- คำนำ อธิบดีกรมศิลปากร
- นิทานเรื่องพระศรีเมือง
- นิทานเรื่องพระศรีเมืองต่อจากบทละคอน
- ตอนที่ ๑ พระศรีเมืองเรียนวิชา
- ตอนที่ ๒ หงส์อาสาหาคู่ให้พระศรีเมือง
- ตอนที่ ๓ พระศรีเมืองเข้าเมืองยโสธร
- ตอนที่ ๔ พระศรีเมืองได้นางสุวรรณเกสร
- ตอนที่ ๕ ท้าวพินทุทัตให้ธิดาเสี่ยงคู่
- ตอนที่ ๖ อภิเษกพระศรีเมือง
- ตอนที่ ๗ ท้าวโขมพัสตร์ให้ไปรับพระศรีเมือง
- ตอนที่ ๘ พระศรีเมืองชมสวน
- ตอนที่ ๙ พระศรีเมืองทูลลาท้าวพินทุทัต
- ตอนที่ ๑๐ พระศรีเมืองรบกับพระยาจันทร
ตอนที่ ๑๐ พระศรีเมืองรบกับพระยาจันทร
๏ บัดนั้น | ขุนพลนายกองอาสา |
ประจำด่านกรุงจันทเสมา | มีอาวุธครบทุกตัวคน |
ถึงเพลาพาไพร่สามร้อย | ออกด้อมมองคอยทุกแห่งหน |
เล็ดลอดสอดดูผู้คน | เลาะลัดไพรสณฑ์เที่ยวไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ พอมาเห็นพลกองทัพ | แน่นนันต์ไม่นับประมาณได้ |
ขุนพลนายกองก็ตกใจ | ยอบกายแฝงไม้ใบบัง |
จึงปีนขึ้นบนปลายพฤกษา | เห็นม้ารถคชาคับคั่ง |
นั่นพระศรีเมืองแล้วกระมัง | ทรงช้างที่นั่งคชาธาร |
เห็นแล้วลงจากต้นไม้ | พาไพร่เลาะลัดไพรสาณฑ์ |
รีบลัดดัดดั้นดงดาน | ไปทูลภูบาลทันใด ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงก็แจ้งแก่เสนา | ข้าพบกองทัพในป่าใหญ่ |
เห็นพระศรีเมืองเรืองชัย | เสด็จในท่ามกลางโยธา |
ยกพลมาถึงปลายด่าน | ทวยหาญมากมายหนักหนา |
ขอท่านได้แจ้งกิจจา | พาข้าไปทูลพระภูมี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อำมาตย์แจ้งความถ้วนถี่ |
จึงพาขุนด่านจรลี | เข้าสู่ที่ท้องพระโรงใน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ | ทูลองค์พระยาจันท์เป็นใหญ่ |
ว่ากองทัพพระศรีเมืองเรืองชัย | ล่วงเข้าในแดนนัครา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระยาจันท์เชี่ยวชาญหาญกล้า |
จึงมีสิงหนาทบัญชา | โกรธาแล้วตรัสประภาษไป |
เหม่ศรีเมืองดูหมิ่นกู | สู่รู้จะม้วยตักษัย |
วันเมื่อชั่งรูปอรไท | ขอเปลี่ยนไม่ให้แค้นนัก |
ดีแล้วจะได้เห็นกัน | จะห้ำหั่นให้ละลายหายหัก |
แล้วสั่งเสนาผู้ใจภักดิ์ | จงไปตั้งค่ายกักทางไว้ |
คู่เขื่อนลงขวากให้แน่นหนา | อย่าให้ศรีเมืองไปได้ |
สูเร่งไปพลันทันใด | ตั้งค่ายให้แล้วในวันนี้ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกศี |
บังคมก้มกราบสามที | ไปยังที่เตรียมพลไกร |
เร่งรัดจัดกันอลหม่าน | ทวยหาญไม่นับประมาณได้ |
มือถืออาวุธปืนไฟ | ไม่ได้ครั่นคร้ามไพรี |
ครั้นเสร็จก็ยกโยธา | ออกจากนัครากรุงศรี |
รีบร้นพลเดินจรลี | ไปยังที่ปลายด่านเขตคัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงจึงตั้งค่ายขวาง | ปิดทางลงขวากเขื่อนมั่น |
แล้วทำหอรบครบครัน | สนามเพลาะเจาะกั้นบังกาย |
ครั้นเสร็จจึงสั่งโยธา | ให้ตรวจตรากองเพลิงหน้าค่าย |
ผลัดเกณฑ์ตระเวนรอบราย | นายหมวดกำชับอย่านอนใจ |
ครั้นเสร็จก็เข้ารักษา | หอรบปีกกาค่ายใหญ่ |
ผลัดกันนั่งยามตามไฟ | ระวังระไวไพรี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด รัวสามลา
๏ เมื่อนั้น | จึงพระมณีรัตน์เรืองศรี |
ทั้งพระพัทธวงศ์ธิบดี | ไสหัตถีเดินมาหน้าพล |
พลางทอดพระเนตรแลไป | เห็นค่ายตั้งในกลางไพรสณฑ์ |
สนามเพลาะหน้าค่ายรายพล | คิดฉงนพระทัยพันทวี |
จึงหยุดช้างพระที่นั่งทรง | ให้สงบจัตุรงค์ไว้ตามที่ |
จะคอยดูเชิงไพรี | ท่วงทีจะทำกลใด ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองฤทธิ์ทุกทิศไหว |
ทอดพระเนตรกองหน้ายกไป | ภูวไนยเห็นหยุดโยธี |
ประหลาดพระทัยพ้นนัก | พระจอมจักรทรงไสหัตถี |
ฝ่าหมู่พหลมนตรี | ไปถึงพระศรีอนุชา |
จึงถามสองเจ้าผู้ร่วมใจ | เป็นไฉนจึงหยุดกองหน้า |
เจ้าจงบอกแก่พี่ยา | หรือว่ามีเหตุประการใด ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองพระอนุชาบังคมไหว้ |
จึงทูลพระเชษฐาไป | ว่ากองทัพผู้ใดไม่รู้ |
มาตั้งค่ายปิดทางลงไว้ | ข้าจึงให้หยุดพลอยู่ |
หรือจะเป็นศึกเสี้ยนศัตรู | มาต่อสู้จะฆ่าให้บรรลัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงฤทธิ์ดังองค์สุริย์ใส |
ทอดพระเนตรตามมรรคาไป | เห็นค่ายใหญ่ตั้งปิดทางกัน |
พระจึงตรัสบอกอนุชา | เห็นจะเป็นพระยาจันท์แม่นมั่น |
เมื่อวันชั่งรูปนางสุวรรณ | มันพยาบาทแก่พี่ยา |
ดีแล้วจะได้เห็นกัน | ถึงรบรุกบุกบันเข่นฆ่า |
มิได้ครั่นคร้ามศักดา | พระบัญชาให้หยุดพลพลัน |
จึงสั่งพี่เลี้ยงทั้งสี่ | ที่นี่เราจะตั้งค่ายมั่น |
ที่ประทับพลับพลาแรมวัน | ให้แล้วทันแต่ในวันนี้ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกศี |
ลงจากไอยราทันที | ไปสั่งตามมีโองการ |
ตั้งค่ายขุดคูลงเขื่อนขัณฑ์ | หอรบครบครันทั้งสี่ด้าน |
แล้วกะกันเป็นพนักงาน | ให้นายด้านตรวจตราจงดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | เสนาฟังพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
กราบไหว้แล้ววิ่งเป็นสิงคลี | มาปักปันหน้าที่ทันใด |
บ้างทำค่ายขุดคูลงขวาก | ก่นลากหลักตอหาเหลือไม่ |
บ้างทำที่ประทับพลับพลาชัย | บัดใจแล้วเสร็จครบครัน |
พี่เลี้ยงเสนาจึงมาทูล | พระหน่อนเรนทร์สูรเฉิดฉัน |
บัดนี้พลับพลาเสร็จพลัน | ขอเชิญพระทรงธรรม์เสด็จไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองได้ฟังแจ่มใส |
ประทับช้างที่นั่งกับเกยชัย | ภูวไนยชวนสองอนุชา |
กับพระมเหสีทรามวัย | ซึ่งสถิตอยู่ในรถา |
ทั้งสี่กษัตริย์ยาตรา | เสด็จมายังที่แรมวัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองเดชแข็งขัน |
เสด็จนั่งยังหน้าพลับพลาพลัน | ผันพักตร์มาสั่งเสนี |
ชาวยโสธรพารา | ให้ไปทูลบิดาเรืองศรี |
ว่าพระยาจันทบุรี | กรีธาทัพขวางทางไว้ |
เห็นว่าจะเป็นศึกกันจริง | เราจะกริ่งเกรงก็หาไม่ |
จงทูลพระองค์ทรงชัย | อย่าให้วิตกถึงลูกยา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกศา |
สองนายถวายบังคมลา | ถอยหลังออกมาบันได |
จึงเผ่นขึ้นพาชี | เสนีขี่ควบขับใหญ่ |
เร่งรัดดัดดั้นพนาลัย | ไปยโสธรพารา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | พระยาจันท์พระยาหงส์แกล้วกล้า |
เสด็จออกพระโรงรจนา | พร้อมด้วยพฤฒาเสนี |
พระจึงตรัสสั่งอำมาตย์ | ให้แต่งพระราชสารศรี |
ไปถึงศรีเมืองภูมี | แต่ในทันทีอย่าช้า ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกศา |
จึงแต่งสารตามมีพระบัญชา | ต่อหน้าพระที่นั่งภูวไนย |
ครั้นเสร็จแล้วส่งสารา | แก่ทหารกองม้านายใหญ่ |
เร่งรีบไปยังทัพชัย | อย่าช้าแต่ในเพลานี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทหารกองม้าทั้งสี่ |
รับสารถวายอัญชลี | มาขี้นพาชีรีบไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นมาถึงนายกองค่ายหน้า | นายม้าผู้มีอัชฌาสัย |
ชูสารแล้วร้องไปแต่ไกล | เราไซร้อยู่จันทบุรี |
เป็นทูตจำทูลพระราชสาร | พระผู้ผ่านกรุงจันท์เรืองศรี |
ว่าพลางทางขับพาชี | ถึงที่ค่ายหน้าทันใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ทหารกองหน้านายใหญ่ |
ได้ฟังแล้วพาคลาไคล | เข้าไปเฝ้าองค์พระราชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ มาถึงประณตบทบงสุ์ | องค์พระภูวไนยนาถา |
ทูลเบิกทั้งสี่เสนา | มาแต่กรุงจันท์เวียงชัย |
ว่าเป็นราชทูตทูลสาร | พระยาจันท์ผู้ผ่านกรุงใหญ่ |
ทูลแล้วก็ส่งสารไป | ให้แก่มหาเสนา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีผู้มียศถา |
รับเอาพระราชสารตรา | มาคลี่ออกอ่านทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ให้ลักษณสารพระยาจันท์ | ทรงธรรม์ทศพิธเป็นใหญ่ |
ครองจันทบุรีเวียงชัย | สิ่งใดมิได้ภัยพาล |
เป็นจอมกษัตริย์สุริย์วงศ์ | พร้อมด้วยจัตุรงค์ทวยหาญ |
ไพรีไม่มีต้านทาน | จะอาจหาญเข้ารอต่อผจญ |
แต่ออกชื่อลือนามก็ขามฤทธิ์ | ประจามิตรสยองพองขน |
พระเดชทั่วนัคราสากล | ใครประจญต่อฤทธิ์ก็บรรลัย |
เดิมท้าวพินทุทัตนาถา | มีราชสารามาให้ |
ว่าสุวรรณเกสรอำไพ | ไร้คู่สู่สมภิรมยา |
จะยกให้เป็นอัครมเหสี | เรามีพระทัยปรารถนา |
พระศรีเมืองมาชิงกัลยา | มิได้เกรงชีวาบรรลัย |
ถ้ารู้สึกตัวกลัวผิด | จงคิดส่งนางมาให้ |
ถ้าไม่รักตัวกลัวภัย | จะจับฆ่าเสียให้มรณา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองโฉมเสนหา |
ฟังแจ้งแห่งศุภสารา | ของพระยาจันทภูมี |
พระยิ้มแย้มสรวลสำรวลร่า | แล้วตรัสว่าผู้ใหญ่ไม่พอที่ |
จึงสั่งแก่ราชเสนี | ให้เร่งแต่งสารศรีตอบไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาบังคมประนมไหว้ |
รับสั่งแต่งสารทันใด | ตามในบัญชาพระภูบาล |
ครั้นทำสารเสร็จขึ้นกระดาษ | ส่งให้ราชทูตผู้ถือสาร |
ต่อพักตร์พระศรีเมืองเรืองชาญ | เสด็จอยู่หน้าพระลานพลับพลาชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาพระยาจันท์เป็นใหญ่ |
รับสารบังคมลาคลาไคล | บัดใจมาขึ้นพาชี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึง | ราชทูตผู้ถือสารศรี |
ตรงเข้าไปเฝ้าพระภูมี | ยังที่เสด็จออกพระโรงธาร |
แล้วก้มเศียรบังคมบรมบาท | ทูลถวายสาราราชสาร |
ส่งให้เสนีผู้ปรีชาญ | อ่านถวายพระยาจันท์มิได้ช้า ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ในลักษณว่าสารพระศรีเมือง | ผู้เรืองธนูศิลป์แกล้วกล้า |
ครองกรุงโขมราฐพารา | เป็นมหากษัตริย์สุริย์วงศ์ |
มีเดชเดชาอานุภาพ | แม้จะปราบยุคไหนก็ผุยผง |
ใครไม่หาญทานอิทธิ์ฤทธิรงค์ | ระอาองค์ออกโอษฐ์ไม่ต่อตี |
มาถึงพระยาจันทวงศ์ | ผู้พงศ์ขัตติเยศเรืองศรี |
ไม่อยู่ในยุติธรรมประเพณี | มีแต่ก่อกรรมคำพาล |
อันนางสุวรรณเกสร | ภูธรพินทุทัตมหาศาล |
ผู้เป็นบิดาเยาวมาลย์ | พระภูบาลให้ชั่งรูปเทวี |
รูปใครหนักได้เสมอกัน | พระทรงธรรม์จะให้เป็นมเหสี |
รูปเราหนักเท่ากันพอดี | พระภูมีจึงเสกให้ครองกัน |
อันรูปพระยาจันทวงศ์ | หนักเท่าองค์ประภาเฉิดฉัน |
ตัวก็ได้กราบทูลพระทรงธรรม์ | วันนั้นจะขอเปลี่ยนกัลยา |
ฝ่ายเรามิให้เทวี | กลับมีพยาบาทหึงสา |
หยาบหยามลามลวนเจรจา | ว่าให้ส่งชายาเข้าไป |
ตัวท่านเป็นคนโมหันธ์ | สำคัญว่าเรากลัวอย่าสงสัย |
พระยาจันท์ไม่กลัวบรรลัย | ให้เร่งยกพลไปอย่าช้า ฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระยาจันทวงศ์นาถา |
ได้ฟังสารดาลเดือดโกรธา | จึงบัญชาสิงหนาททันใด |
สั่งนายฤทธิรงค์องอาจ | เจ้าผู้ฉลาดอัชฌาสัย |
กับนายทรงวิชาร่วมใจ | จงไปสะกดไพรี |
จับเอาศรีเมืองอาธรรม์ | กับสุวรรณเกสรมเหสี |
มาถวายกูในราตรี | พรุ่งนี้จะให้รางวัล ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองนายผู้ปรีชาขยัน |
รับสั่งแล้วกราบทูลพลัน | ทรงธรรม์อย่าปรารภฤทัย |
ข้าน้อยจะขออาสา | ไปสะกดโยธาให้หลับไหล |
จับพระศรีเมืองกับอรไท | มาถวายจงได้พระภูมี |
ทูลพลางกราบถวายบังคมลา | สองนายเริงร่าเกษมศรี |
มาจัดเครื่องบูชายัญทันที | ธูปเทียนมาลีครบครัน |
กับทั้งว่านยามหาสะกด | พร้อมหมดสองนายผายผัน |
รีบมาด่วนด่วนชวนกัน | ตรงไปค่ายมั่นพระศรีเมือง ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงแอบเข้าไปดู | เห็นหมู่จัตุรงค์เดินเนื่อง |
ม้ารถคชาก็นองเนือง | เครื่องศัสตราสรรพทุกสิ่งอัน |
เวลาก็ยังมิพลบค่ำ | พอย่ำย่ำร้อนแสงสุริย์ฉัน |
สองนายชายแฝงไพรวัน | ชวนกันนั่งคอยเวลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทหารพระศรีเมืองพร้อมหน้า |
ครั้นเวลาเข้าสนธยา | ตรวจตรากองเพลิงนั่งยาม |
กองตระเวนเกณฑ์ตรวจประจำซอง | ฆ้องหม่องใครม่อยก็ตีถาม |
สมด้วยอาญาศึกสงคราม | ตามกฎสำหรับทัพสืบมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายทรงวิชาชาญหาญกล้า |
พลบค่ำย่ำฆ้องนาฬิกา | เวลาพอได้ฤกษ์ชัย |
สองนายเดินขึ้นเหนือลม | ได้สมดังจิตปองผ่องใส |
จึงจุดธูปเทียนขึ้นบัดใจ | บูชาคุณไสยทันที |
แล้วโอมอ่านพระเวทคาถา | อัญเชิญเทวาทุกราศี |
เรียกภูตปีศาจร้ายราวี | ได้ทีแล้วเป่ายาไป |
เป็นควันตลบอบอาย | พระพายพัดมาหาเหลือไม่ |
ต้องทั้งม้ารถคชไกร | ไพร่พลก็หลับพร้อมหน้า ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ
๏ บัดนั้น | มนตรีกองขันซ้ายขวา |
ทั้งยามอยู่พร้อมโยธา | สองพระอนุชาภูมี |
ทั้งพระศรีเมืองเรืองชัย | เกสรอำไพมเหสี |
พระสนมกำนัลขันที | พาชีคชาผูกไว้ |
ถูกควันว่านยาทั้งกองทัพ | หาวนอนงุบงับหลับไหล |
ล้มพาดกลาดเกลื่อนกันไป | ขาไขว่กอดเพื่อนพัลวัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายฤทธิรงค์เข้มขัน |
เงียบเสียงเลี่ยงมาดูพลัน | เห็นพลนั้นนอนหลับสนิทนัก |
ทีนี้จะสมปรารถนา | ไม่เสียทีอาสาพระทรงศักดิ์ |
จะหยุดพูดจาก็ช้านัก | มาจักเข้าไปพลับพลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงหน้าพลับพลาชัย | เสนาหลับไหลอยู่หนักหนา |
บ้างผูกมัดรัดรอบกายา | ผูกขาแขนคอติดกัน |
กลาดกลิ้งเต็มหน้าชาลา | สองนายพากันผายผัน |
ขึ้นบนพลับพลาฉับพลัน | นั่นพระศรีเมืองภูมี |
กับนางสุวรรณเกสร | นอนหลับสนิททั้งสองศรี |
มีพระขรรค์ศรสิทธิ์ฤทธี | วางอยู่ข้างที่ไสยา |
สองนายหวั่นจิตคิดพรั่น | ตัวสั่นเหงื่อฉีกออกโซมหน้า |
ให้สยองพองเส้นโลมา | ตกประหม่าตามืดไม่เห็นกัน |
เมียงหมอบยอบกายเข้าแฝงเสา | เห็นเงาตัวตื่นไม่มีขวัญ |
ถอยหลังลูบอกงกงัน | เข้าแอบม่านกั้นบังตา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงอารักษ์สิทธิศักดิ์แกล้วกล้า |
สถิตในพระไทรฉายา | มีจิตเมตตาพ้นไป |
เมื่อเห็นนายทรงวิชา | เข้าสะกดโยธาหลับไหล |
จะจับพระศรีเมืองเรืองชัย | เทพไทถวิลจินดา |
ว่าพระศรีเมืององค์นี้ | เธอมีอานุภาพหนักหนา |
เป็นจอมจักรพรรดิกษัตรา | ทรงมหาทศพิธราชธรรม์ |
อันเราจะนิ่งอยู่นี้ | น่าที่จะม้วยอาสัญ |
คิดแล้วจึงเทพเทวัญ | ผายผันจากพระไทรลงมา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เหาะ
๏ ครั้นถึง | ที่พระศรีเมืองนาถา |
เห็นหลับสนิทนิทรา | เทวามีจิตปรานี |
อนิจจาโอ้ว่าพระศรีเมือง | ลือเลื่องเฟื่องฟ้าราศี |
ทรงโฉมประโลมโลกีย์ | ใครเห็นเป็นที่จำเริญตา |
อารักษ์เอากรเข้าสั่นองค์ | ปลุกพระโฉมยงเสนหา |
แล้วคืนสู่พระไทรฉายา | ผาสุกสำราญบานใจ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองฤทธิ์พิสมัย |
ครั้นอารักษ์ปลุกองค์พระทรงชัย | ภูวไนยตื่นจากไสยา |
พระจึงเปิดแกลแลไป | ให้ประหลาดพระทัยหนักหนา |
เห็นไพร่พลพหลโยธา | เสนาหลับสิ้นไม่สมประดี |
พระจึงเสด็จออกมา | ปลุกพระอนุชาสองศรี |
กับพระพี่เลี้ยงผู้ภักดี | บัดนี้มาเงียบสงบไป |
เห็นทีมีเหตุเป็นมั่นคง | พี่จงไปเอาใจใส่ |
ตรวจตราทหารชาญชัย | เร่งเร็วรีบไปทันที ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกศี |
บังคมคัลถวายอัญชลี | ออกมาจากที่พลับพลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ มาถึง | จึงเห็นเสนาถ้วนหน้า |
ต้องมัดหลับอยู่ดาษดา | ไม่รู้สึกกายานอนกรน |
พี่เลี้ยงจึงเข้าไปปลุก | บ้างลุกตกใจสับสน |
จึงแก้มัดให้สิ้นทุกคน | อลวนทั้งค่ายวุ่นวาย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | สองนายทหารขวัญหาย |
เห็นพระองค์ทรงตื่นฟื้นกาย | ปลุกคนทั้งหลายอึงไป |
จึงอ่านมนต์จังงังบังกาย | หนีออกจากค่ายไปได้ |
เล็ดลอดรอดตัวกลัวภัย | รีบไปยังจันทบุรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงทวารพารา | พอพระสุริยาสร่างศรี |
เข้าในนคราธานี | จรลีมาท้องพระโรงชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระยาจันท์พระยาหงส์เป็นใหญ่ |
ทอดพระเนตรเห็นทหารชาญชัย | สองนายผู้ไวปรีชา |
จึงตรัสประภาษถามไป | ยังได้สมความปรารถนา |
หรือไม่ได้สมเจตนา | ซี่งอาสาไปจับไพรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองทหารประณตบทศรี |
จึงกราบทูลไปพลันทันที | ตามมูลคดีแต่หลังไป |
ว่าพระศรีเมืองฤทธิรงค์ | พระองค์บุญหนักศักดิ์ใหญ่ |
มีจิตคิดคร้ามขามใจ | เข้าใกล้ไม่ได้พระภูมี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระยาจันท์พระยาหงส์เรืองศรี |
ได้ฟังทหารพาที | มีจิตคิดพรั่นพระทัย |
แต่หักมานะกษัตรา | จะออกวาจาก็ไม่ได้ |
คิดแล้วจึงสั่งเสนาใน | ให้เตรียมพลไกรชัยชาญ |
ผูกช้างพระที่นั่งสำหรับศึก | อันเหี้ยมฮึกกำลังห้าวหาญ |
ให้พร้อมสำเร็จเสร็จการ | กูจะไปต่อต้านไพรี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกศี |
ก้มเกล้ากราบงามสามที | ก็จรลีมาจัดทัพชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ กะเกณฑ์จัตุรงค์ทวยหาญ | เลือกล้วนชำนาญศึกใหญ่ |
ขุนช้างผูกช้างชาญชัย | ครบไปด้วยเครื่องคชาธาร |
ขุนม้าผูกม้าอาชาไนย | เคล่าคล่องว่องไวห้าวหาญ |
ขุนรถแต่งรถอลงการ | ชำนาญชาญด้วยเครื่องศัสตรา |
ทหารปืนยืนยิงชิงชัย | อาจองทะนงใจอาสา |
ไม่ย่อท้อต่อศึกที่ยกมา | กำลังหาญชาญกล้าราวี |
ทหารโล่ห์โตมรแข็งขยัน | ทหารทวนเกาทัณฑ์ไม่ถอยหนี |
พร้อมถ้วนกระบวนทัพโยธี | จรลีมาเฝ้าพระภูวไนย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงถวายอภิวันท์ | ทูลจอมกรุงจันท์เป็นใหญ่ |
ข้าน้อยไปจัดทัพชัย | ได้พร้อมเสร็จแล้วดังบัญชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระยาจันทวงศา |
ครั้นแจ้งแห่งคำเสนา | ว่าโยธาพร้อมแล้วก็ยินดี |
จึงมีพจนารถตรัสมา | ชวนพระอนุชาเรืองศรี |
สององค์เสด็จจรลี | มาเข้าที่สรงคงคา ฯ[๑] |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ สององค์ชำระสระสนาน | ทรงสุคนธาธารโอ่อ่า |
สองทรงสนับเพลาเพราตา | ต่างทรงภูษากระบวนลาย |
แล้วทรงชายไหวชายแครง | ประดับทับทิมแดงแสงฉาย |
ฉลององค์ทรงเกราะพรรณราย | สร้อยสะอิ้งพริ้งพรายลายตา |
สังวาลประดับทับทรวง | โชติช่วงแวววามเวหา |
ทองกรพาหุรัดรจนา | ธำมรงค์อลงการ์เพชรพราย |
สองทรงมงกุฎอุดมเลิศ | ขัดพระขรรค์ประเสริฐเฉิดฉาย |
ชวนน้องยุรยาตรนาดกราย | ผันผายมาขึ้นคชา[๒] ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ช้างเอยช้างต้น | เคยประจญข้าศึกมาหนักหนา |
เข้มแข็งแรงดีทั้งฝีงา | อาจหาญชาญกล้าว่องไว |
กระหึ่มครึ้มครางโกญจนาท | องอาจกำลังสูงใหญ่ |
ตกมันอาบคางครึ้มไป | มิได้ย่อท้อไพรี |
รัตคน[๓]ชนชนักซองหาง[๔] | พู่ดาวกระจ่างแสงสี |
ผูกเครื่องคชาธารจะราวี | ครบที่ศัสตราจะชิงชัย |
ทหารปืนแบกปืนแห่หน้า | ทวนทองดาษดามาไสว |
บังสูรย์มยุรฉัตรธงชัย | ปี่กลองก้องในพสุธา |
สององค์ทรงช้างต่างกัน | พระยาหงส์น้องนั้นเป็นทัพหน้า |
พร้อมด้วยจตุรงคเสนา | จึ่งให้โห่สามลาคลาไคล ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ มาถึงปลายด่านเขตขัณฑ์ | ฝ่ายองค์พระยาจันท์เป็นใหญ่ |
ให้หยุดพักพลสกลไกร | สงบไว้คอยดูท่วงที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึงสั่งมหาเสนา | ให้โยธาโห่ร้องขึ้นอึงมี่ |
กึกก้องสนั่นไปถึงไพรี | มี่อึงไปถึงพลับพลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองฤทธิ์ทุกทิศา |
เสด็จออกยังที่พลับพลา | พร้อมสองอนุชาธิบดี |
ทั้งมหาเสนาแลพี่เลี้ยง | ได้ยินเสียงโห่ร้องขึ้นอึงมี่ |
ชะรอยทัพพระยาจันท์มาราวี | พระภูมีจึงกล่าวบัญชา |
สั่งพระพี่เลี้ยงผู้ร่วมใจ | ให้จัดพลไกรอยู่รักษา |
องค์พระ(ม)เหสีชายา | ตรวจตราอย่าให้ภัยพาล |
อันพหลพลไกรจะไปรบ | จัดแจงให้ครบเครื่องทหาร |
ให้ถ้วนกระบวนทัพสรรพการ | จะต่อต้านไพรีให้มีชัย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงบังคมประนมไหว้ |
รับสั่งพระองค์ทรงชัย | ออกไปจัดพลโยธา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ กะเกณท์เสร็จถ้วนกระบวนทัพ | สับช้างปีกซ้ายปีกขวา |
พี่เลี้ยงก็กลับเข้ามา | เฝ้าพระจักราเรืองชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงกราบบังคมทูล | องค์พระนเรนทร์สูรเป็นใหญ่ |
ว่าจัดทัพพร้อมแล้วพระทรงชัย | ภูวนัยจงทราบบาทา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึงพระมณีรัตน์วงศา |
กับพระพัทธวงศ์ราชา | กราบทูลอาสาไปชิงชัย |
ว่าศึกพระยาจันท์ที่ยกมา | น้องจะยกไปฆ่าให้ตักษัย |
มิให้เคืองบาทพระทรงชัย | ภูวนัยจงได้เมตตา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองฟังทูลก็หรรษา |
จึงมีพจนารถบัญชา | แก่น้องสองราว่าขอบใจ |
ซึ่งเจ้าจะอาสาพี่ | สงครามครั้งนี้ยิ่งใหญ่ |
แต่ลำพังน้องจะยกไป | เจ้าไซร้ยังเยาว์สงครามการ |
พี่จำจะยกไปด้วย | จะได้ช่วยป้องกันหักหาญ |
ว่าพลางชวนน้องชัยชาญ | สามองค์สรงสนานวารี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ พระเข้าที่ชำระสระสรง | สำอางองค์ขัดพระกายผ่องศรี |
นํ้ากุหลาบซาบสิ้นอินทรีย์ | หอมตระลบมาลีฟุ้งไป |
พระทรงเครื่องกษัตริย์ทั้งสาม | ดูงามแต่ละองค์พิสมัย |
ประดับเสร็จเครื่องศึกอำไพ | สามองค์คลาไคลมาเกยลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ช้างเอยช้างทรง | อาจองกำแหงแรงกล้า |
แต่ละตัวไม่กลัวชนชนะงา | สามสารหาญกล้าเกรียงไกร |
พระพัทธวงศาภูบาล | ทรงช้างคชาธารยิ่งใหญ่ |
เป็นทัพหน้าอาจหาญชาญชัย | มิได้ย่อท้อต่อณรงค์ |
ฝ่ายพระมณีรัตน์น้องยา | ทรงคชกล้างาสูงส่ง |
เป็นกองหนุนทัพหน้ามั่นคง | อาจองศักดากล้าดี |
อันพระสุริยารัตนาวรรณ | สองพี่เลี้ยงนั้นไม่ถอยหนี |
ขี่ช้างพังคาจรลี | เคียงพระน้องสองศรีออกไป |
ช้างทรงขององค์พระศรีเมือง | ครบเครื่องคชาธารยิ่งใหญ่ |
เป็นทัพหลวงจอมพลสกลไกร | กั้นเศวตฉัตรชัยบนคชา[๕] |
สรรพสรรพอาวุธ[๖]ครบครัน | สารพันจะพิฆาตเข่นฆ่า |
ไพรีเข้าต่อก็มรณา | กายาเป็นภัสม์ธุลีไป |
อันพระอภัยสุริยวงศ์ | พระพินทุพงศ์พี่เลี้ยงใหญ่ |
ขี่ช้างคนละตัวเกรียงไกร | ห้าวหาญชาญชัยฤทธา |
พระอภัยสุริวงศ์เป็นปีกซ้าย | พระพินทุพงศ์รายเป็นปีกขวา |
พร้อมด้วยจัตุรงโยธา | ทัพหน้าทัพหนุนเชี่ยวชาญ |
ครบเครื่องศาสตราอาวุธ | แห่โห่อึงอุดอูละหม่าน[๗] |
จึงให้ฤกษ์โยธามามินาน | ใกล้สถานหน้าค่ายพระยาจันท์ ฯ |
ฯ ๑๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งพระพัทธวงศ์เฉิดฉัน |
เห็นพระยาหงส์รุกบุกบัน | ยกพลกระชั้นมากมาย |
พระจึงให้ยกทัพหน้า | เร่งยกโยธาทั้งหลาย |
เข้าหักศึกอย่านึกกลัวตาย | ฟันเสียให้กระจายแตกไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งเสนานายกองทัพใหญ่ |
จนหน้าช้างพระยาหงส์ทรงชัย | ไม่เป็นตำบลสนธยา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระยาหงส์กริ้วโกรธหนักหนา |
จึ่งไสช้างพระที่นั่งราชา | แทงพลวิ่งผ่าขึ้นไป |
เห็นพระพัทธวงศ์ทรงช้าง | อยู่กลางจอมพลเป็นใหญ่ |
พระยาหงส์จึ่งพุ่งหอกชัย | จะให้ต้องพัทธวงศ์ราชา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งองค์พระพัทธวงศา |
พระชายเนตรชำเลืองมา | เห็นอาวุธศาสตราหอกชัย |
ตกลงริมช้างที่นั่งทรง | พระองค์กริ้วโกรธดังเพลิงไหม้ |
จึ่งไสช้างพระที่นั่งขี้นไป | เข้าลุยไล่เอากลางโยธา |
เข้าถึงหน้าช้างพระยาหงส์ | พระองค์มีความหรรษา |
ร้องเหวยว่าพระยาหงส์มา | เราสองราจะชนช้างกัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระยาหงส์ฤทธิแรงแข็งขัน |
เห็นช้างพระพัทธวงศ์บุกบั่น | พระทรงธรรม์ไสพระคชาธาร |
ชนกันในท่ามกลางพล | ไม่ย่อย่นต่างองค์ต่างหาญ |
สองสู้สัประยุทธ์ประจัญบาล | ตามกระบวนคชสารชิงชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพัทธวงศ์เลิศฟ้าดินไหว |
คอยป้อนอาวุธทั้งปวงไป | ด้วยพระแสงขอชัยศักดา |
ครั้นพระยาหงส์พลั้งเพลงรบ | พระตระลบฟันลงเบื้องขวา |
ด้วยพระแสงของ้าวศาสตรา | ต้องพระยาหงส์พลันทันใจ |
ก็ขาดคอช้างลงกลางทัพ | รี้พลเยินยับไม่นับได้ |
พระยาหงส์ตกช้างลงไป | ก็บรรลัยสูญสิ้นชีวาวาย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งพระยาจันท์เรืองฉาย |
พระยืนช้างอยู่เห็นน้องชาย | วายชีพขาดคอช้างทรง |
พระไสช้างวางวิ่งขึ้นไป | พร้อมด้วยพลไกรอาสา |
ครั้นถึงหน้าช้างพระน้องยา | พระราชายืนช้างขวางกัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระยาจันท์ฤทธิแรงแข็งขัน |
เห็นพระมณีรัตน์ทรงธรรม์ | ยืนช้างที่นั่งกันน้องยา |
พระยาจันท์โกรธเพียงอัคคี | ไอ้เด็กนี้โอหังหนักหนา |
เอ็งจะสู้กูหรือว่ามา | ถ้ากลัวมรณาถอยไป |
อันศรีเมืองนั้นไยไม่เห็นหน้า | ออกมาด้วยหรือไปไหน |
เอ็งเด็กเร่งถอยออกไป | ให้ศรีเมืองออกมารบกัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งองค์พระมณีรัตน์เฉิดฉัน |
ได้ฟังถ้อยคำพระยาจันท์ | จึ่งตอบไปพลันทันที |
ตัวท่านกล่าวคำอาจอง | ทะนงศักดิ์ฤทธิไกรชัยศรี |
ดังแมงเม่าไม่รู้ว่าอัคคี | จะยับเป็นธุลีแหลกไป |
เอ็งอ้างว่าจะสู้พระเชษฐา | อหังการ์ไม่ประมาทตัวได้ |
เห็นกูจึ่งชะล่าเฉลยใจ | ฮึกฮักว่าไปด้วยพาลา |
กูมาครั้งนี้สององค์ | ชื่อมณีพัทธวงศ์นาถา |
เป็นน้องพระศรีเมืองราชา | อาสามาเป็นทัพหน้าภูมี |
ด้วยท่านหยาบช้าสามารถ | องค์อาจราชศักดิ์เกินที่ |
เป็นใจพาลหาญฮึกราวี | จึงเป็นกุลีวุ่นวาย |
วันนี้อย่าได้หวังจะคืนไป | จะมอดม้วยบรรลัยฉิบหาย |
ถ้าเอ็งคิดกลัวความตาย | จงถวายบังคมอย่านาน ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระยาจันท์โกรธดังเพลิงผลาญ |
ไสช้างพระที่นั่งคชาธาร | เข้ารุกรานเอากลางโยธี |
จึงร้องว่าเหวยเด็กน้อย | กล่าวถ้อยนี้เกินศักดิ์ศรี |
แม้นเอ็งอวดอ้างว่าตัวดี | วันนี้กับกูจะเห็นกัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จึ่งพระมณีรัตน์เฉิดฉัน |
ขับสารต้านต่อพระยาจันท์ | บุกบั่นรานรุกราวี |
ต่างองค์ต่างทรงพระแสงขอ | สองต่อไม่ท้อถอยหนี |
ต่างฟันต่างรับเป็นโกลี | ถ้อยที่ปัดป้องว่องไว |
ต่างแข็งต่อแข็งแรงรบ | หลีกหลบท่วงทีแก้ไข |
ต่างองค์มิได้ปราชัย | ก็ยืนคชไกรอยู่กลางพล ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองรุ่งเวหน |
เห็นช้างพระอนุชาเข้าต่อชน | ผจญด้วยองค์พระยาจันท์ |
ต่างรอท้อถอยคชสาร | มิได้ประจัญบาลห้ำหั่น |
พระพิโรธโกรธกริ้วคือไฟกัลป์ | ขับช้างกระชั้นเข้าไป |
จึงจับศรศาสตร์พาดสาย | หมายล้างพญาจันท์ให้ตักษัย |
ผาดแผลงไปพลันทันใด | เสียงสนั่นหวั่นไหวทั้งโลกา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ศรศักดิ์ปักองค์พระยาจันท์ | ยังไม่ทันสุดสิ้นสังขาร์ |
ซบลงกับคอไอยรา | โยธาแตกพ่ายกระจายไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระมุนีรัตน์ศรีใส |
ขับช้างวางเร็วเข้าไป | ฟันด้วยพระขรรค์ชัยมรณา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด เสน่ห์
๏ บัดนั้น | ทหารพระพัทธวงศา |
เห็นพระยาจันท์สิ้นชีวา | ก็พากันไล่จับรี้พล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ บ้างฉวยได้เสนามนตรี | ทุบตีถองถีบไม่นับหน |
ผูกมัดรัดฅอทุกตัวคน | ก็รีบร้นมาถวายพระภูมี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองฟ้าราศี |
ครั้นเห็นเสนามนตรี | จับพวกไพรีเข้ามา |
จึ่งตรัสถามเสนาพระยาจันท์ | ว่าแต่สัจธรรม์อย่ามุสา |
เมื่อประถมยามสนธยา | เขาใช้ให้ใครมาสะกดเรา |
ไอ้คนดีหนีหลบไปอยู่ไหน | เป็นไรไม่มาอีกเล่า |
จับได้หรือไม่จงบอกเรา | หรือมันเข้าไปอยู่นัครา |
แม้นมึงมิบอกตามตรง | จะลงทัณฑกรรมให้หนักหนา |
จะตระเวนให้อายแก่โยธา | ผ่าอกตัดเศียรมึงเสียบไว้ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาได้ฟังก็หวาดไหว |
ความกลัวตัวสั่นจะบรรลัย | จึ่งทูลพระทรงชัยด้วยสัจจา |
ว่าคืนนั้นพระยาจันทวงศ์ | ใช้นายฤทธิรงค์แกล้วกล้า |
สองนายกับทรงวิชา | ให้มาสะกดทัพพระภูมี |
เพื่อจะจับพระองค์ผู้ทรงเดช | กับพระเยาวเรศมเหสี |
ด้วยเดชเดชาบารมี | คนดีมิทำได้ดั่งจินดา |
ให้มีจิตรคิดพรั่นทั้งสอง | พองเศียรทุกเส้นเกศา |
สองนายเล็ดลอดไคลคลา | พากันไปเฝ้าพระยาจันท์ |
นายฤทธิรงค์ทรงวิชา | ทูลว่าสองนายผายผัน |
มาสะกดทัพพระทรงธรรม์ | พลขันธ์หลับสนิทนิทรา |
เข้าไปยังหน้าพลับพลาชัย | มัดเสนาไว้หนักหนา |
แล้วคิดกลัวเกรงเดชพระจักรา | พระจันท์ได้รับแจ้งทุกประการ |
จึ่งให้ยกพยุหยาโยธา | สองนายนำหน้ากล้าหาญ |
พระองค์แผลงศรไปรอนราน | ถูกสองนายชาญปรีชา |
ตายกับพระยาจันทวงศ์ | เมื่อพระองค์ไสช้างเข้าเข่นฆ่า |
ความสัจไม่สร้างเจรจา | จงทราบบาทาพระทรงธรรม์ ฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองฤทธิ์แข็งขัน |
ได้ฟังเสนาพระยาจันท์ | รำพันทูลแจ้งกิจจา |
พระยิ่งมีพระทัยเบิกบาน | สำราญรื่นเริงหรรษา |
ทรงช้างอยู่กลางโยธา | เสนาแน่นอัดยัดไป |
จึงสั่งพี่เลี้ยงทั้งสี่ | ว่าท่านมีผู้อัชฌาสัย |
สิ้นสุดเนื้อความจากสมุดไทยเพียงเท่านี้
[๑] คำประพันธ์ต่อจากนี้ไป เป็นเนื้อเรื่องส่วนที่ต่อจากต้นฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑ ซึ่งปรากฏอยู่ในสมุดไทยฉบับเดียวกัน เป็นสิ่งที่พบในขณะที่สอบทานเรื่องพระศรีเมืองฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑ กับต้นฉบับสมุดไทย ในการพิมพ์ครั้งที่ ๒ นี้ จึงได้นำส่วนที่พบใหม่มาปรับปรุงอักขรวิธีบางส่วนให้ใกล้เคียงกับปัจจุบันโดยมี อาจารย์อภิลักษณ์ เกษมผลกูล เป็นผู้ดำเนินการ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้สนใจทั่วไปอ่านเข้าใจได้ง่าย โดยได้นำมารวมพิมพ์ไว้ในครั้งนี้ด้วยเพื่อให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ส่วนนักวิชาการที่ต้องการศึกษาอักขรวิธีโบราณ สามารถศึกษาได้จากต้นฉบับตัวเขียนที่ได้นำมาจัดพิมพ์ไว้ในตอนท้ายเล่ม
[๒] อ่านว่า คด-ชา (ต้นฉบับใช้ “คชชา”)
[๓] รัตคน คือ รัดประคน เป็นเชือกหรือลวดหนังตีเป็นเกลียวหุ้มผ้าแดง ใช้พันอ้อมลำตัวถัดต้นขาหน้าของช้าง มี ๒ เส้นคู่กัน สำหรับผูกรั้งสัปคับ แหย่ง หรือกูบมิให้โยกเลื่อน. (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๒. กรุงเทพฯ. บริษัท นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ จำกัด ๒๕๕๖ หน้า ๙๙๒)
[๔] ซองหาง หมายถึง ซอกโคนหาง, เครื่องคล้องโคนหางช้างม้า.(เรื่องเดิม, หน้า ๓๗๖)
[๕] อ่านว่า คด-ชา (ต้นฉบับใช้ “คชชา”)
[๖] สับ-สัน-พะ-อา-วุด
[๗] อลหม่าน