ในต้นเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ไฟบรรลัยกัลป์ ได้ลุกพวยพุ่งขึ้นในยุโรป

ในยามนั้น ในเมืองไทย พื้นธรณีกำลังชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝนทุกหนทุกแห่งเดียรดาษ และสอดแซมด้วยสีเขียวอันแจ่มใสของใบไม้ ท้องฟ้าสีครามแจ่มจ้าด้วยแสงตะวันที่ทอแสงผ่านปุยเมฆขาวลำยองลงไปสู่พื้นดินที่ชุ่มน้ำ พอพื้นดินเริ่มจะหมาด สีครามบนท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีเทา กลุ่มเมฆที่เหมือนกับควันไฟลอยคว้างอยู่ในอากาศ บางครั้งก็มีลมเย็นระรื่นพัดมา บางครั้งก็เป็นลมพายุที่ส่งเสียงคำรามมาแต่ไกล พัดกิ่งไม้ใบไม้อ่อนลู่ไป หักและหล่นร่วงไป แล้วฝนก็เทลงมาอย่างหนัก พื้นแผ่นดินก็โชกชุ่มไปด้วยน้ำอีกครั้งหนึ่ง ในชนบทน้ำขังเจิ่งอยู่ในขอบคันนาหล่อเลี้ยงต้นข้าวสีเขียวที่แผ่ไพศาลอยู่ในทุ่งอันแลไปไม่เห็นขอบเขต ดุจแลไปในท้องทะเล แล้วก็เห็นแต่น้ำทะเลที่จดกับขอบฟ้า เปลวไฟบรรลัยกัลป์ในยุโรปได้แลบเข้ามาปะทะกับความเยือกเย็นของละอองฝนในเมืองไทย

ด้วยความทะเยอทะยานและความเชื่อมั่นดุจผู้มีสติวิปลาสว่า ชนชาติเยอรมันเป็นยอดมนุษย์ และจะต้องเป็นเจ้าโลก อดอลฟ ฮิตเล่อร์ ผู้นำแห่งเยอรมนี ได้มีประกาศิตให้นายกรัฐมนตรีออสเตรียยอมศิโรราบต่ออำนาจของนาซี และในเดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ประเทศออสเตรียซึ่งมีอดีตอันรุ่งโรจน์ก็ได้เปลี่ยนฐานะมาเป็นเพียงมณฑลหนึ่งของอาณาจักรเยอรมนีในเดือน ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ฮิตเล่อร์ได้เฉือนเอาซุเดเตนของเช็คโกสโลวาเกียไปโดยพลการ ด้วยการอ่อนน้อมของอังกฤษและฝรั่งเศส แม้ฮิตเล่อร์จะให้คำมั่นว่า การเรียกร้องเอาซุเดเตนจะเป็นการเรียกร้องครั้งสุดท้ายของเขา ที่จะเอาดินแดนในยุโรปมาเป็นของเยอรมนี พร้อมด้วยคำประกาศว่า เขาไม่มีความสนใจอะไรอีกต่อรัฐเช็คและเขาไม่ต้องการพวกเช็คเลย แต่ต่อมาในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ประมุขของนาซีก็ได้มีบัญชาเรียกประธานาธิบดีเช็คไปพบ และประธานาธิบดีเช็คก็ได้รับการบังคับขู่เข็ญ ให้ลงนามในข้อตกลง ที่จะทำให้สาธารณรัฐเช็คโกสโลวาเกียอันเป็นเอกราชและรุ่งเรือง ต้องกลายเป็นรัฐบริวารของเยอรมนี ต่อมาอีก เมื่อโปแลนด์ได้ปฏิเสธที่จะรับความตกลงในเรื่องเมืองดานซิก และฉนวนโปแลนด์ ตามคำเรียกร้องขู่เข็ญของฮิตเลอร์ กองทัพของนาซีก็เข้าบุกโปแลนด์ โดยไม่มีการประกาศสงคราม ในตอนเช้าตรู่ของวันที่ ๑ กันยายน ฝูงเครื่องบินเยอรมันได้นำลูกระเบิดไปทิ้งลงบนแผ่นดินโปแลนด์ โดยไม่เลือกว่าผู้รับเคราะห์จะเป็นผู้หญิงและเด็ก ภายในเวลาสองสามชั่วโมง นครของโปแลนด์กว่าสามสิบนครได้ลุกเป็นไฟ ในวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ อังกฤษและฝรั่งเศสได้ประกาศสงครามกับเยอรมนี และไฟบรรลัยกัลป์ได้สว่างโพลงขึ้นในยุโรป

เมื่อนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสเดินทางไปประชุมกับจอมนาซี พร้อมด้วยจอมเผด็จการฟัสซิสต์แห่งอิตาลี ณ เมืองมิวนิคอันเป็นถิ่นของผู้รุกราน ชาวโลกก็เฝ้ารอดูผลของการประชุมด้วยหัวใจอันระทึกและหายใจไม่ทั่วท้อง และเมื่อในที่สุดได้ปรากฏผลของการประชุมตกลงว่า นายกรัฐมนตรีของมหาอำนาจตะวันตกทั้งสอง ได้อ่อนน้อมยอมรับข้อเรียกร้องของจอมนาซี ที่จะเอาซุเดเตนไปรวมกับเยอรมนีโดยแลกเปลี่ยนกับคำมั่นของจอมนาซีว่า จะไม่เรียกเอาดินแดนใด ๆ ในยุโรปต่อไปอีก แม้ว่าโดยทั่วไปจะมีความโล่งใจกันว่ามหาเมฆแห่งสงครามอีกลูกหนึ่งที่ได้ตั้งเค้ามาอย่างใจหายใจคว่ำ ได้ลอยผ่านไปโดยมิได้เทห่าฝนแห่งสงครามลงมาก็ดี แต่ความเห็นของผู้คนก็แตกต่างกันไป มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยกับการดำเนินนโยบายผ่อนปรนของนายกรัฐมนตรีอังกฤษและฝรั่งเศส และผู้ที่แช่งชักหักกระดูกนายกรัฐมนตรีทั้งสองที่ไปรับรองการคุกคามขู่เข็ญ และการปล้นดินแดนของนาซีว่าเป็นการชอบธรรม และเมื่อจอมนาซีได้เอาเท้าลบคำมั่นสัญญาของเขา ในเดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ด้วยการเข้าขม้ำเอารัฐเช็คโกสโลวาเกียทั้งรัฐ ความเดือดดาลชิงชังเหล่าร้ายนาซีก็ได้พลุ่งขึ้นในจิตใจของประชาชาวโลกพร้อมด้วยความเห็นใจอันสุดซึ้งต่อชนชาติเช็คผู้ตกเป็นเหยื่อของผู้รุกราน ฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งให้คำรับรองเอกราชของเช็คโกสโลวาเกีย ก็มิได้ดำเนินการอะไร

ในเมืองไทย หนังสือพิมพ์ได้ให้ความสนใจ และความสำคัญในการรายงานข่าวต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่าในกาลก่อนเป็นอันมาก ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองเหตุการณ์ในต่างประเทศแทบไม่มีความหมายในทางข่าวของหนังสือพิมพ์เลย และผู้อ่านส่วนใหญ่ก็ไม่รู้สึกว่าผิดหวังหรือได้ขาดอะไรไปในการอ่านหนังสือพิมพ์ประจำวัน ต่อเมื่อไม่มีเรื่องบันเทิงเกร็ดพงศาวดารจีน ผู้อ่านจึงจะรู้สึกว่าประสบความผิดหวังอย่างมาก และหนังสือพิมพ์ก็ไม่เคยประมาทที่จะปล่อยให้ผู้อ่านได้รับความผิดหวังในเรื่องนี้ ในอดีตทั้งหนังสือพิมพ์และผู้อ่านจำกัดความพอใจของเขาไว้แต่ในเรื่องข่าวภายในประ เทศและเรื่องเกร็ดพงศาวดารจีนเท่านั้น ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ความสนใจของหนังสือพิมพ์ในการบรรจุเรื่องราวต่าง ๆ ลงในหนังสือพิมพ์ จึงได้เปลี่ยนแปลงคลี่คลายไปตามภาวการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไป มาถึงเวลานี้ เหตุการณ์สำคัญในต่างประเทศได้มีที่ทางอยู่ในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์แล้ว และในระหว่างที่เหตุการณ์ของโลกอยู่ในที่คับขัน ข่าวโลกก็ได้มีบทบาทเป็นข่าวใหญ่ประจำวันของหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ

แม้ว่าหนังสือพิมพ์จะได้ให้ความสนใจในการรายงานข่าวต่างประเทศตามสมควรแล้ว และแม้ว่าเหตุการณ์ผันผวนของโลกจะปลุกเร้าหนังสือพิมพ์ให้เพิ่มความกระตือรือร้นและประสิทธิภาพในการรายงานข่าวต่างประเทศยิ่งขึ้นก็ดี แต่เนื่องด้วยเมืองไทยอยู่ห่างไกลจากที่เกิดเหตุ และเนื่องด้วยการอ่านหนังสือพิมพ์ยังอยู่ในวงจำกัดมาก ทั้งความสนใจต่อทางได้ทางเสียของเหตุการณ์นั้น ๆ ที่จะพึงมีต่อโลกเป็นส่วนรวมที่มีอยู่ในวงแคบมาก การต้อนรับเหตุการณ์ผันผวนที่บังเกิดขึ้นในยุโรปโดยทั่วไป จึงมิได้เป็นไปอย่างกระฉับกระเฉงนัก ในส่วนใหญ่ก็เป็นแต่รับรู้ว่าได้มีอะไรเกิดขึ้นที่ไหนเท่านั้น ผู้ที่พิเคราะห์ดูทางได้ทางเสียของเหตุการณ์ผันผวนและสงครามที่จะคลอดตามมา ซึ่งจะส่งผลมาถึงเมืองไทยก็มีอยู่เหมือนกัน และในจำนวนนี้ก็มีคนอยู่สองจำพวก จำพวกหนึ่งพิเคราะห์ดูทางได้ทางเสียที่จะพาดพิงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวของเขา และเตรียมพร้อมที่จะตักตวงประโยชน์จากเหตุการณ์ผันผวนและสงครามเพื่อตนได้มากที่สุดที่จะมากได้ ส่วนคนอื่นๆ และโลกจะฉิบหายวายวอดและได้รับความทุกข์ทรมานอย่างไรช่างหัวมัน ส่วนอีกจำพวกหนึ่งพิเคราะห์ดูเหตุการณ์ผันผวนและสงคราม ด้วยการคิดคำนึงถึงความผิดความถูก และความดีความชั่วของมัน คิดคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ, คิดคำนึงถึงชีวิตและความทุกข์ทรมานของเพื่อนมนุษย์ เซ้งเป็นคนหนึ่งที่รวมอยู่ในบุคคลจำพวกหลังนี้

บัดนี้ นับว่าเขาอยู่ในฐานะที่กล่าวได้ว่าเป็นผู้สันทัดในงานเขียนข่าวต่างประเทศคนหนึ่ง นอกจากการแปลข่าว เขายังได้รับความไว้วางใจจากบรรณาธิการให้เขียนบทความต่างประเทศเป็นครั้งคราว ในระหว่างที่เหตุการณ์ของโลกเข้าที่คับขัน และการรายงานข่าวด่วนจากต่างประเทศ ได้กลายเป็นงานสำคัญของหนังสือพิมพ์ขึ้นมาแล้ว เขาก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ฟังและจุดข่าวจากรายงานของสถานีวิทยุกระจายเสียงอีกทางหนึ่ง เนื่องด้วยเขาเป็นคนรักงานในหน้าที่ และได้ฝึกฝนฟังข่าวจากสถานีวิทยุต่างประเทศอยู่แล้ว เขาจึงสามารถทำงานแผนกนี้ได้ดี เขาต้องฟังข่าวทั้งที่สำนักงานและที่บ้าน งานของเขาจึงนับว่าหนักมิใช่น้อย แต่เขาก็ทำด้วยความเต็มใจและพอใจ แม้ว่าเขาจะทำงานอย่างสงบเงียบ และเมื่อเลิกงานแล้วก็มักจะตรงกลับบ้าน ซึ่งเมื่อดูเผินๆ ก็ดูประหนึ่งว่าเขาไม่เอาธุระกับเรื่องของคนอื่น และไม่แยแสกับความเป็นไปรอบ ๆ ตัวเขาและของโลก แต่แท้จริง ภายในจิตใจของเขา เขามีลักษณะที่ตรงข้ามกับอาการภายนอกทีเดียว

เซ้งฟังข่าวและเขียนข่าว มิใช่เพียงแต่ประสงค์จะปฏิบัติหน้าที่ให้เสร็จไปวันหนึ่งๆ และก็มิใช่เพียงแต่จะพยายามทำอย่างดีที่สุดเพื่อแข่งขันกับหนังสือพิมพ์อื่น และเพื่อนำชัยชนะชื่อเสียงมาสู่หนังสือพิมพ์ของเขาเท่านั้น แต่ความคิดจิตใจของเขายังจดจ่อผูกพันอยู่กับเหตุการณ์เหล่านั้นด้วย เขาร่วมความเจ็บปวดกับชาวออสเตรีย เมื่อจอมนาซีเอาเท้าเหยียบลงไปบนอกของประเทศนั้น มาตรว่าเขาจะมีจิตใจที่รักความสงบเพียงใด เขาก็เห็นว่าการที่อังกฤษฝรั่งเศสได้ยอมอ่อนน้อมต่ออธรรม และได้รับรองการปล้นดินแดนของมหาโจรนาซีไปจากชนชาติที่มิได้กระทำความผิดอะไรเลยนั้น เป็นการกระทำที่น่าอับอายอย่างยิ่ง เขาคิดว่าเขาปวดร้าวใจไม่น้อยกว่าชาวเช็คทุกคน เมื่อถูกเหล่าร้ายนาซีหักหลัง และเข้ายึดครองรัฐเช็คทั้งหมดในเดือนมีนาคม การไม่รักษาสัตย์ของจอมนาซี บวกกับการที่มหาอำนาจตะวันตกทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำรับประกันเอกราชของชนชาติเช็ค ได้ทำให้เขาหมดศรัทธาในคุณธรรมของผู้ทรงอำนาจทางการเมืองทั้งหลาย และในที่สุดหัวใจของเขาก็แทบจะแตกสลาย เมื่อฝูงหมาป่านาซีบุกทะลวงโปแลนด์เหมือนโจรที่เปลือยกายคุมกันเข้าปล้นเพื่อนบ้านอย่างไม่มียางอาย

หลังจากการประชุมของมุขบุรุษสี่ประเทศ ณ เมืองมิวนิคแล้ว เซ้งได้พบรัฐมนตรีท่านหนึ่งในงานสโมสร ซึ่งหนังสือพิมพ์ได้ส่งเขาไปเป็นผู้แทน เขาได้ถามความเห็นของท่านรัฐมนตรีที่มีต่อข้อตกลง ณ เมืองมิวนิค ซึ่งเป็นการประชุมตกลงเชือดเฉือนดินแดนของเช็คไปสังเวยการขู่คำรามของนาซี โดยที่ประเทศเจ้าของดินแดนมิได้รับเชิญให้ส่งผู้แทนไปร่วมประชุมป้องกันสิทธิอันชอบธรรมของเขาเลย ท่านรัฐมนตรีได้ตอบเขาว่า “ประเทศเล็กๆก็ต้องยอมเสียสละบ้าง เพื่อเห็นแก่สันติภาพของโลก” ท่านรัฐมนตรีไม่ได้กล่าวคำติเตียนความอ่อนแอของนายกรัฐมนตรีทั้งสอง ทั้งก็ไม่ได้กล่าวคำประณามพฤติการณ์แบบมหาโจรของฮิตเลอร์ ท่านรัฐมนตรีกล่าวแต่เพียงว่านั่นเป็นเรื่องของประเทศมหาอำนาจเขา เราไม่ต้องไปเกี่ยวข้องแสดงความเห็นกับเขาดอก เซ้งไม่อาจที่จะเข้าใจความคิดของท่านรัฐมนตรีได้เลย โดยเฉพาะในข้อที่ว่า เพื่อสันติภาพของโลก เหตุใดจึงกำหนดให้ประเทศเล็กๆ ต้องยอมเสียสละ แทนที่จะจัดการควบคุมความตะกละตะกลามเยี่ยงสัตว์ป่าของประเทศมหาอำนาจไว้ให้ได้ เมื่ออังกฤษและฝรั่งเศสได้ประกาศสงครามกับเยอรมนีแล้ว เขาได้พบรัฐมนตรีอีกท่านหนึ่ง และได้ถามความเห็นของท่านเกี่ยวกับเรื่องการสงคราม ท่านรัฐบาลตอบว่า “ให้มันรบกันให้ฉิบหายกันไปเสียบ้างก็ดี บางทีประเทศของเราจะได้ประโยชน์จากการสงครามบ้าง” เซ้งสะอึก และเขาได้รวบรวมกำลังตั้งคำถามแก่ท่านรัฐมนตรีต่อไปอีกข้อหนึ่งว่า “แล้วก็ชีวิตมนุษย์ ซึ่งรวมทั้งผู้หญิง เด็ก และคนแก่ล่ะครับ?” ท่านรัฐมนตรีทำท่ายกไหล่อย่างฝรั่ง แล้วก็ปลีกตัวไปโดยไม่ตอบว่ากระไร เซ้งรู้สึกว่าถ้ารัฐมนตรีพูดคำร้ายๆอะไรออกมาสักคำสองคำ ยังจะน่าสลดใจน้อยกว่าที่แสดงท่าทางเช่นนั้น

เซ้งคิดเห็นว่าก็ยังเป็นโชคดีอยู่บ้างที่ในสำนักงานของเขาไม่มีใครที่มีความคิดเห็นอันปราศจากมนุษยธรรมเหมือนกับรัฐมนตรีทั้งสองนั้น และในขณะที่เขาได้รับความห่อเหี่ยวใจจากเหตุการณ์ผันผวนของโลก และจากความเห็นอันเหลวแหลกของคนใหญ่คนโตในเมืองไทยบางคนนั้น เขาก็ได้รับการปลอบใจจากข้อความจริงที่ว่า ท่านบรรณาธิการและหัวหน้าของเขา พร้อมด้วยนักหนังสือพิมพ์ร่วมสำนักของเขาหลายคน มีความคิดเห็นตรงกันกับเขา เมื่อเขานำความคิดเห็นของรัฐมนตรีบางคนที่เขาเห็นว่าไม่สมควรที่ผู้เป็นรัฐมนตรีจะมีความเห็นเช่นนั้น มากล่าวให้หัวหน้าของเขาฟัง หัวหน้าของเขาได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เพราะว่าเรามีผู้ปกครองบ้านเมืองที่มีใจแคบและมีความคิดอย่างบ้องตื้นเช่นนั้น หนังสือพิมพ์ของเราจึงต้องเป็นฝ่ายค้านรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา” อีกสักเมื่อไหร่และจะทำอย่างไร ประเทศจึงจะมีรัฐบาลที่หนังสือพิมพ์ของเขาพร้อมที่จะให้ความสนับสนุนอย่างเต็มใจและเต็มที่ เซ้งใคร่จะทราบคำตอบปัญหาข้อนี้อยู่เหมือนกัน และเขาก็ยังไม่พบคำตอบที่น่าพอใจจากที่ใด

หลังจากที่ได้เข้าครอบครองเช็คโกสโลวาเกียแล้ว นาซีเยอรมันได้นำเรือรบที่เพียบพร้อมด้วยปืนใหญ่ไปขู่คำรามเรียกเอาเมืองท่าเมเมลจากประเทศลิธัวเนียอีก และหนูน้อยลิธัวเนียก็จำต้องอ่อนน้อมต่ออำนาจปืนใหญ่ ฝ่ายจอมฟัสซิสต์มุสโซลินีซึ่งร่วมเป็นพันธมิตรกับจอมนาซี ก็พิจารณาเห็นว่า ได้ฤกษ์ที่จะเข้าตีปล้นเอาดินแดนใหม่มาครอบครองได้แล้ว จึงยาตราทัพเข้าบุกประเทศน้อยอัลบาเนีย และก็ได้บดขยี้กองทัพของอัลบาเนียเสียในชั่วไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ และในปีเดียวกันนั้น จอมเผด็จการฟรังโก ด้วยความช่วยเหลือทั้งกำลังทหารและกำลังอาวุธจากจอมเผด็จการทั้งสอง ก็ทำลายสาธารณรัฐสเปญของประชาชนลงได้

เหตุการณ์ตีปล้นดินแดนจากชนชาติที่อ่อนแอกว่า และการที่พวกจอมเผด็จการรวมหัวกันเข้าช่วงชิงอำนาจ และทำลายระบอบการปกครองของประชาชนลงเช่นนี้ ได้รบกวนจิตใจอันสงบอ่อนโยนของเซ้งมิใช่น้อยในระหว่างที่ทำงานในสำนักหนังสือพิมพ์ เขาได้ศึกษาเหตุการณ์ต่างประเทศในอดีต และได้ทราบเหมือนกันว่า เมื่อเยอรมนีได้ปราชัยในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งแล้ว ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะก็ได้ปฏิบัติต่อผู้แพ้ด้วยจิตใจที่มุ่งแก้แค้นแก้เผ็ด และมุ่งลงโทษผู้แพ้โดยไม่คำนึงถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และต่างก็พยายามจะตักตวงผลประโยชน์ใส่ตนอย่างไม่มีความละอาย และในที่สุด การกระทำที่เต็มไปด้วยโทสะและโมหะ และไม่มีความละอายในสมัยหนึ่ง ก็ได้ถูกตอบแทนด้วยการกระทำของอำนาจโทสะและโมหะ และปราศจากยางอายที่ร้ายกาจยิ่งไปกว่า ในขณะที่คำแถลงประกาศทั้งโดยวาจาและโดยเอกสาร โอ่อ่าไปด้วยถ้อยคำแสดงคุณธรรมที่จับใจนานาประการ แต่การกระทำได้กลับกลายเป็นความโสโครกไปเสียไม่น้อย เซ้งได้เห็นว่า บุคคลที่เป็นคนใหญ่คนโต และเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ที่ได้นั่งประชุมตัดสินชะตากรรมของมนุษย์นับตั้งล้านๆคนนั้น เมื่อได้พิจารณาจากการกระทำของเขาแล้ว มีหลายคน และมีอยู่บ่อย ๆ ทีเดียวที่จิตใจของเขาเหล่านั้นช่างห่างไกลกับตำแหน่งอันใหญ่โตและความมีหน้ามีตาของเขาเสียเหลือเกิน

ในระหว่างเวลาหลายปีที่เขาได้ประจำทำงานหนังสือพิมพ์ ชายหนุ่มผู้มีความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าและปรารถนาอย่างยิ่งที่จะปรนนิบัติพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการพยายามประพฤติตามคำสอนอันดีงามของพระศาสดาเยซู ได้ถูกนำให้ไปรู้เห็นพฤติการณ์หลายอย่างทั้งในประเทศและนานาประเทศซึ่งทำให้เขาประหลาดใจว่า เหตุใดผู้คนทั้งพวกที่นับถือคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระเยซู จึงมีความประพฤติที่ไม่เหมือนกับคำสอนของพระศาสดาของเขาเสียเลย เขารู้สึกเหตุการณ์ผันผวนต่าง ๆ ที่บังเกิดขึ้นในยุโรป และได้คลี่คลายไปเป็นสงครามมหาประลัยนั้น ย่อมไม่อาจบังเกิดขึ้นได้ หากว่าผู้ที่เกี่ยวข้องพัวพันกับเหตุการณ์เหล่านั้น เป็นผู้มีความนับถือในคำสอนของพระเยซูจริง ๆ แต่ความเป็นจริงที่ปรากฏออกมานั้น ก็ดูราวกับว่าในยุโรปไม่มีศาสนาที่มีพระบัญญัติอันเป็นที่จับจิตจับใจของเขาว่า ‘ให้สูเจ้ารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ เขาสงสัยนักว่าจะมีคริสเตียนได้อย่างไรในท่ามกลางความลุกโพลงของความอาฆาตมาดร้าย ความตะกละตะกลามอำนาจ และการตีปล้นช่วงชิงดินแดนและทรัพย์สมบัติกันเช่นนั้น เมื่อการประกาศความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าอันเป็นสัญญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความดีงามนานาประการก็กระทำกันไป และการหยาบช้าอาธรรมต่าง ๆ ก็กระทำกันไป อย่างไม่มีความกระดากอายเช่นนี้แล้ว ศาสนาจะเป็นที่พึ่งอันจริงจังของมนุษย์ได้สักแค่ไหนเล่า เขารู้สึกปวดร้าวใจ เมื่อความสงสัยข้อนี้ได้ผุดขึ้นมาในความคิดของเขาโดยมิได้ตั้งใจ เขาอดไม่ได้ที่จะคิดไปว่า คนจำพวกนี้ทีเดียว ที่ได้ทำให้ศาสนาเป็นที่ดูหมิ่นเย้ยหยัน และคนจำพวกนี้อีกเหมือนกัน ที่ได้ทำให้การดูหมิ่นเย้ยหยันศาสนา มิใช่เป็นสิ่งที่ไร้เหตุผล

คนทั่ว ๆ ไปพากันโจษขานถึงเรื่องสงครามในยุโรป ด้วยความตื่นเต้นตกใจกันอยู่ระยะหนึ่ง และก็เป็นในระยะสั้น ๆ

“มันจะรบกันลามปามมาถึงบ้านเราไหม?”

“คราวนี้รัฐบาลจะรับคนอาสาไปรบกับพวกเยอรมันอีกไหม?”

“ไปรบก็สนุกดีซีวะ จะได้ไปเที่ยวเมืองฝรั่ง”

“ข้าวของมันจะขึ้นราคากันใหญ่ พวกเราคนจน ๆ ก็จะแย่ตามกัน”

“ข้าวสารจะแพงไหม?”

พวกที่มีส่วนได้เสียจากการสงคราม ก็จ้องจะตักตวงผลประโยชน์กันอย่างเต็มที่ สงครามทำให้คนส่วนน้อยส่วนหนึ่งหน้าบาน

ความตื่นเต้นของคนทั้งหลายได้คลายลงในเวลาไม่ช้า เมื่อเขาเข้าใจว่าการสงครามในยุโรปจะไม่มาก่อความยุ่งยากแก่การดำเนินชีวิตของเขา คนบางส่วนก็ดำเนินชีวิตของเขาไปเป็นปกติดุจว่าไม่มีการล้างผลาญชีวิตมนุษย์เป็นจำนวนมากมายที่ได้กระทำกันอยู่ทุกวันในซีกโลกทางด้านตะวันตก และในจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายอยู่ทุกวันนั้น มีคนชราผู้หญิงและเด็กซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงคราม และไม่ต้องการให้โลกมีสงครามรวมอยู่ด้วย คนบางส่วนก็ติดตามข่าวสงครามด้วยตื่นเต้นบันเทิงใจดุจเดียวกับที่ท่านพวกผู้ดีมีทรัพย์แห่งสมัยจักรวรรดิโรมัน นั่งชมการกีฬากลาเดียตอร์ที่เอาชีวิตของพวกทาสมาเสี่ยงกับความตาย ด้วยการให้พวกทาสต่อสู้กันเอง หรือต่อสู้กับสู้สิงห์โต บ้างติดตามข่าวสงคราม เพื่อจะนำมาคุยกันเป็นการฆ่าเวลาในยามว่าง บ้างนิยมชมชื่นเยอรมันด้วยการมองดูแต่ในด้านความเก่งกาจของชนชาตินั้นเท่านั้น โดยไม่สนใจว่าเยอรมันได้ใช้ความเก่งกาจของเขาไปในทางไหน บ้างเอาใจช่วยเยอรมัน เพราะชอบใจในคุณภาพของสินค้าเยอรมัน พวกชาวบ้านที่เป็นคนแก่คนเฒ่าที่ยังจำเรื่องที่ฝรั่งเศสมารุกรานรังแกไทยได้ ก็แช่งชักหักกระดูกให้ฝรั่งเศสฉิบหายตายโหงในสงคราม นี่ก็เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ