยาให้เจ็บประชวรครรภ์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวโขมพัสตร์รังสรรค์ |
จึงสั่งชาวแม่พระกำนัล | ให้เร่งรักษาครรภ์กัลยา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เถ้าแก่ชาวแม่ซ้ายขวา |
ต่างคนต่างวิ่งเข้ามา | ช่วยพยุงกายาทรามวัย |
ลางนางบ้างเข้าอยู่งาน | อลหม่านผันแปรแก้ไข |
บ้างร้องบวงบนเทพไท | วุ่นไปถ้วนหน้านารี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | นางสุวรรณอำไพโฉมศรี |
เจ็บครรภ์ปั่นป่วนสมประดี | เมื่อเทวีจะประสูติพระกุมาร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
มโหรี
๏ ให้บังเกิดอัศจรรย์หวั่นไหว | สะเทือนไปทั่วทศทิศาน |
เมฆคลุ้มกลุ้มบดบันดาล | อนธการทั่วหล้าสากล |
พระสมุทรตีฟองคะนองสาย | พระพิรุณโปรยปรายสายฝน |
แล้วสว่างพ่างพื้นอัมพน | สุริยนส่องแสงแรงเรือง |
กระจ่างจับทุกพรรณพฤกษา | หย่อมหญ้าปฐพีสีเหลือง |
เป็นนิมิตพระฤทธิ์จะรุ่งเรือง | จะฟุ้งเฟื่องเลื่องลือเดชา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวโขมพัสตร์วงศา |
เห็นพระโอรสกุมารา | ทรงโฉมโสภาพึงใจ |
ดวงพักตร์ลักขณาปรากฏ | ทั่วทั้งทศทิศไม่เปรียบได้ |
ดังหยาดฟ้ามาจากสุราลัย | ทั้งในไตรภพไม่เทียมทัน |
ลออองค์ทรงลักษณ์นวยแน่ง | กล้องแกล้งดังเทพรังสรรค์ |
นวลละอองผ่องแผ้วแพรวพรรณ | ดังสุวรรณนพมาศมาทาบทา |
องค์พระชนกชนนี | มีความพิศวาสเป็นหนักหนา |
ดังดวงหฤทัยนัยนา | แสนสุดเสนหาพ้นไป |
ให้จัดพี่เลี้ยงแลพระนม | สาวสรรค์พระสนมน้อยใหญ่ |
ประทานพระโอรสยศไกร | ด้วยใจโสมนัสเปรมปรีดิ์ ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ แล้วพระจึงมีบัญชา | ตรัสสั่งโหราบดีศรี |
ให้หาฤกษ์พานาที | พี่จะทำขวัญพระกุมารา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้น | โหรารับสั่งใส่เกศา |
จึงคำนวณควณคูณในตำรา | พยากรณ์สารัมภีคัมภีร์ |
ได้นามตามวันพระชันษา | ในจักรลัคนาราศี |
จึงกราบทูลพลันทันที | พรุ่งนี้ฤกษ์ดีมีชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระทรงภพจบสากลเป็นใหญ่ |
ได้ฟังสำราญบานใจ | ภูวไนยจึงสั่งไปพลัน |
แม่ท้าวนางค่อมเถ้าแก่ | ชาวแม่พระสนมสาวสรรค์ |
ให้แต่งบายศรีแก้วแพรวพรรณ | พร้อมกันจงทุกพนักงาน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระกำนัลก้มเกล้ารับสั่งสาร |
มาจัดแจงแต่งเครื่องมิทันนาน | ตามพระภูบาลบัญชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้น | ฝ่ายเจ้าพนักงานซ้ายขวา |
ก็ปูลาดอาสน์ที่อันรจนา | เสร็จสรรพในมหาปราสาทชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นรุ่ง | พระอุทัยพวยพุ่งแสงใส |
พระองค์ผู้ทรงภพไตร | ภูวไนยจึงมีบัญชา |
ตรัสสั่งพี่เลี้ยงแลพระนม | ทั้งสนมกรมในซ้ายขวา |
เชิญเสด็จพระราชกุมารมา | ยังปราสาทรัตนาพรายพรรณ |
อันพระญาติวงศ์ทั้งหลาย | ทั้งสองฝ่ายแลนางสาวสรรค์ |
มานั่งห้อมล้อมอยู่พร้อมกัน | ครั้นได้พิชัยนาที |
พระโหราธิบดีก็ลั่นฆ้อง | แซ่ซ้องแตรสังข์ขึ้นอึงมี่ |
จึงเบิกบายศรีแก้วอันรูจี | พระภูมีให้เวียนเทียนชัย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ท้าวโขมพัสตร์เป็นใหญ่ |
จึงให้นามโอรสยศไกร | ตามในนิมิตอัศจรรย์ |
ทรงนามชื่อว่าพระศรีเมือง | บุญเรืองเมืองฟ้านราสรรค์ |
ประทานทั้งแสนสาวพระกำนัล | อันมีวรรณวิไลโสภา |
แล้วจัดพี่เลี้ยงทั้งสี่องค์ | ในหน่อสุริย์วงศ์พงศา |
องค์หนึ่งชื่อพระสุริยา | องค์หนึ่งชื่อรัตนาวัน |
หนึ่งชื่ออภัยสุริย์วงศ์ | หนึ่งชื่อพิษณุพงศ์เฉิดฉัน |
มหาดเล็กน้อยน้อยทั้งปวงนั้น | เลือกสรรประทานพระโอรส |
ล้วนบุตรเสนามนตรี | คหบดีเศรษฐีทั้งหมด |
รูปทรงส่งศรีมียศ | กำหนดนับพันมากมี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองสวัสดิ์รัศมี |
จำเริญชันษาได้เจ็ดปี | ทรงศรีเสาวภาคย์โสภา |
ดังดวงพระจันทร์เมื่อวันเพ็ง | ปลั่งเปล่งจำรัสในเวหา |
สถิตเหนือแท่นทองรจนา | หน้ามุขมหาปราสาทชัย |
พร้อมด้วยพี่เลี้ยงมหาดเล็ก | เด็กเด็กน้อยน้อยไม่นับได้ |
พระจึงตริตรึกนึกใน | จะไปเล่นในสวนอุทยาน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ คิดแล้วแต่งองค์ทรงเครื่อง | รุ่งเรืองพรรณรายฉายฉาน |
ลงจากปรางค์รัตน์ชัชวาล | พระพี่เลี้ยงกุมารก็ตามมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
ร่าย
๏ มาถึงเข้าในสวนขวัญ | ชวนกันเก็บพรรณบุปผา |
พิกุลบุนนาคมะลิลา | ยี่สุ่นจำปาสารภี |
นางแย้มสาวหยุดพุทธชาด | เบญจมาศหลายอย่างต่างสี |
พุดซ้อนซ่อนกลิ่นจำปี | มะลุลีสุกรมนมแมว |
กาหลงชงโคโยทะกา | กระดังงาเทียนเทศเกศแก้ว |
เก็บพลางชมพลางคลาดแคล้ว | แล้วมายังสระปทุมมาลย์ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ พระเที่ยวชมโกมุทบุษบัน | สารพันมีในสระสนาน |
เผล็ดดอกออกฝักแย้มบาน | รับแสงสุริย์ฉานอรชร |
ภุมรินบินเคล้าเสาวคนธ์ | อาบละอองโกมลเกสร |
เรณูโรยร่วงในสาคร | กลิ่นขจรตลบอบไป |
ชมพลางสัพยอกหยอกกัน | เกษมสันต์บันเทิงผ่องใส |
มหาดเล็กเด็กเด็กทั้งนั้นไป | สำราญบานใจปรีดา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงพระยาเหมราชปักษา |
สถิตอยู่ยังรุกขฉายา | ในดงกฤษณาพนาลัย |
แว่นแคว้นแดนป่าหิมพานต์ | มีฝูงบริวารไม่นับได้ |
เคยไปเที่ยวชมดอกไม้ | ในไพรพฤกษาพนาลี |
ครั้นพระสุริยาเรืองรอง | จึงพระยาหงส์ทองปักษี |
พาบุตรบริวารสกุณี | มาเล่นสวนศรีอุทยาน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ แผละ
๏ มาถึงจึงลงในสวนขวัญ | ชวนกันปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ |
ลอยล่องท่องเล่นในชลธาร | ชมดวงกุสุมาลย์มาลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เก็บดอกไม้
๏ ครั้นเห็นพระศรีเมืองเรืองฤทธิ์ | ปักษีมีจิตเสนหา |
งามล้ำจักรพรรดิกษัตรา | ดังเทเวศร์หยาดฟ้าลงมาดิน |
ทรงโฉมประโลมใจในไตรโลก | ล้ำโอฆในสงสารสิ้น |
ชมพลางทางพาบุตรบิน | โผผินมายังพระกุมาร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ จับลงตรงพักตร์พระโฉมยง | พระยาหงส์จึงร้องทูลสาร |
ว่าพระองค์ทรงโฉมประโลมลาน | มาประพาสสำราญในสวนนี้ |
ข้าเห็นก็เป็นอัศจรรย์ | ดังเทวัญลงมาแต่ราศี |
ให้มีจิตคิดรักภักดี | พ้นที่จะอุปมาไป |
ตัวข้าเป็นชาติสกุณา | อยู่ในหิมวาป่าใหญ่ |
ไม่มีสิ่งของที่ต้องใจ | อันจะได้ถวายพระภูมี |
เห็นแต่ดรุณโปดก | อันเกิดแต่อกปักษี |
ขอถวายแก่องค์พระพันปี | ไว้ใต้ธุลีพระบาทา |
พระจงรับเอาเลี้ยงไว้ | เป็นข้าช่วงใช้ภายหน้า |
สิ่งใดจงได้เมตตา | โปรดเกล้าปักษาสืบไป ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเฟื่องฟ้าสุธาไหว |
ฟังพระยาปักษีก็ดีใจ | จึงปราศรัยไปด้วยพระวาจา |
ตัวท่านนี้มาแต่แดนใด | ดูงามประไพเป็นหนักหนา |
อันบุตรท่านปานดวงชีวา | มาให้กับข้าก็ขอบใจ |
ทั้งนี้เป็นบุญเราสองรา | สร้างด้วยกันมาเป็นใหญ่ |
จึงเป็นมิตรจักร่วมชีวิตไป | สิ่งใดมิได้สงกา |
พระยาหงส์จงอย่าอาลัย | ถึงลูกรักสายใจปักษา |
จะรักใคร่ในราชสกุณา | ร่วมชีพชีวาเดียวกัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้น | หงส์ทองได้ฟังเกษมสันต์ |
มอบบุตรถวายแก่จอมธรรม์ | สองปีกอภิวันท์บังคมลา |
ค่อยอยู่เถิดข้าจะลาไป | ยังดงแดนไม้กฤษณา |
ว่าแล้วโบยบินขึ้นเมฆา | พาฝูงบริวารร่อนไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองรุ่งดังสุริย์ใส |
ครั้นหงส์ทองล่องฟ้าคลาไคล | ภูวไนยจึงมีบัญชา |
ตรัสชวนพี่เลี้ยงทั้งสี่องค์ | กับสุวรรณหงส์ราชปักษา |
ออกจากสวนสวรรค์มาลา | ไปเฝ้าพระบิดายังวังใน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงประนมก้มเกศ | ทูลพระบิตุเรศเป็นใหญ่ |
วันนี้ลูกยาออกไป | เที่ยวเล่นในสวนมาลา |
ยังมีพระยาสุวรรณหงส์ | มาแต่ดงไม้กฤษณา |
พาบุตรสุดสวาทนั้นมา | ให้แก่ลูกยาด้วยยินดี |
บัดนี้พระยาวิหคหงส์ | กลับไปดงไม้ไพรศรี |
ทูลแล้วถวายสกุณี | ชี้ให้ชมราชหงส์ทอง ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงภพจบสกลไม่มีสอง |
ครั้นเห็นเหมราชเรืองรอง | ขนงามดังกรองด้วยจินดา |
สร้อยศอเลื่อมลายพรายพริ้ง | ปีกหางอย่างยิ่งเลขา |
แล้วตรัสแก่ราชบุตรา | บุญของลูกยายิ่งนัก |
ได้หงส์มาไว้เป็นข้าเฝ้า | ขวัญเข้าพ่อยิ่งบรมจักร |
แต่ปักษียังมีใจรัก | จะเป็นที่พำนักในโลกา |
จึงสั่งให้ช่างบรรจง | กรงประดับมณีมีค่า |
แล้วด้วยสุวรรณอันรจนา | ใส่พระยาปักษาอันร่วมใจ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองรัศมีสีใส |
พระอุ้มหงส์ทรงชมภิรมย์ใจ | เช้าเย็นไม่เว้นสักเวลา |
ถ้อยทีถ้อยมีความรัก | ปักษีมีใจหรรษา |
แล้วพระจึงมีวาจา | ดูราพระยาสกุณี |
จากดงมาอยู่ในกรงทอง | วันนี้น้องรักจะปล่อยพี่ |
ให้ไปเล่นในพนาลี | สุริย์ศรีบ่ายแล้วจงกลับมา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | สุวรรณเหมราชปักษา |
ประคองป้องปีกบังคมลา | บินตรงไปป่าหิมพานต์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงห้องหิมวาลัย | ลงในมุจลินท์สระสนาน |
เที่ยวท่องล่องเล่นชลธาร | ชมบุษบาบานอรชร |
มาลีคลี่กลีบออกไสว | ก็ซอนไซ้จิกกินเกสร |
ครั้นบ่ายชายแสงทินกร | คาบมณฑาร่อนมาบุรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงถวายสุมณฑา | แก่พระกุมาราเรืองศรี |
ข้าน้อยไปเล่นพนาลี | วันนี้เป็นสุขสำราญ |
เห็นดวงดอกไม้ในมุจลินท์ | กลิ่นเกลี้ยงรื่นรสหอมหวาน |
จึงเก็บเอาดวงมณฑาธาร | มาถวายบทมาลย์พระภูมี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองรุ่งรัศมี |
รับเอาดวงทิพย์มาลี | อันมีวรรณวิจิตรรจนา |
ขอบใจพระยาปักษี | ภักดีต่อน้องเป็นหนักหนา |
ว่าพลางทางชมมาลา | พระผ่านฟ้าสุขเกษมเปรมปรีดิ์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | ท้าวโขมพัสตร์เรืองศรี |
เสด็จในปรางค์มาศอันรูจี | ด้วยพระมเหสีโสภา |
มีพระทัยไตรตรึกรำพึง | ถึงพระศรีเมืองโอรสา |
จึงมีพระราชบัญชา | แก่องค์อัครชายาทันใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เจ้าพี่ | ศรีศุภลักษณ์ยอดพิสมัย |
เราสองครองราชโภไคย | ก็ได้เป็นช้านานมา |
บัดนี้ก็ชราภาพแล้ว | แต่ลูกแก้วผู้ยอดเสนหา |
ทรงลักษณ์ลํ้าจักรพัตรา | พระชันษาก็ค่อยจำเริญวัย |
ควรจะมอบเวนมไหศวรรย์ | ให้ครอบครองเขตขัณฑ์เป็นใหญ่ |
สนององค์สืบวงศ์กษัตริย์ไป | ในพิชัยโขมราฐพารา |
อันราชบุตรีท้าวสุริย์วงศ์ | องค์พระอนุชาฝ่ายหน้า |
ทรงนามชื่อว่าบุษบา | เฉิดโฉมโสภาพึงใจ |
ฝ่ายพระศรีเมืองลูกรัก | ทั่วทั้งไตรจักรไม่เปรียบได้ |
สององค์ทรงลักษณ์อันวิไล | จะดูไหนคล้ายคลึงละกลกัน |
พี่คิดจะเสกทั้งสององค์ | อันเป็นเชื้อสุริย์วงศ์รังสรรค์ |
ครอบครองสิบสองพระกำนัล | ขวัญเข้าจะเห็นประการใด ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสุวรรณอำไพศรีใส |
ได้ฟังบัญชาพระภูวไนย | อรไทบังคมแล้วทูลมา |
อันพระองค์ตรัสมาทั้งนี้ | ต้องด้วยประเพณีหนักหนา |
ทั้งนี้สุดแต่ผ่านฟ้า | ข้าน้อยก็พลอยยินดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นรุ่ง | พระสุริยาพวยพุ่งรังสี |
พระเข้าที่สรงสหัสนัที | ทรงสุคนธมาลีอ่าองค์ |
ทรงเครื่องประดับสรรพเสร็จ | พระเสด็จย่างเยื้องดูระหง |
จากปราสาทสุวรรณบรรจง | ตรงออกยังท้องพระโรงคัล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เสด็จนั่งเหนือบัลลังก์รัตน์ | ภายใต้เศวตฉัตรฉายฉัน |
อนุชาก้มเกล้าอภิวันท์ | เสนาพร้อมกันอัญชลี |
พระจึงมีมธุรสพจนารถ | แก่องค์อุปราชเรืองศรี |
ว่านางบุษบานารี | ซึ่งเป็นบุตรีอนุชา |
ทรามชมสมควรจะมีคู่ | พี่นี้คิดอยู่หนักหนา |
จะให้ครองกันกับนัดดา | ตามวงศ์กษัตราสืบไป |
จะมอบสมบัติพัสถาน | พระสนมบริวารทั้งปวงให้ |
ตัวเรานับวันจะบรรลัย | เจ้าจะเห็นกระไรอนุชา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวสุริย์วงศ์พงศา |
ก้มเกล้าทูลสนองพระวาจา | ซึ่งตรัสมาทั้งนี้ควรนัก |
อันองค์พระราชนัดดา | ควรครองไพร่ฟ้าอาณาจักร |
จะเสกกับบุษบานงลักษณ์ | ตามแต่ทรงศักดิ์คิดโปรดปราน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวโขมพัสตร์เกษมศานต์ |
จึงมีพระราชโองการ | ให้หาโหราจารย์นั้นเข้ามา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้น | ตำรวจรับสั่งใส่เกศา |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | ฉวยหวายวิ่งมาฉับไว ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงตะโกนเรียกหา | ว่าพระโหราผู้ใหญ่ |
มีพระบัญชาให้หาไป | ยังพระโรงชัยเร็วพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายพระโหรเฒ่าคนขยัน |
จับกระดานหารคูณสูรย์จันทร์ | นั่งอยู่ด้วยกันกับยายเมีย |
ได้ยินตำรวจเรียกหา | ค้นตำรางันงกปลกเปลี้ย |
ลุกล้มปะฝาขาเพลีย | คว้าได้ถุงเบี้ยว่าตำรา |
เร่งให้ยายเฒ่าตะบันหมาก | ใส่ปากเคี้ยวพ่นบ่นบ้า |
สมปักนุ่งรุงรังออกมา | ตำรวจก็พาเอาตัวไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ถึงวังเข้ายังพระโรงธาร | หิ้วหอบหมอบคลานมิใคร่ไหว |
บังคมก้มกราบท้าวไท | ตกใจไม่รู้ว่าร้ายดี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ผ่านโขมราฐกรุงศรี |
เห็นขุนโหราธิบดี | จึงมีพระราชโองการ |
เราจะเสกโอรสยศยง | ให้ดำรงกรุงไกรไพศาล |
จงหาฤกษ์จะได้กำหนดการ | ให้ได้ศุภวารโชคชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้น | โหรเฒ่าผู้รู้ตำราไสย |
รับสั่งบังคมภูวไนย | ขับไล่ใส่สอบทุกคัมภีร์ |
พระอาทิตย์สถิตขึ้นอยู่เมษ | พระเกตุเข้าร่วมราศี |
พระจันทร์จรกุมลัคน์พระภูมี | พระพฤหัสบดีอยู่มังกร |
ต้องทั้งโยคยามนามเมือง | จะฟุ้งเฟื่องเรืองฤทธิ์ด้วยแสงศร |
ควรแล้วก้มเกล้าประนมกร | ทูลพระภูธรในทันใด |
จันทระชันษาพระโอรส | ยิ่งในโสฬสเป็นใหญ่ |
จะระบือลือลบภพไตร | แต่จะให้ทำการวิวาห์ |
ปีนี้ไม่มีฤกษ์ใหญ่ | ขอให้งดการไว้ปีหน้า |
ได้เมื่อพระรามตามสีดา | ได้นางกลับมากรุงไกร |
พระจะได้มเหสีเป็นสี่องค์ | มั่นคงเป็นอุดมโชคใหญ่ |
ถ้าไม่เหมือนทำนายทายไว้ | ขอให้มีโทษแก่โหรา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวโขมพัสตร์พงศา |
ฟังขุนโหรทายทำนายมา | ปรีดาพระทัยไพบูลย์ |
จึงตรัสแก่พระอนุชา | ว่าฤกษ์พาปีนี้เศษสูญ |
โชคชัยยังไม่พร้อมมูล | โหรเฒ่าเขาทูลทัดไว้ |
จำเราจะงดการก่อน | จะเสกสองบังอรต่อปีใหม่ |
แล้วพระองค์ผู้ทรงภพไตร | ท้าวให้บำเหน็จโหรา |
สิ่งของทองเงินเป็นรางวัล | สารพัดแพรพรรณเสื้อผ้า |
ครั้นเสร็จเสด็จยาตรา | ขึ้นสู่มหาปราสาทชัย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเฟื่องฟ้าดินไหว |
เสด็จยังแท่นรัตนามัย | พระทัยถวิลจินดา |
จะใคร่ไปเรียนศิลป์ชัย | ให้เรืองฤทธิไกรแกล้วกล้า |
คิดแล้วจึงมีบัญชา | แก่พระยาหงส์ทองผู้ร่วมใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ พี่เจ้า | น้องนี้ร้อนเร่าเป็นข้อใหญ่ |
ด้วยพระบิตุรงค์ทรงชัย | จะเสกให้ครอบครองพารา |
อันศิลปศาสตร์สิ่งใด | น้องยังมิได้ศึกษา |
สำหรับจารีตกษัตรา | วิทยาสิ่งใดก็ไม่มี |
น้องคิดจะไปร่ำเรียน | เพียรในสำนักพระฤๅษี |
พี่ไปเล่นป่าพนาลี | ยังพบพระมุนีอยู่แห่งใด ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระยาหงส์ทองอันผ่องใส |
ได้ฟังพระกุมารชาญชัย | จึงกราบทูลไปมิได้ช้า |
โปรดเอยโปรดเกศ | พระภูเบศร์ปีนปกปักษา ฯ |
เมื่อข้าไปเที่ยวพนาวา | เห็นบรรณศาลาพระอาจารย์ |
อันอาศรมพระนักสิทธิ์ | สถิตอยู่ฝ่ายทิศอิสาณ |
ซึ่งจะศึกษาวิชาการ | จะพาพระภูบาลเสด็จไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองได้แจ้งแถลงไข |
มีความชื่นชมภิรมย์ใจ | ดังได้ชั้นฟ้าดุษฎี |
จึงว่าพี่รู้ตำบล | หนทางอาศรมพระฤๅษี |
จงนำน้องไปยังพระมุนี | พี่ผู้ภักดีได้เมตตา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ว่าแล้วจึงองค์พระศรีเมือง | ย่างเยื้องจากอาสน์อันเลขา |
ขึ้นเฝ้าทั้งสองกษัตรา | ยังในมหาปราสาทชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงถวายอัญชลี | พระชนกชนนีเป็นใหญ่ |
ทูลทั้งสององค์ทรงภพไตร | พระปิ่นเกล้าจงได้ปรานี |
ลูกรักจักขอบังคมลา | ไปเที่ยวเสาะหาพระฤๅษี |
ร่ำเรียนวิชาพระมุนี | ที่ในอรัญวาลัย |
แม้เรียนศิลป์ชัยได้สำเร็จ | เสร็จแล้วจะกลับมากรุงใหญ่ |
ทูลบาททั้งสองสืบไป | พระองค์จงได้เมตตา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทั้งสององค์ทรงภพนาถา |
ได้ฟังโอรสทูลลา | จะไปเรียนวิชาให้เชี่ยวชาญ |
พระทรงโศกสลดระทดใจ | ด้วยอาลัยลูกรักสงสาร |
สวมสอดกอดองค์พระกุมาร | เจ้าเปรียบปานดวงเนตรดวงใจ |
อุตส่าห์ถนอมกล่อมเกลี้ยง | เลี้ยงเจ้าแต่น้อยมาจนใหญ่ |
พร่ำพิทักษ์รักษาสายใจ | แดดลมมิให้ต้องพาน |
เจ้าจะไปป่าพนาลี | ลำบากองค์อินทรีย์ในไพรสาณฑ์ |
ทั้งสิงสัตว์จัตุบาทอันสาธารณ์ | ร้ายกาจสามานย์บีฑา |
จะกินแต่ผลไม้อันเฝื่อนฝาด | ลาดใบไม้นอนในกลางป่า |
เคยเป็นสุขอยู่ในพระพารา | จะทนทุกข์ทรมาฉันใด |
จะดำเนินเดินป่าพนาสัณฑ์ | ตรำฝนทนแดดกระไรได้ |
ลูกรักเจ้าจักไปไย | จงอยู่แต่ในพระบุรี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองฟ้าราศี |
ได้ฟังพระชนกชนนี | ภูมีกราบทูลวิงวอน |
สองพระองค์จงทรงพระเมตตา | ให้ลูกยาไปเรียนธนูศร |
ไม่ช้าจะมาพระนคร | พระบิตุเรศมารดรได้ปรานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระชนกชนนีทั้งสองศรี |
ฟังพระโอรสาพาที | สุดที่จะขัดทัดทาน |
จึงว่าพระศรีเมืองลูกรัก | ดวงจักษุยอดสงสาร |
ซึ่งจะไปเรียนวิชาการ | ให้เชี่ยวชาญชำนาญในศิลป์ชัย |
ครั้นว่าจะห้ามปรามเจ้า | ขวัญเข้าจักเคืองอัชฌาสัย |
เป็นจารีตกษัตริย์แต่ก่อนไซร้ | เจ้าจะไปก็ตามประเพณี |
แต่ลูกรักจักเดินในดงดาน | แดนพาลมฤคเสือสีห์ |
จงระมัดระวังองค์จงดี | อย่ามีจิตประมาทลืมตน |
อย่าลุ่มหลงด้วยกลมารยา | คือรูปรสวาจาเป็นต้น |
ตัวเจ้าจะไปในอารญ | ศรีสวัสดิ์มงคลทุกเวลา |
จะร่ำเรียนวิชาสิ่งใด | ให้ได้ดังใจปรารถนา |
แล้วรีบกลับคืนพารา | แก้วตาเจ้าไปจงดี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองผู้เรืองรัศมี |
รับพรพระชนกชนนี | ใส่ศีโรตม์แล้วบังคมลา |
ยุรยาตรดังราชไกรสร | บทจรจากสุวรรณคูหา |
เสด็จลีลาศคลาดคลา | มายังปรางค์รัตน์มณี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ จึงบอกสี่พี่เลี้ยงผู้ปรีชา | ทั้งพระยาหงส์ราชปักษี |
น้องลาพระชนกชนนี | บัดนี้อนุญาตดังใจ |
ความน้องยินดีผ่องแผ้ว | ดังใครเอาแก้วมายื่นให้ |
ทั้งห้าเราจะพากันไป | ยังในสำนักพระสิทธา |
ว่าแล้วจึงใส่เครื่องประดับ | สำหรับพระยาปักษา |
ล้วนแล้วด้วยแก้วรจนา | ดังพระยาหงส์ทรงพรหมินทร์ |
แล้วสั่งพี่เลี้ยงผู้ร่วมใจ | ให้ผูกอาชาชัยเฉิดฉิน |
มาเตรียมยังเกยแก้วมณีนิล | รุ่งแสงทินกรเราจะไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงผู้มีอัชฌาสัย |
รับสั่งแล้วพากันคลาไคล | รีบไปยังโรงอาชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึงผูกพระที่นั่งอาชาชาญ | ครบเครื่องเบาะอานผ่านหน้า |
มาเตรียมยังเกยแก้วรจนา | ทั้งม้าพระพี่เลี้ยงพร้อมกัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โทน
๏ ครั้นรุ่ง | พระสุริยาพวยพุ่งแสงฉัน |
พระตื่นจากแท่นแก้วแพรวพรรณ | ผายผันมาสรงคงคาลัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โทน
๏ ชำระสระสนานสำราญองค์ | ทรงสุคนธ์ปนทองผ่องใส |
รวยรินกลิ่นอบตลบไป | สอดใส่สนับเพลารจนา |
ทรงโกไสยพัสตร์พื้นตอง | ทองแล่งแย่งลายเลขา |
สอดใส่สะอิ้งองค์อลงการ์ | รจนาชายไหวชายแครง |
ใส่ฉลองพระองค์ทรงประพาส | ตองตาดเครื่องระยับจับแสง |
ทรงสังวาลวรรณกุดั่นแดง | ก้านแย่งรักร้อยจำหลักลาย |
ตาบประดับทับทรวงดวงเด็ด | เก็จกิ่งพริ้งเพริศเฉิดฉาย |
พาหุรัดทองกรพรรณราย | ธำมรงค์เพชรพรายรุ้งเรือง |
แล้วทรงพระมหามงกุฎ | ผาดผุดรัศมีเปล่งเปลื้อง |
กรรเจียกแก้วแววฟ้าค่าเมือง | แสงประเทืองจับจรจำรัสตา |
ทรงพระขรรค์แก้วมณีนิล | ดังองค์อินทร์จากไตรตรึงษา |
หงส์ทองนำเสด็จยาตรา | พระสนมตามมานี่นัน ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เพลง
ร่าย
๏ บัดนั้น | สนมกรมในสาวสวรรค์ |
พระพี่เลี้ยงนางนมทั้งนั้น | ครั้นมาถึงเกยทันใด |
ต่างคนต่างวิ่งเข้ากอดบาท | มิอาจจะกลั้นโศกได้ |
บ้างตีอกฟกช้ำร่ำไร | ร้องไห้กลิ้งเกลือกไปมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองโฉมเสนหา |
เห็นพี่เลี้ยงพระนมตามมา | กอดพระบาทาร่ำไร |
จึ่งมีมธุรสพจนารถ | ปลอบพี่เลี้ยงราชน้อยใหญ่ |
พี่อย่าโศกาอาลัย | ใช่ว่าไปแล้วไม่กลับมา |
จงดับความทุกขาอาวรณ์ | จะเร่าร้อนไปไยหนักหนา |
น้องไปก็ไม่อยู่ช้า | จะกลับคืนมาพระเวียงชัย |
ทั้งหลายค่อยอยู่จงดี | อย่าโศกแสนโศกีหม่นไหม้ |
ว่าแล้วก็ขึ้นอาชาไนย | ออกจากพิชัยธานี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
โทน
๏ ม้าทรง | อาจองดังพระยาราชสีห์ |
เชื้อชาติสินธพพาชี | มีกำลังดังพระพายพัด |
ผันผกยกหูชูหาง | ย่างย้ายรายเรียงย่อหยัด |
ประดับเครื่องเรืองรองเนาวรัตน์ | อานคร่ำจำรัสรูจี |
พู่พรายสายถือบังเหียน | ตาบหน้าวิเชียรแสงศรี |
ง่องง้ำแคบคับประดับดี | สายเหาจามรีจงกล |
ช้องหางรัดอกปกผนัง | ผ่านหน้าติดกระจังสร้อยสน |
โกลนทองรองบาทยุคล | อำพนด้วยเครื่องเรืองรอง |
งามองค์งามทรงพาชี | งามสี่พี่เลี้ยงไม่มีสอง |
งามม้างามพระยาหงส์ทอง | ผันผยองนำเสด็จจรลี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ เข้าในหิมวาป่าชัฏ | เลี้ยวลัดตามราชปักษี |
เดินไพรมาหลายราตรี | ถึงที่จงกรมพระนักธรรม์ |
จึงลงจากมิ่งม้าพาชี | ชวนสี่พี่เลี้ยงผายผัน |
หงส์ทองนำเสด็จจรจรัล | เข้าไปอภิวันท์พระมุนี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | พระโควินท์มหาฤๅษี |
ครั้นเห็นองค์พระทรงสวัสดี | กับสี่พี่เลี้ยงสกุณา |
เข้ามาถวายอัญชลี | พระมุนียินดีเป็นหนักหนา |
จึงวินิจพิศพักตร์ลักขณา | เห็นพระกุมาราวิลาวัณย์ |
งามลํ้าจักรพรรดิในใต้หล้า | ลํ้าเทพเทวาในสรวงสวรรค์ |
พระนักสิทธ์เร่งคิดอัศจรรย์ | จึงมีบัญชาถามไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ดูรา | พระนัดดาผู้มีอัชฌาสัย |
เจ้าอยู่ถิ่นฐานบ้านเมืองใด | นามกรชื่อไรกุมารา |
อุตสาหะบุกป่าดาดง | ฝ่าพงระนามหนามหนา |
มาถึงอาศรมศาลา | จะมีความปรารถนาสิ่งใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองรุ่งสุริย์ใส |
วันทาแล้วแจ้งกิจจาไป | ข้าอยู่ในโขมราฐพารา |
ชื่อว่าศรีเมืองเรืองสวัสดิ์ | หน่อท้าวโขมพัสตร์นาถา |
ทูลลาบิตุเรศมารดา | จะมาร่ำเรียนวิชาการ |
บุญข้ามาพบพระนักสิทธ์ | อันสถิตอยู่ในไพรสาณฑ์ |
จะขอปรนนิบัติบทมาลย์ | พระอาจารย์จงได้ปรานี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระโควินท์มหาฤๅษี |
ฟังพระกุมาราพาที | มีความเอ็นดูเป็นพ้นไป |
จึงว่าดูกรพระนัดดา | อุตส่าห์บุกมาในป่าใหญ่ |
ได้ความลำบากยากใจ | ไกลทั้งบิตุเรศมารดา |
รํ่าเรียนวิชาสิ่งใด | จะบอกให้ดังใจปรารถนา |
ไว้เป็นธุระอัยกา | นัดดาอย่าปรารมภ์ใจ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองรัศมีศรีใส |
ได้ฟังพระอาจารย์ชาญชัย | มีพระทัยชื่นชมยินดี |
จึงก้มเกล้าถวายอภิวาท | กราบลงกับบาทพระฤๅษี |
อยู่ด้วยพระมหามุนี | ในคันธกุฎีพนาวา |
เช้าค่ำกระทำปรนนิบัติ | นวดฟั้นหัตถบาทซ้ายขวา |
ทั้งนํ้าใช้นํ้าฉันก็นำมา | ปรนนิบัติรักษาทุกราตรี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นเช้าจึงเข้าไปป่า | กับปักษาพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
เก็บผลพฤกษาบรรดามี | ที่ในอรัญวาลัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ เก็บได้ | ผลไม้มีพรรณน้อยใหญ่ |
มังคุดพุทราลำไย | ไข่เน่าร้อยลิ้นอินจันทน์ |
ลิ้นจี่พะวาหว้าพลอง | ตาดต้องปรางปริงทุกสิ่งสรรพ์ |
เก็บห่อภูษาได้ครามครัน | ก็กลับมาพระบรรณศาลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงถวายนมัสการ | องค์พระอาจารย์ฌานกล้า |
แล้วถวายผลไม้นานา | แก่พระอัยกาธิบดี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระโควินท์มหาฤๅษี |
ชื่นชมโสมนัสยินดี | มีความรักใคร่เป็นพ้นไป |
ในองค์พระกุมารหลานรัก | ดังดวงจักษุก็เปรียบได้ |
อันศิลปศาสตร์สิ่งใด | ก็สอนให้เล่าเรียนทุกเวลา |
บอกทั้งคาถาพระยามนต์ | เล่ห์กลเสร็จสิ้นให้ศึกษา |
ก็ชำนิชำนาญในวิชา | พระดาบสบอกให้ทุกประการ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ วันหนึ่ง | จึงพระมหาฤๅษีสาร |
คิดถวิลจินตนาในญาณ | ว่าพระกุมารชาญชัย |
อันพระเวทคาถาบาลี | ถ้วนถี่สารพันได้บอกให้ |
ยังแต่ธนูศิลป์ชัย | มิได้มอบให้สำหรับกัน |
จำกูจะอาหุดี | ชุบธนูศรศรีให้หลานขวัญ |
คิดแล้วจึงองค์พระนักธรรม์ | ก็ผายผันออกหน้าพระกุฎี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ จึงกองเพลิงเถกิงกาลา | เรืองโรจน์โชติฟ้าราศี |
สำรวมอาตม์เข้าสมาธิพิธี | พระมุนีอ่านพระเวทชาญชัย |
ด้วยเดชะพระเวทชัปนา | พระสุธาอากาศก็หวาดไหว |
ให้มืดคลุ้มชอุ่มอับไป | ทั้งในทศทิศาการ |
บังเกิดเป็นธนูศรศรี | ขึ้นกลางอัคคีแสงฉาน |
จึงหยิบเอามามิทันนาน | ให้แก่พระกุมารทันใด |
แล้วอวยพระพรชัยศรี | ไพรีอย่ารอต่อได้ |
ให้เรืองฤทธิ์สิทธิเดโชชัย | โรคาอย่าได้มายายี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองฟ้าราศี |
เคารพจบบาทพระมุนี | ภูมีรับศิลป์ชัยมา |
รับทั้งพระพรใส่เกล้า | จบเท้าใส่เกศเกศา |
มีความยินดีปรีดา | พ้นที่จะคณนาไป ฯ |