๑
ในยามเช้ามืด แสงเงินแสงทองยังไม่เบิกฟ้า ขณะที่พวกชาวนากำลังก่อไฟฟืนในเตาดินหุงข้าว เตรียมตัวออกไปทำงาน กรำแดดกรำฝนกับเจ้าควายคู่ยากในทุ่งนา ขณะที่พวกคนงานตามโรงงานและตามที่ต่างๆ กำลังลุกขึ้นจากที่หลับนอนซึ่งได้ปลดเปลื้องความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของวันวาน และเตรียมบรรจุอาหารที่พอจะประทังชีวิตลงไปในท้อง ซ่อมแซมแรงงานเพื่อไปเผชิญกับงานหนักของวันใหม่ต่อไป ขณะที่พวกพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่และตามตลาด กำลังเตรียมกระบุง กระจาด และเครื่องมือหาบคอน ไปรับสินค้าตามแม่น้ำลำคลองและตามที่ต่าง ๆ มาขายเลี้ยงชีพไปวันหนึ่ง ๆ ขณะที่พวกประกอบอาชีพราชการยังนอนงัวเงียอยู่บนที่นอน และขณะที่พวกเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ และนายพาณิชเศรษฐีกำลังหลับอย่างแสนสุขบนที่นอนอันสูงและอ่อนนุ่มนั้น ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอันใหญ่หลวงก็ได้ตื่นขึ้นเหมือนกัน และเตรียมพร้อมที่จะเผยโฉมหน้าของมันแก่มหาชน ในชั่วโมงสองชั่วโมงที่จะมาถึง อำนาจใหม่ซึ่งเติบโตขึ้นมาในสายตาอันฝ้าฟางของอำนาจเก่า กำลังย่างสามขุมออกมา เพื่อจะเข้าบดขยี้อำนาจเก่าที่ง่อนแง่นโงนเงนให้ย่อยยับไป ประวัติศาสตร์ของสยามกำลังจะขึ้นบทใหม่ และผู้ที่สร้างประวัติศาสตร์หรือนัยหนึ่งผู้ลิขิตชะตากรรมของมนุษย์ ผู้ลิขิตความเปลี่ยนแปลงทางสังคมของมนุษย์นั้น ก็หาใช่พระพรหมหรือพระผู้เป็นเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนไม่ หากเป็นมนุษย์นั้นเอง
หากจะเรียกว่า พระพรหมเป็นผู้ลิขิตประวัติศาสตร์บทใหม่ ผู้ลิขิตความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอันใหญ่หลวง ในเช้ามืดวันนั้น พระพรหมก็เสด็จมาในขบวนรถบรรทุกทหาร รถยนต์หุ้มเกราะ สรรพไปด้วยอาวุธประหารนานาชนิด มีปืนกลเบา ปืนเล็กยาว หีบกระสุน อันมีจุดเริ่มต้นที่กรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์และได้เคลื่อนขบวนมาตามถนนสายบางซื่อในยามฟ้าสาง พระพรหมทรงสวมหมวกเหล็ก เสด็จมาในท่ามกลางสรรพาวุธ ด้วยดวงหน้าอันเคร่งเครียดถมึงทึง เพื่อจะเข้าบดขยี้อำนาจเก่าให้แหลกเป็นผุยผง
แสงทองส่องฟ้าเรื่อเรือง มวลชีวิตได้พลิกตัวตื่น พร้อมกับการพลิกหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ แต่กลุ่มชีวิตที่รุ่งโรจน์ด้วยอำนาจวาสนายังหลับใหลอยู่ด้วยความบรมสุข อันสืบต่อมาจากศตวรรษเก่า พระพรหมผู้สำแดงตนออกมาในรูปคณะนายทหาร และข้าราชการพลเรือนในนามของ “คณะราษฎร” ได้ไปชุมนุมกันอยู่พร้อมหน้า ภายในพระที่นั่งอนันตสมาคม ณ บริเวณพระบรมรูปทรงม้า กองทหารของพระพรหมตั้งอยู่แน่นขนัดพร้อมสรรพด้วยอาวุธปืนใหญ่ ปืนกล และรถเกราะ
กบฏ !
เปลี่ยนการปกครอง !
ยึดอำนาจจากกษัตริย์ !
ทิวากาลของวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้คลอดการปฏิวัติออกมา เมื่อกลุ่มชนชั้นสูงผู้ครองอำนาจ ได้ตื่นขึ้นมาในเช้าวันนั้น เขาก็ได้พบว่าอำนาจลายครามของเขาได้ถูกกลุ่มชนอีกชั้นหนึ่งเข้าจู่โจมยึดเอาไปเสียแล้ว
* * *
ก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ราชบัลลังก์ได้ถล่มไป ระบอบการปกครองอำนาจสิทธิ์ขาดของกษัตริย์ได้ทลายไป ระบอบการปกครองประชาธิปไตย ได้ถูกสถาปนาขึ้นที่นั่นและที่โน่น และระบอบการปกครองของชนชั้นคนงาน ที่ได้ถูกสถาปนาขึ้นบนผืนแผ่นดินของจักรพรรดิ์ ผู้ปกครองพสกนิกรด้วยพระราชอำนาจแห่งระบบศักดินาอันล้าหลัง และเหี้ยมเกรียมที่สุดในยุโรป กระแสคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงอันมหึมาได้ไหลบ่าไปทั่วธรณียุโรป ส่งเสียงคำรนกึกก้อง ข้ามขุนเขาและมหาสมุทร แผ่เข้าไปในทวีปเอเชียและแอฟริกา ปลุกประชาชาวโลกให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหลชะเง้อชะแง้ดูกระแสคลื่นของการเปลี่ยนแปลงนั้น อิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงที่ได้บังเกิดขึ้นในยุโรป และในประเทศจีนก็ได้แผ่สร้านเข้ามาในประเทศสยามเช่นกัน ชนชาวสยามส่วนหนึ่งได้แลดูการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วยความทึ่ง ถึงแม้ว่าข่าวคราวการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของนานาประเทศจะมาถึงเขาอย่างกระท่อนกระแท่นและในอาการเอื่อยอ่อย แต่อย่างน้อยมันก็ได้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกขึ้นว่า ระบอบการปกครองอันมีมาแต่โบราณกาลนั้น ถึงจะมีอายุเก่าแก่สักเพียงใด ก็หาใช่สิ่งจะอยู่ค้ำฟ้าไปได้ไม่ หาใช่สิ่งที่จะท้าทายกาลเวลาไปได้ไม่ ที่แท้มันก็เป็นสิ่งที่จะต้องประสบกับความเสื่อม ถูกเปลี่ยนแปลง และถูกทำลายไปในวันหนึ่ง
กระแสคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ได้ส่งความกระทบกระทบกระเทือนหวั่นไหวไปทั่วทุกมุมโลกเช่นนี้ เมื่อมาถึงปีหลัง ๆ ก่อนปีแห่งประวัติศาสตร์ พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็ได้ก่อให้เกิดการไหวตัวของประชาชนชาวสยาม ต่อระบอบการปกครองที่เขาได้ถูกปกครองอยู่ แม้จะเป็นการไหวตัวอย่างอ่อน ๆ และดูเป็นและดูเป็นการไหวตัวภายในวงแคบ ๆ ก็ตาม หนังสือพิมพ์ในสยามได้เริ่มกล่าวถึงสิทธิ และเสียงของราษฎรที่ควรจะมี และควรจะได้รับฟังในการปกครองประเทศ เขาเริ่มพูดถึงการปกครองแบบรัฐสภาเขาพูดถึงรีปับลิคของประเทศจีน และระบอบการปกครองของชนชั้นคนงานในประเทศรัสเซีย เขาพูดถึงเรื่องของบุคคลที่มีวาสนาบารมี พูดถึงเรื่องเจ้าขุนมูลนายด้วยศรัทธาที่คลอนแคลน เขาตำหนิความไม่มีหลักเกณฑ์ และความอยุติธรรมในการคัดเลือกคนเข้ารับราชการ เขาตำหนิการเก็บภาษีอากรที่เป็นการบีบคั้น และไม่ชอบธรรม เขาสงสัยว่าการเก็บภาษีรัชชูปการแก่ราษฎรคนละหกบาทรวด ไม่เลือกว่าจะเป็นมหาเศรษฐีหรือกระยาจกเข็ญใจนั้น มันจะมีเหตุผลแห่งความชอบธรรมไปได้อย่างไร พวกกรรมกรบางส่วนก็เริ่มบ่นถึงความทุกข์ยาก และความกดขี่ที่เขาได้รับจากพวกนายจ้าง ทั้งพวกผิวเหลืองและผิวขาว รวมทั้งข้อที่เขาไม่สามารถจะต่อสู้เพื่อขจัดความกดขี่ของคนรวยเหล่านั้นได้ เพราะกฎหมายไม่มีเมตตาแก่เขา หนังสือพิมพ์ที่แสดงตนว่าเป็นปากเสียงของกรรมกร และคนยากจนก็ปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ
ติดตามมากับกระแสคลื่นทางการเมือง คลื่นวิกฤติกาล ทางเศรษฐกิจของระบอบนายทุน ได้ส่งเสียงกระหึ่มขึ้นในอเมริกาและยุโรปในปี ค.ศ. ๑๙๒๙ แล้วก็ได้แผ่คลุมไปทั่วโลก เกิดความอดอยากยากแค้นอย่างสาหัสขึ้นในท่ามกลางความมากมูลพูนผล เกิดการว่างงานอย่างขนานใหญ่ ในท่ามกลางความสมบูรณ์ของเครื่องมือเครื่องจักรที่พร้อมจะทำงานผลิตอย่างมหาศาล เพราะพวกนายทุนไม่ต้องการจะให้มีการผลิตอีกต่อไป ประชาชนคนงานประสบความทุกข์ยากลำเค็ญทั่วโลก ในที่สุดวิกฤติกาลทางเศรษฐกิจของโลกอันน่าสยองใจนี้ ก็ได้ไหลบ่ามาถึงประเทศสยาม ประชาชนชาวสยามไม่ทราบว่า สิ่งนี้ได้ถูกบันดาลขึ้นมาโดยผีห่าซาตานที่ไหนหรือเป็นผลของระบบเศรษฐกิจชนิดใด เขาทราบแต่ว่ามันเกิดสิ่งที่เรียกกันว่า “เศรษฐกิจตกต่ำ” ขึ้น โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และโดยไม่รู้ว่าใครจะต้องรับผิดชอบ ประชาชนชาวสยามไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่อง “เศรษฐกิจตกต่ำ” เขารู้จักวิกฤติการทางเศรษฐกิจแต่เฉพาะในส่วนที่มันกลายมาเป็นความเดือดร้อน ระส่ำระสายแก่การครองชีพของเขา ข้าราชการจำนวนมากถูกปลดออกจากราชการ เพื่อดุลยภาพของงบประมาณแผ่นดิน ราคาข้าวของชาวนาตกต่ำ ผู้คนไม่มีเงินจับจ่ายซื้อของกินของใช้ได้เหมือนเช่นเคย การค้าขายชะงักงัน ความโศกเศร้าเหงาหงอยเข้าครอบงำชีวิตของประชาชนสยาม ในยามเช่นนั้น คนที่ไม่เคยบ่นก็เริ่มบ่น คนไม่เคยคิดก็เริ่มคิด ชนบางส่วนแสดงความเฉยเมยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาเชื่อตามที่เคยเชื่อกันมาแต่นมนานแล้วว่า ความสุขความทุกข์ต่าง ๆ ที่เกิดแก่มนุษย์นั้น เป็นเรื่องสุดแต่ฟ้าดิน หรือเทวดาบนสวรรค์จะบันดาล หาใช่เป็นเรื่องที่มนุษย์จะเข้าไปจัดแจงให้เป็นไปตามปรารถนาได้ไม่ เมื่อฟ้าดินบันดาลมาอย่างไร มนุษย์ก็จะต้องเอาอย่างนั้น ชนอีกส่วนหนึ่งก็มีความคิดเห็นค่อนไปทางนั้นเหมือนกัน แต่เขายังมีความเห็นคืบหน้าต่อไปหน่อยว่า ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นนั้น ถึงแม้จะเป็นเรื่องฟ้าดินบันดาลก็ตามที แต่อาศัยบุญญาอภินิหารของพระมหากษัตริย์ พร้อมด้วยเจ้านาย และขุนนางผู้ใหญ่ที่ได้ปกครองประเทศสืบตระกูลกันมาหลายชั่วคนคงจะสามารถเข้าต่อกรกับกรงเล็บอันแหลมคมของความทุกข์ยาก ที่ขยุ้มลงมาบนชีวิตของเขาและเอาชนะมันได้ในไม่ช้า ชนเหล่านี้ก็รอคอยความช่วยเหลือของรัฐบาลเจ้าขุนมูลนายที่เขามีความเลื่อมใสสักการะประหนึ่งว่าเป็นรัฐบาลเทวดาที่จะมาโปรดเขาพ้นจากความทุกข์ยาก อย่างไรก็ดีมีชนจำพวกหนึ่งที่ไม่ยอมรับเอาความเชื่อที่ถือตาม ๆ กันมา ชนเหล่านี้ได้ก่อความคิดเห็นของเขาขึ้นมา จากการศึกษาเหตุการณ์และความคิดเห็นใหม่ ๆ จากการสังเกตพิจารณาความเป็นจริงในชีวิตที่บังเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเขา จากการเปรียบเทียบสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้พบเห็นและได้เรียนรู้มาจากหนังสือ แล้วชนเหล่านี้ก็บังเกิดความสงสัยในสมรรถภาพของรัฐบาลเจ้าขุนมูลนาย ที่ปกครองเขาอยู่ ชนเหล่านี้ไม่ได้คิดเห็นว่า รัฐบาลที่ปกครองเขาอยู่ในขณะนั้นเป็นรัฐบาลเทวดา หากเห็นว่าเป็นรัฐบาลของมนุษย์ปุถุชนนี่เอง เพียงแต่ว่ารัฐบาลนั้นเป็นรัฐบาลของเหล่าผู้ดีชั้นสูง ชนเหล่านี้คิดเห็นว่าเมื่อรัฐบาลของชนชั้นสูง ซึ่งมีชีวิตห่างเหินจากสามัญชนคนธรรมดาอย่างลิบลับ ไม่สามารถจะแก้ปัญหาการบ้านเมืองอันได้กลายมาเป็นความทุกข์ร้อนสาหัสของคนยากจนได้แล้ว ก็ควรจะได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรกันเสียบ้าง เขาไม่อาจจะกำหนดรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงได้ แต่เมื่อเขาสงสัยในสมรรถภาพของรัฐบาลของชนชั้นสูงเขาก็เห็นว่า มันควรจะได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรกันบ้าง เป็นต้นว่าคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา ซึ่งมิได้สังกัดอยู่ในเหล่าผู้ดีชั้นสูง ควรจะได้รับโอกาสให้เข้าร่วมแก้ไขปัญหาของประเทศ และเสียงของสามัญชนผู้ยากจนทั้งในเมืองและชนบท ทั้งตามโรงงานและตามทุ่งนา ที่โอดครวญถึงความเดือดร้อนในการครองชีพ และการเป็นอยู่ที่ห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ของเขา ควรที่จะได้รับฟัง และความเดือดร้อนของเขาก็ควรจะได้รับบำบัดปัดเป่าให้เบาบางลง ได้มีเสียงบ่นของเขาเหล่านี้ตามที่ทำงาน ตามสโมสร ตามร้านขายของ และตามที่ต่าง ๆ และเสียงบ่นเช่นนี้ยังดังออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์ด้วย
รัฐบาลเจ้าขุนมูลนาย ก็แว่วเสียงบ่นดังกล่าวนี้เหมือนกัน แต่รัฐบาลก็คิดเห็นว่า มันเป็นเพียงแต่เสียงบ่นพึมของคนกลุ่มเล็กๆ ที่ออกจะอวดดีและยุ่งไม่เข้าเรื่องทั้งนั้น รัฐบาลในขณะนั้นมีความเห็นอันแจ่มกระจ่าง เรื่องการปกครองแผ่นดินนั้นเป็นเรื่องของรัฐบาลและของเจ้านายผู้ใหญ่จะคิดอ่านกัน ไม่ใช่เรื่องของประชาชนจะสอดเข้ามาเกี่ยวข้อง รัฐบาลไม่เชื่อแน่และไม่เคยเชื่อว่า เสียงบ่นพึมที่ไม่สู้มีน้ำหนักอะไรนั้น จะเป็นเสียงที่เปล่งออกมาแทนความรู้สึกอึดอัดตันใจในหัวอกของชนชาวสยามส่วนมาก รัฐบาลเข้าใจว่าเสียงบ่นพึมที่แว่วออกมาจากที่ต่าง ๆ นี้ เป็นแต่เสียงนกเสียงกา เป็นเสียงที่เปล่งขึ้นมาก่อกวนความสงบสุขของท่านที่ปกครองประเทศเท่านั้น มาตรว่าเสียงเหล่านั้น จะก่อความรำคาญให้แก่รัฐบาลและท่านผู้ดีชั้นสูง เป็นการยืดเยื้อเกินสมควรไป ก็จะได้จัดการจับกุมฟ้องร้องเอาตัวเจ้าพวกที่ชอบยุ่งไม่เข้าเรื่อง มาเข้าคุกเข้าตะรางเสียบ้าง มันก็คงจะเข็ดขยาดกันไปเอง แล้วเสียงบ่นพึมต่างๆ นานาก็คงจะเงียบสงบไปในไม่ช้า และท่านเจ้าขุนมูลนายเหล่านั้นก็จะปกครองบ้านเมืองต่อไปด้วยความราบรื่นบันเทิงใจ เหมือนดังที่พวกท่านได้ปกครองกันมาแล้วในศตวรรษก่อน ๆ
แต่ทว่า มันมีสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ฝังอยู่ใต้เสียงบ่นพึมนั้น ซึ่งรัฐบาลเจ้าขุนมูลนายมองไม่เห็นและไม่เคยนึกถึง มาตรแม้นว่าเสียงบ่นพึมนั้น เมื่อดูจากภายนอกจะดูประหนึ่งเสียงนกเสียงกา ไร้ความแข็งแกร่ง และดูประหนึ่งเป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอันซูบซีดและจากริมฝีปากอันดูจัดจ้านของคนกลุ่มน้อย ๆ ก็ตามที
แต่ภายใต้เสียงนกเสียงกานั้น มีพลานุภาพอันเกรียงไกรแฝงอยู่ พลานุภาพอันนั้นคือพัฒนาการของประวัติศาสตร์ ซึ่งดำเนินไปตามกฎอันแน่นอนของมัน และพร้อมกับพัฒนาการอันนั้น สิ่งๆ หนึ่งจะต้องอุบัติขึ้นมา ตามเงื่อนไขของประวัติศาสตร์ ที่ได้พัฒนาไปถึงขีดขั้นของมัน ไม่มีอำนาจใดจะยับยั้งความเจริญเติบโตของมัน และไม่มีอำนาจใดจะทำลายมันได้
และเสียงบ่นพึมประหนึ่งเสียงนกเสียงกานั้น ก็ประสานกลมกลืนกับความรู้สึกอึดอัดคับใจ ที่แฝงอยู่ในหัวอกของผู้คนเป็นล้าน ๆ และมันก็กลายเป็นสิ่งที่จะปราบปรามทำลายไม่ได้
แต่รัฐบาลของคนชั้นสูง และปวงอำมาตย์ราชปุโรหิตของพระมหากษัตริย์ มีความเชื่อมั่นไปอีกทางหนึ่ง บุคคลเหล่านั้นมีความเชื่อมั่นว่า อำนาจซึ่งได้สถิตย์สถาพรมาอย่างผาสุขยิ่งแต่โบราณกาล จะต้องเป็นอำนาจที่ดำรงอยู่ต่อไป เขาเชื่อมั่นในความคงกระพันชาตรีของอำนาจลายคราม เขาเชื่อมั่นว่า อำนาจที่ได้ตั้งอยู่บนรากฐานอันมั่นคงของศตวรรษ ย่อมเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พสกนิกรที่ถูกเขาปกครองก็ออกจะเห็นคล้อยตามไปว่า มันจะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร ใครจะมาเปลี่ยนแปลงอำนาจที่มีกองทัพอันแข็งแกร่งถืออาวุธปืนจังก้าคอยป้องกันอยู่ ใครจะมาเปลี่ยนแปลงอำนาจที่รายรอบด้วยกำลังตำรวจ คุกตะรางและศาล ที่พร้อมสรรพด้วยเครื่องมือสำหรับกำหราบการปราบปรามการกระทำทุกชนิด ที่ขัดแย้งแข็งข้อต่ออำนาจนั้น ใครจะมาเปลี่ยนแปลงอำนาจที่แวดล้อมด้วยปัญญาอันไพโรจน์ ของปวงอำมาตย์ราชปุโรหิตและที่โชติช่วงด้วยความจงรักภักดีของอาณาประชาราษฎร อันมีต่อพระมหากษัตริย์มาชั่วศตวรรษ
แต่ก็มีเป็นครั้งคราวเหมือนกัน ที่บุคคลบางคนผู้ได้รับการศึกษาสูงในกลุ่มชนชั้นสูงเหล่านั้นได้มองลงไปในประวัติศาสตร์ ครั้นแล้วความเปลี่ยนแปลงที่ได้เป็นมาในอดีต ก็ได้มาปรากฏในมโนภาพของเขา เขาได้แลเห็นการตัดศีรษะพระเจ้าชาร์ลส แห่งราชวงศ์สจ๊วตของอังกฤษในศตวรรษที่ ๑๗ และอำนาจของกษัตริย์อังกฤษก็ได้หล่นลงสู่ความเสื่อมนับแต่นั้นมา ต่อมาในศตวรรษที่ ๑๘ ประชาชนฝรั่งเศสก็ได้กระทำเช่นเดียวกันกับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ของเขา และสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้อุบัติขึ้นแทนราชอาณาจักรของกษัตริย์ ในศตวรรษที่ ๒๐ กษัตริย์แมนจูแห่งจีนและซาร์แห่งรัสเซีย ก็ได้ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกัน ระบอบกษัตริย์ได้ล้มราบไปรายแล้วรายเล่า สาธารณรัฐและประชาธิปไตย ได้เชิดศีรษะขึ้นมาเหนือซากของกษัตริย์ราชวงศ์ ซึ่งเคยรุ่งโรจน์โชตินาการด้วยอำนาจวาสนา และในที่สุดก็ได้กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครใฝ่ฝันถึงอีกต่อไป ภาพในประวัติศาสตร์เหล่านี้ได้มาหลอกหลอนบุคคลบางคนในกลุ่มชนชั้นสูงที่ได้มองดูมัน และทำให้เกิดความสะดุ้งสะเทือนอยู่บ้าง แต่แล้วเขาก็ได้ใช้ความเชื่อมั่นในความคงกระพันชาตรีของอำนาจลายคราม ที่ได้ยืนยงคงทนมาชั่วศตวรรษ และความเชื่อมั่นในความจงรักภักดีขอพสกนิกร เป็นเครื่องปลุกปลอบประโลมใจว่า การเปลี่ยนแปลงอันร้ายกาจเช่นนั้นอาจอุบัติขึ้นได้ในที่ทุกแห่งในโลก แต่จะมาอุบัติขึ้นได้ในสยามได้ไม่ เพราะประชาชนชาวสยามเป็นผู้อ่อนโยนว่าง่าย ไม่มีนิสัยและจิตใจแข็งกระด้างเหมือนประชาชนในประเทศอื่น ๆ ประชาชนชาวสยามมีความจงรักภักดีในองค์พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์อย่างดูดดื่มฝังใจ ทั้งนักปราชญ์บางท่านที่สนับสนุนอำนาจลายคราม ก็ได้ชี้แจงว่าการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในต่างประเทศนั้น ไม่จำเป็นที่ประชาชนชาวสยามจะต้องไปคำนึงถึงเพราะว่าประชาธิปไตยไม่ใช่ของใหม่ เป็นของที่เคยมีมาแต่ครั้งกรีกโบราณ ระบอบประชาธิปไตยกับระบอบกษัตริย์มีการหมุนเวียนเป็นวงกลม เพราะฉะนั้นในไม่ช้าโลกก็จะเบื่อหน่ายประชาธิปไตยและก็จะต้องกลับมาหาระบอบกษัตริย์อีก ประชาชนชาวสยามจึงควรจะยึดมั่นอยู่ในที่เดิม อย่าเคลื่อนคล้อยไปกับโลกเพราะโลกจะหมุนเวียนมาเอาแบบอย่างของสยามเอง เหล่าชนชั้นสูงผู้ปกครองก็พากันชื่นใจในคำชี้แจงนั้น เพียงแต่ว่าความจริง มันไม่เป็นไปตามคำชี้แจงอันน่าชื่นใจนั้น และไม่เป็นไปตามความเชื่อมั่นที่ก่อรูปขึ้นมาจากความปรารถนา....
* * *
ฟ้าได้ผ่าเปรี้ยงลงมาอย่างสนั่นในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ บรรดาผู้ครองอำนาจลายคราม ก็ตกตะลึงจังงังและสั่นสะท้านไป !
ฟ้ามิได้ผ่าลงโดยไม่สำแดงนิมิตล่วงหน้า ประวัติศาสตร์ไม่โต้เถียงคำกล่าวหลบหลู่ดูหมิ่น ไม่คัดค้านความเขลา ไม่โต้ตอบการถูกท้าทาย ประวัติศาสตร์เพียงแต่สำแดงนิมิตตักเตือน ผู้ใดศึกษามันด้วยความเคารพก็รับเอาประโยชน์ไป ประวัติศาสตร์ไม่มาดร้ายผู้หนึ่งผู้ใด เป็นแต่ว่ามันจำเป็นจะต้องดำเนินรุดหน้าไปบนวิถีทางแห่งพัฒนาการของมันโดยที่อำนาจใดๆ ไม่อาจจะมายับยั้งไว้ได้ มันจะเป็นผู้ประกาศให้ทราบว่าเวลาของใคร ของยุคสมัยใด ได้สิ้นสุดลงแล้ว
ในตอนสายของวันที่ ๒๔ มิถุนายน ข่าวการยึดอำนาจการปกครองจากกษัตริย์ และการจับกุมเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และนายพลมาคุมตัวไว้ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ได้แพร่ออกไปจากกองบัญชาการยึดอำนาจอย่างรวดเร็ว ประดุจถูกลมพายุหอบไป จากถนนใหญ่น้อยเข้าไปสู่อาคารร้านค้าสองฟากถนน ผู้คนที่กำลังทำการซื้อขายต่อราคาด้วยกิริยาอันเนิบนาบและกำลังนั่งอ้อยอิ่งสนทนารับประทานอาหารและเครื่องดื่มอยู่ ต่างก็ฟังข่าวอย่างหูผึ่ง บ้างตกตะลึงพรึงเพริด บ้างร้องวี้ดว้าด บ้างหน้าบาน บ้างกังวล บ้างลุกพรวดพราดเผ่นออกไปนอกร้าน ร้านรวงบางแห่งก็ปิดอย่างฉับพลัน ประหนึ่งเตรียมรับกองโจรที่จะบุกเข้ามาในสองสามนาทีข้างหน้า บางร้านกลับโหมไฟในเตาตระเตรียมอาหารสดไว้เต็มที่ประหนึ่งจะคอยต้อนรับผู้คนซึ่งมาเที่ยวงานเทศกาลรื่นเริงมโหฬาร ข่าวได้แพร่ไปตามสถานที่ราชการทุกแห่งอย่างรวดเร็ว ดุจผีพรายไปเที่ยวกระซิบบอก ราชการประจำวันหยุดกึกลงทันที มือตีนอ่อน ใจเต้นระทึก พวกข้าราชการผู้ใหญ่ต่างคิดกังวลถึงตำแหน่งแห่งที่ของตัวว่า จะมีอันเป็นไปอย่างไร พวกข้าราชการผู้น้อยรู้สึกว่ามีแสงสว่างและความหวังใหม่ๆ เกิดวูบวาบขึ้นในใจ พวกข้าราชการจำพวกที่มีหัวใจเป็นหมาป่า และมีวาจาดังพระฤๅษี, พวกที่ปล้นความยุติธรรมไปจากสังคมโดยมีกฎหมายและอำนาจหน้าที่เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกัน พวกที่ทำร้ายวิญญาณของคุณงามความดีจนโลหิตไหลโทรมแล้วก็แสดงตัวว่าเป็นนางพยาบาลที่จะมาแต่งแผลให้ดวงวิญญาญนั้น ต่างก็มีดวงตาอันเถลือกถลนพูดจาละล่ำละลักไม่เป็นภาษาคน ประหนึ่งจะสำนึกว่า เวลากำลังมาถึงแล้วที่เขาจะต้องไปขึ้นศาล ในโลกของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งบาปกรรมทั้งปวง ที่เขาได้ทำไว้ในเมืองมนุษย์จะต้องถูกชำระสะสางใหม่ทั้งหมดอย่างยุติธรรมเที่ยงตรง พวกข้าราชการที่ได้รับความขมขื่นจากการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ต่างก็เปล่งเสียงไชโยอยู่เงียบ ๆ ในใจ ข่าวปลิวว่อนเข้าไปในคฤหาสน์ของผู้มั่งคั่งและของผู้ดีชั้นสูง เข้าไปในวังและที่ประทับของเจ้านาย ขุนนางหัวนอกจากอังกฤษ นึกถึงเรื่องครอมเวลล์และพระเจ้าชาร์ลสที่หนึ่ง เจ้านายผู้ชายนึกถึงความพินาศของราชวงศ์บูร์บองของฝรั่งเศส และราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซีย เจ้านายผู้หญิงนึกถึงชะตากรรมอันน่าสยดสยองของพระนางมารีอังตัวเนต พวกเศรษฐีเจ้าที่ดินและนายทุนใหญ่ ๆ นึกถึงพวกบอลเชวิค ที่เขาคิดว่าเป็นพวกยักษ์ในรัสเซีย พวกพ่อค้าชาวจีน นึกถึงพวกเก๊กเหม็ง ที่ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศจีน ข่าวได้ลอยลิ่วจากบ้านหนึ่งไปสู่อีกบ้านหนึ่ง จากตำบลหนึ่งไปสู่อีกตำบลหนึ่งเข้าไปในตลาด, โรงงาน, ท่าเรือ ลอยละล่องไปตามแม่น้ำลำคลองเข้าไปตามเรือกสวนไร่นา
กลุ่มชนที่รุ่งเรืองด้วยอำนาจวาสนาที่ได้เสวยสุขและประโยชน์เต็มที่จากอำนาจลายคราม ผ่านกลางวันและกลางคืน ของวันที่ ๒๔ มิถุนายน ไปด้วยความกระสับกระส่าย กระวนกระวายใจ เขาติดต่อฟังข่าวและซุบซิบ เก็งเดาเหตุการณ์กันตลอดเวลา เขาซุบซิบกันถึงเรื่องจะมีการรบใหญ่หรือไม่ กองทหารตามหัวเมืองจะเคลื่อนกำลังเข้ามาปราบกบฏและป้องกันราชบัลลังก์หรือไม่ บางคนก็ฝันและปลอบใจตนเองว่า เหตุการณ์อาจจะลงเอยอย่างโล่งใจเหมือนครั้งกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ เขาซุบซิบกันถึงความปลอดภัยของเขาเอง ซุบซิบถึงความปลอดภัยของอสังหาริมทรัพย์ และเงินทองอันมีค่ามากมายของเขา พวกพ่อค้าเศรษฐีก็คิดถึงทรัพย์สินและผลประโยชน์ในทางการค้าของเขา พวกที่เคยติดต่อสนิทสนมและได้ประโยชน์จากอำนาจเก่า ก็คิดหาทางปกปิดความสัมพันธ์อันเคยเป็นที่เคารพบูชา ร่องรอยที่จะแสดงถึงความสัมพันธ์เหล่านั้นได้ถูกยักย้ายซ่อนเร้น กลุ่มมนุษย์ที่มีสันดานอย่างกิ้งก่า ก็ดัดแปลงสีสรรพ์ของตนให้กลมกลืนกับภูมิประเทศใหม่ เพื่อจะรักษาลาภเก่า และคอยโอกาสที่จะตักตวงลาภใหม่ต่อไป
เหล่าราษฎรคนยากคนจนหาเช้ากินค่ำ พวกที่ไม่มีอะไรจะสูญเสีย ซึ่งเป็นประชาชาวสยามจำนวนมหึมาได้ต้อนรับข่าวกบฏยึดอำนาจการปกครองไปอีกทางหนึ่ง พวกเขาไม่มีความทุกข์ร้อนกังวลอะไรกับการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะใหญ่หลวงเพียงใด พวกเขาไม่มีผลประโยชน์และทรัพย์สินเป็นชิ้นเป็นอันอะไรที่จะต้องสูญเสีย ชีวิตของเขาเป็นชีวิตแห่งการสูญเสียเป็นปกติธรรมดาอยู่แล้ว พวกเขาไม่สู้ใฝ่ฝันถึงผลของการเปลี่ยนแปลงที่จะตกมาถึงพวกเขานัก เพราะว่าตลอดชีวิตของพวกเขา เขาไม่เคยได้ร่วมรับผลของการเปลี่ยนแปลงๆ ใด ที่เรียกกันว่าเป็นความเจริญก้าวของบ้านเมืองเลย พวกเขาเพียงแต่รู้สึกตื่นเต้น และเกิดความอยากรู้อยากเห็นบ้าง ตามประสาของคนที่เคยมีชีวิตอยู่รอบนอก ของการเปลี่ยนแปลง
พวกแม่ค้าพายเรือขายของตามลำคลอง ร้องถามกันว่า “เขาจะผลัดแผ่นดินกันหรือ?”
“ฉันก็ไม่รู้ย่ะ” อีกคนหนึ่งตอบ “ได้ยินแต่เขาโจษกันว่าพวกใหม่เข้ายึดพระที่นั่ง และจับเจ้านายมาขังไว้เยอะแยะ”
พระภิกษุรูปหนึ่งนั่งเรือผ่านมา ได้ชี้แจงว่า “ลงพวกใหม่ได้อำนาจแล้ว เขาก็จะต้องตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นปกครอง อย่างสมัยกรุงศรีอยุธยาน่ะแหละ”
บุรุษผู้เฒ่านั่งอยู่บนชานเรือนริมตลิ่ง ร้องผสมออกมาด้วยเสียงอันราบเรียบว่า “มันเป็นไปตามชะตาของบ้านเมือง ไม่มีใครจะขัดขืนได้”
“เขาจะฆ่าจะแกงกันไหมค้า?” แม่ค้าคนหนึ่งร้องถาม
“ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เขาเคยฆ่ากันทั้งโคตร เมื่อครั้งพระเจ้าตากที่กรุงธนบุรีนี่ พวกพระญาติพระวงศ์ที่เป็นชาย ก็ถูกฆ่าเกือบหมดเหลือแต่เจ้านายผู้หญิงและเจ้านายเด็ก ๆ” ท่านผู้เฒ่าอธิบาย “ในครั้งนี้เขาจะเอากันอย่างไร เราก็ไม่รู้เขา” แล้วแกก็ยกมือขึ้นท่วมหัว “อย่าถึงกับฆ่าฟันกันแหละดี. แม่เอ๊ย อย่าให้มีเวรกันไปเลย”
“ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง” แม่สาวบนเรือนข้างเคียงร้องผสมขึ้นมาบ้าง พลางพวกที่ชุมนุมอยู่แถวนั้นพากันถอนใจ
“ขออย่าให้ข้าวสารขึ้นราคาเลย, เจ้าพระคู้น” แม่ค้าคนหนึ่งเปล่งเสียงภาวนา แล้วพวกเขาก็พายเรือ แยกย้ายร้องซื้อร้องขายหากินไปตามเพรงของเขา
* * *
ตั้งแต่ตอนสายเรื่อยไป ประชาราษฎรได้หลั่งไหลจากทิศานุทิศ มุ่งไปสู่บริเวณพระบรมรูปทรงม้า เพื่อไปดูเหตุการณ์อันใหญ่หลวงในประวัติศาสตร์ ผู้คนขวักไขว่เนืองแน่นตั้งแต่สะพานมัฆวานไปจนจดลานพระบรมรูป ซึ่งมีกองทหารทั้งฝ่ายบกและเรือ พร้อมด้วยรถเกราะ ปืนใหญ่ปืนกล ตั้งรักษาการณ์อยู่ ประชาราษฎรจับกลุ่มชุมนุมอยู่เป็นหย่อม ๆ ที่หน้าวังปารุสกวัน หน้าสวนมิสกวันและตามใต้ต้นมะขามสองข้างทางถนนราชดำเนิน หน้าตาท่าทางของเขาส่วนมากแสดงทั้งความประหลาดใจและความอยากรู้ว่า ในประเทศสยามที่มีแต่ความสงบเงียบเชียบเช่นนี้ การเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง ชนิดที่พวกเขาคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นได้เหมือนกันหรือ ครั้นแล้วสมาชิกในคณะราษฎรก็ได้นำใบปลิว ซึ่งเป็นคำประกาศความประสงค์ของคณะราษฎรในการยึดอำนาจจากกษัตริย์มาอ่านให้ราษฎรฟัง ชุมนุมราษฎรยื่นฟังคำประกาศด้วยอาการที่ออกจะงวยงง เพราะว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขามาได้ยินว่า อำนาจที่เคยได้รับความเคารพสักการะอย่างสูงสุดนั้น มาถึงวันนี้ได้แปรสภาพเป็นฝุ่นละอองไปเสียแล้ว ราษฎรบางกลุ่มฟังคำประกาศด้วยอาการอันสำรวม บางทีก็อาจจะเป็นด้วยเขายังไม่รู้ว่า เขาควรจะรู้สึกอย่างไรดี บางกลุ่มก็เปล่งเสียงไชโยต้อนรับเกรียวกราว ในไม่ช้าคำประกาศของคณะราษฎร ก็ได้กระจายไปทั่วพระนคร แล้วก็กระจายไปตามต่างจังหวัด มันเป็นคำประกาศล้มอำนาจเจ้าขุนมูลนายที่บรรจุคำกล่าวโทษอันฉกรรจ์ อำนาจใหม่ได้เข้าท้าทายลบลายอำนาจเก่าอย่างไม่มีเยื่อใย ประชาราษฎรได้แต่จะรอคอยความคลี่คลายของเหตุการณ์ด้วยความสนเท่ห์ว่า อำนาจเก่าที่เรืองเดชานุภาพ และนับถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์นั้นจะถูกทำลายไปได้อย่างไร แต่ราษฎรก็ไม่ต้องรอคอยนานไปกว่าสองสามวัน และเขาก็ได้ทราบว่า ก็ได้ทราบว่า อำนาจที่เชื่อถือกันมาแต่โบราณกาลว่าเป็นอำนาจที่จะอยู่คู่ฟ้าไม่อาจเปลี่ยนและทำลายได้ นั้นในที่สุด ก็ได้ล้มครืนลงต่อหน้าต่อตาเขาทั้งหลายและการเปลี่ยนแปลงนั้นก็ได้กระทำโดยมือของมนุษย์ธรรมดานั่นเอง
ประชาราษฎรคนยากคนจน เมื่อได้อ่านประกาศของ ‘คณะราษฎร’ ที่ได้เปิดโปงความไร้สมรรถภาพของรัฐบาลเจ้าขุนมูลนาย ได้ประณามความชั่วร้ายเหลวแหลกในวงราชการ, ความเห็นแก่ตัวของชนชั้นที่ปกครองประเทศ, ความอยุติธรรม และความกดขี่นานาประการที่สุมอยู่บนหัวอกของราษฎรแล้ว เขาก็เริ่มคำนึงถึงอำนาจใหม่เสมือนหนึ่งเป็นความงาม ความสะอาดหมดจด และเป็นแสงสว่าง ที่จะส่องลงมาบนชีวิตอันมืดมนขะมุกขะมอมของเขา และเมื่อเขาได้อ่านคำมั่นสัญญาของ ‘คณะราษฎร’ ที่ได้ประกาศออกมาอย่างหนักแน่นว่า จะทำนุบำรุงการเป็นอยู่ของพวกเขา ทั้งในเมืองและชนบทอย่างดีที่สุด จะไม่ปล่อยให้พวกเขาอดอยากได้งาน ทั้งยังจะให้การศึกษาแก่พวกเขาอย่างเต็มที่และจะฟังความคิดความเห็นในเรื่องการปกครองบ้านเมืองจากพวกเขาทั้งหลายด้วย ประชาชนคนยากผู้เป็นคนซื่อก็ยกมือขึ้นท่วมหัวเปล่งเสียงสาธุแล้วก็เริ่มตั้งความหวังว่า นับแต่นี้ไปพวกเขาเห็นจะเงยหน้าอ้าปากขึ้นได้บ้างละ พวกชาวนาก็หวังว่าจะขายข้าวได้ราคาดี ยามฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล รัฐบาลใหม่ที่เป็นคนหัวใหม่คงจะหาทางทดน้ำให้เข้าไปในนา และไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ เขาย่อมได้รับประกันการอดอยาก โจรผู้ร้ายทั้งนอกกฎหมายและในกฎหมายคงจะถูกปราบราบไปด้วยบุญญานุภาพแห่งความตงฉินของรัฐบาลใหม่ พวกกรรมกรที่มีหัวคิดอยู่บ้างก็หวังว่ารัฐบาลใหม่จะยื่นมือเข้ามาคุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากการถูกสูบเลือดจากพวกนายจ้างใจอำมหิต และให้เขาได้รับสิทธิเช่นเดียวกับกรรมกรในนานาประเทศ ที่จะใช้สามัคคีธรรมของพวกเขา ต่อสู้ป้องกันตัวจากการขูดรีด และปรับปรุงภาวะการเป็นอยู่และการทำงานของเขาให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ประชาชนคนยากคนจนก็ใฝ่ฝันถึงวันเวลาแห่งการเงยหน้าอ้าปากที่จะมาถึงเขาในไม่ช้า
การที่อำนาจลายครามของท่านเจ้าขุนมูลนาย ของท่านผู้ดีชั้นสูงรุ่นเก่า ได้ถล่มทลายลงมาต่อหน้าต่อตาเขาทั้งหลายนั้น ได้ให้คำสอนอันยิ่งใหญ่แก่เขาข้อหนึ่งว่า ไม่มีสิ่งใดที่ศักดิ์สิทธิ์เกินไป จนมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงมันได้
การเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงในประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ส่งความกระทบกระเทือนไปอย่างกว้างขวาง ความเกี่ยวข้องกระทบกระเทือนได้แผ่คลุมมาถึงครูและนักเรียนของโรงเรียนเทเวศร์รังสฤษดิ์หลายคนรวมทั้ง จันทา โนนดินแดง