ตอนที่ ๑๐ พระศรีเมืองรบกับพระยาจันทร

๏ บัดนั้น ขุนพลนายกองอาสา
ประจำด่านกรุงจันทเสมา มีอาวุธครบทุกตัวคน
ถึงเพลาพาไพร่สามร้อย ออกด้อมมองคอยทุกแห่งหน
เล็ดลอดสอดดูผู้คน เลาะลัดไพรสณฑ์เที่ยวไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ พอมาเห็นพลกองทัพ แน่นนันต์ไม่นับประมาณได้
ขุนพลนายกองก็ตกใจ ยอบกายแฝงไม้ใบบัง
จึงปีนขึ้นบนปลายพฤกษา เห็นม้ารถคชาคับคั่ง
นั่นพระศรีเมืองแล้วกระมัง ทรงช้างที่นั่งคชาธาร
เห็นแล้วลงจากต้นไม้ พาไพร่เลาะลัดไพรสาณฑ์
รีบลัดดัดดั้นดงดาน ไปทูลภูบาลทันใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงก็แจ้งแก่เสนา ข้าพบกองทัพในป่าใหญ่
เห็นพระศรีเมืองเรืองชัย เสด็จในท่ามกลางโยธา
ยกพลมาถึงปลายด่าน ทวยหาญมากมายหนักหนา
ขอท่านได้แจ้งกิจจา พาข้าไปทูลพระภูมี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อำมาตย์แจ้งความถ้วนถี่
จึงพาขุนด่านจรลี เข้าสู่ที่ท้องพระโรงใน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ ทูลองค์พระยาจันท์เป็นใหญ่
ว่ากองทัพพระศรีเมืองเรืองชัย ล่วงเข้าในแดนนัครา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระยาจันท์เชี่ยวชาญหาญกล้า
จึงมีสิงหนาทบัญชา โกรธาแล้วตรัสประภาษไป
เหม่ศรีเมืองดูหมิ่นกู สู่รู้จะม้วยตักษัย
วันเมื่อชั่งรูปอรไท ขอเปลี่ยนไม่ให้แค้นนัก
ดีแล้วจะได้เห็นกัน จะห้ำหั่นให้ละลายหายหัก
แล้วสั่งเสนาผู้ใจภักดิ์ จงไปตั้งค่ายกักทางไว้
คู่เขื่อนลงขวากให้แน่นหนา อย่าให้ศรีเมืองไปได้
สูเร่งไปพลันทันใด ตั้งค่ายให้แล้วในวันนี้ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกศี
บังคมก้มกราบสามที ไปยังที่เตรียมพลไกร
เร่งรัดจัดกันอลหม่าน ทวยหาญไม่นับประมาณได้
มือถืออาวุธปืนไฟ ไม่ได้ครั่นคร้ามไพรี
ครั้นเสร็จก็ยกโยธา ออกจากนัครากรุงศรี
รีบร้นพลเดินจรลี ไปยังที่ปลายด่านเขตคัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ มาถึงจึงตั้งค่ายขวาง ปิดทางลงขวากเขื่อนมั่น
แล้วทำหอรบครบครัน สนามเพลาะเจาะกั้นบังกาย
ครั้นเสร็จจึงสั่งโยธา ให้ตรวจตรากองเพลิงหน้าค่าย
ผลัดเกณฑ์ตระเวนรอบราย นายหมวดกำชับอย่านอนใจ
ครั้นเสร็จก็เข้ารักษา หอรบปีกกาค่ายใหญ่
ผลัดกันนั่งยามตามไฟ ระวังระไวไพรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด รัวสามลา

๏ เมื่อนั้น จึงพระมณีรัตน์เรืองศรี
ทั้งพระพัทธวงศ์ธิบดี ไสหัตถีเดินมาหน้าพล
พลางทอดพระเนตรแลไป เห็นค่ายตั้งในกลางไพรสณฑ์
สนามเพลาะหน้าค่ายรายพล คิดฉงนพระทัยพันทวี
จึงหยุดช้างพระที่นั่งทรง ให้สงบจัตุรงค์ไว้ตามที่
จะคอยดูเชิงไพรี ท่วงทีจะทำกลใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองฤทธิ์ทุกทิศไหว
ทอดพระเนตรกองหน้ายกไป ภูวไนยเห็นหยุดโยธี
ประหลาดพระทัยพ้นนัก พระจอมจักรทรงไสหัตถี
ฝ่าหมู่พหลมนตรี ไปถึงพระศรีอนุชา
จึงถามสองเจ้าผู้ร่วมใจ เป็นไฉนจึงหยุดกองหน้า
เจ้าจงบอกแก่พี่ยา หรือว่ามีเหตุประการใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองพระอนุชาบังคมไหว้
จึงทูลพระเชษฐาไป ว่ากองทัพผู้ใดไม่รู้
มาตั้งค่ายปิดทางลงไว้ ข้าจึงให้หยุดพลอยู่
หรือจะเป็นศึกเสี้ยนศัตรู มาต่อสู้จะฆ่าให้บรรลัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงฤทธิ์ดังองค์สุริย์ใส
ทอดพระเนตรตามมรรคาไป เห็นค่ายใหญ่ตั้งปิดทางกัน
พระจึงตรัสบอกอนุชา เห็นจะเป็นพระยาจันท์แม่นมั่น
เมื่อวันชั่งรูปนางสุวรรณ มันพยาบาทแก่พี่ยา
ดีแล้วจะได้เห็นกัน ถึงรบรุกบุกบันเข่นฆ่า
มิได้ครั่นคร้ามศักดา พระบัญชาให้หยุดพลพลัน
จึงสั่งพี่เลี้ยงทั้งสี่ ที่นี่เราจะตั้งค่ายมั่น
ที่ประทับพลับพลาแรมวัน ให้แล้วทันแต่ในวันนี้ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกศี
ลงจากไอยราทันที ไปสั่งตามมีโองการ
ตั้งค่ายขุดคูลงเขื่อนขัณฑ์ หอรบครบครันทั้งสี่ด้าน
แล้วกะกันเป็นพนักงาน ให้นายด้านตรวจตราจงดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น เสนาฟังพี่เลี้ยงทั้งสี่
กราบไหว้แล้ววิ่งเป็นสิงคลี มาปักปันหน้าที่ทันใด
บ้างทำค่ายขุดคูลงขวาก ก่นลากหลักตอหาเหลือไม่
บ้างทำที่ประทับพลับพลาชัย บัดใจแล้วเสร็จครบครัน
พี่เลี้ยงเสนาจึงมาทูล พระหน่อนเรนทร์สูรเฉิดฉัน
บัดนี้พลับพลาเสร็จพลัน ขอเชิญพระทรงธรรม์เสด็จไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองได้ฟังแจ่มใส
ประทับช้างที่นั่งกับเกยชัย ภูวไนยชวนสองอนุชา
กับพระมเหสีทรามวัย ซึ่งสถิตอยู่ในรถา
ทั้งสี่กษัตริย์ยาตรา เสด็จมายังที่แรมวัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองเดชแข็งขัน
เสด็จนั่งยังหน้าพลับพลาพลัน ผันพักตร์มาสั่งเสนี
ชาวยโสธรพารา ให้ไปทูลบิดาเรืองศรี
ว่าพระยาจันทบุรี กรีธาทัพขวางทางไว้
เห็นว่าจะเป็นศึกกันจริง เราจะกริ่งเกรงก็หาไม่
จงทูลพระองค์ทรงชัย อย่าให้วิตกถึงลูกยา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกศา
สองนายถวายบังคมลา ถอยหลังออกมาบันได
จึงเผ่นขึ้นพาชี เสนีขี่ควบขับใหญ่
เร่งรัดดัดดั้นพนาลัย ไปยโสธรพารา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระยาจันท์พระยาหงส์แกล้วกล้า
เสด็จออกพระโรงรจนา พร้อมด้วยพฤฒาเสนี
พระจึงตรัสสั่งอำมาตย์ ให้แต่งพระราชสารศรี
ไปถึงศรีเมืองภูมี แต่ในทันทีอย่าช้า ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกศา
จึงแต่งสารตามมีพระบัญชา ต่อหน้าพระที่นั่งภูวไนย
ครั้นเสร็จแล้วส่งสารา แก่ทหารกองม้านายใหญ่
เร่งรีบไปยังทัพชัย อย่าช้าแต่ในเพลานี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทหารกองม้าทั้งสี่
รับสารถวายอัญชลี มาขี้นพาชีรีบไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นมาถึงนายกองค่ายหน้า นายม้าผู้มีอัชฌาสัย
ชูสารแล้วร้องไปแต่ไกล เราไซร้อยู่จันทบุรี
เป็นทูตจำทูลพระราชสาร พระผู้ผ่านกรุงจันท์เรืองศรี
ว่าพลางทางขับพาชี ถึงที่ค่ายหน้าทันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ทหารกองหน้านายใหญ่
ได้ฟังแล้วพาคลาไคล เข้าไปเฝ้าองค์พระราชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ มาถึงประณตบทบงสุ์ องค์พระภูวไนยนาถา
ทูลเบิกทั้งสี่เสนา มาแต่กรุงจันท์เวียงชัย
ว่าเป็นราชทูตทูลสาร พระยาจันท์ผู้ผ่านกรุงใหญ่
ทูลแล้วก็ส่งสารไป ให้แก่มหาเสนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีผู้มียศถา
รับเอาพระราชสารตรา มาคลี่ออกอ่านทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ให้ลักษณสารพระยาจันท์ ทรงธรรม์ทศพิธเป็นใหญ่
ครองจันทบุรีเวียงชัย สิ่งใดมิได้ภัยพาล
เป็นจอมกษัตริย์สุริย์วงศ์ พร้อมด้วยจัตุรงค์ทวยหาญ
ไพรีไม่มีต้านทาน จะอาจหาญเข้ารอต่อผจญ
แต่ออกชื่อลือนามก็ขามฤทธิ์ ประจามิตรสยองพองขน
พระเดชทั่วนัคราสากล ใครประจญต่อฤทธิ์ก็บรรลัย
เดิมท้าวพินทุทัตนาถา มีราชสารามาให้
ว่าสุวรรณเกสรอำไพ ไร้คู่สู่สมภิรมยา
จะยกให้เป็นอัครมเหสี เรามีพระทัยปรารถนา
พระศรีเมืองมาชิงกัลยา มิได้เกรงชีวาบรรลัย
ถ้ารู้สึกตัวกลัวผิด จงคิดส่งนางมาให้
ถ้าไม่รักตัวกลัวภัย จะจับฆ่าเสียให้มรณา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองโฉมเสนหา
ฟังแจ้งแห่งศุภสารา ของพระยาจันทภูมี
พระยิ้มแย้มสรวลสำรวลร่า แล้วตรัสว่าผู้ใหญ่ไม่พอที่
จึงสั่งแก่ราชเสนี ให้เร่งแต่งสารศรีตอบไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาบังคมประนมไหว้
รับสั่งแต่งสารทันใด ตามในบัญชาพระภูบาล
ครั้นทำสารเสร็จขึ้นกระดาษ ส่งให้ราชทูตผู้ถือสาร
ต่อพักตร์พระศรีเมืองเรืองชาญ เสด็จอยู่หน้าพระลานพลับพลาชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาพระยาจันท์เป็นใหญ่
รับสารบังคมลาคลาไคล บัดใจมาขึ้นพาชี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึง ราชทูตผู้ถือสารศรี
ตรงเข้าไปเฝ้าพระภูมี ยังที่เสด็จออกพระโรงธาร
แล้วก้มเศียรบังคมบรมบาท ทูลถวายสาราราชสาร
ส่งให้เสนีผู้ปรีชาญ อ่านถวายพระยาจันท์มิได้ช้า ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ในลักษณว่าสารพระศรีเมือง ผู้เรืองธนูศิลป์แกล้วกล้า
ครองกรุงโขมราฐพารา เป็นมหากษัตริย์สุริย์วงศ์
มีเดชเดชาอานุภาพ แม้จะปราบยุคไหนก็ผุยผง
ใครไม่หาญทานอิทธิ์ฤทธิรงค์ ระอาองค์ออกโอษฐ์ไม่ต่อตี
มาถึงพระยาจันทวงศ์ ผู้พงศ์ขัตติเยศเรืองศรี
ไม่อยู่ในยุติธรรมประเพณี มีแต่ก่อกรรมคำพาล
อันนางสุวรรณเกสร ภูธรพินทุทัตมหาศาล
ผู้เป็นบิดาเยาวมาลย์ พระภูบาลให้ชั่งรูปเทวี
รูปใครหนักได้เสมอกัน พระทรงธรรม์จะให้เป็นมเหสี
รูปเราหนักเท่ากันพอดี พระภูมีจึงเสกให้ครองกัน
อันรูปพระยาจันทวงศ์ หนักเท่าองค์ประภาเฉิดฉัน
ตัวก็ได้กราบทูลพระทรงธรรม์ วันนั้นจะขอเปลี่ยนกัลยา
ฝ่ายเรามิให้เทวี กลับมีพยาบาทหึงสา
หยาบหยามลามลวนเจรจา ว่าให้ส่งชายาเข้าไป
ตัวท่านเป็นคนโมหันธ์ สำคัญว่าเรากลัวอย่าสงสัย
พระยาจันท์ไม่กลัวบรรลัย ให้เร่งยกพลไปอย่าช้า ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระยาจันทวงศ์นาถา
ได้ฟังสารดาลเดือดโกรธา จึงบัญชาสิงหนาททันใด
สั่งนายฤทธิรงค์องอาจ เจ้าผู้ฉลาดอัชฌาสัย
กับนายทรงวิชาร่วมใจ จงไปสะกดไพรี
จับเอาศรีเมืองอาธรรม์ กับสุวรรณเกสรมเหสี
มาถวายกูในราตรี พรุ่งนี้จะให้รางวัล ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองนายผู้ปรีชาขยัน
รับสั่งแล้วกราบทูลพลัน ทรงธรรม์อย่าปรารภฤทัย
ข้าน้อยจะขออาสา ไปสะกดโยธาให้หลับไหล
จับพระศรีเมืองกับอรไท มาถวายจงได้พระภูมี
ทูลพลางกราบถวายบังคมลา สองนายเริงร่าเกษมศรี
มาจัดเครื่องบูชายัญทันที ธูปเทียนมาลีครบครัน
กับทั้งว่านยามหาสะกด พร้อมหมดสองนายผายผัน
รีบมาด่วนด่วนชวนกัน ตรงไปค่ายมั่นพระศรีเมือง ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงแอบเข้าไปดู เห็นหมู่จัตุรงค์เดินเนื่อง
ม้ารถคชาก็นองเนือง เครื่องศัสตราสรรพทุกสิ่งอัน
เวลาก็ยังมิพลบค่ำ พอย่ำย่ำร้อนแสงสุริย์ฉัน
สองนายชายแฝงไพรวัน ชวนกันนั่งคอยเวลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทหารพระศรีเมืองพร้อมหน้า
ครั้นเวลาเข้าสนธยา ตรวจตรากองเพลิงนั่งยาม
กองตระเวนเกณฑ์ตรวจประจำซอง ฆ้องหม่องใครม่อยก็ตีถาม
สมด้วยอาญาศึกสงคราม ตามกฎสำหรับทัพสืบมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายทรงวิชาชาญหาญกล้า
พลบค่ำย่ำฆ้องนาฬิกา เวลาพอได้ฤกษ์ชัย
สองนายเดินขึ้นเหนือลม ได้สมดังจิตปองผ่องใส
จึงจุดธูปเทียนขึ้นบัดใจ บูชาคุณไสยทันที
แล้วโอมอ่านพระเวทคาถา อัญเชิญเทวาทุกราศี
เรียกภูตปีศาจร้ายราวี ได้ทีแล้วเป่ายาไป
เป็นควันตลบอบอาย พระพายพัดมาหาเหลือไม่
ต้องทั้งม้ารถคชไกร ไพร่พลก็หลับพร้อมหน้า ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ ตระ

๏ บัดนั้น มนตรีกองขันซ้ายขวา
ทั้งยามอยู่พร้อมโยธา สองพระอนุชาภูมี
ทั้งพระศรีเมืองเรืองชัย เกสรอำไพมเหสี
พระสนมกำนัลขันที พาชีคชาผูกไว้
ถูกควันว่านยาทั้งกองทัพ หาวนอนงุบงับหลับไหล
ล้มพาดกลาดเกลื่อนกันไป ขาไขว่กอดเพื่อนพัลวัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายฤทธิรงค์เข้มขัน
เงียบเสียงเลี่ยงมาดูพลัน เห็นพลนั้นนอนหลับสนิทนัก
ทีนี้จะสมปรารถนา ไม่เสียทีอาสาพระทรงศักดิ์
จะหยุดพูดจาก็ช้านัก มาจักเข้าไปพลับพลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงหน้าพลับพลาชัย เสนาหลับไหลอยู่หนักหนา
บ้างผูกมัดรัดรอบกายา ผูกขาแขนคอติดกัน
กลาดกลิ้งเต็มหน้าชาลา สองนายพากันผายผัน
ขึ้นบนพลับพลาฉับพลัน นั่นพระศรีเมืองภูมี
กับนางสุวรรณเกสร นอนหลับสนิททั้งสองศรี
มีพระขรรค์ศรสิทธิ์ฤทธี วางอยู่ข้างที่ไสยา
สองนายหวั่นจิตคิดพรั่น ตัวสั่นเหงื่อฉีกออกโซมหน้า
ให้สยองพองเส้นโลมา ตกประหม่าตามืดไม่เห็นกัน
เมียงหมอบยอบกายเข้าแฝงเสา เห็นเงาตัวตื่นไม่มีขวัญ
ถอยหลังลูบอกงกงัน เข้าแอบม่านกั้นบังตา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงอารักษ์สิทธิศักดิ์แกล้วกล้า
สถิตในพระไทรฉายา มีจิตเมตตาพ้นไป
เมื่อเห็นนายทรงวิชา เข้าสะกดโยธาหลับไหล
จะจับพระศรีเมืองเรืองชัย เทพไทถวิลจินดา
ว่าพระศรีเมืององค์นี้ เธอมีอานุภาพหนักหนา
เป็นจอมจักรพรรดิกษัตรา ทรงมหาทศพิธราชธรรม์
อันเราจะนิ่งอยู่นี้ น่าที่จะม้วยอาสัญ
คิดแล้วจึงเทพเทวัญ ผายผันจากพระไทรลงมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เหาะ

๏ ครั้นถึง ที่พระศรีเมืองนาถา
เห็นหลับสนิทนิทรา เทวามีจิตปรานี
อนิจจาโอ้ว่าพระศรีเมือง ลือเลื่องเฟื่องฟ้าราศี
ทรงโฉมประโลมโลกีย์ ใครเห็นเป็นที่จำเริญตา
อารักษ์เอากรเข้าสั่นองค์ ปลุกพระโฉมยงเสนหา
แล้วคืนสู่พระไทรฉายา ผาสุกสำราญบานใจ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองฤทธิ์พิสมัย
ครั้นอารักษ์ปลุกองค์พระทรงชัย ภูวไนยตื่นจากไสยา
พระจึงเปิดแกลแลไป ให้ประหลาดพระทัยหนักหนา
เห็นไพร่พลพหลโยธา เสนาหลับสิ้นไม่สมประดี
พระจึงเสด็จออกมา ปลุกพระอนุชาสองศรี
กับพระพี่เลี้ยงผู้ภักดี บัดนี้มาเงียบสงบไป
เห็นทีมีเหตุเป็นมั่นคง พี่จงไปเอาใจใส่
ตรวจตราทหารชาญชัย เร่งเร็วรีบไปทันที ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกศี
บังคมคัลถวายอัญชลี ออกมาจากที่พลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ มาถึง จึงเห็นเสนาถ้วนหน้า
ต้องมัดหลับอยู่ดาษดา ไม่รู้สึกกายานอนกรน
พี่เลี้ยงจึงเข้าไปปลุก บ้างลุกตกใจสับสน
จึงแก้มัดให้สิ้นทุกคน อลวนทั้งค่ายวุ่นวาย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น สองนายทหารขวัญหาย
เห็นพระองค์ทรงตื่นฟื้นกาย ปลุกคนทั้งหลายอึงไป
จึงอ่านมนต์จังงังบังกาย หนีออกจากค่ายไปได้
เล็ดลอดรอดตัวกลัวภัย รีบไปยังจันทบุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงทวารพารา พอพระสุริยาสร่างศรี
เข้าในนคราธานี จรลีมาท้องพระโรงชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระยาจันท์พระยาหงส์เป็นใหญ่
ทอดพระเนตรเห็นทหารชาญชัย สองนายผู้ไวปรีชา
จึงตรัสประภาษถามไป ยังได้สมความปรารถนา
หรือไม่ได้สมเจตนา ซี่งอาสาไปจับไพรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองทหารประณตบทศรี
จึงกราบทูลไปพลันทันที ตามมูลคดีแต่หลังไป
ว่าพระศรีเมืองฤทธิรงค์ พระองค์บุญหนักศักดิ์ใหญ่
มีจิตคิดคร้ามขามใจ เข้าใกล้ไม่ได้พระภูมี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระยาจันท์พระยาหงส์เรืองศรี
ได้ฟังทหารพาที มีจิตคิดพรั่นพระทัย
แต่หักมานะกษัตรา จะออกวาจาก็ไม่ได้
คิดแล้วจึงสั่งเสนาใน ให้เตรียมพลไกรชัยชาญ
ผูกช้างพระที่นั่งสำหรับศึก อันเหี้ยมฮึกกำลังห้าวหาญ
ให้พร้อมสำเร็จเสร็จการ กูจะไปต่อต้านไพรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกศี
ก้มเกล้ากราบงามสามที ก็จรลีมาจัดทัพชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ กะเกณฑ์จัตุรงค์ทวยหาญ เลือกล้วนชำนาญศึกใหญ่
ขุนช้างผูกช้างชาญชัย ครบไปด้วยเครื่องคชาธาร
ขุนม้าผูกม้าอาชาไนย เคล่าคล่องว่องไวห้าวหาญ
ขุนรถแต่งรถอลงการ ชำนาญชาญด้วยเครื่องศัสตรา
ทหารปืนยืนยิงชิงชัย อาจองทะนงใจอาสา
ไม่ย่อท้อต่อศึกที่ยกมา กำลังหาญชาญกล้าราวี
ทหารโล่ห์โตมรแข็งขยัน ทหารทวนเกาทัณฑ์ไม่ถอยหนี
พร้อมถ้วนกระบวนทัพโยธี จรลีมาเฝ้าพระภูวไนย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงถวายอภิวันท์ ทูลจอมกรุงจันท์เป็นใหญ่
ข้าน้อยไปจัดทัพชัย ได้พร้อมเสร็จแล้วดังบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระยาจันทวงศา
ครั้นแจ้งแห่งคำเสนา ว่าโยธาพร้อมแล้วก็ยินดี
จึงมีพจนารถตรัสมา ชวนพระอนุชาเรืองศรี
สององค์เสด็จจรลี มาเข้าที่สรงคงคา ฯ[๑]

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ สององค์ชำระสระสนาน ทรงสุคนธาธารโอ่อ่า
สองทรงสนับเพลาเพราตา ต่างทรงภูษากระบวนลาย
แล้วทรงชายไหวชายแครง ประดับทับทิมแดงแสงฉาย
ฉลององค์ทรงเกราะพรรณราย สร้อยสะอิ้งพริ้งพรายลายตา
สังวาลประดับทับทรวง โชติช่วงแวววามเวหา
ทองกรพาหุรัดรจนา ธำมรงค์อลงการ์เพชรพราย
สองทรงมงกุฎอุดมเลิศ ขัดพระขรรค์ประเสริฐเฉิดฉาย
ชวนน้องยุรยาตรนาดกราย ผันผายมาขึ้นคชา[๒]

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ช้างเอยช้างต้น เคยประจญข้าศึกมาหนักหนา
เข้มแข็งแรงดีทั้งฝีงา อาจหาญชาญกล้าว่องไว
กระหึ่มครึ้มครางโกญจนาท องอาจกำลังสูงใหญ่
ตกมันอาบคางครึ้มไป มิได้ย่อท้อไพรี
รัตคน[๓]ชนชนักซองหาง[๔] พู่ดาวกระจ่างแสงสี
ผูกเครื่องคชาธารจะราวี ครบที่ศัสตราจะชิงชัย
ทหารปืนแบกปืนแห่หน้า ทวนทองดาษดามาไสว
บังสูรย์มยุรฉัตรธงชัย ปี่กลองก้องในพสุธา
สององค์ทรงช้างต่างกัน พระยาหงส์น้องนั้นเป็นทัพหน้า
พร้อมด้วยจตุรงคเสนา จึ่งให้โห่สามลาคลาไคล ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ มาถึงปลายด่านเขตขัณฑ์ ฝ่ายองค์พระยาจันท์เป็นใหญ่
ให้หยุดพักพลสกลไกร สงบไว้คอยดูท่วงที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึงสั่งมหาเสนา ให้โยธาโห่ร้องขึ้นอึงมี่
กึกก้องสนั่นไปถึงไพรี มี่อึงไปถึงพลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองฤทธิ์ทุกทิศา
เสด็จออกยังที่พลับพลา พร้อมสองอนุชาธิบดี
ทั้งมหาเสนาแลพี่เลี้ยง ได้ยินเสียงโห่ร้องขึ้นอึงมี่
ชะรอยทัพพระยาจันท์มาราวี พระภูมีจึงกล่าวบัญชา
สั่งพระพี่เลี้ยงผู้ร่วมใจ ให้จัดพลไกรอยู่รักษา
องค์พระ(ม)เหสีชายา ตรวจตราอย่าให้ภัยพาล
อันพหลพลไกรจะไปรบ จัดแจงให้ครบเครื่องทหาร
ให้ถ้วนกระบวนทัพสรรพการ จะต่อต้านไพรีให้มีชัย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงบังคมประนมไหว้
รับสั่งพระองค์ทรงชัย ออกไปจัดพลโยธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ กะเกณท์เสร็จถ้วนกระบวนทัพ สับช้างปีกซ้ายปีกขวา
พี่เลี้ยงก็กลับเข้ามา เฝ้าพระจักราเรืองชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงกราบบังคมทูล องค์พระนเรนทร์สูรเป็นใหญ่
ว่าจัดทัพพร้อมแล้วพระทรงชัย ภูวนัยจงทราบบาทา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึงพระมณีรัตน์วงศา
กับพระพัทธวงศ์ราชา กราบทูลอาสาไปชิงชัย
ว่าศึกพระยาจันท์ที่ยกมา น้องจะยกไปฆ่าให้ตักษัย
มิให้เคืองบาทพระทรงชัย ภูวนัยจงได้เมตตา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองฟังทูลก็หรรษา
จึงมีพจนารถบัญชา แก่น้องสองราว่าขอบใจ
ซึ่งเจ้าจะอาสาพี่ สงครามครั้งนี้ยิ่งใหญ่
แต่ลำพังน้องจะยกไป เจ้าไซร้ยังเยาว์สงครามการ
พี่จำจะยกไปด้วย จะได้ช่วยป้องกันหักหาญ
ว่าพลางชวนน้องชัยชาญ สามองค์สรงสนานวารี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ พระเข้าที่ชำระสระสรง สำอางองค์ขัดพระกายผ่องศรี
นํ้ากุหลาบซาบสิ้นอินทรีย์ หอมตระลบมาลีฟุ้งไป
พระทรงเครื่องกษัตริย์ทั้งสาม ดูงามแต่ละองค์พิสมัย
ประดับเสร็จเครื่องศึกอำไพ สามองค์คลาไคลมาเกยลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ช้างเอยช้างทรง อาจองกำแหงแรงกล้า
แต่ละตัวไม่กลัวชนชนะงา สามสารหาญกล้าเกรียงไกร
พระพัทธวงศาภูบาล ทรงช้างคชาธารยิ่งใหญ่
เป็นทัพหน้าอาจหาญชาญชัย มิได้ย่อท้อต่อณรงค์
ฝ่ายพระมณีรัตน์น้องยา ทรงคชกล้างาสูงส่ง
เป็นกองหนุนทัพหน้ามั่นคง อาจองศักดากล้าดี
อันพระสุริยารัตนาวรรณ สองพี่เลี้ยงนั้นไม่ถอยหนี
ขี่ช้างพังคาจรลี เคียงพระน้องสองศรีออกไป
ช้างทรงขององค์พระศรีเมือง ครบเครื่องคชาธารยิ่งใหญ่
เป็นทัพหลวงจอมพลสกลไกร กั้นเศวตฉัตรชัยบนคชา[๕]
สรรพสรรพอาวุธ[๖]ครบครัน สารพันจะพิฆาตเข่นฆ่า
ไพรีเข้าต่อก็มรณา กายาเป็นภัสม์ธุลีไป
อันพระอภัยสุริยวงศ์ พระพินทุพงศ์พี่เลี้ยงใหญ่
ขี่ช้างคนละตัวเกรียงไกร ห้าวหาญชาญชัยฤทธา
พระอภัยสุริวงศ์เป็นปีกซ้าย พระพินทุพงศ์รายเป็นปีกขวา
พร้อมด้วยจัตุรงโยธา ทัพหน้าทัพหนุนเชี่ยวชาญ
ครบเครื่องศาสตราอาวุธ แห่โห่อึงอุดอูละหม่าน[๗]
จึงให้ฤกษ์โยธามามินาน ใกล้สถานหน้าค่ายพระยาจันท์ ฯ

ฯ ๑๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งพระพัทธวงศ์เฉิดฉัน
เห็นพระยาหงส์รุกบุกบัน ยกพลกระชั้นมากมาย
พระจึงให้ยกทัพหน้า เร่งยกโยธาทั้งหลาย
เข้าหักศึกอย่านึกกลัวตาย ฟันเสียให้กระจายแตกไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งเสนานายกองทัพใหญ่
จนหน้าช้างพระยาหงส์ทรงชัย ไม่เป็นตำบลสนธยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระยาหงส์กริ้วโกรธหนักหนา
จึ่งไสช้างพระที่นั่งราชา แทงพลวิ่งผ่าขึ้นไป
เห็นพระพัทธวงศ์ทรงช้าง อยู่กลางจอมพลเป็นใหญ่
พระยาหงส์จึ่งพุ่งหอกชัย จะให้ต้องพัทธวงศ์ราชา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งองค์พระพัทธวงศา
พระชายเนตรชำเลืองมา เห็นอาวุธศาสตราหอกชัย
ตกลงริมช้างที่นั่งทรง พระองค์กริ้วโกรธดังเพลิงไหม้
จึ่งไสช้างพระที่นั่งขี้นไป เข้าลุยไล่เอากลางโยธา
เข้าถึงหน้าช้างพระยาหงส์ พระองค์มีความหรรษา
ร้องเหวยว่าพระยาหงส์มา เราสองราจะชนช้างกัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระยาหงส์ฤทธิแรงแข็งขัน
เห็นช้างพระพัทธวงศ์บุกบั่น พระทรงธรรม์ไสพระคชาธาร
ชนกันในท่ามกลางพล ไม่ย่อย่นต่างองค์ต่างหาญ
สองสู้สัประยุทธ์ประจัญบาล ตามกระบวนคชสารชิงชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพัทธวงศ์เลิศฟ้าดินไหว
คอยป้อนอาวุธทั้งปวงไป ด้วยพระแสงขอชัยศักดา
ครั้นพระยาหงส์พลั้งเพลงรบ พระตระลบฟันลงเบื้องขวา
ด้วยพระแสงของ้าวศาสตรา ต้องพระยาหงส์พลันทันใจ
ก็ขาดคอช้างลงกลางทัพ รี้พลเยินยับไม่นับได้
พระยาหงส์ตกช้างลงไป ก็บรรลัยสูญสิ้นชีวาวาย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งพระยาจันท์เรืองฉาย
พระยืนช้างอยู่เห็นน้องชาย วายชีพขาดคอช้างทรง
พระไสช้างวางวิ่งขึ้นไป พร้อมด้วยพลไกรอาสา
ครั้นถึงหน้าช้างพระน้องยา พระราชายืนช้างขวางกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระยาจันท์ฤทธิแรงแข็งขัน
เห็นพระมณีรัตน์ทรงธรรม์ ยืนช้างที่นั่งกันน้องยา
พระยาจันท์โกรธเพียงอัคคี ไอ้เด็กนี้โอหังหนักหนา
เอ็งจะสู้กูหรือว่ามา ถ้ากลัวมรณาถอยไป
อันศรีเมืองนั้นไยไม่เห็นหน้า ออกมาด้วยหรือไปไหน
เอ็งเด็กเร่งถอยออกไป ให้ศรีเมืองออกมารบกัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งองค์พระมณีรัตน์เฉิดฉัน
ได้ฟังถ้อยคำพระยาจันท์ จึ่งตอบไปพลันทันที
ตัวท่านกล่าวคำอาจอง ทะนงศักดิ์ฤทธิไกรชัยศรี
ดังแมงเม่าไม่รู้ว่าอัคคี จะยับเป็นธุลีแหลกไป
เอ็งอ้างว่าจะสู้พระเชษฐา อหังการ์ไม่ประมาทตัวได้
เห็นกูจึ่งชะล่าเฉลยใจ ฮึกฮักว่าไปด้วยพาลา
กูมาครั้งนี้สององค์ ชื่อมณีพัทธวงศ์นาถา
เป็นน้องพระศรีเมืองราชา อาสามาเป็นทัพหน้าภูมี
ด้วยท่านหยาบช้าสามารถ องค์อาจราชศักดิ์เกินที่
เป็นใจพาลหาญฮึกราวี จึงเป็นกุลีวุ่นวาย
วันนี้อย่าได้หวังจะคืนไป จะมอดม้วยบรรลัยฉิบหาย
ถ้าเอ็งคิดกลัวความตาย จงถวายบังคมอย่านาน ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระยาจันท์โกรธดังเพลิงผลาญ
ไสช้างพระที่นั่งคชาธาร เข้ารุกรานเอากลางโยธี
จึงร้องว่าเหวยเด็กน้อย กล่าวถ้อยนี้เกินศักดิ์ศรี
แม้นเอ็งอวดอ้างว่าตัวดี วันนี้กับกูจะเห็นกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งพระมณีรัตน์เฉิดฉัน
ขับสารต้านต่อพระยาจันท์ บุกบั่นรานรุกราวี
ต่างองค์ต่างทรงพระแสงขอ สองต่อไม่ท้อถอยหนี
ต่างฟันต่างรับเป็นโกลี ถ้อยที่ปัดป้องว่องไว
ต่างแข็งต่อแข็งแรงรบ หลีกหลบท่วงทีแก้ไข
ต่างองค์มิได้ปราชัย ก็ยืนคชไกรอยู่กลางพล ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองรุ่งเวหน
เห็นช้างพระอนุชาเข้าต่อชน ผจญด้วยองค์พระยาจันท์
ต่างรอท้อถอยคชสาร มิได้ประจัญบาลห้ำหั่น
พระพิโรธโกรธกริ้วคือไฟกัลป์ ขับช้างกระชั้นเข้าไป
จึงจับศรศาสตร์พาดสาย หมายล้างพญาจันท์ให้ตักษัย
ผาดแผลงไปพลันทันใด เสียงสนั่นหวั่นไหวทั้งโลกา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ศรศักดิ์ปักองค์พระยาจันท์ ยังไม่ทันสุดสิ้นสังขาร์
ซบลงกับคอไอยรา โยธาแตกพ่ายกระจายไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระมุนีรัตน์ศรีใส
ขับช้างวางเร็วเข้าไป ฟันด้วยพระขรรค์ชัยมรณา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด เสน่ห์

๏ บัดนั้น ทหารพระพัทธวงศา
เห็นพระยาจันท์สิ้นชีวา ก็พากันไล่จับรี้พล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บ้างฉวยได้เสนามนตรี ทุบตีถองถีบไม่นับหน
ผูกมัดรัดฅอทุกตัวคน ก็รีบร้นมาถวายพระภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองฟ้าราศี
ครั้นเห็นเสนามนตรี จับพวกไพรีเข้ามา
จึ่งตรัสถามเสนาพระยาจันท์ ว่าแต่สัจธรรม์อย่ามุสา
เมื่อประถมยามสนธยา เขาใช้ให้ใครมาสะกดเรา
ไอ้คนดีหนีหลบไปอยู่ไหน เป็นไรไม่มาอีกเล่า
จับได้หรือไม่จงบอกเรา หรือมันเข้าไปอยู่นัครา
แม้นมึงมิบอกตามตรง จะลงทัณฑกรรมให้หนักหนา
จะตระเวนให้อายแก่โยธา ผ่าอกตัดเศียรมึงเสียบไว้ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาได้ฟังก็หวาดไหว
ความกลัวตัวสั่นจะบรรลัย จึ่งทูลพระทรงชัยด้วยสัจจา
ว่าคืนนั้นพระยาจันทวงศ์ ใช้นายฤทธิรงค์แกล้วกล้า
สองนายกับทรงวิชา ให้มาสะกดทัพพระภูมี
เพื่อจะจับพระองค์ผู้ทรงเดช กับพระเยาวเรศมเหสี
ด้วยเดชเดชาบารมี คนดีมิทำได้ดั่งจินดา
ให้มีจิตรคิดพรั่นทั้งสอง พองเศียรทุกเส้นเกศา
สองนายเล็ดลอดไคลคลา พากันไปเฝ้าพระยาจันท์
นายฤทธิรงค์ทรงวิชา ทูลว่าสองนายผายผัน
มาสะกดทัพพระทรงธรรม์ พลขันธ์หลับสนิทนิทรา
เข้าไปยังหน้าพลับพลาชัย มัดเสนาไว้หนักหนา
แล้วคิดกลัวเกรงเดชพระจักรา พระจันท์ได้รับแจ้งทุกประการ
จึ่งให้ยกพยุหยาโยธา สองนายนำหน้ากล้าหาญ
พระองค์แผลงศรไปรอนราน ถูกสองนายชาญปรีชา
ตายกับพระยาจันทวงศ์ เมื่อพระองค์ไสช้างเข้าเข่นฆ่า
ความสัจไม่สร้างเจรจา จงทราบบาทาพระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองฤทธิ์แข็งขัน
ได้ฟังเสนาพระยาจันท์ รำพันทูลแจ้งกิจจา
พระยิ่งมีพระทัยเบิกบาน สำราญรื่นเริงหรรษา
ทรงช้างอยู่กลางโยธา เสนาแน่นอัดยัดไป
จึงสั่งพี่เลี้ยงทั้งสี่ ว่าท่านมีผู้อัชฌาสัย

สิ้นสุดเนื้อความจากสมุดไทยเพียงเท่านี้



[๑] คำประพันธ์ต่อจากนี้ไป เป็นเนื้อเรื่องส่วนที่ต่อจากต้นฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑ ซึ่งปรากฏอยู่ในสมุดไทยฉบับเดียวกัน เป็นสิ่งที่พบในขณะที่สอบทานเรื่องพระศรีเมืองฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑ กับต้นฉบับสมุดไทย ในการพิมพ์ครั้งที่ ๒ นี้ จึงได้นำส่วนที่พบใหม่มาปรับปรุงอักขรวิธีบางส่วนให้ใกล้เคียงกับปัจจุบันโดยมี อาจารย์อภิลักษณ์ เกษมผลกูล เป็นผู้ดำเนินการ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้สนใจทั่วไปอ่านเข้าใจได้ง่าย โดยได้นำมารวมพิมพ์ไว้ในครั้งนี้ด้วยเพื่อให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ส่วนนักวิชาการที่ต้องการศึกษาอักขรวิธีโบราณ สามารถศึกษาได้จากต้นฉบับตัวเขียนที่ได้นำมาจัดพิมพ์ไว้ในตอนท้ายเล่ม

[๒] อ่านว่า คด-ชา (ต้นฉบับใช้ “คชชา”)

[๓] รัตคน คือ รัดประคน เป็นเชือกหรือลวดหนังตีเป็นเกลียวหุ้มผ้าแดง ใช้พันอ้อมลำตัวถัดต้นขาหน้าของช้าง มี ๒ เส้นคู่กัน สำหรับผูกรั้งสัปคับ แหย่ง หรือกูบมิให้โยกเลื่อน. (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๒. กรุงเทพฯ. บริษัท นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ จำกัด ๒๕๕๖ หน้า ๙๙๒)

[๔] ซองหาง หมายถึง ซอกโคนหาง, เครื่องคล้องโคนหางช้างม้า.(เรื่องเดิม, หน้า ๓๗๖)

[๕] อ่านว่า คด-ชา (ต้นฉบับใช้ “คชชา”)

[๖] สับ-สัน-พะ-อา-วุด

[๗] อลหม่าน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ